6 กันยายน 2551 22:49 น.

ใครบางคน..ที่หายไป

ฉางน้อย

00384_36.jpgคุณเคยรู้จักใครสักคนไหม ?...

ใครบางคน...ที่บางครั้งทำตัวเหมือนเพื่อนหยอกล้อพูดคุยกัน

แต่ในบางเวลา..ชอบทำสายตาดุ ชี้แนะสิ่งถูกผิด..ราวกับพี่ชายที่แสนดี

ใครสักคน...ที่เคยฝันพร้อมฉัน...นอนดูดาวด้วยกัน...ใต้แสงจันทร์สว่างใส

หลากหลายเรื่องราว...ที่เราสองร่วมคิดร่วมฝัน.

ใครสักคน...ที่เราได้พูดคุยเรื่องไร้สาระ...บ้าๆบอๆด้วยกันมา 

ใครบางคน...เคยคุยกับฉันว่า...เขาเบื่อ...เบื่อที่ต้องอยู่ในกรอบ...

เบื่อที่ต้องอยู่ในกฎระเบียบที่วางไว้ ...เขาเลยลองออกมานอกกรอบดูบ้าง

ใครบางคน...ที่บ่นๆว่าเบื่อๆ...เบื่อที่ต้องมีชีวิตที่ซ้ำๆซากๆจำเจๆทุกวันๆ

ใครบางคน...ที่บ่นว่า เหนื่อย...ท้อ...ในเรื่องราวหลากหลาย...ที่ผ่านเข้ามา

ฉันคนนี้...ทำได้แค่...เป็นผู้รับฟัง...และนั่งอยู่เคียงข้าง...ยามเขาท้อ

ฉันคนนี้...อาจเป็นผู้รับฟังที่ดี...แต่ไม่ใช่ผู้ที่แก้ปัญหาได้ดีนัก

       แต่แล้ว...ณ.ช่วงเวลาหนึ่ง...ใครคนนั้นของฉัน..

ได้ห่างหายไปตามกาลเวลา...ไม่ได้เข้ามาทักทาย...พูดคุยเหมือนเก่า

อย่าเลยนะ...อย่าให้สองเรา...กลายเป็นคนแปลกหน้า...ของกันและกันเลย

     วันนี้...ใครคนนั้นของฉัน...อยุ่ที่ไหน...ทำอะไรอยู่... ?

เขาจะคิดถึงฉัน...เหมือนอย่างที่...เราเคยคิดถึงกันไหมหนา ?

     ใครคนนั้นของฉัน...เราไม่ได้เจอกันนาน...เท่าไหร่แล้ว

นานแค่ไหน...ที่ไม่ได้พูดคุย...หยอกล้อด้วยกัน

นานแค่ไหน...ที่เขา..ไม่ได้นั่งกินข้าวพร้อมฉัน 

นานแค่ไหน...ที่เราไม่ได้เดินดูหนังสือด้วยกัน

นานแค่ไหน...ที่เราไม่ได้สานสายใยสัมพันธ์..ความฝันนั่น

       จะให้ฉันรออีกนานไหม...อะไรที่เปลี่ยนไป

ใจเขา...เปลี่ยนไป...หรือ...อะไร...ที่เปลี่ยนแปลง

สังคมรอบกายเขา...เปลี่ยนไป...หรือ...หัวใจใครกัน...ที่เปลี่ยนแปลง

หรือว่า...ความสัมพันธ์ของเรา...เริ่มเก่าลง

       ตกลงว่า...เขาเปลี่ยนไป...หรือ..ใครกันแน่...ที่เปลี่ยนแปลง  

ฉันอยากถามเขา...ว่าเราสอง...ยังเหมือนเดิมไหม ?

ใจฉัน...จะเป็นอย่างไร...หากใจเขา...นั้นเปลี่ยนไป

      แล้วเขาล่ะ...อยากถามฉันบ้างไหม...ว่าฉันยังเหมือนเดิมหรือเปล่า

หรือว่า...ใจฉันเปลี่ยนแปลง...ไปบ้างไหมหนา

      ถามซิ...ฉันอยากตอบ...ฉันชอบ...ให้เขาถาม...

ฉันอยากเผย...เอ่ยความ...หลากหลายคำถาม...ที่เกิดขึ้นในใจ

อะไรกันแน่...ที่ทำให้เขาห่างหาย...ลางเลือน...เหมือนตายจากกัน

     บางครั้ง...ฉันอยากคิดว่า..."  ช่างเขาซิ...ช่างเขา...เราไม่เกี่ยว "

แต่ใจฉัน...ไม่เด็ดเดี่ยวพอ

ฉันไม่อยากให้เธออ้างว้าง

ไม่อยากให้เธอ...เป็น " คนไร้ร่าง " อีกต่อไป 

เขา...ยังมีฉัน...เป็นกำลังใจ

แล้วใคร...จะเป็นกำลังใจ...ให้ฉัน

อยากจะขอ...กำลังใจ...ให้กันและกัน

      มาเถอะ...คนไร้ร่าง ...ของฉัน

      มาสานสัมพันธ์...มาสานฝันด้วยกัน...ในวัน...ของสองเรา

          ..........    ..........     ..........     ..........     ..........

                    ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) 

00384_19.gif				
4 กันยายน 2551 01:23 น.

..นิทานหิ่งห้อยตัวน้อย..

ฉางน้อย

00472_0.jpg  " พี่เมี่ยง...ว่าไงคะ วันอาทิตย์นี้ว่างป่าว วาจะฟังนิทานหิ่งห้อยแล้วนะ รอมา 10 ชาติแล้วนะเนี่ยะ " เสียงวายังคงบ่นๆผ่านสายโทรศัพท์อีกแล้ว 

" ว่างซิ พี่ว่างกับวาเสมอแหละ พี่สัญญากับวาแล้วนี่น่า ว่าจะเล่านิทานหิ่งห้อยให้ฟัง โอเคนะ ที่เก่าเวลาเดิมจ้า .." เสียงพี่เมี่ยงตอบกลับมา ทำให้วาใจชื้นขึ้นมานิดนึง

  คราวนี้แหละยัยวาเอ๋ย นิทานหิ่งห้อยที่รอคอย จะสนุกดั่งคำคุยสักแค่ไหนเชียว พี่เมี่ยงหนอพี่เมี่ยง 

     ณ.ที่เก่าเวลาเดิมของเขาและเธอ ชายหนุ่มนามว่าเมี่ยงคำ ตัวก็ไม่ดำเหมือนเมี่ยง กะหญิงสาวนามน่ารัก น่าหยิก ..น่าเหยียบ ที่ชื่อยิหวา หรือ วา .. อิอิ แหวะๆ แบร่ๆ

 หลังจากวาช่วยถือของกินเล่นจากชายหนุ่มแล้ว ทั้งสองก็เดินหาที่นั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ม้านั่งคู่ ใกล้ๆต้นลำพูตันสุดท้ายในกรุงเทพฯ 

