8 เมษายน 2546 12:08 น.
จิรัฐิติกาล
มืดสลัวกลัวใจไฟยังจ้า
เสียงฟ้าผ่าซ่าซัดลมพัดหวน
ฝนไม่โปรยเพราะโรยแรงทนทบทวน
เสียงแห้งครวญฟืนฟางครางกลัวเพลิง
หนึ่ง, ไม้ตายกลางป่ามาตามกล้า
ซับเสียงพร่าคร่าครื่นครืนหื่นพนเหลิง
ดินแตกเปลือกเลิกลอกออกเอิกเริง
เสียงเปรี้ยงเปิงเสี่ยงเสียดฝ่าลงดิน
สอง, ไม้ไหม้เพลิงลุกปลุกนรก
หญ้าที่ปกหกท้องป่าห่าทุ่งปลิ้น
ไฟมอดหล้าฟ้ามาตรใหญ่ใฝ่เมินหิน
เสียงแซ่เซ็งนินนาทแน่จะลาม
สาม, เกลื่อนแสงเลงร่วงรุ้งโกเมนเพชร
อัคคีเล็ดรุกล่วงโชติเขตขาม
ถ่านเชื้อดำนำแดงแรงช่วงตาม
เสียงตอช้ำวิทาลน์วากนภา
สี่, เกินดับอัคนิรุทรในป่าใจ
ไฟ - ฟืน - ไพร รวมเป็นเถ้าลอยเวหา
เผาเป็นเสี่ยงละลายหมดมนตรา
เสียงวายุปะโล่งเตียน...ไม่เหลือรอย
อัคคีใจหม่นไหม้ โลภะ นำเฮย
อวัสถาโมหะ หลีกได้
หลงผิดลุโทสะ จักครอบ งำนา
เพลิกลุก, ฟืนเลี่ยงไร้ อย่าให้ใส่เติม
8 เมษายน 2546 12:03 น.
จิรัฐิติกาล
แหงนหน้ามองโลกด้วยรอยยิ้ม
ปิดทบเปลือกปริ่มตาด้วยรสฝัน
ดื่มด่ำอภิรมย์แสงนวลจันทร์
เพื่อกำนัลไร้เดียงสาในอารมณ์
แล้วลมหนาวพัดกระทบร่างย่ำค่ำ
ให้ชุ่มฉ่ำลำนำเพลงสุขสม
หอมเรณูละอองฟางได้ดอมดม
ร่วมร่วงลงจมนิมิต...ตำนานวัน
.......................
.......................
.......................
คลุ้งตลบครวญสนั่นครางคราบเลือด
ที่แห้งเหือดเดือดระเหิดด้วยโศกศัลย์
คือเนื้อกายปลิดกรีดใจจาบัลย์
จากวันสันต์แสงส่องจวบมืดฟ้า
ขาวดาวตกหม่นมิดไม่ได้เห็น
เหนื่อยลำเค็ญทนท้อสู้เพื่อภายหน้า
ไร้ปุยเมฆร่มเงาห่มกายา
และโดดเดี่ยวปะวายุกลางผืนดิน
หมองหมอง เทาหม่นฝุ่นฝ้าหนา
นมนานมาเจ้าดอกไม้กลางป่าหิน
กลีบเกสรหยาดน้ำตาให้กัดกิน
จนขาดวิ่นสงบเงียบด้วยทนทานต์
.......................
ผ่าวจะไหม้ลอยเป็นไอสู่ฟ้าสูง
เหลือคราบรอยในฝูงกลุ่ม หญ้า, อาจหาญ
ลู่ระโหยโรยตามลมเหลืองซีดจาง
ท่ามพื้นกาญจน์กรวดละเอียดเนียนฝ่ามือ
กลมเกลือกกลิ้งดิ้นทอประกายแดด
จะเผาแผดเงยประชันด้วยหยิ่งดื้อ
อ่อนแทบพองไม่หนีแหนงรับมือ
ให้ร่ำลือพนาวาทางเรียงราย
กล้าอาจองทะนงคงคุณค่า
ขอฟันฝ่าจนหมดกาลต้องจางหาย
สง่าเจ้าหยดน้ำค้างกลางทะเลทราย
ไม่วายไหลซึมลงดินให้ไม้โต
.......................
ศิวิไลซ์แล้งล้าไร้สันติ
จักพินาศปราศไอรักแดนมโหฬ-
ฬารประจักษ์ลงลึกในรากโคน
ไชชอนจึ่งโดนสันดานคน
หาแสงทองทอประกายจิตสำนึก
ที่จำตรึกตรึงทุกอณูขน
เนื้อเบาบางบริสุทธิ์แยบยล
คือผิวคนถูกครอบงำ - ความรุ่งเรือง
คราบรรพ์ถิ่นดำเนินด้วยปัญญา
ครารัมย์ราวูบวาบฟุ้งเฟื่อง
ปรารถนาเจ้าจิตวิญญาณกลางเมือง
ปรากฏเตือนประเทืองชนจิตวิไล
.......................
ยามกระแสธาราหยุดหลั่งไหล
ยามสุรีย์เลิกส่องแสงอีกต่อไป
เมื่อร่างกับใจไร้วิญญาณ !?!?
ฤๅเขลาขีดจำกัดความมนุษย์
ท้ายที่สุดคนนั้นขลาดตามคำขาน
ไร้ค่า - ทำลาย - ประจาน
บันทึกลงสันดานทรามชน
จะมีใครให้คำตอบกอปรความหวัง
ที่เฝ้าฝันเพ้อหาทุกแห่งหน
อยากเห็นหยดน้ำค้างในนามคน
ตระหง่านตรงกลางเมืองเหมือนดอกไม้
.......................
.......................
.......................
ผวาลุกตื่นตามองหน้า - หลัง
ความฝันฝังทิ้งทวนหวนคิดให้
เป็นความจริงค้นให้ถามตามใจ
(กลัวว่าไฟไหม้สังคมเป็นเถ้าผง !!)
8 เมษายน 2546 11:58 น.
จิรัฐิติกาล
ดาวกระจายแตกเสี่ยงละเลงฟ้า
ดาษเมฆาปุยละอองลอยเหินหาว
ราตรีนี้ดำเนินยั่งยืนยาว
ชีพชาวทุกข์ - ทุกข์ลามตามราตรี
อยากจะหลับให้ตาหลับ - หลับลาลับ
เหนื่อยหนุบหนับหนักหน่วงให้แหนงหนี
ตาเบิกโพลงโคลงบนเตียงเคียงธานี
ทุกนาทีต้องรับรู้ความเป็นไป
ดาวแตกเสี่ยงร่วงกราวลงจากฟ้า
ปุยเมฆาซาหายไร้แขไข
นภานี้ปราศแสงสีสิ่งอื่นใด
เหลือเพียงกายกับใจในความมืด
ใจแตกเสี่ยงตกตุบใต้ตาตุ่ม
แรงคนหนุ่มฝืดเฟืองดังคราดครืด
ไม่อยากรับรู้สรรพรส ขม, เผ็ด, จืด
จึงฝืนตาข่มกัดฟันหลับให้ลง
เสียงลมร้องโบกครวญผ่านรอยแยก
ฝ้าที่แตกรูที่รั่วตัวที่หลง
ฝนประปรอยโปรยลงอย่างบรรจง
ดังพรหมส่งน้ำฟ้าประโลมกลัว
ไฟที่แรงฤๅแดงสู้สุรีย์ส่อง
หิ่งห้อยผ่องยังแคลงแสงสลัว
ชีวิตต่อไหมทอ - เนียนัว
ใจกับตัวคิดกับทำกันกลับไกล