31 ตุลาคม 2545 09:56 น.
คุซาโนะคุง
ฉันได้พบเด็กชายที่แลดูธรรมดาคนหนึ่ง ประเภทที่เขาอาจแหย่คุณและคุณก็แหย่เขากลับกลั่นแกล้งกันไปมา พูดง่ายๆ ว่าตอนพบกันครั้งแรกนั้นเรารู้สึกดีต่อกัน แล้วพอได้มาเจอกันอีกก็แหย่กันเล่นตรงบริเวณรั้วและที่นั่นก็กลายเป็นที่ที่เราพบกันและเล่นด้วยกันเสมอมา ฉันน่าจะเล่าความลับของฉันทั้งหมดให้เขาฟังได้นะ เขาเป็นคนเงียบ ๆ คอยแต่นิ่งฟังเวลาที่ฉันเล่าโน่นนี่ เป็นคนที่ฉันสามารถคุยด้วยได้ทุก ๆ เรื่องตอนอยู่ในโรงเรียนเราอยู่คนละกลุ่ม แต่พอกลับบ้านเราก็จะคุยกันถึงเรื่องราวในโรงเรียน .....วันหนึ่งฉันบอกเขาว่า เด็กผู้ชายที่ฉันชอบคนหนึ่งหักอกฉันเขาปลอบว่าไม่เป็นไรหรอกสักพักมันจะดีไปเอง ฉันเลยสบายใจขึ้น และยิ่งทำให้นึกว่า เขาเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งของฉัน นั่นเป็นความรู้สึกในตอนนั้นของฉันจริง ๆ .....เราเรียนด้วยกันเรื่อยมาจากมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย คบหากันมาโดยตลอด แม้ฉันจะคิดเสมอว่า เราเป็นแค่เพื่อน แต่ลึก ๆ แล้ว...ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ ในคืนวันสำเร็จการศึกษาเราต่างมีคู่นัดไปนั่งฟังเพลงกัน แต่ฉันก็ยังอยากจะพบเขาอยู่ดี เมื่อทุกคนกลับบ้านกันหมด ฉันแวะไปหาเขาเพื่อจะบอกว่าฉันอยากจะขอพบเธอ อือ ...นั่นดูเหมือนจะเป็นโอกาสทองของฉันทีเดียว แต่ที่สุดแล้วเราแค่นั่งดูดาว ผลัดกันเล่าแผนการชีวิตของกันและกัน...ฉันจ้องตาเขาขณะฟังเขาเล่าว่า เขาอยากแต่งงานและวางหลักปักฐาน ทั้งยังคุยถึงวิถีทางที่ จะทำให้ตัวเองร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมีฉันนั่งคุดคู้อยู่ข้าง ๆ เขา คืนนั้นฉันกลับบ้านพร้อมความรู้สึกอันปวดร้าว ด้วยเหตุที่ฉันไม่ได้พูดออกไปดังใจปรารถนา ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจฉันเจ็บปวด สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันอยากจะบอกเล่าให้เขาฟังใจจะขาด แต่ทุกครั้งจะต้องมีใครสักคน อยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ หลังจากนั้นเขาก็ได้งานทำในนิวยอร์ก แน่นอนฉันยินดีกับอนาคตอันสดใสนั้น แต่ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเช่นเดิม ขณะที่เขากำลังจากไป ฉันกอดเขาแล้วร้องไห้ คิดว่านั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะมีเขาอยู่เคียงข้าง คืนนั้นฉันร้องไห้จนตาบวม และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อนึกถึงว่า ที่สุดแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง ฉันเริ่มต้นด้วยงานเลขาฯ แล้วย้ายสายงานมาเป็นนักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
วันหนึ่ง ฉันก็ได้รับการ์ดแต่งงานใบหนึ่งทางไปรษณีย์มาจากเขานั่นเอง ใจหนึ่งฉันก็ยินดีกับเขา แต่อีกใจก็ยะเยียบเศร้า ได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองว่า ฉันไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว อย่างมากที่สุดเราก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน งานแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างอลังการทีเดียว ณ โบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ขณะที่งานเลี้ยงจัดในโรงแรม ฉันได้พบจ้าสาว และแน่ละได้พบเขาด้วยแล้วฉันก็ตกหลุมรักเขาอีกครั้งหนึ่ง ฉันเก็บความลับนี้ไวกับตัวเอง ...ไม่อยากให้มันไปทำลายวันอันเป็นมงคลของเขา คืนนั้นฉันพยายามทำตัวให้สนุก แต่กลับกลายเป็นว่าฉันกำลังฆ่าตัวเอง ด้วยการเผชิญหน้ากับคนที่กำลังดูมีความสุขมากอย่างเขา ฉันจึงจำเป็นต้องพยายามฝืนยิ้ม และทำตัวให้มีความสุขเพื่อกลบเกลื่อนหยาดน้ำตาที่ซุกซ่อนไว้ในใจ เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันพยายามลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก มันถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องเดินไปตามวิถีทางของฉันเองบ้าง ตลอดหลายปีมานี้เรายังคงติดต่อกันทางจดหมาย เขาย้ำเสมอว่าคิดถึงฉันมาก อยากจะมีโอกาสได้คุยกับฉันอีก ...และแล้วเขาก็เงียบหายไปหลังจากที่ฉันเขียนไปหาเขา 6 ฉบับฉันเริ่มกังวลว่าอาจจะมีเรื่องร้าย ๆ อะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้รับโน้ตสั้นๆบอกว่า "ขอให้มาพบผมตรงรั้ว ณ ที่เดิมที่เราเคยเล่าอะไรต่ออะไรให้กันฟัง" ฉันไปตามนัดและพบเขาอยู่ที่นั่นจริง ๆ เขากำลังอกหักและดูโศกเศร้ามาก เรากอดกันแน่นและหายใจแทบไม่ออก และเขาก็เล่าเรื่องการหย่าร้างให้ฉันฟังทั้งน้ำตา เขาร้องไห้...ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา ...ในที่สุด เราก็เดินเข้าไปในบ้านคุยกันและหัวเราะ เมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเก็บความลับนั้นไว้ ไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟังหลายวันที่อยู่ด้วยกัน ทำให้เขากลับมามีความสุข และลืมปัญหาการหย่าร้าง ขณะที่ฉันได้ตกหลุมรักเขาอีกครั้ง เมื่อถึงวันที่เขาต้องกลับไปนิวยอร์ก ..ฉันต้องไปส่งเขาด้วยน้ำตา ไม่อยากห็นภาพเขาเดินจากไป แม้เขาสัญญาว่าจะบินมาหาฉันทุกเมื่อ ที่ฉันสามารถลางานได้ แต่ฉันไม่สามารถรอเขาได้อีกต่อไป โดยส่วนลึกในหัวใจแล้วเราต่างมีความสุขเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน
วันหนึ่งเขาก็ไม่ได้กลับมาอย่างที่เขาเคยสัญญาไว้ ฉันได้แต่คิดว่า คงเป็นเพราะเขางานยุ่งเกินกว่าที่จะปลีกตัวมาได้ มันผ่านไปจากวันนั้นเป็นเดือนจนลืมเรื่องนี้ไป และแล้วทนายความจากนิวยอร์ก ก็แจ้งข่าวร้ายนี้ให้ฉันทางโทรศัพท์ ...เขาเพิ่งเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันเข้าใจทันทีถึงความรู้สึกของคนหัวใจสลาย เพิ่งรู้ว่าทำไมเขาไม่มาหาฉันในวันนั้น นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอกหัก
คืนนั้นฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับคนดี ๆ อย่างเขา ฉันเดินทางไปนิวยอร์กอีกครั้ง เพื่อร่วมรับฟังการเปิดพินัยกรรม แน่นอนที่สุดสมบัติต่าง ๆ เขามอบให้กับครอบครัวและอดีตภรรยา ฉันได้พบภรรยาเขาอีก เธอเล่าถึงความเป็นอยู่ของเขาให้ฉันฟัง และยังบอกว่าเขาได้ทำอะไรให้เธอบ้าง แต่กลับสัมผัสได้ว่าเขาไม่มีความสุขเลย แม้ว่าเธอพยายามเอาอกเอาใจต่าง ๆ นานาแล้วก็ตามแต่ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขอย่างคืนวันแต่งงานได้เลย ในพินัยกรรมระบุว่า ฉันจะได้รับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเขา ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า ทำไมเขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น เมื่อเสร็จธุระฉันจึงบินกลับไปยังแคลิฟอร์เนีย ระหว่างเดินทางฉันหวนระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ของเรา ...และเปิดสมุดบันทึกออกอ่าน
สมุดบันทึกนั้นเริ่มบันทึกขึ้นจากวันแรกที่เราได้พบกัน อ่านไปชั่วขณะหนึ่งฉันเริ่มร้องไห้ เมื่อพบข้อความว่าเขาได้ตกหลุมรักฉันในวันที่ฉันถูกหักอก แต่เขาก็ขลาดเกินไป ที่จะบอกฉันว่าเขารู้สึกอย่างไร นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมวันนั้น.... เขาจึงนิ่งเงียบและคอยแต่จะเป็นผู้ฟัง จากบันทึกทำให้ฉันรู้ว่า เขาพยายามจะบอกฉันหลายครั้งแต่เขาก็ไม่มีความกล้าหาญพอ เวลาที่เขารู้สึกดีใจที่สุด จึงเป็นโอกาสที่เขาได้พบฉันและเต้นรำด้วยกันในวันแต่งงาน ซึ่งเขาพยายามจินตนาการว่า นั่นเป็นงานวิวาห์ของเรา นี่ละสาเหตุที่ทำให้เขาไม่มีความสุข จนกระทั่งเขาได้หย่าขาดจากภรรยา ...ส่วนเวลาที่มีความสุข กลับเป็นวินาทีที่เขากำลังอ่านจดหมายของฉัน ในที่สุดสมุดบันทึกก็จบลงด้วยข้อความว่า "แล้วก็มาถึงวันนี้ ...วันนี้แล้วที่ผมจะได้บอกรักเธอ ... " แต่มันกลับเป็นวันที่เขาต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ .....วันที่ฉันเพิ่งมาค้นพบว่า เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉันตลอดมา.....
7 กันยายน 2545 14:03 น.
