24 พฤษภาคม 2552 23:51 น.
ฉางน้อย
1..........กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี่ ณ.วันอาทิตย์ที่ 17 พ.ค.52 ที่ผ่านมานี่เอง
... ตื๊ดๆๆ ตื๊ดๆๆ ตื๊ดๆๆ สัญญาณนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ....
เอ เสียงอะไรหว่า จะว่านาฬิกาปลุกก็ไม่ใช่ อ่ะ เสียงโทรศัพท์นี่นา
" โห ใครโทรมาแต่เช้าเลยเนี่ยะ คนกำลังนอนหลับสบาย เฮ้อ "
ยิหวาบ่น พลางบิดตัวหวังสลัดตัวขี้เกียจออกจากร่างกาย
พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่สองรอบก่อนเอื้อมมือรับโทรศัพท์
" ยัยวา ตื่นได้แล้ว นอนเป็นหมูอยู่นั่นแหละ "
เสียงปลายสายดังแทรกเข้ามา ก่อนที่วาจะกรอกเสียงออกไป
" โธ่ ที่แท้ก็พี่เมี่ยงนี่เอง วากำลังหลับสบายเชียว
โทรมาปลุกทำไมแต่เช้าเนี่ยะ ?"
ยิหวา ส่งเสียงโวยวายออกไปที่โดนกวนให้ตื่นแต่เช้าเชียว
" ตื่นๆๆ ทำเป็นลืมนะ เดี๋ยวโดนๆ เรานัดกันว่ายังไงเมื่อวันก่อน ห๋า
ยัยวา "
" ใคร นัดอะไร ที่ไหน ไม่รุ้ซิ "
ยิหวายังคงงัวเงียได้เต็มที่เหมือนกัน
ปากพูดมือก็คว้าหาเจ้าตุ๊กตาหมีตัวโต
อ่ะ หายไปไหน อ่อ.. หล่นข้างเตียงนี่เอง
เอื้อมมือหยิบ เอามานอนกอดต่อ
" ก็ พี่บอกว่า ถ้าวันอาทิตย์นี้ฝนไม่ตก
จะพาไปไหว้พระที่วัดเล่งเน่ยยี่ บางบัวทองไง
จำได้บ้างไหมเนี๊ยะ จำอะไรเคยได้เรื่องบ้างไหมเนี่ยะ ยัยวา"
เสียงปลายสายยังคงอารมณ์เย็น(มั้ง) อิอิ พี่เมี่ยงพยายามพูดช้าๆอย่างใจเย็น
แค่นั้นแหละคุณเอ๊ยยย ยัยวาตาลีตาเหลือก
กระโดดผลึงลงจากเตียงแทบไม่ทัน5555
" แหะ..แหะ.. โทษทีพี่เมี่ยง ก็วานอนลืมนี่
ใครจะไปรู้ว่าวันนี้ฝนจะตกหรือไม่ตกอ่ะ "
นี่แหละ ข้ออ้างง่ายๆของยัยวาน่าเบื่อล่ะ อิอิ
" ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยนะ ไปอาบน้ำเลย เร็วๆเข้า เดี๋ยวพี่รอน่ะ "
" พี่เมี่ยง วาขอโทษ วาแค่....."
"อย่าเพิ่งพูดมาก ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย ให้ไวๆ "
พี่เมี่ยงส่งเสียงเข้มๆออกไป
"อ่ะ ไปก็ได้ แค่นี้ต้องดุด้วย เชอะ แบร่ๆ "
คนอะไร ชอบเอาเสียงข่ม ชอบดุคนอื่น เชอะ
.............................................................
2......." ว่ายังไงล่ะยัยหมูวา บอกแล้วต้องตื่นสายแน่ๆ "
คำแรกที่พี่เมี่ยงทักยิหวาออกไป
"นี่นะ รถเมล์สาย 127 ขึ้นตรงนี้นั่งไปจนสุดสายก็เดินไปได้ที่วัดที่พี่บอกน่ะ "
" เจ้าคะ คุณพี่เมี่ยงคำ "
พี่เมี่ยงคำบอกให้วารุ้จักรถเมล์สาย127 บอกโน่นสั่งนี่ไปตลอดทาง
......." โปรดเตรียมบัตรประชาชนไว้ให้ตรวจด้วยครับ "
คนขับรถบอกผู้โดยสารเมื่อรถเมล์สาย127วิ่งผ่านจุดตรวจแห่งหนึ่งในเส้นทางนั้น
"อ้าว ต้องตรวจด้วยเหรอพี่เมี่ยง ตรวจทำไรอ่ะ ? " ยิหวาสงสัย
" หมูอย่างวา เขาไม่จับไปหรอก น้ำหนักยังไม่เต็มพิกัด "
พี่เมี่ยงได้ทีทั้งจิกทั้งกัด ฮึๆ อย่าเผลอแล้วกัน ทีใครทีมันนะพี่เมียง
เจ้าหน้าที่ตำรวจมองผ่านหมูอย่างยัยวาไปจริงๆด้วย เ
ขาหันไปถามผุ้หญิงคนหนึ่ง ว่า " คนไทยหรือเปล่าครับ ?
เธอผู้นั้นนั่งถัดไปจากหลังยิหวา ตอบว่า.... " คน พะมะ คะ "
อ้าว ซวยไปซิครับทั่น
" อ้าว คนพม่าไม่มีบัตรด้วย ขอเชิญลงจากรถมาคุยกันหน่อยครับ "
".................."
ไม่มีคำถามจากวานอกจากมองหน้าพี่เมี่ยงเป็นเชิงคำถาม
และ ก็ไร้ซึ่งคำตอบจากพี่เมี่ยงคำ เขาได้แต่ส่ายหน้าประมาณว่า
" พี่ก็ไม่รุ้เหมือนกันนะ "
......................................................
3..........ลงรถเมล์สาย127 ฝนเริ่มลงเม็ดเล็กๆๆมาอย่างต่อเนื่อง
" วา พี่ว่าไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหม ค่อยเข้าไปไหว้พระในวัด
เนี๊ยะของกินเพียบเลย วา อยากกินไรล่ะ ? "
พี่เมี่ยงเทคแคร์ยัยหมูวาอย่างเต็มที่ อิอิ คงกลัวหมูผอมมั้ง
ฝั่งตรงข้ามกับวัด ริมฟุตบาธ มีร้านอาหารเยอะแยะไปหมด
มีทั้งไอติม อาหารตามสั่ง ร้านกาแฟ ราดหน้า สารพัด
" ราดหน้ากุ้งสด 2 ที่ครับ น้ำเก๊กฮวย 2 น้ำแข็งเปล่า 2 ครับ"
พี่เมี่ยงสั่งราดหน้าเผื่อยัยหมูวาด้วย
เขารู้ว่ายัยนี่กินอะไรได้ง่ายๆอยู่แล้วนอกจากผักกับเนื้อที่กินไม่เก่ง อิอิ
"ไม่มีใครเอากุ้งแห้งมาใส่ราดหน้าหรอกน่ะ"
วาเปรยๆให้พี่เมี่ยงได้ยิน
"ว่าอะไรนะหมูวา เดี๋ยวโดน กินให้หมดด้วยล่ะ "
" โห ชามของวามีผักเยอะอ่ะ แลกกันเอาป่าว
ของพี่ผักนิดเดียวเองอ่ะ มา แลกกันๆๆ "
ยิหวาต่อรองแลกจานที่มีผักเยอะให้คนอื่น
" เรื่องมากยัยวานี่ มาปรุงให้ไหนน้ำส้ม น้ำตาลใส่ไหม "
"ไม่ต้องเลย หาว่าเค้าเรื่องมาก วาไม่กินผักนี่ บ่นมากเดี๋ยวเอากุ้งคืนซะเลยนี่ "
..............................
" เฮ้อ.. อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ อิอิ " วา พูดพลางเอามือลูบพุงเท่าแตงโตขนาดย่อมๆ แสดงว่า อิ่มเต็มที่
" อิ่มน่ะ ดีแล้วจะได้ไม่งอแง ห้ามซนด้วยล่ะ "
พี่เมี่ยงพูดพลางทำสีหน้าขำ
วา ได้แต่เหล่มองค้อน (ดีนะที่พี่เมี่ยงไม่ส่งตะปูมาให้ด้วย อิอิ )
" ........... " วา อ้าปากจะเถียงต่อ พี่เมี่ยงรีบตัดบท
" ไปๆๆ ฝนจะตกหนักแล้วนะ มัวแต่เล่นยัยวานี่ ไม่ได้เรื่องเล๊ยยย "
...................................................
4......." วัดเล่งเน่ยยี่ นี่นะวา เมื่อก่อนเป็นโรงเจเก่าๆธรรมดาๆนี่เอง
ตรงที่วายืนอยู่เนี๊ยะ อยู่ในเขต อ.บางบัวทองน่ะ ต.โสนน้อย จำไว้ล่ะ "
พี่เมี่ยงรุ้ดีอีกแล้วน๊า
"โสนน้อยเรือนงามป่าวพี่เมี่ยง "
วา พูดพร้อมก้มหัวหลบมะเหงกจากพี่เมี่ยงคำ ที่พร้อมจะลงมาบนหัววาเมื่อไหร่ก็ได้
" วัดนี้นะวา ก่อสร้างเนื่องในมหามงคลวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวครองศิริราชย์สมบัติครบ 50 ปี
เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 2539
ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 12ปีเชียวนะ วารุ้ไหม ? "
พี่เมี่ยงเก่ง และรอบรุ้เสมอในเรื่องที่ยัยวาไม่รู้
" โห ใช้เวลาสร้างนานขนาดนั้นเลยเชียวเหรอพี่เมี่ยง " วาเอ่ย
" อืมม์ ..ใช่ สร้างนานมาก แต่ก็สวยมากนะ
วา ดูดีๆซิ มีพิธีสมโภชน์ฉลองเมื่อ 15 มี.ค. 51 ที่ผ่านมานี่เองนะวา "
" อ่อ ..ค่ะๆๆ สวยมากค่ะพี่เมี่ยง "
วา ตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าล้วนวิจิตรสวยงาม
" เห็นไหมวา ที่วัดนี่มีเนื้อที่กว้างขวาง ใหญ่โตมากเลยนะ วัดที่วาเห็นนี่น่ะ
เป็นศิลป์ไทยจีนที่สร้างตามแบบอย่างพุทธศิลป์จีนชั้นสูง
ในสมัยราชวงค์หมิงกับราชวงศ์ชิงมั้ง พี่ไม่แน่ใจ "
" ส่วนรูปแบบการตกแต่งด้านสถาปัตยกรรมถอดแบบ
มาจากพระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่ง เชียวนะ "
ขนาดพี่เมี่ยงบอกว่าไม่แน่ใจ แต่ก็สามารถทำให้วาเข้าใจเรื่องราวต่างๆของวัดเล่งเน่ยยี่ได้ดีมากขั้น
" อ่อ.......ค่ะ " ณ. เวลานั้น ตรงนั้น วาได้แต่ อ่อ ค่ะ .. อ่อ ค่ะ .. อิอิ
" ที่วาเห็นหลังคาสีแดงๆนั้นน่ะ เรียกว่า วิหารจตุโลกบาล จะมีพระศรีอริยเมตไตรตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง และสี่มุมของวิหารนี้ เป็นที่ตั้งของท้าวจตุโลกบาล "
" ส่วนนั่นด้านขวามือ เป็นหอระฆังที่ใหญ่มากเลยนะ ส่วนด้านซ้ายมือเป็นหอกลองขนาดใหญ่เช่นกัน เราสามารถเดินลงไปชั้น1 ได้ด้วยนะวา มีบันได้ทางขั้นลง เดี๋ยวพี่พาไปดู "
" ฝนเริ่มจะตกลงมาหนักแล้วนะวา เราขึ้นไปข้างบนกันเถอะ "
" ค่ะ " วา รับฟัง พลางเดินตามพี่เมี่ยง
เดินชมความวิจิตรตระการตาของวัดแห่งนี้
ซึ่งวิหารต่างๆล้วนตกแต่งด้วยสีสันสดใส สวยงาม
ไม่ว่าน้ำเงิน เหลือง แดง ยิ่งมองยิ่งสวยมากๆ
...................................................
4.....ด้านบนนี้เป็นพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของพระประธาน 3 องค์ได้แก่..
...พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า
...พระอมิตาภพุทธเจ้า แล้วก็ เอ่อ..อะไรน๊า ชื่อจำยาก อ่อ..แล้วก็.....
...พระไภษ์คุรไวฑูรย์พุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอดีต "
" โห เก่งเนอะ พี่เมี่ยงจำได้หมดเลย "
" ธุจ๊า ยังล่ะยัยวา ยืนเอ๋ออยู่ได้ " อ่ะนะ พูดยังกะเราเป็นเด็ก เฮ้อ
" ธุ๊จ๊า หลวงพ่อ " เออนะ ยัยวาก็ยกมือไหว้อย่างว่าง่าย
.......................................
" ยังไม่หมดแค่นี้นะวา ด้านหลัง เรียกว่า วิหารสุขาวดีหมื่นพุทธ
เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระอมิตาภพุทธเจ้า ..พระอวโลติเกศวร
และพระมหาสถามปราบด์โพธิ์สัตว์ "
" เหนื่อยไหมเนี่ยะ ไก่ เอ๊ย ไกด์จำเป็น
เก่งเนอะ รอบรู้หมดทุกอย่าง " ยัยวาแซวพี่เมี่ยง
" ก็บอกแล้ว พี่ไม่เก่งหรอก รุ้ก็เท่าที่บอก
ไม่เหมือนหมูนี่ มัวแต่เล่น จีบหนุ่มๆล่ะซิ "
พี่เมี่ยงได้ที แว้งกัดอีกครั้ง เหมือนแมวเลย อิอิ
" แหม พี่เมี่ยง รู้อยู่วาไม่ชอบหนุ่มๆ วาชอบคนแก่ อิอิ "
"ฝนตกหนักเลยวา ดูซิ รีบกลับก่อนเถอะ เนอะ ไว้วันหน้าดีกว่านะ
ถ่ายรูปจะสวยกว่านี้ด้วย วันนี้ดูไม่ทั่วหรอก ฝนหนักด้วย กลับนะ "
" ค่ะพี่เมี่ยง ขอบคุณนะคะที่พามาไหว้พระ มาดูสิ่งสวยๆงามๆ "
.......แน่ะ .....เป็นไปได้ไง ยัยหมูวา
พูดเพราะๆเป็นกะเขาด้วยเหรอนี่
" วา พูดคะ ขา เป็นด้วยเหรอนี่ เก่งเนอะ อิอิ " พี่เมี่ยงไม่วายแซว
" แหมๆ พี่เมี่ยงก็ ชอบกัดวา คนนะ ไม่ใช่แมว เดี๋ยวโดนๆ "
" แต่วัดนี้สวยจริงๆนะพี่เมี่ยง ไว้ว่างๆวามาเองได้แล้วละ ไม่ง้อด้วย "
" มากะหนุ่มที่ไหนอีกล่ะซิ ยัยวานี่ประจำเลย ชอบหนีเที่ยว "
" พอเลยพี่เมี่ยง กลับๆๆ วาจะกลับแล้วนะ "
"น้านน หมูเดินเที่ยวจนเหนื่อย เลยงอแงกลับบ้าน อิอิ "
.................. T H E E N D ................
ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น
................................................................
ภาพโดย...พี่เมี่ยงคำ
เรื่องโดย...ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น
16 เมษายน 2552 13:23 น.
ฉางน้อย
1.......... เช้าในวันอาทิตย์ที่ 12 เมษา 52 กำลังนอนหลับสบายฝันหวานเชียว
พลันสะดุ้งตื่นด้วยเสียงพี่ชายตัวดีโฟนอินเข้ามา เอ๊ย โทรเข้ามา
" เออนี่..วา เดี๋ยววันนี้ไปทำธุรกรรมให้พี่หน่อยที่ที่แบ็งค์ไทยพานิชย์ "
( โห พี่ชายชั้น พูดซะหรูเลย ทำธุรกรรม อิอิ )
" โห เฮีย ไปได้ไงล่ะ วันนี้อาทิตย์แบ็งค์ปิดน่ะ" ฉันพยายามหาเหตุเพื่อที่จะได้นอนต่อ
" วันอาทิตย์ก็จริงนะ แต่แบ็งค์ในห้างเขาเปิดนี่ ไปเลย อย่าช้าล่ะ "
เสียงพี่ชายตัวดีพูดข่มขู่แกมบังคับ (อย่างนี้ต้องแจ้งตำรวจล่ะ ข้อหาใช้อำนาจและหน้าที่โดยมิชอบต่อกฏหมาย)
หุหุ... หัวหมอจังน่ะ เราเนี่ยะ
เฮ้อ.. เซ็งจัด ธุรกรรมของพี่ชาย แต่เป็นเวร(กรรม)ของยิหวาที่ต้องตื่นเช้ากว่าปกติ
ขากลับซื้อของจากในห้างมาตุนซะเพียบเต็มสองมือแทบจะหิ้วไม่ไหว ไม่ว่ากับข้าว อาหารแห้ง
ที่ขาดไม่ได้คือมาม่า 5555 (อาหารสิ้นคิดของยิหวาเขาล่ะ อิอิ )
.......................................................................................
2.......... จ่ายค่ามอเตอร์ไซค์วินหน้าปากซอยเสร็จ กำลังจะข้ามถนนเพื่อไขกุญแจเปิดประตูบ้านแล้วเขียว
พลันสายตาเหลือบเห็นอะไรแว่บๆอย่างหนึ่งในพงหญ้าริมฟุตบาธ
ถอยหลังไป 1 ก้าว ทำท่าตกใจเล็กน้อย(พอเป็นมารยาหญิง อิอิ )
คิดในใจ " งู หรือเปล่าว๊า ? "
ด้วยความไม่แน่ใจ แต่ยังอยากรุ้ อยากเห็น เลยส่งเสียงทักออกไป
" ต๊ะเอ๋ๆ " เงียบแฮะ โผล่หน้าไปมอง
" อ้าว นกนี่(หว่า) นอนหงายท้องเชียว "
แล้วเป็นนกอะไรกันล่ะนี่ นกพิราบ หรือ นกเขาหว่าไม่รุ้จักซะด้วยแฮะเรา
ไม่น่ะ นกอะไรก็แล้วแต่ ดูน่าสงสารจัง
นกพิราบก็สงสาร แต่ถ้าเป็นนกเขาก็ช่างเถอะ เพราะไม่ใช่นกเรา
(ก็ นกเขานี่ อิอิ )
ยืนพินิจพิจารณาครู่หนึ่งเลยลองแหย่ปลายเท้าที่ใส่ผ้าใบไปแตะๆ
อ่ะ ยังไม่ตายนี่ เขาพยายามดิ้นหนีเอาตัวรอด
กับข้าว อาหารแห้ง ขนมนมเนยในถุงที่หิ้วสองมือไม่สนล่ะ
วางแหม่ะลงพื้นฟุตบาธริมทาง
" เฮ้อ .. เป็นอะไรไปว๊า เจ้านกน้อย สงสัยเมาเหล้าเมื่อคืนหรือเปล่า
คงยังไม่สร่าง "
ดูมันๆ ยัยวา ความคิด แหมๆๆ
ไวเท่าความคิด มือคว้าหมับจับนกที่นอนหงายท้องให้เขาลองยืนด้วยสองขา
" ว๊า ทำไมยืนเอียงเชียว ยืนดีๆซิ เดี๋ยวตำรวจจับตรวจวัดหาแอลกอฮอล์หรอก รู้ป่าว "
( คิดได้ไงฟร่ะเนี่ยะ เรา อิอิ )
ด้วยความสงสัย บวกด้วยความสงสาร จับกางปีกซิ อ่ะ ปีกก็ไม่หักนี่นา
ขาก็ไม่เดี้ยง หัวก็ไม่โน หายใจก็ปกตินี่นา
(ทำอย่างกะผู้ชำนาญเรื่องนกเลยนะเนี่ยะ อิอิ )
" เฮ้ย หนูวา อย่าไปจับมันนะนกตัวนั้น วางลงๆ "
เสียงแว๊ดจากลุงข้างบ้านพลอยทำให้ยิหวาตกใจ
เผลอตัวปล่อยนกในมือร่วงลงพื้น
" ตุ๊บ " นกตัวนั้นคงด่าในใจ ( ตรูเจ็บนะเมริง )
" ทำไมล่ะลุง มีอะไรคะ ? " ยิหวา หันไปมองหน้าลุงพลางถามด้วยความสงสัย
แถมทำหน้าตาใส ซื่อ(บื้อ)เข้าไปอีกแน่ะ
" ก็มันจะดายด้วยหวัดนกหรือเปล่าไม่รุ้ซิ รีบไปล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดเลยนะ ไปๆๆ "
" หวัดนก เอิ๊กกกกก " หวัดนก คำนี้ ฉันนึกแหยงในใจ
" โห ลุง บอกช้าไปล่ะ หนูจับไปแล้วด้วยซิ " ยิหวาพูด
พลางก้มมองสองมือตัวเอง ทำไมชักสั่นๆผิดปกติแฮะ
สงสัยจิตตกอีกแล้วเรา 55555
.................................................................................
3.......... " แต่นกตัวนี้น่าสงสารนะลุง ดูซิ ขืนปล่อยไว้ข้างพงหญ้า
เกิดเขาหล่นลงคูน้ำตายล่ะ
หรือไม่ก็ หากเขาปีนขึ้นฟุตบาธ แล้วหล่นลงถนนล่ะ
มีหวังรถขับมา มองไม่เห็นก็รถทับตายกันพอดี "
ฉันพูดซะยาวเชียว แต่ลุงซิเอาเปรียบฉัน ลุงพูดนิดเดียวเอง
จริงๆนะ ลองอ่านซิ
" ก็แค่..นกหนึ่งตัว " เห็นม๊า ลุงพูดนิดเดียวเองจริงๆ
" ก็แค่..นกหนึ่งตัวอย่างงั้นหรือ ? " ฉัน ทวนคำนี้เบาๆ
ลุงหมายความว่าอย่างไรกันนะ
ฉันไม่รุ้ว่า นกตัวนี้โชคร้ายเป็นอะไรกันแน่.....
โดนยาเบื่อหนู เอ๊ย ยาเบื่อนกหรือเปล่าน๊า
แต่เอ.. ไม่เห็นมีน้ำลายฟูมปากเลยนี่นา
อาจโดนรถชนหรือรถเฉี่ยว แต่เอ ปีกก็ยังคงสภาพเดิม
ขาก็ไม่หัก สภาพร่างกายส่วนอื่นยังสมบูรณ์
หรือว่า.. หรือว่า ระหว่างทางที่เขาบินๆๆนั้น อาจหน้ามืด ่ตาลาย
วิงเวียนศรีษะ แล้วพลักตกลงมาเอง
อืม.. เห็นทีต้องแนะนำให้นกตัวนี้พกยาดมพีเป๊กซ์บ้างแล้วล่ะ
หรือไม่ก็ยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ้ว ทาถูๆ สูดดมชื่นใจ
เอ.. หรือว่า เขาเป็นหวัดนกจริงๆนะ
ต่อไปนี้จะบอกให้เขานอนห่มผ้าให้หนาๆแล้วล่ะ
จะได้ไม่เป็นหวัด(นก) อิอิ
สารพัดความคิดของยิหวาที่หาทางช่วยนกตัวนี้ กำลังคิดเพลินๆ
" เข้าบ้านไปเถอะหนูวา แค่นกตัวเดียว สนใจมันทำไมกัน "
เสียงลุงย้ำเตือนอีกครั้ง
...............................................................
4.......... หนึ่งชีวิตตรงหน้าฉันที่นอนดิ้นพยายามตะเกียกตะกาย
เอาตัวรอดนั้นเป็นเพียงแค่นกตัวเดียวกระนั้นหรือ
นกตัวเดียว นกที่ไม่รักชีวิตตัวเองอย่างงั้นหรือ
ทำไมล่ะในเมื่อสิ่งมีชีวิตทุกอย่างไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่
ต่างก็รักชีวิตตัวเองด้วยกันทั้งนั้นแหละ
พวกเขามีสิทธิ์ที่จะร้องขอชีวิต หรือว่าใช้ชีวิตบนโลกแห่งนี้นี่นา
ไม่อย่างงั้นเขาเขาคงไม่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดให้ได้ในโลก(เส็งเคร็ง)ใบนี้หรอก
ตอนที่ฉันจับนกตัวนั้นมาเพ่งพิศดูหาบาดแผล เขายังพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาตัวรอดเลย
คงเป็นสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดกระมัง
แต่ดูสภาพร่างกายตอนนี้ของเขาซิ เขาก้าวขาเดินไม่ได้เลย
อย่าว่า แต่ก้าวขาเดินเลย แม้แต่ยืน เขายังควบคุมตัวเองไม่ได้
ไร้การควบคุม ไร้ทิศทางการทรงตัว จับให้ยืนทีไร ก็เซแซ่ดๆๆๆทุกครั้งไป
ทำไงดีล่ะนี่ ยังคิดไม่ออก ลำพังตัวเองยังเลี้ยงแทบไม่รอด ยังจะริอ่านเลี้ยงนก
หากเขาเกิดเป็นหวัดนกจริงๆล่ะ จะเป็นยังไง ไม่อยากคิด
" พี่วาๆ นกอะไรน่ะ นกของใคร ? " เด็กแก่นแก้วสองสามคนผ่านมาทักทายพลางมองดูนกด้วยความสนใจ
" ไม่รุ้ซิว่า นกอะไร นกเขามั้ง " ยิหวา เดาส่งเดชไปเรื่อย
" อ่อ นกเขา ช่างเหอะ ไม่ใช่นกเรา ไปต่อเหอะพวกเล่นสาดน้ำดีกว่า "
เฮ้อ ฉันถอนหายใจตามหลังเด็กเหล่านั้น ที่พากันหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
ดูเอาเถอะ พวกเด็กบ้า นกจะตายแล้วยังจะมีหน้าหัวเราะกันอีก
...................................................................................
5........... " น้าแอ๊ดๆ ช่วยหนูหน่อยซิ " ยิหวาหรือวาบอกน้าแอ๊ด
ซึ่งเป็นยามหน้าประตูโรงเรียนฝั่งตรงข้ามบ้านเธอเอง
" น้าแอ๊ด ช่วยเอานกตัวนี้ไปที เอาไปไหนก็ได้นะ
อย่าให้เขามาตกคูน้ำแถวนี้ อย่าให้เขาลงไปบนถนน กลัวโดนรถทับน่ะ "
ฉันบอกน้าแอ๊ดพลางยื่นเงินให้ 50 บาท น้าแอ๊ด รับเงินด้วยสีหน้าที่งุนงง
สายตาก็มองนกโชคร้ายตัวนั้นยิ่งงงหนักเข้าไปอีก อุทาน " นกพิราบเนี๊ยะนะ "
" แค่นกหนึ่งตัว มีค่าตั้ง 50 บาท " ลุงข้างบ้านมิวายที่จะพูด พลางหัวเราะหึหึเหมือนประชดอะไรบางอย่าง
" ช่างเถอะน่ะลุง นะ สงสารเขาด้วย ไม่อยากเขาตายต่อหน้าต่อตาหนู "
ฉันพูดเพื่อปัดรังควาญ เอ๊ย ปัดความรำคาญ
" แต่ดีใจจังที่ลุงบอกว่าตั้ง 50 บาท ดีกว่าลุงพูดว่า แค่ 50บาท
ความหมายต่างกันนะลุง ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้พูดว่า
ต้องการตีความหมายออกมาอย่างไรต่างหาก จริงไหมคะ
แม้แต่ลุงยังบอกว่า ตั้ง 50 บาท แสดงว่า ลุงยังเห็นนกมีค่า มีราคา ชีวิตใคร ใครก็รัก ใช่ไหมลุง ? "
ฉันพูดแล้วทำสีหน้าไม่รุ้ไม่ชี้
" .......... " ไม่มีเสียงโต้ตอบจากลุงข้างบ้าน ลุงคงงง ว่า ฉันพร่ำเพ้ออะไรกันนี่ อิอิ
................ ไขกุญแจเข้าบ้านโดยที่ไม่ลืมหยิบถุงขนมมาด้วย
(ลืมได้ไง อิอิ งกนี่ )
อาบน้ำด้วยความสบายใจ ล้างมือฟอกสบู่อย่างดี ก็กลัวเหมือนกันนี่(หว่า) อิอิ
หันมาดูข่าวหน้าจอทีวีอีกครั้ง อ้าว ข่าวการเมืองอีกแล้ว
เฮ้อ ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เกมการเมืองยังร้อนระอุ ปะทุขึ้นรุนแรงกว่าเก่า
เอ หรือว่า เจ้านกตัวนั้นเป็นลางร้ายบ่งบอกสัญญาณอะไรบางอย่างหรือเปล่า ไม่น่ะ ฉันคงคิดมากไปเอง
สงสารผู้คนบางกลุ่มนี่ซิ ที่ถูกยุแหย่ปลุกปั่นให้กระทำการร้ายแรง เพื่อคนเพียงคนเดียว
ใช่ซิ .. เพื่อคน เพียงคนเดียว แล้วนกตัวนั้นล่ะ
ก็แค่นก ตัวเดียว หรือเปล่าแล้วความหมายจะต่างกันแค่สักไหนกันนะ
ชีวิตประชาชนตาดำๆที่หาเช้ากินค่ำ เขาจะมีค่ามีราคาแค่ 50 บาท
หรือว่า ตั้ง 50 บาทกันแน่นะ
แล้วจะมีใครไหมบ้างที่ตีราคาค่าความเป็นคน สูงกว่าคำว่าเงินตรา สูงกว่า ค่าความเป็นคน
แค่คน เพียงคนเดียว หรือว่า คน ตั้งหนึ่งคน
เฮ้อ..... ชีวิตคน ชีวิตนก หรือสิ่งมีชีวิต ต่างดิ้นรนเอาตัวรอด
เพื่อชีวิตตัวเองกันทั้งนั้นเพียงแต่จะเดือดร้อนคนอื่นหรือไม่แค่นั้นเอง
ดูอย่างนกตัวนั้นซิ ตายไปก็ไปตัวเปล่าเขาไม่เห็นต้องแสวงหาอะไรให้วุ่นวาย
คนบางคนยังมองไม่เห็นค่าของชีวิตนกตัวนั้นเลย บางคนเองยังมองไม่เห็นค่าของตัวเอง
นับประสาอะไรกับคนที่(เคย)อยุ่บนผืนแผ่นดินไทยล่ะ
คนที่อ้างตัวเอง ใช้สิทธิ์ของความเป็นคนไทย
คนเหล่านั้นทำประโยชน์ให้แผ่นดินไทยแค่ไหน
หรือเพียงหวังกอบโกยเพื่อผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว คนบางคนคงไม่ต่างอะไรไปกว่านกตัวนั้นหรอก
เพียงแต่ว่า ใครจะตีความหมายค่าชีวิตของนก
หรือของคน ว่า ตั้ง 50 บาท หรือว่า แค่ 50 บาท
อ้าว แล้วกัน เริ่มต้นด้วยเรื่องนก ไหงมาจบด้วย คนเพียงหนึ่งคนน่ะ
เฮ้อออออ.... เซ็งจัง
. .........................................................................
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เล ไ ร้ ค ลื่ น )
" ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน๊ต "
12 เมษายน 2552 18:39 น.
ฉางน้อย
1..........ก่อนที่จะเขียนเรื่องราวนี้ฉันพยายามนั่งหาคำวา จะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่าอย่างไรดี ระหว่าง...
ก. ไซเบอร์ โลกแห่งจินตนาการ แต่เอ ไม่ดีกว่า ชื่อนี้เหมือนเว่อร์ไปนิด หรือ
ข. อินเตอร์เน๊ต โลกออนไลน์ อ่ะ ดูเหมือนเข้าท่าดีนะเนี่ยะ หรือ
ค. วาดและหวัง อืม.. ชื่อนี้ฟังดูแล้วน่าจะเข้าท่ามากที่สุด สั้นๆแต่มีความหมาย
ตกลงเป็นอันว่า วาดและหวัง ชื่อนี้ดีกว่า ก็ไม่มีอะไรมากมายเพียงแค่ต้องการบ่นพร่ำเพ้อถึงผู้คนในโลกไซเบอร์แห่งนี้
(ผู้ที่มักยกตัวเองว่าเป็นผู้เจริญแล้ว) ผู้ที่ชอบบอกใครต่อใครว่ามีการเรียนรุ้ด้านวิวัฒนาการใหม่ๆด้านเทคโนโลยี แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
วิทยาการด้านเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าสูงไปมากขึ้นเท่าใด (หรือที่เราเรียกว่า ไฮเทค) กลับทำให้จิตใจของบางคนบางกลุ่มกลับต่ำลงเท่านั้น
บางคนเสาะแสวงหานำความรุ้ไปใช้ในทางที่ผิด เช่นการเจาะสืบค้นหาข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งรหัสผ่านบัตรเครดิตต่างๆ ซึ่งเรื่องเหล่านี้มักสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนทั่วไปได้อย่างมากมา
หรือแม้แต่ อินเตอร์เน๊ต โลกไซเบอร์ โลกแห่งจินตนาการ ตามแต่ที่หลายๆท่านหลายๆคนจะเรียกกันไป
บางคนบางกลุ่มกลับใช้เครื่องมือเหล่านี้จับกลุ่มหากิ๊ก หาหญิง หาคู่ควงที่ไม่ซ้ำกัน
บ้างก็จับกลุ่มกระทำในสิ่งดีๆมีกิจกรรมที่ดีๆ เช่นการเข้าเสาะหากลุ่ม หรือเวปที่เกี่ยวกับเรื่องสั้น กวีนิพนธ์ บทกลอนที่เราชอบ
กลุ่มไหนที่ชอบการท่องเที่ยว ดูนก ตกปลา ก็ตั้งชมรมขึ้นมาเป็นของตัวเอง เพื่อสนองความต้องการเฉพาะบุคคลของกลุ่มตน
...............................................................................................................
2.......... ยุคสมัยนี้ คงไม่มีใครที่ไม่รุ้จักคำว่า อินเตอร์เน๊ต เชื่อเหลือเกินว่า แม้แต่เด็กเล็กๆในวัยอนุบาลพวกหนูๆหรือผุ้ใหญ่อย่างเราๆต่างก็รุ้จักกันดีเชียวล่ะ
วัยเด็กตอนเรียนชั้นประถมของคุณ คุณได้เรียนรู้ปัจจัย 4 มีอะไรบ้าง จำได้ไหมคะ ?
อย่างน้อยก็ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และสุดท้ายก็ยารักษาโรค จำได้ว่า สมัยเด็กๆคุณครูมักสอนมาแบบนี้เสมอๆ
สมัยต่อมาสิ่งเพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต เพื่อความสะดวกที่ดียิ่งๆขึ้นไปนั้นได้แก่ รถ และ มือถือนั่นเอง
สองอย่างเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เราๆท่านๆทั้งหลายมักขาดเสียมิได้เช่นกัน หรือใครกล้าปฏิเสธคะ
และล่าสุดทุกวันนี้ ฉันคิดว่า สิ่งที่เข้ามามีบทบาท มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเราก็คือ คอมพ์พิวเตอร์ อินเตอร์เน๊ต ซึ่งมักควบคู่กันไปเสมอๆ
แรกเริ่มการพบปะกันทางอินเตอร์เน๊ตนั้น อาจมาจากความชอบในสิ่งเดียวกัน ตั้งกระทู้พูดคุยสนทนาในสิ่งที่เราชอบเหมือนกัน
กระทั่งคุยโต้ตอบกันไปมา ชักไม่ทันใจ(วุ้ย) เทคโนโลยีความทันสมัยใหม่ด้านการสนทนาเข้ามาแทนที่
นั่นคือ โปรแกรม Msn นั่นเอง เดี๋ยวค่อยมาพูดถึงโปรแกรมนี้กันน่ะคะ
กระทู้ต่างๆในเวปทั่วๆไป มักเป็นที่มา ที่ทำให้ผุ้คนได้รุ้จักกันมากขึ้น โดยผ่านตัวอักษรที่พวกเขาเหล่านั้นสื่อสารออกมา
บางคนคิดว่า อ่ะ คนนี้เขียนกลอนเก่งจัง เขียนกลอนน่ารักจัง
เขียนเรื่องสั้นน่าติดตาม เขียนได้ละเอียด น่าสนใจ
ในขณะที่บางคนอาจคิดว่า อ่ะ เขาเขียนกลอนให้เราหรือเปล่า
เขาเขียนกลอนด่าว่าเราหรือเปล่า หรือเขาเขียนกลอนสื่อออกมาว่า
อกหักหรือเปล่า
เอ หรือเขาชอบเรามั้ง เขาเลยเขียนกลอนจีบเรา สื่อมาให้เรารับรุ้
บางคนคิดไปต่างๆนาๆกับถ้อยคำผ่านตัวอักษร
นั่นละ คือการวาด และหวังของผู้คนในโลกไซเบอร์ล่ะคะ
วาดว่า คนคนนี้ต้องหล่อ ต้องสวย น่ารัก ต้องมาดแมน
คืออ่านบทกลอน อ่านเรื่องราวที่เขาเขียนแล้ว
วาดเองคิดเอง ว่าเขาคนนั้นต้องเป็นแบบนี้ๆๆ
เธอคนนั้นต้องเป็นอย่างนี้ๆๆ
เพราะใจคนอ่านไม่แน่นอนอินกับบทละคร อินกับบทกลอนมากเกินไป
ไม่แน่ใจตัวเอง โลเล ไขว้เขว หวั่นไหว
พยายามสักนิดเถอะคะ จงเป็นตัวของตัวเอง จงมีใจที่หนักแน่น
อย่าไปคิดว่าคนโน้นต้องชอบเรา อย่าไปคิดว่าคนนั้นต้องเป็นแฟนคนนี้
บ้างก็สืบสอบถามหาข้อมูลเพื่ออยากรุ้เรื่องราวของใครบางคน
จงหนักแน่น อย่าหวั่นไหวกับใจตัวเอง แล้วคุณจะยิ้มได้อย่างมีความสุขใจ
และยืนอยุ่อย่างทรนงในโลกไซเบอร์นี้ได้อีกนาน
ผู้หญิงหรือผุ้ชายบางคนก็เช่นกัน อ้างตัวว่ามีลูกที่น่ารัก มีสามี
หรือภรรยาที่แสนดี เป็นครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น
แต่ไฉนเลยพวกคุณผู้หญิงทั้งหลาย พวกคุณผุ้ชายทั้งปวงถึงได้มานั่งหน้าจอ
ทำตัวเหมือนสาวๆขี้เหงา หัวใจอ่อนไหวในบทกลอน เรื่องสั้นที่คนแปลกหน้าเขียนสื่ออกมา บ้างก็ทำตัวเหมือนหนุ่มๆที่มองหากิ๊กก็ไม่ปาน
บางคนยิ่งหนักเข้าไปใหญ่(แค่บางคนนะคะ)อาศัยไฮ5หรือ ฮิห้า
เล่นจับจองเป็นเจ้าของคนนั้นคนนี้
โห แม่คุณ พ่อคุณต่างหึงหวงประกาศเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ทำตัวเป็นชะนีหลงไพรเกาะติดไม่ยอมปล่อย ทำให้เจ้าของไฮ5ถึงกับปิดหนีไปเลยก็มี นานาจิตตังคะ
อันนี้หมายความถึงบางคน บางท่านน่ะคะ ที่เคยอ่านเจอ
เคยอ่านข่าวเจอ เป็นกิ๊กกันในไฮ 5 สามีจับได้ สั่งให้แม่สาวคนนั้นเป็นนางนกต่อ เรียกกิ๊ก ออกมาฆ่าสังหาร
นี่แหละคะ ภัยที่เรามองเห็น แต่เราไม่คาดคิด หวังเพียงความสนุก เพียงแค่ครั้งคราว
............................................................................................................
3.......... ผู้คนต่างที่หลงเข้ามาในโลกไซเบอร์แห่งนี้ ต่างก็วาด หวัง วาดเอง คิดเอง เออเอง ไปหมด
บ้างก็วาดให้คนนี้เป็นงี้ คนนั้นเป็นอย่างนั้น
คุณจะคิดบ้างไหมว่า ภาพที่คุณวาด หวัง แต่งแต้มเติมป้ายระบายสีนั้น อาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิด ภาพอาจเปรอะเปื้อนผลงานโดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจ
อีกเรื่องที่ต้องการพูดถึงก็คือ โปรแกรม Msn หรือโปรแกรมสนทนานั่นเอง
หรือที่ทั่วไปเรียกว่า คุยเอ็ม ซึ่งได้รับความนิยมไม่สร่างซา แม้ว่าจะมีไฮ 5 เกิดขั้นทีหลังก็ตามที
เพราะโปรแกรมนี้มีความเป็นส่วนตัว สะดวก ง่าย เพียงปลายนิ้วสัมผัส อิอิ
การคุยเอ็ม เป็นที่นิยมมากขึ้นไม่ว่ากลุ่มวัยรุ่น วัยเรียน
หรือแม้แต่วัยทำงาน
มีใครบางคนแซวว่า คุยเอ็มล่ะเก่งนักเชียว แต่เป็นไปได้ไงที่ไม่เคย
ใช้แฮนด์ดี้ไดรฟ์ 5555 (ก็คนไม่เคยใช้นี่ เนอะ)
การคุยเอ็ม คุณไม่มีโอกาสรุ้ตัวตนที่แท้จริงของคู่สนทนาของคุณหรอกคะ
สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม หญิง หรือ ชาย
คุณทำได้เพียงโต้ตอบกันไปมา พิมพ์ส่งผ่านตัวอักษร ให้อีกฝ่ายได้ยิ้มแย้ม หัวเราะ เหมือนเป็นการสร้างภาพว่า ตัวเองสวย น่ารัก หล่อ เด่นดัง ทั้งๆที่ตัวตนจริงๆแล้ว อาจไม่ได้เป็นดั่งที่คุณวาดหวัง
อย่าคิดว่าฉันใช้คำบ่อย ใช้คำเปลืองนะคะ กับคำว่า วาดหวัง
เพียงแต่ชอบคำนี้จัง เหมือนกับว่า สื่อแทนใจออกมาตรงๆ
วาด หวัง อืม.. ชอบจัง คำนี้ อิอิ......
ก็ไม่แน่อีกเช่นกันหรอกคะ บางคนคุยเอ็มเพียงแค่รุ้จักทักทาย แต่สุดท้ายอาจกลายเป็นความผูกพัน(หรือเปล่า)
บ้างก็พัฒนาความสัมพันธ์จากความเป็นเพื่อนก้าวสุ่คำว่า
แฟน กลับกลายเป็นความรักที่สดใส(หรือเปล่า)
บางคน บางคุ่ก็อีกเช่นกัน บางคนคบกัน คุยกันผ่านตัวอักษร
อาจรุ้สึกว่าอ่ะ คนนี้ไม่ใช่สำหรับเรา ไม่ใช่คนของเรา หรือ
บางคุ่บางคน คุยมากหวังมาก ว่า คนนี้ต้องเป็นแบบนี้
ต้องใช่สำหรับเรา ต้องใช่สำหรับเขา
แต่เมื่อไม่ใช่อย่างที่คุณคิดคุณอาจทำเฉย ไม่คุยด้วย
เพียงเพราะว่า คน คนนั้นไม่ได้เป็นดั่งที่คุณวาด หวัง
ในที่สุดคุณก็จะถอยออกมา แล้วแสวงหาคนใหม่
คล้ายกับว่า คุณพลาดจากคนโน้น คุณก็โผไปหาคนอื่นอีก
ถ้าเขาไม่ใช่อีก คุณก็อาจจะต้องแสวงหาเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วชีวิตนี้คุณจะรุ้ว่า เหนื่อยแค่ไหนกับการแสวงหาในสิ่งที่มองไม่เห็น
จะเหนื่อยกับการที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
เหนื่อยใจนะคะ ขอบอก
..........................................................................................................
4.......... ในเมื่อเรารู้จักตัวตนซึ่งกันและกัน รักที่จะคบกัน
รักที่จะเรียนรุ้นิสัยซึ่งกันและกัน
ก็ต้องอดทน อดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุต่างๆ
อย่าหวั่นไหวต่อคนรอบข้าง ต้องมั่นคงต่อกันและกัน
เพราะ ความรักมีทั้งสุขและทุกข์
ความรักทำให้เราเป็นสุข เพราะเป็นดั่งที่เราคาดหวัง วาดหวัง เป็นดั่งใจปรารถนา
ในขณะเดียวกันความรักทำให้เราเป็นทุกข์
ทุกข์เพราะไม่ได้ดั่งใจที่คาดหวัง ไม่ได้ดั่งต้องการ
คุณล่ะคะ จะยอมอยุ่กับความรักที่เป็นสุข
หรือความรักที่เป็นทุกข์ เราต้องยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต
อย่าวาดหวังอะไรมากมาย อย่าฝันถึงอะไรที่ยังมาไม่ถีง
ความฝันบางอย่างทำให้เราเป็นสุข แต่ในขณะเดียวกัน
คุณจำต้องเลือกระหว่างความฝันที่สวยงาม
หรือ คุณจะกล้าเผชิญกับความจริงที่เจ็บปวดในโลกไซเบอร์แห่งนี้ไหม
ความจริงที่ ไม่เป็นดั่งวาดหวังของคุณ
อย่าทำให้หัวใจคุณเองต้องบาดเจ็บไปมากกว่านี้เลยคะ
กลับไปสู่โลกแห่งความจริงดีกว่าก่อนที่จะสายเกินไป
....................................................................................
( ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )
7 เมษายน 2552 19:19 น.
ฉางน้อย
1....... เพราะความเบื่อๆเซ็งๆจากการนั่งๆนอนๆ อดเล่นเน๊ต ไม่ได้เปิดคอมพ์เป็นอาทิตย์ ทำให้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันอีกจนได้
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี่เอง บ่ายวันอาทิตย์ของวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ฉันหรือยัยวาหรือยิหวาเริ่มที่จะเบื่อการรอคอยเจ้า
คอมพ์ตัวใหม่ ตัวเก่าก็ยังซ่อมไม่เสร็จ ทำไงดีล่ะทีนี้ เอางี้ดีกว่า แว่บๆหาโอกาสไปตากแอร์ให้หูเย็นๆซะงั้น อิอิ
เป้าหมายจู่โจมคือ ร้านหนังสือซีเอ็ด สาขาหนึ่งในห้างใกล้ๆบ้าน ขอไม่บอกว่าสาขาอะไรคะ ) ( บอกก็กลัวซิคะ อิอิ )
" ไปไหนวะ ยัยวา " เฮียวิทย์ร้องถามขณะที่ฉันหรือยิหวาสุดสวยของพี่ชาย(ตัวดี)ก้มผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ
สีซีดๆและเก่าๆ(แถมใกล้จะเน่าอีกต่างหาก อิอิ )
" ไปแถวนี้แหละน่า ร้านหนังสือใกล้ๆตรงเนี๊ยะ " ฉันตอบพลางพยักหน้าเน้นความหมายว่า ตรงเนี๊ยะ ซึ่งก็คือ
ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากบ้านฉันสักเท่าไหร่นั่นเอง
" โห แล้วไปในสภาพยังงี้เนี่ยะนะ แต่งตัวยังกะโจรา500 " เฮียวิทย์ตอบพลางหัวเราะอย่างมีความหมาย
" ห๋า ว่าอะไรนะ เมื่อกี้เฮียพูดว่าไร อะไรคือ โจรา 500 " ฉันอดที่จะสงสัยเสียมิได้
" 555 ว่าแล้วเชียวว่า ต้องถาม ก็ผู้ชายเขาเรียก "โจร"ใช่ไหมล่ะ งั้น ผู้หญิงก็ต้องเป็น "โจรา"ไงล่ะ 5555
เสียงเฮียวิทย์หัวเราะอย่างผู้ที่กำชัยชนะเหนือกว่า
" เชอะ ถ้าวาเป็นโจรา500 เฮียก็เป็นโจร800ล่ะว๊า ยิ่งกว่าวาซะอีก อิอิ " วาเอาคืนได้สำเร็จก่อนวิ่งจู๊ดออกจากบ้าน
" เฮ้ยๆ แล้วมันไปอย่างงั้นจริงๆน่ะเหรอไงวะ แป้งก็ไม่ทา หน้าก็ไม่ผัด มิหน้าหาแฟนไม่ได้สักที "
ขนาดรีบวิ่งโกยอ้าวทั้งนี้เพราะว่าแขวนหลวงพ่อโกย วัดหน้าตั้ง ฉันยังไม่ยั้งที่จะใส่เกียร์แมว 4*100
แต่หูยังได้ยินเสียงเฮียบ่นแว่วๆตามหลัง(ขนาดแว่วๆนะเนี่ยะ อิอิ )
ฉันสะพายกระเป๋าใบเก่าสีดำภายในมีสมุดบันทึก ปากกา และที่ขาดไม่ได้คือ กล้องดิจิตอลเพื่อนยากขนาดเล็กธรรมดาๆตัวหนึ่ง
...............................................................................................
2........ " อ้าว พี่นี่เอง สวัสดีค่ะพี่ หนูคิดว่าพี่ไม่มาซะแล้วซิคะ " เสียงแม่สาวหน้าใสในชุดพนักงานร้านหนังสือร้องทักทายแต่ไกล
ฉัน ได้แต่คิดในใจ " มาหรือไม่มา เกี่ยวไรด้วยฟร่ะ "
ปากอยากบอกออกไปอย่างงั้นจริงๆ แต่ด้วยสมบัติผู้ดีแม่สอนมาดี เลยยั้งๆไว้ อิอิ
อย่ากระนั้นเลย ส่งยิ้มให้เจ้าหล่อนสัก1ทีก็ได้ และแล้วมุมปากก็แยกเขี้ยวคำราม เอ๊ย ฉันหันไปยิ้มหวานให้เธอได้มีกำลังใจ อิอิ
" พี่ขา ฝากกระเป๋าไหมคะ หนูดูแลให้คะ รับรองไม่หายค่ะพี่ "
เธอ แม่สาวคนนั้นยังคงเทคแคร์ลูกค้าอย่างฉันได้ดีเยี่ยม
" ค่ะ " คำเดียวสั้นๆจากฉัน พลางส่งกระเป๋าสะพายสดหวงแหนให้เธอ มองอย่างสายตาอาลัยอาวรณ์
(ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวหายน่ะซิ) 5555
เป้าหมายของฉันคือ ชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรม เรื่องสั้น กวีนิพนธ์ ก้มๆเงยๆเพื่อมองหาหนังสือที่ถูกใจ
เงยๆก้มๆ เงยอีกที อะจึ๋ยๆๆ แม่สาวหน้าใสคนนี้อีกแล้ว มายืนตั้งแต่เมื่อไหร่(ฟร่ะ)เนี่ยะ
" สงกรานต์นี้ พี่ไปเที่ยวไหนไหมคะ?
นั่นไง เอาล่ะซิ ฉันอุตส่าห์(แอบ)หลบมุมเลือกหาหนังสือดีๆสักเล่ม
" เอ่อ คงไปที่ใต้น่ะค่ะ " ฉันยิ้มให้คุณเธอ พลางตอบไปเพื่อ(รักษา)มารยาท ทั้งๆที่ฉันคิดในใจว่า อะไรกันนักหนาหว่า
" แหมๆ ..น่าอิจฉาจัง หน้าร้อนไปเที่ยวทะเล คงสนุกนะคะพี่ "
เจ้าหล่อนยังคงจีบปากจีบคอพร่ำไปเรื่อย
( จีบปากจีบคอไม่เป็นไร ขอเพียงอย่ามาจีบลูกค้าคนนี้ก็แล้วกัน 555)
" มัง จะรู้อะไรไหมเนี่ย ก็บ้านตรูอยุ่ที่ใต้นี่หว่า "
ฉันได้แต่คิดแบบปลงๆ พลางยิ้มแหยๆให้เธอ 1ที พร้อมขยับถอยห่างอีก1ก้าว
" พี่ขา พี่มีเพื่อนไปยังคะ หนูยังว่างนะคะ "
เอาล่ะซิ เจ้าหล่อนพูดทีเล่นทีจริง ดวงตาวับแวม
เฮ้อ.. หล่อนมาไม้ไหนของเค้านะ เดี๋ยวฉันก็ให้ไม้หน้าสามไปซะหรอก อิอิ ยั้งๆไว้ก่อน อ่ะ ล้อเล่ง 555
" เนี๊ยะ ... พี่รู้ป่าว หนูชอบพี่จัง เอ่อ.. คือชอบสไตล์การแต่งตัวของพี่น่ะค่ะ พี่ดูเท่ดีนะคะ อย่าคิดอย่างอื่น "
เธอคนนั้น รีบออกตัวเมื่อเห็นทำตาโตตกใจนิดๆ
ตะลึงหน่อยๆกับคำว่า " หนูชอบพี่จัง "
.......................................................................................................
3......... พ๊อคเก็ตบุ๊คสองเล่มรวมทั้งนิตยสารเกี่ยวกับเรื่องราวของวรรณกรรมอีกประมาณสัก3เล่มอยุ่ในมือฉันเรียบร้อย
สายตาสอดส่ายหาทางหนีทีไล่ ( ทำยังกับจะหนีใครเขางั้นแหละ เนอะ อิอิ )
แน่ะ .. ดูซิ เจ้าหล่อนยังเดินตามต้อยๆ แม้ว่าจะทิ้งระยะห่างพอสมควร เพื่อไม่ให้เหยื่ออย่างฉันตื่นกลัว (ว่าเข้าไปนั่น 555)
" เอ่อ .. พี่คะ พี่เป็นนักเขียนหรือคะ ? " คำถามอย่างต้องการอยากรู้เอ่ยจากปากเธอ
" อ่อ .. เปล่าคะ ไม่ได้เป็นนักเขียนคะ แต่พยายามเป็นนักอ่านที่ดี เขียนไม่ได้เรื่องราวสักอย่างด้วยซิคะ "
ฉันจำได้ว่า ตอบเธอไปอย่างงั้นจริงๆ เพราะฉันคิดว่า แม้ตัวเองอาจเป็นนักอ่านที่ดีได้ แต่คงเป็นนักเขียนที่ดีไม่ได้
" งั้น พี่คงเป็นศิลปินเพื่อชีวิตหรือเปล่าคะ ? "
อีกแล้ว คำถามชวนปวดหัวของเธออีกแล้วซิคะ
พระเจ้าช่วยกล้วยตาก ทำไม ต้องมาเจอหล่อนด้วยว๊า เริ่มที่จะปวดหัวหนึบๆ 555 เล่นเอาเครียดนะเนี่ยะ
............... ฉันมองหน้าหล่อนเต็มสายตา ดวงตาเธอมีแววแจ่มใส เหมือนคนซื่อๆ(แต่จะบื้อด้วยหรือเปล่าไม่ทราบได้คะ)
อายุเธอราวๆ 18 - 19 ปีที่ผ่านโลกนี้มา ตัวเล็กๆผิวไม่ถึงกับขาวซีด แต่ออกผิวขาวเหลือง เธอยังคงส่งยิ้มมาขณะที่รอฟังคำตอบ
" เอ... แล้วทำไมถึงคิดว่า พี่เป็นศิลปินเพื่อชีวิตล่ะคะ ? "
ฉันสะกิดใจในคำถามของเธอ เลยอดที่จะย้อนถามกลับไปบ้าง
" ก็เหมือนพี่แต่งตัวเท่ๆ เซอร์ๆ กางเกงลายพรางทหาร รองเท้าผ้าใบ ใส่หมวกแก๊บ สะพายเป้ หนูว่า พี่เท่ดีน่ะคะ หนูชอบ "
" คือ เหมือนพี่แต่งตัวไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงสักเท่าไหร่น่ะค่ะ แหะ..แหะ.." เธอพูดแล้วหัวเราะแบบเขินอายที่พูดความจริงมั้งคะ
คำตอบสุดท้ายของเธอ แต่เป็นบทสรุปให้ฉันได้อย่างดีเยี่ยม
" ..................." ฉันคิดในใจ น้องขา น้องหลอกด่าพี่ หรือชมพี่กันแน่คะ 5555
....................................................................................................................
4.......... หนังสือที่ฉันต้องการ ถูกนำมาวางที่หน้าเคาร์เตอร์แคชเชียร์ รอการจ่ายเงิน และบรรจุลงถุง
" 285 บาทค่ะ นี่เป็นส่วนลดแล้วนะคะ จากบัตรสมาชิกค่ะ โอกาสหน้ามาใหม่นะคะ "
" อย่าลืมรับกระเป๋าคืนด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะพี่ "
ผ่านพ้นร้านหนังสือมาได้ เฮ้อ..โล่งอกเสียนี่กระไร อิอิ
แต่คำถามบางสิ่งบางอย่างแว่บเกิดขึ้นในใจ
ฉันคนนี้ "แต่งตัวไม่เหมือนผู้หญิงสักเท่าไหร่ " ฉันก้มมองดูกางเกงที่สวมอยุ่ ไหนจะรองเท้าผ้าใบ
ไหนจะหมวกแก๊บที่ฉันชอบสวม
ผิดไหมที่...ฉันใส่กางเกงลายพรางทหาร
... แทนที่จะใส่กระโปรงสั้นเลยเข่าโชว์ขาขาวๆ อิอิ
ผิดไหมที่...ฉันใส่เสื้อยืด
... แทนที่จะใส่เสื้อเอวลอย สายเดี่ยวโชว์สะดือ(จุ่นๆ)
ผิดไหมที่...ฉันใส่รองเท้าผ้าใบ
... แทนที่จะใส่รองเท้าส้นสูง 3 นิ้วหรือส้นตึก ดีนะ ไม่มีส้นคอนโดด้วย อิอิ
ผิดไหมที่...ฉันสวมหมวกแก๊ป.
.. แทนที่จะรัดที่คาดผมสีหวานๆน่ารักๆ
สารพัดคำถามหลากหลายเกิดขึ้นในใจฉัน ผิดไหมที่... ผิดไหมที่.. ฯลฯ
ไม่ผิดหรอกน่ะ ก็ในเมื่อเราเป็นศิลปินเพื่อชีวิต(ตัวเอง)นี่นา 55555
คิดแบบนี้ก็เป็นสุขใจแล้ว ไม่ทำให้เดือดร้อนใคร เราเป็นของเราแบบนี้ดีที่สุด
แต่ก็นั่นแหละนะ ความคิดคนเราห้ามกันไม่ได้ เขามองเรา อาจคิดว่า เราเป็นแบบนี้ แบบนั้น
น้องขา น้องที่ขายหนังสือน่ะค่ะ น้องจะทราบไหมคะ ว่า
พี่คนนี้ที่น้องยกให้เป็นศิลปินเพื่อชีวิต(ตัวเอง)
เดี๋ยวศิลปินเพื่อชีวิตก็ต้องไปห้อยโหนรถเมล์แล้วนะคะ โหนรถเมล์ทั้งชีวิตจนมือจะยาวเป็นชะนีแล้วซิคะ
กลัวจังคะ จะส่งเสียงร้องหาปั๊วๆๆๆๆ เสียงเหมือนชะนีหลงไพร อิอิ
............ อ้าว แล้วกันซิคะ ขึ้นต้นด้วยร้านหนังสือ มาจบลงด้วยเรื่องของชะนีหลงไพร
..........................................................
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
3 มีนาคม 2552 21:16 น.
ฉางน้อย
1......
ปีใหม่ของปีที่ผ่านมาฉันจำได้ มีเหตุให้ต้องเดินทางกลับใต้อย่างฉุกละหุก
ฉันเองก็ไม่ได้คาดคิดหรือวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเลยสักนิดเดียว
แย่ละซิ ช่วงเทศกาลด้วยแล้วยังจะมีที่ว่างพอสำหรับเราไหมเนี่ยะ
ฉันได้แต่คิดรำพันในใจเพียงคนเดียว
พี่ๆทั้งสามคนก็คงไปนั่งยิ้มหน้าบานที่บ้านกันหมดแล้ว
เพราะความใจง่ายของตัวเอง อยากไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภา
พี่ๆทั้งสามรวมหัวกันกล่อมเราซะอยุ่หมัด อิอิ
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ไม่มีที่รถนอนก็นั่งไปแล้วกัน ยืนก็ได้(มั้ง)
...........................................
2.........
" ขอจองตั๋วรถสปินเตอร์ช่วงเวลา 4 ทุ่มกว่าน่ะคะ ลงที่สถานีไชยา "
ฉันแจ้งความประสงค์ไปยังพนักงานขายตั๋วตรงหน้าเคาน์เตอร์
" ขออภัยคะ ตอนนี้รถไฟทุกชั้น ทุกขบวนเต็มหมดแล้วคะ ยกเว้นชั้น 3 นั่ง "
" เดี๋ยวดูรายละเอียดให้อีกทีแล้วกันคะ " เธอบอกอีกครั้ง
ฉันหรือยิหวา รอลุ้นด้วยใจระลึก เอ๊ย ระทึก อิอิ
" เอ่อ คุณคะ มีที่นั่ง ชั้น 3 ว่างคะ แต่เป็นเก้าอี้ไม้ ปรับเอนไม่ได้ "
ฉันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แน่นอน จำยอมซื้อตั๋วเดินทางชั้น 3 ในราคา 200กว่าบาท
ในขณะเดียวกันที่รถสปินเตอร์ราคา 500กว่า เกือบจะ 600บาท
ฉะนั้น อย่าถามหาความสะดวกสบายว่า ต่างกันแค่ไหนระหว่างชั้น 3 กับรถสปินเตอร์ช่วง4 ทุ่ม
แค่คิดน้ำตาแทบร่วงยัยวาเอ๋ย เก้าอี้ไม้ ปรับเอนไม่ได้
โห ต้องนั่งจากหัวลำโพงข้ามคืนเชียวนะ นั่งจนก้นด้านหมดแล้วมั้ง 5555
....................................................
3..........
ฉันเหลือบมองหมายเลขที่นั่งจากตั๋วในมือ ขบวนรถเร็วกันตัง
เวลารถออก 18.20 น. เป้าหมายดุ่มๆไปที่ชานชลาที่ 10
โชคดีหน่อย ที่ได้ที่นั่งริมหน้าต่าง แต่ยังไงก็อดที่จะสมเพชแกมเวทนาตัวเองเสียมิได้ ทำไมชีวิตยัยวาถึงน่าอนาถเช่นนี้หนอ เฮ้อ
อากาศก็แสนจะร้อนอบอ้าว อึดอัดอีกต่างหาก
แต่คิดอีกทีก็น่ะ... ประสบการณ์ชีวิตการเดินทางของคนเราใช่ว่าสวยงามเสมอไปหมดซะทีเดียว ไม่งั้น ชีวิตคงไม่มีรสชาติซิ เนอะ
ก็ได้แค่ยิ้มกับตัวเอง กับคำปลอบใจที่แสนจะง่ายๆ 55555
คิดพลาง สายตาก็มองผุ้คนไปข้างหน้าเรื่อยๆ
เอ พวกเขากำลังจะเดินทางไปไหนกันนักหนานะ
เอ พวกเขาคงเหมือนเราหรือเปล่า ที่กลับไปเยี่ยมบ้านเยี่ยมครอบครัว
นั่นซิ อย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนร่วมเดินทาง ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับฉันมากมายที่โดยสารรถไฟสายใต้ขบวนนี้ แม้จุดหมายปลายทางฝันของเราอาจต่างกัน
กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ แว่วเสียงตำรวจรถไฟเดินมาพูดคุยบอกให้ผุ้โดยสารระวังสิ่งของมีค่าที่นำติดตัว
ให้ระวังเหล่ามิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวมาในรุปแบบต่างๆ
สำหรับฉัน ยิหวาแล้วไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะไม่เคยพกของมีค่าติดตัว
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่เคยมีสิ่งของมีค่าเหมือนคนอื่นเขาเลย อิอิ
..............................................
4............
" นี่ไง หมายเลขที่นั่งของเรา หนูนั่งกับพี่เค้านะลูก "
เอ.. เพื่อนร่วมเดินทางมาเพิ่มอีกสองชีวิตแล้วซินะ อย่างน้อยก็แม่ลูกคู่นี้ล่ะ
ตัวคุณแม่ให้ลุกสาววัยราวๆ7ขวบมานั่งข้างฉัน ตัวเธอเองไปนั่งฝั่งตรงข้ามฉันกับลุกสาว
ฉันหันไปยิ้มทักทายมิตรต้อนรับมิตรใหม่คนแปลกหน้า
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นเธอมองฉันราวกับว่า ฉันเป็นคนหน้าแปลก
แววตาและสีหน้าของเธอบ่งบอกว่า เธอกำลังตื่นกลัวกับคนแปลกหน้าอย่างฉัน
เอ.. หรือว่า ฉันเป็นคนหน้าแปลกสำหรับเธอไปแล้วจริงๆ
ความรุ้สึกของฉันเวลาต่อมาก็คือ เธอ เด็กผุ้หญิงคนนั้นแอบมองหน้าฉันบ่อยมากๆ
เอ.. ชักสนุกซะแล้วซิยัยวา
...............................................
5..............
รถไฟยังคงวิ่งในเส้นทางที่กำหนดไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะถึงจุดหมายปลายทางฝันของใครสักคน
ความมืดเริ่มเข้ามาเยือน ต้นไม้ใหญ่ใบหญ้าริมทางรถไฟเป็นสึทึมๆดูน่ากลัว คล้ายเงาสูงใหญ่ของปีศาจสักตนหนึ่ง
ไม่หรอกนะ ฉันแค่คิด แค่จินตนาการไปเองต่างหากล่ะ
เสียงล้อเหล็กยังคงเบียดขยี้รางรถไฟ ฟังแล้วเสียดแทงถึงข้างในหัวใจ
หากบางช่วงบางตอนแล้ว รถไฟจะวิ่งผ่านสะพานเหล็ก รถไฟรถเหล้กล้อเหล็กก็จะบดกับเหล้กสะพาน เสียงดังจนแสบแก้วหู
ทำให้เด้กหญิงคนนั้นต้องเอาสองมืออุดหู
พลางถาโถมหาอ้อมกอดแม่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ราวกับต้องการคำปลุกปลอบจากผุ้เป็นแม่ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจกลับคืนมา
.............................................
6..........
2 ชั่วโมงผ่านไปเห็นจะได้ ถ้าฉันคาดคะเนไม่ผิด
" จ๊ะเอ๋ ... ชื่ออะไรคะ ? " ฉันเริ่มบทสนทนากับแม่หนูน้อยคนนั้น
" ....." เงียบไม่มี คำตอบจากเธอ แต่เหมือนเธอมองหน้าฉันเหมือนประหม่า เขินอาย นิ้วหัวแม่โป้งถุกจับส่งเข้าปากแก้เขิน 5555
" พี่เค้าชวนคุย ทำไมหนูไม่คุยกับพี่เค้า ทีเมื่อกี้แอบมองพี่เค้านี่ "
แม่ของเธอ ไม่น่าดักคอเธอเลย ยิ่งทำให้เธอเขินอาย ยิ้มเอามือปิดปาก
" ว่าไงคะ ชื่ออะไรเอ่ย ? " ฉันลองใหม่อีกครั้ง พลางส่งยิ้มหวานสุดๆดุจนางงามรักเด็ก 55555
" ชื่อ เตย คะ " อ่ะนะ ได้ผลแฮะ เธอยอมคุยด้วยแล้ว แม้จะออกอาการเขินๆนิดๆ
" ชื่อน่ารักจัง เตย ย่อมาจากอะไรคะ ใบเตยหรือเปล่า ? " ฉันตะล่อมเด็ก อิอิ
น้องเตย ยังคงยิ้มเขินๆ คงเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อย่างเหนียวแน่น
" เตย มาจากคำว่า ใบเตยคะ แม่ตั้งให้หนู "
น้องเตย เริ่มเป็นมิตรกับฉันกว่าเก่า
ดูท่าทางเธอแล้ว เธอคงเริ่มชินกับคนแปลกหน้า (รวมทั้งคนหน้าแปลกอย่างฉัน)มากขึ้น เธอเริ่มที่จะกล้าพุดคุยด้วยแล้ว
" พี่ไว้ผมยาวสวย หนูชอบ แต่ทำไมพี่ใส่หมวกเหมือนผุ้ชาย ?"
" ..... " คราวนี้กลับกลายเป็นฉันที่หาคำตอบให้น้องเตยไม่ได้ 5555
จริงๆแล้วฉันคิดว่า น้องเตยเธอเป็นเด็กที่กล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าพุด กล้าถาม ช่างซัก ช่างสงสัย รวมกันคือ สารพัดช่างน่ะค่ะ อิอิ
น้องเตย เธอช่างซัก ช่างสงสัย แต่เธอคงคิดว่า เราสองคนอาจเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันหรือเปล่า
เธอ หรือ ฉัน กันแน่ ที่ไม่กล้าพูดคุยกับคนแปลกหน้าก่อนกัน
.....................................
" พี่ชื่ออะไรคะ ? " น้องเตยเหมือนเริ่มที่จะคุ้นเคย
" ชื่อ พี่วา คะ " ฉันตอบน้องเตย พลางยิ้มหวานให้อย่างนางงามรักเด็กเป็นรอบที่ 2 ฮ่าๆ อิอิ
" แล้วพี่วาจะไปไหนคะ ไปหาพ่อหรือเปล่า หนูจะกลับบ้านไปหาพ่อคะ "
" พี่สาวหนูรับปริญญา แม่พาหนูมาถ่ายรูปกับพี่สาว พ่อหนูไม่ได้มาคะ "
ประโยคสนทนา บอกเล่ายาวๆของเธอ อดที่ทำให้ฉัน(แอบ)อมยิ้มเสียมิได้ นั่นเพราะเธอเป็นเด็ก วัยเด็กเป็นวัยที่ยังคงเป็นผ้าขาว ใส ซื่อ ช่างเจรจา เห็นอะไ ร คิดอะไร ก็พูดออกมาตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนผุ้ใหญ่บางคน
น้ำเสียงบอกเล่าซื่อๆ รวมทั้งแววตาใสๆของเธอ ทำให้ฉันหลงรักเธอได้ไม่ยากเลยสักนิดเดียว
...............................................
7..............
น้องเตย เธอเป็นเด็กผิวคล้ำตามแบบฉบับเด็กใต้ทั่วๆไป
เธอช่างพูดช่างคุยได้หลากหลายเรื่อง และที่สำคัญเธอพยายามสื่อสารภาษากลางปนภาษาใต้กับฉัน
(หรือที่บ้านฉันเรียกว่า แหลงทองแดง นั่นแหละคะ อิอิ )
" พี่วาๆ พี่วาเป็นคนใต้เหมือนหนูไหมคะ ?" น้องเตยถามฉันพร้อมรอฟังคำตอบด้วยแววตาใสซื่อ
" พี่เป็นคนใต้เหมือนน้องเตยแหละคะ" ฉันบอกออกไปอย่างงั้นจริงๆ
" ไม่จริง พี่วาผิวขาว จะเป็นคนใต้ได้ไง หนูผิวดำ หนูเป็นคนใต้จริงๆนิ "ล
เธอยังคงแหลงใต้ ผสมภาษากลางได้อย่างไม่ติดขัด
" ก็พ่อของพี่วาเป็นคนจีน แม่เป็นคนใต้ พี่วาเลยขาวนิดนึงคะ "
" ............" น้องเตยมองหน้าฉัน แล้วก็เงียบ
เอ.. ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าหนอ อะไรทำให้เธอเงียบงัน
แต่แล้วเธอก็มองหน้าฉันด้วยสายตาที่แปลกไปกว่าเก่า
คล้ายสายตาของคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันเมื่อ2ชั่วโมงที่ผ่านมา
" พี่วานับถือศาสนาพุทธ พี่วากินหมู พี่วาตัวขาว แต่หนุตัวดำ หนูนับถือศาสนาอิสลาม หนูไม่กินหมู.... แล้ว... แล้วพี่วาจะคุยกับหนูอีกไหมคะ
เราเป็นเพื่อนกันต่อไปได้ไหมคะ "
น้องเตยระบายความสงสัยออกมาได้หมดเปลือกจริงๆ
ทำให้ฉันถึงบางอ้อ เดี๋ยวนี้นี่เอง แต่ฉันอึ้งกับคำถามของเธอ
ทำไมตัวแค่นี้ อายุแค่ 7ขวบ ทำไมรุ้จักคำว่า "เพื่อน"
ทำไม รุ้จักคำว่า "ศาสนา" หลากหลายคำถามผุดในสมองฉันมากมาย
สีหน้าที่เธอพูดซื่อๆดั่งเก่า แต่น้ำเสียงเหมือนสั่นครือ
ฉันได้แต่คิดว่า เธออาจมีอะไรกังวลในใจเล็กๆ
เธอคงกลัวว่า คำว่า ต่างศาสนา คงเป็นเพื่อนกันไม่ได้อย่างงั้นหรือ
สิ่งที่น้องเตยพุด ทำเหมือนเธอ(หรือฉัน)กันแน่ที่ปิดกั้นตัวเองจากศาสนาอื่น
น้องเตย คงคิดว่า ศาสนา ความเชื่อที่ต่างกันระหว่างเราสองคนจะทำให้เกิดช่องว่างของคำว่า เพื่อน มิตรภาพ หรือเปล่าหนอ
.................................................
ฉันได้ฟัง รับรู้สิ่งที่น้องเตยพูดออกมาจากปากของเด็กหญิงวัย7ขวบ
คำว่า ศาสนาพุทธ กับ ศาสนาอิสลาม
ฉันทำได้เพียงดึงน้องเตยเข้ามาโอบกอดปลอบใจ พร้อมกับหอมหน้าผากเบาๆ
แค่นั้น ก็ทำให้น้องเตยยิ้มหน้าบานได้อย่างเก่า
เฮ้อ เด็กหนอเด็ก ยังไงก็คือเด็กวันยังค่ำแหละนะ
" สัญญาคะ แม้ว่าพี่วานับถือศาสนาพุทธ น้องเตยนับถือศาสนาอิสลาม
แต่เราสองคนก็เป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องกันได้นี่คะ ตลอดไปคะ "
ตอนนั้น ฉันคิดว่า นี่เป็นคำพูดที่ดีที่สุดสำหรับฉันแล้วละ
" จริงๆนะคะพี่วา พี่วาไม่หลอกหนูนะคะ "
น้องเตยพุดได้เพียงแค่นี้ก็ผละจากอ้อมกอดของฉัน ไปยืนตรงหน้าพลางเอาสองมือประสานกันระหว่างหน้าอกของเธอ
" ขอให้พระผุ้เป็นเจ้าคุ้มครองให้พี่วา และครอบครัวของพี่วามีความสุขตลอดไป "
นี่คือ น้ำใจจากน้องเตย เด็กหญิงอายุ7ขวบ ฉันได้ฟังก็อึ้ง แทบน้ำตาซึม
ยืนยันว่า แม่เขาไม่ได้สอนก่อนหน้านี้เลย เธอกระทำของเธอเอง
ไม่มีใครชี้แนะ น้องเตยแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยแท้
" ขอบคุณมากนะน้องเตย ขอให้หนูและครอบครัวมีความสุขมากๆเช่นกันจ๊ะ "
ฉันพูดได้เพียงแค่นี้จริงๆ
...............................................................
8..........
เวลาล่วงเข้าไปตี 1 กว่าแล้วของคืนนั้น แต่ฉันยังหลับตาไม่ลง
ทำได้เพียงเอนกายพิงหลังกับเก้าอี้ไม้ตัวเดิม มองนอกหน้าต่างริมทางรถไฟไปเรื่อยๆ มีแต่ความมืดสนิทของท้องฟ้า
ณ.เวลานี้ท้องฟ้าอาจมืด แต่เช้าวันใหม่ท้องฟ้าต้องสดใสกว่าคืนนี้แน่นอน
น้องเตย ยังคงนอนหลับไหลหนุนตักแม่ด้วยท่าทางที่เป็นสุข
" ขอให้เชื่อพี่วานะน้องเตย มิตรภาพการเดินทางในครั้งนี้
ไม่ได้มีขีดจำกัดแค่คำว่า อายุ หรือเชื้อสาย
ความเชื่อใดๆ หรือแม้แต่คำว่า ศาสนา ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา
เรายังเป็นเพื่อนกันได้เสมอ แม้ว่าจุดหมายปลายทางฝันของแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันออกไป "
" พี่วาเองก็เช่นกัน หากไม่ได้เดินทางมากับรถเร็วกันตังชั้น 3 ขบวนนี้
เราสองคน พี่วากับน้องเตย คงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน
และที่สำคัญ คงไม่มีโอกาสได้รุ้จักคำว่า "มิตรภาพของการเดินทาง"
ขอบคุณสิ่งดีๆที่เรามีให้กันนะคะ
ขอบคุณประสบการณ์การเดินทางที่สวยงามในค่ำคืนนั้น
คุณล่ะค่ะ ปิดกั้นตัวเองจากคนภายนอกมากเกินไปหรือเปล่า
ลองเหลียวมองคนรอบข้างคุณเองซิคะ
ขอเพียงคุณลองเปิดใจให้กว้าง แล้วรอยยิ้มกว้างๆก็จะเกิดขี้นแก่ตัวคุณเองค่ะ
คุณลองตอบรับมิตรภาพจากคนแปลกหน้าจากการเดินทางสักครั้งเถอะคะ
แล้วคุณจะรู้ว่า โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย
.............................................................
( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )