26 มกราคม 2552 19:48 น.
ฉางน้อย
" ห๋า..พี่วาจะไปเที่ยวเหรอ หลายวันเชียว "
ฉันทำตาโต พลางอุทานเสียงดังลั่นทำให้อาหารเม็ดรสโปรดหล่นลงพื้น
บางส่วนก็ยังคงเต็มปาก แต่ฉันไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว
" นี่แน่ะ..ผั๊วะ..บอกว่า เบาๆ "
พี่เหมียว แมวรุ่นป้า เพื่อนร่วมชายคาของฉันตบหัวฉันจนหัวแทบคมำโขกกับพื้นปูน
" ก็ป้า เอ๊ย ชั้นน่ะ แอบได้ยินเขาคุยกันนี่นา" พี่เหมียวยังคงพูดต่อไป
" ไม่นะ ไม่..ฉันไม่ให้พี่วาไปนะ " ฉันรู้ พี่วารักฉันมาก
ถ้าพี่วาไปเที่ยว ใครจะมากอดฉัน หอมแก้มฉันล่ะ
ฉันนั่งคิด นอนคิดแทบทั้งคืน นอนไม่ค่อยหลับ
บางทีก็เผลอนอนเอาเท้าก่ายหน้า(ผาก)ซะด้วยซิ อิอิ
พี่วาชอบเรียกฉันว่า " เจ้าตัวเล๊ก "
ขณะเดียวกันพี่วาก็สอนให้ฉันเรียกป้าแมวแก่ๆที่ชายคาเดียวกันว่า
" พี่เหมียว " ทั้งๆที่ฉันอยากเรียกป้า ใจจะขาด อิอิ
อ่อ คุณผู้อ่านคะ หนู เอ๊ย ฉันเป็นแมวเด็กผู้หญิงค่ะ อายุราวๆ3ขวบกว่านิดๆ กำลังซนเลยทีเดียว
ฉันเป็นแมวสามสีค่ะ ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของตัวเองสักเท่าไหร่นักหรอกคะ
ฉันไม่รู้สายพันธ์เดิมของฉันเป็นพันธ์อะไรกันแน่
แต่พี่วาชอบบอกว่า ฉันเป็นพันธ์...พันแข้งพันขาค่ะ อิอิ
ยิ่งถ้าฉันถามย้ำพี่วามากๆว่า ตัวเล็กของพี่วา เป็นพันธ์อะไรกันแน่
พี่วา ก็จะตอบว่า พันธ์ทาง.. ทางใครทางมัน ยังไงล่ะค่ะ ดูพี่วาตอบซิคะ
ฉันชอบดื้อ ชอบซนให้พี่วาปวดหัวเล่นบ่อยๆบ้างก็ปีนที่สูงๆ
บางทีก็กระโดดขี่หลังพี่วาซะงั้น ฉันชอบอ้อนพี่วา
หากวันไหนพี่วาดุฉัน ฉันก็จะทำงอน น้อยใจ เอาสองเท้าข้างหน้ามาตะกายกางเกงยีนส์พี่วา จนพี่วาต้องยอมคุยกับฉันดีๆ
หรือบางทีพี่วาแกล้งไม่พูดกับฉัน ทำเป็นไม่เห็นฉันในสายตา
วันนั้นฉันก็จะไปงับๆๆ เอาฟันงับน้องของฉัน
อ่อ ลืมบอกไปว่า พี่วาซื้อตุ๊กตาน้องมอร์มาเป็นเพื่อนเล่นกับฉันด้วยนะคะ พี่วาบอกให้พาน้องไปนอนด้วย
แต่ฉันก็แปลกใจ ทำไมน้องไม่ยอมคุยกับฉันสักคำ
เอาแต่นอน นั่งแล้วก็ยิ้มๆ ฉันชวนคุยด้วย น้องก็เงียบ
ฉันชอบนอนซุกหน้ากับน้องมอร์ บางทีก็งอนพี่วาก็มางับๆน้องมอร์นี่หละคะ
เธอไม่เถียง ไม่ร้องสักแอะ สะใจฉันล่ะ อิอิ
บางวันฉันซนปีนที่สูงๆ ทำของหล่นบ้างตกบ้าง
พี่วาก็บอกว่าจะนำฉันไปส่งวัด ไปปล่อยที่วัด
โอ.. ไม่นะ ต่อไปนี้ฉันจะไปเป็นแมววัดแล้วเหรอนี่
ไม่นะ พี่วาคงไม่ใจร้ายกับฉันใช่ไหมคะ
....................................
ตอนเช้าๆเมื่อพี่วาตื่นนอน ฉันก็จะไปนั่งรอพี่วาหน้าห้อง
หากวันไหนเธออกมาสายนัก ฉันก็จะตะกายสองขาหน้าแกร่กๆๆ อยุ่อย่างงั้น
จนพี่วารำคาญ เธอจึงยอมเปิดประตูให้ฉันเข้าไปเยี่ยมเยียนเธอได้
ตอนแรกฉันตกใจกะเจ้าตัวอะไรก็ไม่รู้อยู่ในห้องพี่วา
ตาโต ตัวก็โต๊โตกว่าฉันอีกแน่ะ ขนสีน้ำตาลเข้มด้วยล่ะ
เจ้าตัวนั้นจ้องมองฉันตาไม่กระพริบเชียว
ฉันก็ทำท่าขู่ฟ่อใส่ซิคะ ใครจะยอม
ท่าทางของฉัน ทำให้พี่วาหัวเราะ เธอบอกว่า
นั่นเป็นตุ๊กตาที่พี่วากอดนอนทุกคืนๆต่างหาก
ฉันเลยย่องๆไปด้อมๆมองๆยังไม่ไว้ใจเจ้าตุ๊กตาของพี่วามากนัก
ก็พี่วาบอกนี่ อย่าไว้ใจอะไรให้มากนัก
เมื่อพี่วาตื่นแล้วทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย
ฉันก็จะวิ่งจู๊ดไปแย่งที่งประจำของพี่วา
เก้าอี้ตัวเดิมของพี่วา เพราะฉันรู้ เดี๋ยวพี่วาก็มีขนมให้ฉันได้อิ่มท้องยามเช้าๆ
แต่พี่วาชอบเอาเปรียบฉัน เพราะพี่วา มีแก้วอะไรด้วยก็ไม่รุ้ใบเบ้อเร่อเลย
ฉันเคยชะโงกหน้ามองดูน้ำข้างในแก้ว เห็นเป็นน้ำสีน้ำตาลๆด้วยล่ะ
ฉันแอบสูดกลิ่นห๊อม หอมด้วย ฉันเหลียวซ้ายแลขวาไม่มีใครมา
เสร็จฉันละ แอบเอาลิ้นเลีย ว๊า..ขมปี๋เลย ไม่เห็นหร่อยตรงไหนเลย
พี่วา บอกฉันว่า นั่นเป็น กาแฟ แต่ก็อร่อยสู้ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ ไม่ได้หร๊อก
เชื่อฉันซิ ฉันจะประจบพี่วากินหนมปังทุกเช้าๆก็อร่อยนี่นา
พี่วาก็ใจดี แบ่งกันคนละครึ่งกับฉันด้วยล่ะ
แต่ป้าเหมียวกินของพวกนี้ไม่เป็น เธอจะเมินหน้าหนีเลยล่ะ
แมวอะไรก็ไม่รุ้ เชยเป็นบ้า อิอิ
เอ่ยชื่อป้าเหมียว เอ๊ย พี่เหมียวแล้วขอนินทาเธอสักนิดนะคะ
เธอชอบกินแล้วนอนๆๆค่ะ ตอนนี้เริ่มลงพุงด้วยซิคะ พุงออก อิอิ
ถ้าพี่วาเอานิ้วไปจิ้มแหย่พุงป้าเหมียว เธอก็จะถอยหนี
ถ้าพี่วาไม่ยอมเลิก ป้าเหมียวก็จะเอาฟันงับเบาๆที่นิ้วประมาณปรามว่า
อย่ามายุ่งกับเอวของชั้นนะ ชั้นจั๊กจี้ อิอิ
หรือถ้าป้าเหมียวรำคาญมากๆเธอจะกระโดดหนีขึ้นไปนอนบนคานสูงๆของตัวบ้านคะ (เมื่อก่อนฉันเคยได้ยินแค่ว่า สาวใหญ่ขึ้นคาน
แต่มาวันนี้ฉันเห็นกับตาตัวเองแล้วว่า แมวก็ขึ้นคานได้เหมือนกันนะ อิอิ )
ฉันรู้.. พี่วาไม่กล้าตามป้าเหมียวไปบนนั้นหรอก
พี่วา กลัวความสูง เอ๊ย พี่วา กลัวขึ้นคาน อิอิ 55555
......................................
วันหนึ่งมีเจ้าแมวหนุ่ม(เหลือ)น้อยจากต่างถิ่นมายื่นไมตรีให้ฉัน
ฉันเหรอก็ตอบรับท่าทีของหนุ่มนั้นด้วยท่าทางเอียงอาย อิอิ
ตัวฉันเองเริ่มทอดสะพาน(ไม้หมากหรือเปล่า)แต่เป็นสะพานคอนกรีต
เสริมใยเหล็กอย่างดี อิอิ
ฉันเผลอทอดสะพานให้เจ้าแมวหนุ่มนั้นเข้ามาทักทายอย่างง่ายดาย
แต่พี่วา ไม่วายที่จะแขวะฉันว่า เป็นแมวใจง่าย แมวใจแตก อ้อร้อตั้งแต่เล็กๆ อิอิ
ฉันเพียงแต่จะบอกพี่วาว่า พี่วาอาจเลี้ยงฉันให้โตได้ด้วยกายด้วยอาหารแต่พี่วาจะรู้ไหมหนอ ว่าฉันก็ต้องการมีหนุ่มๆมาเหลียวมองบ้างนี่นา
ฉันก็มีหัวใจนะพี่วา ถึงแม้พี่วาจะซื้อตุ๊กตามาให้ฉันเล่นเคียงข้างกาย
แต่หารุ้ไม่ว่า แมวอย่างฉันก็ต้องการใครสักคน เอ๊ย สักตัวมาเคียงข้างใจด้วยนี่นา ( อิอิ คำคมไม่เบาเลยวุ้ยเรา )
เจ้าแมวหนุ่มน้อยในฝันของฉันชื่อ ฮีโร่ ด้วยละ ขนนุ่มสะอาด
กินอาหารเม็ดเหมือนฉันเลย เขาชอบมาหยอกล้อเล่นกับฉันบนหลังคาบ่อยๆ
บ่อยครั้งที่เรากระหนุงกระหนิงด้วยกันบนดาดฟ้า ทั้งที่ร้อนแสนร้อนแต่รักเข้าตาอะไรๆก็หวานแหวว อิอิ
มีบ่อยครั้งที่เราหยอกเล่นกันแรงๆ ก็ฉันเป็นแมวสาวๆนี่
เขินแต่ละทีถีบเจ้าฮีโร่ตกหลังคากันเลยทีเดียว
นี่หรือเปล่าหนอที่เขาเรียก รักทรหด อิอิ
.....................................
วกเข้าเรื่องที่พี่วาจะไปเที่ยวต่อกันดีกว่าไหมคะ .....
และแล้วพี่วาก็ไปจริงๆค่ะ เธอฝากป้าข้างบ้านให้ดูแลยามที่เธอไม่อยู่
ให้นำอาหารมาวางให้สามเวลาทุกมื้อ
แต่วันนี้อาหารที่ป้าข้างบ้านนำมาวางให้ฉันไม่อร่อยเหมือนทุกวันที่มีพี่วาอยุ่ด้วย รสชาติจืดชืดไปหมด ทั้งๆที่ยี่ห้อเดียวกัน บรรจุถุงชนิดเดียวกัน
พี่วาจะรู้บ้างไหมว่า ..ฉันเหงา..ฉันเศร้า..ฉันคิดถึงพี่วาอย่างจับใจ
ทุกๆเช้าฉันยังคงนอนรอพี่วาที่เก้าอี้ตัวเดิม รอขนมของพี่วา
รอหอมกลิ่นกรุ่นกาแฟของพี่วา
2 วันผ่านไปพี่วายังไม่มา ฉันได้แต่เพ่งมองตรงประตูทางเข้าออกที่พี่วาเดินผ่านเสมอ.. อยากบอกว่า " คิดถึงจัง "
กริ๊ก.. เสียงไขกุญแจบ้านดังขึ้นอีกแล้ว ฉันก็ได้แต่ลืมตามองเฉยๆ
ฉันเฝ้าภาวนาให้เป็นพี่วาของฉัน
ปรากฏว่า ไม่ใช่ ฉันเดินไปหลบมุมในซอกเล็กๆแห่งหนึ่งใต้หลังคาบ้านหลังนี้ กำลังใจฉันเริ่มหดหายไปทีละน้อยทีละน้อย
อาหารมื้อนั้นฉันก็ไม่สนใจอีกต่อไป เดินทำหน้าเชิดใส่ป้าคนข้างบ้าน
นี่หรือเปล่าหนอ อาการของคน เอ๊ย ของแมวที่ตรอมใจยามเจ้าของทิ้งขว้างไม่ดูแล สัตว์ตัวอื่นๆคงมีอาการเดียวกับฉันแหละ
คิดถึงเจ้าของยามที่เจ้าของทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว เอ๊ย ตัวเดียว
4 วันผ่านไป ไม่มีแล้วตักพี่วา ได้นอนอบอุ่น
ไม่มีแล้วแก้มพี่วาที่ฉันได้เคล้าคลอออดอ้อน
ไม่มีแล้วสายตาดุๆแต่ใจดีของพี่วา
พี่วาจะรุ้ไหม เจ้าตัวเล็กของพี่วาคิดถึงขนาดไหน
กลับมาเถอะพี่วา ต่อไปฉันจะไม่ซน
ไม่ป่ายปีนที่สูงๆให้พี่วาได้รำคาญใจอีกแล้ว
ต่อไปฉันจะยอมให้พี่วาดุ ยอมให้พี่วาทำตาเขียวใส่ก็ได้
ขอเพียงพี่วากลับมาเล่นกับฉันเหมือนเดิมนะ
อ่อ ลืมไปอีกข้อ ฉันก็จะไม่หาจิ้งจก แมลงสาปมาฝากพี่วาอีกต่อไปแล้ว
ฉันสัญญา.....ด้วยเกียรติ์ของลูกแมวตัวน้อยๆ
...............................
และแล้ว วันแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลง
ที่เก่า.. เวลาเดิม.. ประตูแห่งแสงสว่างได้ถูกไขดังขึ้นอีกครั้ง
ฉันยังคงนอนสงบนิ่งในมุมส่วนตัวของฉัน
ฮึ.. นี่คงถึงเวลาที่ป้าคนนั้นนำอาหารมาให้ฉันอีกแล้วซินะ
ฉันทำเพียงแค่ หรี่ตามองนิดหนึ่งแล้วนอนต่อ
" ตัวเล็กเอ้ย " หูฉันกระดิกรับ ไม่แน่ใจว่าใครเรียกฉันกันแน่
นิ่งเงียบ รอฟังอีกหน่อย เชอะ คงไม่ใช่พี่วาหรอก
พี่วาคงทิ้งฉันไปแล้วล่ะ พี่วาใจร้าย
" ตัวเล็กเอ้ย หนูอยู่ไหนคะ กลับมาแล้วน๊า "
หือ.. ฉันคงหิวจนตาลายได้ยินเป็นเสียงพี่วา
มองเห็นภาพลางๆเป็นพี่วามายืนตรงหน้าฉัน
แต่เอ.. พี่วาชอบเรียกฉันว่า หนูไปไหนคะ
หนูหิวไหมคะ พี่วาพูดบ่อยกับฉันนี่นา
ใช่..ต้องใช่พี่วาของฉันแน่ๆเลย
" เมี๊ยววววว....." ฉันขานรับ ตาโตด้วยความดีใจ
วิ่งเคล้าคลอพันแข้งพันขาให้วุ่นวาย
ฉันตะกายสองขาหน้าให้พี่วาอุ้มฉันอีกให้สมความคิดถึง
" มาตัวเล็ก อุ้มหน่อยฺซิ คิดถึงหนูจังเลยน๊า "
พี่วาพูดพลางก้มลงอุ้มฉัน กอดรัดซะแน่นเชียว
" ฮื่อ..ชื่นใจจัง กอดหน่อยๆ หอมแก้มด้วยๆ "
ฉันได้ที เอาแก้มของฉันไปเคลียคลอข้างแก้มพี่วา ฉันมีความสุขที่สุดเลย
ในที่สุด พี่วาก็กลับมา กลับมากอดฉัน อุ้มฉัน
หอมแก้ม เล่นกับฉันเหมือนเดิม
ฉันไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว
ฉันมองหน้าพี่วา จ้องลึกไปในดวงตาของเธอ เพื่ออยากสื่อความใน
อยากบอกพี่วาเหลือเกินว่า ถึงฉันจะเป็นเพียงแมวตัวเล็กๆ
แต่ฉันก็เป็นแมวที่มีหัวใจ เจ้าแมวตัวนี้คิดถึง โหยหาเจ้าของตลอดเวลา
ขอเพียงพี่วาอย่าทิ้งขว้างฉันไปอีกเลย แค่นี้ฉันก็สุขใจแล้ว
แต่ฉันเชื่อว่า พี่วารักฉันไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้เธอจะดุฉันไปนิดหรือทำตาเขียวไปหน่อย
แต่พี่วาก็รักฉัน อุ้มกอดฉันเล่นกับฉันเหมือนเดิม
อยากจะบอกว่า รักพี่วาจังเลย ฝากบอกพี่วาด้วยว่า
สัตว์ทุกตัวก็ต้องการการเอาใจใส่จากเจ้าของ
ไม่ใช่ว่า ดูแลให้ความสุขแค่ทางกาย
แต่เจ้าของบางคนอาจไม่ได้คิดถึงจิตใจของสัตว์เลี้ยง
ที่อยู่ในความดูแลในอุ้งมือท่าน
กรุณารักเราให้เหมือนคนในสมาชิกคนหนึ่งในบ้านของท่าน
แค่นี้พวกเราสี่ขาก็อบอุ่นใจแล้วล่ะค่ะ
...........................................................
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )
19 มกราคม 2552 01:04 น.
ฉางน้อย
" พี่เมี่ยง เร็วๆซิคะ เดี๋ยวไม่รอเลยนี่ แหมๆๆ "
เสียงยัยวาตะโกนเรียกพี่เมียงอยู่หน้าบ้าน
" มาแล้วๆจ้า ตกลงว่าไปไหนกันน่ะ แม่ไกด์สาวคนเก่ง " พี่เมี่ยงกระเซ้ายิหวา
" ก็พอดีว่า พี่ชายเค้าจะออกไปแถวหาดใกล้ๆนี่แหละคะ จะติดรถพี่เค้าไปซะหน่อย
ไปป่าวพี่เมี่ยง สวยน๊า หาดไม่ใหญ่แต่ก็สวยน่ะค่ะ "
" อ้าว แล้วขากลับล่ะวา เราจะกลับกันยังไง ? " พี่เมี่ยงสงสัย
" แหมๆๆ ก็ให้พี่ชายมารับซิ ใกล้ๆกันนี่เอง จะยากอะไร แหมๆๆ "
วาตอบพลางส่งค้อนให้นิดนุงเอ๊ย นิดหนึ่ง พองาม อิอิ
...................................