คุซาโนะคุง
ผม บอมและกบ ซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่ ม.ต้นได้มาอยู่ห้องเดียวกันในชั้น ม.4 คงเป็น เหตุการณ์นั้นที่ทำให้พวกเราได้รู้จักกับนุ่น นี่เธอๆ ยืมของเราก็ได้นะ บอมพูดพร้อมกับยื่นดินสอ 2b ให้ 1 แท่ง เธอก็รับไปพร้อมด้วยรอยยิ้มและเหล็กดัดฟันกลับมา รอยยิ้มที่เราได้เห็นทำให้พวกผมนึกไปถึงรอยยิ้มของน้องสาวตัวเล็กๆน่ารักคนหนึ่ง หลังจากหมดชั่งโมงศิลปะ พวกผมอาสาพาเธอไปกินข้าวที่โรงอาหาร และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพวกผม พร้อมกับความแปลกใจของหลายๆคนที่เห็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มของเด็กผู้ชายที่กำลังคุยกันเสียงดังด้วยคำสบถต่างๆ ซึ่งเป็นคำธรรมดาในความคิดของเด็กผู้ชาย
จากวันเป็นเดือน......จากเดือนเป็นปี...เมื่อเพื่อนคบกันมานานก็ย่อมรู้ใจกัน และเริ่มรับรู้บางอย่างในวันที่นุ่นตัดผมสั้นมาใหม่ เฮ้ยนี่แกอะไรเข้าฝันวะ ผมพูด อี๋ ทรงเก่าดีกว่าแยะเลย กบพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะจากทุกคน แต่เราว่าน่ารักดีนะ บอมพูด คำๆนี้ของบอมทำให้หน้าขาวๆของนุ่นแดงขึ้นมา ตั้งแต่เราเริ่มสังเกตุจากวันนั้น เราก็รู้ว่าคำพูดของบอมมีอิทธิพลกับนุ่นมาก และรู้ว่านุ่นต้องแอบปลื้มบอมไม่มากก็น้อย แต่ไม่เคยมีคำว่ารักคำใดเกิดขึ้นในกลุ่มเพื่อน
ณ โต๊ะประจำกลุ่มของเรา ขนมมาแล้วจ๊ะ เสียงใสๆของนุ่นที่มาพร้อมกับขนมหลายถุงที่ถือเดินคู่มากับบอม (การซื้อขนมเบื้องของนุ่น มักเป็นกิจวัตรประจำ พวกเราเคยปฎิเสธเพราะพวกผมยังไม่รู้ว่านั่นมาจากเงินเล็กน้อยของคุณหนูนุ่นนั่นเอง) ขณะที่กินขนมอยู่นั้น นุ่นถามถึงอาชีพในอนาคตของทุกคน ผม กับ กบ ยังไม่ได้คิดอะไร ถ้าเอ็นติดอะไรก็เรียนไป ความฝันของบอมคือ เข้าเรียนเศรษฐศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ และเป็นนักวิเคราะห์การเงินเหมือนพ่อของเขา ความฝันของนุ่นที่ต้องการเป็นนักสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กไม่ทำให้พวกผมแปลกใจเลย เพราะการชอบช่วยเหลือผู้อื่น และมองโลกในแง่ดีเป็นนิสัยของเธอ สิ่งที่เรารู้กันเลยก็คือนุ่นต้องอยากเรียนสังคมสงเคราะห์ที่ธรรมศาสตร์แน่นอน เมื่อนุ่นพูดจบบอมก็หยิบสมุดจดศัพย์ภาษาอังกฤษของนุ่นที่วางอยู่มาเปิดไปหน้าสุดท้ายของสมุดแล้วเขียนว่า...เราสองคนจะต้องเป็นลูกแม่โดมให้ได้นะ... ลงชื่อ....บอม ... สิ่งที่เราเห็นต่อมาคือรอยยิ้มของนุ่นพร้อมกับหน้าแดงนาน 2-3นาที ยิ้มน่ารักมากกว่าสิ่งใดๆ............
วันแรกของ ม.6 ไม่มีอะไรมากนอกจากการฉลองที่นุ่นได้อนุญาติให้ ไป-กลับ โรงเรียนเองเหมือนนักเรียนทั่วไป ซึ่งเป็นสิ่งที่นุ่นต้องการมาตลอด 4-5 ปีที่แม่คอยรับคอยส่ง วันนี้ผมได้เห็นอาการดีใจของคนที่ได้รับสิ่งที่ผมเรียกมันว่า.... อิสรภาพ......... ชีวิตของนักเรียน ม.6 หลายๆคนคงไม่พ้นการเรียนพิเศษต่อตั้งแต่ 5 โมง - 2 ทุ่ม แต่การที่ได้เรียนกับเพื่อนรักของผมทำให้ผมไม่เคยคิดเหนื่อยหรือท้อแท้เลย