 ใช่แล้ว..ทั้งสองมานั่งเล่นพักผ่อนที่ สวนสันติชัยปราการอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ชายหนุ่มรับปากกับยิหวา ว่าจะเล่านิทานใต้แสงจันทร์ ตอน เรื่องของหิ่งห้อย ให้เธอฟัง 

 การมาพักผ่อนในครั้งนี้ ดูเหมือนวาจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ 

" ว่าไง พี่เมี่ยง หิ่งห้อยมีที่มายังไงคะ " วา เริ่มรุกเอากับพี่เมี่ยงของเธอ ด้วยความอยากรู้ อยากได้ยินเรื่องราวของหิ่งห้อย

 
"  อืม..รู้แล้ว ตั้งใจฟังดีๆ อย่ากวน อย่าซน อย่างอแง เข้าใจไหม " ชายหนุ่มเริ่มกระเซ้าเย้าแหย่ ยัยวา 

"  รู้แล้วน่ะ ทำเป็นบ่นยังไม่แก่สักหน่อย " 

" ก็อยากแก่เร็วๆนี่นา ได้ข่าวว่ามีใครบางคนแถวนี้ ชอบคนแก่นี่นา 555 "

    วา หันมองหน้าพี่เมี่ยงตาเขียวมีผลทำให้ชายหนุ่มหยุดคำพูดนั้นในทันที...

    "     กาลครั้งหนึ่งนานแค่ไหนพี่ไม่รู้นะวา หิ่งห้อยตัวน้อยกับต้นลำพูเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กจนโตมาด้วยกัน  อ่อ ..พี่ลืมบอกไปจ๊ะ ว่า หิ่งห้อยแทนสัญลักษณ์ของผู้หญิง ส่วนต้นลำพูแทนสัญลักษณ์ของผู้ชาย

    ทั้งหิ่งห้อยและเจ้าลำพูต่างเติบโตมาด้วยกัน ความน่ารัก ขี้เล่น เป็นกันเองของหิ่งห้อยนั้นทำให้ลำพูแอบชื่นชมหิ่งห้อยอยู่ในใจ

 ความสนิทสนมของพวกเขาทั้งสอง ต่างซึมซับความรู้สึกที่ดีๆให้แก่กันทีละนิดๆ

ส่วนเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยๆนั้น ก็รับรุ้สัมผัสความอ่อนโยน อ่อนไหวที่มีในใจของเจ้าหนุ่มลำพู...."

    "   แต่แล้ววันหนึ่งนะวา ...วันหนึ่ง..แค่ก..แค่ก.. เฮ้อ..วา พี่คอแห้งจัง หิวน้ำน่ะ หาน้ำให้พี่กินก่อนซิ " 

"  โห .. เล่าให้จบก่อน วากำลังอยากฟัง เล่ามาๆๆ " วาเริ่มเคืองนิดๆ เพราะเธอกำลังใจจดใจจ่อรอฟังนิทานที่เธอรอมานานแสนนาน

" กินน้ำก่อนไม่ได้หรือไง พี่เจ็บคอนะ จะฟังต่อไหม "  พี่เมี่ยงยื่นไม้ตายกับวา เขาถามพร้อมกับทำสายตาเจ้าเล่ห์

"  ฟังๆๆ อ่ะๆ นี่ๆ พี่เมี่ยง น้ำอยุ่นี่คะ เดี๋ยววาหยิบให้ "  วาเอาใจเต็มที่ มือก็ควานหาขวดน้ำโพลาริสในกระเป๋าเป้ของเธอส่งให้พี่เมี่ยงแต่โดยดี นั่นทำให้ชายหนุ่มแอบยิ้มขำๆ 

        " แต่แล้ววันหนึ่ง วากับพี่ เอ๊ย หิ่งห้อยกับต้นลำพูทะเลาะกันอย่างรุนแรง หิ่งห้อยเข้าใจผิด คิดว่าต้นลำพูเปลี่ยนใจไปรักแม่สาวโกงกาง  "

     หิ่งห้อยตัวน้อยๆร้องไห้เสียใจมากมาย เธอบินหนีจากทั้งสองมา เธอแอบซุกตัวร้องไห้ในพงหญ้า จนกระทั่งมืดดึกดื่น เธอหาทางกลับบ้านไม่เจอ เธอแหงนมองไปบนฟ้า พบเจ้าดวงจันทร์ดวงโตๆแสงสีนวลสวยสว่างตา 
เธออยากมีแสงสว่างแบบนั้นบ้าง จึงพยายามบินติดตามหาดวงจันทร์ดวงนั้นไปเรื่อยๆ จากคืนเป็นวัน จากวันเป็นหลายวัน หลายคืน กลายเป็นเดือน เธอเริ่มได้คิดว่า จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ อย่าไปไขว่คว้า ในสิ่งที่ตัวเองคว้าไม่ถึง " พี่เมี่ยงกำลังจะเล่าต่อ วาสะกิดแขนยิกๆ 

 "  พี่เมี่ยง วาถามไรนิดดิ นิ๊ดดดเดียวจริงๆ " วาพูดพลางทำมือประกอบ โดยเอาหัวแม่โป้งชนกับปลายนิ้วก้อย เพื่อยืนยันว่า นิ๊ดดดเดียวจริงๆ อิอิ 

"  อืม.ว่ามา มีอะไรสงสัย ถามได้ " พี่เมี่ยงคำนั่งเต๊ะท่า วางมาดน่าผลักตกเก้าอี้ หุหุ

"  อะไร คือ กุงเกง ล่ะพี่เมี่ยง " วา ถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย

" โกงกาง จ๊ะ ไม่ใช่ กุงเกงของวาหรอก โกงกางเป็นต้นไม้ใหญ่รากเยอะแยะ ที่มักขึ้นคู่กันกับต้นลำพูเสมอๆน่ะ แต่ก็ไม่เสมอไปหรอกนะ วา  " ชายหนุ่มตอบข้อสงสัยของวา 

" อ่อ ..ค่ะ เล่าต่อคะ กำลังน่าสนใจ " 

" กินขนมกันก่อนไหม กินน้ำด้วย เริ่มคอแห้งอีกแล้วซิ วาป้อนน้ำ ป้อนขนมให้พี่ด้วยซิ " มุกเดิมโดนยิงมาอีกหนึ่งหมัด แต่วารุ้ทัน

" โห ..พี่เมี่ยง ไม่ต้องเลยๆ ทีเมื่อกี้ทำไมกินเองได้ ทีงี้ละ แหมๆ ต้องให้ป้อน " 

"  วาไม่ฟังใช่ไหม งั้น ฟังต่ออาทิตย์หน้าแล้วกัน เนอะ ดีไหมเนี่ยะ หือ "

" อ่ะๆ..ก็ได้ๆๆ จำใจป้อนนะเนี่ยะ ฮึ.." วามองค้อนตาปะหลับปะเหลือก ดีนะที่ชายหนุ่มไม่ส่งตะปูให้ 

 " พี่เมี่ยงๆ แล้วลำพู เขาไม่คิดถึงวา เอ๊ย ไม่คิดถึงหิ่งห้อยบ้างหรือคะ " 

" อย่าเพิ่งแทรกซิ ผู้ใหญ่กำลังจะเล่าต่อเนี่ยะ เด็กๆอย่าเพิ่งแทรก "

"  อ่อ ค่ะ.. วา คิดว่า เป็นกำนัน .." วา ก็ได้แค่พึมพัมๆกับตัวเอง แต่จงใจให้ชายหนุ่มได้ยินด้วย อิอิ 

  " โอเคจ๊ะ พี่อิ่มแล้วละ ฟังต่อนะ ...ส่วนเจ้าต้นลำพูนั้นมีทั้งความรัก ความคิดถึงเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยๆของเขาอย่างที่สุด แต่เขาก็ไม่สามารถออกเดินทางติดตามหาเธอได้ เพราะสาวเจ้านามว่า โกงกางนั้นได้แผ่รากขยายยึดต้นลำพูไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยความรักที่เธอมีต่อต้นลำพูเช่นกัน "

" โห..ต้นโกงกางจอมขี้โกง เค้าไม่รักตัว ยังจะไปแย่งของคนอื่นมาอีก เนอะพี่เมี่ยง เนอะ "  วา อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา

"  ถ้าเป็นวานะ หากว่าเขาไม่รักวา วาก็จะไม่ไปยุ่ง ไม่ไปสนใจเขาเลย วาจะหนีสุดชีวิตแหละ ไม่ทำเหมือนโกงกางหรอก วาอาจยึดตัวเขาไว้ได้ แต่ถ้าหัวใจเขาไปอยู่กับคนอื่น ทั้งวา ทั้งเขาคงไม่มีความสุขหรอก จริงไหมคะ "  วาพูดด้วยสีหน้าและท่าทางที่จริงจังมาก

"  แหม..เรานี่ พูดดีๆ มีเหตุผลเหมือนคนอื่นเขาก็เป็นหรือนี่ เก่งแฮะ.."

"  เอ๋อ..พี่คะ พี่ด่าหรือชม วา ล่ะคะ ฟังหิ่งห้อยต่อ เร็วๆ อย่านอกเรื่องคะ "

 " จ๊ะๆ ..เล่าต่อก็ได้จ๊ะ.. สาวโกงกางนั้น รู้ทั้งรู้ว่า หนุ่มลำพู ไม่เคยมีความรัก  ไม่เคยมีใจให้เธอเลยสักนิด แต่เธอก็ไม่ยอมให้ลำพูออกติดตามหาหิ่งห้อย เธอยังคงดื้อดึงแผ่รากขยายเกาะต้นลำพูออกไปทุกทีๆ

 จนในที่สุด ลำพูไม่สามารถขยับไปไหนได้ เขาทำได้เพียงยืนต้นอยู่อย่างงั้น พร้อมกับร่ำร้องอธิษฐานในใจให้หิ่งห้อยกลับมาหาเขาไวๆ

     เหมือนหิ่งห้อยตัวน้อยจะรับรู้สื่อสัมผัสทางใจที่ลำพูส่งถึงเธอ เธอเริ่มสำนึกผิด เริ่มคิดถึงต้นลำพู เธอเริ่มออกเดินทางกลับไปหาต้นลำพู เธอบินๆๆๆ แล้วก็บินเพื่อหวังพบหน้าลำพูยอดรักของเธอโดยเร็วไวที่สุด 

แต่เรี่ยวแรง กำลังที่เคยมีอยู่ในตัวเธอเริ่มหมด แสงสว่างที่เคยเจิดจ้าส่องนำทางให้เธอเริ่มอ่อนล้า เธอเริ่มกระพริบแสงในตัวเองได้ช้าลงๆๆ

     แต่ในที่สุด หิ่งห้อยตัวน้อยกลับมาสู่อ้อมกอดของต้นลำพูได้สำเร็จ แต่การกลับมาของเธอในครั้งนี้ เธอกลับมาพร้อมกับหัวใจที่บอบช้ำ เธอกลับมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนล้า และ ที่สำคัญ ..หิ่งห้อย เธอไม่สามารถส่องแสงสว่างได้เป็นระยะเวลานานๆ ได้เหมือนดั่งเดิมอีกแล้ว
 เธอทำได้แค่ส่องแสงกระพริบๆเป็นระยะสั้นๆแค่นั้นเอง และเธอก็บินไปไหน ไม่ได้ไกลๆเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว เธอทำได้แค่ เกาะต้นลำพูนิ่งๆอยุ่อย่างนั้น นั่นเอง ...เหมือนเป็นสัญญาว่า ต่อไปนี้ หิ่งห้อยจะไม่หนีไปไหนอีก ทั้งหิ่งห้อยกับต้นลำพูจะเคียงคู่อยุ่ด้วยกันตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์...."

    " ไงล่ะวา..นิทานหิ่งห้อยของพี่ เศร้าไหม หือ..? " ชายหนุ่มถาม เมื่อเห็นว่า วายังคงนั่งนิ่งๆ ฟังเงียบๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรในใจ

" ค่ะ พี่เมี่ยง เศร้าจัง วาสงสารหิ่งห้อยตัวนั้นจังค่ะพี่เมี่ยง "  วาพูดพลางเขย่าแขนชายหนุ่มด้วยความลืมตัว 

"  น่า.. คิดมากไปได้ ก็แค่นิทานของพี่เมี่ยงคำไงจ๊ะ " พี่เมี่ยงคำ พูดพลางจับหัววาโขก เอ๊ย โยกไปมาเบาๆด้วยความเอ็นดู

" อืม.. เพิ่งรุ้นะเนี่ยะ คนอย่างวา จะอ่อนไหว อ่อนโยนเหมือนคนอื่นเขาด้วย " ชายหนุ่มเริ่มแซวเพื่อดึงบรรยากาศเดิมๆกลับมา

" อ๊าววว.. วา ก็เป็นคนนี่นา ไม่ใช่แมวน๊า "  ได้ผลแฮะ ชายหนุ่มคิดในใจ วาคนเดิมกลับมาแล้ว อิอิ

   " พี่เมียง วาอยากเป็นหิ่งห้อยจัง ให้พี่เป็นต้นลำพูดีไหม วาจะได้อยู่คู่กับพี่ตลอดไป " วาพูดเปรยๆเสียงแผ่วเบา แต่ทำให้คู่สนทนาสะดุ้งพรวดแทบสำลักน้ำที่เขากำลังยกขึ้นดื่ม 

" อะไรนะ..วาอยากเป็นหิ่งห้อย ไม่ดีหรอกวา พี่ไม่อยากให้วาเป็นหิ่งห้อยนะ เพราะหิ่งห้อยมีอายุขัยแค่ 2 เดือนเองนะ หรือว่า วาไม่อยากอยู่กับพี่นานๆล่ะ " ชายหนุ่มเริ่มจริงจังขึ้นมาบ้าง อิอิ

" เปล่านะคะ วาอยากอยู่กับพี่นานๆ แต่วา แค่เห็นว่าหิ่งห้อยน่ารักดีน่ะค่ะ  งั้นวาไม่อยากเป็นหิ่งห้อยก็ได้ค่ะ "

" แล้ววาอยากเป็นอะไรล่ะจ๊ะ ? " หนุ่มเมี่ยงคำย้อนถาม

" ให้วาเป็นอะไรก็ได้ ที่อยุ่คู่กับพี่ตลอดไป " ( นั่นละ คำหวานๆของวาเค้าล่ะ อิอิ )

" จ้า..ทำปากหวานนัก สักวันจะโดน ทีงี้ทำปากดีนะ อย่าเผลอล่ะ " 

" โดนอะไร ..ไม่เห็นกลัว อย่าทำขู่ซะให้ยาก..เชอะ "  วาพูดพลางทำหน้าเขียว เอ๊ย ตาเขียว เชิดหน้าใส่พี่เมี่ยงคำ อิอิ

 
" วาไม่เป็นหิ่งห้อยน่ะดีแล้ว พี่กลัววาไม่อิ่ม เพราะอะไรรู้ไหม ? "

" ทำไมคะพี่เมี่ยง เพราะอะไรคะ ? "

"  เพราะหิ่งห้อยกินแต่น้ำค้างที่เกาะบนใบไม้ที่ต้นลำพูน่ะซิ วากินจุนี่นา 55555..."

" ก็ตัวเองแหละ ชอบตักกับข้าวมาใส่จานเค้าเยอะๆนี่ แล้วจะมาบังคับทำไมให้เค้ากินเยอะๆทำไมล่ะ รุ้อยู่ เค้าอิ่มนี่.."

 เสียงของทั้งสองคนยังโต้เถียงกันยังไม่หยุด ทำให้นกเอี้ยงแถวนั้นรำคาญ แต่วันนี้ไม่มียกพวกตีกัน มีแต่เขม่นกันเฉยๆ 555555 บ้างก็พกหนังกะติ๊ก บ้างก็เหน็บมีดสปาต้าที่เอว บ้างก็มีปืนปากกาซุกข้างหลัง 5555(นกเอี้ยงเหล่านี้มาจากภาคที1สวนขวัญ สันติชัยปราการ อิอิ )

 " อ่อ พี่ลืมบอกไปว่า หิ่งห้อยที่เกาะบนต้นลำพูส่วนมากเป็นหิ่งห้อยตัวเมียนะ จะมีช่วงท้องแค่ปล้องเดียว กระพริบแสงได้ระยะสั้นๆถี่ๆ ส่วนตัวที่บินได้ไกลๆน่ะ เป็นตัวผู้ จะมีลำตัวช่วงท้องแค่สองปล้อง กระพริบแสงได้ยาวๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมียจ๊ะ หากตัวเมียมีไมตรีที่ดีให้ ก็จะกระพริบแสงตอบ เข้าใจยังเนี่ยะ ที่พูดมาน่ะ "

"  โห ..พี่เมี่ยงรุ้เรื่องราวเยอะแยะจัง วาอยากเห็นหิ่งห้อยตอนคืนเดือนมืดจัง คงกระพริบๆระยิบระยับไปหมด เนอะ .." 

" อืม..ไว้สักวัน พี่จะพาวาไปเที่ยวริมคลองนะ มีหิ่งห้อยเยอะแยะไปหมด นับแสนๆตัว แถวอัมพวาน่ะ อยากไปไหมล่ะ  แต่ต้องไปดูตอนเดือนมืดนะ จะเห็นแสงไฟจากหิ่งห้อยได้ถนัดๆ ไว้รอให้พี่เคลียร์งานให้เรียบร้อยก่อนนะ ว่างจะพาไป"  

" เย้... พี่เมี่ยงใจดีที่สุดในโลกเล๊ยยย...จริงๆนะคะ ห้ามผิดสัญญาอีกน๊า ห้ามให้วารอนานด้วย "  วาพูดด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับเขย่าแขนพี่เมียงคำผู้ใจดีของเธอแรงๆสองสามครั้งด้วยความลืมตัว 

"  พี่พาไปจริงๆซิ ถ้าวาไม่ดื้อ ไม่ซนไม่งอแง ช่วยพี่ๆที่บ้านทำงาน ไม่ทำบ้านรก ดูแลห้องตัวเองดีๆด้วย ห้ามเอาขนมไปกินในห้องด้วย ทำได้ไหม หือ ? "

"  โห ..ข้อตกลงเยอะแยะไปหมดนะเนี่ยะ แหมๆๆๆ " วา โอดครวญขอความเห็นใจ อิอิ 

"  โอเค..จ๊ะ พี่ล้อเล่น ไว้ว่างนะ พี่พาไป  ตอนนี้กลับบ้านก่อน ไป เดี๋ยวพี่ไปส่ง "

" ค่ะพี่ ขอบคุณค่ะ สำหรับนิทานใต้แสงจันทร์ หิ่งห้อยตัวน้อย ขอบคุณสำหรับคำสัญญารับปากจะพาไปดูหิ่งห้อยนะคะ อย่าลืมๆๆ "

   เย็นนั้น วากลับบ้านด้วยความสุขใจที่ได้ฟังนิทานหิ่งห้อยของพี่เมี่ยง พร้อมกันนั้น เธอคิดว่า ต่อไปนี้จะไม่จับหิ่งห้อยใส่ขวดแก้วอีก เพราะวาก็เคยอ่านเจอในหนังสือที่เขาบอกว่า สมัยก่อนคนญี่ปุ่นจะจับหิ่งห้อยใส่ขวดแก้วเพื่ออาศัยแสงสว่างจากตัวหิ่งห้อย 

 หิ่งห้อยจ๋า อโหสิกรรมให้วาด้วยนะ ที่ผ่านๆมา วาไม่ตั้งใจอ่ะ ทั้งวจีกรรม มโนกรรม ทั้งกายกรรม(เปียงยาง )

     เฮ้อ ไปดีกว่า ง่วงนอนๆๆๆ จบแระค๊า อิอิ 

 .....     .....     .....     .....     .....     .....     .....     .....

ปล...ติดตามอ่าน นิทานหิ่งห้อย (ภาค 2) 

โดย พี่ฤทธิ์ ศรีดวง ได้ที่นี่ค่ะ ....

 http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story9558.html 				
25 สิงหาคม 2551 03:58 น.

สวนขวัญ..สันติชัยปราการ

ฉางน้อย

00384_26.jpg" สวัสดี สะวีดัดเจ้าคะพี่เมี่ยงคำ " วา หรือ ยิหวาส่งเสียงผ่านสายออกไปหลังดูเบอร์ที่โชว์หน้าจอโทรศัพท์

" อืม..วา นี่พี่เองนะ พอดีว่าวันนี้พี่ติดงานด่วนจ๊ะ พี่คงพาวาไปเดินเที่ยวซื้อเสื้อผ้าที่ประตูน้ำไม่ได้แล้วล่ะนะ " พี่เมี่ยงของวา กรอกเสียงตามสายผ่านมา

" เอาอีกแล้วน๊า พี่เมี่ยงน่ะ  ชอบผิดสัญญาเรื่อยเลย เป็นงี้ทุกทีเลยน๊า วันหยุดก็ไม่ว่างเลยเหรอคะ "

" โอเคๆ..เย็นนี้พี่สัญญาว่าจะพาไปนั่งในสวนดีกว่า ดีไหม ?

สวนสาธารณะสันติชัยปราการน่ะ  พี่จะพาวา ไปดูต้นลำพูต้นสุดท้ายในกรุงเทพฯด้วยดีป่ะ  มีหิ่งห้อยด้วยน๊า จะบอกให้.."

" เชอะ ..ไม่ต้องเอาเจ้าตัวหิ่งห้อยมาล่อวาเลย วางอนพี่แล้วด้วย ฮึ"

" น่า นะๆ วาคนดี อย่างอนนะ พี่จะเล่านิทานหิ่งห้อยให้วาฟังด้วยดีป่าว อย่างอนน๊าคนดี๊ คนดีของพี่ " พี่เมี่ยงคำของวาหลอกล่อ เอ๊ย งอนง้อเต็มที่ อิอิ

" อ่ะ..ก็ได้ๆๆ ก่อนไปสวนฯ แวะกินไอติมด้วยแล้วกัน ที่เซเว่นเซ่นอ่ะ  อยากผิดสัญญาดีนัก วารอพี่ที่เดิมนะคะ " วา แอบยิ้มในหน้าทำตาโตด้วยความดีใจ เพราะพี่เมี่ยงของเธอสัญญาเอาไว้นานแล้วว่า จะเล่านิทานหิ่งห้อยให้ฟัง แต่ไม่มีโอกาสสักครั้ง 

เฮ้อ..ที่จริงเรื่องไปเดินซื้อเสื้อผ้าที่ประตูน้ำน่ะ วาก็เลือกไม่ค่อยเป็นกะเขาด้วยซิ นอกจากเดินตาม(กวนใจ)พี่เมี่ยงเฉยๆ เผลอๆพี่เมี่ยงของเธอซิ ต้องทั้งลาก ทั้งจูงวาเพื่อให้วาเดินตามทันเขา เพราะวา มักหยุดเถลไถลบ่อยตามสองข้างทาง ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ตามประสา

เฮ้อ..(อีกที)..วาคิดแล้วก็ขำตัวเอง ทั้งๆที่ไม่ใช่เด็กๆ แต่พี่เมี่ยงก็ชอบบังคับให้กินข้าวเยอะๆ บังคับให้กินผัก ผลไม้เยอะๆ พี่เมี่ยงไม่รู้หรอกหรือว่า วาน่ะ ไม่ค่อยชอบกินผัก แต่ผลไม้น่ะพอไหว อิอิ 

" เป็นไง วา อิ่มไหม ไอติมที่เซเว่นเมื่อกี้น่ะ  ถ้วยโตๆแล้วอย่าบอกว่าไม่อิ่มนะ  อะไรจะท้องยักษ์ท้องมารขนาดนั้น"  พี่เมี่ยงเอ่ยถามวา หลังจากลงรถเมล์สาย 53 เพื่อเดินเข้าสวนแห่งนี้

" อิ่มเกินกว่าคำว่าอิ่ม พี่แหละ ชอบตักให้วาเยอะๆๆ  จุกด้วย เห็นไหมเนี่ย เดินพุงกลมดุ๊กดิ๊กๆเป็นนกเพนกวินแระ เห็นป่าว อายเขานะ " วา มองค้อน พลางตอบออกไป(ดีนะที่พี่เมี่ยงไม่ส่งตะปูให้ อิอิ )

" ไม่หรอก พี่กลัววาไม่อิ่มต่างหาก วาไม่อิ่มแล้วชอบงอน เวลาวางอนเหมือนคนอื่นซะที่ไหน ชอบฟาดงวง ฟาดงาไปทั่ว " 

" แน๊... เรื่องไรมาว่าเค้าเป็นแมว ฟาดงวงงาน่ะ เค้าไม่ใช่แมวน๊า "  วาแย้งออกไป

" อ้าว เหรอ พี่คิดว่าใช่...5555" พี่เมี่ยงหัวเราะด้วยความสะใจ

" แหม.. พี่เมี่ยงน่ะ ชอบกัดวาอยุ่เรื่อย " สองคนยังคงถกเถียง พลางสอดส่ายสายตามองหาม้านั่งที่ว่างๆในสวน

" อ๊าววว... แล้วกัน วา  หาว่าพี่เป็นแมวเหรอ  "

" อ้าว เหรอ วาคิดว่า ใช่ .."  ทั้งสองต่างไม่ยอม มีการเอาคืนอีกด้วยแฮะ..

" โน่นไงมีม้ายาวๆสีเขียวว่างอยู่ ไปนั่งตรงนั้นดีกว่านะวานะ  จะได้เห็นวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย สวยนะ ขอบอก " พี่เมี่ยง เดินนำวา พลางก็คุยไปเรื่อยเปื่อย วาก็ไม่ลืมที่จะหอบหิ้วขนมติดไม้ติดมือไปด้วย ขนม นม เนย เพียบ อิอิ

" เฮ้ออออ... ปลอดโปร่ง โล่งใจดีจัง เนอะพี่เมี่ยงเนอะ เหมือนวาหายใจได้เต็มที่เต็มปอดเลยนะเนี่ยะ  นี่หรือเปล่า ที่เขาเรียกว่า ปอดของคนเมือง  เนอะ พี่เมี่ยงรู้สึกอย่างวาไหม เนี่ยะ "

" อืม.. เพราะเหตุนี้ไง พี่ถึงอยากพาวามาที่นี่ มากกว่าไปเดินแถวประตูน้ำน่ะ "

" วา อ้าปาก งับอากาศ กักตุนไว้ในปอดเยอะๆละ แถวบ้านหายากไม่ใช่เหรอ 555"

"  แหมๆ พี่เมี่ยงล่ะก็ วาไม่ใช่ปลาหมอนะ จะได้อ้าปากหายใจน่ะ "


          แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆสาดส่องไปทั่วผิวน้ำเจ้าพระยาทำให้เกิดระลอกคลื่นระยิบระยับตา โน่น..นกพิราบ   3 - 4 ตัวพากินบินลงมาหากินแถวร่มไม้ใกล้ๆ นั่นอีก..นกเอี้ยงมากันเป็นคู่ สักพักก็ทะเลาะถกเถียงกันด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบ ถึงได้ยกพวกตีกันราวกับกลุ่มนักเรียนอาชีวะยกพวกตีกันยังไงยังไง อิอิ 

" พี่เมี่ยงๆ นั่นสะพานอะไรน่ะ สวยจังเลย เนอะ " ชายหนุ่มมองตามปลายนิ้วมือที่วาชี้

" นั่นล่ะ เขาเรียกว่า สะพานพระราม 8  ล่ะ วาว่า สวยไหมล่ะ หือ "  พี่เมี่ยงตอบพลางย้อนถามวา

"  ค่ะ ..สวยคะ .. " วา ตอบรับ แต่คำตอบรับของเธอ ทำให้ชายหนุ่มต้องเอี้ยวคอเหลียวมองหน้าวา อีกรอบ

" แน่ะ.. เราน่ะ พูดเพราะๆ คะ ขา เป็นกะเขาด้วยหรือนี่  เก่งนี่ แน่จริงก็พูดให้ตลอดนะแม่คุณ "

"  แหมๆๆ พี่เมี่ยงก็ วา ลืมตัวมั้ง 555"   วายังไม่ยอมรับตัวเอง อิอิ 

"  วา เห็นอะไรอีกไหม นอกจากสะพานพระราม 8  " พี่เมี่ยงเริ่มซัก

" เห็นซิ ..วาเห็นหมดแหละ ต้นไม้ไง ใบหญ้า ยอดตีก แม่น้ำ และที่สำคัญ วาเห็นพี่เมี่ยงนั่งเคียงข้างวาอยู่นี่ไง  "  วา ไม่พูดเอย่างเดียว แต่ใช้นิ้วจิ้มเอวชายหนุ่มซะจนเขาสะดุ้งสุดตัว 

"  บ้าซิ เล่นไรกันเนี่ยะ ตกใจหมดเลย "   ชายหนุ่มต่อว่าต่อขานเล็กๆน้อยๆ 

"  ก็วาขำนี่ พี่เมี่ยงทำไม ต้องบ้าจี้ด้วยละ  วา แค่สะกิดนิดเดียวเองน๊า  อิอิ "

" แหมๆ แบบนี้เขาไม่เรียกว่า สะกิด แล้วละ เขาเรียกว่า เอาไม้หน้าสามกระทุ้งเอวแล้วมั้ง ก็เราน่ะ สะกิดซะแรงมั้ง "  พี่เมี่ยงยังคงบ่นไม่หยุด แต่วา  นั่งหัวเราะชด้วยความสะใจ ก็คนขำนี่นา 5555

" เอ้า.. เลิกเล่นได้แล้ว ตอบมาตรงๆ เห็นอะไรอีก "  ชายหนุ่มยังคงรุกในคำถามของเขา 

"  ก็เห็นต้นไม้อะไรโน่นแน่ะ ต้นใหญ่ๆ มีรากเกะกะไปหมด มีรั้วรอบด้วย  "  วา ชี้นิ้วทำปากบุ้ยใบ้ไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าริมแม่น้ำเจ้าพระยา

" นั่นล่ะ เขาเรียกว่า ต้นลำพูละ เหลือที่นี่ที่เดียว ต้นสุดท้ายในกรุงเทพฯละมั้ง "  พี่เมี่ยงของวา เริ่มพูดคุยอย่างช้าๆมาดนิ่งๆแต่ลุ่มลึก หุหุ

" จริงเหรอ พี่เมี่ยง ทำไมคะ ต้นลำพูเอาไว้ทำอะไรล่ะคะ " ; วาเริ่มสงสัย ซักถามต่อ

"  วา ไม่เคยได้ยินหรอกเหรอ ว่า ต้นลำพู มักคงอยู่คู่กับหิ่งห้อยนะ  แล้ววันหน้าจะเล่านิทานหิ่งห้อยนะ วันนี้คุยเรื่องสวนของที่นี่ก่อนนะ"  ชายหนุ่มก็ตอบโต้คำถามของวา โดยไม่มีท่าทีเบื่อหน่าย(เอ หรือว่า เบื่อ แต่เก็บไว้ในใจ ไม่อาจทราบได้ อิอิ )  

"  พี่จะบอกอะไรให้นะวา วา .. ที่วา เห็นเป็นแหลมๆ แทงขึ้นมาจากพื้นดิน โผล่พ้นน้ำน่ะ เป็นรากของต้นลำพู  เขาต้องการอากาศหายใจ  หากว่าน้ำท่วม ต้นลำพูก็อยุ่ไม่ได้ จะตายนหมด เพราะขาดอากาศหายใจ "  พี่เมี่ยงอธิบายให้วารับรู้

" อ๋อ.. ค่ะ วาก็ยังนึกสงสัยว่าอะไรแหลมๆ ทำไมต้องงอกมาจากใต้น้ำด้วย อิอิ "

" ตามแถวชนบทบางพื้นที่ เขาจะสร้างร้านไว้ เพื่อป้องกันคนตกหล่นไปในบริเวณโคนของต้นลำพู ซึ่งอาจทำให้บาดเจ็บได้ คราวนี้เข้าใจชัดไหม "

"  ส่วนเรื่อง นิทานหิ่งห้อย เอาไว้ก่อนนะจ๊ะ  ไว้ภาค 2 อาทิตย์หน้าจ๊ะ ไม่ลืมๆ "  พี่เมียงชายหนุ่มผู้แสนจะรอบรู้ พยายามต่อรองข้อตกลงระหว่างยัยวา อิอิ

 " อีกแระๆ วันหน้าๆๆ อีกแล้วนะคะ  เฮ้อ ทุกทีซิน่ะ "   วาเริ่มบ่นๆ เมื่อรู้ว่า ตัวเองอดฟังนิทานหิ่งห้อยอีกแล้วเป็นแน่แท้ บ่นพลาง ทำปากเบี้ยว หน้าบูดเป็นตูดอึ่ง ประมาณว่า หน้างอ มั้งคะท่านผู้อ่าน อิอิ

" น่านะๆ.. พี่ไม่ลืมหรอกน่ะ นิทานหิ่งห้อยของวา แต่วันนี้พี่อยากให้วารู้เรื่องราวความเป็นมาของสวนที่นี่  ณ.ที่แห่งนี้ที่ทำให้พี่ได้เจอหญิงคนหนึ่งที่บ้าๆบอๆออกจะต๊องๆนิดๆ "

 น้านนนน.. พี่เรา เหมือนจะหวาน แต่ไม่รู้ว่าชมหรือด่าใครบางคนหรือเปล่าว๊า  แหวะๆๆ แบร่ๆๆ 55555

" อ้าว .. แล้วนั่น เป็นอะไรไป เราน่ะ นั่งเกาขยุกขยิกไปได้ "  พี่เมี่ยงถามด้วยความแปลกใจ

" เปล่าคะ ..มดกัด..สงสัยมดตามมาหาคำหวานๆ มั้งคะ สงสัยแถวนี้มีคนโปรยคำหวานๆไว้ทั่วแระมั้ง อิอิ "   วา พูดแล้วก็หลบมะเหงกของพี่เมี่ยงที่อาจจะลงมาบนหัวเธอเมื่อไหร่ไม่รู้ได้ หุหุ 

"  มานั่งตรงนี้เลยวา มาใกล้ๆพี่นี่ มาฟังพี่พูดให้จบ อย่าทำลูกเล่นเยอะ เดี๋ยวโดนๆๆ "  เชอะ ทำเป็นขู่  ไม่กลัว.....(ซะ..เมื่อไหร่ อิอิ )

" ตอบมาก่อน เห็นอะไรอีก บอกมาเท่าที่เห็น เร็วๆ "

" ก็เห็นป้อมกลมๆ ขาวๆนั่นไงหละ แหมๆ "

" เห็นศาลานั่นน่ะ  แปลกๆ แต่ก็สวยดีอ่ะ "   วาพูดพลางลอบมองหน้าชายหนุ่ม กลัวว่าคำตอบของตัวเองอาจทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจก็เป็นได้ 

"  โห .. พี่เมี่ยงน่ะ จะเล่าอะไร ก็เล่ามาเหอะนะ อย่ามาทำเป็นลูกเล่นเยอะ  "   แน่ะ ยัยวา ยังยืมคำพูดของคนอื่นมาพูดอีกแน่ะ อิอิ


"  วา ฟังพี่ดีๆนะ  สวนสันติชัยปราการแห่งนี้ สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 6 รอบของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปีพุทธศักราช 2542 "  ชายหนุ่ม เริ่มอธิบายในเชิงวิชาการ

" เหรอคะ ..วาไม่เคยรู้ แล้วไงต่อคะ ? "  วา เริ่มมีท่าทีสนใจเรื่องราวที่ชายหนุ่มเล่า

" อยากรุ้ล่ะซิ ถ้าอยากรู้เรื่องราวต่อนะ หอมแก้มก่อน อิอิ "  ชายหนุ่มแกล้งยัยวาเล่นๆ 

"  เชอะ..วายอมไปหอมแก้มเจ้าเหมียวที่บ้านยังจะดีกว่านะคะเนี่ยะ  " วาก็ตอบกลัว

" โอเคๆ พี่ไม่แหย่ล่ะ มาฟังต่อนะ ศาลารูปร่างแปลกๆที่วาพูดถึงน่ะ เขาเรียกว่า พระที่นั่งสันติชียปราการ  จะมีตราสัญญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียติมาประดับไว้ พร้อมจัดสร้างท่ารับเสด็จขึ้นลงเรือ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นที่จัดงานพระราชพิธีต่างๆ ..  เข้าใจยัง "  เหนื่อย เมื่อยปากนะเนี่ย อิอิ

"   โห ..พี่เมี่ยงคำ เก่งจังคะ  แสนรู้ เอ๊ย  รู้ดีไปหมด  วาไม่เคยรู้อะไรเลยนะคะเนี่ยะ "   วาชมพี่เมี่ยงแต่ไม่วายกัดเล็กๆ พร้อมกันนั้น วาก็ทึ่งในตัวชายหนุ่มที่เขารู้เรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี

"  เพราะพี่รู้ไง ..รู้ว่า วาไม่เคยรู้เรื่องอะไรสักอย่าง นอกจากกวนใจคนเก่ง  แซวคนอื่นเก่ง  พี่เลยอยากให้วารู้ รู้ในเรื่องที่สมควรรู้ เข้าใจไหมเนี่ยะ " ชายหนุ่ม ได้ทีสอนไปด้วยในตัว

" แล้วป้อมสีขาวๆนั่น ที่วาบอกพี่ใช่ไหม ? " ชายหนุ่มถามพลางชี้นิ้วไปยังป้อมสีขาวๆริมฝั่งถนนทางไปบางลำพู

"  ป้อมสีขาวๆนั่น เขาเรียกว่า ป้อมพระสุเมรุ  เป็นป้อมปราการที่สร้างในรัชกาลที่ 1  มาแล้วเสร็จสมบูรณ์ในรัชกาลที่ 3 มั้ง ถ้าพี่จำไม่ผิด ป้อมนี้ เป็นหนึ่งใน14 ป้อมที่ถูกสร้างขึ้นตามกำแพงรอบพระนครชั้นนอก  " 

เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่วาต้องทึ่งในความรอบรู้ของพี่เมี่ยงคำ  หลายสิ่งหลายอย่างที่วาไม่เคยรู้ บัดนี้วาได้รู้เรื่องราวหลากหลายจริงๆ 


          บนสนามหญ้าเขียวขจี มีทั้งคนไทย ทั้งคนต่างชาติมานั่งพักผ่อนเอนกายเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์  บ้างก็ปูเสื่อนั่งพูดคุย มีขนมติดไม้ติดมือมา (เหมือนวาเลย ) บ้างก็มีหนังสือติดตัวมาอ่านเล่นด้วย (นี่ก็เหมือนวา อีกนั่นแหละ อิอิ )

วานั่งกินขนมอย่างสบายใจ พลางสอดส่ายสายตาสอดรู้สอดเห็น เอ๊ย สอดส่ายสายตาอยากรู้อยากเห็นไปทั่ว อิอิ  ส่วนชายหนุ่มนั่งสงบเงียบ เหมือนใช้ความคิดอะไรบางอย่าง เหมือนครุ่นคิดอะไรในใจสักอย่าง 

" พี่เมี่ยง.. คิดอะไรน่ะ เป็นอะไรไป " วาแกล้งพูดเสียงดัง พลางยื่นหน้าไปใกล้ๆ

" เฮ้ย.. วา พี่ตกใจหมด อยู่ใกล้แค่นี้ทำไม ต้องตะโกนด้วย "  ชายหนุ่มหันมาทำตาเขียวใส่ยัยวา

" พี่ กำลังนั่งคิดว่า จะหาทางหลอกให้วาไปหอพี่ได้ยังไงดี หือ วา ช่วยคิดหน่อยซิ ..จะหลอกล่อว่า พาวาไปกินข้าวที่หอ วาก็อิ่มมาแล้ว จะหลอกว่า พาไปกินขนมที่หอ วาก็กำลังกินอยู่  หือ..วา ว่าไง ช่วยพี่คิดหน่อยซิ  55555 " 

ได้ผล คราวนี้ยัยวา มีปฎิกิริยาตอบโต้ ตาเขียวพอๆกัน

" ไม่ต้องเลย ไม่ต้องคิดเลย ถ้าวา อยากไป วาไปเอง ไม่ต้องๆๆคิด"

"  ฮ่า..ฮ่า..สมน้ำหน้า ชอบแกล้งพี่ดีนีก " ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความชอบใจที่สามารถแกล้งยัยวาได้สำเร็จ เอาคืนๆๆ

     เสียงหัวเราะก้องของชายหนุ่มทำให้นกพิราบสามสี่ตัวเมื่อกี้บินหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง ฝ่ายนกเอี้ยงที่ยกพวกตีกันเมื่อกี้ก็หยุดทะเลาะกันชั่วคราว เหมือนจะมองว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อคิดว่าไม่มีภัยอะไรมาถึงตัวพวกเขา ก็ยกพวกตีกันต่อ 555555


"  ณ.สวนแห่งนี้ มีเรื่องราวหลากหลาย มีตำนาน ไว้พี่จะเล่าเพิ่มเติมวันหน้านะ  นี่ก็ใกล้ค่ำมืดแล้วนะวา พี่สัญญาน่ะ ไม่ลืมนิทานหิ่งห้อยของวาหรอก  "

"  ไว้อาทิตย์หน้าพี่จะพามาเที่ยวใหม่นะ ถ้าวาทำตัวดีๆ ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่งอแง "   พูดจบ วาก็สังเกตเห็นว่า คนพูดแอบกลั้นหัวเราะซะมากมาย จนวานึกหมั่นไส้   แหมๆๆ ว่าไปโน่นเลยพี่เรา เฮ้อ....

" ไปๆ กลับบ้านเราเถอะ  อ่อ ลืมไป คนอย่างพี่ไม่มีบ้านหรอก  พี่อยู่หอนานแล้ว นานจนลืมว่า ความอบอุ่นของคำว่า บ้าน คำว่าครอบครัวเป็นยังไง " 

 สำเนียง น้ำเสียงเศร้าๆในตอนสุดท้ายของพี่เมี่ยง ทำให้วาสงสารจับใจ วาอยากรู้วาตอนนี้ในใจพี่เมี่ยงคิดอะไรอยู่ วาไม่กล้าที่จะถามไถ่ ได้แต่คอยห่วงใยอยู่ลึกๆในใจ(หวานไหมคะ อิอิ ) 

อยากบอกว่า ยิหวาคนนี้คอยเป็นกำลังใจให้พี่นะคะ แม้พี่อาจไม่เห็นวาในสายตา แต่วาก็อยากเห็นพี่มีความสุข  อยากเห็นรอยยิ้มของพี่ แบ่งความทุกข์ให้วารับรู้บ้าง  

" ไปกันเถอะวา เดี๋ยวมืดมากกว่านี้ ไป เดี๋ยวพี่ไปส่ง  "

"  ค่ะ ..."

" ค่ะ ก็ลุกขึ้นซิ หรือว่าจะให้จูงมือ หรือว่าจะให้อุ้มละ "  

"  ไม่ดีกว่าคะ ..วาจะขี่คอพี่เมี่ยงแหละ 5555"  พูดจบ วาก็ออกเดินดุ่มๆนำหน้าชายหนุ่มไปยังป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม 


          แสงสุดท้าย ณ.ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยากำลังเคลื่อนตัวต่ำลงเรื่อยๆแต่ยังคงสะท้อนให้เห็นระลอกคลื่นบนผิวน้ำระยิบระยับจับตาชวงนมอง 

ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างทิ้งเรื่องเล่า ทิ้งเรื่องราวไว้เบื้องหลัง ด้วยหวังว่า วันต่อมาพวกเขาจะมาเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ประสบการณ์ดีๆจากที่แห่งนี้อีก 

สายลมแผ่วๆพัดมาปะทะใบหน้าของคนทั้งสอง ทั้งคู่เดินเกี่ยวก้อยด้วยกันอย่างสุขหัวใจ 



00384_34.jpg				
22 สิงหาคม 2551 22:51 น.

ขอบคุณนะ ขอบคุณมาก

ฉางน้อย

ขอบคุณนะ..ที่ยังยืน..อยู่เคียงข้าง

ขอบคุณนะ..ที่ไม่ร้าง..ลาไปไหน

ขอบคุณนะ..ขอบคุณมาก..จากหัวใจ

ขอบคุณใคร..คนหนึ่งนั้น..ที่ฉันรอ

ขอบคุณมาก..ที่เกี่ยวก้อย..ร้อยความฝัน

ขอบคุณมาก..ที่ลำบาก..มาด้วยกัน

ขอบคุณมาก..ที่เธอ..ไม่ทิ้งฉัน

ขอบคุณสวรรค์..ที่ให้ฉัน..ได้พบเธอ..

          ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )

00384_19.gif				
19 สิงหาคม 2551 02:11 น.

แด่คุณ..คนพิเศษ 2

ฉางน้อย

00384_22.gifแม้เราจะจาก..เลิกลาไป

แต่ใจฉัน..ยังคงอยู่..คู่เธอเสมอ..

    เธอ..อาจเจ็บ 

    ฉัน..อาจปวด

      ฉันรู้..เมื่อเธอเดินจากฉันไปแล้ว..

อาจลาจากกัน..ไปตลอดชีวิต..

แต่อยากให้เธอ..รับรู้ว่า..

ฉันคนนี้..ยังซื่อตรง..คงมั่นในรักของฉัน

และฉัน..ก็อยากให้เธอ..เชื่อมั่น..ในรักของกันและกัน

    เธอ...อาจยืน..คนละขอบน้ำ..กับฉัน

    ฉัน...อาจอยู่..คนละแผ่นฟ้า..กับเธอ

    เธอ..ฉัน..อาจอยู่..คนละผืนดิน..เดียวกัน

แต่เราสองคน..ยังคงอยู่..ใต้ฟ้าหลังคาเดียวกัน..ไม่ใช่เหรอ

ขอให้เธอรับรู้ว่า..สองกาย..นั้นอาจไกล...แต่สองใจ..ยังคงใกล้กันเสมอ..

00384_21.gif     และแล้ว...ก็มาถึงวันนั้น..

วันที่เธอบอกฉัน..เราอยู่ห่างๆกัน..ดีที่สุด..

    ใบหน้า..เริ่มร้อนผ่าว...ดวงตาพราว..วับวาวใส

    น้ำตา..หลั่งริดรดใจ...น้ำใสใส..ไหลอุ่นอุ่น

ปวดในหัวใจ..ตื้อไปหมด..มึนงง ..กับคำพูดของเธอ

     คำเธอบอก...อยู่ห่างๆกัน..ดีที่สุด..

แต่มิอาจหยุด..ความผูกพันธ์..ของฉันได้..

แม้กายไกล..ใจยังคงใกล้กัน

หรือจะมีเพียงฉัน..ที่ฝันถึงเธอ..

    ที่ผ่านมา...เธอ..ไม่เคยรับรู้

    ที่ผ่านมา...เธอ..ไม่เคยชายตา..เหลียวมอง

เพราะ..ฉันเป็นเพียง..คนแปลกหน้า..

ที่บังเอิญ..เดินผ่าน..ก้าวเข้ามา..ในชีวิตเธอ..

ผ่านมาแล้ว..ก็ผ่านไป..ใช่ไหมเธอ...

          (  ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )

00384_19.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฉางน้อย