" อ้าว เฮ้ยๆ หาดทรายตรงนี้หายไปไหนหมดเนี่ยะ "
นั่นละ คำอุทานของวาเขาล่ะ อิอิ
" ทุกทีที่วามาแถวนี้น่ะนะพี่เมี่ยง หาดที่นี่จะมีน้ำทะเลเป็นสีคราม ท้องฟ้าใสเชียวล่ะคะ
แต่วันนี้ ทำไม วันนี้น้ำลดหายไปเยอะเลย
" โห กลายเป็นดินโคลนไปเลยนะเนี่ยะ เสียชื่อไกด์หมด แหะ..แหะ.." วา ไม่วายบ่นกะปอดกะแปด
" พี่เมี่ยง วาขอโทษนะคะ ทำให้พี่อดดูหาดสวย ฟ้าใส น้ำทะเลสีครามเลย "
วา มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย หน้าง้ำนิดๆเหมือนคนที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจต้องการ
(ความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ อิอิ )
วาก็บ่นๆร่ายยาวไปเรื่อย เพราะเธอคาดหวังไว้มาก
หวังจะได้ดูหาดทรายสวยๆเจ้าคลื่นลูกน้อยๆที่ถาโถมกระหน่ำซัดสาดเข้าสู่ชายฝั่งครั้งแล้วครั่งเล่า
เธอหวังจะได้เห็นสิ่งเดิมๆที่เธอเคยมาเล่นน้ำครั้งเก่าก่อน
สุดท้าย วาก็ถอนใจด้วยไม่รู้จะทำประการใดดี เฮ้อ.....
พี่เมี่ยงมองสีหน้าวาแล้วหัวเราะหึๆอย่างนึกขำนิดๆเมื่อเห็นใบหน้าที่งอง้ำนิดๆน่ารักหน่อยๆ อิอิ
" น่านะ ไม่เป็นไรหรอกวา พี่ไม่ได้ผิดหวังอะไรเลยสักนิดเดียว อย่าคิดมากซิ "
พี่เมี่ยงพูดปลอบใจวาพลางจับหัววาโยกเบาๆเหมือนผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กๆ อิอิ
" แต่การมาเที่ยวในครั้งนี้ ก็ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งนะวา เชื่อพี่ซิ "
" นั่นวา เห็นอะไรนั่นไหม เดินไปดูใกล้ๆดีกว่าไหม ? " พี่เมี่ยงพลางชี้นิ้วให้วามองตาม
พลางกึ่งลากกึ่งจูงไปยังสถานที่ข้างหน้า
" โห อะไรน่ะพี่เมี่ยง โคลนชัดๆเลย มีรากอไรไม่รุ้เต็มไปหมดเลย
ไม่เห็นมีอะไรน่าสนุกตรงไหนเลยนะ " วา แย้งพลางขืนตัวต้านแรงดึงของพี่เมี่ยง
" วา วาดูดีๆซิ นี่แหละธรรมชาติของป่าชายเลนละ ธรรมชาติแบบนี้มีอะไรให้วาศึกษา
มีอะไรให้วาได้สนุกๆเยอะแยะเลยนะวานะ " พี่เมี่ยงพูดอธิบายอย่างใจเย็น
พี่เมี่ยงพยายามอธิบายถึงความสำคัญของป่าชายเลนให้วาฟังอย่างไม่รู้เบื่อ
วาก็ฟังหูซ้าย ทะลุหูขวา ฟังมั่งไม่ฟังมั่ง อิอิ
บริเวณที่วาเห็นรอบๆตัวเธอนั้น เมื่อก่อนเป็นหาดทราย มีน้ำทะเลท่วมสูง
แต่บัดนี้ สิ่งที่วาเห็นตรงหน้าไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
สอบถามชาวบ้านละแวกนั้นได้ความว่า ธรรมชาติของหาดที่นี่เป็นอย่างงี้นี่เอง ฤดูนี้เป็นฤดูที่น้ำกำลังลด
น้ำทะเลก็ลดน้อยอย่างที่เห็น เมื่อน้ำทะเลลด พื้นที่ตรงนี้ก็กลับกลายเป็นผืนป่าชายเลน
มีต้นโกงกางเยอะแยะ มีรากของโกงกางพร้อมใจกันโผล่หน้าออกมาดูโลกภายนอก อิอิ
ต้องรอให้ถึงเดือน 12 ฤดูน้ำหลาก ถึงจะมีน้ำทะเลให้เล่นเต็มหาดเหมือนเดิม
วา ได้รับฟังสิ่งที่ชาวบ้านอธิบายให้ฟัง ก็ถึงกับบางอ้อ
" เป็นไรล่ะวา เข้าใจแล้วซิ เดี๋ยวหาอะไรสนุกๆให้วาทำดีกว่า " พี่เมี่ยงพูดพลางอมยิ้ม
พร้อมกลับสอดส่ายสายตาเหมือนหาอะไรบางสิ่งบางอย่างบนพื้นทรายแห่งนั้น
" อะไรล่ะพี่เมี่ยง " วาทำสีหน้าฉงน
" ก็วาดูดีๆซิ เห็นอะไรไหมน่ะ บนพื้นทราย? "
พี่เมี่ยงตอบโดยไม่ละสายตาจากพื้นทรายแห่งนั้น
" เฮ้ย.. แมงอะไรน่ะพี่เมี่ยง ทำไมวิ่งไวจัง แต่เอ.. เหมือนปูนะพี่เมี่ยงเนอะ "
วา มองตามสายตาพี่เมี่ยงยังพื้นทรายนั่น ประกายตาวับแววตื่นเต้นกว่าแรกเห็น
" นั่นละวา เขาเรียก ปูลม ล่ะ ตัวเขาจะนิดเดียว วิ่งไว เพรียวลม ที่มาของปูลมล่ะ "
" อ้าว .. แล้วนี่รอยอะไรน่ะพี่เมี่ยง เห็นลากเป็นทางยาวๆปรุๆๆบนพื้นทรายด้วย"
วา ยังคงตั้งคำถามต่อไปกับพี่เมี่ยงของเธอ
" รอยเท้าปูลมมั้งวา ลองสังเกตเวลาเขาวิ่งบนพื้นทรายซิ
เหมือนเขาวิ่งแล้วเอาเท้าเขี่ยๆลากไปบนพื้นทรายด้วยนี่ "
พี่เมี่ยงคำออกความเห็น แต่ยังไม่กล้าฟันธง หรือคอนเฟริ์ม อิอิ
" อ๋อ...ใช่ๆ ใช่จริงๆด้วยพี่เมี่ยง ดูซิน่ารักจังเลย " วาเผลอยิ้มกับเจ้าปูลมตัวน้อยๆ
นี่น่ะเหรอ ธรรมชาติป่าชายเลนน่ารักน่าสัมผัสอย่างงี้นี่เอง วาคิดในใจ
....................................
" วาๆ จุ๊ๆๆ.. อย่าเอ็ดไป ดูนี่ซิ เบาๆนะ " พี่เมี่ยงกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับยิหวาเบาๆ
พลางชี้ให้ดูสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งตรงหน้า
" อะไรน่ะพี่เมี่ยง ปลาเหรอคะ แต่ทำไมเดินได้ " วา แปลกใจกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้าอีกครั้ง
" เฮ้ยๆ .. พี่เมี่ยงดูซิ ทำไมปลาบินได้ด้วย "
วาตกใจเผลออุทานออกมาด้วยความเชยชิน เมื่อเห็นสิ่งนั้นลอยไปในอากาศ
ไม่มีเสียล่ะคนอย่างยิหวา ที่จะอุทานว๊ายๆ เหมือนคนอื่น นั่นซิผิดปกติสำหรับวา 55555
" ปลาตีนต่างหากล่ะวา ไม่ใช่ปลาบินได้หรอก " พี่เมี่ยงหัวเราะเบาๆด้วยความขบขัน
ก่อนที่จะอธิบายต่อ พร้อมๆกับสาวเท้าก้าวตามไปดูพฤติกรรมของเจ้าปลาตีนตัวนั้น
" ปลาที่วาเห็นน่ะ เขาเรียกว่า ปลาตีน เขาจะอาศัยตามป่าชายเลนที่มีต้นโกงกางเยอะๆ "
" วา เห็นอะไรไหม เขาจะเดินด้วยครีบเล็กๆข้างหน้า ทำให้ดูเหมือนปลามีขา "
" เวลาปลาตีนเขาตกใจนะ เขาก็แผล๊วไปได้ไกลๆ และก็สูงพอสมควร "
พี่เมี่ยงคำอธิบายอย่างผุ้รุ้ พี่เมี่ยงของยิหวาเก่งเสมอสำหรับเรื่องวิชาการ
แต่สำหรับวาแล้ว เก่งด้านวิชาเกิน อิอิ
" นั่นๆ วาดูๆ ปลาตัวนี้กำลังอารมณ์ดีด้วยนะ ดูดีๆซิ "
พี่เมี่ยงชี้นิ้วให้วาดูปลาอีกตัวหนึ่งที่ลื่นไถลตัวเองไปกับโคลนเลนข้างหน้า
เหมือนคนที่กำลังเล่นเจ๊ตสกี อิอิ
พี่เมี่ยงเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่ายิหวาเพราะแม้ว่าเขาจะเก่ง หรือ
ชำนาญด้านวิชาการ แต่เขาก็ไม่ค่อยมีโอกาสบ่อยมากนัก
ที่จะได้มาสัมผัสธรรมชาติป่าชายเลนได้ใกล้ชิดขนาดนี้
" แหมๆ ทำเป็นรุ้ดีนะคะพี่เมี่ยง " วา ไม่วายที่จะแหย่ แซวพี่เมี่ยง
" พี่ก็บอก พูดตามที่รุ้แหละวา .. แต่ก็เป็นธรรมชาติเรื่องจริงนะวา
หากปลาตีนอารมณ์ดี เขาจะเล่นกับพื้นโคลน ด้วยการสไลด์ตัวเองเล่นไปแบบนี้แหละ "
" เพราะปลาเหล่านี้ไม่ชอบอยุ่ใต้น้ำนะวา ถ้าเวลาน้ำขึ้นเยอะๆ
พวกเขาก็จะออกมาเกาะต้นไม้ หรือรากโกงกาง หรือไม่ก็อกมาเล่นน้ำเฉยๆ "
พี่เมี่ยงอธิบายซะยืดยาวทังๆที่ไม่ได้เป็นเจ้าถิ่น
ในขณะที่เจ้าถิ่นเองอย่างยิหวา พยักหน้าช้าๆอย่างนึกทึ่งคำอธิบายของพี่เมี่ยงคำ
" ปลาตีนตัวใหญ่ๆเขาเรียกว่า ปลากระจัง ลักษณะเด่นของปลาตีนก็คือ ตาจะโปนปูดบนหัว "
"อ่อ .. ป.ปลา ตาโปน อิอิ " วา อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความขำขัน
"แหมๆ เรื่องแบบนี้ละ วาเก่งนัก เนอะ " ไม่แน่ใจว่า พี่เมี่ยงแดกดันหรือประชด 5555
" อ่อ..ลืมถาม จะถามว่า ปลาตีนกินอะไรเป็นอาหารล่ะคะ ?" วาเริ่มสงสัย
" ฟิชซ่ามั้ง ฟิชซ่าหน้าแมวน้ำด้วยนะวา "
พี่เมี่ยงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยทำหน้าตายได้เนียนมากๆ อิอิ
... พลั่ก .. ได้ผลนี่แหละ ผลของการตอบยียวนนักล่ะ
มือน้อยๆแต่ทว่าหนักพอดูทุบกลางหลังพี่เมี่ยง อิอิ
" นี่แน่ะๆ อีกทีไหม ฟิชซ่าหน้าแมวน้ำ แหมๆ " คนทุบถามต่อ
" แหะ.. แหะ.. ล้อเล่นจ๊ะ ปลาตีนกินสาหร่าย ลูกกุ้ง ปลาตัวเล็กๆเป็นอาหารซิ "
" พอถึงฤดูผสมพันธ์ ปลาตีนตัวผู้จะมีสีที่ลำตัวเข้มขึ้นกว่าเดิม
เขาจะใช้ปากขุดหลุม โดยนำดินมากองวางบนปากหลุม
ความลึกของหลุมประมาณ 40-50 เซนมั้งวา ไม่แน่ใจประมาณนี้แหละ "
" ชาวบ้านเรียกกันง่ายๆว่า หลุมปลาตีน ไง เข้าใจยัง ? "
" เจ้าคะ คุณพี่... เล่าต่อๆ กำลังน่าสนุก " วาเร่งให้พี่เมี่ยงเล่าต่อด้วยความอยากรุ้
" จากนั้น ตัวผู้จะม้วนหาง เป็นมุมฉากกับลำตัว ยกครีบหลังเป็นรูปเรือใบ "
" แล้วกระโดดสูงๆ ราว 15 เซนติเมตร พี่เมี่ยงตอบพลางมองหน้าวาถามกลับ
" วา รุ้ไหม ปลาตีนตัวผู้ทำแบบนั้นเพื่ออะไร ?"
" ไม่ทราบคะ วาไม่ใช่ปลาตีน " วาตอบหน้าตาย
" อ้าว ก็เขาทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมียไง "
วาถึงบางอ้อ เมื่อพี่เมี่ยงเฉลย
" แล้วถ้าปลาตัวเมียสนใจ เขาก็จะยกครีบหลังตั้งขึ้นแล้วรี่เข้าใกล้ตัวผู้ "
" จากนั้นปลาสองตัวก็จะจูงมือ เอ๊ย จูงครีบ เดินกระหนุงกระหนิงลงหลุมไป "
" 5555 จริงหรือเล่นที่พี่พูดน่ะ " วา ยังสงสัย คิดว่าพี่เมี่ยงพุดเล่น
" เรื่องจริงซิ แหมๆ ล้อเล่นได้ไง " พี่เมี่ยงไม่ยอม
" เฮ้อ.. วานี่เป็นไกด์ที่ไม่ได้เรื่องเลย เนอะ " วาทำหน้าเศร้า รุ้สึกผิด
" อย่าคิดมาก วาเป็นคนในท้องถิ่นที่นี่ก็จริง แต่วาก็ไม่ได้เติบโตมากับธรรมชาติของที่นี่ นี่นา "
พี่เมี่ยงปลอบใจวาอีกครั้งที่เขาจับมือโยกหัวเหมือนเด็กคนหนึ่ง
" ธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่าในตัวของมันเอง เมื่อถึงกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป สิ่งแวดล้อมก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปด้วย "
" เขาถึงบอกไงล่ะวา ว่า ..ธรรมชาติอยู่ได้ถ้าไม่มีมนุษย์ แต่มนุษย์จะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมชาติ "
" ทำไมล่ะคะพี่เมี่ยง ? " วาเอ่ยถามพี่เมี่ยง
" ก็มนุษย์ชอบไง ชอบทำลายธรรมชาติน่ะซิวา โลกแปรเปลี่ยน อากาศแปรปรวนทุกวันนี้เพราะไม่ใช่ฝีมือมนุษย์หรอกหรือวา คิดซิ "
" อ๋อ.. วา เข้าใจแล้วค่ะพี่เมี่ยง ธรรมชาติอยุ่ได้ ถ้าไม่มีมนุษย์
แต่มนุษย์อยุ่ไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมชาติ "
วา ทวนคำพูดเหล่านั้นอย่างช้าๆราวกับให้คำพูดนั้นซึมซับเข้าไปในสมองของเธอ
" เข้าใจไหม ที่พี่บอกให้ฟัง ? " พี่เมี่ยง ถามยิหวา
" เข้าใจค๊า .. เจ้าคุณปู่ ...."
วา ยื่นหน้าลอยหน้าลอยตาตอบ พร้อมออกวิ่งหนีมะเหงกของเจ้าคุณปู่ เอ๊ย ของพี่เมี่ยงอย่างรู้ทัน
ทำให้พี่เมี่ยงตอบยิ้มขำๆกับความทะเล้นของยิหวา
ปูลมตัวหนึ่ง กำลังจะวิ่งลงรู กลับหยุดชะงักมองหน้าพี่เมี่ยงคำ
ราวกับสงสัยว่า เจ้าคุณปู่อมยิ้มอะไรกันน๊า อิอิ ........
.................................
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )
15 มกราคม 2552 01:05 น.
ฉางน้อย
ฮั่นแน่ะๆ.. งง กันล่ะซิคะ ว่า ยัยนี่ทำอะไรอีก
ริมรั้ว รอบบ้าน ชานเรือน ก็แค่คำสั้นๆ แต่มีความหมาย อิอิ
ริมรั้ว ..ก็หมายถึง สรรพสิ่งทุกอย่างที่อยุ่ริมรั้วต่างๆนาๆ
รอบบ้าน.. เอ อะไรบ้างน๊า ที่อยุ่รอบบ้าน ส่วนมากเป็นไม้ดอกซิคะ
ชานเรือน .. ก็คนไทยสมัยก่อนสร้างบ้านมักจะมีชานเรือนยื่นออกมา
แต่คนไทยเดี๋ยวนี้มักนิยมสร้างด้วยตึกหรือไม่ก็เป็นตึกแถว
เลยมักไม่ค่อยเห็ฯบ้านทรงไทยสมัยก่อนที่มีชานเรือนไว้ต้อนรับแขก
ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน
เฮ้อ.. เกริ่นมาซะนาน เข้าเรื่องดีกว่าคะ อิอิ
ไม่มีอะไรหรอกคะ จู่ๆความรุ้สึกคิดถึงบ้านก็มาเยือนในใจ
เลยหยิบปากาสมุดมาเขียนอะไรเล่นๆสักหน่อย พลางคิดได้ว่า
เราน่าจะลงรูปไว้ดูเล่นๆ เก็บไว้เป็นเรื่องราวประทับใจของเราดีกว่า
.....ก็แค่เนี๊ยะ แค่เนี๊ยะ จริงๆน๊า 55555
.............
4 มกราคม 2552 02:54 น.
ฉางน้อย
" วา ว่าไง ไหนมีโปรแกรมพาพี่ไปเที่ยวไหนละวันนี้น่ะ ? "
พี่เมี่ยงเอ่ยถามยิหวา หลังจากตั้งวงทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว
" มีซิพี่เมี่ยง วาคิดว่าจะพาไปเที่ยวดูเขื่อนเชี่ยวหลานน่ะ "
" ห๋า อะไรนะวา เขื่อนมู่หลานเหรอ มีด้วยเหรอ ชื่อนี้ ? " พี่เมี่ยงหูดี ได้ทุกเรื่องซิน่า
" เขาเรียกว่า เขื่อนเชื่ยวหลานต่างหาก เขื่อนรัชชประภานะ รู้จักไหมละ แหมๆ "
วา ตอบพี่เมี่ยง พลางค้อนประหลับประเหลือกกับคำว่า เขื่อนมู่หลานของพี่เมี่ยง
" อ่อ ก็พอจะรู้จัก แต่ไม่เคยได้ไปสัมผัสธรรมชาติจริงๆหรอกนะ รอวาพาไปนี่แหละ"
"พอเลย พอๆไม่ต้องมาอ้อน เดี๋ยวต้องดูก่อนว่าไปได้ไหม ดูฝนท่าทางจะตั้งเค้าลงมาหนักแน่เลย"
วา กับ พี่เมี่ยงยังคงโต้เถียงกันเป็นประจำ เป็นที่รู้กันดีของคนรอบข้าง
แต่ก็ได้แค่โต้เถียงอ้างเหตุผลของตัว ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงสักครั้ง อิอิ
วา หายไปราวๆ 5 นาที กลับมายิ้มหน้าบานยิ่งกว่าจานดาวเทียม
(อันนี้พี่เมี่ยงชอบว่ายิหวา)
" วา ว่าไง ไปได้ไหม เห็นเดินยิ้มมาซะแก้มบานเลย "
" ได้น่ะได้ แต่ว่า ต้องเอารถไปสองคันนะ แต่วาขอนั่งกะบะหลังนะพี่เมี่ยง "
" อ้าว ทำไมต้องนั่งกะบะหลัง อันตรายจะตายไปนะ นั่งกับพี่น่ะดีแล้วนะวา "
" ไม่หรอกคะพี่เมี่ยง วาเก่ง วาชำนาญคะ
วาแค่อยากเก็บภาพสวยๆระหว่างที่รถวิ่งผ่านด้วยคะ นะคะๆๆ"
" อีกอย่าง วาก็ห่วงพี่เมี่ยงด้วย พี่น่ะภูมิแพ้ด้วยนะคะ
พี่เมี่ยงนั่งหน้าน่ะดีแล้วคะ นะๆๆ อย่าเกเรซิน๊า คนดี๊ คนดี แหะ..แหะ.."
วาพูดพลางทำหน้าทะเล้นอย่างอดขำตัวเองไม่ได้ อิอิ
วา ดูเหมือนท่าทางจะรั้น แต่เธอก็มีเหตุผลที่เธอชอบ แน่นอนเกมส์นี้วาชนะอีกด้วยเหตุผลความรั้นอีกตามเคย 5555
เจอลูกอ้อนของยัยยิหวา พี่เมี่ยงเลยได้แต่(จำใจ)เงียบ
ระยะเวลาการเดินทางจากบ้านวาไปยังเขื่อนเชี่ยหลานนั้นใช้เวลาประมาณ
หนึ่งชั่วโมงกับอีกสามสิบนาที ก็นับว่าไกลพอสมควร
ซ้ำฝนก็เริ่มตกปรอยๆจนกระทั่งว่าคนที่นั่งหลังกะบะท้ายรถ
เปียกมะล่อกมะแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำ
พี่เมี่ยงห่วงยิหวา หันมามองด้านหลังบ่อยๆ แต่มีหรือคนอย่างวาจะท้อ
ขอให้ได้เที่ยว วายิ้มสดชื่นชูสองนิ้วให้ หนูสู้ตาย ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มตกกระหน่ำ
บ่อยครั้งที่พี่เมี่ยงให้คนขับหยุดจอดข้างทางเพื่อให้ยิหวาเข้าไปนั่งหน้าคู่กับเขา
แต่วาเปียกแล้ว เลยฝากกล้องไว้กับพี่เมี่ยงแล้วเธอก็ไปนั่งสนุกกับเพื่อนร่วมทางกันต่อไป
" เฮ้อ ถึงสักทีนะวา ไงละเรานะ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย สมน้ำหน้า อยากซ่าดีนัก "
พี่เมี่ยงลุกมาบิดซ้ายบิดขวา พลางสูดอากาศบริสุทธิ์ซะเต็มปอด
อ่ะนะ ไม่เห็นใจคนเปียกฝนยังจะสมน้ำหน้ากันอีก จำไว้เลย ฮึๆ
" วา สวยจังนะ สวยมากๆเลยล่ะ อยากมีบ้าน ที่รายล้อมด้วยสนามหญ้าแบบนี้บ้างจัง "
" อ้าว แล้วกันซิพี่เมี่ยง รู้จักกันมานาน เพิ่งมาชมคนกันเองว่า สวยจังๆ เค้าเขินนะ "
" บ้าน่ะ พี่ไม่ได้ชมวา พี่ชมธรรมชาติรอบตัวต่างหาก สวยมากๆ แหมๆ ยัยนี่ "
" วา ดูซิ สนามหญ้าก็กว้างใหญ่ เขียวขจี อากาศก็สดชื่น เฮ้อ ความสุขอยู่ที่นี่นี่เองเนอะวา "
" เฮ้อ พี่ชักจะหลงรักบรรยากาศเมืองใต้ซะแล้วซิ สวยมากๆ"
" พี่ๆ รักบรรยากาศเมืองใต้ แล้วไม่รักสาวใต้ด้วยสักคนเหรอพี่ 555 "
ใครบางคนพูดแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาของวากับพี่เมี่ยงคำ
แหมๆ มันน่านัก น่าเหยียบตาปลาคนพูดนักเชียว หารู้ไม่ เค้าเขินนะเฟ้ย อิอิ
...............................................................
" เขื่อนเชี่ยวหลานนี่นะพี่เมี่ยง เป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียว มีความสูงประมาณ 94 เมตร
มีความยาวของสันเขื่อนประมาณ 761 เมตร "
วา อธิบายให้พี่เมี่ยงฟัง พลางเดินชมวิวทิวทีศน์เหนืออ่างเก็บน้ำ
ฝนยังคงตกปรอยๆ แต่ก็มีผู้คนทยอยเข้ามาเยี่ยมชมกันเรื่อยๆอย่างไม่เกรงกลัวว่าฝนจะตกหนัก
สมาชิกคนอื่นๆในคณะของวา ตื่นตาตื่นใจส่งเสียงเจี้ยวจ๊าวด้วยความชอบใจ
ต่างพากันแยกตัวไปถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน
วาเองก็เช่นกัน กล้องถ่ายรูปตัวเล็กๆคล้องคอตลอดเวลา เตรียมพร้อมใช้งานได้ทันที
" อ่อ แล้วเขื่อนเชี่ยวหลานนี้นะ สร้างนานหรือยังล่ะวา ทำไมพี่ไม่ค่อยคุ้นหูเลยล่ะ หือ ? "
พี่เมี่ยงซักถามไกด์(จำเป็น)ด้วยความสงสัย
" สร้างนานแล้วนะพี่เมี่ยง ตั้งแต่สมัยวาเป็นเด็กๆแน่ะ ราวๆวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี2525 มั้งพี่เมี่ยง "
" เริ่มสร้างปี 2525 แล้วเสร็จสิ้นประมาณเดือนกันยายน ปี 2530 น่ะคะ "
พี่เมี่ยงได้แต่มองหน้าวาด้วยความทึ่ง แกมสงสัยว่า
คนอย่างยิหวาเป็นผู้รอบรู้ด้านวิชาการด้วยเหรอไงกัน
ได้แต่สงสัย แต่ไม่กล้าถาม วาก็รู้หรอกน่ะ อิอิ
" อืม.. วาก็เก่งนะ ด้านวิชาการ ใครว่ายิหวาของพี่เมี่ยงเก่งแต่เรื่องไร้สาระหน๊อ "
" นั่นซิ ใครหน๊อ ชอบประชดวา ว่าเป็นเด็กไร้สาระไปวันๆ ฮึๆ ใครหน๊อว่าเราเอาไว้ เนอะ "
" พอๆ พี่เมี่ยงน่ะพอเลยไม่ต้องมาประชดวาหรอก วารู้ แหมๆ วาก็บอกให้พี่ทราบเท่าที่วารู้หรอกน่ะ"
" เขื่อนเชี่ยวหลานน่ะ เป็นชื่อเรียกที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันตามสถานที่หมู่บ้านเดิมของเขา
คือเชี่ยวหลาน "
" แต่ชื่อเรียก อย่างเป็นทางการก็คือ เขื่อนรัชชประภา
ซึ่งเป็นนามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามนี้ให้มา..
" แล้วพี่เมี่ยงพอจะทราบความหมายไหมละว่า เขื่อนรัชชประภา มีความหมายว่าอย่างไร ?"
วา โยนคำถามย้อนกลับให้พี่เมี่ยงตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
" ไม่รู้ซิ พี่ไม่ได้เป็นเจ้าถิ่นเหมือนวานี่นา จะให้พี่รุ้ได้ไงล่ะ "
พี่เมี่ยงส่ายหน้าบอกไม่รู้
" ความหมายของคำว่า เขื่อนรัชชประภา ก็คือ แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร "
วา ตอบพลางยักคิ้วอย่างผู้ชนะ พี่เมี่ยงก็ได้แต่ถึงบางอ้อ
............................................................
" แล้วพี่เมี่ยงรู้ไหมว่า เขื่อนเชี่ยวหลานนะมีประโยชน์มากมายเลยนะคะ "
วา ยังคงติดปากกับคำว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน
" ไม่ว่า การบรรเทาอุทกภัย เขื่อนจะช่วยเก็บกักน้ำในฤดูฝนตกหนักๆได้เยอะเลย "
" หรือแม้แต่การประมง เพราะในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของเขื่อนที่นี่เป็นแหล่งการประมงน้ำจืดไงคะ
เป็นการสร้างรายได้ให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่งน่ะค่ะ "
" อ่อ พี่รู้แล้วละ พี่พอจะเข้าใจแล้ว วา เก่งนะตัวแค่นี้ พี่ยอมรับนะเนี่ยะ "
" ไม่หรอก พี่เมี่ยง วา บอกแล้วไง วาบอกเท่าที่วารู้วาทราบ
และแล้วก็จบแค่นี้ เท่าที่วารู้ แหะ..แหะ.."
ยิหวา หรือ วา กล่าวสรุปเอาดื้อๆ เธอเสไปพูดเรื่องอื่น
" พี่เมี่ยง ห้องน้ำชายอยู่ฝั่งโน้นนะ ข้างๆร้านขายของที่ระลึกนะ "
" เดี๋ยวซิวา แล้ว กุ้ยหลินเมืองไทย ล่ะ คืออะไร พี่ไม่เข้าใจ ไม่เห็นเลยนะ "
" อ่อ ใช่ๆ วาลืมไปได้ไงน๊า เอางี้ เดี๋ยววาชวนพี่เมี่ยงกับคณะของพวกเราไปลงเรือเลยดีกว่านะ "
" พี่เมี่ยงจะได้ยลโฉม กุ้ยหลินเมืองไทยว่าจะสวยงามเทียบกุ้ยหลินเมืองจีนได้หรือไม่ "
วา พูดก็เดินนำดุ่มๆไปยังท่าเทียบเรือในอ่างเก็บน้ำ
ก่อนลงเรือคณะของวาต้องใส่เสื้อชูชีพพร้อมทั้งต้อง
ฟังคำสั่งของนายท้ายเรืออย่างเคร่งครัด นั่นก็คือ ห้ามดื้อ ห้ามซนในเรืออย่างเด็ดขาด 55555
เรือสองลำลอยล่องชมวิวทิวทัศน์ในอ่างเก็บน้ำ
" อืม... สมคำเล่าลืมจริงๆนะวานะ กุ้ยหลินเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้จริงๆด้วยซิ "
" พี่ต้องขอบใจวานะ ที่ทำให้พี่เจอแต่สิ่งดีๆได้สัมผัสธรรมชาติที่งดงาม
แถมยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดก็ครานี้เอง
ธรรมชาติเมืองใต้ยังมีสิ่งดีๆหลงเหลืออยู่อีกเยอะนะนี่ พี่ไม่เคยรู้เลย "
พี่เมี่ยงพยายามพูดแข่งกับเสียงเครื่องเรือยนต์ที่ลุงใจดีคนหนึ่งเป็นนายท้ายให้เรา
กระนั้น พี่เมี่ยงก็บ่นเสียดายไม่ได้เตรียมตัวมาพักค้างคืนที่แพในอ่างเก็บน้ำ
สมาชิกบางคนบ่นเสียดายไม่ได้มาเล่นน้ำ
บางคนบ่นเสียดายไม่ได้มาตกปลาทั้งๆที่เตรียมคันเบ็ดมาแล้วนี่ซิ
วา ได้ให้ความหวังกับพวกเขาว่า ปีหน้าฟ้าใหม่ จะพามาอีกแน่นอน
ใครบางคน(อีกแล้ว)พูดแทรกขึ้นมาดังๆว่า ได้มาเที่ยวเขื่อน กุ้ยหลินเมืองไทยนี้
ก็นอนตายตาเหลือก เอ๊ย นอนตายตาหลับแล้วละ 55555
ทำให้คณะของพวกเราได้แต่หัวเราะขบขันกับคำพูดแปลกๆของเขาคนนั้น
สุขกาย สุขใจ สุขไหนจะเท่าธรรมชาติปักษ์ใต้บ้านเรา
เอ.. เคยได้ยินคำพูดที่ไหนน๊าว่า ธรรมชาติอยู่ได้ถ้าไม่มีนุษย์เบียดเบียน
แต่มนุษย์อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมชาติ คำกล่าวนี้เห็นท่าจะเป็นจริงแน่แท้เชียว
.....กุ้ยหลินเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ เขารอคอยการมาเยือนของคุณอยู่นะคะ.....
......................................
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะเ ล ไ ร้ ค ลื่ น )