โต๊ะ 4 ตัวหลังสุดเป็นที่รู้กันว่าเป็นโต๊ะของกลุ่มผม ขณะที่พวกเรากำลังนั่งคุยรออาจารย์อยู่นั้น บอมได้ชี้ไปที่นักเรียนหญิงใส่ชุด uniform แขนยาว หน้าตาสวยมากคนหนึ่งพร้อมพูดว่า นี่ดูผู้หญิงคนนั้นสิเราชอบเขามากเลยนะ ตั้งแต่วันนั้นผู้หญิงคนนั้นก็เป็นประเด็นสนทนาในกลุ่มอีกบ่อย แต่ทุกครั้งที่พูดถึงผู้หญิงคนนั้นผม รู้สึกว่านุ่นมีความรู้สึกแปลกๆที่ไม่แสดงออกมา จนผมคิดว่าต้องให้บอมถามให้ได้ว่าเป็นอะไรเพราะเขาสองคนสนิทกันมากที่สุด แต่บอมก็ไม่เคยสงสัยและถาม สักพักผมเลิกสนใจกับสิ่งนี้เพราะผมก็แค่ผู้ชายที่ไม่เคยคิดจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิง
เวลาที่พวกผมได้ผักผ่อนมากที่สุดจากการเรียนคงเป็นตอนหลังเลิกเรียนพิเศษ ซึ่งพวกผมจะเวียนไปฝากท้องตามร้านต่างๆ หลังจากนั้นก็มักไปเล่นเกม เกมประจำตัวของผมคือ Daytona ของกบชอบเล่น DJ โดยเฉพาะตอนมีสาวๆมองเยอะจะออกลีลาเป็นพิเศษ เครื่องตู้เกม Tetris ที่อยู่หลังร้านเหมือนเป็นเกมที่สร้างมาเพื่อบอมและนุ่น ผมได้เห็นทั้งคู่เล่นด้วยกัน เล่นแข่งกันได้ ดูเวลาที่เขาแกล้งกัน นุ่นมักปัดมือของบอมให้ออกจากจอยเกมส์เป็นประจำเวลาที่ทั้งคู่เล่นแข่ง เพราะบอมเป็นคนที่เล่นเก่งมาก แต่บอมก็ชอบและไม่เคยเห็น บอมโกรธนุ่นสักครั้งเวลาที่นุ่นคอยแหย่คอยกวน ผมคิดว่าทั้งคู่คงมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้ๆกัน พลางคิดไปถึงคำพูดในหนังรักไม่ได้ ที่ว่า เป็นเพื่อนกันดีที่สุด จะได้คบกันนานๆ แต่สำหรับสำหรับคู่นี้ผมนึกภาพไปถึงตอนที่ทั้งคู่เป็นคนชราคู่หนึ่ง ที่ใช้เวลาบั้นปลายชีวิตนั่งนับดาวบนท้องฟ้าด้วยกัน และต่อเติมความสุขซึ่งกันและกัน ทุกครั้งที่มองคู่นี้อยู่ด้วยกัน ผมคิดว่าเค้ากำลังร่วมสร้างและต่อเติมความรักซึ่งกันและกันอยู่ แม้เพื่อนสนิทอย่างผมจะแซวว่าทั้งคู่ไม่เหมือนแค่เพื่อนสนิทเท่านั้น แต่ว่าสิ่งที่ผมเห็นคือรอยยิ้มของทั้งคู่พร้อมอาการเขิน และสายตาของนุ่นที่หันไปมองบอม แล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันปฎิเสธ นุ่นก็มักจะพูดว่า พวกนี้เนี่ย ไม่พูดด้วยแล้ว พร้อมกับหันหลังเดินไปซื้อขนม และบอมก็เดินตามติดๆกันไป
วันศุกร์ใกล้ปิดคอร์สเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ เมื่อพวกเรามาถึงที่เรียนพิเศษปรากฏว่าไฟดับ โรงเรียนจึงนัดชดเชยให้วันอื่น วันนี้จึงไม่ค่อยได้เรียน เพราะวันศุกที่โรงเรียนมีเรียนแค่ 2 วิชา พวกเราจึงถือสมุดหนังสือไปเรียนเพียงไม่กี่เล่ม หลังจากนั้นพวกเราก็ไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า วันนี้นุ่นผิดปกติดูซึมๆตั้งแต่เช้า พวกเรารบเร้าเท่าไหร่ก็ไม่บอก ขณะที่เดินเล่นกันอยู่บอมได้จับ หน้าผากของนุ่น บอมตกใจมากเพราะนุ่นตัวร้อนจัด บอมจึงพูดว่า นุ่นเธอตัวร้อนมากนะกินยาอะไรหรือยัง? ปวดหัวนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก นุ่นตอบ พวกผมจึงรบเร้าให้นุ่นรีบกลับไปผักผ่อนที่บ้าน และตัดสินใจให้บอมเดินไปส่งนุ่นขึ้น taxi โดยผมกับกบจะไปรอที่ food center ก่อนที่ผมจะแยกย้ายกับนุ่น บอมแซวนุ่นว่า นี่ไม่สบายขนาดนี้ยังไม่ยอมนอนพักอยู่บ้านอีก ก็ฉันเป็นเด็กขยันนะซิจ๊ะ นุ่นตอบพร้อมกับยิ้มมา ดูนุ่นสิหน้าเหมือนคนจะตายอยู่แล้วยังยิ้มออกอีก บอมพูดไปโดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มนี้จะเป็นรอยยิ้มที่พวกผมจะไม่มีวันลืม
