1..... และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ฉันนั่งเซ็งกับตัวเองก็เพราะหลายวันที่ผ่านมานี่ซิ เจ้าคอมพ์ตัวดีมีอันต้องโยกย้ายตัวเองไปนอนเอ้งเม้งที่ร้านของช่างซ่อม เหลียวซ้าย ก็เฮ้อ... อนาถใจนักนะยัยวา เหลียวขวา ก็เฮ้อ....เซ็งๆพิกล " ดีแล้ว ยัยวาจะได้พักซะบ้าง ไม่งั้นก็ไม่ต้องหลับต้องนอน มัวแต่แชทกับแฟนๆทั้งวันทั้งคืน " พี่เมี่ยงประชดนิดนุง อิอิ " โห .. พี่เมี่ยง วาเบื่อจะตายแล้วนะเนี่ยะ ไม่มีไรทำอ่ะ " " ก็ทำงานเล่นๆไปก่อน รอดูช่างเขาว่าไง ใจเย็นดิยัยวานี่ก็..." พี่เมี่ยงพูดเหมือนปลอบใจ แต่ในใจคงสมน้ำหน้าแหง๋มๆ รู้หรอก ชิ.... " ตอนที่มีคอมพ์ล่ะนะ นอนตี 1 ตี 2ไม่หลับไม่นอนเล่นยันสว่าง ยัยวานี่ไม่ได้เรื่องเล๊ยยย " อ้าว ตอนท้ายเหมือนแอบกัดเราเล็กน้อยถึงปานกลางนะนั่นน่ะ " แหมๆ มากไปพี่เมี่ยง มาหาว่า วานอนตี 1ตี2 วาก็คุยกะเพื่อนๆนิดหน่อยแล้วก็อ่านโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย 4ทุ่มครึ่งวาก็นอนแหล่ววววว......(มั้ง) " ใครจะไปเหมือนพี่เมี่ยงได้ล่ะ คุณชายอนามัย 3ทุ่มครึ่งก้นอนแล้ว เฮ้อออ.. คุณชายเมี่ยงไม่ได้เรื่องเล๊ยยยย " ยิหวา ขอเอาคืนนิดนุง ยังไม่รวมดอกเบี้ยนะนี่ อิอิ " ปากดีนักยัยวา ขอให้คอมพ์อยู่ร้านซ่อมสัก 10 วัน หาหนังสือมาอ่านก่อนเลยไป ฆ่าเวลา จะได้ไม่ต้องบ่นโน่นนี่ " อ้าววววว กลับกลายเป็นว่า วา ผิดอีก โดนอีกตามเคย " รู้แหล่วววววววว.......(ทำเป็นบ่นยิ่งกว่าตาแก่) " คำในวงเล็บ ไม่ได้พูดออกไปน๊า เดี๋ยวบ่นไม่เลิก อิอิ . 2.....หลังจากทะเลาะ เอ้ย คุยกับพี่เมี่ยงพอเป็นกระษัยแล้ว ยิหวาเหลียวซ้าย มองขวา ทำไรดีน๊า ขึ้นไปห้องนอนของพี่สาวคนโต ฮั่นแน่ะ .. หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีขวดสีสวยๆด้วย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏที่มุมปากนิดหนึ่ง (แค่นิดเดียวจริงๆน๊า ) อิอิ " น้ำยาทาเล็บ " ฉลากบนขวดเขียนไว้แบบนั้น " ทานิ้วไหนก่อนดีน๊า นิ้วก้อยดีกว่า สวยที่สุด " ยิหวาเอียงคอ ปาดซ้ายทีขวาทีสาละวนกับการ ทาเล็บให้ตัวเองอย่างกับผู้ชำนาญการ " โห .. แม่เจ้าโว้ยยย สีแจ๋นจี๊ดจ้าดดีแท้ อิอิ " แค่คิดก็ขำคนเดียว " อ่า...ลืมไปอ่า ทาแล้วลบออกยากด้วยซิ ทาไปแล้วสองนิ้วด้วย " แหง่ก....ทาเล็บนิ้วนางกับนิ้วก้อยเสร็จ ต้องนั่งแบบนิ้วแบมือให้ห่างๆ กันเข้าไว้จนกว่าน้ำยาทาเล็บจะแห้ง นั่งกางนิ้วประมาณ 10 นาที (ว่างจัด ) คิดในใจ อืมม์ .. ผุ้หญิงอยากสวยต้องอดทน นั่งมองนิ้วทั้งห้าของตัวเอง ดีนะ ที่ไม่มีผังผืดด้วย ไม่งั้นไม่ต่างอะไรกับทรีนเป็ด อิอิ เอาล่ะ น้ำยาทาเล็บแห้งแล้ว วิ่งจู๊ดลงมาชั้นล่าง อวดพี่สาวคนรอง พี่สาวได้แต่ส่ายหน้าดิก คงสังเวชหรือสมเพชน้องสาวก็ไม่ทราบได้ พี่สาวพูดคำเดียวว่า " เฮ้อ.. น้องสาวเรา ผีอะไรเข้าสิงล่ะน้อง " ยิหวา นั่งมองเล็บตัวเองที่ระบายด้วยสีแจ้ดๆด้วยความภาคภูมิใจ(แบบสุดๆ) ... 3...... สองทุ่มกว่านิดๆพี่เมี่ยงโทรมาอีกที ดีจังกำลังเหงาปาก ไม่มีเพื่อนคุย แต่ไม่กล้าบอกเรื่องที่ตัวเองไปแอบทำสวย 5555 โดนดุแหงๆ อิอิ " วา กินข้าวยังเนี่ยะ ? " คำแรกที่พี่เมี่ยงถามแทบจะบ่อยที่สุด " กินแล้ว อิ่มแล้วด้วย " " กินกับอะไร ใครทำให้อีก " พ่อคนช่างซัก อิอิ " ข้าวไข่เจียว พี่รองทำให้อ่ะดิ " ปากตอบแต่ตาเฝ้าภาคภูมิใจกับผลงานของตัวเอง 5555 " แหม ยัยวานี่ สอนไม่จำ ก็บอกให้เจียวเองทำเอง เหมือนที่เคยแนะนำ สั่งเหมือนสั่งขี้มูก ยัยวานี่ เฮ้อ " เริ่มแระๆ พี่เมี่ยงเริ่มแระ สงสัยวิญญาณผีขี้บ่นเข้าสิง อิอิ " ค๊า......รู้แล้วค๊า แล้วพี่เมี่ยงกินไรยังคะ ? " ยิหวาถามย้อนคืน " ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องพูดเลยยัยวานี่ แล้ววันนี้ทำไรมั่ง ? " ยิหวารุ้หรอก พี่เมี่ยงแกล้งบ่นไปงั้นแต่น้ำเสียงยังมีความห่วงใยเสมอ อิอิ น่าร๊ากกกก " ก็ไปร้านซ่อมแล้ว เขาปิดร้านหนีวา เฮ้อ อดเล่นอีกตามเคย " " ดีแล้ว ไปหาหนังสืออ่านเลย 10 เล่ม ให้เวลา 10วันเลย " พี่เมี่ยงสั่งๆๆๆ " โห พี่เมี่ยงใจร้ายยยย...." ยิหวาโอดครวญสุดฤทธิ์ " ไม่ต้องมาโห มาเหอ เลยนะ แล้วมีเบอร์โทรร้านคอมพ์ป่าว จะโทรไปบอกว่า ไม่ต้องรีบซ่อมหรอก คอมพ์น่ะ ทิ้งไว้อีก 10 วัน ดีไหมยัยวา " " ไม่ดีๆๆ ไม่ดีแน่นอนเลยพี่เมี่ยง วาไม่มีเพื่อนคุยนะ วาเหงาด้วย เบื่อตายชัก " ยิหวาสวนทันควัน ไม่ดีๆ ไม่ยอมๆ แต่ได้ยินเสียงพี่เมี่ยงหัวเราะขำด้วย ชิ " แล้วพี่เมี่ยง ทำไรอยู่อ่ะ ? " ถามพี่เมี่ยงกลับไปบ้าง " ก็คุยโทรศัพท์อยู่นี่ไงกับใครก็ไม่รุ๊ " พี่เมี่ยงยียวนเป็นเหมือนกันนะเนี่ยะ " จะอาบน้ำนอนแล้วล่ะ โทรมาคุย ถามข่าว กลัวใครบางคนลงแดงไปซะก่อน " ไม่วายที่จะจิก กัดในวันและเวลาที่เหมาะสมเลยนะพี่เมี่ยง .. 4...... เหลียวมองหนังสือรอบตัวที่ขนมาจากห้องนอนใหญ่ อ่านเล่มไหนก่อนดีน๊า หยิบวางๆๆ พลิกซ้ายขวาๆ - คำพ่อ คำแม่ ของพระธรรมกิตติวงศ์ อืมม์ วางไว้ก่อนก็คงดี - คำกลอนของสุนทรภู่ 2 เล่ม วางไว้ก่อนเนอะ เดี๋ยวอ่าน - ดินแดนซาเลา ของ วิภู ชัยฤทธิ์ อืมม์ น่าสนๆ แยกไว้ต่างหาก - สุขเป็น ก็เป็นสุข ของ ท่านชยสาโร ภิกขุ อืมม์ นี่ก็วางไว้ก่อนเนอะ - คิโกะจัง ผมม้าตาขวาง การ์ตูนน่ารักๆกวนๆขำๆ น่าสนๆ แยกไว้อ่านๆๆ - วิญญาณและการระลึกชาติ ตอนที่ 1 หนังสือแนวผีๆ น่าสนๆ แยกไว้อ่าน ในที่สุด ธรรมย่อมชนะอธรรม อิอิ ยิหวาหยิบการ์ตูนคิโกะจัง ผมม้าตาขาว เอ้ย ตาขวางมาอ่านอันดับแรก อ่านไปหัวเราะไปคนเดียว คิกคักๆ การ์ตูนชุดนี้มี 4 เล่ม พี่นักสืบ ซื้อให้นานแล้วจำได้ๆๆ ภายใน 3 ทุ่มกว่า ก็อ่านจบทั้ง4เล่ม อ่านอะไรต่อดีน๊า อ่อ นี่ดีกว่า วิญญาณและการระลึกชาติ ตอนที่ 1 เป็นหนังสือเรื่องเล่าของวิญญาณที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิด วนเวียนในโลกมนุษย์ และเรื่องราวของบุคคลที่กลับชาติมาเกิดแล้วระลึกชาติย้อนหลังได้ บรรยากาศเงียบๆของช่วง 4 ทุ่มกว่าชวนวังเวงดีแท้ แต่ยังเลือกอ่านเรื่องผีอีกนะยัยวา อิอิ 5......ตี 1 กว่านิดๆอ่านจบเล่มพอดี ตาเริ่มปรือ ชักจะง่วงนอนแฮะ แต่จะปิดไฟนอนได้ยังไงหว่า ภาพ และ ตัวอักษรยังวนเวียนในสมอง เอิ๊กกกก ไม่น่าอ่านเลยยัยวาเอ้ย เก็บๆๆ เก็บให้หมด หนังสือเกี่ยวกับผีๆ ปิดให้มิด จัดการปิดหน้าหนังสือเล่มนั้นปิดอย่างเดียวไม่พอ จับหนังสือคว่ำหน้าด้วย ........ผีมันจะได้ไม่ออกมา เอ....