15 มกราคม 2552 01:05 น.
ฉางน้อย
ฮั่นแน่ะๆ.. งง กันล่ะซิคะ ว่า ยัยนี่ทำอะไรอีก
ริมรั้ว รอบบ้าน ชานเรือน ก็แค่คำสั้นๆ แต่มีความหมาย อิอิ
ริมรั้ว ..ก็หมายถึง สรรพสิ่งทุกอย่างที่อยุ่ริมรั้วต่างๆนาๆ
รอบบ้าน.. เอ อะไรบ้างน๊า ที่อยุ่รอบบ้าน ส่วนมากเป็นไม้ดอกซิคะ
ชานเรือน .. ก็คนไทยสมัยก่อนสร้างบ้านมักจะมีชานเรือนยื่นออกมา
แต่คนไทยเดี๋ยวนี้มักนิยมสร้างด้วยตึกหรือไม่ก็เป็นตึกแถว
เลยมักไม่ค่อยเห็ฯบ้านทรงไทยสมัยก่อนที่มีชานเรือนไว้ต้อนรับแขก
ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน
เฮ้อ.. เกริ่นมาซะนาน เข้าเรื่องดีกว่าคะ อิอิ
ไม่มีอะไรหรอกคะ จู่ๆความรุ้สึกคิดถึงบ้านก็มาเยือนในใจ
เลยหยิบปากาสมุดมาเขียนอะไรเล่นๆสักหน่อย พลางคิดได้ว่า
เราน่าจะลงรูปไว้ดูเล่นๆ เก็บไว้เป็นเรื่องราวประทับใจของเราดีกว่า
.....ก็แค่เนี๊ยะ แค่เนี๊ยะ จริงๆน๊า 55555
.............
4 มกราคม 2552 02:54 น.
ฉางน้อย
" วา ว่าไง ไหนมีโปรแกรมพาพี่ไปเที่ยวไหนละวันนี้น่ะ ? "
พี่เมี่ยงเอ่ยถามยิหวา หลังจากตั้งวงทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว
" มีซิพี่เมี่ยง วาคิดว่าจะพาไปเที่ยวดูเขื่อนเชี่ยวหลานน่ะ "
" ห๋า อะไรนะวา เขื่อนมู่หลานเหรอ มีด้วยเหรอ ชื่อนี้ ? " พี่เมี่ยงหูดี ได้ทุกเรื่องซิน่า
" เขาเรียกว่า เขื่อนเชื่ยวหลานต่างหาก เขื่อนรัชชประภานะ รู้จักไหมละ แหมๆ "
วา ตอบพี่เมี่ยง พลางค้อนประหลับประเหลือกกับคำว่า เขื่อนมู่หลานของพี่เมี่ยง
" อ่อ ก็พอจะรู้จัก แต่ไม่เคยได้ไปสัมผัสธรรมชาติจริงๆหรอกนะ รอวาพาไปนี่แหละ"
"พอเลย พอๆไม่ต้องมาอ้อน เดี๋ยวต้องดูก่อนว่าไปได้ไหม ดูฝนท่าทางจะตั้งเค้าลงมาหนักแน่เลย"
วา กับ พี่เมี่ยงยังคงโต้เถียงกันเป็นประจำ เป็นที่รู้กันดีของคนรอบข้าง
แต่ก็ได้แค่โต้เถียงอ้างเหตุผลของตัว ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงสักครั้ง อิอิ
วา หายไปราวๆ 5 นาที กลับมายิ้มหน้าบานยิ่งกว่าจานดาวเทียม
(อันนี้พี่เมี่ยงชอบว่ายิหวา)
" วา ว่าไง ไปได้ไหม เห็นเดินยิ้มมาซะแก้มบานเลย "
" ได้น่ะได้ แต่ว่า ต้องเอารถไปสองคันนะ แต่วาขอนั่งกะบะหลังนะพี่เมี่ยง "
" อ้าว ทำไมต้องนั่งกะบะหลัง อันตรายจะตายไปนะ นั่งกับพี่น่ะดีแล้วนะวา "
" ไม่หรอกคะพี่เมี่ยง วาเก่ง วาชำนาญคะ
วาแค่อยากเก็บภาพสวยๆระหว่างที่รถวิ่งผ่านด้วยคะ นะคะๆๆ"
" อีกอย่าง วาก็ห่วงพี่เมี่ยงด้วย พี่น่ะภูมิแพ้ด้วยนะคะ
พี่เมี่ยงนั่งหน้าน่ะดีแล้วคะ นะๆๆ อย่าเกเรซิน๊า คนดี๊ คนดี แหะ..แหะ.."
วาพูดพลางทำหน้าทะเล้นอย่างอดขำตัวเองไม่ได้ อิอิ
วา ดูเหมือนท่าทางจะรั้น แต่เธอก็มีเหตุผลที่เธอชอบ แน่นอนเกมส์นี้วาชนะอีกด้วยเหตุผลความรั้นอีกตามเคย 5555
เจอลูกอ้อนของยัยยิหวา พี่เมี่ยงเลยได้แต่(จำใจ)เงียบ
ระยะเวลาการเดินทางจากบ้านวาไปยังเขื่อนเชี่ยหลานนั้นใช้เวลาประมาณ
หนึ่งชั่วโมงกับอีกสามสิบนาที ก็นับว่าไกลพอสมควร
ซ้ำฝนก็เริ่มตกปรอยๆจนกระทั่งว่าคนที่นั่งหลังกะบะท้ายรถ
เปียกมะล่อกมะแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำ
พี่เมี่ยงห่วงยิหวา หันมามองด้านหลังบ่อยๆ แต่มีหรือคนอย่างวาจะท้อ
ขอให้ได้เที่ยว วายิ้มสดชื่นชูสองนิ้วให้ หนูสู้ตาย ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มตกกระหน่ำ
บ่อยครั้งที่พี่เมี่ยงให้คนขับหยุดจอดข้างทางเพื่อให้ยิหวาเข้าไปนั่งหน้าคู่กับเขา
แต่วาเปียกแล้ว เลยฝากกล้องไว้กับพี่เมี่ยงแล้วเธอก็ไปนั่งสนุกกับเพื่อนร่วมทางกันต่อไป
" เฮ้อ ถึงสักทีนะวา ไงละเรานะ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย สมน้ำหน้า อยากซ่าดีนัก "
พี่เมี่ยงลุกมาบิดซ้ายบิดขวา พลางสูดอากาศบริสุทธิ์ซะเต็มปอด
อ่ะนะ ไม่เห็นใจคนเปียกฝนยังจะสมน้ำหน้ากันอีก จำไว้เลย ฮึๆ
" วา สวยจังนะ สวยมากๆเลยล่ะ อยากมีบ้าน ที่รายล้อมด้วยสนามหญ้าแบบนี้บ้างจัง "
" อ้าว แล้วกันซิพี่เมี่ยง รู้จักกันมานาน เพิ่งมาชมคนกันเองว่า สวยจังๆ เค้าเขินนะ "
" บ้าน่ะ พี่ไม่ได้ชมวา พี่ชมธรรมชาติรอบตัวต่างหาก สวยมากๆ แหมๆ ยัยนี่ "
" วา ดูซิ สนามหญ้าก็กว้างใหญ่ เขียวขจี อากาศก็สดชื่น เฮ้อ ความสุขอยู่ที่นี่นี่เองเนอะวา "
" เฮ้อ พี่ชักจะหลงรักบรรยากาศเมืองใต้ซะแล้วซิ สวยมากๆ"
" พี่ๆ รักบรรยากาศเมืองใต้ แล้วไม่รักสาวใต้ด้วยสักคนเหรอพี่ 555 "
ใครบางคนพูดแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาของวากับพี่เมี่ยงคำ
แหมๆ มันน่านัก น่าเหยียบตาปลาคนพูดนักเชียว หารู้ไม่ เค้าเขินนะเฟ้ย อิอิ
...............................................................
" เขื่อนเชี่ยวหลานนี่นะพี่เมี่ยง เป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียว มีความสูงประมาณ 94 เมตร
มีความยาวของสันเขื่อนประมาณ 761 เมตร "
วา อธิบายให้พี่เมี่ยงฟัง พลางเดินชมวิวทิวทีศน์เหนืออ่างเก็บน้ำ
ฝนยังคงตกปรอยๆ แต่ก็มีผู้คนทยอยเข้ามาเยี่ยมชมกันเรื่อยๆอย่างไม่เกรงกลัวว่าฝนจะตกหนัก
สมาชิกคนอื่นๆในคณะของวา ตื่นตาตื่นใจส่งเสียงเจี้ยวจ๊าวด้วยความชอบใจ
ต่างพากันแยกตัวไปถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน
วาเองก็เช่นกัน กล้องถ่ายรูปตัวเล็กๆคล้องคอตลอดเวลา เตรียมพร้อมใช้งานได้ทันที
" อ่อ แล้วเขื่อนเชี่ยวหลานนี้นะ สร้างนานหรือยังล่ะวา ทำไมพี่ไม่ค่อยคุ้นหูเลยล่ะ หือ ? "
พี่เมี่ยงซักถามไกด์(จำเป็น)ด้วยความสงสัย
" สร้างนานแล้วนะพี่เมี่ยง ตั้งแต่สมัยวาเป็นเด็กๆแน่ะ ราวๆวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี2525 มั้งพี่เมี่ยง "
" เริ่มสร้างปี 2525 แล้วเสร็จสิ้นประมาณเดือนกันยายน ปี 2530 น่ะคะ "
พี่เมี่ยงได้แต่มองหน้าวาด้วยความทึ่ง แกมสงสัยว่า
คนอย่างยิหวาเป็นผู้รอบรู้ด้านวิชาการด้วยเหรอไงกัน
ได้แต่สงสัย แต่ไม่กล้าถาม วาก็รู้หรอกน่ะ อิอิ
" อืม.. วาก็เก่งนะ ด้านวิชาการ ใครว่ายิหวาของพี่เมี่ยงเก่งแต่เรื่องไร้สาระหน๊อ "
" นั่นซิ ใครหน๊อ ชอบประชดวา ว่าเป็นเด็กไร้สาระไปวันๆ ฮึๆ ใครหน๊อว่าเราเอาไว้ เนอะ "
" พอๆ พี่เมี่ยงน่ะพอเลยไม่ต้องมาประชดวาหรอก วารู้ แหมๆ วาก็บอกให้พี่ทราบเท่าที่วารู้หรอกน่ะ"
" เขื่อนเชี่ยวหลานน่ะ เป็นชื่อเรียกที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันตามสถานที่หมู่บ้านเดิมของเขา
คือเชี่ยวหลาน "
" แต่ชื่อเรียก อย่างเป็นทางการก็คือ เขื่อนรัชชประภา
ซึ่งเป็นนามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามนี้ให้มา..
" แล้วพี่เมี่ยงพอจะทราบความหมายไหมละว่า เขื่อนรัชชประภา มีความหมายว่าอย่างไร ?"
วา โยนคำถามย้อนกลับให้พี่เมี่ยงตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
" ไม่รู้ซิ พี่ไม่ได้เป็นเจ้าถิ่นเหมือนวานี่นา จะให้พี่รุ้ได้ไงล่ะ "
พี่เมี่ยงส่ายหน้าบอกไม่รู้
" ความหมายของคำว่า เขื่อนรัชชประภา ก็คือ แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร "
วา ตอบพลางยักคิ้วอย่างผู้ชนะ พี่เมี่ยงก็ได้แต่ถึงบางอ้อ
............................................................
" แล้วพี่เมี่ยงรู้ไหมว่า เขื่อนเชี่ยวหลานนะมีประโยชน์มากมายเลยนะคะ "
วา ยังคงติดปากกับคำว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน
" ไม่ว่า การบรรเทาอุทกภัย เขื่อนจะช่วยเก็บกักน้ำในฤดูฝนตกหนักๆได้เยอะเลย "
" หรือแม้แต่การประมง เพราะในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของเขื่อนที่นี่เป็นแหล่งการประมงน้ำจืดไงคะ
เป็นการสร้างรายได้ให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่งน่ะค่ะ "
" อ่อ พี่รู้แล้วละ พี่พอจะเข้าใจแล้ว วา เก่งนะตัวแค่นี้ พี่ยอมรับนะเนี่ยะ "
" ไม่หรอก พี่เมี่ยง วา บอกแล้วไง วาบอกเท่าที่วารู้วาทราบ
และแล้วก็จบแค่นี้ เท่าที่วารู้ แหะ..แหะ.."
ยิหวา หรือ วา กล่าวสรุปเอาดื้อๆ เธอเสไปพูดเรื่องอื่น
" พี่เมี่ยง ห้องน้ำชายอยู่ฝั่งโน้นนะ ข้างๆร้านขายของที่ระลึกนะ "
" เดี๋ยวซิวา แล้ว กุ้ยหลินเมืองไทย ล่ะ คืออะไร พี่ไม่เข้าใจ ไม่เห็นเลยนะ "
" อ่อ ใช่ๆ วาลืมไปได้ไงน๊า เอางี้ เดี๋ยววาชวนพี่เมี่ยงกับคณะของพวกเราไปลงเรือเลยดีกว่านะ "
" พี่เมี่ยงจะได้ยลโฉม กุ้ยหลินเมืองไทยว่าจะสวยงามเทียบกุ้ยหลินเมืองจีนได้หรือไม่ "
วา พูดก็เดินนำดุ่มๆไปยังท่าเทียบเรือในอ่างเก็บน้ำ
ก่อนลงเรือคณะของวาต้องใส่เสื้อชูชีพพร้อมทั้งต้อง
ฟังคำสั่งของนายท้ายเรืออย่างเคร่งครัด นั่นก็คือ ห้ามดื้อ ห้ามซนในเรืออย่างเด็ดขาด 55555
เรือสองลำลอยล่องชมวิวทิวทัศน์ในอ่างเก็บน้ำ
" อืม... สมคำเล่าลืมจริงๆนะวานะ กุ้ยหลินเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้จริงๆด้วยซิ "
" พี่ต้องขอบใจวานะ ที่ทำให้พี่เจอแต่สิ่งดีๆได้สัมผัสธรรมชาติที่งดงาม
แถมยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดก็ครานี้เอง
ธรรมชาติเมืองใต้ยังมีสิ่งดีๆหลงเหลืออยู่อีกเยอะนะนี่ พี่ไม่เคยรู้เลย "
พี่เมี่ยงพยายามพูดแข่งกับเสียงเครื่องเรือยนต์ที่ลุงใจดีคนหนึ่งเป็นนายท้ายให้เรา
กระนั้น พี่เมี่ยงก็บ่นเสียดายไม่ได้เตรียมตัวมาพักค้างคืนที่แพในอ่างเก็บน้ำ
สมาชิกบางคนบ่นเสียดายไม่ได้มาเล่นน้ำ
บางคนบ่นเสียดายไม่ได้มาตกปลาทั้งๆที่เตรียมคันเบ็ดมาแล้วนี่ซิ
วา ได้ให้ความหวังกับพวกเขาว่า ปีหน้าฟ้าใหม่ จะพามาอีกแน่นอน
ใครบางคน(อีกแล้ว)พูดแทรกขึ้นมาดังๆว่า ได้มาเที่ยวเขื่อน กุ้ยหลินเมืองไทยนี้
ก็นอนตายตาเหลือก เอ๊ย นอนตายตาหลับแล้วละ 55555
ทำให้คณะของพวกเราได้แต่หัวเราะขบขันกับคำพูดแปลกๆของเขาคนนั้น
สุขกาย สุขใจ สุขไหนจะเท่าธรรมชาติปักษ์ใต้บ้านเรา
เอ.. เคยได้ยินคำพูดที่ไหนน๊าว่า ธรรมชาติอยู่ได้ถ้าไม่มีนุษย์เบียดเบียน
แต่มนุษย์อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมชาติ คำกล่าวนี้เห็นท่าจะเป็นจริงแน่แท้เชียว
.....กุ้ยหลินเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ เขารอคอยการมาเยือนของคุณอยู่นะคะ.....
......................................
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะเ ล ไ ร้ ค ลื่ น )
27 ธันวาคม 2551 21:46 น.
ฉางน้อย
บ้านของฉันมีสัตว์เลี้ยงมากมาย
ไม่ว่าสุนัข หรือ คนทั่วไปเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า หมา นั่นแหละคะ
มีแมวสองตัว ชื่อกุ๊กกิ๊ก กะ ตัวเล็ก เป็นเด็กผุ้หญิงทั้งคู่
เจ้าตัวเล็กซนเหมือนลิง เลยไม่รู้ว่าเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า ชอบอ้อน
ชอบประจบ (ไว้วันหน้ามีวีรกรรมของตัวเล็กมาเล่าให้ฟังคะ)
แล้วก็มีกระต่ายอีกสองตัว เป็นตัวผู้กะตัวเมียอย่างละตัว
มาอ่านกันคะ ....
บ้านฉันมีสุนัขสองตัว ชื่อ เจ้าแพนด้า กับเจ้าแดง
เจ้าแพนด้านั้น ฉันจำได้.....
เมื่อปีปลายก่อน เจ้าหน้าที่เทศกิจได้รับนโยบายให้กำจัดสุนัขเร่ร่อน
แต่เจ้าแพนด้าตอนนั้นยังไม่มีชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริง
ฉันเห็นเจ้าแพนด้าวิ่งหน้าซีด เหงื่อตก เหมือนคนที่ลืมกินเอ็ม 16 เอ๊ย เอ็ม -150ก่อนทำงานแบกหาม
หางงี้ก็ตก จุกตูดเชียว เจ้านี่ฉลาดนัก วิ่งเข้ามาหลบมุมมานั่งทำหน้าเจี๊ยมเจี้ยมที่ในบ้านฉันหน้าตาเฉย
ฉันหันกลับไปอีกที เห็นเจ้าหน้าที่เทศกิจไล่กวดหมาตัวอื่นๆอย่างเอาเป็นเอาตาย
บ้างก็ไล่ตะครุบหมาจรจัดล้มลุกคลุกคลานทั้งหมาทั้งคนที่ไล่จับ
เจ้าแพนด้านั่งซุกมุมเงียบๆ ทำหน้าตาละห้อย แต่ตัวสั่นเทาทีเดียว
ฉันก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ก็สงสารนี่ เลยไม่โวยวายอะไรออกไป
โถ..เจ้าหมาน้อยที่น่าสงสาร ฉันเลย(จำใจ)ให้ข้าว
ให้น้ำประทังชีวิตแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งๆ
แต่คุณเธอยึดแถวละแวกบ้านฉันประทังตลอดชีพเลยนี่(หว่า)
(ทำยังกะบ้านฉันเป็นที่ทำใบขับขี่ตลอดชีพเชียวแพนด้าเอ้ย
ทั้งๆที่ฉันให้โอกาสแกแค่ 3 เดือน ค่อยต่อใหม่ 555)
ส่วนเจ้าแดงนั้น เป็นหมาต่างจังหวัด แต่ถ่ายรูปมาให้ดูเฉยๆ
เป็นหมาพันธ์ไทยแท้ไม่มีลูกครึ่งหรือครึ่งลูก
ฉลาดกว่าฉันนิดนึงตรงที่ไหว้คนง่าย เชื่อคนง่าย
ทักทายสวัสดีได้ ตีลังกาได้ ส่วนฉันน่ะเหรอ
กะว่าจะตีลังกาอย่างเจ้าแดง ก็ติดพุงกลมๆทุกทีซิน่ะ
(อายหมามันไหมละ อิอิ )
นอกจากนั้นก็ยังมีแมวเหมียวอีกสองตัว แต่วันนี้ถ่ายรูปมาให้ดูแค่ตัวเดียวก่อน
เจ้ากุ๊กกิ๊ก แต่ฉันชอบเรียกว่า เจ้าอ้วน
เพราะนอกจากอ้วน แล้วยังขี้เกียจอีก
อาหารแมวต้องคัดสรรอย่างดี เพ็ดดีกรี เชียวนะคะ
เพชรไดม่อนด์เธอไม่สนคะ
ใครจะใส่เสื้อสีอะไร หรือใครจะมีขนมถุงละล้านเธอไม่สน
เธอกินแล้วนอนอย่างเดียว
โอ มายก๊อด ความสุขที่แท้จริงที่หาไม่ได้อีกแล้ว 55555
ยังคะ ยังมีอีก เจ้ากระต่ายสองตัว ตัวหนึ่งเป็นเพศเมีย ต
ลำตัวจะป้อมๆลักษณะช่วงลำตัวจะกว้างๆ
แต่ไม่ได้มีไขมันแบบน่าเกลียดนะคะ
(สงสัยกระต่ายบ้านฉันแอบเข้าฟิตเนสบ่อยๆ อิอิ )
ช่วงขาก็จะสั้นๆ ตัวก็จะเตี้ยๆ
อีกตัวเป็นเพศผุ้ เพศผู้นี้มีลักษณะลำตัวที่ยาวกว่านิดหน่อย ได้
ถ้าเป็นนักมวยจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ที่มีช่วงลำตัวที่ยาวกว่า
เหมือนเม่นเก้าแสน กระทุ้งแดงยิม ที่ชนะน๊อคคู่ต่อสู้ในยกที่ 1 เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง
ขอย้ำนะคะ กระต่ายทั้งคู่นี้มีฟันที่แหลมคมมาก ฉันเองยังเคยเผลอตัวได้เลือดไปซิบๆคะ
มีลำตัวสีเทาๆออกน้ำตาลๆด่างๆคะ
อ่อ ลืมบอกว่า กระต่ายคู่นี้ ตัวเมียชื่อ เค็มจังแก ส่วนตัวผู้ชื่อ แคจังกิม
อืม..ชื่อน่ารักเหมือนดาราเกาหลีไหมล่ะคะ 55555
ทั้งคู่อยู่ในชายคาบ้านฉันมาร่วมสิบปีแล้วมั้งคะ
อ่ะๆ อย่าเพิ่งแปลกใจนะคะ ทำไมวงจรชีวิตของกระต่ายคู่นี้ยืนยาวจัง
เอ.. แล้วเขากินอะไรเป็นอาหารน่ะเหรอคะ เดี๋ยวมีเฉลยคะ
ก่อนอื่นหารูปมาให้ดูกันก่อนคะ น่ารักซะไม่มีล่ะ อิอิ
.................................................
