14 สิงหาคม 2550 22:22 น.
จิตรำพัน
เรี่ยวแรงร่วงล้าเหลือไร้แรงหา
เสียงอุราผ่านแผ่วปลิวละลิ่ว
ร่างปวดร้าวรานรวดคล้ายปลิดปลิว
ใจหวิวหวิวระริกแผ่ววิญญาณ์
ลิ้มลองห่างพักกายให้หายเจ็บ
กายเกิดเก็บนิสัยงานโหมล่า
ยากแก่ใจปลดปล่อยพักกายา
ใจหวลหานิทราให้ผ่อนแรง
ถามดวงจิตกาลนานอีกไหมเล่า
ผันพักเราใจใส่ไม่เหี่ยวแห้ง
รักให้มากตัวเราเพิ่มเรี่ยวแรง
ใจไม่แล้งหล่อเลี้ยงอยู่อาจินต์
11 สิงหาคม 2550 21:25 น.
จิตรำพัน
อันความเหงาว้าเหว่ในจิตกล่อม
แม้มีเพื่อนห้อมล้อมยังหายไม่
แม้ท่ามกลางผู้คนมากแต่จิตใจ
ยังสั่นไหวหนาวสะท้านให้สั่นทรวง
ใจสะพรั่นสั่นลึกวิเวกหนัก
ใจไร้รักไร้ไออุ่นไร้รุ่มหน่วง
ในฤทัยหนาวเหน็บไร้คู่ควง
ไร้ผู้ล่วงรู้อารมณ์ที่ฝังใน
ในเมืองใหญ่มากมายเพื่อนรายล้อม
ทั้งผู้ยอมเอาใจไม่ไปไหน
แต่ยากหาเติมไออุ่นให้จิตใจ
อยากจะได้ผู้เข้าใจในฤดี
11 สิงหาคม 2550 00:53 น.
จิตรำพัน
สมมุติว่า ห้องกลอน ก่อเกิดรัก
ชายหญิงทัก ต้องจิต วจีหวาน
เรียงร้อยถ้อย สัมผัส กันเบิกบาน
ผ่านนานกาล หลงใหล สำนวนคม
สมมุติว่า มาวันหนึ่ง เอาล่ะนะ
คนนี้แหละ ตกลง ดังใจสม
ผูกสัมพันธ์ จริงจัง น่าดูชม
ไม่อาจล้ม เลิกรัก ขอแต่งงาน
สมมุติว่า เป็นครอบครัว ตัวน้อยน้อย
จะกล่าวถ้อย อย่างไร ให้สนาน
หรือทั้งสอง กล่าวเป็นกลอน ให้ชื่นบาน
เวลาขาน เรียกกัน ท่านกวี
สมมุติว่า พรอดรัก เสนาะจิต
รำพันคิด อยากรู้ ไม่อยากหนี
คงผูกกลอน พูดกัน ต้องฤดี
คงเป็นที่ รู้กัน เราสองคน
สมมุติว่า อยู่มานาน จนวันหนึ่ง
ปัญหาตึง รุมเร้า ให้สับสน
เรื่องมากมาย วุ่นวาย ทั้งสองจน
เครียดวกวน หงุดหงิด และพาลกัน
สมมุติว่า เวลา ที่หงุดหงิด
รำพันคิด อยากรู้ ไม่อยากฝัน
ว่าทะเลาะ เป็นบทกลอน หรือไงกัน
คงจะมันส์ คันพิลึก ในสำนวน
9 สิงหาคม 2550 23:27 น.
จิตรำพัน
ความรู้สึก นี้ยาก จะลบเลือน
มันคอยเตือน ย้ำเสมอ ไม่ให้ลืม
ว่าเวลา ที่ผันผ่าน ไม่อาจฟื้น
ปลุกให้ตื่น รับรู้ ความเป็นจริง
น่าแปลกจริง ว่าทำไม ใจไม่รับ
อยากจะกลับ อยากหยุด เวลานิ่ง
แต่อีกใจ อยากรับรู้ ความเป็นจริง
มันเป็นสิ่ง รับยาก แทบปวดใจ
แต่สุดท้าย จริงคือจริง ไม่อาจห้าม
ต้องเดินตาม หนทาง พิศมัย
ตามวิถี ทางตน มุ่งก้าวไกล
เมื่อฟ้าใส พบกัน ด้วยมั่นคง...
9 สิงหาคม 2550 22:46 น.
จิตรำพัน
อันศีลธรรม ห้าข้อ จากพระพุทธ
ขอชวนฉุด ใจแวะเวียน เพียรศึกษา
รู้เต็มจิต อย่าเพียง เอ่ยวาจา
รับรู้ว่า ข้อนี้ กล่าวอย่างไร
อันตัวเรา จิตรำพัน รับรู้บ้าง
ร่ำเรียนกว้าง อาจลืม ที่แจ่มใส
ทำไม่ได้ ครบทุกข้อ ขออภัย
แต่ว่าใจ ตั้งสัจจา สักข้อหนึ่ง
ศีลข้อแรก ปาณาฯ ยากแท้หนอ
คงต้องขอ ยกเว้น จากใจถึง
แค่นั่งอยู่ ก็ตบยุง ติดฝาตรึง
ยากจะถึง ความอดกลั่น เพราะรำคาญ
ทำกับข้าว ถึงไม่ฆ่า ก็เหมือนฆ่า
เพราะไปหา ซื้อมา อย่างสนาน
จะอดให้ มากที่สุด แล้วแต่กาล
ขอกราบกราน ยกเว้น สักข้อมา
อันข้อสอง อะทินนาฯ อาจพลั้งเผลอ
บางครั้งเจอ มะม่วงเปรี้ยว หยิบฉวยมา
ถึงแม้รู้ เขาไม่ว่า แต่วาจา
ไม่อาจหา อนุญาต เจ้าของมี
ข้อกาเมฯ เป็นสาม จำในจิต
แอบนิดนิด ยามเผลอ ใจแอบหนี
เพียงแค่คิด แฟนเขาแนบ เราคงดี
ก็เป็นที่ มโนจิต ผิดศีลธรรม
มาข้อสี่ มุสาฯ นี่ตัวหนัก
บางครั้งจัก เพิ่มสีสัน ให้ขำขัน
โม้นิดนิด เพื่อลูกศิษย์ นั้นประจำ
โอ้เวรกรรม ต้องชมคน ตรงข้ามใจ
ข้อสุดท้าย ข้อนี้ ใจหนักแน่น
ยึดเป็นแก่น ของจิต ไม่หวั่นไหว
ทำให้ได้ ใจเรา ชนะกาย
อย่าได้ใกล้ ให้เรานำ เข้าสู่กาย
ในบางบท บางกลอน ที่ได้เข้า
ด้วยตัวเรา บางครั้ง ข้อสี่หาย
โม้ไปบ้าง แต่งไปบ้าง เพิ่มลวดลาย
ขออย่าได้ เคืองโกรธ ขุ่นอุรา
ด้วยจิตภักดิ์ ทำให้ได้ สักหนึ่งข้อ
อีกสี่หนอ พยายาม ใจเสาะหา
ทางออกกาย ชนะได้ ชื่นอุรา
คงจะพา จิตเป็นสุข ในสักวัน