จับหนังสือคว่ำหน้าอย่างเดียวคงไม่พอ ผีคงออกมาได้มั้ง งั้น เอางี้ดีกว่า เอาหนังสือผีเล่มนั้นไว้ล่างสุดเลย แล้วเอาหนังสืออื่นวางทับๆๆๆๆ วางทับให้หนักๆเข้าไว้......... ผีมันจะได้ไม่ออกมา อิอิ ยิ้มให้กับความคิดที่(เหมือนจะ)ฉลาดของตัวเอง ก่อนจะเหลียวซ้ายมองขวาปิดไฟล้มตัวลงนอน ตาเหลือก เอ้ย ตาหลับอย่างมีความสุข จริงๆแล้วไม่หลับหรอก มัวแต่นอนหรี่ตา คอยมองนอกหน้าต่างยามผ้าม่านพัดไหวพลิ้วจะมีสิ่งแปลกปลอม หรือ เงาตะคุ่มๆโผล่หน้ามาร้องทักทาย " ตั๊บแก " บ้างไหนหนา หลอนมากนะเนี่ยะ คำนี้ " ตั๊บแก " เพราะไปร้องทักเขาไปทั่วทุกบ้าน 555 เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า " อย่าอ่านเรื่องผีก่อนนอน มิฉะนั้นจะหลอนโดยไม่รุ้ตัว " ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ).
" วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ " ชื่อนี้เคยได้ยินมานานพอสมควร แต่ไม่มีโอกาสได้ไปสักครั้ง เคยถามพี่เมี่ยงว่า รู้จักวัดปากน้ำไหม พี่เมี่ยงเคยไปหรือยัง คำตอบที่ได้คือ " เคยไป นานมากแล้ว ร้อนด้วย " " วาลองหาวัดอื่นซิที่ร่มรื่นๆน่ะ ลองหาในเน๊ตนะ " คิดในใจ เค้าอยากไปวัดปากน้ำ จะให้เค้าไปวัดอื่น เชอะๆ ชิๆ เช้าวันเสาร์ที่ 6 มีนาคม กำลังนอนหลับเพลินๆ เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น " ยัยวา ตื่นได้แล้ว สายตะวันโด่งแล้ว ตื่นๆ " เสียงปลายทางโทรมาปลุก " อะไรโทรมาแต่เช้า คนจะหลับจะนอนเนี่ยะ รีบไปไหน " ยัยวายังงัวเงีย 555 " เช้าที่ไหนเนี่ยะ ดูซิ บ่ายสามโมงแหล้ววววว " ทำเสียงยานอีกนะพี่เรา " รู้แล้ว ตื่นแล้วๆๆๆๆ เดี๋ยวอาบน้ำสระผมด้วย " ตอบทั้งที่ตายังไม่ลืม 5555 "อาบน้ำ สระผม หนีเที่ยวไหนอีกเนี่ยะยัยวา ทุกทีเลย " " เปล่านี่ เก๊าะอาบน้ำสระผมให้สบายตัวสบายใจ มีไรป่ะ " " ไม่ต้องเลยๆ ไม่ต้องเลยยัยวา ลุกขึ้นไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ จะพาไปไหว้พระ" " ไหว้ที่ไหนเล่า วัดชื่อร่มรื่น กะ ร่มเย็นไม่มีนี่ ในเน๊ตน่ะ " กวนไปเรื่อยยัยวา อิอิ " ไปอาบน้ำ ยังจะเถียงอีก ไปให้เร็วเลย ไปไหว้พระกัน " พี่เมี่ยงเสียงดุนิดนึง อิอิ " อ้าว ไปจิงอ่ะ คิดว่า พูดเล่น ไปวัดไหนอ่ะพี่เมี่ยง " "ไม่ต้องมาถามเลย ไม่พาไปขายหรอกน่ะ " . เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก รถเมล์สาย 9 ฟ้า-น้ำเงินพาเรามาสุดสาย แล้วก็ลงเดินเข้าวัดนิดเดียวเอง ยังไม่ทันเหนื่อย " อ้าว นี่ไง วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พี่เมี่ยง ถึงแล้วๆๆ " " ก็ใช่ไง ไหนบอก อยากมาวัดนี้ไม่ใช่เหรอ ? " พี่เมี่ยงย้อนคืน " แหมๆ ก็พี่เมี่ยงให้วาหาวัดร่มรื่นร่มเย็นนี่ มีที่หนายยย " ระหว่างเดินเข้าเขตประตูวัด สองคนก็กัด เอ้ย ก็ถกเถียงกันไม่เลิก อิอิ " แล้วรู้เรื่องราวประวัติของวัดบ้างไหมเนี่ยะ ที่อยากมาน่ะ " พี่เมี่ยงถาม " ไม่หรอกพี่เมี่ยง แค่อยากมาเฉยๆ " วาส่ายหน้าดิก "ก็นี่แหละน๊า ยัยวาขี้โม้ จะรู้อะไรกะเขาบ้างล่ะ " ไม่วายมีเหน็บนิดๆ " แหมๆ จะเล่าก็เล่ามาไม่ต้องมากัด เอ๊ย มาเหน็บเลย " " ฟังนะ ฟังไหมล่ะยัยวาขี้โม้ " แหม พี่เราชอบเติมต่อท้ายให้ซะเรื่อยเลย " ฟังซิ เล่ามาๆ ก่อนที่จะไม่ได้เล่า อิอิ " ยิหวาเหน็บคืนนิดนุง " วัดปากน้ำ หลวงพ่อสดนี่นะ สัณนิฐานว่า สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยูธยาตอนกลาง ซึ่ง นั่นก็คือ ราวปีพ.