สำหรับผมเหตุผลเดียวที่นุ่นมาเรียนวันนี้คือการที่ได้มานั่งเรียนพิเศษข้างๆบอม หลังจากผมแยกย้ายกับนุ่นบอมก็เดิน ไปส่งนุ่นขึ้น taxi กลับบ้าน ........เอี๊ยด.....ปัง......อัก...... รถบบรทุกคันหนึ่งวิ่งคร่อมเลนมาชนกับ taxi คันหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วค่อนข้างสูง ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยกระเด็นกระแทกกระจกรถออกมาตกลงบนพื้น และ ไถลไปข้างหน้าอีก 7-10 เมตร สมุด หนังสือ ดินสอกระจัดกระจายอยู่บนถนนบ้าง บนทางเท้าบ้าง กล่องดินสอ มือถือแตกเป็น 2 ส่วน พลเมืองดีผู้หนึ่งอุ้มร่างที่เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลไปส่งโรงพยาบาล
เช้าวันเสาร์ ณ ที่เรียนพิเศษวิชาคณิต พวกผมรู้สึกแปลกใจที่นุ่นมาเรียนสาย เพราะปกตินุ่นจะมาเป็นคนแรก แต่พวกผมก็คิดว่านุ่นคงยังไม่ค่อยสบายและผักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่ขณะที่เริ่มเรียนไปได้15นาที เพจของบอมก็ดังขึ้นพรอ้มกับข้อความจากแม่ของนุ่นที่ว่า ตอนนี้นุ่นอยู่ห้อง ICU โรงพยาบาลเปาโล ต้องการพบบอมด่วน เมื่อพวกผมอ่านข้อความนี้จบ ก็เดินออกจากห้องทันที มารู้ตัวอีกทีก็คือเห็นรอยช้ำของขอบตาที่เกิดจากการร้องไห้ของแม่ของนุ่น พร้อมกับน้ำตาที่ไหล ออกมาอย่างไม่ยอมหยุดที่หน้าห้อง ICU เมื่อเราเดินเข้าไปในห้องหมอบอกพวกผมว่านุ่นเสียเมื่อ 5 นาทีที่แล้ว พวกผมเหมือนตกอยู่ในภวัง น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากทุกคนที่เรียกตัวเองว่าลูกผู้ชาย ทุกคนยืนร้องไห้อยู่ข้างๆเตียงของนุ่น ไม่มีสักคนเปิดผ้าที่คลุมร่างที่ไร้วิญญาณของนุ่นดูเพราะทุกคนรู้ดีว่านุ่นไม่ต้องการให้ใครเห็นนุ่นในสภาพอย่างนี้แน่
เหตุการณ์นี้แม้ว่าผมจะเสียใจมาก แต่ยังไงก็คงไม่เท่าบอม เพราะทุกคนรู้ดีว่าบอมเสียใจมากที่สุด แต่บอมก็เก่งมาก เพราะหลังจากนั้นอาทิตย์หนึ่งก็ไม่เห็นบอมร้องไห้อีก ขณะนั่งเรียนวิชาคณิตในคาบที่ 7 หลังจากงานชาปณกิจนุ่น 2 วัน แม่ของนุ่นได้ขออนุญาติอาจารย์เดินเข้ามาหาบอมในห้องและพูดว่า ในห้อง ICU ก่อนที่นุ่นจะสิ้นใจนุ่นบอกกับแม่ให้นำ diary เล่มนี้มาให้บอมให้ได้ แล้วแม่ของนุ่นก็ยื่นถุงกระดาษที่ข้างในมีdiary เล่มหนึ่งมาให้ หลังจากหมดคาบผมและบอมได้หยิบ diary ขึ้นมา มันเป็น diary เล่มสีชมพูที่นุ่นใช้เขียนความคิดและความฝันต่างๆของนุ่น ชื่อของบอมมีอยู่ใน diary ของนุ่นทุกหน้า ตั้งแต่วันที่เธอ ได้พบกับบอมที่ห้องศิลปะ เมื่อพลิกกลับมาช่วงกลางเล่มน้ำตาของบอมก็หยดลงบนรูปๆหนึ่ง ที่นุ่นวาดขึ้นใน diary เป็นรูปนุ่นกับบอมที่ยืนยิ้มโดยนุ่นยืนกอดแขนบอมอยู่ และทั้งคู่ใส่ชุดนักศึกษามหาลัยธรรมศาสตร์ ทำไมนุ่นไม่รู้ล่ะว่าเรารักเค้ามากขนาดไหน บอมพูดเมื่ออ่าน diary และได้รู้ว่านุ่นรอคอยคำว่ารักจากบอมอยู่ และเมื่อช่วงหนึ่งในdiary จึงได้รู้ว่านุ่นเข้าใจผิดว่าบอมไปรักผู้หญิงคนหนึ่งที่บอมชี้ให้พวกเราดูที่เรียนพิเศษ สิ่งต่อมาที่ผมได้รู้ก็ คือ นุ่นไม่เคยเข้าใจสิ่งที่บอมพูดเสมอในกลุ่มว่า รัก กับ ชอบ นั้นแตกต่างกันมาก ผมได้แต่นึกเสียดายที่บอมไม่ยอมพูดความรู้สึกของตัวเองให้นุ่นได้รับรู้ ได้แต่ปล่อยให้นุ่นคิดไปต่างๆนาๆ เพราะถ้าบอมได้พูดและอธิบายความรู้สึกของตัวเอง นุ่นก็คงจากไปอย่างมีความสุขกว่านี้
ก่อนการเร่งสอบปลายภาคไม่กี่วัน เพื่อให้เวลานักเรียนอ่านหนังสือเตรียมเอ็น ครั้งที่2 ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งคุยกัน กบได้ตะโกนถามเพื่อนๆทุกคนว่า ถ้าตอนนี้มีพรวิเศษขออะไรก็ได้สิ่งหนึ่งจะขออะไร คำตอบที่ได้ก็แตกต่างกันไป บ้างขอให้ หล่อ รวย สวย เอ็นติด ทุกคนตอบต่างๆกันไป เมื่อกบหันมามองหน้าบอมทุกคนก็ หันมาเหมือนจะรอคำตอบจากบอม เราขอแค่ได้พบนุ่นอีกครั้งแล้วเราจะบอกเค้าว่าเรารักเค้ามากขนาดไหน บอมตอบ มาพร้อมๆกับน้ำตาที่ค่อยๆคลอออกมา หลังที่บอมพูดจบเพื่อนในห้องหลายคนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาของตน
วันนั้นผมจึงได้รู้ว่า นุ่นยังคงอยู่ในใจของบอมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง วันที่ผมได้รู้อานุภาพของความรักก็คือวันประกาศผลเอ็น เรานัดเปิดซองจดหมายผลสอบพร้อมกันที่บ้านของกบ กบติด ม.เชียงใหม่ ผมติดที่ ประสานมิตร แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากคือ คนที่ได้คะแนน60กว่าเกือบทุกวิชาไม่ติดเศรษฐศาสตร์ได้อย่างไร แต่คำอธิบายของบอมก็ทำให้ผมรู้ว่า บอมทิ้งความฝันที่จะเป็นนักการเงินของเขามาเรียนสังคมสงเคราะห์เพื่อเดินตามความฝันของนุ่น ทำให้ผมได้เห็นความรักที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆหนึ่ง ความฝันของบอมเปลี่ยนเป็นการได้สร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และได้นำชื่อณัฐธิดาที่เป็นชื่อจริงของนุ่นมาตั้งเป็นชื่อสถานเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นอนุสรณ์ของผู้หญิงจิตใจดีงามคนหนึ่งที่เค้าได้เคยพบเจอในชีวิต คนที่ไม่รู้จักบอมดีจะมองเค้าเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ปิดตัวเองไม่ยอมเปิดใจให้ใคร แต่สำหรับผมรู้ดีว่าใครอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลา ........
ในเวลาโพล้เพล้สายลมลมพัดเมฆมาก่อตัวรวมกันจนกลั่นป็นเม็ดฝนลงมาสู่ดินทุกหนแห่ง ลมพัดเข้ามาในหัองผมอย่าง แรง ทำให้กรอบรูปที่มีรูปถ่ายของพวกเราอยู่ คว่ำด้านหน้าลง ผมหยิบมันพลิกขึ้นวางที่เดิม และมองไปที่รูปนั้นอีกครั้ง หนึ่งที่มันทำให้ผมนึกถึงเธอ...
เธอ ผู้ที่ทำให้พวกผมรู้ได้รู้ว่าคนดัดฟันกินอาหารบางอย่างไม่ได้
เธอ ผู้ที่ทำให้พวกผมได้หัดฟังเพลงค่าย DOJO CITY
เธอผู้ที่แนะนำให้พวกผมมองโลกในแง่ดี และออกไปต่อสู้กับปัญหา
เธอผู้ที่นำความงดงามของจิตใจเธอมาให้พวกผมได้สัมผัส
เธอผู้ที่มาเปลื่ยนแปลงชีวิตของพวกผม
เธอผู้ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
ฝนยังคงกระหน่ำลงบนถนนสายหนึ่ง เม็ดฝนกระหน่ำลงมาปานจะฉีกสมุดที่อยู่ในดงหญ้าข้างๆทางเท้าเล่มหนึ่งยุ่ยขาดเป็นส่วน แม้จะผ่านลมฝนลมหนาวมานานเท่าใดแต่สมุดเล่มนี้ก็ยังคงอยู่ที่เดิมพร้อมกับรอยหมึกคำสัญญาที่ไม่อาจเป็นจริงได้เพราะคนๆหนึ่งได้จากไปแล้ว.....
รัก บางคนคิดว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่จำเป็นต้องพูด แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่ามี บางคนใช้ชีวิตเพื่อเสาะหาและรอคอยคำๆนี้จากปากคุณอยู่ เมื่อคุณมั่นใจแล้วคุณควรที่จะพูดออกไป ดีกว่าที่จะต้องมานั่ง เสียดายและเสียใจเพราะว่าวันนี้เป็นวันที่..สาย..เกิน..ไป..!
6 กันยายน 2545 20:30 น.
คุซาโนะคุง
1. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัสกับความสุขร่วมกับคนๆ นั้น เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกลไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงาๆ และคิดถึง ไม่ใช่พอเขาหันหลังให้ยังเห็นชายเสื้อแว้บๆ ก็แทบจะตีปีกโลดเต้นดีใจ
2. ต้องให้ความเคารพนับถือคนๆ นั้น ถ้าจะรักใครสักคน แล้วตั้งหน้าดูถูกไม่เคยให้ความเคารพ ใครอื่นจะเคารพคนๆ นั้นของเรา และการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใครๆ เขาดูถูก มันจะเหลือความภูมิใจในคนๆ นั้นสำหรับเราได้ยังไง
3. ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต ก็มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะตกตึกอยู่รอมร่อ ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยฉุด
4. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหนสัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน
ไม่ใช่ผิดหนเดียวก็ถีบส่ง
5. ต้องเข้าถึงความต้องการ อารมณ์ และความรู้สึกของคนๆ นั้น อย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียว ตามลำพังบ้างก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเองด้วยความเต็มใจ
ไม่ใช่เปิดโอกาสอย่างกระเง้ากระงอด
6. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคนๆ นั้น ไม่ว่าจะต้องเสน่ห์ในความเป็นหญิงกำยำ หรือในความล้านจนขึ้นเงาวับบนหัวเขา มันก็มีส่วนในความรักเหมือนกัน
7. ต้องรู้สึกว่าเราสามารถจะพูดคุยกับคนๆ นั้นได้ทุกเรื่องอย่างเปิดอก สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้วเราจะอับอาย หรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยินแล้วจะผงะหงายแล้วเดินหายไปจากชีวิต
8. ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ ถ้าไม่มีเขาสักคนชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป
9. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆ นั้นในหลายๆ ด้าน เป็นต้นว่า ความคิด อารมณ์และเวลา แต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง
10. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่า ร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าคุณไม่ได้มีรักแท้กับคนๆนั้น
ถ้ามีครบทุกข้อดังที่กล่าวมา ให้ถือว่ากำลังมีรักแท้โดยสมบูรณ์ แต่ถ้าขาดไปสักข้อสองข้อ ก็ให้โมเม ว่ายังเป็นรักแท้อยู่ แต่ถ้ามีเพียงหนึ่งหรือสองข้อในจำนวนทั้งหมดที่กล่าวมา ก็จงอย่าพยายามหลอกตัวเอง ว่ารักนี้เป็นรักแท้ เพราะไม่เช่นนั้นทั้งสิบคนที่คบอยู่จะเป็นรักแท้ไปหมด
2 กันยายน 2545 20:49 น.
คุซาโนะคุง
ถ้าคุณเป็นคนที่หัวเราะเห็นฟันทั้งปาก: ถ้าคุณเป็นคนที่เวลาหัวเราะแล้วเห็นฟันเกือบทั้ง 32 ซี่ และมีเสียงหัวเราะค่อนข้างดัง บางครั้งก็ดังจนไม่เกรง อกเกรงใจคนรอบข้างเลย ท่าหัวเราะแบบนี้บ่งบอกว่า คุณเป็นคนเปิดเผย ไม่ค่อยปิดบัง ซ่อนเร้นอะไรอยู่ข้างใน เป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจต่อผู้คนรอบข้าง ชอบพูดชอบคุย เป็นคนสนุกสนาน แต่ในบางครั้งก็ทำตัวเป็นคนเจ้าระเบียบทำงานเป็นระบบ มีรสนิยมในการเลือกคู่ต่างกับชาวบ้าน ค่อนข้างจะเด่นกว่าใครเขา แต่มีข้อเสียคือ จะเป็นคนขี้หลงขี้ลืมเป็นประจำ
หัวเราะป้องปาก: ถ้าคุณเป็นคนที่หัวเราะแล้วชอบป้องปาก เผลอๆป้องซะจนมิดแบบไม่ยอมให้ใครเห็นฟันเลยสักซี่ ไม่ว่าจะหัวเราะมันส์ขนาดไหนก็ตาม แสดงว่าคุณเป็นคนขี้เกรงอกเกรงใจคนรอบข้างเป็นอย่างยิ่ง และเป็นคนที่เอาใจใส่ ห่วงใยความรู้สึกของผู้อื่น กลัวว่าเขาจะไม่พอใจ หรือคุณทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า
เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี นอกจากจะเป็นผู้ให้แล้ว คุณยังอยากที่จะให้คนเอาใจใส่คุณด้วย คือทั้งgive and take แต่มีข้อเสียคือ เป็นคนคิดมาก คิดไม่เป็นเรื่อง
แต่บางครั้งก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน
ถ้าคุณเป็นคนที่หัวเราะร่วนเหมือนคนบ้า: คนที่หัวเราะร่วน หรือที่เรียกว่า คนเส้นตื้น คือ หัวเราะได้ตลอดเวลา พูดอะไรนิดอะไรหน่อย ก็หัวเราะได้แล้ว เป็นคนที่มองสิ่งต่างๆ ดีไปหมด ไม่ว่าใครจะทำอะไรไม่ดีสักแค่ไหน ก็ไม่ค่อยถือโทษโกรธใครง่ายๆ มีความร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา น้อยครั้งนักที่จะเห็นเขาโกรธใคร แต่เห็นเป็นคนหัวเราะง่ายอย่างนี้ ก็เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองมาก มั่นใจในตัวเองพอสมควร ไม่ลอกเลียนแบบใครอื่นเขา อย่างเรื่องแฟน ใครเขาชอบกันแบบหนึ่ง เขาก็จะชอบอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนใครๆ ทั่วไป
หัวเราะเสียงแจ่มใสแบบเอิ้กอ้าก: คนที่มีเสียงหัวเราะที่ใสอย่างแก้วคริสตัล
และมีเสียงเอิ้กอ้ากในลำคอ เสียงหัววราะเช่นนี้แสดงว่า คุณเป็นขี้เล่น รักสนุก ยิ้มแย้มอยู่เสมอ ชอบทำตัวให้เป็นจุดสนใจของคนอื่น ยิ่งในกลุ่มเพื่อนๆ จะต้องเด่นที่สุดในกลุ่ม ยิ่งคนมอง สนใจ คุณจะยิ่งชอบ แต่เห็นเป็นคนขี้เล่นอย่างนี้ ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณค่อนข้างปิดบังซ่อนเร้นความทุกข์ความไม่สบายใจอยู่ข้างใน ค่อนข้างเป็นคนเก็บกด มีอะไรไม่ค่อยเล่าให้คนอื่นฟัง ชอบเก็บเอาไว้คนเดียว ระวังจะคับอกตายนะจ๊ะ
ถ้าคุณเป็นคนที่หัวเราะเสียงดังกัมปนาท: ถ้าคุณเป็นคนที่มีเสียงหัวเราะดังมาก ดังจนทำให้คนอื่นตกใจได้ นึกว่าเสียงภูเขาไฟระเบิด และปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเต็มที่ คุณเป็นคนไม่ตอแหล คบกับใครก็ให้ใจเต็มร้อย ถ้าใครได้คุณไปเป็นเพื่อนละก็ เขาโชคดีสุดๆ เพราะคุณจะเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ ไม่หลอกลวง แต่คุณมีความมั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูง แต่ขณะเดียวกันก็มีนิสัยเหมือนเด็กน้อย อาโนเนะ จนบางครั้งก็ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต
2 กันยายน 2545 20:42 น.
คุซาโนะคุง
เช้าวันหนึ่ง พี่ชายอายุ 15 น้องสาวอายุ 13 อยู่ในบ้านตามลำพัง 2 คนในวันหยุด
"พี่ชายค่ะ พี่ชาย" น้องสาวเข้ามาในห้องพี่ชายด้วยความกระวนกระวาย "เกิดอะไรขึ้น" พี่ชายร้องทักด้วยความเป็นห่วงน้องสาว น้องสาวเอ่ยปากบอกพี่ชายด้วยความกังวลไปว่า "พี่ชายค่ะ เออ...คือว่า น้องรู้สึกว่ามีบางอย่างอะไรในตัวน้องเปลี่ยนไป" "มันเป็นงัยเหรอ" พี่ชายถามด้วยความสงสัย "น้องรู้สึกว่ามันกำลังจะใหญ่ขึ้นทุกวันๆ" "ใหญ่ขึ้นเหรอ" พี่ชายพูดพร้อมทำตาเบิกโพลงด้วยความสนใจแล้วเอ่ยปากว่า "ขอพี่ดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ" พี่ชายดึงตัวน้องสาวลงมานั่งที่ขอบเตียง แต่น้องสาวได้เลื่อนมือมาปิดไว้เสียแล้ว "น้องเอามือออกซิ พี่ชายจะดูว่ามันใหญ่ขึ้นจริงมั๊ย" น้องสาวเลื่อนมือออกด้วยความเขินอาย "ทำไมใหญ่จัง" พี่ชายร้องด้วยความตกใจ พร้อมเอื้อมมือจะไปสัมผัส "พี่ชายจะทำอะไรน้อง" "พี่ชายแค่อยากสัมผัส ขอพี่จับได้ไหม" พี่ชายเอ่ยปากด้วยสายตาที่วิงวอน ด้วยความสงสารพี่ชาย น้องสาวจึงตอบไปด้วยความเต็มใจ "ได้ซิพี่ชาย" "สีชมพู เต่งตึง" พี่ชายพูดพร้อมคลึงไปพร้อมกัน เกินที่น้องสาวจะเก็บความรู้สึกไว้ได้จึงพูดโพลงออกมาว่า "อือออ....อาว.....พี่ชายจ๋า น้องทรมานเหลือเกิน" เมื่อพี่ชายได้ยินเช่นนั้นพี่ชายดึงร่างน้องสาวมานอนบนเตียง "นอนลงซิจ๊ะ พี่ชายจะช่วยให้น้องหายทรมาน" "โอ๊ย...พี่ชายพอก่อน น้องเจ็บ" น้ำตาของน้องสาวไหลออกมาด้วยความเจ็บ ด้วยความสงสารพี่ชายจึงเอานิ้วคลึง เพื่อบรรเทาความเจ็บให้น้องสาว "หายเจ็บหรือยังจ๊ะ พี่ก็เพิ่งจะทำครั้งแรกนิ " พี่ชายถาม "ดีขึ้นแล้วจ๊ะ" น้องสาวตอบไปพร้อมเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม "งั้นพี่ทำเบา ๆ ก่อนน่ะ" น้องสาวพยักหน้าพร้อมรับสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น พี่ชายออกแรงกดช้า ๆ "อืออ....โอวววว...." น้องสาวร้องฟังไม่เป็นศัพท์ "อืออ....อูยย..ดีจังค่ะ พี่จ๋าของน้องจะแตกแล้ว แรงๆเลยจ๊ะ โอวว..." พี่ชายออกแรงกดตามเสียงร้องน้องสาว "โอวว...อูยยย... พี่จ๋าน้องไม่ไหวแล้ว จะแตก แตก..แตกแล้ว" พี่ชายพลิกตัวมานอนด้วยความเหนื่อยหอบ "พี่ชายดูซิ เลอะหน้าน้องหมดเลย แสบด้วย" น้องสาวตัดพ้อพี่ชาย พี่ชายหันมายิ้มพร้อมพูดว่า "ครั้งแรกไม่ใช่เหรอ มันก็ต้องเจ็บ ต้องแสบเป็นธรรมดา" "มีเลือดออกด้วย" น้องสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ พี่ชายจึงพูดออกไปด้วยความรำคาญ "มันก็ต้องมีเลือดออกซิ สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ไม่ดูแลหน้าตาตัวเองเลย ปล่อยให้เป็นสิวหัวช้างได้"
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ล้างหน้าทุกเช้าและก่อนนอน จะไม่เป็นสิวนะ"