31 พฤษภาคม 2548 18:27 น.
ค้างคาวคืนคอน
เสียงดัง เอี๊ยดดดดด.............ยาวสงบลง พร้อมกับมีการส่งเสียงถามกันให้จ้าละหวั่น "เกิดอะไรขึ้นหรือครับ" "ใครเป็นอะไรบ้าง"
เสียงตอบมาใกล้ๆรับฟังได้ว่า "เปล่าครับพี่ไม่มีอะไร พอดีไม่ขาดไม่เกินบังเอิญมีรถคันหลัง สงสัยเกิดอาการเสียวที่เท้านะครับ พอขับ
มาถึงตรงนี้ พี่แกคงจะทนไม่ได้นะครับ เหยียบเบรคกระทันหัน โดยลืมไปว่าขับรถมาด้วยความเร็วไม่บันยะบันยัง เลยทำให้เกิดเสียงดัง
จากยางรถยนต์บ่นกับพื้นถนนเล็กๆน้อยๆ อย่างที่พี่ได้ยิน เป็นเสียงที่ผมคุ้นหูแล้วครับ"
หลังจากเหตุการณ์สงบไม่มีอะไรเสียหาย หนุ่มใต้ที่ได้ชื่อว่านั่งรถไฟฟ้าเป็นประจำ ถึงจะอยู่ไกลจากเมืองหลวงที่เขาว่ารถติดมากที่สุด
ในประเทศ ซึ่งผมยังสงสัยอยู่ว่าถ้ารถมันไม่ติดจะเอามาวิ่งบนถนนทำไม จอดอยู่บ้านเฉยๆดีกว่า อาศัยอยู่บ้านพักใต้ฟ้าบนดินริมน้ำ
ตอนค่ำๆทานน้ำเปล่ากับแก้วเก่าๆใบสวยเป็นประจำ ก็หอบสัมภาระมารอพรรคพวก ซึ่งเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในความคิดของผมที่
สถานีเอกมัย (ไม่รู้ผมเรียกถูกหรือเปล่าเพราะเพิ่งมาครั้งแรก)
เป็นเวลานานมากสำหรับการรอ...รอที่จะพบกับคนรู้จัก และพบคนที่แปลกหน้าที่ผมไม่รู้จักแต่ไม่นานคงได้รู้จัก บุรุษหนึ่งที่ผมเห็น
ใส่หมวกเขาเรียกว่าหมวกอะไรผมก็จำไม่ได้ซะแล้ว เพราะหน่วยความจำเริ่มไม่สมบูรณ์ เอาเป็นว่าเขาใส่หมวกก็แล้วกัน ในมือถือกีต้าร์
เกิดอาการสะดุดตา ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะเรียกว่า..ปิ๊งๆๆ เข้าเต็มตา ...เหมือนพี่อู๋ ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ฯจังเลย ถ้าจะเอ่ยชื่อเพลงที่เขาร้อง
ไว้มีหลายเพลงอยู่ ....แต่อัลบั้มคุ้นหู คือ พายุธรรพ์ณธร นั้นเอง เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆเพื่อนมากหน้าหลายตาก็เข้ามารวมตัวกัน
เป็นกลุ่มเป็นก้อน เสียงทักทายเริ่มขึ้นมีทั้งจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะอาการเบลอๆของผม
เวลาประมาณ 08.10 น.รถโดยสารหนึ่งประตู หลายหน้าต่าง ก็ค่อยเยื้องย่างออกจากสถานีเอกมัย มุ่งหน้าไปทางทิศไหนก็ไม่รู้ พอดี
เข็มทิศของความทรงจำเกิดเสีย เพราะเพลียจากการเดินทาง แถมระหว่างการเดินทางแทบไม่ได้หลับ เพราะคนนั่งข้างๆที่นั่งคู่กันมา
เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่จากบ้านส้อง(อำเภอเวียงสระ อำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี) ไม่แน่ใจว่าจะเพี้ยนมาจากบ้านซ่อง
หรือเปล่า เลยกลายมาเป็น...บ้านส้อง...อย่างทุกวันนี้ เขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง(ผมรู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่) รู้แต่ว่ารถโดยสารคันนั้น ออกจาก
ชานชาลาที่ 26 มุ่งสู่ทิศตะวันออก....จุดมุ่งหมายคือ...ซีกหนึ่งของจังหวัดระยอง
โชคดีครับที่เก้าอี้ที่ผมได้นั่งนั้นเป็นเก้าอี้ซีกด้านขวา เป็นที่นั่งข้างกับบุรุษหนึ่งผู้นั้น ผู้ที่ภายหลังรู้ว่าเป้าหมายที่ไป คือจุดหมายที่เดียว
กัน ผมอยากจะชวนพูดและคุยด้วยมากๆเลยครับ(ทำความรู้จักไง) แต่อย่างว่าแหละครับ ต่างคนต่างก็เดินทางมาคงเกิดอาการเพลียไม่ใช่
น้อย โดยเฉพาะผมง่วงนอนมากๆ
อีกซีกหนึ่งด้านซ้ายมากมายไปด้วยกลุ่มหญิงสาวหน้าตาไม่ค่อยคุ้น แต่เมื่อเห็นแล้วทุกคนสวยมากครับ แต่สวยไปคนละแบบ บ้างก็
พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็เผลอเป็นหลับ ขยับเป็นเหนื่อย เมื่อยจากการกิน เห็นแล้วเพลิดเพลินดีครับ จุดหมายแรกที่ไปคือห้าง
โลตัสฯสาขาอะไร ผมจำไม่ได้อีกนั่นแหละครับ เอาเป็นว่าเป็นห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส ที่ผมได้ยินชัดๆว่า "ราคา ประหยัด ทุกวัน"
ก็แล้วกัน
ระหว่างการเดินทางจากสถานีเอกมัยใกล้จะถึงห้างโลตัส จุดหมายแรกที่พรรคของเรานัดกันไว้ ได้ยินเสียงบุรุษที่นอนหลับสบายๆ
อยู่ข้างๆผม ค่อยๆสะดุ้งและผุดเสียงที่ดังฟังชัดเอามากๆว่า...........เฮ้ยยยยยยยยยยย.........เท่านั้นเองแหละครับ รถโดยสารคันนี้ก็เบรคทันที
ข้างนอกรถคงได้ยินเสียงดัง........เอี๊ยดดดดด............แบบกระทันหันสุดตัวจนโก่ง ถ้าไม่ติดว่าที่นั่งเป็นเบาะอันนุ่มนิ่ม(ผมใช้ยังไม่เป็นเลย)
มีหวังหัวคะมำ ถลำ และอาจจะถลาไปหาเบาะข้างหน้า ไปหาคนที่อยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับ แค่รถเบรคติดไฟแดงพอดิบพอดี ไม่สุกมากจนเกินไป อีกอย่างเป็นวันเสาร์แล้วด้วย สำหรับเสียงที่ดังนั้น
มันเป็นเสียงละเมอครับ ละเมอจริงๆ นี่ผมยังคิดอยู่เลยนะครับว่า ถ้าเกิดว่าคนนั่งข้างๆผมเป็นผู้หญิงแทนที่จะเป็นผู้ชายบุรุษหนุ่มคนนี้
........ผีละเมอ......คงทำให้ตัวผมเองทำตัวไม่ถูก แต่ที่ถูกต้องและถูกเต็มๆคือสายตาหลายคู่ที่มองมาทางผม เขาคงจะคิดไปในทางไม่ดี
ผมไปทำอะไรเขาหรือเปล่า
ระวังนะครับถ้าท่านเดินทางไปไหนด้วยรถโดยสารประจำทาง ไม่ว่าจะปรับอากาศชั้นดีหรือไม่ดี มีแอร์หรือไม่มี จะกี่ประตูหรือหลาย
หน้าต่าง ระวังคนข้างๆเอาไว้นะครับ ถ้าคุณเดินทางไปหรือกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ถือว่ามีบุญแล้วครับ ที่ไม่พบกับ ......ผีละเมอ.....
เป็นเวลาไม่นานมากสำหรับการที่มาพบเจอกัน ณ สวนวังแก้ว รีสอร์ท...ทั้งที่ได้พบกับคนที่รู้จักแล้ว และพบกับคนที่แปลกหน้า ทั้งที่
ผมเองก็เป็นคนหน้าแปลกๆที่มาได้รู้จักกัน มันเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับความสุขที่ได้รับ บุรุษหนึ่งที่ผมเห็นใส่หมวกอะไร
ผมก็จำไม่ได้ซะแล้ว ที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้จัก ในมือถือกีต้าร์ ที่ทำให้ผมเกิดอาการสะดุดตา ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะเรียกว่า...ปิ๊งๆๆ เข้าเต็มใจ
....เหมือนพี่อู๋ ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ฯจังเลย ถ้าจะเอ่ยชื่อเพลงที่เขาร้องในตอนนี้ ต้องถามคนที่นั่งฟังกันหน้าสลอนอยู่ข้างๆ ตลอดของการ
เฮฮา ปาร์ตี้ยามค่ำคืนใต้แสงจันทร์ ในวันเต็มดวง(อยู่ในช่วงวันวิสาขบูชา)ว่าเพลงนั้นชื่ออะไร ผมเองก็จำไม่ไหวเพราะมีหลายเพลงอยู่
ที่เขาร้องให้ฟังล้วนเป็นเพลงที่ไพเราะเข้ากับเสียงเพราะๆของเส้นสายของกีต้าร์ที่เขาเล่น ....แต่ที่คุ้นหูคือ เสียงละเมอตอนอยู่บนรถโดย
สารเบาะปรับเอนนอนที่ผมจำได้ไม่ลืม........เฮ้ยยยยยยยยยย.... แล้วก็มีเสียงบอกเบาๆเป็นคำพูดจากปากเขาว่า .......พี่ครับผมละเมอ......
ระวังนะครับถ้าท่านเดินทางไปไหนด้วยรถโดยสารประจำทาง ไม่ว่าจะปรับอากาศชั้นดีหรือไม่ดี จะกี่ประตูหรือหลายหน้าต่าง
ระวังคนข้างๆเอาไว้นะครับ ถ้าคุณเดินทางไปหรือกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ถือว่ามีบุญแล้วครับ ที่ไม่พบกับ ......ผีละเมอ.....
24 พฤษภาคม 2548 23:29 น.
ค้างคาวคืนคอน
เบื้องหน้า เป็นภาพทะเลที่กว้างใหญ่ เสียงที่ได้ยินใกล้ๆ คือเสียงของคลื่นที่ซัดกระทบกับผืนทราย
เบื้องหลัง คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ครั้งล่าสุดเป็นการรอ รอที่อยากมาเห็นภาพเบื้องหน้า
...ชายคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาไม่ค่อยดี จำเป็นที่ต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อจะได้เติมความสนใจของคนรอบข้างได้ กำลังเดินลงไปในทะเลที่กว้างใหญ่ ท่ามกลางระลอกคลื่นที่ซัดฝ่าเข้ามาหาฝั่ง ทันใดนั้นเขาก็กระโจนข้ามคลื่นลูกใหญ่
ที่กำลังซัดเข้ามาหาฝั่ง แล้วร่างของเขาก็หายไปพร้อมกับระลอกคลื่นที่เบาลงเมื่อมันซัดเข้ามาหาฝั่ง ไม่กี่อึดใจร่างของเขาก็โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำทะเลที่ไม่ถึงกับเค็มนัก แต่ก็ไม่จืดเกินไป
เบื้องหน้า คือแพยางสีน้ำเงินไม่ใหญ่นัก ที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมสี่คน กำลังนอนตากแดดบนแพยาง โดยมีคลื่นจากทะเล คอยกล่อมเห่ลอยขึ้นลงตามระลอกคลื่น ที่หนักบ้างเบาบ้างอย่างเพลิดเพลิน
เบื้องหลัง คือฝั่งที่มีแรงของระลอกคลื่น ที่คอยซัดเข้าหาระลอกแล้วระลอกอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแรงแห่งความคิดถึง หรือเป็นแรงแห่งความคิดร้าย
...ชายคนนั้นพยายามคอยดันไม่ให้แพยางสีน้ำเงินนั้นเคลื่อนที่เข้าหาฝั่ง โดยเกาะอยู่ข้างแพยางคอยดันและคอยเข็น สู้กับระลอกคลื่นที่แรงบ้างเบาบ้าง อย่างนั้นตลอด เพื่อให้ชีวิตเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมสี่คน อยู่รอดจากการถูกคลื่นซัด
ไม่ต้องกินน้ำทะเลโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องแสบตาเพราะน้ำทะเลที่โผเข้ามาอย่างตั้งใจ
โดยที่หารู้ไม่ว่า ขณะที่เขาเกาะแพยางอยู่นั้น ภาพเก่าๆที่ผ่านมา ค่อยๆชัดขึ้นๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ มันคือสิ่งที่ไม่มีรูป มันคือสิ่งที่ไม่มีกลิ่น สุดท้ายมันคือสิ่งที่ไม่มีเสียง แต่มันเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยได้สัมผัส เป็นสิ่งที่หัวใจเพรียกหา
...หากเธอคนนั้นอยู่บนแพยางอย่างตอนนี้
...หากเธอคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆอย่างตอนนี้
...หากเธอคนนั้นมาคอยพูดคุย หรือคอยส่งเสียงยามถูกระลอกคลื่นซัดเข้ามาอย่างตอนนี้
ชายคนที่กำลังเกาะแพยาง คงจะมีความสุขไม่น้อย ขณะกำลังเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามสิ่งที่หัวใจเพรียกหา มีเสียงเรียกมาจากเพื่อนที่อยู่บนแพยาง
...พี่เข็นแพ...พี่เข็นแพ...พี่เข็นแพ...
แล้วเขาคนนั้นก็กลายเป็น พี่เข็นแพ เข็นแพยางสีน้ำเงิน เพื่อต่อสู้กับลูกคลื่นที่โถมเข้ามาอย่างหนักและแรง ผลที่ได้รับ เพื่อนบางคนหล่นลงจากแพยาง เพื่อนบ้างคนแสบตาด้วยน้ำทะเลเข้าตา เพื่อนบางคนกินน้ำทะเลเข้าไป ส่วนคนที่ยังอยู่บนแพยางก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจ แต่ทุกคนดูมีความสุขเพราะด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ตามมาเมื่อตั้งหลักได้ และเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดของการเล่นน้ำทะเล
โดยหารู้ไม่ว่า....ชายคนที่กำลังเข็นแพยางสีน้ำเงินสู้กับคลื่นที่ซัดมาอย่างแรงนั้น กำลังไล่ผี... ผีซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีรูป เป็นสิ่งที่ไม่มีกลิ่น เป็นสิ่งที่ไม่มีเสียงคอยตามหลอนหัวใจอันอ่อนไหวแถมอ่อนแอของเขา เมื่อมาเจอสภาพที่เคยคุ้นเคย
...ไม่อยากให้เธอคนนั้นอยู่บนแพยางอย่างตอนนี้
...ไม่อยากให้เธอคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆอย่างตอนนี้
...ไม่อยากได้ยินเสียงที่คอยฉอเลาะของเธอคนนั้นอย่างตอนนี้
อยากให้ผีตนนั้นเข็นแพออกไป...เข็นออกไปให้พ้นฝั่งหัวใจ เข็นออกไปสู่ทะเลใจที่ครั้งหนึ่งเคยสุข เข็นออกไปแล้วไม่ต้องกลับมา เมื่อมาเจอสภาพที่เคยคุ้นเคย
เบื้องหน้า คือถนนที่พาเขากลับไปสู่ความจริง
เบื้องหลัง คือสิ่งที่ทิ้งไว้ในความทรงจำ ว่าครั้งหนึ่งของเขาคนนั้น เคยมาเล่นน้ำทะเลอันกว้างใหญ่ แต่ออกไปไกลได้ไม่มาก
...อยากบอกว่า...
อยากกลับมาที่ทะเลใจแห่งนี้ มาดูผีตนนั้นยังเข็นแพอยู่หรือไม่
อยากกลับมาที่ทะเลใจแห่งนี้ มาฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งและฟังเสียงของคนที่เริ่มรู้จัก
อยากกลับมามาที่ทะเลใจแห่งนี้ ว่าจะมีใครหรือเปล่าที่คิดถึงเขาคนนั้น คนที่เข็นแพ...