ศ.2031 - 2172 เป็นวัดประจำหัวเมืองกรุงธนบุรีเชียวนะวา " " อ๋อ.. ค่ะ " วา รับรุ้ รับฟัง " วัดปากน้ำ นี่นะ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ " พี่เมี่ยงเล่าต่อ " อ๋อ...ค่ะ " วา ทำได้เพียง พยักหน้าหงึกๆเหมือนกิ้งก่าได้ทอง อิอิ " แล้วไม่สงสัยอะไรเลยเหรอ พูดคำเดียวนี่นะว่า อ๋อ คะๆๆๆ " พี่เมี่ยง พูดเหมือนไม่ค่อยประชดสักเท่าไหร่ อิอิ " ก็เค้ายังไม่มีเหตุให้สงสัยอะไรนี่ เล่าต่อซิพี่เมี่ยง " วาตอบ แต่ก็แอบเห็นนะ พี่เมี่ยงส่ายหน้านิดนึงคงรำคาญ 555 . " ที่จริงนะวา คำว่า พระอารามหลวง ก็ต้องมีคำว่า "วรวิหาร" หรือไม่ก็ " ราชวรวิหาร " ต่อท้ายใช่ไหมล่ะ ? " " อ๋อ... คะ " วา ยอมรับ พูดได้เพียงเท่านี้จริงๆ ไม่ชำนาญเรื่องเข้าวัดเข้าวาสักเท่าไหร่นัก เลยไม่กล้าออกความเห็น " แต่วัดหลวงพ่อสด หรือวัดปากน้ำ นี่ทำไม ไม่มี วาคิดซิ " " แหะ..แหะ.. ไม่รู้อ่ะพี่เมี่ยง " วาส่ายหน้า ยิ้มแหยๆ ยอมจำนนต่อพี่เมี่ยง " นี่แหละน๊า... เอาแต่โม้ ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่างยัยวานี่ " พี่เมี่ยงไม่วายเหน็บน้อยๆจิกเล็กๆ " ก็เพราะอะไร ทำไม ไม่มีสองคำนี้ล่ะพี่เมี่ยง เล่าซิ วาไม่รุ้นะ " " ก็เพราะว่า ตอนนั้นยังมีปัญหาเรื่องการออกใบโฉนดที่ดินให้วัดไง " " แล้วก็อีกอย่างนะ ศัพท์สองคำนี้ เพิ่งมีบัญญัติทีหลังไง ในสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวน่ะ " วัดปากน้ำ จึงไม่มีสร้อยนามต่อท้ายด้วยเหตุนี่แหละ มีเพียงคำว่า พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เข้าใจยัง หือ คนขี้โม้ " " พระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ แล้ว ถ้าชนิดวิสามัญเป็นไงล่ะพี่เมี่ยง ? " วา ถามจบ ก็หลบจู๊ดให้พ้นรัศมีมะเหงกของพี่เมี่ยง 500เมตร 555 " เดี๋ยวเหอะ ยัยวา มานี่เลย มาซะดีๆ " " เรื่องไรล่ะ ไปก็โดนเอาคืนอ่ะดิ อิอิ " " มานี่เลย จะฟังต่อไหม ห๋า ให้ไว ให้ไวเลย " พี่เมี่ยงชักเสียงเขียว อิอิ " ฟังน่ะ วาฟัง แต่พี่เมี่ยงห้ามมะเหงกวาคืนนา ห้ามจี้เอวด้วย ขอบอก " " วาแค่ล้อเล่น แฮ่.." ยิหวาโอดครวญขอความเห็นใจสุดฤทธิ์ อิอิ .. " แล้วต่อมา เจ้าคณะปกครองได้ส่งพระสมุห์สด จันทสโรจากวัดพระเชตุพน มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่นี่ " พี่เมี่ยงเล่าโดยไม่มีติดขัด สมแล้วที่เป็นนักวิชาเกิน เอ้ย วิชาการ อิอิ " อ้าว เขาเรียก หลวงพ่อสดไม่ใช่เหรอพี่เมี่ยง ? " วาเริ่มสงสัย " ฟังให้จบก่อนซิ แหมๆ ยัยวานี่ รีบไปไหนเชียว " พี่เมี่ยงติง " อ๋อ.. ฟังค่ะ ฟังค๊า คุงพ่อ " ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านั้น กลัวโดนจับล็อคคอ ตีเข่า 555 " ก็ตำแหน่งตอนนั้น ท่านเป็นพระสมุห์สดไง ท่านสอนสมถวิปัสนากรรมฐาน รวมทั้งส่งเสริมการศึกษาด้านธรรมะ วัดก็เริ่มมีความเจริญมากขึ้น " " อ๋อ ค่ะพี่หมู เอ้ย พี่เมี่ยง " วากำลังทึ่งกับข้อมูลของพี่เมี่ยง อิอิ "และสมณศักดิ์สุดท้ายในราชทินนามก็คือ " พระมงคลเทพมุนี" แต่ใครๆมักเรียกกันติดปากว่า " หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ " " อ๋อ......เป็นอย่างนี้นี่เอง " วา พยักหน้าเข้าใจ ถึงบางอ้อในที่สุด " ใช่ ..ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้ ขี้โม้ เอาแต่เล่นไม่รุ้เรื่องอะไรสักอย่าง " " ไม่ต้องวกมาหาวาเลยพี่เมี่ยง ไปเลยๆ ไปไหว้พระโน่น " " แล้ววาจะเข้าวัดได้ไหมเนี่ยะร้อนนา ไหว้พระเป็นป่าวเราน่ะ " ยังกัดไม่เลิกพี่เมี่ยงเรา จำไว้เลย " อืม เก่งนี่เราน่ะ ไหว้พระกะเขาก็เป็นด้วย " พี่เมี่ยงชมหรือประชดหว่า อิอิ " คนนะ ไม่ใช่แมวที่จะไหว้พระไม่เป็นน่ะ แหมๆ ชอบกัดวา " "คนนะ ไม่ใช่แมว ที่จะได้กัดคนน่ะ " อ่ะนะ พี่เมี่ยงย้อนคืน .. ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) ( ปล. หากข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยเจ้าคะ ต้องไปโทษพี่เมี่ยงโน่นเลย นักวิชาการ อิอิ )
ใครบางคนและอีกหลายๆคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หัวใจคนเรามีสี่ห้อง แต่ละห้องอาจมีคุณค่า หรือความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป หัวใจห้องที่ 1 ใครแวะเข้ามารู้จัก และทักทาย ห้องที่ 2 อาจมีใครหลงทางมาอาศัย ห้องนั่นล่ะเป็นยังไง ห้องโน่นเล่าใครเข้ามา หัวใจคนเราไม่ใช่คอนโด หรืออพาร์ทเม้นต์ให้เช่าที่จะได้รับใครเข้ามาง่ายๆ ใช่ว่าคนนี้เข้า คนนั้นออก หรือมานั่งเล่นพักผ่อนค้างแรม พอหายเหนื่อยก็จากไป ปล่อยให้เจ้าของห้องพักมานั่งทำใจ เก็บกวาดส่วนเกินของหัวใจทิ้งไป แต่หัวใจคนเรามีเลือดมีเนื่อ มีการสูบฉีดของหัวใจ มีการตอบสนองสำหรับใครบางคน ใครบางคน หรือ สักคนที่เป็นคนพิเศษของเรา คนพิเศษที่เรามี "ความรู้สึกดีๆ " มอบให้
1..... มายา ตามความหมายทั่วไปท่านผุ้อ่านคงคิดไปในแง่ที่ไม่ดีใช่ไหมคะ ความคิดของฉันเองนั้น มายาหรือมารยา คือการเสแสร้งแกล้งทำ หลอกลวงให้คนอื่นเชื่อ หลอกให้คนอื่นเข้าใจผิดในทางตรงกันข้าม ในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติ ไม่รู้ซินะ ฉันคิดได้เท่านี้จริงๆ แต่สำหรับคำว่า " มายา " ในวันนี้เป็นชื่อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หน้าตาจิ้มลิ้ม แก้มแดงอวบอิ่ม รอยยิ้มน่ารักเชียว สาวผมม้าตาตี่สไตล์หมวยจีน ฉันไม่ได้ถามเธอหรอกนะว่า เธอายุเท่าไหร่ แต่เธอเคยบอกวา เรียนอนุบาล 2 " ม้ายาว " คำนี้ฉันชอบเรียกล้อชื่อเธอบ่อยๆ แทนคำว่า " มายา " เธอก็มักจะงอนบ่อยๆเช่นกัน บ้านของมายาอยู่แถวเยาวราช แต่แม่ของเธอเปิดกิจการโรงพิมพ์ ที่ข้างบ้านของฉันเอง ทุกวันเสาร์เธอจะติดตามแม่ของเธอมาเล่นที่โรงพิมพ์นี้บ่อยๆ แต่เพราะความซน แก่น และบางครั้งก็ดื้อเงียบ ทำให้แม่เธอไม่อยากให้มาวุ่นวายที่นี่นัก แรกๆที่มายาสาวน้อยคนนี้เจอฉันนั้น ดูท่าทางเธอจะเขินอาย ไม่กล้าพูดไม่กล้าคุย ไม่กล้าแสดงออก ถามอะไรนิกก็ก้มหน้างุด ถามอะไรหน่อยก็แทบเอาหน้ามุดดิน .. 2..... และแล้ววันเสาร์ที่ผ่านมานั้นมายาก็มาที่โรงพิมพ์ตามปกติ " หม่าม๊า พับเรือให้หนูหน่อยซิ " เสียงเจื้อยแจ้วของเธอดังแข่งกับเสียงเครื่องจักรที่กำลังพิมพ์งาน " ม๊าไม่ว่าง เอาไว้ก่อนน่ะ ไปกินข้าวก่อนไป " แม่เธอตอบกลับมา เธอหายไปพักใหญ่ๆ " ม๊า ว่างยัง พับเรือให้หนูหน่อยซิ " เสียงเธอยังคงรบเร้าอยากได้เรือสักลำ " ม๊าต้องทำงาน ม๊าพับไม่เป็น " แม่เธอปฏิเสธ " ม๊าอ่ะ ทุกทีเลย เพื่อนหนูเขายังมีเรือเลย แม่เขาพับได้ด้วยแหละ " น้ำเสียงที่เธอพูดเหมือนน้อยใจ กระเง้ากระงอดงอนนิดๆ ฉันเดินหายไปหลังบ้านแป๊บหนึ่งก็กลับมา พร้อมกับกระดาษจากหน้าปฏิทินเก่าๆ รู้สึกว่า สงสารเด็กคนนี้ เขาก็คงอยากเล่น อยากมีเพื่อนตามประสา คิดถึงใจเขาใจเรา มายาคงเหงาไม่มีเพื่อนเล่นวัยเดียวกัน ... 3......" ม้ายาว มานี่ซิ เดี๋ยวพับให้ " ฉันแกล้งล้อชื่อเธอว่า " ม้ายาว " " ไม่ ......" คำเดียวสั้นๆจากปากสาวน้อยมายา เธอเม้มปากนิดๆ " ไม่มาจริงอ่ะ งั้น พี่เล่นคนเดียวก็ได้ นี่เห็นไหม มีเรือตั้งสองลำ " ฉันแกล้งบ้าแกล้งบอนำเรือกระดาษมาลากๆดึงๆบนโต๊ะทำเป็นเรือลอยในน้ำ " วิ้ววววววว ....เรือเหาะได้ด้วย ไปไหนดีน๊า ลำนี้ " ฉันพูดพลางเหลือบตามองปฏิกิริยาของสาวน้อยมายา คราวนี้ได้ผล มายาเริ่มทำตาวาว แอบอมยิ้มน้อยๆ เดินมาใกล้เรือสองลำนั่น " เธอ พับเป็นด้วยเหรอ เรือแบบนี้ ? " เสียงของมายายังขลาดๆอายๆ ฉันแทบหัวเราะออกมากับคำว่า " เธอ " ที่เอ่ยจากมายา แต่อมยิ้มแทน กลัวเธอเขิน " เป็นซิคะ สวยไหม อ่ะ พี่ให้มายานะ คนละลำ เนอะ " ฉันยื่นให้มายาลำหนึ่ง " ขอบคุณนะ " มายารับเรือกระดาษแล้ววิ่งเข้าบ้านเธอเสียงดังเชียว " ม๊าๆๆ...หนูได้เรือแล้ว มาดูเร็วๆ " มายาอวดของเล่นใหม่ " อืมม์ ..สวยนี่ ใครทำให้หนู ? เสียงแม่เธอถาม " เพื่อนหนู..คนนู้นนน " " ใคร ไหน ? อ๋อ.... ชื่อ พี่วา เรียก พี่วาซิ ไม่ใช่เพื่อน " ... 4..... " พี่วา พับให้หนูอีกซิ " มายาวิ่งมาเกาะแขนฉัน คราวนี้ดูเธอกล้าพูดกล้าคุยมากขึ้น ไม่มีวี่แววว่าจะเขินอายให้เห็นอีกต่อไป " พับทำไมเยอะจังล่ะ สองลำไม่พอเหรอคะ " ฉันชวนมายาคุย " หนูจะเอาไปเที่ยวทะเล สองอันนี้ให้ป๊ากับม๊า ไปเรือคนละอัน " " เรือ 1 ลำค่ะ ไม่ใช่ 1 อัน " ฉันต้องรีบบอก กลัวเด็กเรียกผิดๆถูกๆ " อ่ะ ..ครบแล้วน๊า 3 ลำ " ฉันยื่นเรือกระดาษให้อีก 3 ลำ " อ้าว แล้วลำไหนของพี่วา พี่วาไม่ไปกะหนูเหรอ ? " คำถามของมายา ทำให้ฉันอึ้ง เด็กมักมีความคิดความอ่านที่สะอาด บริสุทธิ์เสมอ ดูอย่างมายาเด็กน้อยคนนี้เธอยังมีความปรารถนาดีให้คนรอบข้าง อยากให้ " เพื่อน " ของเธอได้ไปเที่ยวด้วยกัน เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวที่บริสุทธิ์ ไร้สิ่งแปดเปื้อนเจือปน หากว่าผู้ใหญ่หรือคนรอบข้างชี้แนะสิ่งดีๆ ป้อนแต่สิ่งดีๆให้แก่เด็ก พวกเขาก็จะซึมซับสิ่งดีๆไว้ในตัว แต่หากเมื่อใดที่เด็กเจอสภาพสิ่งแวดล้อมที่แย่ๆ เด็กก็จะซึมซับสิ่งที่ไม่ดีไว้กับตัวเช่นกัน " อืม.. ไปซิ มายาให้พี่วาไปได้ด้วยเหรอ ? " ฉันตอบมายาหลังจากนิ่งอึ้งไปนาน " ไปได้ซิ ก็พี่วาเป็นเพื่อนหนูนี่ เป็นเพื่อนกันก็ต้องไปด้วยกัน " ( แอบขำตัวเอง เราเป็นเพื่อนกับเด็กตัวกะเปี๊ยกตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า อิอิ ) ... 5..... " มายา มีเรือตั้งหลายลำแล้ว จะไปเที่ยวไหนคะ ? " ฉันพยายามพูดคะขากับเด็ก ทั้งๆที่ตัวเองไม่ใช่คนอ่อนหวานสักนิด " หนู จะไปทะเล จะไปเกาะเสม็ดด้วย ทะเลสวย หนูชอบ " เธอตอบพลางมีนัยต์ตาเพ้อฝัน สีหน้ามีความสุขยามพูดถึงคำว่า ทะเล(ชอบทะเลเหมือนใครบางคนแถวนี้เลย เนอะ อิอิ ) " อื้อ... เหมือนพี่วาเลย พี่ก็ชอบทะเล ชอบหาดทราย ชอบเล่นน้ำทะเล (ทั้งๆที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่โม้กับเด็กไว้ก่อน อิอิ " เหร๊อ... เหมือนหนูเลย หนูชอบทะเลมาก " เธอุทานเสียงดัง ตาโตเหมือนประหลาดใจเจอเพื่อนใหม่ ที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน " วันหน้าพี่วาสอนหนูพับเรือบ้างนะ หนูจะเอาไปให้เพื่อนที่โรงเรียนด้วย " " มายา " เด็กน้อยที่ไร้มารยา เธอช่างมีความสุขกับสิ่งที่เธอคิดเธอฝัน โลกแห่งจินตนาการของเด็กน่ารักเสมอ เด็กมักคิด พูดออกมาแต่สิ่งดีๆ " มายา " เธอเริ่มพูดคุยกับฉันอย่างสนิทใจ ชอบชวนคุยโน่นคุยนี่ ไม่มีวี่แววคนแปลกหน้าของกันและกันอีกแล้ว " มายา " เด็กน้อยคนในวันนี้ เธอยังไม่มีหน้ากากใดๆมาสวมใส่ ตราบใดที่เธอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีๆ สังคมดีๆ แต่หากวันใดวันหนึ่งเล่า เมื่อเธอโตขึ้นมา อาจต้องเจอสภาพแวดล้อมที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป ไม่อยากคิด อยากให้เธอเป็นเด็กน้อยที่น่ารัก สดใส ร่าเริงแบบนี้ตลอดไป ... 6.....แม่ของเธอมาเล่าให้ฟังว่า มายาเร่งให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ เพื่อจะได้มาเจอเพื่อนของเขา ตอนแรกแม่ก็งง ว่า ใคร คนไหนคือ เพื่อนของมายา " ก็พี่วาไง เขาเป็นเพื่อนหนู " เด็กน้อยชี้แจงให้แม่ฟัง ทำให้ถึงบางอ้อในที่สุด แม่เขาบอกว่าอยากหัวเราะก๊ากตรงนั้น " ยัยวา ทำไงเนี่ยะ ปราบเด็กคนนี้ซะอยุ่หมัด " แม่เขาถามเล่นๆ " ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่นา แค่เล่นๆ คุยกะเขา ฟังเขาคุยไปเรื่อยๆ แอบเนียนนิดนุงว่างั้นเหอะ ) ไม่ใช่ว่าฉันจะเก่งเรียนรุ้จิตวิทยาของเด็กหรอกนะ แต่เด็กก็คือเด็ก ต้องการคนสนใจ ต้องการเพื่อนเล่น ต้องการคนพูดคุย ขอเพียงเรารับฟังเรื่องราวที่เขาเล่าออกมาบ้าง เขาก็ยังรับรุ้ว่ายังมีคนสนใจเขาอยู่ เด็กยังต้องการคำชม คำพูดที่ดีๆ เอ่ยชมเขาบ้างยามเขาประพฤติตัวดี ปรามเขาด้วยสายตาก่อนหากเขาทำผิดครั้งแรก หากยังไม่ฟังก็คงต้องจับตัวมานั่งพูด คุยกัน อธิบายกันว่า อย่างนี้ไม่ดีนะ ขอเพียง บอกสอนกับเขาดีๆ เขาก็ยินยอมรับฟังผู้ใหญ่อย่างเราๆ " มายา " ขอให้หนูเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดีอย่างนี้ตลอดต่อไปนะ อย่าลืมล่ะมายา ว่า " เพื่อน "คนนี้ยังรอ " มายา " อยู่นะ ... ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น
เช้าวันอาทิตย์ที่ 14 กพ.53 ฉันตื่นมาอย่างเหงาๆ หวังให้เขาคนนั้นโทรมาปลุกเช่นทุกเช้าที่ผ่านมา " ตื่นได้แล้ว สายโด่ง ลุกๆ ไปกินข้าวที่ไหนดี ? " " ตื่น อาบน้ำยังเนี่ยะ กินข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวดีนะ ไอติมด้วยดีกว่า เนอะ " ประโยคซ้ำๆซากๆเหมือนน่าเบื่อ แต่เปล่าเลย ฉันยังอยากฟังคำพูดเหล่านี้ซ้ำๆทุกวันๆ แต่ทว่าวันนี้ไร้เสียงใครคนนั้นโทรมาดั่งทุกวัน เหลือบมองโทรศัพท์บ่อยครั้ง เฝ้าภาวนาให้เขาโทรมา " โทรมาสักนิดเถอะนะ ได้โปรด " สุดท้าย ไร้วี่แววแห่งการรอคอย อาบน้ำ แต่งตัว ลงมาข้างล่างด้วยหัวใจที่เหงาๆ เบื่อๆ เจ้าเพื่อนรักต่างสายพันธุ์วิ่งมาเคล้าคลอ หวังให้ฉันวิ่งเล่นกับพวกเขาดั่งทุกวันที่ผ่านมา แต่เปล่าเลย ฉันทำเพียงลูบหัวเจ้าสองตัวเบาๆ พร้อมกับพูดว่า " อยู่ที่นี่ละ เดี๋ยวกลับมา " เจ้าเพื่อนรักสองตัวตาละห้อย แต่ก็หมอบลงหน้าประตูเฝ้ารอคอยการกลับมาของฉันแต่โดยดี . เดินล้วงกระเป๋าออกจากบ้านอย่างเซ็งๆเหงาๆ ขาที่ก้าวไม่ค่อยมั่นคงนัก ใจสั่นๆพิกล มาหยุดยืนที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง ก็ไม่แปลกใจนัก "วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก" ใครๆก็เดินเป็นคู่ๆบ้างจูงมือ บ้างโอบไหล่ ป้ายรถเมล์แห่งนี้มีถังน้ำสีดำแต่ข้างในบรรจุด้วยดอกกุหลาบสีแดงสวยด้วยหยดน้ำที่เกาะพราว เหลือบมองดอกกุหลาบในถังน้ำแล้วใจแป้ว ก็สวยดีนะ แต่ฉันจะซื้อให้ใครล่ะ แล้วจะมีใครซื้อให้ฉันบ้างไหม ? ฉันคงไร้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของกุหลาบช่อนั้นซินะ เผลอยิ้มเศร้าๆกับตัวเอง พลางคิดอะไรเล่นๆ ...จะดีสักแค่ไหนนะ ถ้ามีใครสักคนเดินเคียงข้าง ...จะดีสักแค่ไหนนะ ถ้ามีใครสักคนมอบกุหลาบให้เรา ...จะดีสักแค่ไหนนะ ถ้ามีใครสักคนนั่งกินข้าว ดื่มกาแฟด้วยกัน ...จะดีสักแค่ไหนนะ ถ้ามีใครสักคนคอยห่วงใยไม่ห่างไกลไปไหน ...จะดีสักแค่ไหนนะ ถ้ามีใครสักคนเฝ้ารอคอยการกลับมาของเรา ส่ายหน้า เพื่อไล่ความคิดที่ไร้สาระ ไม่น่ะ คงไม่มีสักคนที่เราจะพบจะเจอแบบนี้ ใครคนนั้นของเรา เขาคงยังไม่มา หรือว่า มัวแต่สวนทางกัน.... . นั่น เด็กนักเรียนวัยมัธยมตอนต้นด้วยซ้ำไปซินะ เดินจับมือจับไม้ด้วยกัน โน่น หนุ่มสาวหน้าใสวัยเรียนมหาวิทยาลัยเดินโอบไหล่หัวเราะคิกคิกผ่านหน้าไปอย่างมีความสุข แล้วก็นี่ หนุ่มสาววัยทำงาน วัยสร้างเนื้อสร้างตัว หยอกล้อกันอย่างน่ารักเชียว พวกเขาก็รอรถเมล์เหมือนฉันนี่แหละ พวกเขาคงมีจุดหมายปลายทางที่จะไป แต่ฉันนี่ซิ ไร้จุดหมายปลายทาง โดดเดี่ยว อ้างว้าง สับสน เหลียวมองตัวเองพลางถอนหายใจเบาๆ ไร้คนเคียงข้าง ไร้คนให้กุหลาบ เขาคนนั้นของฉันไปไหนนะ แค่คิดหัวใจก็สั่นระริก น้ำตาเจ้ากรรมพาลจะไหลเอ่อซีม แหงนมองฟ้า จะได้อะไรขึ้นมา ก็แค่..กลบเกลื่อนรอยน้ำตา..ให้ไหลย้อนกลับ ก็แค่นั้น นั่นประไร แม้แต่บนรถเมล์ยังอบอวลไปด้วยมวลดอกไม้แห่งความรัก ทำไมนะ ทำไมต้องมีวันนี้ด้วย 14 กพ.วันแห่งความรัก แต่ทำไม ไม่มีใครมารักฉันสักคน ยิ่งคิด ยิ่งเหงา ยิ่งเศร้าไปกันใหญ่ เฮ้อ... เอนหลังกับพนักพิง หลับตาหวังหนีภาพบาดใจ แต่แล้วสติ ความคิดดีๆค่อยเข้ามาทีละนิดทีละนิด ...ใช่ซินะ แม้ไม่มีใครเดินเคียงข้าง ฉันก็เดินของฉันได้ ...ใช่ซินะ แม้ไม่มีใครมอบกุหลาบให้ ฉันก็ไม่เดือดร้อนอะไรด้วย ...ใช่ซินะ แม้ไม่มีใครนั่งกินข้าวด้วยกัน ทานกาแฟด้วยกัน ฉันก็อิ่มท้องได้ ...ใช่ซินะ แม้ไม่มีใครคอยห่วงใยกัน แต่ฉันก็ดูแลตัวเองได้ ...ใช่ซินะ แม้ไม่มีใครรอคอยการกลับมาของฉัน แต่ฉันก็ยังมีเจ้าเพื่อนรัก มิตรภาพต่างสายพันธุ์ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของฉันอยู่ ความรักของพวกเขาสองตัวที่มอบให้ฉันนั้น มันช่างบริสุทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใด พวกเขาพูดไม่ได้ ร้องขอไม่เป็น แต่ไม่แน่นะ พวกเขาอาจรักฉันมากกว่าตัวพวกเขาเองก็ได้ .....รอก่อนนะ เจ้าเพื่อนยาก ฉันจะกลับไปวิ่งเล่นกับพวกเขาให้สมกับที่พวกเขารอคอยฉัน... ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) (((((.....แม้รอยยิ้มจะเหงาๆ แต่เราก็ไม่เศร้า ใช่ไหมสหายรักแห่งข้าฯ..)))))