3 ธันวาคม 2546 15:49 น.
จอมยุทธเมรัย
๏ มองรูปพ่อมีเรื่องราวบอกเล่าพ่อ
ลูกเหนื่อยท้อแท้ทนคนกดขี่
ทั้งอดทนสู้งานมานานปี
เป็นคนดีอย่างพ่อหวังช่างยากเย็น
ลูกนั้นเกือบแพ้พ่ายมาหลายหน
ยอมอดทนทั้งปีมีใครเห็น ?
ยามท้อแท้สิ้นหวังตั้งประเด็น
หลายคนเด่นก้าวหน้าเพราะอะไร ?
บางครั้งจึงหลงตามข้อความนี้
คน ทำดีได้ดีมีที่ไหน
คน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
เป็นคำตอบที่คิดได้ในความคิด
แต่ลูกยังจดจำคำพ่อสอน
พ่อสะท้อนให้ลูกรู้ถูกผิด
ใช้วินัยเป็นทางสร้างชีวิต
ใช้ความดีพิชิตความชั่วช้า
ลูกจักยึดทางพ่อขอมุ่งมั่น
อุปสรรคไม่หวั่นขอฟันฝ่า
เป็นคนดีไม่ท้อต่อชะตา
พ่อหลับเถิดพ่อจ๋าอย่าอาวรณ์
แม้วันพ่อปีนี้ไม่มีพ่อ
แต่ลูกก็ยังจำคำพ่อสอน
ฝังลึกอยู่ภายในไม่คลายคลอน
กราบรูปพ่อสะอื้นอ้อนสะท้อนความ ๚ะ๛
จอมยุทธเมรัย ๓ ธันว์ ๔๖
4 สิงหาคม 2546 13:33 น.
จอมยุทธเมรัย
๏๏๏ แค่คิดถึง ๏๏๏
๏ คิดถึงเธอแค่ไหนคงไม่ผิด
เพราะฉันคงมีสิทธิ์แค่คิดถึง
อยากมีวันเวลาอันตราตรึง
ได้แค่หนึ่งความฝันเท่านั้นพอ
เป็นความฝันวันชื่นคืนสุขสม
ร่วมภิรมย์เคียงคู่สู่เรือนหอ
ฟังสวรรค์บรรเลงเพลงขับคลอ
จะภักดิ์ต่อหนึ่งนางไม่ห่างเลย
วัน...นอนพักตักอุ่นหนุนแทนหมอน
คอยออดอ้อนคำห่วงหาแก้วตาเอ๋ย
ค่ำ...กอดหาไออุ่นคนคุ้นเคย
เคียงเขนยจุมพิตก่อนนิทรา
ยามหัวใจมีรักใครจักถอน
แทบร้าวรอนโอ้เล่ห์เสน่หา
ภาพพิมพ์เธอคราพิศยังติดตา
ปรารถนาแห่งหัวใจไยเจาะจง
อยากลืมภาพเธอไปใจจะขาด
แต่ไม่อาจหักห้ามความลุ่มหลง
ได้แต่ปลอบตอบอ้างอย่างปลงปลง
ว่าจักลืมเธอลง...คงสักวัน
ฉันอยากถามเธอว่าเหนื่อยล้าไหม
ที่เธอแล่นอยู่ในหัวใจฉัน ?
แต่เป็นได้คงเพียงเสียงรำพัน
ด้วยรู้ดีเรานั้นห่างกันเกิน ๚
๔ กรกฎ ๔๖
31 กรกฎาคม 2546 16:20 น.
จอมยุทธเมรัย
๏ ๏ ๏ ในนามความคิดถึง ๏ ๏ ๏
๏ เพราะห่างไกลเกินวาจาจะสนอง
ด้วยใจปองจึงส่งใจไปเสนอ
จากดวงใจใครคนหนึ่งซึ่งรักเธอ
จึงพร่ำเพ้อเพลงฝากผ่านฟากฟ้า
เป็นเพลงหวานผ่านวอนสะท้อนหวน
เป็นเพลงครวญจากดินถวิลหา
เป็นเพลงแผ่วแว่วห่วงดวงดารา
เป็นเพลงรักปรารถนาแห่งอารมณ์
เป็นไฟรักร้องร่ำในสำนึก
ยามรู้สึกซับซ้อนเกินถอนข่ม
ทั้งร้อนแรงเย็นรื่นชวนชื่นชม
มาพร่างพรมใจหวามยามคำนึง
จึงฝากใจผ่าฟ้ามาเสนอ
ผ่านถึงเธอในนามความคิดถึง
เอ่ยคำรักวลีหวานอันซ่านตรึง
สื่อถึงใครคนหนึ่ง...นั้นรับรู้ ๚ะ
1 มกราคม 2546 22:20 น.
จอมยุทธเมรัย
ฉบงง ๑๖
๏ หลังฝนโปรยปรายระบายฝน............จากฟ้าเบื้องบน
เหลือเพียงละอองน้ำประปราย
แสงแดดแผดส่องผ่องสาย...............กระทบละอองพราย
เกิดแถบสีแต้มงามตา
ก่อเป็นโค้งคุ้งรุ้งฟ้า.........................เป็นลำเจิดจ้า
เป็นสายเจ็ดสีเรืองรอง
เรืองงามยามเมื่อตามอง...................ดั่งภาพจำลอง
จากปลายพู่กันจิตรกร
แต่งแต้มสีสันอรชร..........................อย่างเอื้ออาทร
แก่ด้าวแก่ดินบันดาล
เพื่อให้รื่นเริงสำราญ.......................จึงประดิษฐ์การ
หลังฝนจนฟ้าดูดี
สายรุ้งโค้งเห็นเด่นสี.........................พาดนิ่งดุษณี
อาบแต่งปรีตีแก่ตา
ใช่แค่ความสงบธรรมดา......................รอรุ้งเลือนลา
ก่อเกิดคำตอบแก่ใจ
เมื่อแสงแผดกล้าทอใส.....................ละอองน้ำหมดไป
รุ้งงามอย่างวาดจึงวาย
มีเกิดย่อมลับดับสลาย............................เกิดแก่เจ็บตาย
เป็นกฎเป็นเกณฑ์ตามกรรม ๚ะ๛
๑ มกราคม ๒๕๔๖
31 ธันวาคม 2545 23:25 น.
จอมยุทธเมรัย
๑
๏ กรุงเทพฯปูนป่าช้า.................แห่งคอน กรีตฤๅ
ตึกใหญ่สูงซอกซอน.................เสียดฟ้า
กิเลสยั่วมากมายหลอน..............หลอกล่อ
ธรรมะวอด,ไฟนรกกล้า..............เกลื่อนทั้งเมืองกรุง ๚
๒
๏ รุ่งเรืองไตรรัตน์พ้น.................ผ่านกาล
รินรสพระธรรมขาน...................ผ่านแล้ว
เจดีย์ระดะโอฬาร......................เหลือแต่ ชื่อแฮ
เห็นแต่ตึกกระจกแก้ว.................แก่นสร้างยุคสมัย ๚
๓
๏ สว่างไสวไฟประทีปแพร้ว.........เลอสวรรค์
ละลานพิศวิจิตรอนันต์................อเนกซ้อน
ระยิบระยับประดับประชัน............ยั่วกิเลส
ล้วนแต่ไฟราคร้อน.....................ร่วงห้วงอเวจี ๚
๔
๏ มโหรีปี่พาทย์คล้าย.................สลายดับ
เพลินกับเพลงร็อคขับ.................ขยับเต้น
ล่วงปีล่วงยุคกลับ......................กลายอื่น
สิ่งใหม่ให้เลือกเฟ้น.....................หลากล้วนบ่วงมาร ๚
๕
๏ ลุผ่านศักราชแม้น...................มะแมศก
ฤๅจะหยุดไฟนรก.......................นิราศพ้น
ตราบธรรมยิ่งระหก....................ระเหินจาก
ยากจะหยุดเสาะค้น....................คิดล้างไฟกลี ๚ะ๛