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
ปล. เขียนเพื่อความสนุกสนาน ขำๆขันๆ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และหัวเราะ
ข้อควรระวัง...ก่อนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เราเตือนคุณแล้ว
กรุณาถอดฟันปลอมของคุณวางไว้ใกล้ตัวดีที่สุด อิอิ
21 ธันวาคม 2551 18:48 น.
ฉางน้อย
โห ยัยวา ซื้ออะไรมาเยอะแยะอีกแล้ว
พี่เมี่ยงร้องทักยิหวาแต่ไกลเมื่อเห็นวาเดินหิ้วของมายังจุดนัดหมาย
ณ.ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่ผู้คนพลุกพล่านพอสมควร
เยอะที่ไหนกัน พี่เมี่ยงก็ แหมๆ ชอบพูดเกินเลย
ก็ขนมครกแค่ 2 กล่องกับน้ำส้มคั้นอีก 2 ขวดเล็กๆเนี๊ยะนะ เยอะตายล่ะ แหมๆ วา เถียง เอ๊ย บอกให้พี่เมี่ยงของเธอฟัง
ก็นั่นแหละ แล้ววาจะไปกินที่ไหนล่ะ หอศิลป์เขาไม่ให้นำของเข้าไปกินนะ
ก็วารู้แล้ว แต่ว่า วาแค่จะ...
อย่าเพิ่งพูดมาก รถเมล์ครีม-แดงสาย 47 รถเมล์ฟรีเพื่อมวลชนมาแล้วล่ะ ไปๆๆ
บ่อยครั้งที่วากับพี่เมี่ยงคำของเธอมักมีเรื่องให้ถกเถียงกันตลอด
ต่างคนต่างหาเรื่องมาบอกกล่าวที่สมเหตุสมผล
มานี่วา เอาของมา พี่ช่วยถือให้.. พี่เมี่ยงพูดพลางยื่นมือจะช่วยถือของให้วา
พี่เมี่ยงเป็นสุภาพบุรุษเสมอสำหรับยิหวา
(รวมทั้งผู้หญิงอื่น ผู้สูงอายุ เ ด็ก ผู้อ่อนแอกว่า และสตรีผู้มีครรภ์
อิอิ เกี่ยวกันไหมเนี่ยะ)
ไม่ต้องเลย อยากซื้อดีนักนี่ ถือเองซะให้เข็ด
วาตอบพลางแย่งถุงขนมคืนจากมือพี่เมี่ยงคำ
แถมท้ายด้วยค้อนวงเล็กๆแต่พองาม หุหุ (ถ้ายิหวาส่งค้อนปอนด์ให้
สงสัยพี่เมี่ยงคอหักแล้วป่านนี้ อิอิ ) พี่เมี่ยงได้แต่อมยิ้มส่ายหน้าด้วยความระอาใจ อิอิ
..........................................................................................
โชคดีที่รถเมล์ฟรีเพื่อมวลชนสาย 47 คันนั้นยังมีที่นั่งว่างพอสำหรับเราสองคน เพราะขึ้นจากป้ายรถเมล์ต้นสาย ท่าช้าง เพื่อไปลงหน้าห้างมาบุญครอง
ก็พี่เมี่ยงบอกว่า วันนี้จะพาไปดูนิทรรศการภาพวาดของ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอนี่นา ยิหวา ก็ไม่รุ้หรอกว่า
หอศิลป์ที่พี่เมี่ยงคำบอกนั้น อยุ่ตรงไหนของกรุงเทพฯ
ไม่เป็นไร เอาเป็นว่า วาเดินตามหลังพี่เมี่ยงไปแล้วกัน
แต่พี่เมี่ยงก็บอกว่า เป็นหอศิลป์วัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
อยู่แถวสี่แยกปทุมวันนี่นา
ที่นั่นจะมีการจัดแสดงนิทรรศการตั้งแต่วันที่ 7 28 ธ.ค.2551นี้
พี่เมี่ยง กินขนมครกป่ะ กินดิ จะได้หมด
ไม่ต้องถือเข้าไปในหอศิลป์ให้เกะกะ
วาชวนพี่เมี่ยงกินขนมครกเจ้าปัญหาของเธอ
ไม่ล่ะ วากินซิ มาเดี๋ยวพี่ป้อนให้ดีกว่านะ พี่เมี่ยงส่ายหน้า
คงกลัววากินไม่อิ่มแน่เลย อิอิ
ไม่ต้องเลย เค้ามีมือ กินเองได้
อย่าดื้อน่ะวา จะกินดีๆไหม หือ ?
เสียงต่อล้อต่อเถียงให้ได้ยินกันสองคน
วากินฝา พี่เมี่ยงกินฝา (ขนมครกเขาเรียกเป็น ฝา ใช่ไหมล่ะ
หรือว่า ใครจะเถียง อิอิ )
ภายในไม่กี่นาที ขนมครก 2 กล่องของวา ก็เหลือชิ้นสุดท้าย
อ่อ วา ไหนว่า ทานข้าวมาแล้วไง ทำไม กินเก่งจัง
หิวไหม กินอะไรอีกไหม ?
คำถามเหล่านี้มีเสมอจากปากพี่เมี่ยง หิวไหม อิ่มไหม เหนื่อยไหม
เฮ้อ น่ารักซะไม่มีล่ะ อิอิ
ใช่ไง วากินข้าวอิ่มมาแล้ว แต่... แต่วา ยังไม่ได้กินขนมครกนี่นา 55555
วาตอบพี่เมี่ยง พลางหัวเราะชอบใจ
อ่ะ นี่ ชิ้นสุดท้ายแล้วนะวา กินซิ เขาบอกว่า ใครกินขนมชิ้นสุดท้าย
มักได้แฟนหล่อน๊า สนป่าว
กินก็ได้ ห้ามแย่งวาล่ะ เอ.. หล่อตรงไหนว๊า
อ่อ..หล่อที่พุงโตๆนี้ล่ะมั้ง อิอิ
วาพูดก็หยิกหมับที่พุงพี่เมี่ยง
ทำให้พี่เมี่ยงหัวเราะชอบใจ(บ้าจี้ต่างหาก)
ผู้คนที่นั่งข้างๆพี่เมี่ยงคงเหล่มองด้วยความหมั่นไส้ ที่อื่นมีถมไป มาทำโรแมนกะติกบนรถเมล์ 55555
...........................................................................................
สวัสดีครับ ขอชิญร่วมลงทะเบียน ก่อนเข้าชมนิทรรศการได้นะครับ
ขณะนี้มีการจัดแสดงผลงาน ที่ชั้น 4 และ ชั้น 5 ครับ
ส่วนชั้น6 ทำการปิดปรับปรุงชั่วคราว ขอโทษด้วยนะครับสำหรับความไม่สะดวก
หลังจากวาและพี่เมี่ยงลงชื่อในกระดาษลงทะเบียนแล้วก็ได้รับแจกหนังสือภาพเล๋มเล็กๆคนละหนึ่งเล่ม ซึ่งเป็นคู่มือที่นำชมเรื่องราว
เรื่องเล่าต่างๆ รวมทั้งที่มาของแต่ละภาพเอาไว้ด้วย
ภายในหนังสือภาพจะแนะนำความเป็นมา ที่มา
แนวคิดของแต่ละภาพ รายชื่อศิลปินผู้วาดภาพเอาไว้อย่างละเอียดทีเดียว
จะมีภาพเขียนทั้งหมด 84 ภาพ จากนักเขียน 84 ท่าน
และ ภาพเขียนเหล่านี้ได้จัดแบ่งเป็นหมวดทั้งสิ้น 11 หมวดด้วยกัน
อันได้แก่...
1. หมวดพระโสทรเชษฐภคินี เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดความผูกพัน
ระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระพี่นางเธอ มีศิลปิน15ท่านด้วยกัน
2. หมวดพระประวัติ มีภาพเขียนของศิลปิน 10ท่าน
3. หมวดทรงเป็นครูของแผ่นดิน มีภาพเขียนของศิลปิน 10 ท่าน
4. หมวดยอดขัตติยกัลยาณี มีภาพเขียนของศิลปิน 5 ท่าน
5. หมวดสืบสานโครงการสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีและด้านการแพทย์ มีภาพเขียนของศิลปิน 7 ท่าน
6. หมวดทรงเกื้อกูลประชากรด้านสังคมสงเคราะห์ มีภาพเขียนของศิลปิน 5 ท่าน
7. หมวดทรงเกื้อกูลประชากรด้านการดนตรี การแสดง มีภาพเขียนจากศิลปิน 7 ท่าน
8. หมวดทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆ มีภาพเขียนจากศิลปิน 8 ท่าน
9. หมวดเจ้าฟ้านักประพันธ์ มีภาพเขียนจากศิลปิน 4 ท่าน
10. หมวดทรงเมตตาสัตว์น้อยใหญ่ มีภาพเขียนจากศิลปิน 5 ท่าน
11. หมวดพระเกียรติคุณสดุดี มีภาพเขียนจากศิลปิน 4 ท่าน
..........................................................................................
วา ลองทายซิ ภาพหน้าปกของหนังสือภาพเล่มนี้น่ะ
อยู่ในหมวดไหน อ่อ.. ภาพหลังปกด้วยนะ ลองทายดูซิ
พี่เมี่ยงนึกสนุกถามวา พลางชูหนังสือภาพให้วาลองทายดูเล่นๆ
ก็ไม่รู้ซิพี่เมี่ยง แหมๆ ขอเปิดดูหน่อยเดียวไม่ได้เหรอ แหะ..แหะ..
วา ต่อรองพี่เมี่ยง
อ้าว อย่าขี้โกงซิยัยวา พี่บอกให้ทาย ห้ามเปิดดูไง
โห พี่เมี่ยง งก มีตั้ง 11 หมวด ใครจะไปทายถูกล่ะ แหมๆ
วายังคงต่อรองพี่เมี่ยง ทำเสียงกระเง้ากระงอดเหมือนมอดกัดตูด อิอิ
เอ้า .. พี่เฉลยให้ก็ได้ ภาพหน้าปกน่ะ อยุ่ในหมวดที่ 11 จ้า
ชื่อหมวดว่า พระเกียรติคุณสดุดีไงล่ะจ๊ะ ชื่อภาพ ก็คือ
จากฟ้าสู่ดินคืนสวรรค์ เขียนโดยศิลปินหนุ่มใต้ชาวภูเก็ตเชียวน๊า
นามว่า คุณยงยุทธ์ รุยันต์ ไง พี่เก่งไหมล่ะวา
วา ฟังพี่เมี่ยงเฉลย ได้แต่อ้าปากหวอ ด้วยความอึ้ง ทึ่ง ในความรอบรุ้ของพี่เมี่ยง
เหรอคะพี่เมี่ยง พี่เก่งจัง ไม่อยากเชื่อคะ
วาน่ะ ไม่เชื่อพี่ก็ดีแล้ว พี่เก่ง เพราะพี่แอบเปิดหนังสือดูก่อนวาน่ะซิ 55555 เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รุ้ ที่พี่เมี่ยงแกล้งวาได้สำเร็จแล้วมักหัวเราะด้วยความชอบใจแบบนี้ ( ฮึ T WHO T IT .. แปลเป็นไทยได้ว่า ทีใคร ทีมัน 5555)
ส่วนภาพปกหลังของหนังสือนี่นะวา....
ส่วนภาพปกหลังของหนังสือนี่นะพี่เมี่ยง เป็นภาพเขียนอยู่ในหมวดที่ 2
ชื่อ หมวดพระประวัติ ชื่อภาพว่า เสด็จสู่สวรรคาลัย เขียนโดย
ศิลปินที่ชื่อว่า วัชระ กล้าค้าขาย หนุ่มเมืองนนท์นี่เองคะพี่เมี่ยง
ตอนแรกพี่เมี่ยงอ้าปากจะอธิบายต่อ แต่ยิหวาแย่งชิงพี่เมี่ยงพูดซะนี่
เลยต้องปล่อยให้วาพูดไป เลยตามเลย อิอิ แต่คำอธิบายของวา
ทำให้พี่เมี่ยงถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน
โห วา เก่งเหมือนกันนะเราน่ะ ไหนว่า ไม่รุ้เรื่องเลยไงล่ะ ?
เก่งซิพี่เมี่ยง วาเก่ง เพราะแอบเปิดดูตอนที่เมี่ยงเผลอเหมือนกันนี่นา 5555
ดีใจด้วยนะยิหวา เธอเอาคืนได้สำเร็จแล้ว อิอิ
...................................................................................
เอ๊ะ... พี่เมี่ยง ทำไมดูเหมือน 4 ภาพนี้จะเหมือนมีลักษณะ
พิเศษกว่าภาพอื่นๆล่ะค่ะ ดูเหมือนมีขนาดใหญ่กว่าภาพอื่นๆน่ะค่ะ
เป็นครั้งที่ 108 ได้แล้วกระมัง ที่ต้องมีคำถามจาก
ความขี้สงสัยของยัยวาออกมาบ่อยๆ
คืองี้นะวา ..ภาพทั้ง 4 ภาพนี้ เป็นภาพที่เหล่าศิลปินทั้ง 4ท่านน่ะ
ได้รับมอบหมายโดยตรงให้วาดภาพขนาด 1.80*2.40 ม.
.และวาดภายในบริเวณรั้วราชนิวัตน่ะ เข้าใจยังจ๊ะ ?
อ่อ ..มิน่าล่ะ วา เข้าใจแล้วล่ะคะ ถามจริงๆ ทำไม
พี่รุ้เรื่องราวเก่งจังคะ ? วา อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามอีกแล้ว
ก็จริงๆแล้ว พี่มาดูก่อนวา หนึ่งรอบแล้วนะ
แต่อยากให้วาได้มาดูด้วยตาตัวเองด้วยไง
เหล่าศิลปินทั้ง 4 ภาพนี้มาจาก 4 ภาคของไทยเลยนะวา
ไม่ว่า เหนือ ใต้ อิสานหรือว่าภาคกลาง
อย่างภาพนี้นะวา ชื่อภาพว่า ทรงพระเยาว์ เป็นฝีมือของคุณสมศักดิ์ รักษ์สุวรรณ จากหนุ่มใต้น่ะ
หรืออีกภาพ เป็นภาพเขียนของ อ.ปรีชา เถาทอง จากภาคกลาง ชื่อภาพว่า ทรงพระกรม
เสียงพี่เมี่ยงยังคงอธิบายไปเรื่อยๆไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อต่อคำถามของยิหวา พี่เมี่ยงอธิบายไปพลาง วา ก็ได้แต่เดินตาม ฟัง รับรู้สิ่งที่พี่เมี่ยงบอกให้ฟัง
ภาพ แต่ละภาพน่ะนะวา มีแนวคิด มีที่มาแตกต่างกันออกไป
การมองภาพให้เป็นศิลป์ ใครจะมองยังไงก็แล้วแต่
ความสวยงามขึ้นอยุ่กับความสบายใจของเรามากกว่า
ไม่จำเป็นว่า เรามองแล้วรู้เรื่อง
หรือเข้าใจความหมายของภาพที่สื่อออกมาหรือแม้แต่ในขณะที่อีกคนมองแล้ว ฉงน สงสัยว่า สวยตรงไหน ยังไง
ความหมายของคำว่า ศิลปะ นะวานะ
ไม่มีความหมายตายตัวแน่นอนหรอกนะวา เข้าใจไหม ที่พุดเนี่ยะ นิ่งเงียบเชียว
...ค๊า เจ้าคะ อาจารย์เมี่ยง .....
ไม่แน่ใจว่า ยิหวา ประชดหรือแดกดันพี่เมี่ยงคำ อิอิ
ดูแต่ตา.. มืออย่าต้อง.. ของจะเสีย.. ห้ามจับ ห้ามซนนะวา
รู้แล้วน่ะ พี่เมี่ยงนี่ก็ แหมๆๆ
พี่เมี่ยงพายิหวาเดินวนซ้าย ย้ายมาขวาไม่รุ้กี่รอบ
พลางอธิบายทำยังกะเป็นเจ้าของภาพซะเองงั้นแหละ
คนอะไรรุ้ดีไปหมด เนอะ
แม้ท่านจะเสด็จสู่สวรรคาลัย แต่น้ำพระทัยพระองค์ท่านนั้นมียากเกินพรรณนา นี่แหละถึงเรียกว่า นางฟ้า ส่งนางฟ้ากลับสู่สรวงสวรรค์
ขอบคุณนางฟ้า ที่นำสิ่งดีๆมอบแด่ปวงชนชาวไทย แสงรุ้งงามแห่งสยาม...
เปล่าคะ ประโยคนี้วาไม่ได้พูดออกไป วาแค่คิดในใจคนเดียว ขืนคิดดังๆ พี่เมี่ยงก็ได้ยินซิคะ อิอิ.....
................................................................................................
คุณสามารถชมนิทรรศการ ผลงานศิลปกรรมทั้ง 84ภาพ
ได้ที่ หอศิลป์วัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน
ซึ่งมีจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 7 27 ธ.ค.51 นี้ เวลาตั้งแต่ 10.00 21.00 น.
..... ขอขอบคุณข้อมูลจาก หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
ขอบคุณหนังสือภาพแนะนำผลงานนิทรรศการ......
................................................................................
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )
7 ธันวาคม 2551 20:45 น.
ฉางน้อย
" วา ไปหาก๋งไหมลูก ? "
เสียงถามจากเตี่ยดังขึ้นจากด้านหลัง
ทำให้ฉันต้องหันไปมองที่มาของเสียงนั้น
ฉันกระโดดแผล๊วจากชิงช้่ายางรถยนต์ซึ่งเป็นชิงช้าจากฝีมือของเตี่ยเอง
เพื่อนๆของฉันรุ่่นราวคราวเดียวกัน หันมามองแล้วก็เล่นกันต่อไป
" เตี่ย ไปสายไหนคะ สายบนหรือสายล่าง ? "
ฉันถามเตี่ยพลางก็เดินกึ่งวิ่งมาหาเตี่ย
" สายเสมอมั้งลูก " เตี่ยพูดพลางก็อมยิ้มแบบขำๆที่ทำให้ฉันงงได้ อิอิ
" แหมๆ เตี่ยล่ะก็..." ฉันมองค้อนปะหลับปะเหลือกแต่พองาม หุหุ
เตี่ยหัวเราะ พลางเอามือขยี้ผมเบาๆด้วยความหมั่นไส้(มั้ง)
ก็เป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้านว่า ถนนสายล่างมักจะหมายถึงถนนริมทางรถไฟ
ใครจะเดินทางรถไฟ ก็ต้องเดินเลียบริมทางกันอย่างทุลักทุเลพอสมควรเวลาที่รถไฟวิ่งผ่าน
ส่วนถนนสายบนหมายถึงถนนลาดยางมะตอยอย่างดี
เป็นถนนทางรถยนต์วิ่งผ่านสะดวกสบาย
ที่ฉันถามเตี่ยว่า ไปทางสายบนหรือสายล่าง ก็หมายถึงว่า..
ถ้าเตี่ยไปทางถนนสายบน เตี่ยก็จะปั่นจักรยานไป
โดยที่ฉันนั่งซ้อนท้าย มีบางครั้งที่ฉันให้เตี่ยเร่งแซงกับรถยนต์
เตี่ยก็บอกว่า งั้นมาปั่นเองเลยดีไหม 5555
วันนั้นเตี่ยบอกว่า เปลี่ยนบรรยากาศบ้างดีไหม ไปทางสายล่าง
เพราะ ไม่ได้ชมบรรยากาศริมทางรถไฟนานพอดู
ฉันแอบทำหน้าเบี้ยวปากเบ้เล็กน้อย อิอิ แต่ก็เอาน่ะ
ก็ยังดีกว่า นั่งเล่นขายข้าวแกงกับเพื่อนๆผู้หญิง
นั่นไม่ใช่การละเล่นที่ฉันชอบนักหรอก
ครั้นฉันจะชวนพวกคุณเธอเหล่านั้นมาเล่นโลดโผนอย่างเด็กผู้ชาย
ก็มีแต่พวกเธอส่ายหน้าหนีกันทุกคน
ณ.ริมทางรถไฟเช้าวันนั้นแดดไม่จ้ามากนัก แต่เตี่ยก็คงกลัวฉันร้อน โดนแดด
กลัวฉันไม่สบาย เลยเอาผ้าขาวม้ามาโพกหัวให้ ทำเป็นพม่าไปได้ อิอิ
แต่ฉันก็ชอบนะ เท่ดี 5555
ระหว่างนั้น สองพ่อลูก ก็คือฉันกับเตี่ย
ก็เดินเลียบริมทางรถไฟไปเรื่อยๆ ตอนนั้นสวนหมาก สวนพลู
สวนมะพร้าวยังอุดมสมบูรณ์ด้วยวิธีการธรรมชาติไม่ต้องอาศัยปู๋ยเหมือนสมัยนี้
สวนต่างๆข้างริมทางรถไฟยังให้ร่มเงา มีความร่มรื่น
ให้ความสดชื่น เหมาะแก่การสูดอากาศยามเช้า
สองพ่อลูกต่างพากันเดินไปเรื่อยๆระยะทาง 1.5 กิโล จากบ้านฉันไปบ้านก๋ง
ทำให้เด็กๆอย่างฉันตอนนั้นเรื่มเบื่อ เหนื่อย
แต่ก็ยังดีที่มีสิ่งให้เรียนรู้มากมายจากริมทางรถไฟ
สาย ตาก็มองโน่นมองนี่ไปตลอดทาง
ปากก็ซักถามไม่ได้หยุด แต่เตี่ยไม่เบื่อเลย(มั้ง)กับการตอบคำถามของฉัน
" เตี่ย อีกไกลไหมเนี่ยะ กว่าจะถึงบ้านก๋งน่ะ " ฉันชักจะเรื่มล้า เหนื่อย
" ไม่ไกลหรอกลูก อีกนิดเดียว " เตี่ยยังคงพูดปลอบใจฉันเรื่อยไป
ฉันรู้ ถึงแม้เตี่ยจะบอกระยะทางเป็นความยาวว่า กี่กิโลก่อนจะถึงบ้านก๋ง
ยังไงฉันก็ไม่รู้หรอก ว่า ระยะทาง(ตั้ง)1.5 กิโลนั้น
ไกลหรือใกล้แค่ไหนสำหรับเด็กๆอย่างฉัน
" เตี่ย ถ้าเราเดินไปเรื่อยๆ จะไปถึงไหนเหรอเตี่ย ? "
อีกหนึ่งคำถามสำหรับเด็กที่อยากรู้อยากเห็นอย่างฉัน
" แล้วหนูจะไปไหนละ ? " เตี่ยถามอย่างอยากรู้คำถามของฉัน
" หนูเห็นอะไรนั่นไหม เห็นจุดสิ้นสุดของรางรถไฟไหมล่ะลูก ?
เตี่ยตั้งคำถามย้อนคืนมาให้ฉันได้ขบคิด
" เห็นซิคะเตี่ย นั่นไง ใต้ต้นไม้ใหญ่ๆนั่นไง
จุดตรงนั้นน่ะ หนูเห็นรางรถไฟแคบเข้าหากันด้วยแหละ
รางรถไฟชิดกันจริงๆด้วยนะคะเตี่ย "
ฉันตอบ พลางชี้มือไปยังต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาข้างหน้านั่น
คำตอบของฉัน ทำให้เตี่ยอมยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อไป นอกจากคำว่า ...
" อืม เหรอ หนูเห็นด้วยสายตาหนูแบบนั้นเหรอ
เดี๋ยวเราไปให้ถึงนะว่า จุดสิ้นสุดของรางรถไฟน่ะ สิ้นสุดตรงนั้นจริงๆหรือเปล่า "
....................................................
" อ้าว.....ไหนล่ะเตี่ย รางรถไฟที่หนูเห็นน่ะ
หนูเห็นว่า จุดสิ้นท้าย ปลายรางคือต้นไม้ใหญ่ต้นนี้นี่นา
แล้วหายไปไหนล่ะคะ ปลายรางรถไฟหายไปไหน ? "
ฉันได้แต่ทำสีหน้างุนงง อย่างอยากรู้อยากเห็น สงสัยเต็มที
เมื่อสงสัย คำถามก็พร่างพรูจากปาก
" เตี่ยๆ ปลายรางรถไฟ หายไปไหน ทำไมหายไปแล้ว ? "
ฉันถามพลางเกาะกุมด้วยสองมือของฉันเขย่ามือเตี่ยด้วยความอยากรุ้
ทั้งๆที่สายตาฉันเห็นแบบนั้นจริงๆนี่นา
" รางรถไฟน่ะ ไม่มีวันสิ้นสุดหรอกลูก
มองดูด้วยสายตา คาดคะเนว่า อยู่ตรงนั้น สิ้นสุดตรงนี้
แต่ไม่มีใครค้นพบคำว่า จุดสิ้นสุดของเส้นขนานเลยสักที "
ฉัน เริ่ม งง กับสิ่งที่เตี่ยพูดให้ฟัง แต่พอจะรู้ว่า ..
เหมือนชีวิตคนเราบางคน อาจเดินด้วยกันไปบนเส้นทางเดียวกัน
แต่ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน เพราะไม่เจอสุดสิ้นสุดของเส้นขนาน
ฉันได้แต่พยักหน้า อย่างจนใจในคำพูดของเตี่ย
จนกระทั่งเตี่ยต้องบอกว่า เอาเหอะ ไว้โตกว่านี้อีกหน่อย
คงจะเข้าใจคำว่า เส้นขนาน ต้องเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเรื่อยๆ
อย่าหยุดนิ่ง
" แม้เราต้องก้าวเดินไปบนเส้นขนาน แต่เราจำเป็นที่ต้องเดินไปไม่ใช่เหรอ ...."
ฉันทวนคำเบาๆ " เส้นขนานๆ "
เจ้าเส้นขนาน ทำไมเจ้าถึงไม่มีจุดสิ้นสุดสักทีนะ
.............................................
" ปู๊น...ปู๊น...ปู๊น..." เสียงหวูดรถไฟดังแว่วลากเสียงยาวมาแต่ไกล
ทำให้ฉันกับเตี่ยต้องหลบลงข้างทางซึ่งเป็นป่าหญ้าริมทาง
ทันใดนั้นฉันกวาดสายตาไปเห็นเจ้าดอกไม้ริมทางช่อหนึ่ง
ซึ่งออกดอกสวยทีเดียว
" เตี่ยๆ ดอกอะไรน่ะเตี่ย สวยจัง ? " ฉันทำสีหน้าตื่นเต้่ต้นหมือนเห็นสิ่งแปลกใหม่
" อ่อ .. เป็นดอกหญ้าริมทางน่ะลูก ชื่อว่า ดอกขี้ไก่ "
เตี่ยบอก พลางไปหักกิ่งดอกหญ้านั้นมาให้ฉันส่งให้ฉันหอบไว้ในมือ
" ดอกก็ออกสวย ทำไมชื่อเจ้าดอกขี้ไก่ไปได้เนอะ "
ลักษณะดอกหญ้าริมทางนั้นเป็นสีชมพูจางๆ สีเหลืองแซมด้วยส้มๆ น่ารักทีเดียว
เป็นดอกเล็กๆในกิ่งเดียวมีหลากหลายสี ใบสีเขียวๆ แต่ระคายมือ
กิ่งมีลักษณะที่เปราะหักง่าย ไม่ต้านทานแรงลมสักเท่าไหร่นัก
และเมื่อฉันสูดดมความหอม กลับได้แต่ความว่างเปล่า
" โห ดอกก็ออกจะซ๊วย สวย แต่ไม่หอมเลยล่ะเตี่ย แหวะ .."
ฉันสูดดม แล้วก็ทำหน้าเบ้
" อืม..นั่นแหละลูก ดอกไม้เปรียบเหมือนคนแหละ สมัยนี้ เขามองที่ความสวยงามภายนอกร่างกายกันก่อน เด็ดดอมดมหวังความหอม
แต่เมื่อสวยแต่รูป จูบไม่หอม เขาก็ทิ้งขว้างไปอย่างไร้ค่า
ในขณะที่ใครบางคน เขามองดอกไม้ที่ไม่สวย ขี้เหร่
แต่มีคุณประโยชน์มากมาย มีความหอมคงทน
เหมือนคนที่หน้าตาไม่สวย แต่เขาทำความดีงามที่น่ายกย่อง
หนูว่า อย่างไหนน่าจะดีกว่าล่ะ หือ ? "
เป็นครั้งที่สองที่ฉันได้จำยอมกับคำพูดของเตี่ย
รถไฟมาถึงที่พวกเราสองพ่อลูกยืนกันนั้น
ความเร็วและแรงของรถไฟ ทำให้ฉันแทบทรงกายไม่อยู่
ต้องเกาะเตี่ยเอาไว้แน่นเป็นหลักให้กับตัวเอง
พลางคิดในใจหากฉันไม่มีเตี่ยไว้เป็นหลักให้แบบนี้ตลอดไป
ฉันจะทำอย่างไร ชีวิตบนริมทางรถไฟช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร
ฉันได้แต่แค่ครุ่นคิด.......
เสียงล้อรถไฟบดแน่นกับรางคู่นั้น ช่างเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ
แต่ก็ทำให้ฉันอมยิ้มได้เมื่อนึกถึงบทสนทนาของฉันและคำล้อของเพื่อนๆ
" รถยนต์ล้่อยาง รถรางล้อเหล็ก รถไฟนั้นเป็นของเจ๊ก ล้อทำด้วยเหล็ก ฉึ่กฉั่กๆ "
ฉันมักท่องคำพูดประโยคนี้บ่อยๆยามต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
แต่เจ้าเพื่อนตัวดี ชอบล้อฉัน เพราะเห็นว่า คนในหมู่บ้านนั้นมีเพียงครอบครัวฉัน
ที่เป็นคนจีน เขาก็จะเปลี่ยนคำพูด กลายเป็นว่า..
" รถไฟไม่ใช่ของเจ๊ก โดนตีด้วยเหล็ก ชักแหง่่ก ชักแหง่ก "
สิ้นเสียงคำว่า ชักแหง่ก ชักแหง่ก ฉันก็วิ่งไล่ทุบเจ้าเพื่อนตัวดีเสมอๆ
ก็เขาบังอาจมาหาว่า รถไฟไม่ใช่ของเจ็กทำไมละ
มาหาว่า โดนตีด้วยเหล็กนอนชักแหง่กๆอีกแน่ะ เฮ้อ....
" เตี่ย นั่นสายอะไรล่ะ มีเสาสูงๆด้วยล่ะ สายก็ห้อยระโยงระยางเชียว "
คำถามอยากรู้มีอีกแล้วซิ
" อ่อ .. เขาเรียกว่า สายโทรเลขไง เป็นการส่งข่าว สื่อสารกันทางโทรเลข
สำหรับคนที่ห่างไกลบ้านและก็ต้องการส่งข่าวด่วนให้ญาติได้รับรู้ "
เตี่ยตอบอย่างผู้รู้เรื่องราวทุกอย่าง สมแล้วที่เป็นฮีโร่ของฉัน
" อ่ะๆๆ อย่านะลูก จะทำอะไรน่ะ ? "
เตี่ยร้องห้าม เมื่อเห็นฉันก้มลงหยิบก้อนหินริมทางรถไฟขนาดพอเหมาะ
มากำไว้ในมือ เตรียมตัวขว้างไปสุดแรง
" ทำไมล่ะเตี่ย เพื่อนหนูยังท้าพนันกันบ่อยไป
ใครขว้างโดนสายนั่นน่ะ ถือว่า เก่ง แม่นยำนะ
ฉันยังไม่ยอมจำนนต่อคำพูดของเตี่ย พลางพยักเพยิดให้เตี่ยดูสายโทรเลขข้างทางนั่น
" หนูคิดซิ หากเขากำลังส่งข่าว พวกเขากำลังทำงาน แล้วข้อมูลผิดพลาด
เพราะโดนหินขว้างแล้ว ความเสียหายจะเกิดขึ้นไหม ? "
คราวนี้เอง เป็นครั้งที่ฉันต้องยอมจำนนต่อคำพูดของเตี่ย
เปล่านะ ฉันแค่อยากเอาอย่างเพื่อนๆ
แค่เพื่อทดลองความแม่นยำของฝีมือตัวเองแค่ันั้น แค่นั้นเองจริงๆ
" ทำหรั๋ยนุ้ย.....ทำหรั๋ยลุง ? "
เสียงทักทายสำเนียงปักษ์ใต้โดยแท้จากลุงคนหนึ่งดังจากรถต๊อกๆ
รถต๊อกๆเป็นรถของทางการรถไฟ เมื่อก่อนที่ฉันเห็นนั้น
ทำจากแผ่นไม้กระดาน ความกว้างพอดีกับรางรถไฟ ความยาวก็แล้วแต่สะดวก(มั้ง)
ส่วนล้อก็เป็นล้อสำหรับวิ่งบนรางรถไฟได้ ไม่มีหลังคาคุ้มกันแดดฝน
ไม่มีเครื่องจักรกลบังคับการทำงานของรถแบบนี้
มีเพียงไม้ค้ำถ่อให้รถได้เคลื่อนตัว ไม่มีหลังคาอะไรทั้งนั้น
บนรถต๊อกๆก็จะมีประมาณสัก 4-5 คน แล้วแต่การทำงานของพวกเขา
" เตี่ย ใครน่ะ รู้จักเตี่ยด้วยเหรอ เขาทักทายหนูด้วย "
ฉันแปลกใจที่พวกเขาเหล่านั้นร้องทักทายฉันกับเตี่ยเหมือนรู้จักกัน
" อ่อ เป็นคนที่ทำงานการทางรถไฟน่ะลูก เขามาตรวจตราดูแล ซ่อมแซมทางรถไฟ
ดูว่าส่วนไหนเสียหายมากน้อยแค่ไหน เขาก็ส่งคนมาช๋อม
พวกเขาดูแม้กระทั่งว่า ก้อนหินของทางรถไฟนั้นจะถูกขโมยไปบ้างไหม
ดูว่า ไม้หมอนรองรางรถไฟส่วนไหนชำรุด เขาก็นำมาเปลี่ยนให้ ..."
เตี่ยของฉันมีความรู้อีกแล้ว พ่อฮีโร่ตัวดีของฉัน อิอิ
...........................................................
สุดท้ายแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้รู้หรอกว่า ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลฯ
ที่เตี่ยพาฉันเดินน่ะ ไกลหรือใกล้แค่ไหน
รู้เพียงแต่ว่า ฉันได้อะไรหลายๆอย่างในเช้าวันนั้น
รู้่รู้ว่า เส้นขนานที่ฉันกะด้วยสายตาว่า เดี๋ยวคงได้พบกัน
แต่แล้วก็ไม่มีวันมาพบบรรจบกันได้เลย
เหมือนชีวิตคนเรา ที่เดินไปด้วยกัน จับมือจูงเดินไปด้วยกันบนรางรถไฟรางคู่นั้น
ต่างก็ต้องคอยประคองซึ่งกันและกันไม่ให้ชีวิตของเราหรือเขาเหล่านั้น
ล่มกลางทางเสียก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง
แม้ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีโอกาสที่จะได้เจอกัน
ระยะเวลาในการเดินทางของสายชีวิตนั้น ต่างต้องพยายามมองคนรอบข้างด้วย
ไม่ใช่ว่า เราเดินดุ่มๆไปคนเดียว โดยที่
ไม่รุ้ว่า เมื่อไหร่คนเคียงข้างของเราก้าวพลาดบ้างหรือไม่
หรือว่า อาจเป็นเราเองที่อาจก้าวพลาดบนเส้นทางสายนั้น
ก็จะได้ช่วยฉุดมือกัน ดึงรั้งกันให้กลับมาในเส้นทางเดิม
แต่ก็เป็นน่ายินดีไม่ใช่เหรอ ที่อย่างน้อยเราสองคนได้ก้าวเดินไปด้วยกัน
ได้จับมือเดินไปในเส้นทางสายเดียวกัน แค่นี้ก็สุขใจพอแล้ว .
......................................................
< T H E E N D >
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )