2 ธันวาคม 2551 09:41 น.
ฉางน้อย
ตอนแรกตั้งใจว่า จะไม่เขียนเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ
หรือเรื่องราวของวันพ่ออีกแล้ว เพราะตัวฉันเองคิดว่า
อยากขอเก็บเป็นความทรงจำที่ดีๆในใจเรามากกว่า
แต่บังเอิญว่า ได้พูดคุยกับเพื่อนๆเรื่องราวความผูกพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก
ก็เลยคิดทบทวนอีกที อ่ะๆ เขียนก็ได้
สมัยเด็กๆเรียนชั้นประถมฉันจำได้ว่า เรียนชั้นป.4มั้ง คุณครูประจำชั้นให้เขียนเรียงความเกี่ยวกับ ฮีโร่ในดวงใจ เพื่อนๆร่วมห้องเรียนของฉัน เขาจะเขียนถึงตัวการ์ตูนที่เชาชื่นชอบ
เช่นโดเรมอนบ้างล่ะ นินทาฮาโตริ นินจาเต่า บ้างล่ะ
หรือว่า มดเอ็ก มดแดงอะไรประมาณนี้น่ะค่ะ
คุณรู้ไหมคะว่า ฉันชอบดูการ์ตูนอะไรมากที่สุด ดอกเตอร์สลัมกับอาราเล่ค่ะ
แต่นั่นไม่ใช่ฮีโร่ในดวงใจฉันสักนิดเดียว
สำหรับฉันแล้วฮีโร่ในใจฉันนั้นก็คือ พ่อ ( แท้จริงแล้วฉันไม่ได้เรียกว่า
พ่อ อย่างคนอื่นๆหรอกคะ ฉันเรียก เตี่ย มาตั้งแต่จำความได้)
ในเรียงความกระดาษสมุดธรรมดา แผ่นนั้นฉันจำได้ว่า
ฉันพรรณนาเรื่องราวความผูกพันของฉันกับเตี่ยไว้ซะมากมาย
ก็ฉันเป็นเด็กผุ้หญิงนี่นะ คนอื่นอาจมองว่า
ฉันชอบอ้อนเตี่ย ชอบประจบเตี่ย
และตัวฉันเองมักจะมองว่า เตี่ยของตัวเองนะ เก่งกว่าใครๆในโลกนี้
เพราะฉันคิดว่า เตี่ยปกป้องดูแลฉันมาตลอด
เตี่ยฉันชอบสร้างเครื่องเล่นในสนามหญ้าหลังบ้านให้ลูกๆได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน
ไม่ว่า ไม้หมุนเอย ไม้กระดกเอย หรือแม้แต่ไปขอยางรถยนต์จากร้านซ่อมรถ นำมาผูกกับต้นขี้เหล็กใหญ่หลังบ้านให้ลูกได้ปีนป่าย ได้เล่นชิงช้ากัน
เรื่องชิงช้านี่ก็เหมือนกัน เตี่ยไปหาไม้ในห้องเก็บของที่ขนาดพอเหมาะ กับเด็กๆอย่างฉัน
เตี่ยทำชิงช้าไม้ไว้สัก 4ตัว เครื่องเล่นอื่นๆอีกหลายอย่างหลายชนิด
ในตอนนั้น เพื่อนๆบ้านใกล้เคียงกัน ก็มาขอเล่นด้วย ทำให้บ้านฉันเป็นแหล่งชุมนุมของเด็กๆ
ที่ทั้งวันจะมีแต่เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าว อบอวลด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่พวกเขาได้ของเล่นถูกใจ
ฉันจำไม่ได้หรอกว่า ฉันเขียนอะไรไปบ้างในกระดาษสมุดแผ่นนั้น
จากคะแนน10 ฉันได้ 10เต็ม
ฉันจำได้เพียงว่า บทสุดท้ายนั้นฉันเขียนเอาไว้ว่า
" เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ "
ฉันได้รางวัลจากการเขียนเรียงความในครั้งนั้นเป็นสมุดลายการ์ตูน2เล่ม กับดินสอสีไม้อีก1ชุด
แค่นี้ฉันก็ยิ้มแก้มปริแล้ว เปล่าหรอกนะ
ฉันไม่ได้ดีใจที่ได้ของรางวัลจากคุณครู ฉันเพียงแต่ภูมิใจว่า
เย็นนี้จะเอาเรียงความนี้ไปอวดเตี่ย ที่ได้คะแนนเต็ม 10
เย็นวันนั้นฉันนำรางวัลที่ได้ไปอวดเตี่ย พร้อมกับกระดาษที่เขียนเรียงความแผ่นนั้นด้วย เตี่ยรับมาอ่าน แล้วก็ยิ้มๆ ไม่พูดว่าอะไร
คำเดียวที่เตี่ยพูด.." ไม่เห็นได้เรื่้องตรงไหนเล๊ย ครูตาถั่วให้ตั้ง 10 คะแนนเต็ม "
ฉันรู้ เตี่ยก็แกล้งพูดไปงั้นแหละ กลัวลูกสาวจะเหลิงกับคำชม เตี่ยพูดพลางอมยิ้มน้อยๆ มือก็วางบนหัวฉันแล้วจับโยกเบาๆ
และฉันก็รู้อีกเช่นกันว่า เตี่ยก็(แอบ)ภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้เหมือนกัน
...........................................
ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่แสนจะธรรมดาๆใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
เตี่ยบอก สอนเสมอๆว่า อย่าไปเป็นหนี้ใครดีที่สุด เพราะจะทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข
มีแค่ไหน ก็ต้องใช้ ต้องกินอย่างประหยัด อย่าไปเอาอย่างคนอื่น
เตี่ยไม่ใช่คนรวย ไม่มีเงินทองให้มากมาย เตี่ยให้แค่ ความรุ้ พยายามเรียนให้สูงที่สุด เอาตัวเองให้รอด
ตอนเด็กๆฉันก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเรื่อยมา เล่นไปเรื่อย
ในขณะเดียวกันพี่ชายฉันชอบความเรียบร้อย ชอบความสะอาด ชอบอยู่กับแม่ คลุกคลีกับแม่ เข้าครัวทำอาหารกับแม่
ในทางตรงกันข้าม ฉันมักเดินตามหลังเตี่ยต้อยๆ ไปไหนไปกันสองพ่อลูก
ซึงคนในหมู่บ้านจะรู้กันดี ไม่ว่าไปไร่ไปนา ไปสวน ไปหาปลา
ไปตกปลา ไปบ่อนากุ้ง ไปจับปูเปี้ยวตัวเล็กๆ งานแบบนี้ฉันชอบ
ชอบที่จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากเตี่ยมากมาย ไปตกปลา ไปจับปูในนาก็ทำมาแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งเตี่ยกำลังจะไปตกปลา นำคันเบ็ดมาวางแล้วมากระซิบกระซาบกับฉันสองคน
ฉันก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วพากันไปนั่งข้างกองดิน เตี่ยก็ขุดๆๆ ฉันก็นั่งลุ้น
สักพักพี่สาวคนโตโผล่หน้ามาเรียกทานข้าว
เธอวิ่งเข้ามาก้มมองว่า เราสองคนพ่อลูกขุดดินหาอะไรกัน
" เจ๊ๆ เอาป่าว ไส้เดือน เตี่ยเพิ่งขุดได้ นี่ไง น่ารักเชียว ตัวแดงๆ ยังดิ้นกระแด่วๆอยุ่เลย "
ฉันเอ่ยถามพี่สาว พลางก็ยื่นไส้เดือนเป็นๆให้ตรงหน้า
พี่สาวร้องกรี๊ดได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน
ฉันวิ่งหลบไปหลังเตี่ยเพราะรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นในวินาทีถัดไป
" ยัยบ้า ไปให้พ้นๆเลยไป ยี้ๆๆ เอาอะไรมาเล่นก็ไม่รุ้
น่าหยะแหยง แหวะ.. ไปล้างมือให้สะอาดเลยนะ
ไม่งั้นไม่ต้องไปกินข้าวร่วมโต๊ะด้วย แหวะๆ..."
พี่สาวคนโต พูดพลางทำท่าขนลุกขนพอง
หลังจากพี่สาวก้าวพ้นเขตที่เราสองคนพ่อลูกขุดไส้เดือนเพื่อเอาเป็นเหยื่อตกปลากันแล้ว
เราสองคนพ่อลูกต่างหันมองหน้ากัน หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
" เตี่ยๆ แล้วเราขุดไส้เดือนไปให้ปลากินไม่บาปเหรอเตี่ย "
ฉันพูดเหมือนคนที่กลัวบาปเต็มที
ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้าตาของเจ้าตัว บาป เลยสักครั้ง
" ไม่หรอกลูก มันเป็นวัฏจักของธรรมชาตินะลูกน
ะ ถึงแม้ว่าเราไม่ขุดไส้เดือนไปเป็นเหยื่อปลา
พอถึงเวลา ไส้เดือนก็ตายไปเอง แถมซากของไส้เดือนยังเป็นปุ๋ยให้แก่ดินอีกน่ะ "
" เตี่ยๆ แล้วไอ้วัฏจัก คืออะไรล่ะเตี่ย " ฉันถามเตี่ยด้วยความสงสัย
พลางเดินก้าวข้ามสะพานไม้หมากไปยังคลองอีกฝั่งเพื่อนำราวเบ็ดไปปักไว้
ในขณะเดียวกันอุ้งมืออันแข็งแรงและอบอุ่นของเตี่ยก็คอยจับมือฉันไว้
ไม่ให้ฉันก้าวพลาดพลัดตกจากสะพานไม้หมากแห่งนั้น
" อืม.. แล้วจะเล่าให้ฟังนะลูกนะ ไว้ให้หนูโตอีกนิด ตอนนี้คุยไปก็แค่นั้น "
รอยยิ้มเตี่ยผุดพรายในใบหน้า ไม่เคยมีเลยที่เตี่ยจะรำคาญลูกๆ ไ
ม่่ม่เคยมีเวลาไหนที่เตี่ยจะบ่นให้ลูกๆได้ยิน
ฉันชอบที่จะเสาะแสวงหาความรู้ประสบการณ์รอบบ้านกับเตี่ย
ประสบการณ์ที่ฉันคิดว่า เด็กๆในเมืองไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้สัมผัสธรรมชาติชนบทบ้านเรา ฉันโชคดีที่เกิดเป็นลูกของเตี่ย
เตี่ยสอนให้ลูกๆได้เรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ แม้แต่ .38 ฉันก็เคยจับมาแล้ว
เตี่ยสอนแม้แต่กระทั่งว่า การป้องกันตัวเองในกรณีที่ว่าไม่ชอบมาพากล
เตี่ยไม่เคยห้ามถ้าฉันจะเล่นตะกร้อ กลับมาร่วมวงสนุกด้วยกันซะอีก
เตี่ยบอกว่า อยากทำอะไรทำไป ถ้าไม่เดือดร้อนคนอื่น
ทุกวันนี้ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆที่ชนบท แต่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว ความจำเป็นในการดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเอง
ทำให้ฉันต้องทนอยุ่ในเมืองแคบๆ อึดอัด
สังคมรอบตัวเราเหมือนคนแปลกหน้าของกันและกัน
แม้ว่าบ้านเราหลังเก่ายังเหมือนเดิม
แต่ บางสิ่งบางอย่างไม่่เหมือนเก่า ชิงช้าตัวนั้นไม่มีเสียแล้ว
ผุพังตามกาลเวลา
ต้นขี้เหล็กใหญ่โต เคยให้ร่มเงาต่างพากันโค่นล้มราวกับไม่ต้องการยืนต้นอีกต่อไป
พวกเขาคงเหน็ดเหนื่อยกันมานานมากโขแล้ว
บางทีก็เหนื่อยนะ บางครั้งก็ท้อ อยากพักอย่างพวกต้นขี้เหล็กเหล่านั้นบ้าง
แต่ทำไม่ได้อย่างพวกเขาน่ะซิ เราเป็นคน
ไม่ใช่ชิงช้าตัวนั้น ไม่ใช่ต้นขี้เหล็กต้นนั้น
เฮ้อ..นั่งคิดถึงเรื่องราวของวันวาน แล้วอดที่จะยิ้มเสียไม่ได้ สุขใจอย่างบอกไม่ถูก
.........................................
16 พฤศจิกายน 2551 21:07 น.
ฉางน้อย
" เออนี่ยัยวา แล้วคำขวัญของ จ.สุราษฎร์ฯ น่ะคืออะไรนะ พี่ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว ลืมทุกทีซิ "
พี่เมี่ยงเอ่ยถามยิหวา ในเย็นวันหนึ่งที่ได้เจอกัน
" โห พี่เมี่ยงเช๊ย เชยเนอะ เมืองร้อยเกาะออกจะโด่งดังทั่วโลก แหมๆๆ "
ยิหวา หรือยัยวาของพี่เมี่ยงเหน็บพี่เมี่ยงนิดๆ
" อะไรกันหือยัยวา เมืองร้อยเกาะ..."
พี่เมี่ยงยังคงทำหน้าใส ซื่อ(บื้อ)มึนๆเหมือนแมวโดนตีหัวด้วยไม้หน้าสาม
" อ๊าวว..แล้วกันซิพี่เมี่ยง ก็เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย
หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะไงคะ "
ยิหวา หรือ วา ยังคงฉอดๆๆใส่พี่เมี่ยงของเธอ
" ห๋าๆๆ...เดี๋ยวนะวา เมื่อกี้วา พูดว่าไงนะ อะไรใหญ่ๆ พี่ฟังไม่ถนัดน่ะ "
พี่เมี่ยงเอ่ยปากทักท้วงพลางทำใบหน้ากรุ้มกริ่ม
นัยต์ตาซุกซน(น่าเอาเข็มจิ้มตา อิอิ )
" อย่าๆๆ อย่าคิดทะลึ่งนะพี่เมี่ยง เดี่ยวหยิกพุงกะทิ
บิดสะดือจุ่นเลย เดี๋ยวเหอะๆ " วา พูดพลางทำตาเขียวแต่พองาม อิอิ
" อ้าว วา ก็อธิบายความหมายซิ อย่าให้พี่คิดเอง
แล้วมาหาว่าพี่ทะลึ่งอีก ยัยวานี่ก็ แหมๆๆ " พี่เมี่ยงยังคงโต้เบาๆ
" ก็ตัวเองแหละ เค้ายังพูดไม่ทันจบ ตัวเองแย่งเค้าพูดทำไมล่ะ "
วา ก็เถียงไม่ยอมลดละ
" จ๊า...ยอมแล้วจ๊าแม่คนเก่ง แม่คนดีผีเสื้อสมุทร(สุดสาคร ม้านิลมังกร ) "
พี่เมี่ยงพูดอย่างยอมแพ้ยัยวาตัวดี
" ก็เมืองร้อยเกาะน่ะนะพี่เมี่ยง เป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของ
จังหวัดสุราษฎร์ฯเชียวน๊า โดยเฉพาะอ.เกาะสมุย และ อ.เกาะพงัน
รอบๆ2เกาะที่วาบอกน่ะ จะมีเกาะเล็กเกาะน้อย
มีเกาะแก่งมากมายเป็นร้อยๆเกาะไงคะ "
" ซึ่งแต่ละเกาะจะมีหาดทรายขาวสะอาด น้ำใส
เป็นแหล่งพักผ่อนที่ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาตินิยมมาสัมผัสธรรมชาติทางทะเล " วา คุยให้พี่เมี่ยงคำฟัง พลางทำสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
ตาลอย เพ้อฝันตามประสาสาว(เหลือ)น้อยที่ชอบทะเลเป็นชีวิตจิตใจ
" โป๊ก....พอๆพอเลยยัยวา อย่าเพิ่งฝันหวาน
ไว้มีตังค์ก่อนค่อยพาไป ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างด้วย รอก่อนๆ "
พี่เมี่ยงไม่แค่พูดเฉยๆแต่ยังส่งมะเหงกให้ยัยวา
ชวนให้วาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ อิอิ
" เล่าต่อ อย่าเพิ่งโม้ ถึงไหนแล้วล่ะ เร็วเข้า
ชอบนอกเรื่องนะเราน่ะ " พี่เมี่ยงจี้ยัยวา
ไม่งั้นแล้วยัยวาชอบนอกโลก เอ๊ย นอกเรื่องเรื่อยเลย อิอิ
"ต่อไปก็ เฮาะอร่อย.." วาพูดพลางหัวเราะคิกคัก
ชอบใจในคำพูดของตัวเอง
" อะไรน่ะวา เฮาะ .. คำว่า เฮาะ คืออะไร พี่งงจัง"
พี่เมี่ยงทำสีหน้าฉงนเป็นรอบที่ 2
" ก็เงาะอร่อยไง เงาะอร่อยต้องที่นี่เลย พี่เมี่ยง ที่ อ.บ้านนาสาร
เงาะพันธ์พื้นเมืองบ้านนาสารน่ะ ล่อน หวาน กรอบ อร่อย
ถึงเชล์ไม่ชวนก็ควรชิมรุ้ป่าว อิอิ "
" คำว่า เงาะ กับคำว่า เฮาะ เป็นคำเดียวกันคะ "
" แต่บางพื้นที่ บางคน บางท้องถิ่นออกเสียง ง.งู เป็น เสียง ฮ.นกฮูก
เช่น เงาะ ก็เป็น เฮาะ หรือว่า งา ก็เป็น ฮา
หรือแม้แต่คำว่า เงิน กลายเป็น เฮิน ซะนี่ "
วา อมยิ้มพลางอธิบายให้พี่เมี่ยงฟังอย่างผู้เชียวชาญ
ช่ำชองในชั้นเชิงภาษาต้าย เอ๊ย ภาษาใต้บ้านเราเอง อิอิ
" อ๋อ... อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ แม้แต่ภาษาใต้ด้วยกัน
แต่บางท้องถิ่นก็พูดไม่เหมือนกันนี่เอง พี่พอจะเข้าใจแล้วล่ะวา "
พี่เมี่ยงพูดพลางอมยิ้มนึกขันยัยวา
" วาๆ แล้วคำว่า หอยละ หมายถึงหอยแครงหรือว่าห อยนางรม หรือว่าอะไรล่ะ หือ ? " พี่เมี่ยงซักต่อ
" อยากรุ้ใช่ไหมล๊า เอามาก่อน 200 แล้วจะบอกคะ อิอิ "
วาชอบดักคอพี่เมี่ยงเสมอๆ(ดักคอไม่เป็นไร ถ้าดักตีหัวนี่ซิเรื่องใหญ่ 555)
" ก็คือ หอยนางรมไงคะ หอยนางรมที่อร่อย
ตัวใหญ่ อ้วนๆอวบๆ ต้องที่ อ.กาญจนดิษฐ์ กับ อ.ไชยา
จะมีการเพาะเลี้ยงโดยเฉพาะค่ะ รสชาติจะออกหวานๆน่ะค่ะ "
" อืม..น่าสน เนอะ "
พี่เมี่ยงพูดพลางทำหน้าตาทะเล้นเป็นรอบที่ 2
และก็ได้ผล คราวนี้ยัยวาเหน็บนิดๆที่พุงกะทิจริงๆซะด้วยซิ
" นี่แน่ะ..ทะลึ่งดีนักพี่เมี่ยงน๊า " วา หยิกพุงกะทินิดๆพอเป็นกระษัย อิอิ
" อู๊ยย.. ยัยวานี่ ตัวเล็กนิดเดียวมือหนักเป็นบ้า
พูดเรื่องไรล่ะ อย่ามาพาลคนอื่นซิ แหมๆ"
พี่เมี่ยงยังคงตั้งหน้าตั้งตาเถียงให้ชนะ
" จะฟังต่อไหมละ ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง ไข่แดง
ไข่แดง ก็คือไข่เค็มไง ไข่เค็มเป็นของฝากเลื่องชื่อลือชาจาก
อ.ไชยาเชียวน๊า จะบอกให้ จุดเด่นของไข่เค็มบ้านวา ก็คือ
เนื้อข้างในแดง สด น่าทานเชียวล่ะ "
วา ตอบแล้วเชิดหน้าทำยังกะภูมิใจนักหนาที่(อวด)รุ้เรื่องราวบ้านตัวเอง
" อืม.. ไข่เค็มไชยาพี่รู้จัก แต่พี่ไม่กล้ากินเยอะ
กลัวคลอเลสเตอรอลสูงน่ะซิ " พี่เมี่ยงเสียงอ่อยนิดๆ
" แหมๆ กลัวลงพุงก็บอกมาเห๊อะ ..จะสูงสักแค่ไหนกันเชียว
เอาน่ะๆ จะลงพุงจะอ้วนแค่ไหนก็ยังร๊ากเหมือนเดิมแหละ "
ยัยวา ทำเสียงออดอ้อนน่าเขกกะโหลกนักล่ะ
" แหม ..ปากหมาน เอ๊ย ปากหวานเหมือนกันนี่เราน่ะ "
" หมาน เอ๊ย หวานมานานแล้วเจ้าคะ
เพิ่งรู้หรือไง คะ อิอิ " วาไม่ยอมแพ้
" จ๊า แม่คนเก่ง ยอมแพ้ก็ได้อ่ะ "
พี่เมี่ยงพูดพลางส่ายหน้าระอาใน ความดื้อดึงดันของวา
" ต่อไปนะพี่เมี่ยง คำขวัญชุดสุดท้ายของ จ.สุราษฏร์ฯ ก็คือแหล่งธรรมะไงคะ "
" เดี๋ยวๆวา ให้พี่เดานะ แหล่งธรรมะที่มีชื่อของไชยา
น่าจะเป็น วัดสวนโมกข์ไหมละ พี่ไม่แน่ใจ "
" อ่ะ เก่งนี่ แสนรุ้ เอ๊ย รุ้ดีนี่นา "
วา เอ่ยปากชม(หรือประชด)พี่เมี่ยง
" บ้าซิ คนนะไม่ใช่แมว ที่จะได้แสนรุ้ " พี่เมี่ยงคำโต้
" อ้าวเหรอคะ ลืมไป คิดว่า ใช่ซะอีก อิอิ " วา ก็ไม่ยอม
" พี่เมี่ยงเดาเก่งคะ รางวัลคนเก่งอะไรดีคะ
เพ็ดดีกรี รสตับ หนึ่งถุงโตๆดีไหมคะ 555"
วา พูดพลางหัวเราะชอบใจที่แกล้งพี่เมี่ยงคำได้สำเร็จ
" จ๊ะ ดีจ๊ะ แล้วพี่จะแบ่งให้วา ครึ่งถุงนะ
เห็นไหม พี่ใจดีออก อิอิ " พี่เมี่ยงไม่ยอมแพ้
เอาคืนจนได้ นั่นเองทำให้วาตาแทบถลนออกจากเบ้า ฮา...
" แหล่งธรรมะที่วา บอกก็คือ โรงมหรสพทางวิญญาณ
ที่วัดสวนโมกข์พลาราม อยุ่ที่ อ.ไชยาบ้านวาเองแหละพี่เมี่ยง
เป็นแหล่งที่ให้ความรุ้ด้านธรรมะ ให้ความรุ้ด้านต่างๆมากมายค่ะ "
" ที่นี่ จะมีสัญญลักษณ์เสา 5 ต้น หมายถึงอะไรพี่เมี่ยงทราบไหมคะ "
วา คงพูดคุยอธิบายไม่มีติดขัด ไม่ใช่ว่า วาจะรู้มาก
เก่งอะไรมากมาย แต่วาคุยให้พี่เมี่ยงฟัง เท่าที่ประสบการณ์ตัวเองได้เจอมาต่างหากล่ะ
" สัญลักษณ์ของเสา 5 ต้น หมยถึง อินทรีย5 พลัง 5
..มรรคผลนิพพาน 5..และอื่นๆที่เป็น 5 ในพุทธศานสนา
รวมทั้งนิ้วมือที่มี 5 นิ้วด้วยน่ะค่ะพี่เมี่ยง "
พี่เมี่ยงฟังคำบอกเล่าของวาโดยไม่ได้ทักท้วงอะไรสักคำ
" เก่งเหมือนกันนะเรานี่ " เพียงประโยคเดียวที่พี่เมี่ยงเอ่ยออกมา
" ไม่เก่งหรอกคะพี่เมี่ยง วาบอกให้ฟังเท่าที่วาเคยได้รู้มาแหละคะ "
" ท่านพูทธทาสเคยกลาวไว้นะคะพี่เมี่ยง .
.ท่านกล่าวว่า..ถ้าดูให้ออกสักเรื่อง ก็คุ้มค่ามากแล้วที่มาถึงที่นี่ .."
" เฮ้อ.. จบคะ ความหมายคำขวัญเมืองสุราษฏร์ฯ "
วา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กว่าจะจบได้ ยัยวาเอ๋ย อิอิ
" เก่งนะวานี่ พี่ยอมรับเลยว่า เหมือนเราอาจจะต๊องๆเหมือนทำตังบ๊องส์ๆ แต่ความรุ้เยอะเหมือนกันนี่นา พี่ยอมรับเลยนะเนี่ยะ "
วารู้พี่เมี่ยงเอ่ยปากชมวา จากใจจริงๆ
" ไม่หรอกคะพี่เมี่ยง วาก็แค่กบในกะลา
วายังต้องเรียนรุ้โลกภายนอกอีกเยอะ
สิ่งรอบตัวรอวาให้แสวงค้นคว้าหาคำตอบในบางสิ่งบางอย่างนะคะพี่ "
" แหมๆ เจ้าคารมคมคายนักนะเรานะ ไม่เบาๆแฮะ.."
พี่เมี่ยงพูดพลางขยี้ผมยัยวาเบาๆด้วยความเอ็นดู
( ดีนะคะที่แค่ขยี้เพียงเบาๆ ถ้าผมวาเป็นเสื้อผ้า
สงสัยพี่เมี่ยงขยี้ซะหมดคราบไคล คงสะอาดหมดจด อิอิ )
" เออ ..แล้ว วาไม่คิดจะออกตามหาเจ้าชายกบบ้างหรือไง ? "
จู่ๆพี่เมี่ยงก็ถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
" อะไรของพี่เมี่ยง เจ้าชายกบ งง คะ ? "
คราวนี้วาเป็นฝ่ายที่ทำหน้ามึน เหมือนแมวทึ่โดนขว้างด้วยไม้หน้าสาม อิอิ
" ก็วา บอกพี่เองนี่นา ว่า วาเป็นเพียง กบในกะลา
พี่เลยถามว่า หาเจ้าชายกบเจอหรือยัง ฮา"
และแล้วคราวนี้ พี่เมี่ยงหัวเราะชอบใจที่เอาคืนยัยวาได้สำเร็จ 5555
" เจอแล้วล่ะค่ะ เจ้าชายกบของวา
แม้ว่ามีอายุนิดหนึ่ง ก็ยังร๊ากกกก
วาเปิดเจอในผอบ ตอนที่กราบลาพระเจ้าตาออกไปเป็นกบนอกกะลาไงคะ 555555 " วา พูดจบ ก็วิ่งจู๊ดหลบมะเหงกพี่เมี่ยงคำ
ปล่อยให้พี่เมี่ยงของยิหวานั่งทำหน้าหน่ายในความดื้อรั้นของเธอ
....................................................
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
14 พฤศจิกายน 2551 20:19 น.
ฉางน้อย
ฤดูฝนเพิ่งจะโบกมืออำลาผืนดินนี้ไป
ท้องฟ้าเริ่มแจ่มใส
อากาศเริ่มแห้ง ลมหนาวพัดวูบหวิววเข้ามาแทนที่
ใบไม้ปลิดปลิวร่วงหล่นตามแรงลม ความหนาวเย็นกำลังก้าวเข้ามาเยือน
ในเช้าวันหนึ่งที่เพิ่งย่างเข้าความหนาวเย็นได้เพียงแค่ ไม่กี่วัน
เด็กๆแถวละแวกบ้านฉันต่างก็พากันอวดเสื้อผ้าชุดกันหนาวตัวใหม่ของพวกเขา
เสื้อกันหนาวหลากหลายสีสรร สดใส ดูแล้วเพลินตา
พวกเราผู้ใหญ่ต่างพากันนั่งอมยิ้มกับท่าทีของพวกเขาเหล่านั้น
เด็กๆเหมือนคนที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ ที่ต่างพากันโอ้อวดว่าของตัวเองสวยกว่าใครๆ
พูดถึงลมหนาว ทำให้คิดถึงเสื้อกันหนาวของแต่ละคน
ที่เดี๋ยวนี้มีหลากหลายแบบ
หลายลาย หลากหลายสีสรรให้เลือกซื้อ
แต่ตัวฉันเองไม่เคยได้ซื้อเสื้อกันหนาวบ่อยนัก
อาจคิดว่าไม่ได้ใช้บ่อยๆ แค่เป็นฤดูกาลหนึ่งๆแล้วก็ผ่านพ้นไป
แต่ใครจะคิดล่ะว่า ในฤดูกาลแห่งความหนาวเย็นนั้น
เมื่อลมหนาวมาเยือนแล้ว
ฉันเชื่อว่า แต่ละคนย่อมมีเรื่องราวจากความทรงจำที่ดีๆ
เก็บไว้ในกล่องแห่งความจำ
แม้แต่ตัวฉันเอง ยังคิดนะว่า
เอ...ตอน5ปีผ่านมานั้นฉันได้ไปทัศนศึกษาที่ภูกระดึง
แม้ว่าบนที่สูงสุดของภูแล้วจะเหน็บหนาวแค่ไหนก็ตาม
ฉันคิดว่าคุ้มมากมายที่ได้ฝ่าฟันมาถึงที่นั่น
หรือในลมหนาวของปีถัดมา
ที่ฉันกับคนพิเศษของฉันต่างพากันเกี่ยวก้อยดูดาวยามค่ำคืน
ท้องฟ้าสว่าง มองเห็นดาวดวงน้อยๆมากมาย
ลมเย็นๆที่ชายหาดชะอำปลายปีนั้นฉันยังจำได้เสมอ
ช่างเถอะนะ.....
จะกี่หนาวก็ตาม ฉันยังมีเรื่องราวที่ดีๆเกี่ยวกับลมหนาวมาเล่าสู่กันฟัง
ลมหนาวของเช้าวันนี้ทำให้ฉันนึกถึงเตี่ย
เตี่ยซึ่งเป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่ชอบ
นุ่งกางเกงขาก๊วย คาดพุงด้วยผ้าขะม้าผืนโปรดผืนเล็กๆแค่นั้นเอง
คุณเชื่อไหม ไม่ว่าจะหนาวเย็นสักเพียงใด
เตี่ยไม่ได้สนใจไม่ได้รู้สึกร้อนหนาวเลย
ลมหนาวไม่ได้ระคายผิวเตี่ยแม้แต่น้อยนิด
ฉันเคยเอ่ยปากถามเตี่ยว่า
เตี่ยไม่หนาวบ้างหรือไง แค่ผ้าขะม้าผืนเดียวเอง
เตี่ยกลับตอบว่า คนเรานั้นจะหนาวหรือร้อน ขึ้นอยู่กับใจเรากำหนดต่างหาก
ถ้าเรากำหนดใจเราเองได้ เราก็จะบังคับกายเราได้ สำคัญคือใจของเรานี่
เตี่ยตอบเหมือนหลวงพ่อตอบธรรมะลูกศิษย์เลยนะเนี่ยะ อิอิ
ไม่ว่าลมหนาวจะพัดผ่านมาสักเพียงใดก็ตาม
สิ่งที่เตี่ยมักมีติดตัวคือ
ผ้าขะม้าผืนเล็กๆผืนเดิม อย่างดีก็แค่นำมาห่ม คลุมไหล่แค่นั้นเอง
แค่นั้นจริงๆสำหรับเตี่ย
แต่ผ้าขะม้าผืนนั้น กลับเป็นผืนที่ฉันชอบที่จะนำมาหยิบเล่น
พัดวีเล่นสารพัดประโยชน์
นำมาโพกหัวเล่นเป็นพม่าบุกเมือง
หรือแม้แต่นำมานุ่งทำเป็นโสร่งแปลงร่างเป็นหนุ่มพม่าให้เตี่ยได้หัวเราะ
ฉันชอบที่จะสูดดมกลิ่นผ้าขะม้าผืนนั้นของเตี่ย
ชอบที่จะคลุกคลี เคล้าคลอใกล้ๆเตี่ย
เตี่ยเคยถามฉันว่า ไม่เหม็นกลิ่นสาปเหงื่อไคลบ้างหรือไงกันนะ
กลิ่นเหงื่อกลิ่นกายเตี่ยทั้งนั้น
นานๆที่จะได้ซักสักครั้งหนึ่ง
นั่นเป็นความคิดแบบเตี่ย กลัวลูกเหม็นสาปเหงื่อไคลของเตี่ย แต่สำหรับฉันแล้ว ไม่มีความรู้สึกอย่างงั้นเลยสักนิด
เตี่ยจะรู้ไหมว่า ... เพราะเป็นกลิ่นสาปเหงื่อไคล กลิ่นกายจากเตี่ยนี่แหละ
ที่ทำให้ลูกได้ซึมซับความอบอุ่นใจ
ลูกทราบคะ ว่า ผ้าขะม้าผืนนั้นของเตี่ยอาจเป็นแค่ผืนเล็กๆ
เป็นเพียงผ้าขะม้าราคาถูกอาจไม่ได้ช่วยให้คลายหนาวกายลงได้
แต่เตี่ยจะรู้ไหมว่า แม้แต่ผ้าพันคอยี่ห้อดีๆจากเมืองนอก
ผ้าพันคอจากราฟ ลอเรน ยังสู้ผ้าขะม้าเตี่ยที่คลายความหนาวใจไม่ได้หรอกคะ
ผ้าขะม้าเตี่ยนี่แหละ ที่ทำให้ลูกมีความอบอุ่นใจ ดีกว่าผ้าพันคอจากเมืองนอกเมืองนาดีนักแล
เตี่ยเคยบอกลูกเองไม่ใช่เหรอคะว่า .
.หากเราอบอุ่นที่ใจแล้ว ใจเราก็บังคับกายได้
ลูกก็หวังเพียงแต่ความอบอุ่นทางใจมากกว่าคลายความหนาวทางกายนะคะ
ปัจจุบันผ้าขะม้าผืนนั้นของเตี่ย แม้จะเสื่อมสภาพการใช้งานตามกาลเวลา
ขอให้เตี่ยรับรู้นะคะว่า ผ้าขะม้าผืนนั้นยังอยู่ติดตัวลูกตลอดไป ลูกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้
นึกถึงคืนวันอันเก่าๆ แม้จะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมา แต่มันเป็นความทรงจำที่ดีมากๆไม่ใช่เหรอคะ
ปีนี้ลมหนาวพัดมาอย่างเชื่องช้าเหมือนคนที่ขี้เกียจทำงานตามหน้าที่ของตน
แต่เมื่อลมหนาวมาเยือน กายก็เริ่มจะหนาวสั่นได้เหมือนกัน
แต่ยังไงก็ทนได้คะลูกเตี่ย เก่งอยู่แล้วคะ
แม้ไม่มีผ้าขะม้าผืนเดิม แต่ใจลูกยังเหมือนเดิมคะเตี่ย
ยังคิดถึงลมหนาวที่บ้านนอกเหมือนเดิม
และแล้วปีนี้ ฉันก็ไม่เคยมีความคิดที่จะแสวงหาซื้อเสื้อกันหนาวตัวใหม่ๆเหมือนเช่นเคย
อีกไม่กี่วันก็เช้าแล้ว ....
อีกไม่กี่วันก็หมดหน้าหนาวแล้ว .....
และ อีกไม่กี่วัน ลมหนาวก็คงโบกมืออำลาพวกเราไปอีกแล้ว
ใช่ไหมคะเตี่ย........
...................................
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
13 พฤศจิกายน 2551 21:44 น.
ฉางน้อย
สวัสดีคะคุณ..คนแปลกหน้า
เอ เราเคยรู้จัก เคยทักทายกันที่ไหนหรือเปล่าคะ
แต่ฉันคิดว่าฉันจำคุณได้เสมอนะคะ
ไม่ทราบว่าเราเคยได้พบเจอกันที่ไหนกันน๊า
คุณคนแปลกหน้าพอจะจำได้บ้างไหมคะ
เราสองคนเคยมีความรู้สึกที่ดีๆให้กันใช่ไหมคะ
เหมือนว่าคุ้นเคยในความรู้สึก...เหมือนเคยได้พูดคุย
เหมือนเคยได้นั่งทานข้าวด้วยกัน
เหมือนกับว่า เราสองคนอาจจะได้เจอที่ไหนสักแห่ง
ร้านไอติม ร้านหนังสือ ที่สำคัญเหมือนกับว่า
ฉันจำได้แม่นมากๆว่า เราสองคนอาจเดินดูหนังสือด้วยกัน
ใครคนนั้นยังแนะนำให้ฉันอ่านหนังสือแปลจากต่างประเทศ
ขณะเดียวกันที่ฉันแอบทำหน้าเบ้
เพราะฉันไม่ค่อยสันทัดภาษาต่างประเทศสักเท่าไหร่
ส่วนมากชอบแนวเรื่องสั้น บทกวีนิพนธ์ซะมากกว่า
คุณ คนแปลกหน้ารู้ไหมคะว่า
ฉันน่ะ อาจเป็นนักอ่านที่ดี แต่(อยาก)เป็นนักเขียนที่ไม่เอาไหนเลยล่ะคะ
น่าขันไหมล่ะคะ
คุณคะ คุณพอจะรู้จัก พอจะจำได้บ้างไหมนะ
แต่เขาไม่เคยเป็นคนแปลกหน้าของฉันเลยนะคะคุณ
มีแต่เขา ที่คิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะแปลกหน้าสำหรับเขาไปเสียแล้ว
ในศูนย์อาหารของห้างดังย่านฝั่งธนฯ ฉันกับเขาเคยไปนั่งทานข้าวด้วยกัน
ไม่ทราบว่าคุณพอจะจำคน คนนี้ได้บ้างไหมคะ
ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่สวยงามเลิดเลอกว่าใครๆ
ก็แค่หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาบ้านๆธรรมดา
เสื้อผ้าออกจะทอมบอย ออกจะห้าวๆ กวนๆ
ชอบยั่วโทสะใครบางคนเก่ง
ก็แค่หญิงคนหนึ่งที่ชอบต่อล้อต่อเถียง ชอบต่อปากต่อคำ
ไม่ยอมใครหากคิดว่าตัวเองไม่ผิด
คุณ คนแปลกหน้า คุณอาจจำฉันไม่ได้เสียแล้วกระมัง
แต่ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความจำดีนะคะ
เอ..หรือว่า เรื่องราวครั้งนี้ ฉันอาจจำคุณผิดไป
ขออภัยด้วยหากว่าฉันไปตีเสมอตัวกับคุณ
อีกประการฉันคิดว่าหน่วยความจำของฉัน
อาจทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
คุณคะ ความรู้สึกของฉันยังเหมือนเดิม
มีแต่สิ่งดีๆความรู้สึกที่ดีๆให้ แต่ไม่กล้าไปทำตัวทัดเทียมกับคุณ
คุณรู้ไหม ของฝากจากคนแปลกหน้าคนนี้ของคุณ
ไม่มีแล้วนะคะ ของฝากที่ไม่มีโอกาสได้ให้คุณ
ขอโทษด้วยแล้วกันสำหรับของฝากจากคนแปลกหน้าอย่างฉัน
ของฝากจากบ้านนอก ของฝากจากใจอาจไม่มีค่าสำหรับใครบางคน
คุณคิดเหมือนฉันบ้างไหมคะว่า คนเรานี่ก็แปลกจังเนอะ
เคยพูดคุย เคยรู้จักทักทาย แต่ทำไมวันเวลาผ่านไป
อะไรที่ทำให้เราสองคนกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน
อะไรละ ช่วยบอกฉันที
คุณอย่าคิดมากนะคะ ฉันอาจพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยๆ
ฉันก็แค่ สงสัยว่า ฉันกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาไปแล้วหรือไร
เอาล่ะคะ ฉันรบกวนเวลาคุณมามากแล้ว
อ่อ อีกสักนิดนะคะ หากว่าคุณพบเห็น
หรือว่า รู้จักกับคุณแปลกหน้าของฉัน
ฝากบอกว่า คนแปลกหน้าของเขาคนนี้ยังระลึกถึงเสมอ
มีความรู้สึกที่ดีๆเหมือนเดิม
อยากพูดอยากฝากบอกอะไรมากมาย แต่คิดไม่ออกจริงๆ
.....คนแปลกหน้าของใครบางคน
.....................................
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
26 ตุลาคม 2551 00:19 น.
ฉางน้อย
" ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เหลืออีกเวลาอีก 2นาที
ขบวนรถด่วนพิเศษจากสถานีสุราษฎร์ธานี ไปยังสถานีปลายทางกรุงเทพฯจะ
เข้ามาจอดเทียบชานชลาแล้ว
ขอให้ท่านที่มีตั๋วโดยสารเรียบร้อยแล้ว โปรดรอรถ
ให้พ้นเส้นขอบขาวด้วยครับ ขอบคุณครับ "
เสียงประกาศของนายสถานีที่ออกสำเนียงทองแดงนิดหน่อย
ทำให้ผู้โดยสารท่านอื่นๆรวมทั้งยิหวาและพี่เมี่ยง
ต่างชะเง้อชะแง้แลหารถไฟเที่ยวนี้
ญาติๆถามว่า ทำไมไม่นั่งรถทัวร์ ถึงเร็วกว่าด้วย
วาตอบ เพราะถึงเร็วกว่าไง เลยไม่ชอบ 5555
อีกอย่างนั่งรถไฟได้ดูวิวสองข้างทางด้วย
วาไม่ชอบนั่งรถทัวร์กลางคืน ชอบที่จะนั่งไปเรื่อยๆเอื่อยๆ
ปล่อยความคิดไปข้างหน้า อิอิ ฝันบ้าไปแระยัยวา
ก็อย่างเวลาไปจองตั๋วรถไฟ วามักบอกพนักงานว่า
ขอที่นั่งริมหน้าต่างใน หมายถึงการเดินทางไปคนเดียว
แต่หากไปกันสองคน เพื่อนร่วมทางจะรู้กันดีว่า
ที่นั่งริมหน้าต่าง เสร็จยัยวาแน่แล้ว อิอิ
กระเป๋าสะพายใบเล็กๆของวา ภายในมีแค่กล้องถ่ายรูปตัวหนึ่ง
สมุดบันทึก ปากกาที่ขาดไม่ได้อีก
คือ หนังสืออ่านบนรถไฟคะ
อย่างน้อย8เล่มที่วามักพาไปด้วยเสมอๆ
จนพี่เมี่ยงบอกว่า หนอนหนังสือ(เน่าๆ) 555
รวมทั้งหมากฝรั่งกับยาอมโบตันเป็นกล่องๆด้วย
ยาอม สำหรับให้อม แต่ยัยวาจับได้ใส่ปากก็เคี้ยวๆ 555
" พี่เมี่ยง ตั๋วน่ะ ถือดีๆนะ อย่าทำหายก่อนที่พนักงานจะมาตรวจตั๋ว ล่ะ"
วาย้ำพี่เมี่ยง
" อืม ..รุ้แล้วนะ " พี่เมี่ยงเหล่มองยัยวาแบบเคืองๆ อิอิ
11.07 น. รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีไชยา
วากับพี่เมี่ยงหาที่นั่งได้เรียบร้อยแล้ว
คงไม่ต้องบอกว่ายัยวาแย่งที่พี่เมี่ยงคำนั่งตรงไหน
พี่เมี่ยงเริ่มมองสำรวจภายในขบวนรถ
" อืม.. ค่อยน่านั่ง น่าใช้บริการหน่อย เนอะวา ดูท่าทางสะอาดดีด้วย "
" โห ต้องสะอาด ต้องมีบริการที่ดีซิพี่เมี่ยง วาซื้อตั๋วมาตั้งแพงนะ "
วาไม่วายออกอาการ งก อิอิ
" ทำเป็นบ่น ใครซื้อๆ ตั๋วน่ะ " พี่เมี่ยงมองตาขวาง
" ก็ วาซื้อเองไง ตั๋วน่ะ "
" นั่นแหละ วาซื้อ แล้วเงินใครหือ ..? " พี่เมี่ยงไม่ยอมวาเล๊ย
" แหะ..แหะ. ก็เงินต่ะเองแหละ แฮ่..แฮ่.."
วา พูดพลางแลบลิ้น ทำหน้าทะเล้น
ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ยิหวา กับพี่เมี่ยงคำ มีเรื่องให้ชวนทะเลาะ
เอ๊ย ชวนคุยกันบ่อยๆ อีกคนช่างซัก
อีกคนก็เฉไฉไปเรือย
บ่อยครั้งที่เกือบพามาที่สนามมวยลุมพินี 5555
มวยคู่เอกระหว่าง เมี่ยงคำ หนุ่มเมืองจันทร์
กับ ยิหวา ศิษย์มวยไทยไชยา
เพราะต่างวัน ความคิดถึงได้ต่างกัน
ต่างก็คิดว่าเหตุผลของตัวเองดีที่สุด
แต่สำหรับสองคนนี้แล้ว แม้ต่างวัย แต่ใจไม่ต่างกัน
แฮ่..แฮ่...
ดูท่าทางศิษย์มวยไทยไชยาน่าจะได้เปรียบคู่ชกในลีลาแม่ไม้มวยไทย
ไหว้ครูสวยต่างหาก5555555
ในขณะเดียวกันหนุ่มเมืองจันทร์ดูจะมีภาษีกว่าตรงที่ผ่านมาหลายเวที อิอิ
ได้เปรียบคู่ชกตรงที่น้ำหนักเกินพิกัด(ไม่ปล่อย)
" สถานีต่อไปเป็นอะไรละวา " พี่เมี่ยงถามด้วยอยากรุ้
" สถานีท่าชนะมั้ง ไม่แน่ใจ เพราะรถด่วนพิเศษมักจอดแค่สถานีใหญ่ๆน่ะคะ "
" พี่เมี่ยงรู้ป่าว เมื่อก่อนสถานีไชยาน่ะ เป็นสถานีอันดับ 3 แน่ะ
แต่เพิ่งเปลี่ยนเป็นสถานีอันดับ 2 เมื่อกลางปี 49 นี่เอง "
วาชวนพี่เมี่ยงพูดคุย เท่าที่ตัวเองได้รับรุ้มา
" แล้วอันดับ 2 กับ อันดับ 3 ต่างกันไงละวา ?
" ด้วยความที่พี่เมี่ยงไม่คุ้นเคยต่อสถานที่แปลกๆใหม่ๆ เลยทำให้มีคำถามเรื่อยมา
" คงเหมือนที่เขาจัดอันดับโรงแรมมั้งพี่เมี่ยง
ระดับสี่ดาว ห้าดาวอะไรประมาณนั้นะ ว่าคิดว่าอ่ะ "
วา ตอบแบบ(สู่)รู้อีกแล้วครับทั่น อิอิ
" อ่อ คงจริง น่าจะใช้ เก่งนี่เราน่ะ เจ้าถิ่นนี่นา เนอะ ไม่เก่งได้ไง "
นั่งคุยได้สักพักเวลาเที่ยงตรง 12.00น.
มีพนักงานสาวมาถามรับน้ำอะไรดีคะ?
เพราะว่า เธอเข็นข้าวกล่องมาแจกคนละกล่องๆ
วา อยากตอบเหลือเกินว่า ขอรับน้ำใจ แหะ..แหะ..
กลัวพี่สาวคนนั้นมองมาตาเขียวๆ
เลยบอกว่า ขอน้ำนางเอกคะ พนักงานยิ้มใจดี
วาขอน้ำส้ม พี่เมี่ยงขอน้ำเปล่า หุหุ ผู้ดี กินน้ำ เป-ล่า อิอิ
ข้าวกล่องมีกับข้าวสองอย่าง มีขนมหวานแยกอีกนิดหนึ่งให้กินกันตาย อิอิ
ยิหวา เขี่ยๆๆ เขี่ยเนื้อหมูให้พี่เมี่ยง
ตัวเองกินแต่ผักกะน้ำ แหะ.แหะ..โดนดุอีกแระ ตู
ผัก เนื้อทำไมไม่กิน?
ทำไมไม่กินหมู ทำไมต้องเขี่ยๆให้คนอื่น
รู้ไหมกินแล้วมีประโยชน์ ฯลฯ
สารพัดคำถามทำไมจากพี่เมี่ยง เฮ้อ ....
นั่งได้สักพัก หนาวก็หนาว ปวดเฉ่ ก็ปวด อิอิ
ฝนข้างนอกก็ยังตกหนักพอสมควร
ส่งผลให้อากาศข้างในยิ่งหนาวๆขึ้นไปอีก
โชคยังดี ที่มีเสื้อแขนยาวตัวโปรดไปด้วย
ไม่งั้นสั่นงั่กๆๆ
" เป็นไร วา นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ปวดท้องเหรอ ? " พี่เมี่ยงห่วงหา
" ป่าวคะ ไม่มีไร " วา ตอบ ทั้งๆที่ในใจคิดว่า
หารู้ไม่ วาปวดเฉ่ แทบกลั้นไม่ไหวแว้วว
15 นาทีผ่านไป ...
" เป็นไรวา หนาวเหรอ ? " พี่เมี่ยงอาทร รอบสอง
เมื่อเห็นยิหวานั่งบิดซ้ายย้ายขวา
" ป่าวค่ะ นิดหน่อย (ปวดเฉ่นิดหน่อย อิอิ ) "
วาคงทำหน้าซื่อ(บื้อ)ตาใส ยังคงกลั้นเฉ่ไว้อย่างงั้น
อู๊ยยยยย.. ทนอ่านหนังสือก็แล้ว นอนก็แล้ว
ยังไม่หายปวดอีกวุ้ย(คะ) จะไม่ไหวแล้วน๊า
ทนๆ กลั้นๆ ไม่ชอบเข้าใช้บริการห้องน้ำบนรถไฟอ่ะ
กลัวหลายอย่าง กลัวไม่สะอาด
กลัวประตูห้องน้ำไม่แข็งแรงด้วย อิอิ
" วา เป็นไรไป เห็นนั่งยุกยิกๆครึ่งทางแล้วนะเราน่ะ มีไรไหนบอกซิ ? "
พี่เมี่ยงคงทนรำคาญไม่ได้เห็นวานั่งยุกยิกๆเกือบ3ชั่วโมงมาแล้ว
" บอก ก็ได้ เค้าปวดเฉ่ อ่ะ
พี่เมี่ยงไปยืนรอวาหน้าห้องน้ำหน่อยดิ "
วาเสียงอ่อยๆ
" อ้าว แล้วกัน แล้วไม่บอก กลั้นอยุ่ได้ เดี๋ยวฉี่แตกตรงนี้หรอก ไปๆๆ"
....... เฮ้ออออ... รอดตายไปยัยวาเอ๋ย
" พี่เมี่ยงๆ เดี๋ยวอีกไม่นานคงถึง สถานีหัวหินแล้วละ ประจวบฯไง "
วารุ้ดีอีกแล้ว
" เหรอวา หัวหินที่เป็นทะเลเป็นหาดดังๆน่ะเหรอ
ผ่านด้วยเหรอ อยากเห็นจัง "
" งั้นเราลงสถานีหัวหินไหมวา คงสวยเนอะ"
พี่เมี่ยงแกล้งถามแหย่วาเล่น เพราะรู้ว่าวาชอบทะเลเป็นชีวิตจิตใจ
" ใครพูดแล้วเอาคืน มะรืนเป็นหมัน
ใครพูดแล้วทำไม่ได้ อย่าพูดน๊า " วาเหน็บพี่เมี่ยงนิดๆ อิอิ
" พี่ไม่ได้พูด แค่ถามเฉยๆ 5555 อยากไปทะเลซิท่า รอหน่อยนะ "
เวลาบ่าย 15.00 น. ได้เวลาอาหารว่างอีกแล้วคะ เป็นขนมปัง
หรือแล้วแต่เจ้าหน้าที่จะจัดให้มา รวมทั้งกาแฟด้วย ฮื่อ ..น่าทานจัง
รถไฟวิ่งผ่านสถานีต่างๆ จนกระทั่งสถานีศาลายา เรื่อยๆๆ
ไปจนถึงสถานีปลายทางหัวลำโพง หรือ สถานีกรุงเทพฯนั่นเอง
" จะถึงหัวลำโพงแล้วนะวา อย่างัวเงีย ตื่นๆ"
" รู้แล้วน่ะ ปลุกทำไมเล่า คนกำลังหลับสบาย "
ยัยวา ยังอิดออด ไม่อยากตื่น
"....ท่านผุ้โดยสารโปรดทราบ ที่นี่สถานีปลายทางกรุงเทพฯ
การรถไฟขอกราบขอบพระคุณท่าน
ที่ให้การสนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้
กรุณาอย่าลืมนำกระเป๋า สิ่งของ และสัมภาระของท่าน(และของผู้อื่น)ติดตัวลงมาด้วย
....ติ๊งต่อง...ขอกราบขอบพระคุณครับ...."
...... จบเถอะคะ คุณผู้อ่านทั้งหลาย.....
ปล..... ฉางน้อย ขอโทษเพื่อนๆทุกท่านนะคะ ที่จริงเรื่องนี้ มีข้อมูลและภาพประกอบด้วยคะ แต่พอฉางน้อยนำมาใส่แล้วมักเป็นรูปกากบาท เลยเซ็งจัด ท้อใจ
ทำให้เพื่อนๆอดชมภาพสวยๆงามๆ ใครมีวิธีการใส่รูปที่ไม่เป็นกากบาทบ้างไหมคะ
ขอบคุณล่วงหน้ามากๆค่ะ