8 เมษายน 2546 12:03 น.

ฝันร้าย (สังคมด้านมืด)

จิรัฐิติกาล


แหงนหน้ามองโลกด้วยรอยยิ้ม
ปิดทบเปลือกปริ่มตาด้วยรสฝัน
ดื่มด่ำอภิรมย์แสงนวลจันทร์
เพื่อกำนัลไร้เดียงสาในอารมณ์

แล้วลมหนาวพัดกระทบร่างย่ำค่ำ
ให้ชุ่มฉ่ำลำนำเพลงสุขสม
หอมเรณูละอองฟางได้ดอมดม
ร่วมร่วงลงจมนิมิต...ตำนานวัน

.......................
.......................
.......................

คลุ้งตลบครวญสนั่นครางคราบเลือด
ที่แห้งเหือดเดือดระเหิดด้วยโศกศัลย์
คือเนื้อกายปลิดกรีดใจจาบัลย์
จากวันสันต์แสงส่องจวบมืดฟ้า

ขาวดาวตกหม่นมิดไม่ได้เห็น
เหนื่อยลำเค็ญทนท้อสู้เพื่อภายหน้า
ไร้ปุยเมฆร่มเงาห่มกายา
และโดดเดี่ยวปะวายุกลางผืนดิน

หมองหมอง เทาหม่นฝุ่นฝ้าหนา
นมนานมาเจ้าดอกไม้กลางป่าหิน
กลีบเกสรหยาดน้ำตาให้กัดกิน
จนขาดวิ่นสงบเงียบด้วยทนทานต์

.......................

ผ่าวจะไหม้ลอยเป็นไอสู่ฟ้าสูง
เหลือคราบรอยในฝูงกลุ่ม หญ้า, อาจหาญ
ลู่ระโหยโรยตามลมเหลืองซีดจาง
ท่ามพื้นกาญจน์กรวดละเอียดเนียนฝ่ามือ

กลมเกลือกกลิ้งดิ้นทอประกายแดด
จะเผาแผดเงยประชันด้วยหยิ่งดื้อ
อ่อนแทบพองไม่หนีแหนงรับมือ
ให้ร่ำลือพนาวาทางเรียงราย

กล้าอาจองทะนงคงคุณค่า
ขอฟันฝ่าจนหมดกาลต้องจางหาย
สง่าเจ้าหยดน้ำค้างกลางทะเลทราย
ไม่วายไหลซึมลงดินให้ไม้โต

.......................

ศิวิไลซ์แล้งล้าไร้สันติ
จักพินาศปราศไอรักแดนมโหฬ-
ฬารประจักษ์ลงลึกในรากโคน
ไชชอนจึ่งโดนสันดานคน

หาแสงทองทอประกายจิตสำนึก
ที่จำตรึกตรึงทุกอณูขน
เนื้อเบาบางบริสุทธิ์แยบยล
คือผิวคนถูกครอบงำ - ความรุ่งเรือง

คราบรรพ์ถิ่นดำเนินด้วยปัญญา
ครารัมย์ราวูบวาบฟุ้งเฟื่อง
ปรารถนาเจ้าจิตวิญญาณกลางเมือง
ปรากฏเตือนประเทืองชนจิตวิไล

.......................
ยามกระแสธาราหยุดหลั่งไหล
ยามสุรีย์เลิกส่องแสงอีกต่อไป
เมื่อร่างกับใจไร้วิญญาณ !?!?

ฤๅเขลาขีดจำกัดความมนุษย์
ท้ายที่สุดคนนั้นขลาดตามคำขาน
ไร้ค่า - ทำลาย - ประจาน
บันทึกลงสันดานทรามชน

จะมีใครให้คำตอบกอปรความหวัง
ที่เฝ้าฝันเพ้อหาทุกแห่งหน
อยากเห็นหยดน้ำค้างในนามคน
ตระหง่านตรงกลางเมืองเหมือนดอกไม้

.......................
.......................
.......................

ผวาลุกตื่นตามองหน้า - หลัง
ความฝันฝังทิ้งทวนหวนคิดให้
เป็นความจริงค้นให้ถามตามใจ
(กลัวว่าไฟไหม้สังคมเป็นเถ้าผง !!)				
8 เมษายน 2546 11:58 น.

ชั่วอารมณ์ (ของคนทุกข์)

จิรัฐิติกาล


ดาวกระจายแตกเสี่ยงละเลงฟ้า
ดาษเมฆาปุยละอองลอยเหินหาว
ราตรีนี้ดำเนินยั่งยืนยาว
ชีพชาวทุกข์ - ทุกข์ลามตามราตรี

อยากจะหลับให้ตาหลับ - หลับลาลับ
เหนื่อยหนุบหนับหนักหน่วงให้แหนงหนี
ตาเบิกโพลงโคลงบนเตียงเคียงธานี
ทุกนาทีต้องรับรู้ความเป็นไป

ดาวแตกเสี่ยงร่วงกราวลงจากฟ้า
ปุยเมฆาซาหายไร้แขไข
นภานี้ปราศแสงสีสิ่งอื่นใด
เหลือเพียงกายกับใจในความมืด

ใจแตกเสี่ยงตกตุบใต้ตาตุ่ม
แรงคนหนุ่มฝืดเฟืองดังคราดครืด
ไม่อยากรับรู้สรรพรส ขม, เผ็ด, จืด
จึงฝืนตาข่มกัดฟันหลับให้ลง

เสียงลมร้องโบกครวญผ่านรอยแยก
ฝ้าที่แตกรูที่รั่วตัวที่หลง
ฝนประปรอยโปรยลงอย่างบรรจง
ดังพรหมส่งน้ำฟ้าประโลมกลัว

ไฟที่แรงฤๅแดงสู้สุรีย์ส่อง
หิ่งห้อยผ่องยังแคลงแสงสลัว
ชีวิตต่อไหมทอ - เนียนัว
ใจกับตัวคิดกับทำกันกลับไกล				
24 มีนาคม 2546 17:01 น.

สังคม-คน-ความโง่

จิรัฐิติกาล

ฉัน...โง่กับความอยาก?
ชื่อเสียงศักดิ์-การยอมรับ-ความโดดเด่น
แม้ทิ้งทุกอย่างที่ฉันเป็น
สังเวยเซ่นตัณหา-ความต้องการ

และนี่นิยามโลกสับสน
ดี-เลวคละปนมีสืบสาน
อุดมการณ์-หน้าตา-การงาน
ต้านทาน-จับจด-เห็นแก่ตัว

ฉันต้องศึกษาอีกมากแยะ
คน-แพะ? ป้ายสีเปรอะสังคมชั่ว
ฝักใฝ่ผลประโยชน์หน้าตามัว
ปกปิดกลัวใครล้วงรู้ลึก!

แล้วมนุษย์ก็คือหุ่น
ลงทุนทำอย่างชาด้านความรู้สึก
ยอมเป็นทาสให้วัตถุคุมสำนึก
จุดเพลิงศึกฆ่าฟันแก่งแย่งกัน

...จนมีควายลุกทิ้งสายรั้งคาด
ประกาศขอทำตามความฝัน
อยากเป็นมนุษย์เพื่อฝ่าฟัน
ด้วยมั่นจะรังสรรค์ให้คุ้ม ค่าของคน

ท้ายสุดฉันอยากเป็นควาย
ให้รั้งสายปล่อยเลยไร้ใครสน
ดีกว่าเป็นมนุษย์ทุกข์ทน
ถามหา ค่าของคน ให้อายควาย!

กลางเมืองเรืองเจริญมีเพียงร่าง
ละวางคำ คุณค่า ปราศความหมาย
ตึกยิ่งสูงเสียดเคียงคู่-ทำลาย
กับความตายเสียดายชีพ-ใครใช้คุ้ม?				
24 มีนาคม 2546 16:43 น.

ปลง

จิรัฐิติกาล

เพียงอารมณ์ชั่วหวู้บ       ทายทัก
ให้ประจักษ์ถึงหลัก         ถ่องแท้
ต้องการ,อิจฉานัก          จึงทุกข์   หนักเฮย
จงรวบรวมสติแม้           มิได้ดังปอง

เขามีเรานั้นไป่               มีไม่
น้อย-มากจะเป็นไร         ปกติแล้ว
รูปสมบัติทรัพย์ไซร้        ของนอก  กายแฮ
บางสิ่งต้องมีแคล้ว-          คลาดบ้างธรรมดา

ใช่เขาเราทั้งหมด           สมบูรณ์แบบ
มีที่เสีย-ดีแทบ                ทุกถ้วน
อนิจจังติดแนบ               ชีวิต
สรรพทรัพย์ชีพล้วน        ดับสิ้นทุกราย

เกียรติยศเสียเสื่อมได้     เงินตรา
ลาภสรรเสริญนินทา         เพื่อนพ้อง
จักสูญห่างหายซา              บ ยั่ง ยืนเฮย
คงแต่ปัญญาข้อง               เกี่ยวได้ติดตัว

รวมพลังกล้ามั่น                บ่ หนีแหนง
ฟันฝ่าเลือดฉานแดง         ต่อสู้
มีวันสุขด้วยแรง                สมสั่ง ทำนา
ค่าไม่ด้อยด้วยความรู้        เป็นหยิ้งเหนือใด

เพียงอารมณ์ชั่วหวู้บ      ลอยลับ แล้วเอย
ด้วยประจักษ์คณานับ      ทราบข้า
ว่าเหนือกว่ามีทรัพย์        ไร้คิด ความนา
จักตระการแกล้วกล้า      อย่างหน้าภาคภูมิ				
24 มีนาคม 2546 16:34 น.

ให้ไว้เป็นกำลังใจ

จิรัฐิติกาล

ฟ้าว่าสูงกว่าสูง - จะเอื้อมคว้า
เมฆาลอยเคว้งมา - จะไปให้ถึง
มีพลัง, ความสำเร็จหวังคำนึง
แผ่ปีกดึงแรงทะยานฟ้า!

...ข้างหน้าคือเมฆหม่นดำพายุฝน
ปีกกร้านพอทานทนช่วยต้านถ้า-
ผ่านฝนฝึกรับศึกปรือวิชา
น้ำฟ้าหลั่งเพียงธาราไม่พรั่นเกรง

หมองหมอกลอยคอยบัง - อุปสรรค
เพียงพร่าลาย, หลังก้อนดำจักมีแสง
คล้ำนภาครึ้มหมอกหวาดระแวง
ปีกลู่แสดงสัญชาตญาณ - ความกลัว

แล้วแสงแหวกกลีบฟ้าว่าอย่าเขลา
แผ่วเบาอุ่น, เอื้อมโอบ, สลัว
แม้เปียกชุ่มผงาดได้ - แค่ไม่กลัว
สะบัดน้ำรู้ตัวไออุ่นยังตราตรึง...

ฟ้าว่าสูงกว่าสูง - จะเอื้อมคว้า
เมฆาลอยเคว้งมา - จะไปให้ถึง
มีพลัง, ความสำเร็จหวังคำนึง
แผ่ปีกดึงแรงทะยานฟ้า!

...เมื่อฉันกางปีกจะโผผิน
โบยบินมาสุนทรีย์บนเวหา
สีสุรีย์ส่องสว่างนำพา
สูงสง่าท้าทายลีลาตะวัน

ฟ้าว่าสูงกว่าสูง - จะเอื้อมคว้า
ปีกเรากล้ากร้านทนจงเชื่อมั่น
ทะยานไปให้สุดฟ้าด้วยพลัง
ไร้ความหลัง - ความกลัวที่คุ้นเคย...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟจิรัฐิติกาล
Lovings  จิรัฐิติกาล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟจิรัฐิติกาล
Lovings  จิรัฐิติกาล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟจิรัฐิติกาล
Lovings  จิรัฐิติกาล เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงจิรัฐิติกาล