." วา พี่มีข่าวดีมาบอกด้วยล่ะ ติ๊กต่อกๆๆ " พี่เมี่ยงคุยเสียงตามสายได้น่าตื่นเต้นนักล่ะ "ห๋าๆๆ ข่าวดีอะไรพี่เมี่ยง แมวที่บ้านออกลูกเป็นชะนีหรือไงพี่เมี่ยง อิอิ " " เปล่าน่ะ ..คิดไปโน่นยัยวา จะฟังไหมนี่ หือ..? " เสียงปลายสายค่อนแคะเล็กน้อยพอเป็นกระษัย อิอิ " ฟังคะฟัง..อ่ะ เล่ามาๆค่ะ " หูก็หนีบโทรศัพท์ไว้กับหัวไหล่ คุยไปด้วย มืออีกข้างก็มัวแต่หยิบขนมเข้าปากเคี้ยวหมับๆๆ " ทำอะไรน่ะ กินหนมอยู่ล่ะซิ อ้วนจะเป็นหมูแล้วนะเราน่ะ ยัยหมู " นั่นประไร ย้งๆ ยังไม่เลิกค่อนแคะ (เดี๋ยวคงมีแกะเกาต่อแน่ๆ) อิอิ " จะบอกว่าวันนี้พี่ว่างน๊า จะไปเที่ยวสักหน่อย ไม่รุ้ใครบางคนว่างไหมน๊า " " กะว่าจะไปวัดสระเกศสักหน่อย ใครคนนั้นคงไม่ว่างมั้ง เนอะ " พี่เมี่ยงคำ พูดอ่อยเหยื่อนิดหนึ่ง แค่นั้นละ เหยื่อก็ติดกับดัก 5555 " ว่างค่ะ ว่างๆ วันนี้วา ว่างค่ะพี่ ไปกี่โมง เจอที่ไหนคะ ? " " 555 ...ยัยวา ขี้งก ชอบจังนะกับเรื่องเที่ยวน่ะ " คนปลายสายทางโน้นหัวเราะร่าที่แกล้งคนได้สำเร็จ 555 " ฮื้อ.. พี่เมี่ยงอ่ะ ชอบแกล้งเค้านะ บอกมาเลยจะพาเค้าไปเที่ยวป่าวล่ะ " " อืมม์ .. ก็ไปอาบน้ำซิ เดี๋ยวเจอกันที่เดิมนะ หาอะไรอร่อยๆกินด้วยนะ " พี่เมี่ยงพูดพลาง(คง)อมยิ้มนึกขันยิหวา กลัวอดเที่ยว อิอิ " ... เจ้าคะ จะรีบอาบน้ำเดี๋ยวนี้ล่ะ .." ยิหวารีบรับปาก " วัดสระเกศนี่นะวา ไปง่ายมากเลยรู้ไหม ? รถเมล์สาย 47 ผ่านนะจากท่าช้าง นั่งรถแป๊บเดียวเอง " พี่เมี่ยงบอกระหว่างที่ยืนรอรถเมล์สาย 47 " อ๋อ..ค่ะ " ผู้ติดตามอย่างยิหวา ได้แต่ร้อง อ๋อ.คะ รับฟังอย่างเดียว อิอิ " วา รุ้ไหม ทำไมถึงได้ชื่อว่า วัดสระเกศ ล่ะ ? " พี่เมี่ยงคำนำปัญหามาให้ยิหวาได้ขบคิดอีกแล้วซิ " ไม่ทราบค่ะ " สั้นๆแต่ชัดเจนในคำตอบ " อืม.. เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังนะ " " วัดสระเกศ น่ะชื่อเดิมคือ วัดสระแก อยู่แถวริมคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายนี่แหละ พี่เมี่ยงเดินคุยไปด้วย พลางเดินเข้าไปในบริเวณวัดสระเกศโดยมียัยวาเดินตามต้อยๆ อิอิ " วัดสระแก เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นชนิดราชวรมหาวิหาร สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา" พี่เมี่ยงยังคงร่ายมนต์ เอ๊ย คงเล่าไปเรื่อยๆ " ต่อมา รัชกาลที่ 1 ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ " ไงล่ะวา ทีนี้รุ้ที่มาของชื่อวัดสระเกศแล้วใช่ไหม ? " " รุ้แล้วเจ้าคะ คุณพี่เมี่ยง " ยัยวาตอบพลางทำหน้าทะเล้น " เดี๋ยวโดนๆ ยัยวา ทำทะเล้น กลัวไหม หือ ? " พี่เมี่ยงทำเสียงขู่ " แล้วโน่น วา เห็นอะไรนั่นไหม ยอดแหลมๆสีทองๆน่ะ " พี่เมี่ยงชี้ให้ดูสิ่งหนึ่งซึ่งวาเห็นเป็นยอดสีทองๆไกลลิบ " อะไรน่ะพี่เมี่ยง สีทองสวยเชียว นี่เหรอ คือ ภูเขาทอง ? " ยิหวาทำตาโต ด้วยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเพิ่งได้เข้ามาเห็นด้วยตัวเอง " ใช่ล่ะ นั่นคือ ภูเขาทอง หรือว่า พระบรมบรรพต " พี่เมี่ยงอธิบาย " อะไร ไม้ตะพดเหรอพี่เมี่ยง ? " ยิหวาสงสัย " ไม้ตะพดไว้เคาะหัววาซิ เขาเรียกว่า พระบรมบรรพต.." พี่เมี่ยงตอบยิหวาด้วยสีหน้าที่มันเขี้ยวหรือหมั่นไส้ไม่อาจทราบได้ 555 " แล้ว พระบรมบรรพต คืออะไรล่ะพี่เมี่ยง ? " ยิหวาเริ่มจะมีข้อสงสัย " เอาน่ะ เดี๋ยวขึ้นไปดู แล้วจะรุ้เองนะ ช่างซักนะเราน่ะ " พี่เมี่ยงรำคาญ วารุ้ 5555555555 " โห บันไดกี่ร้อยขั้นเนี่ยะพี่เมี่ยง เมื่อยขาแย่เลย " ยิหวาโอดครวญเมื่อเห็นบันไดหลายขั้นลิบๆ อิอิ " พี่เมี่ยงห้ามชวนวาคุยล่ะ วาจะนับขั้นบันได้ " " ให้มันจริงเถ๊อะ ..." พี่เมี่ยงท้าทายยิหวานะนั่นน่ะ 555 " เดี๋ยวก็รู้ " ยิหวา เชิดหน้ารับคำท้า เอ๊ย คำสบประมาทจากชายหนุ่ม แต่ทว่า ด้วยระหว่างสองข้างทางมีอะไรให้ยิหวาได้ตื่นเต้นตลอดเวลา ไม่ว่ารูปปั้นตุ๊กตาหินน่ารักๆ หรือแม้แต่ต้นไม้ดอกไม้ หรือว่า นกแก้วหลากสีสรร ยิหวาก็วี๊ดว๊ายกระตู้วู้ได้ตลอดเวลาเช่นกัน 5555 สุดท้าย....... " ว่าไงล่ะคนเก่ง นับได้กี่ขั้นแล้วล่ะ หือ ? " พี่เมี่ยงถามพลางส่งยิ้มสีหน้าเจ้าเล่ห์ ไม่มีใครเกินเขาละ 5555 " อ้าวววว.. พี่เมี่ยง วาลืมเลย พี่เมี่ยงแหละ ชวนวาคุยนี่ " อ่ะนะ...เรื่องพาลคนอื่น วาถนัดนักล่ะ แหะ..แหะ.. " เอาน่ะ ว่างๆค่อยมานับใหม่นะ เดี๋ยวพี่พาไปดูยอดข้างบน สวยนะ " " ยอดเขาบรรพตน่ะ สร้างในรัชกาลที่ 3 เชียวนะ โดยจำลองแบบเจดีย์ มาจากวัดภูเขาทอง ใน จ.พระนครศรีอยุธยา แต่สร้างไม่แล้วเสร็จหรอก ดินอ่อนทรุด ต้องหยุดสร้างชั่วคราว " " ต่อมา รัชกาลที่ 4 ก็มาซ่อมแซมต่อ และมาสร้างสำเร็จ ในสมัยรัชกาลที 5 แน่ะ วารู้ไหม ? " พี่เมี่ยงอธิบายให้ยิหวาฟังอย่างกับผุ้ชำนาญด้านวิชาการ " 3 รัชกาลเชียวนะ ยอดภูเขาทองน่ะ 50 ปีเชียวกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ " พี่เมี่ยงยังคงเดินหน้าเล่าต่ออย่างไม่มีติดขัด 555 " เมื่อขาไหมวา เดี๋ยวเดินขึ้นไปอีกนิดนะ มีที่พักนั่งทานกาแฟด้วย มีห้องน้ำไว้บริการด้วยนะ ไหวไหมล่ะ ? " พี่เมี่ยงถามยิหวาด้วยความห่วงใย " ไหมคะ พี่เมี่ยง " ยิหวาตอบว่าไหม ทั้งๆที่ตัวเองหอบแฮ่กๆยังกะหมาหอบแดด 555.. " โห ..ว๊าววว...ร้านกาแฟน่ารักจังพี่เมี่ยง น่านั่งพักผ่อนนานๆๆๆ อิอิ " ยิหวาตื่นเต้นกับร้านกาแฟขนาดเล็กซึ่งจัดไว้ได้น่ารักมาก " อืม..น่าพักเหนื่อยก่อนนะวา เดี๋ยวพี่เล่าต่อ ฟังไหมนี่ ? " " ฟังซิคะ ก็เล่าไปซิ ใครว่าไรล่ะ " ยิหวา ชอบกวนไม่เลิก " ภูเขาทองนี่นะมีความสูงประมาณ 100 เมตร บนยอดสุวรรณบรรพต เป็นที่ตั้งของพรเเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ " พี่เมี่ยงคำไม่เมื่อยขาบ้างหรือไงไม่รุ้เนอะ " อ๋อ..ค่ะ " วารับฟัง แต่ตัวเธอเองลุกไปเก็บภาพต่างๆ ด้วยกล้องดิจิตอลขนาดเล็กของเธอ " แล้วไงต่อคะพี่เมี่ยง วาฟังอยู่น่ะ " วา ถาม เมื่อเห็นพี่เมี่ยงหยุดเล่า " ก็จะเล่าต่อว่า พระบรมสารีริกธาตุนี่นะ อัญเชิญมาจากเมืองกบิลพัสดุ์ ประเทศอินเดียเชียวนะวา วารุ้ป่าวล่ะ ? " พี่เมี่ยงถามวา " ไม่รุ้ค่ะ " วาก็ตอบสวนทันควันเช่นกัน " ทั้งปี ยัยวาจะรุ้อะไรบ้าง กิน เที่ยว เล่น แล้วก็นอน " พี่เมี่ยงค่อนแคะวา เป็นรอบที่ 3 เท่าที่วา จำได้ อิอิ " อ่อ ..ลืมบอกไปว่า บันไดทางขึ้นลงมีสองทางนะ เป็นบันไดวนซ้ายและขวา ไว้สำหรับขึ้นและลง แยกกันต่างหาก " ยิหวาได้แต่รับฟัง แต่ตาของเธอมัวแต่มองหาเพื่อที่จะเก็บภาพสวยๆ .......... ระหว่างที่ยิหวากับพี่เมี่ยงคำนั่งพักผ่อนเล่นที่ร้านกาแฟแห่งนั้น มีฝรั่งกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมา ราวสัก 3-4 คน คงมาเป็นครอบครัว พวกเราสองคนต่างส่งยิ้มให้พวกเขาก่อน พวกเขาก็พูดจาทักทายยิ้มตอบ " วา เห็นไหม ขนาดคนบ้านอื่นเมืองอื่น เขายังดิ้นรนมาเที่ยวเมืองไทย เพื่อมาชมความงามของภูเขาทอง แล้วเราเป็นใครล่ะ เราเป็นคนไทยแท้ๆ กลับไม่เห็นคุณค่าของความเป็นไทยที่บรรพบุรุษพยายามสร้างให้พวกเรา มาแต่เก่าก่อน พวกเรารุ่นลุกหลานนอกจากไม่อนุรักษ์ ยังทำลาย " คราวนี้ พี่เมี่ยงคำบ่นเป็นชุดๆๆ ราวกับต้องการระบาย ความอัดอั้นตันใจในอก อิอิ " เฮ้อ พูดไปก็แค่นันนะวานะ หายเหนื่อยัง เดินไปต่อนะ " " คร๊าบบบบลูกพี่ ห้ามบ่นๆล่ะ ไม่อยากฟังแล้วน๊า " วา ต่อรอง 555 ." สวยจังพี่เมี่ยง.. สวยมากๆเลยค่ะ " ยิหวาพูดด้วยความตื่นเต้นพลางเขย่าแขนพี่เมี่ยงคำด้วยความลืมตัว วิวทิวทัศน์ที่เธอมองลงไปยังเบื้องล่างนั้นไกลลิบๆ แต่ทว่าสวยมากๆ มองไปเบื่องบนท้องฟ้า เริ่มมืดครื้ม ฝนทำท่าจะตกหนัก " ไปไหว้พระข้างในก่อนนะวา ถอดรองเท้าวางไว้นี่แหละ เดี๋ยวพี่มาหยิบไปให้ ขาลงต้องลงอีกด้านหนึ่งนะ " พี่เมี่ยงบอก " ไม่เป็นไร เดี๋ยววา ก็มาหยิบเองได้นี่ รองเท้าน่ะ " ยิหวาแย้ง .......บริเวณด้านบนของยอดพระบรมบรรพตนั้น มีดอกไม้ ดอกบัว ธูปเทียนให้ไหว้พระด้วย เราถวายปัจจัยตามแต่ศรัทธา ไหว้พระจุดธูปขอพรพระแล้วก็ปิดทองในยอดบรรพตซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็ออกมารับลมชมวิวอีกหน่อยต้องรีบลงมาแล้ว เพราะกลัวฝนตกลงมาหนักเกินกว่าพวกเราสองคนจะเดินทางกลับได้ " ว่าไงวา สวยไหมวัดนี้ ชอบไหมล่ะ ? " พี่เมี่ยงเอ่ยถามวา ระหว่างทางที่เดินลงบันไดมาด้วยกัน " ชอบคะ สวยมากๆเลยพี่เมี่ยง " ยิหวาตอบพี่เมี่ยงด้วยความสบายใจ " อืม..ดีแล้ว วาชอบ ไว้ว่างๆ พี่จะหาที่เที่ยวใหม่ๆอีกนะ ไว้พี่ว่างก่อน " " ขอบคุณล่วงหน้า เจ้าคะพี่เมี่ยงคำ " "ไม่ต้องมาประจบเลย ไว้ว่างน่ะ เข้าใจไหม ห้ามงอแงด้วย " พี่เมี่ยงพูดด้วยสีหน้าที่อมยิ้มนิดๆ พลางจับหัวยิหวาโยกซะเหมือนผุ้ใหญ่ที่ชอบเล่นหัวเด็กๆด้วยความหมั่นไส้ (หรือเปล่า ) อิอิ มือหนักนะเนี๊ยะ ฝากไว้ก่องเถอะโอฬาร แหะ.. แหะ... ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
บ่ายของวันอังคารที่ 16 มิ.ย.52 ที่ผ่านมานั้น หลังจากฉันได้ตระเวนเดินเที่ยวจนเหนื่อย ฉันเดินกลับจากวัดโพธิ์ มาเรื่อยๆยังท่าราชนาวีสโมสร ท่าช้าง เดินมายังท่าราช และมาสิ้นสุดที่ หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พลันสายตาฉันก็สะดุดกับคุณลุงท่านหนึ่งที่นั่งขายปลาตะเพียนสานจากใบลาน ด้วยความที่อยาก่รู้อยากเห็น(เรื่องของชาวบ้าน) ฉันเลยเตร่เข้าไปทักทายพูดคุยกับคุณลุงท่านนั้น จากการที่ได้ลองแย็บๆพูดคุยกับลุงท่านนั้น พอทำให้ฉันใจชื้นมาพอสมควร กล้าพอที่จะพูดคุยสอบถามถึงเรื่องราวส่วนตัวของคุณลุง " คุณลุงโถน มโนหาญ " คือชื่อของคุณลุงที่นั่งขายปลาตะเพียนที่ หน้าศูนย์หนังสือ มธ.ท่าพระจันทร์ ปัจจุบันคุณลุงอายุ 63 ปี คุณลุงบอกว่า จำอายุตัวเองไม่ได้หรอก จำได้แค่ว่า เกิดปีพ.ศ.2489 นั่นก็คืออายุ 63 นั่นเอง คุณลุงโถน เคยมีครอบครัว มีภรรยา แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ปัจจุบันนี้เลิกกันไปนานแล้ว ลุงก็มาหางานทำในกรุงเทพฯ รับจ้างทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าดายหญ้า ถางหญ้าในบ้านคนมีเงิน หรือแม้แต่ยาม จนสุดท้าย เป็นลูกจ้างคนงานก่อสร้างในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่โดนโกงค่าแรง ลุงเลยออกมาหางานอื่นทำไปเรื่อย ด้วยความที่ลุงอายุเยอะแล้ว งานอื่นๆจึงหายากสำหรับลุง สุดท้ายลุงเลยคิดว่า น่าจะหางานเบาๆทำจะดีที่สุด.... นั่นคือได้มานั่งขายปลาตะเพียนสานนั่นเอง ( อ่ะนะ คุณลุง เล่นมุขซะด้วย งานเบาจริงๆด้วยซิคะ นั่งขายปลาตะเพียนสาน ไหนเลยจะหนักเท่าแบกอิฐขนปูน) 55555......คุณลุงโถนนั่งเล่าด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มตลอด " ในแต่ละวัน ขายได้ประมาณสักกี่แถวคะ ? " ฉันถามด้วยความอยากรุ้ เพราะคำว่า 1 แถวคือ 3ตัว " ก็ไม่กี่แถวหรอกหนู บางวันขายได้เงินไม่พอกินข้าวด้วยซ้ำไป " " อย่างวันนี้น่ะ ลุงนั่งมาได้สัก 3 ชั่วโมงแล้วละ ขายได้แค่ 2 แถวเอง " " ลุงเลยกินข้าวเหนียวไปห่อเดียว แค่นี้ลุงก็อิ่มแล้วล่ะหนู " ลุงพูดเหมือนไม่ทุกข์ร้อนใจ รอยยิ้มยังคงปรากฏบนใบหน้า ไม่มีแววตาของความทดท้อฉายแววออกมาให้เห็น " ลุงไปรับปลาตะเพียนสานจากรังสิตแน่ะหนู รับมาแถวละ 12 บาท " " ลุงก็นำมาขายแค่แถวล่ะ 15 บาท ลุงไปกลับรถเมล์น่ะ ไม่ลำบากอะไร " เสียงคุณลุงโถนยังคงบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองไปเรื่อยๆอย่างไม่ขัดเขิน ฉันได้แต่นิ่งฟังและพยักหน้ารับรู้ มือก็บันทึกข้อมูลไปเรื่อยๆ " ขอโทษนะคะคุณลุง แล้วคุณลุงพื้นเพเดิม เป็นคนกรุงเทพฯหรือคนที่ไหนหรือเปล่าคะ ? " ถามเพราะอยากรุ้อีกแล้วซิเรา ยิหวา อิอิ " ลุงเป็นคนเชียงรายน่ะ อำเภอเมืองแหละหนู พอเลิกกับเมีย ลุงก็เดินทางหางานในกรุงเทพฯ " " อ๋อ... ค่ะ " ไม่มีคำพูดใดที่ดีกว่าประโยคนี้อีกแล้ว ยิหวาเอ๋ย อิอิ ฉันนั่งฟังไป ก็อมยิ้มไปกับการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณลุงโถน เพราะดูท่าทางลุงก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตตัวคนเดียวแบบนี้ " จะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับใจเราเองมากกว่านะลุงว่า ถ้าเราขวนขวายมากไป ลุงว่าทุกข์ ถ้าเราอยู่พอมีพอกินแบบง่ายๆ แค่นี้ก็สุขแล้วสำหรับลุง " ลุงพูดเหมือนเดาความคิดของฉันออกหรือเปล่าไม่ทราบได้ แต่แววตาของลุงยังมีความหวัง " ลุงไม่สนใจการเมืองหรอกนะ การเมืองไม่ได้ทำให้ลุงกินดีอยู่ดีกว่านี้หรอก ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆก็ตาม " " แล้วลุงไม่กลัวบ้างหรือคะ กับการที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปทุกวันๆๆ " ฉันเอ่ยถามขึ้นบ้าง " ลุงไม่กลัวนะ เพราะลุงไม่มีสิ่งของมีค่าที่นำติดตัวเลย มีแต่กระเป๋าหนึ่งใบไว้นอนหนุนหัวแค่นี้เอง ฆ " พอตกช่วงเย็นเลิกงาน ลุงก็จะข้ามฟากไปนั่งขายที่หน้าโรงพยาบาลศิริราช " " พอตกกลางคืน ลุงก็อาบน้ำ นอนที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย มีกระเป๋าใบนี้แหละหนุนหัว " ลุงพูดพลางตบมือแปะๆไปยังกระเป๋าเดินทางคู่กายของคุณลุง " อ๋อ... ค่ะ " ประโยคสิ้นคิดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากยิหวาเบาๆ อิอิ " ชีวิตคนเราขอเพียง กินพอประทังชีวิต กินอิ่มนอนหลับ รุ่งเช้าฟื้นลืมตาตื่นแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับลุง " ฉันแน่ใจว่า ลุงพูดแบบนี้จริงๆ ไม่ได้คิดว่าพูดเพื่อประชดใครๆ อย่างน้อย ลุงก็เป็นคนที่มีความคิดดีคนหนึ่งเชียวล่ะ " ลุง ไปทานข้าวด้วยกันไหม เดี๋ยวหนูเลี้ยงเอง " จู่ๆฉันก็เอ่ยถามลุงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย " ไม่ล่ะหนู ขอบใจมากนะ ลุงเพิ่งกินข้าวเหนียวไปเมื่อกี้นี้เอง " ลุงตอบปฏิเสธอย่างน่ารักทีเดียวเชียวล่ะ " งั้น ลุงรอหนูแป๊บนะคะ เดี๋ยวหนูมา " ฉันพูดพลางวิ่งจู๊ดเข้าเซเว่น ได้นมโฟร์โมส์ 2 กล่อง ขนมปังอีก 2 ห่อ วิ่งกลับมายื่นสิ่งที่อยู่ในถุงนั้นให้ลุง "ขอบใจมากนะหนู ขอให้จำเริญๆนะหนูนะ " ลุงพูดพลางยกมือไหว้ฉันซึ่งมีอายุอ่อนกว่า " ว๊าย ..ลุงไหว้หนูทำไม หนูกลัวบาปนะคะ " ฉันตกใจพลางทำหน้าแหยๆ ยกมือไหว้ลุงกลับไปแทบไม่ทัน " ไม่หรอกหนู ลุงขอบคุณน้ำใจหนูต่างหาก ลุงไม่ได้ไหว้ว่าใครอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าหรอกนะ อย่าถือสาลุง " ลุงพูดพลางอมยิ้ม ........ ข้อมูลที่ฉันได้พูดคุยกับลุง มีเพียงแค่นี้จริงๆที่ฉันจำได้ เพราะรายละเอียดต่างๆหายไปพร้อมกับสมุดบันทึกเล่มสีดำนั้น ปลาตะเพียนสานแค่แถวล่ะ 15 บาท อาจไร้ค่าไร้ราคาสำหรับใครบางคน แต่คุณจะรู้หรือไม่ว่า ปลาตะเพียนสานเหล่านี้อาจต่อลมหายใจ ให้ลุงโถนได้กินอิ่มในแต่ละมื้อ แต่ละวัน ......... ฉันมานั่งคิดๆดู ก็จริงอย่างที่คุณลุงโถนบอก "จะสุข จะทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับใจเรา ถ้าเราขวนขวายมาก ใจเราก็ทุกข์ ถ้าเรารุ้จักพอเพียง ความพอดี ใจเราก็สุข " จะมีใครสักกี่คนกันหนอ ที่คิดได้ มีความคิดที่ดีๆแบบคุณลุงโถนคนนี้ การที่เราจะสอนหรือบอกให้คนอื่นคิด หรือทำตามอย่างเราๆ (หรือลุงโถน)นั้นคงเป็นไปได้ยาก หากแต่เราต้องสอนใจเราเองก่อน หมั่นปลูกฝังสามัญสำนึกที่ดีๆให้แก่เด็กๆในบ้าน ต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวเราก่อนแล้วค่อยขยายความคิด สิ่งดีๆสู่สังคมชุมชุนนอกบ้านที่ใกล้ตัวเรา ขอบคุณความคิดดีๆของคุณลุงโถน มโนหาญ ที่จุดประกายแสงสว่างในใจฉันได้อีกมากมาย แม้คุณลุงโถนอาจเป็นเพียงคนหนึ่งๆที่ขายปลาตะเพียนสาน แต่ความคิดของคุณลุงท่านนั้นมิได้จำกัดเพียงแค่ใบลานที่นำมาสานเป็นรูปร่างแค่นี้หรอกนะ ฉันอยากบอกลุงเหลือเกินว่า ลุงคะ ลุงมีความคิดดีกว่าคนหลายๆคนที่ทำงานเป็นเจ้าคนนายคนที่สักแต่ว่ามีเงินชี้นิ้วสั่งๆ แต่ไม่มีความคิด ไม่มีน้ำใจ ....... ขอบคุณปลาตะเพียนสานจากใบลานตัวน้อยๆ ขอบคุณคุณลุงโถน มโนหาญ ที่มานั่งเล่าเรื่องราวน่ารักๆให้ฟังค่ะ ขอบคุณความคิดดีๆของคนจบป.4 อย่างคุณลุงโถน ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )