3 กรกฎาคม 2552 14:17 น.

เดินเที่ยว เลี้ยววัดสระเกศ

ฉางน้อย

00520_0.jpg856789awfhhn81xh.gif." วา พี่มีข่าวดีมาบอกด้วยล่ะ ติ๊กต่อกๆๆ "
พี่เมี่ยงคุยเสียงตามสายได้น่าตื่นเต้นนักล่ะ

"ห๋าๆๆ ข่าวดีอะไรพี่เมี่ยง แมวที่บ้านออกลูกเป็นชะนีหรือไงพี่เมี่ยง อิอิ "
" เปล่าน่ะ ..คิดไปโน่นยัยวา จะฟังไหมนี่ หือ..? " 
เสียงปลายสายค่อนแคะเล็กน้อยพอเป็นกระษัย อิอิ

" ฟังคะฟัง..อ่ะ เล่ามาๆค่ะ " หูก็หนีบโทรศัพท์ไว้กับหัวไหล่ คุยไปด้วย
มืออีกข้างก็มัวแต่หยิบขนมเข้าปากเคี้ยวหมับๆๆ
" ทำอะไรน่ะ กินหนมอยู่ล่ะซิ อ้วนจะเป็นหมูแล้วนะเราน่ะ ยัยหมู "
นั่นประไร ย้งๆ ยังไม่เลิกค่อนแคะ (เดี๋ยวคงมีแกะเกาต่อแน่ๆ) อิอิ

" จะบอกว่าวันนี้พี่ว่างน๊า จะไปเที่ยวสักหน่อย ไม่รุ้ใครบางคนว่างไหมน๊า "
" กะว่าจะไปวัดสระเกศสักหน่อย ใครคนนั้นคงไม่ว่างมั้ง เนอะ " 
พี่เมี่ยงคำ พูดอ่อยเหยื่อนิดหนึ่ง แค่นั้นละ เหยื่อก็ติดกับดัก 5555

" ว่างค่ะ ว่างๆ วันนี้วา ว่างค่ะพี่ ไปกี่โมง เจอที่ไหนคะ ? "
" 555 ...ยัยวา ขี้งก ชอบจังนะกับเรื่องเที่ยวน่ะ " 
คนปลายสายทางโน้นหัวเราะร่าที่แกล้งคนได้สำเร็จ 555

" ฮื้อ.. พี่เมี่ยงอ่ะ ชอบแกล้งเค้านะ บอกมาเลยจะพาเค้าไปเที่ยวป่าวล่ะ "
" อืมม์ .. ก็ไปอาบน้ำซิ เดี๋ยวเจอกันที่เดิมนะ หาอะไรอร่อยๆกินด้วยนะ " 
พี่เมี่ยงพูดพลาง(คง)อมยิ้มนึกขันยิหวา กลัวอดเที่ยว อิอิ 
" ... เจ้าคะ จะรีบอาบน้ำเดี๋ยวนี้ล่ะ .." ยิหวารีบรับปาก 

856789awfhhn81xh.gif

" วัดสระเกศนี่นะวา ไปง่ายมากเลยรู้ไหม ? รถเมล์สาย 47 ผ่านนะจากท่าช้าง นั่งรถแป๊บเดียวเอง " 
พี่เมี่ยงบอกระหว่างที่ยืนรอรถเมล์สาย 47
" อ๋อ..ค่ะ " ผู้ติดตามอย่างยิหวา ได้แต่ร้อง อ๋อ.คะ รับฟังอย่างเดียว อิอิ

" วา รุ้ไหม ทำไมถึงได้ชื่อว่า วัดสระเกศ ล่ะ ? "
พี่เมี่ยงคำนำปัญหามาให้ยิหวาได้ขบคิดอีกแล้วซิ
" ไม่ทราบค่ะ " สั้นๆแต่ชัดเจนในคำตอบ 
" อืม.. เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังนะ " 

" วัดสระเกศ น่ะชื่อเดิมคือ วัดสระแก อยู่แถวริมคลองมหานาค 
เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายนี่แหละ 
พี่เมี่ยงเดินคุยไปด้วย พลางเดินเข้าไปในบริเวณวัดสระเกศโดยมียัยวาเดินตามต้อยๆ อิอิ 

" วัดสระแก เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นชนิดราชวรมหาวิหาร
สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา" 
พี่เมี่ยงยังคงร่ายมนต์ เอ๊ย คงเล่าไปเรื่อยๆ

" ต่อมา รัชกาลที่ 1 ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ
" ไงล่ะวา ทีนี้รุ้ที่มาของชื่อวัดสระเกศแล้วใช่ไหม ? "
" รุ้แล้วเจ้าคะ คุณพี่เมี่ยง " ยัยวาตอบพลางทำหน้าทะเล้น
" เดี๋ยวโดนๆ ยัยวา ทำทะเล้น กลัวไหม หือ ? " พี่เมี่ยงทำเสียงขู่

" แล้วโน่น วา เห็นอะไรนั่นไหม ยอดแหลมๆสีทองๆน่ะ "
พี่เมี่ยงชี้ให้ดูสิ่งหนึ่งซึ่งวาเห็นเป็นยอดสีทองๆไกลลิบ
" อะไรน่ะพี่เมี่ยง สีทองสวยเชียว นี่เหรอ คือ ภูเขาทอง ? "
ยิหวาทำตาโต ด้วยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเพิ่งได้เข้ามาเห็นด้วยตัวเอง

" ใช่ล่ะ นั่นคือ ภูเขาทอง หรือว่า พระบรมบรรพต " พี่เมี่ยงอธิบาย
" อะไร ไม้ตะพดเหรอพี่เมี่ยง ? " ยิหวาสงสัย
" ไม้ตะพดไว้เคาะหัววาซิ เขาเรียกว่า พระบรมบรรพต.."
พี่เมี่ยงตอบยิหวาด้วยสีหน้าที่มันเขี้ยวหรือหมั่นไส้ไม่อาจทราบได้ 555

" แล้ว พระบรมบรรพต คืออะไรล่ะพี่เมี่ยง ? " ยิหวาเริ่มจะมีข้อสงสัย
" เอาน่ะ เดี๋ยวขึ้นไปดู แล้วจะรุ้เองนะ ช่างซักนะเราน่ะ " พี่เมี่ยงรำคาญ วารุ้

5555555555
856789awfhhn81xh.gif

 " โห บันไดกี่ร้อยขั้นเนี่ยะพี่เมี่ยง เมื่อยขาแย่เลย " 
ยิหวาโอดครวญเมื่อเห็นบันไดหลายขั้นลิบๆ อิอิ
" พี่เมี่ยงห้ามชวนวาคุยล่ะ วาจะนับขั้นบันได้ " 
" ให้มันจริงเถ๊อะ ..." พี่เมี่ยงท้าทายยิหวานะนั่นน่ะ 555
" เดี๋ยวก็รู้ " ยิหวา เชิดหน้ารับคำท้า เอ๊ย คำสบประมาทจากชายหนุ่ม

แต่ทว่า ด้วยระหว่างสองข้างทางมีอะไรให้ยิหวาได้ตื่นเต้นตลอดเวลา 
ไม่ว่ารูปปั้นตุ๊กตาหินน่ารักๆ หรือแม้แต่ต้นไม้ดอกไม้
หรือว่า นกแก้วหลากสีสรร ยิหวาก็วี๊ดว๊ายกระตู้วู้ได้ตลอดเวลาเช่นกัน 
5555 
สุดท้าย.......

" ว่าไงล่ะคนเก่ง นับได้กี่ขั้นแล้วล่ะ หือ ? " 
พี่เมี่ยงถามพลางส่งยิ้มสีหน้าเจ้าเล่ห์ ไม่มีใครเกินเขาละ 5555
" อ้าวววว.. พี่เมี่ยง วาลืมเลย พี่เมี่ยงแหละ ชวนวาคุยนี่ " 
อ่ะนะ...เรื่องพาลคนอื่น วาถนัดนักล่ะ แหะ..แหะ..

" เอาน่ะ ว่างๆค่อยมานับใหม่นะ เดี๋ยวพี่พาไปดูยอดข้างบน สวยนะ "
" ยอดเขาบรรพตน่ะ สร้างในรัชกาลที่ 3 เชียวนะ โดยจำลองแบบเจดีย์
มาจากวัดภูเขาทอง ใน จ.พระนครศรีอยุธยา แต่สร้างไม่แล้วเสร็จหรอก 
ดินอ่อนทรุด ต้องหยุดสร้างชั่วคราว " 
" ต่อมา รัชกาลที่ 4 ก็มาซ่อมแซมต่อ และมาสร้างสำเร็จ
ในสมัยรัชกาลที 5 แน่ะ วารู้ไหม ? " 
พี่เมี่ยงอธิบายให้ยิหวาฟังอย่างกับผุ้ชำนาญด้านวิชาการ

" 3 รัชกาลเชียวนะ ยอดภูเขาทองน่ะ 50 ปีเชียวกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ "
พี่เมี่ยงยังคงเดินหน้าเล่าต่ออย่างไม่มีติดขัด 555

" เมื่อขาไหมวา เดี๋ยวเดินขึ้นไปอีกนิดนะ มีที่พักนั่งทานกาแฟด้วย 
มีห้องน้ำไว้บริการด้วยนะ ไหวไหมล่ะ ? "
พี่เมี่ยงถามยิหวาด้วยความห่วงใย
" ไหมคะ พี่เมี่ยง "
ยิหวาตอบว่าไหม ทั้งๆที่ตัวเองหอบแฮ่กๆยังกะหมาหอบแดด 555..
856789awfhhn81xh.gif

  " โห ..ว๊าววว...ร้านกาแฟน่ารักจังพี่เมี่ยง น่านั่งพักผ่อนนานๆๆๆ อิอิ " 
ยิหวาตื่นเต้นกับร้านกาแฟขนาดเล็กซึ่งจัดไว้ได้น่ารักมาก
" อืม..น่าพักเหนื่อยก่อนนะวา เดี๋ยวพี่เล่าต่อ ฟังไหมนี่ ? "
" ฟังซิคะ ก็เล่าไปซิ ใครว่าไรล่ะ " ยิหวา ชอบกวนไม่เลิก
" ภูเขาทองนี่นะมีความสูงประมาณ 100 เมตร บนยอดสุวรรณบรรพต
เป็นที่ตั้งของพรเเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ "
พี่เมี่ยงคำไม่เมื่อยขาบ้างหรือไงไม่รุ้เนอะ 

" อ๋อ..ค่ะ " วารับฟัง แต่ตัวเธอเองลุกไปเก็บภาพต่างๆ
ด้วยกล้องดิจิตอลขนาดเล็กของเธอ
" แล้วไงต่อคะพี่เมี่ยง วาฟังอยู่น่ะ " วา ถาม เมื่อเห็นพี่เมี่ยงหยุดเล่า

" ก็จะเล่าต่อว่า พระบรมสารีริกธาตุนี่นะ อัญเชิญมาจากเมืองกบิลพัสดุ์
ประเทศอินเดียเชียวนะวา วารุ้ป่าวล่ะ ? " 
พี่เมี่ยงถามวา 
" ไม่รุ้ค่ะ " วาก็ตอบสวนทันควันเช่นกัน 
" ทั้งปี ยัยวาจะรุ้อะไรบ้าง กิน เที่ยว เล่น แล้วก็นอน "
พี่เมี่ยงค่อนแคะวา เป็นรอบที่ 3 เท่าที่วา จำได้ อิอิ
" อ่อ ..ลืมบอกไปว่า บันไดทางขึ้นลงมีสองทางนะ
เป็นบันไดวนซ้ายและขวา ไว้สำหรับขึ้นและลง แยกกันต่างหาก " 

ยิหวาได้แต่รับฟัง แต่ตาของเธอมัวแต่มองหาเพื่อที่จะเก็บภาพสวยๆ

.......... ระหว่างที่ยิหวากับพี่เมี่ยงคำนั่งพักผ่อนเล่นที่ร้านกาแฟแห่งนั้น 
มีฝรั่งกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมา ราวสัก 3-4 คน คงมาเป็นครอบครัว
พวกเราสองคนต่างส่งยิ้มให้พวกเขาก่อน พวกเขาก็พูดจาทักทายยิ้มตอบ

" วา เห็นไหม ขนาดคนบ้านอื่นเมืองอื่น เขายังดิ้นรนมาเที่ยวเมืองไทย
เพื่อมาชมความงามของภูเขาทอง
 แล้วเราเป็นใครล่ะ เราเป็นคนไทยแท้ๆ
กลับไม่เห็นคุณค่าของความเป็นไทยที่บรรพบุรุษพยายามสร้างให้พวกเรา
มาแต่เก่าก่อน พวกเรารุ่นลุกหลานนอกจากไม่อนุรักษ์ ยังทำลาย "
คราวนี้ พี่เมี่ยงคำบ่นเป็นชุดๆๆ ราวกับต้องการระบาย
ความอัดอั้นตันใจในอก อิอิ 

" เฮ้อ พูดไปก็แค่นันนะวานะ หายเหนื่อยัง เดินไปต่อนะ "
" คร๊าบบบบลูกพี่ ห้ามบ่นๆล่ะ ไม่อยากฟังแล้วน๊า " วา ต่อรอง 555
856789awfhhn81xh.gif

  ." สวยจังพี่เมี่ยง.. สวยมากๆเลยค่ะ " 
ยิหวาพูดด้วยความตื่นเต้นพลางเขย่าแขนพี่เมี่ยงคำด้วยความลืมตัว
วิวทิวทัศน์ที่เธอมองลงไปยังเบื้องล่างนั้นไกลลิบๆ แต่ทว่าสวยมากๆ
มองไปเบื่องบนท้องฟ้า เริ่มมืดครื้ม ฝนทำท่าจะตกหนัก

" ไปไหว้พระข้างในก่อนนะวา ถอดรองเท้าวางไว้นี่แหละ 
เดี๋ยวพี่มาหยิบไปให้ ขาลงต้องลงอีกด้านหนึ่งนะ " พี่เมี่ยงบอก
" ไม่เป็นไร เดี๋ยววา ก็มาหยิบเองได้นี่ รองเท้าน่ะ " ยิหวาแย้ง


.......บริเวณด้านบนของยอดพระบรมบรรพตนั้น 
มีดอกไม้ ดอกบัว ธูปเทียนให้ไหว้พระด้วย
 เราถวายปัจจัยตามแต่ศรัทธา

ไหว้พระจุดธูปขอพรพระแล้วก็ปิดทองในยอดบรรพตซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็ออกมารับลมชมวิวอีกหน่อยต้องรีบลงมาแล้ว
เพราะกลัวฝนตกลงมาหนักเกินกว่าพวกเราสองคนจะเดินทางกลับได้

" ว่าไงวา สวยไหมวัดนี้ ชอบไหมล่ะ ? " 
พี่เมี่ยงเอ่ยถามวา ระหว่างทางที่เดินลงบันไดมาด้วยกัน
" ชอบคะ สวยมากๆเลยพี่เมี่ยง " ยิหวาตอบพี่เมี่ยงด้วยความสบายใจ
" อืม..ดีแล้ว วาชอบ ไว้ว่างๆ พี่จะหาที่เที่ยวใหม่ๆอีกนะ ไว้พี่ว่างก่อน "
" ขอบคุณล่วงหน้า เจ้าคะพี่เมี่ยงคำ "
"ไม่ต้องมาประจบเลย ไว้ว่างน่ะ เข้าใจไหม ห้ามงอแงด้วย "
พี่เมี่ยงพูดด้วยสีหน้าที่อมยิ้มนิดๆ
พลางจับหัวยิหวาโยกซะเหมือนผุ้ใหญ่ที่ชอบเล่นหัวเด็กๆด้วยความหมั่นไส้ 
(หรือเปล่า )   อิอิ

มือหนักนะเนี๊ยะ ฝากไว้ก่องเถอะโอฬาร แหะ.. แหะ... 
00520_6.gif856789awfhhn81xh.gif00520_6.gif
                           
                           ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) 
                        
                           1033917h167ubyjt9.gif				
2 กรกฎาคม 2552 09:19 น.

..ปลาตะเพียนของลุงโถน..

ฉางน้อย

00519_0.jpgบ่ายของวันอังคารที่ 16 มิ.ย.52 ที่ผ่านมานั้น หลังจากฉันได้ตระเวนเดินเที่ยวจนเหนื่อย

ฉันเดินกลับจากวัดโพธิ์ มาเรื่อยๆยังท่าราชนาวีสโมสร ท่าช้าง เดินมายังท่าราช 

และมาสิ้นสุดที่ หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

พลันสายตาฉันก็สะดุดกับคุณลุงท่านหนึ่งที่นั่งขายปลาตะเพียนสานจากใบลาน

ด้วยความที่อยาก่รู้อยากเห็น(เรื่องของชาวบ้าน) ฉันเลยเตร่เข้าไปทักทายพูดคุยกับคุณลุงท่านนั้น

จากการที่ได้ลองแย็บๆพูดคุยกับลุงท่านนั้น พอทำให้ฉันใจชื้นมาพอสมควร

กล้าพอที่จะพูดคุยสอบถามถึงเรื่องราวส่วนตัวของคุณลุง


" คุณลุงโถน มโนหาญ " คือชื่อของคุณลุงที่นั่งขายปลาตะเพียนที่

หน้าศูนย์หนังสือ มธ.ท่าพระจันทร์ ปัจจุบันคุณลุงอายุ 63 ปี คุณลุงบอกว่า

จำอายุตัวเองไม่ได้หรอก จำได้แค่ว่า เกิดปีพ.ศ.2489 นั่นก็คืออายุ 63 นั่นเอง

คุณลุงโถน เคยมีครอบครัว มีภรรยา แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ปัจจุบันนี้เลิกกันไปนานแล้ว

ลุงก็มาหางานทำในกรุงเทพฯ รับจ้างทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าดายหญ้า ถางหญ้าในบ้านคนมีเงิน

หรือแม้แต่ยาม จนสุดท้าย เป็นลูกจ้างคนงานก่อสร้างในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่โดนโกงค่าแรง

ลุงเลยออกมาหางานอื่นทำไปเรื่อย ด้วยความที่ลุงอายุเยอะแล้ว งานอื่นๆจึงหายากสำหรับลุง

สุดท้ายลุงเลยคิดว่า น่าจะหางานเบาๆทำจะดีที่สุด.... นั่นคือได้มานั่งขายปลาตะเพียนสานนั่นเอง

( อ่ะนะ คุณลุง เล่นมุขซะด้วย งานเบาจริงๆด้วยซิคะ นั่งขายปลาตะเพียนสาน

ไหนเลยจะหนักเท่าแบกอิฐขนปูน) 55555......คุณลุงโถนนั่งเล่าด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มตลอด

26213_191614.gif

" ในแต่ละวัน ขายได้ประมาณสักกี่แถวคะ ? " ฉันถามด้วยความอยากรุ้ เพราะคำว่า 1 แถวคือ 3ตัว

" ก็ไม่กี่แถวหรอกหนู บางวันขายได้เงินไม่พอกินข้าวด้วยซ้ำไป " 

" อย่างวันนี้น่ะ ลุงนั่งมาได้สัก 3 ชั่วโมงแล้วละ ขายได้แค่ 2 แถวเอง " 

" ลุงเลยกินข้าวเหนียวไปห่อเดียว แค่นี้ลุงก็อิ่มแล้วล่ะหนู " ลุงพูดเหมือนไม่ทุกข์ร้อนใจ

รอยยิ้มยังคงปรากฏบนใบหน้า ไม่มีแววตาของความทดท้อฉายแววออกมาให้เห็น


" ลุงไปรับปลาตะเพียนสานจากรังสิตแน่ะหนู รับมาแถวละ 12 บาท "

" ลุงก็นำมาขายแค่แถวล่ะ 15 บาท ลุงไปกลับรถเมล์น่ะ ไม่ลำบากอะไร " 


เสียงคุณลุงโถนยังคงบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองไปเรื่อยๆอย่างไม่ขัดเขิน

ฉันได้แต่นิ่งฟังและพยักหน้ารับรู้ มือก็บันทึกข้อมูลไปเรื่อยๆ 

" ขอโทษนะคะคุณลุง แล้วคุณลุงพื้นเพเดิม เป็นคนกรุงเทพฯหรือคนที่ไหนหรือเปล่าคะ ? "

ถามเพราะอยากรุ้อีกแล้วซิเรา ยิหวา อิอิ

" ลุงเป็นคนเชียงรายน่ะ อำเภอเมืองแหละหนู พอเลิกกับเมีย ลุงก็เดินทางหางานในกรุงเทพฯ "

" อ๋อ... ค่ะ " ไม่มีคำพูดใดที่ดีกว่าประโยคนี้อีกแล้ว ยิหวาเอ๋ย อิอิ 

ฉันนั่งฟังไป ก็อมยิ้มไปกับการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณลุงโถน
เพราะดูท่าทางลุงก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตตัวคนเดียวแบบนี้ 

26213_191614.gif

" จะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับใจเราเองมากกว่านะลุงว่า ถ้าเราขวนขวายมากไป ลุงว่าทุกข์
ถ้าเราอยู่พอมีพอกินแบบง่ายๆ แค่นี้ก็สุขแล้วสำหรับลุง " 

ลุงพูดเหมือนเดาความคิดของฉันออกหรือเปล่าไม่ทราบได้ แต่แววตาของลุงยังมีความหวัง

" ลุงไม่สนใจการเมืองหรอกนะ การเมืองไม่ได้ทำให้ลุงกินดีอยู่ดีกว่านี้หรอก ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆก็ตาม "

" แล้วลุงไม่กลัวบ้างหรือคะ กับการที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปทุกวันๆๆ " ฉันเอ่ยถามขึ้นบ้าง

" ลุงไม่กลัวนะ เพราะลุงไม่มีสิ่งของมีค่าที่นำติดตัวเลย มีแต่กระเป๋าหนึ่งใบไว้นอนหนุนหัวแค่นี้เอง ฆ

" พอตกช่วงเย็นเลิกงาน ลุงก็จะข้ามฟากไปนั่งขายที่หน้าโรงพยาบาลศิริราช "

" พอตกกลางคืน ลุงก็อาบน้ำ นอนที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย มีกระเป๋าใบนี้แหละหนุนหัว "
ลุงพูดพลางตบมือแปะๆไปยังกระเป๋าเดินทางคู่กายของคุณลุง

" อ๋อ... ค่ะ " ประโยคสิ้นคิดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากยิหวาเบาๆ อิอิ

" ชีวิตคนเราขอเพียง กินพอประทังชีวิต กินอิ่มนอนหลับ รุ่งเช้าฟื้นลืมตาตื่นแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับลุง "

ฉันแน่ใจว่า ลุงพูดแบบนี้จริงๆ ไม่ได้คิดว่าพูดเพื่อประชดใครๆ
อย่างน้อย ลุงก็เป็นคนที่มีความคิดดีคนหนึ่งเชียวล่ะ

26213_191614.gif

" ลุง ไปทานข้าวด้วยกันไหม เดี๋ยวหนูเลี้ยงเอง " จู่ๆฉันก็เอ่ยถามลุงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

" ไม่ล่ะหนู ขอบใจมากนะ ลุงเพิ่งกินข้าวเหนียวไปเมื่อกี้นี้เอง " 
ลุงตอบปฏิเสธอย่างน่ารักทีเดียวเชียวล่ะ 

" งั้น ลุงรอหนูแป๊บนะคะ เดี๋ยวหนูมา " ฉันพูดพลางวิ่งจู๊ดเข้าเซเว่น
ได้นมโฟร์โมส์ 2 กล่อง ขนมปังอีก 2 ห่อ วิ่งกลับมายื่นสิ่งที่อยู่ในถุงนั้นให้ลุง

"ขอบใจมากนะหนู ขอให้จำเริญๆนะหนูนะ " ลุงพูดพลางยกมือไหว้ฉันซึ่งมีอายุอ่อนกว่า

" ว๊าย ..ลุงไหว้หนูทำไม หนูกลัวบาปนะคะ " ฉันตกใจพลางทำหน้าแหยๆ ยกมือไหว้ลุงกลับไปแทบไม่ทัน 

" ไม่หรอกหนู ลุงขอบคุณน้ำใจหนูต่างหาก
ลุงไม่ได้ไหว้ว่าใครอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าหรอกนะ 
อย่าถือสาลุง " ลุงพูดพลางอมยิ้ม

26213_191614.gif

........ ข้อมูลที่ฉันได้พูดคุยกับลุง มีเพียงแค่นี้จริงๆที่ฉันจำได้

เพราะรายละเอียดต่างๆหายไปพร้อมกับสมุดบันทึกเล่มสีดำนั้น


ปลาตะเพียนสานแค่แถวล่ะ 15 บาท อาจไร้ค่าไร้ราคาสำหรับใครบางคน 
แต่คุณจะรู้หรือไม่ว่า ปลาตะเพียนสานเหล่านี้อาจต่อลมหายใจ
ให้ลุงโถนได้กินอิ่มในแต่ละมื้อ แต่ละวัน

......... ฉันมานั่งคิดๆดู ก็จริงอย่างที่คุณลุงโถนบอก

"จะสุข จะทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับใจเรา
ถ้าเราขวนขวายมาก ใจเราก็ทุกข์
ถ้าเรารุ้จักพอเพียง ความพอดี ใจเราก็สุข "

จะมีใครสักกี่คนกันหนอ ที่คิดได้ มีความคิดที่ดีๆแบบคุณลุงโถนคนนี้

26213_191614.gif

การที่เราจะสอนหรือบอกให้คนอื่นคิด หรือทำตามอย่างเราๆ
(หรือลุงโถน)นั้นคงเป็นไปได้ยาก หากแต่เราต้องสอนใจเราเองก่อน
หมั่นปลูกฝังสามัญสำนึกที่ดีๆให้แก่เด็กๆในบ้าน 

ต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวเราก่อนแล้วค่อยขยายความคิด สิ่งดีๆสู่สังคมชุมชุนนอกบ้านที่ใกล้ตัวเรา 

ขอบคุณความคิดดีๆของคุณลุงโถน มโนหาญ ที่จุดประกายแสงสว่างในใจฉันได้อีกมากมาย 

แม้คุณลุงโถนอาจเป็นเพียงคนหนึ่งๆที่ขายปลาตะเพียนสาน

แต่ความคิดของคุณลุงท่านนั้นมิได้จำกัดเพียงแค่ใบลานที่นำมาสานเป็นรูปร่างแค่นี้หรอกนะ 

ฉันอยากบอกลุงเหลือเกินว่า ลุงคะ ลุงมีความคิดดีกว่าคนหลายๆคนที่ทำงานเป็นเจ้าคนนายคนที่สักแต่ว่ามีเงินชี้นิ้วสั่งๆ แต่ไม่มีความคิด ไม่มีน้ำใจ

....... ขอบคุณปลาตะเพียนสานจากใบลานตัวน้อยๆ

ขอบคุณคุณลุงโถน มโนหาญ ที่มานั่งเล่าเรื่องราวน่ารักๆให้ฟังค่ะ

ขอบคุณความคิดดีๆของคนจบป.4 อย่างคุณลุงโถน

                26213_191614.gif


                        (  ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น  )  
               
                26213_191614.gif				
29 มิถุนายน 2552 19:25 น.

สมุดบันทึก..ที่หายไป

ฉางน้อย

00518_2.jpg
( ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน๊ต)


เช้าของวันอังคารที่ 16 มิ.ย.52 ที่ผ่านมานั้น เป็นวันหยุดของฉัน

(หยุดเนื่องในวันขี้เกียจ(ตัวเป็นขน)แห่งชาติ) ฉันนั่งรถเมล์จากบ้านมาลงที่

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสบายๆกางเกงทหารลายพรางง

เสื้อยืดสีขาว ผ้าใบคู่เก่ง หมวกใบสวยที่เจ้แบมให้มา(ด้วยความเสน่หา อิอิ )

ที่ลืมไม่ได้คือ กระเป๋าสะพายขนาดเล็กที่ข้างในมีกล้องถ่ายรูปดิจิตอลตัวเล้กๆ

รวมทั้งสมุดบันทึกสีดำ เล่มหนาๆที่ได้มาฟรีๆ( ชอบของฟรีนี่นาทำไงได้ อิอิ )


สมุดบันทึกคู่ใจเล่มนี้ของฉัน หน้าปกเป็นสีดำ หุ้มด้วยปกหนังอย่างดี มีความหนาพอประมาณ

เป็นเล่มที่ฉันรักมากเล่มหนึ่งในบรรดาที่ผ่านๆมา เป็นเล่มที่ฉันชอบมากๆ เพราะผ่านการขีดเขียน

หลายหลายเรื่องราว ไม่ว่า สุข ทุกข์ โศก เศร้า เคล้าน้ำตา (ว่าเข้าไปนั่นยัยวา อิอิ ) 


สมุดบันทึกเล่มนี้อาจไม่มีคุณค่ามากมายสำหรับใครๆ หรือสำหรับใครบางคน

แต่มีคุณค่าด้านจิตใจสำหรับฉันอย่างมากมายเลยทีเดียวเชียวล่ะ


กี่หลากหลายเรื่องราว ที่บอกเล่าความเป็นไปในแต่ละวัน

กี่หมื่นกี่พันตัวอักษรที่ละเลงบนแผ่นกระดาษแต่ละหน้า แต่ละหน้า

และ อีกสักกี่แผ่นกระดาษ กว่าจะมาเป็นเรื่องราวหนึ่งๆของยิหวา 


หมดแล้ว..หมดกัน.. ฉันทำเธอหล่นหายตอนไหนกันนะ 

ฉันอาจจะหลงลืม วางทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง ???


สมุดบันทึกเล่มนั้น มีทั้งเบอร์โทร อีเมล์ ที่อยุ่ของเพื่อนๆพี่ๆญาติสนิทมิตรสลาย

เอ๊ย มิตรสหายที่ได้รุ้จักกันมา


และที่สำคัญ เรื่องสั้นประมาณ 3 - 4 เรื่อง ที่ฉันเขียนไว้ในสมุดบันทึกเล่มนั้นเพื่อรอการ

ขัดเกลาอีกนิดหน่อย ( 3- 4 เรื่องเชียวนะคุณที่ยังไม่ได้นำมาลงในเวปบ้านกลอนไทย)

....................................................................

เรื่องราวล่าสุดที่ฉันได้บันทึกลงในสมุดเล่มนั้นคือ เรื่องราวของคุณลุงคนหนึ่ง

ที่นั่งขายปลาตะเพียนสานจากใบลาน ที่หน้าศูนย์หนังสือ มธ.ท่าพระจันทร์ในเย็นวันนั้นนั่นเอง


ภาพถ่ายของคุณลุงท่านนั้นมีเรียบร้อย แต่ข้อมูลเรื่องราวจากการได้พูดคุยนั้นหายไป

โอ๊ยๆๆ ทำไงดี สมุดบันทึกหายแซ่บหายสอย เฮ้อออ..เซ็งมากๆ


ต้องมานั่งทบทวนว่า เราได้พูดคุยอะไรกับคุณลุงท่านนั้นไปแล้วบ้าง แล้วเรียบเรียงความคิด

เรียบเรียงเป็นประโยคเสียใหม่ 


บอกได้คำเดียวว่า แทบร้องไห้ เสียดาย เสียใจ 

 
 เสียดายความรุ้สึกของตัวเองที่เผลอเรอ ประมาท เลินเล่อ

แถมยังซุ่มซ่าม เฟอะฟะ อย่างที่ใครบางคนว่าไว้เสมอๆ อิอิ


เฮ้อ...รู้ตัวอีกทีว่าสมุดบันทึกหายไป ตอนที่กลับมาถึงบ้านแล้วนี่ซิ

ครั้นจะให้นั่งรถเมล์ไปตามหาสมุดเล่มนั้น อย่าหวังเลยว่า จะได้กลับคืนมา


มานั่งนึกๆๆๆ หายไปตอนไหนหว่า หายไปตอนไหนน๊า ????

เดินกลับจากวัดโพธิ์ ท่าเตียนก็ยังอยู่

เดินมาที่อู่รถปอ.สาย 91 ก็ยังมี

ผ่านราชนาวีสโมสรก็ยังเห็น

ไม่น่าเป็นไปได้ ที่จะหายไป..........


นั่งทบทวนเหตุการณ์ดู เอ...ฉันก็เดินมาสิ้นสุดที่ มธ.ท่าพระจันทร์นี่นา


......... โอ้....พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง หายตอนนั่งริมน้ำเจ้าพระยา ที่ม้านั่งตัวนันแน่ๆเลย 


โอ๊ย ๆๆๆ ...เสียดายๆๆ แทบร้องไห้ 

เสียดาย... เรื่องราวในสมุดบันทึก

เสียดาย...น้ำหมึกที่ได้ละเลงปนเปื้อนไว้บนแผ่นกระดาษ

เสียดาย...ตัวอักษรที่โลดแล่น เริงร่า ท้าทายอารมณ์ผุ้เขียน

......................................................


อยากกลับไปไหว้ศาลสิงห์โตทอง ที่ริมน้ำใน มธ.ท่าพระจันทร์ เพื่อ

ดลบันดาลให้ลูกช้าง(หรือลูกหมูก็ได้ อิอิ) ได้สมุดบันทึกเล่มนั้นกลับคืน

มาทีเถ๊อะ เจ้าพระคู๊น (อยากยกมือไหว้ท่วมหัวตอนนั้นเลยจริงๆ555)

แต่คิดอีกที ไม่ดีกว่า ช่างเถอะ หายไปแล้วนี่ ไม่ป็นไรน่ะ

ท่องไว้นะ ไม่เสียดาย...ไม่เสียดาย...ไม่เสียดาย...(ซะเมื่อไหร่ อิอิ )


ที่ผ่านมา ฉันได้แต่เสียใจ เสียดายเพราะตอนที่สมุดเขายังอยู่กับเรา

เหมือนเราไม่รักษา ไม่ทนุถนอม เหมือนไม่เอาใจใส่มากมายนัก

สุขใจ ก็เขียนๆๆ เขียนด้วยรอยยิ้มและแววตาที่สดใส มีความสุข

ทุกข์ใจ ก็เขียนๆๆ เขียนด้วยคราบน้ำตาและใบหน้าที่หม่นหมอง

สุดท้าย เมื่อเธอหายไปจริงๆ สมุดบันทึกเล่มนั้นไม่อยุ่กับเราแล้ว 
เราถึงได้รุ้คุณค่าของสิ่งที่หายไป


ใครบางคนบอกว่า หายไป...ก็เขียนใหม่ได้

ใครอีกคนบอกว่า หายไป...ก็ซื้อใหม่ได้

พูดง่าย... แต่ทำยากนะคะคุณพี่ขา 

ความผูกพัน ความรุ้สึกดีๆที่เราเก็บไว้ในนั้น เราเขียนด้วยใจ 
จากใจของเราจริงๆที่เราได้พบเจอมา

เขียนใหม่ได้...แต่ข้อความจะไม่เหมือนเดิม

ซื้อใหม่ได้ ... แต่ต้องเริ่มนับ 1ใหม่
 เริ่มต้นความผูกพันกว่าจะเป็นหนึ่งหน้า กว่าจะเป็นหลากหลายเรื่องราว 

..................................................................


..... คนเรามักจะรุ้ตัวว่า ของที่เรามีหรือครอบครองอยู่นั้น
มีค่ามากแค่ไหนก็ต่อเมื่อ เราได้หลงลืมหรือเราได้สูญเสียสิ่งนั้นไป

คุณเองก็เช่นกันนะคะ หมั่นให้ความสำคัญกับคนรอบกายคุณ
ก่อนที่จะไม่มีเขาคนนั้นให้ระลึกถึง ให้คิดถึง

ไม่ว่า สิ่งนั้น จะเป็นสัตว์ สิ่งของ เครื่องใช้ก็ตาม หรือแม้แต่คนใกล้ตัวของคุณ 

ที่ผ่านมานั้น คุณทนุถนอม พูดคุยกันดีๆหรือไม่ ยิ้มให้กันบ้างหรือเปล่า

โปรดให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวคุณเถอะคะ
 ก่อนที่จะไม่มีเขาหรือใครๆให้คุณคิดถึง

ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของใจสักนิด
 ก่อนที่สิ่งนั้นจะหลุดลอยไปจากคุณ โดยที่คุณไม่มีโอกาสไขว่คว้า
มาครอบครองอีกเลย


             ................ T h e E n d ..........

                   
                    ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )


    				
15 มิถุนายน 2552 01:02 น.

แผ่นน้ำ เกลียวคลื่น ผืนทราย

ฉางน้อย

1.........ฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆทั่วไปคนหนึ่งที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปในยามว่างที่มีโอกาส นั่นก็คือ ทะเล

ผู้หญิงมักคู่กับสิ่งสวยๆงามๆ คุ่กับความหวาน

แต่สำหรับฉันตรงกันข้าม ฉันมักชอบความเค็มของน้ำทะเล 55555

ฉันหลงรักทะเลอย่างที่สุด แผ่นน้ำ เกลียวคลื่น ผืนทราย และ ชายฝั่ง

ท้องฟ้าที่สดใส ผืนน้ำสีครามที่สดสวย เกลียวคลื่นที่ม้วนตัวอย่างสวยงาม 
หรือแม้แต่เจ้าผืนทรายอันละเอียดที่ทอดยาวสุดตานี่ก็อีกเช่นกัน

แอบยิ้มคนเดียว ใครกันนะจะเป็นผู้โชคร้ายได้ก้าวเข้ามาสู่บันไดขั้นแรกของฉัน 

บันไดแห่งมิตรภาพที่ดีๆก็พอแล้วสำหรับฉัน ผู้หญิงคนนี้

ฉันไม่อยากคิดอะไรที่ก้าวเกินไปมากกว่านี้ ฉันรุ้ คงได้แค่คิด 

แต่ไม่มีหวัง คงไม่สมหวัง แค่คิดก็สุขใจแล้ว

ทำได้แค่คิด อยากมีใครสักคนที่นั่งพิงหลังฟังเสียงคลื่นด้วยกัน

ยามเช้าเกี่ยวก้อยเดินชมความเงียบสงบริมหาดด้วยกัน

อืมนะ.. ก็ได้แค่คิด สาวห้าวอย่างฉัน หนุ่มๆที่ไหนจะสนล่ะ เขาคงมองข้ามล่ะ


       แต่แล้ววันหนึ่งเป็นโชคชะตาอันโหดร้ายของเขาหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทำให้เขาได้เดินทางเข้ารู้จักฉัน

เข้ามาในห้วงแห่งมิตรภาพของฉัน มิตรภาพของกันและกัน

ขณะที่กำลังเพลินๆ บิ้วอารมณ์กำลังได้ที่ พลันสะดุ้งตื่นจากฝัน 55555

" เอ่อ คุณครับ เป็นอะไรไปไหม เห็นคุณนั่งตาลอยจัง "
 หนุ่มคนนั้นนุ่งกางเกงชาวเล เสื้อกล้ามสีขาว เท้าเปลือยเปล่า 

แต่เอ.. ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนในท้องถิ่นนี้หรอกนะ 

เขาน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนฉัน

เขามีหน้ามาถามฉันอีกแน่ะ อีตาบ้า

"...... " คราวนี้ ฉันเปลี่ยนจากตาลอย เป็นตาเขียวใส่เขา ก็กำลังเพลินๆ 

อุตส่าห์นั่งทำซึ้งเป็นนางเอกมิวสิคโดนอกหัก
 ดันทำให้เราหมดมู๊ดเลยอีตาคนนี้

"....." ฉันยังไม่ตอบอะไรในคำถามของอีตาคนนั้น 
เพียงเหลียวซ้ายมองขวา ให้แน่ใจว่า เขาคุยกับฉันแน่นะ 

" ผมถามคุณนั้นแหละ" ราวกับเขารุ้ทันความคิดของฉัน

"ผมเห็นคุณมาที่นี่หลายวันแล้วนี่ สงสัยอกหักมั้ง "

" จะหักหรือไม่ เรื่องอะไรของคุณ" ตาที่เริ่มเขียวขยับเปลี่ยนสีเป็นม่วงนิดๆ 5555 คนอะไรเกลียดที่สุด รู้ทันความคิดคนอื่นไปซะหมด

" ก็ไม่มีอะไรหรอก ดูท่าทางแล้ว เหมือนคุณน่าจะคบได้นะ
 ไม่เหมือนสาวๆพวกโน้น น่ากลัว " 

เขาพูดพลางพยักเพยิดไปทางสาวกลุ่มหนึ่ง ซึ่งดูการแต่งกายก็บ่งบอกว่า 
อะไรเป็นอะไร เพื่อเงิน เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม พวกหล่อนทำได้ทั้งนั้น 

" นี่คุณ คุณเอาอะไรมาตัดสินว่า ฉันเป็นคนดีหรือไม่ดี
 ฉันอาจเป็นคนไม่ดีก็ได้นะ " ฉันไม่วายสงสัย ถามออกไป

" ก็ผมเห็นคุณนั่งอ่านอะไรแล้วหัวเราะคนเดียว ขำคนเดียว 
ผมเลยเห็นว่า คน เอ่อ.. คนบ้า น่าคบกว่าแม่สาวพวกนั้นตั้งเยอะ " 

เขาพูดพลางทำหน้าแหยๆ คงกลัวฝ่ามืออรหันต์จากฉันกระมัง

" อ่ะ ลองคบกันดูก็ได้นี่ ฉันมันก็บ้าเหมือนคุณว่าแหละ " 

หนุ่ม40อัพของฉันคนนี้อ้างปากค้าง ด้วยไม่คาดคิดว่า
 ฉันจะตอบรับมิตรภาพของเขาที่หยิบยื่นมาให้อย่างง่ายดาย

" คุณไม่กลัวผมเหรอ " เขาคงแปลกใจนิดๆ 
ทำไมสาว(เหลือ)น้อยอย่างฉันยอมรับรัก เอ๊ย ยอมรับมิตรภาพจากหนุ่มแปลกหน้า (ก็ยังดีที่ไม่หน้าแปลก)

" เอาน่ะ คุณ อย่าคิดมาก ชีวิตคนเราใช่ว่ายืนยาว 
คุณเคยได้ยินเพลงนี้ไหม...

รักกันวันนี้ดีกว่า เผื่อวันพรุ่งนี้มีอันเป็นไป " ฉันเอ่ยถามเขาออกมา

" เหรอ เพลงอะไรน่ะไม่เคยได้ยิน " สีหน้างุนงง พลางมองหน้าฉัน

" อ้าว ก็ไม่รุ้ไง เลยถามคุณนี่ ถ้ารุ้จะถามทำไมเล่า คุณนี่แปลกจัง "
 คำตอบของฉัน ทำเอาเขาหัวเราะได้ 

" ขอบคุณครับที่ยอมเป็นเพื่อนกับผม " 
เขาตอบแต่สายตาเหมือนเหม่อลอยชอบกล
 เหมือนคนที่กำลังสับสนในชีวิต

.................................................


2.............." คุณไม่พาแฟนมาด้วยเหรอ ? " 
เขาถามอย่างต้องการรู้คำตอบ 

" ไม่ละ ถ้าหาได้แล้วจะพามาอวดนะ " 
คำตอบแบบตรงๆ และ ซื่อๆ(บื้อ)ของฉันทำเอาเขาหัวเราะชอบใจ

" คุณนี่ เหลือเกินเลยนะ ยอกย้อนทุกช๊อตทุกคำถามเลยนะเนี่ย "

" ก็แค่เคยมีนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีล่ะ ความคิดต่างกัน 
พื้นฐานครอบครัวต่างกัน ทำให้อะไรๆก็ต่างกันด้วย "

เป็นครั้งแรกที่ฉันยอมเปิดปากคุยดีๆกับเขา

" ผมไม่เคยมี แต่กำลังอยู่ในภาวะ ว่าเหมือนจะมี 
แต่พยายามจะสลัดออก นั่นเป็นเพราะอะไรคุณรู้ไหม ? " 
เขาคุยด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด จริงจัง

" หือ .. ทำไมคะ ไม่เข้าใจ " ฉันเอ่ยปากถามเขาด้วยความไม่เข้าใจ

"ความคิดต่างกัน เราไปด้วยกันไม่ได้ เขาชอบในสิ่งที่ผมไม่ชอบ
เขารักในสิ่งที่ผมไม่ต้องการ "
 ดูเหมือนเขาต้องการระบายความอัดอั้นออกมา

" คุณรู้ไหม ผมเพิ่งทะเลาะกับเธอมา 
ก่อนที่ผมจะหนีความวุ่นวายมาหาดแห่งนี้นี่แหละ " 

เขาพูดพลางเดินตามริมหาดใช้เท้าอันเปลือยเปล่าเตะผืนทราย อย่างไม่กลัวจะโดนเศษกระเบื้องบาดเท้า

" ผมพยายามจูนคลื่นความคิดให้ตรงกัน พยายามแล้วแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ "

" ผมชอบผู้หญิงที่ดูซื่อๆอย่างคุณนะ ดูไม่มีมายา
 เอ่อ คือ ชอบนิสัยน่ะ อย่าคิดอย่างอื่น อย่างน้อย มิตรภาพ ความรู้สึกทีดีๆไง "

          ยามเย็นที่ริมหาดแห่งนั้น ผู้คนไม่มากมายนัก ด้วยว่าไม่ได้อยู่ในช่วงเทศกาลใดๆ
หลากหลายเรื่องราว ที่เขา ฉัน พลัดเปลี่ยนกันพูดคุยให้ฟัง 

เป็นเพราะฉันเหงาหรือเปล่า ไม่นะ ฉันตอบตัวเอง
หรือเป็นเพราะเขาไม่มีใครหรือเปล่า มีซิ เขามีคนที่รอทางบ้านแล้วนี่

ส่วนฉันซิ ฉันต่างหากที่ไม่มีใครให้รอคอย 

เด็กๆเล็กๆสองสามคนเล่นลูกบอลกันอย่างมีความสุข แต่ผู้ใหญ่อย่างพวกเราล่ะ กำลังคิด กำลังทำอะไรกันอยู่

จะให้ความรู้สึกหวั่นไหวเพียงชั่วครั้งคราวมาทำลายมิตรภาพที่ดีๆไปอย่างกระนั้นเหรอ 

เราสองคนยังคงเดินเตะเม็ดทรายไปเรื่อยเปื่อย ไม่หวังว่าจะให้ถึงจุดหมายที่ไหนสักแห่ง ขอเพียงเดินไปเรื่อยๆ 


" ทำไมคุณไม่หาแฟนใหม่สักคน จะได้มาเที่ยวทะเลด้วยกัน " เขาถาม

" แหม คุณก็ ผู้ชายไม่ได้มีขายที่เซเว่นนะคะ จะได้หาง่ายตลอด 24 ชั่วโมง " 

ฉันแย้งออกไป ทำคำแย้งของฉันกลับทำให้เขาหัวเราะก้องริมหาด
" เฮ้อ คุณนี่ กวนไม่เบานะ เข้าใจหาคำมาตอกยอกย้อนผม "

" แต่ดูท่าทางคุณมีความสุขดีนะ ผมชอบผู้หญิงแบบนี้ล่ะ "

" แหม คนเราน่ะนะ จะสุข จะทุกข์ขึ้นอยุ่กับใจเราต่างหากล่ะคะ
ถ้าคุณคิดว่า ทำแล้วเป็นสุข คุณก็ทำ
 หากคุณคิดว่า ทำแล้วทุกข์ใจ คุณจะทำทำไมล่ะคะ จริงไหม ? "

" ถูกต้องแล้วคร๊าบบบบบบ อาจารย์แม่ " เขาตอบให้ฉันได้หัวเราะอีกเช่นกัน

แต่ในขณะเดียวกัน เขาหารุ้ไม่ว่า จิตใจฉันกำลังต่อสู้กับความถูกต้อง สิ่งถูกผิด ควรหรือไม่ควร 

เขาจะรู้บ้างไหมหนอ ว่า คุณคือหนุ่มแปลกหน้าที่ทำให้ใจฉันได้ปั่นป่วนอีกแล้ว หลังจากเคยเกิด แต่ดับไปในที่สุด ในกาลเวลาที่ช้านาน อิอิ 

.........................................................


3............. " ขอถามอะไรนิดหนึ่งได้ไหม ? " 
จู่ๆฉันก็ตัดสินใจถามออกไป

" อืม....ว่ามาซิ มีอะไรคุยกันได้นี่ " 
คุณพูดพลางเหยียดขาตัวเองลงบนผืนทรายละเอียดด้วยความสบายใจ

" ต่อไปวันข้างหน้า เรา จะมีความสุขอย่างนี้อีกนานไหม "

" ............. " เงียบ ไม่มีคำตอบจากคุณ

" แค่ถามเล่นๆน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอกน่ะ อย่าคิดมาก "

ฉันตอบพลางกระโดดแผล๊วลงจากขอนไม้

ขอบไม้ที่นอนนิ่งสงบริมทะเล ขอนไม้ที่ไร้ผู้คนสนใจ

กี่คืน กี่วันแล้วนะที่เจ้าขอนไม้ยังคงทอดตัวสงบนิ่งริมหาดทรายแห่งนี้

ใช่ เจ้าเป็นเพียงขอนไม้ที่ไร้ชีวิต ไร้ความรู้สึก 
ถ้าฉันเป็นอย่างเจ้าขอนไม้นี้ก็ดีซินะ 
จะได้ไม่ต้องมีความคิด ไม่ต้องมีความรู้สึก
 โดยเฉพาะความรู้สึกคิดถึง ห่วงหา ผูกพัน

" ยัยลูกแมว เธอจะรู้อะไรบ้างไหมนี่ หือ ? "
เขาเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ๆ

" สำหรับใครบางคนน่ะ อาจมีที่อยุ่ที่กิน มีที่หลับที่นอนดีๆ มีที่ให้วิ่งเล่น มีอิสระทางกายเต็มที่
แต่ใครบ้างล่ะจะรุ้ว่า อิสระภาพทางใจต่างหาก ที่ผู้คน รวมทั้งฉันด้วย ต่างเสาะแสวงหามัน "

" อิสระภาพทางใจกระนั้นหรือ "
 ฉันทวนประโยคนี้เบาๆ อย่างไม่เข้าใจนักที่เธอพูด

" อิสระภาพทางกาย อาจกักขังได้ แต่อิสระภาพทางใจต่างหากล่ะที่กักขังไม่ได้
ใจมันคอยแต่จะโหยหาคอยแต่จะโลดแล่นออกมาข้างนอกเสมอๆ " 

คุณ คนนั้นของฉันเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบงันไปนาน พลางสายตาก็เหม่อมองท้องทะเลสีครามแห่งนั้น

" ยัยลุกแมวตัวน้อย เธอมองทะเลข้างหน้านั่นซิ เห็นอะไรไหม ? " 

คุณกำลังจะบอกอะไรฉันกระนั้นเหรอ 

" ดูนั่นซิ แม้แต่แผ่นน้ำทะเลที่เหมือนราบเรียบ จดขอบฟ้าขอบน้ำ 
มีโขดหินที่แข็งแรงช่วยปิดกั้นเอาไว้

แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเกลียวคลื่นพร้อมที่จะซัดสาดเข้าหาชายฝั่งเมื่อไหร่ก็ได้ แถมยังพัดเอาผืนทรายลงไปด้วย "

" ชีวิตพวกเราก็เหมือนแผ่นน้ำทะเลแหละนะ ลูกแมวเอ๋ย 
มีขึ้น มีลง ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนน่ะแหละ "

"แล้วนั่น เกลียวคลื่นเห็นไหมล่ะ เหมือนจะสงบ 
แต่ก็ซัดสาดมา บางครั้งก็รุนแรง หนัก เบา 
เหมือนชีวิตเราๆ ที่ประสบเคราะห์กรรมต่างกัน อาจดีบ้าง ร้ายบ้าง "

"ส่วนผืนทรายนั้นเล่า อาจเป็นเพียงเศษธุลีดินที่ดูเหมือนไม่มีค่าอะไร แต่ในเมื่อรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนถึงจะรุ้คุณค่าของคำว่า ผืนทรายให้เราได้เหยียบย่ำ "

" แผ่นน้ำ เกลียวคลื่น และผืนทราย ต้องคงอยุ่คู่กัน 
มีสงบ มีราบเรียบ มีหวั่นไหว เป็นแบบนี้เรื่อยไป นี่ล่ะชีวิต "

            คุณ พูดอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน เขามีนัยอะไรกับทะเลหรือเปล่า
และ เขากำลังจะบอกอะไรแก่เรากระนั้นหรือ 
ได้แต่คิด ไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป

" ฉันพอจะรุ้ละ คุณกำลังจะบอกฉันใช่ไหมว่า อีกไม่นาน
เราคงจากกัน หรืออาจจะได้พบกันอีกไม่นาน "

" ไม่ต้องห่วงนะ ฉันดูแลตัวเองได้ แต่ฉันจะมานั่งรอคุณที่นี่ ที่เดิม ที่ขอนไม้ชายเลแห่งนี้ "

" หากวันใดไม่มีเงาของฉัน โปรดรับรุ้นะ ฉันได้จากลาคุณไปไกลแสนไกล
อาจไปในฟากฟ้า ฝั่งดาวดวงโน้น อาจ ไกลเกินที่คุณจะตามหาฉันได้ "

ฉันพูดออกไปด้วยความน้อยใจในบางสิ่งบางอย่าง 
แค่ความเงียบจากเธอ ยิ่งทำให้ฉันแน่ใจ

แน่ใจว่า อีกไม่นานนี้ คุณ คงจากฉันไปในไม่ช้า

...............................................................


4.......... เสียงคลื่นซัดชายหาดครืนๆคล้ายเสียงสะอื้นจากใจใครบางคน

หากคู่สนทนาที่นั่งตรงหน้าตั้งใจฟังดีๆอาจได้รับรุ้ว่า
เสียงคลื่นนั้นกลบเสียงสะอื้นของใครบางคนจริงๆด้วย

ค่ำคืนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะๆอีกแล้ว 
ทำให้ฉันหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน

คืนนี้ไม่มีเขา ไม่มีแม้แต่เงาของเขา ฉันมีเพียงฉัน 
มีเพียงวันที่ฉันว้าเหว่ ไม่มีใคร

ความเหงา ความคิดถึงเข้ามาเกาะกุมหัวใจฉันทีละนิดๆ 

แม้กายจะหนาวสั่นสักเพียงใด แต่ใจนี่ซิหนาวยิ่งกว่า

สายตาเพ่งมองความมืดไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า
 หวังเจอเพียงเงาของเขา หวังว่าไว้อย่างนั้น ขอแค่ได้หวังก็ยังดี


.............. นานแล้วซินะ ที่คุณจากฉันไป 

หลายวันแล้วซินะ ที่ยัยลูกแมวตัวน้อยมานั่งรอคุณที่ขอนไม้ชายเลแห่งนี้

เผลอแอบยิ้มกับตัวเอง เมื่อคราที่เธอเรียกฉันว่า ยัยลูกแมวตัวน้อย 

นั่นเพราะเธอหาว่า ฉันตัวเล็ก ฉันไม่ยอม จึงลุกทำอวดดี ยืนเทียบความสูงกับเธอ 
และแล้วก็จริงๆด้วย ความสูงของฉันแค่ 158 

คุณชอบพูดว่า ฉันดื้อ ซน เล่นเป็นเด็กๆ ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน

เธอเรียกฉัน ยัยลูกแมวได้ ทำไมฉันจะเรียกเธอ พี่ลูกหมาไม่ได้ล่ะ
( ฉันได้แต่แอบเรียกคุณบ่อย กับคำว่า "พี่ลูกหมา" )

          ความสงบของท้องทะเลสีทะมึนก็แปรเปลี่ยนเป็นเกลียวคลื่นซัดหาชายฝั่ง มิหนำซ้ำกวาดพาเม็ดทรายลงไปด้วย

อยากฝากความคิดถึงไปให้เขาจัง พี่ลูกหมาคนดี 

แต่อย่าเลย......

ความคิดถึงของเรา .. คงเหมือนรอยเท้าบนผืนทราย

เพราะอีกไม่นานข้างหน้า ก็โดนคลื่นซัดพาผืนทรายลงทะเล 
เหลือเพียงความว่างเปล่า

ความว่างเปล่าอย่างงั้นเหรอ ...

แม้ผืนทรายจะว่างเปล่า ปราศจากเถ้าธุลีดินหรือเม็ดทราย

แต่หัวใจฉันยังมีเธอ หัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความคิดถึง

พร้อมกับมิตรภาพ ความรู้สึกดีๆที่เราสองคนเคยมีให้กัน


        คุณละคะ ต้องการเป็นเพียงโขดหิน แผ่นน้ำ เกลียวคลื่น 

หรือว่า ผืนทราย บอกกับใจตัวเองหรือยังคะ

จะหนักแน่น เข้มแข็งดั่งโขดหินริมหาด หรือว่า 
บางครั้งอาจราบเรียบเหมือนแผ่นน้ำ ซ้ำบางทีอาจแตกตื่น 
หวั่นไหว อ่อนแอ ดั่งเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวหาชายฝั่ง

หรือคุณอาจเป็นดั่งผืนทรายที่ทอดตัวยาวสงบรอเพียงให้คลื่นซัดสาดซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

          ฉันยังจำได้ คุณบอกว่า ......
แม้ผืนทรายจะโดนคลื่นซัดสาดลงทะเลครั้งแล้วครั้งเล่า 
แต่คลื่นยังไม่ลืมที่จะซัดพาผืนทรายกลับเข้าสุ่ชายฝั่งด้วย

เปรียบคล้ายชีวิตคนเรา อาจเจอมรสุมซ้ำๆหนักหนาสาหัส

มีทุกข์ มีสุข มีหวั่นไหว อ่อนแอ แต่สุดท้าย

เราก็ต่างดิ้นรนถึงฝั่งที่หมายของชีวิตไม่ใช่หรอ 


ฉันรับทราบแล้วล่ะว่า คุณต้องการสอนอะไรให้แก่ยัยลูกแมวตัวนี้

ขอบคุณพี่ลูกหมากับมิตรภาพที่หยิบยื่นให้มา

ขอบคุณแผ่นน้ำ เกลียวคลื่น หาดทราย และ ชายฝั่งแห่งนี้ที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ชีวิตเพิ่มขึ้น

.... ใช่ซินะแม้ชีวิตฉันตอนนี้จะสุข ทุกข์อย่างไร
 แต่ฉันหวังว่าสุดท้ายก็ต้องไปถึงชายฝั่งที่หวังไว้ให้ได้สักวัน 

ขอบคุณนะคะ ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่ดีๆที่คุณหยิบยื่นให้ฉัน

ขอบคุณที่ทำให้เรามาพบกัน แม้มาพบเพียงเพื่อจากลา

ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ


.............................................................


       ( ฉ า ง น้ อ ย    ท ะ เล ไ ร้ ค ลื่ น )
				
10 มิถุนายน 2552 01:18 น.

" ..อาวรณ์.."

ฉางน้อย

1........ ใครคนหนึ่งเคยบอกฉันว่า " งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา " 

เรามาพบกันเพื่อลาจากกันอย่างงั้นหรือ

เธอย้ำเตือนเสมอๆ ว่าคนเราแต่ละคนต่างมีฝัน

ต่าง มีเส้นทางที่ต้องเลือกเดินตามเส้นทางฝันนั้น


ฉันรู้ ฉันเข้าใจ แต่เส้นทางระหว่างฝันของฉันนั้นมันโดดเดี่ยวเกินไป(หรือเปล่า)

บนเส้นทางฝันของฝันนั้นเหนื่อย ท้อแท้ เหงา เศร้า เดียวดายสารพัด 

จะมีใครไหมที่จะกล้ามาร่วมเส้นทางเดิน 

ทางเดียวกันกับฉันผู้ที่มีฝันอันไกลโพ้น

คุณเคยเป็นเหมือนฉันไหมล่ะ รอบกายเรามีผุ้คนมากมาย ไม่ว่า 

เดินถนน เข้าตลาด นั่งรถเมล์ แต่ทำไมเหมือนเหงาๆเศร้าๆเพียงคนเดียว


ส่วนตัวฉันเองเคยครั้งหนึ่ง สมัยเข้ากรุงเทพฯมาใหม่ๆ 

นั่งรถเมล์ มีผุ้คนมากมายแต่ทำไมใจเราเหงาๆ เหนื่อยๆ 

น้ำตาก็ไหลออกมาเอง ง่ายดายนักเจ้าน้ำตา

ไม่รุ้ ฉันยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน คนเราเกิดมาเพื่ออะไร 

เพื่อความสุขเพียงชั่วครู่ยาม เพียงเพื่อพบแล้วจากกระนั้นซินะ

..................................................................................


2.......... ณ. ม้านั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาค่ำคืนนั้น สายลมพัดเอื่อยๆ

ใครคนนั้น...ฉันนอนหนุนตักเธอ เธอชี้ชวนดูแสงจันทร์ดวงกลมด้วยกัน

แม้จันทร์จะมืดไปสักนิด แต่ใจเราสองคนกลับสว่างไสว
ด้วยกำลังใจที่มีให้กัน

ไม่ต้องมีคำพูด ต่างก็รับรู้ด้วยหัวใจ

ไม่ต้องสื่อความนัย ขอเพียงหัวใจเราตรงกัน


ใครคนนั้น ...เราเคยเดินเกี่ยวก้อยร้อยฝันด้วยกันไปในสถานที่ต่างๆ

เคยแอบอิงพิงไหล่ในสวนสาธารณะแห่งนั้น

เธอ ฉัน ต่างบอกเล่าความฝันของกันและกัน


ฝ่ามืออันแข็งแรงของเธอ ที่ชอบจับหัวฉันโยกไปมาภายใต้หมวกใบเก่ง

ความรู้สึกคือ อบอุ่นใจทุกครั้งไป 

เหมือนพี่ชายตัวดีที่ชอบแหย่เล่นกับน้องสาว


อ้อมแขนเธอยามโอบไหล่หยอกล้อ ทำให้ฉันแอบขำในใจ

เธอพร้อมไหมที่จะคุ้มครองปกป้องภัยไปด้วยกัน หือ ?


อยากบอกว่า ขอบคุณสำหรับความอบอุ่น แม้เพียงเวลาน้อยนิด

แต่ขอเก็บเอามาคิดแทนความคิดถึง

......................................


3.........ต่อไปนี้ไม่มีแล้วใช่ไหม เหตุการณ์และความทรงจำที่ดีๆ

ณ.ม้านั่งตัวเดิม ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เก่า ....


วันนั้นสีหน้าเธอเหมือนเหนื่อยๆท้อแท้ แต่เธอยังมีน้ำใจถามฉันว่า....

" นอนหนุนตักไหม ต่อไปนี้ไม่มีตักนี้ให้หนุนแล้วนะ ? "

คำถามเบาๆของเธอ แต่ทำให้ใจที่เคยหนักแน่นของฉันหวั่นไหว

แทบน้ำตาซึมกับคำถามนั่น ได้แต่สกัดกั้นความอ่อนแอของหัวใจ

แสร้งยิ้ม หน้าเชิด ตอบว่า.. " ไม่เห็นจะอยากนอนหนุนตักเลย "


แท้จริงแล้ว เธอจะรู้บ้างไหม ฉันแกล้งเชิดหน้า เพื่อให้น้ำตาไหลย้อนกลับเข้าข้างในต่างหาก 

       ท้องฟ้ายามเย็นย่ำ เราสองต่างชี้ดูกลุ่มเมฆซึ่งกลายร่างเป็นภาพต่างๆ

นั่นเจ้าดวงกลมๆ อาทิตย์สีส้มกำลังจะตกหล่นลงน้ำ

แล้วนั่นอาคารกำลังก่อสร้างใหม่ ช่างน่าขัดสายตาซะเหลือเกิน

เฮ้อออ....... เธอยังขำ ฉันบอกว่า ถ้าอยากถ่ายภาพอาทิตย์ตกน้ำสวยๆ

ต้องไปหยิบอาคารนั้นลงมาก่อน  พูดเหมือนทำได้ดั่งปากว่า



เธอจะรู้บ้างไหม เหงานะ เศร้านะ ต่อไปนี้หากไม่มีเธออยู่เคียงข้าง

เหลียวมองข้างกาย ไร้คนเกี่ยวก้อยร้อยฝันวันของเรา

แค่คิด ... หัวใจก็ปวดแปลบ

( ยังอยากโอบไหล่อีกไหม ต่อไปไม่มีไหล่ของหมูตัวนี้ให้โอบอีกแล้วนะ )


ไม่อยากผ่านเส้นทางสวนที่เราเคยนั่งเล่นด้วยกัน อ่านหนังสือด้วยกัน

ไม่อยากมองเห็นภาพเก่าๆที่เราแอบอิงพิงไหล่ด้วยกัน


ภาพผุ้ชายคนหนึ่งเดินถือรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของฉันเดินตามมายังม้านั่งหินอ่อนที่ฉันนั่งเล่น ( เพราะฉันเอารองเท้าคู่โตของเขามาใส่ )

ภาพนี้ยังจำติดตา ฝังในใจแห่งความทรงจำเสมอ

ขอบคุณนะ ขอบคุณมาก ที่เธอทำให้ฉันได้ทุกอย่าง

.....................................................................

4.......... เอาน่ะ ไม่เป็นไร อย่าเศร้า อย่าอ่อนแอ ...นะ คนดี

ฉันเข้าใจ เธอย่อมมีเส้นทางเดินระหว่างฝันเธอเลือกเองแล้ว

เธอบอกว่า เสียดายเวลาที่ผ่านมา เธอน่าจะรู้จักฉันให้มากกว่านี้


ฉันรู้ ... เวลา คือ กำแพงกั้นความสัมพันธ์ของสองเรา

เธอย้ำบอก เราสองเริ่มจะสนิทสนม เริ่มจะเรียนรู้นิสัยของกันและกัน

ต่างซึมซับความรู้สึกที่ดีๆแก่กัน แต่ทำไม เวลา ต้องมาพรากเราจากกัน


อย่าท้อ....นะคนดี ฉันคนนี้เป็นกำลังใจให้เสมอ

สักวันหนึ่ง... เราคงได้เจอหวังเพียง เจอเธอ ที่เดิม


เธอเข้าใจใช่ไหม ...." แม้ส่งกันหมื่นลี้ ก็ต้องจากกันอยุ่ดี "

" มีงานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกลา " และสุดท้าย 

" เรามาพบ เพื่อลาจาก "

ขอเพียงสองเรา ลาจากกันด้วยความรู้สึกที่ดีๆที่มี..ให้แก่กัน

แค่นั้น ... ฉันก็ สุขใจ


ความรัก..ความคิดถึง ..มิตรภาพ..ไม่จำเป็นต้องครอบครองเป็นเจ้าของ

ขอเพียงเขาคนนั้นมีความสุขใจในเส้นทางที่เขาเลือกเดินเอง

แค่นี้.. เราก็สุขใจแล้ว

แต่...หาก วันใดเธอเหนื่อยล้า ท้อแท้ เหงา เศร้าเพียงใด

ขอให้คิดถึงฉันคนนี้

ฉัน..คนนี้ ยังรอเธอที่เดิม ณ.ม้านั่งตัวเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้

.... ฉันจะรอจนกว่า... เธอไม่ต้องการให้รอ...


................................................................

           ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
  				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฉางน้อย