16 พฤศจิกายน 2563 14:44 น.
คีตากะ
ณ ยามปลายแห่งรัตติกาล เมื่อลมหายใจแรกแห่งอรุณลอยมาในสายลม ผู้เบิกทางซึ่งเรียกตัวเองว่าเสียงสะท้อนอันมิมีใครได้ยินได้ออกจากห้องนอนและขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเขา เขายืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน มองลงมายังนครอันหลับใหลอยู่ ครั้นแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นและราวกับเจตภูติอันมิเคยหลับของบรรดาผู้ที่หลับใหลอยู่ได้มาชุมนุมกันอยู่รอบตัวเขา เขาได้อ้าปากออกและกล่าวว่า
“มิตรสหายและเพื่อนบ้านของฉันและท่านผู้ผ่านประตูบ้านของฉันไปทุกวัน ฉันจักพูดกับท่านทั้งที่ท่านยังหลับอยู่ และในหุบผาแห่งความฝันของท่าน ฉันจักเดินเปล่าเปลือยไปอย่างไม่รั้งรอเพราะในโมงยามที่ท่านตื่นอยู่นั้นท่านไม่สนใจ และโสตอันเต็มไปด้วยสรรพสำเนียงของท่านก็อื้อหนวก
“ฉันนี้รักท่านมากเหลือและนานช้ามาแล้ว
“ฉันรักคนหนึ่งในหมู่ท่านราวกับว่าเขาเป็นทุกคน และรักทุกคนเสมือนว่าเขาเป็นคนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิแห่งหัวใจฉัน ฉันเฝ้าดูอยู่ที่ลานนวดข้าวของท่าน
“ถูกแล้ว ฉันรักท่านทุกคน ทั้งผู้เป็นยักษ์ใหญ่และคนแคระทั้งผู้เป็นโรคเรื้อนและผู้มีผิวผ่องใส และรักเขาผู้คลำหาทางไปในความมืดเท่าๆ กับเขาผู้เต้นร่าผ่านวันวานไปบนขุนเขา
“ท่านผู้แข็งแรงฉันก็รัก ถึงแม้ว่ารอยเท้าเหล็กของท่านจะยังประทับอยู่บนเนื้อฉัน และท่านผู้อ่อนแอฉันก็รัก ถึงแม้ว่าท่านจะทำให้ความศรัทธาของฉันเหือดแห้งไปและทำให้ขันติของฉันต้องเปลืองเปล่า
“ฉันรักท่านผู้มั่งคั่งทั้งๆ ที่น้ำผึ้งของท่านยังทิ้งรสขมอยู่ในปากฉัน และท่านผู้ยากไร้ฉันก็รักถึงแม้ว่าท่านจะรู้ถึงความอับอายในมือเปล่าของฉันก็ตามที
“ท่านนักกวีผู้มีพิณและนิ้วอันมืดบอด ท่านทำให้ฉันรักด้วยการปล่อยตัวของท่าน รวมทั้งท่านนักปราชญ์ซึ่งเอาแต่เก็บผ้าตราสังอันเน่าเปื่อยอยู่ในทุ่งนาของช่างปั้นหม้อ
“ท่านผู้อยู่ในสมณเพศซึ่งนั่งอยู่ในความเงียบแห่งวันวานถามไถ่ถึงชะตากรรมแห่งวันพรุ่งของฉัน ฉันก็รัก รวมทั้งท่านผู้บูชาเทพเจ้าซึ่งเป็นภาพแห่งความปรารถนาของท่านเอง
“เธอ-อิสตรีผู้กระหายซึ่งมีถ้วยที่เต็มอยู่เสมอนั้นฉันรักด้วยความเข้าใจ และเธอ-เหล่านารีผู้มีราตรีอันไร้การหลับ ฉันก็รักด้วยความเมตตาและปรานี
“ท่านผู้ช่างเจรจา ฉันก็รักและกล่าวว่า ‘ชีวิตมีสิ่งที่จะพูดถึงอยู่มากมาย’ และท่านผู้เบื้อใบ้ฉันก็รักและกระซิบแก่ตัวฉันเองว่า ‘ก็เขามิได้เอ่ยเอื้อนวาจาอยู่ในความเงียบถึงสิ่งซึ่งฉันจักฟังได้เป็นถ้อยคำดอกหรือ?’
“และท่านผู้พิพากษาและผู้ตำหนิติเตียนฉันก็รักเช่นกัน แต่กระนั้นเมื่อท่านเห็นฉันถูกตรึงกางเขน ท่านยังกล่าวว่า ‘เลือดของเขาหยดเป็นจังหวะและลวดลายของโลหิตที่อยู่บนผิวขาวๆ ของเขาก็สวยงามน่าดูนัก’
“ถูกแล้ว ฉันรักท่านทั้งหมด ทั้งหนุ่มสาวและแก่เฒ่า ทั้งต้นอ้อที่สั่วไหวและต้นโอ๊ค
“แต่อนิจจาเอ๋ย! หัวใจที่อุดมมากเกินไปนั้นแหละที่ทำให้ท่านหันหนีไปจากฉัน ท่านชอบดื่มความรักจากถ้วย มิใช่จากแม่น้ำที่ล้นเอ่อ ท่านชอบฟังเสียงพึมพำแผ่วเบาของความรัก แต่เมื่อความรักตะโกนก้อง ท่านกลับอุดหูของท่านเสีย
“และเพราะว่าฉันรักท่าน ท่านก็กล่าวแต่เพียงว่า ‘เขาใจอ่อนและยอมแพ้มากเกินไป และวิถีทางของเขาก็ไม่สุขุมคัมภีรภาพ มันเป็นความรักของผู้ขาดแคลน ผู้หยิบเศษขนมปังขึ้นมาแม้ในยามที่นั่งอยู่ ณ งานเลี้ยงมโหฬาร และมันเป็นความรักของคนอ่อนแอ เพราะคนแข็งแรงนั้นย่อมรักแต่เฉพาะผู้แข็งแรง’
“และเพราะว่าฉันรักท่านมากเกินไป ท่านจึงกล่าวว่า ‘มันเป็นความรักของคนตาบอดซึ่งไม่รู้จักความงามของคนหนึ่งหรือความน่าเกลียดของอีกคน และมันเป็นความรักของคนอวดดีและผู้คิดมากเกินควร เพราะคนแปลกหน้าคนไหนเล่าจะมาเป็นพ่อแม่พี่น้องของเราได้?’
“ท่านพูดเช่นนี้และยิ่งกว่านี้อีก เพราะมีอยู่บ่อยๆ ในท้องตลาดที่ท่านชี้มือมายังฉันและกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า ‘นั่นไงคนไร้อายุขัย คนไร้เหตุผล ซึ่งในยามเที่ยงเล่นเกมกับลูกๆ ของเรา แต่ในยามเย็นกลับไปนั่งอยู่กับผู้อาวุโสโดยคาดว่าจะได้รับปัญญาและความเข้าใจ’
“และฉันกล่าวว่า ‘ฉันจะรักพวกเขามากขึ้น ถูกแล้ว- มากขึ้นอีก ฉันจะซ่อนเร้นความรักของฉันด้วยการทำท่าเกลียดชังและแปลงความอ่อนโยนของฉันเป็นร่างแห่งความเผ็ดร้อน ฉันจะสวมหน้ากากเหล็ก และจะแสวงหาคนเหล่านั้นก็เมื่อฉันสวมเกราะและถืออาวุธแล้ว’
“ครั้นแล้วฉันจะวางมือหนักๆ ลงบนบาดแผลของท่าน และจะคำรามลั่นอยู่ในหูท่านเสมือนดังพายุใหญ่ในยามราตรี
“ฉันจะประกาศความหน้าไหว้หลังหลอก ปากอย่างใจอย่าง เล่ห์เหลี่ยม ความเท็จ ความเป็นดังฟองดินอันว่างเปล่าของท่านจากหลังคาบ้าน
“คนสายตาสั้นในหมู่ท่าน ฉันจะด่าว่าเป็นค้างคาวตาบอด ส่วนผู้ที่อยู่ชิดโลกมากเกินไป ฉันใคร่จะเรียกว่าตัวตุ่นที่ไร้วิญญาณ
“คนช่างพูด ฉันจะประกาศว่าเป็นคนลิ้นสองแฉก ส่วนคนที่เงียบขรึม ริมฝีปากราวกับหิน และคนซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยมฉันจะเรียกว่าคนตายที่มิเคยเหนื่อยหน่ายต่อความตาย
“ผู้แสวงหาความรู้ทางโลกฉันจะประณามว่าเป็นผู้ก่อความขุ่นเคืองแก่ดวงจิตบริสุทธิ์ ส่วนผู้ที่มิสนใจสิ่งใดนอกจากดวงจิต ฉันก็ตีตราว่าเป็นผู้ล่าเงา ผู้เหวี่ยงแหไปในน้ำตื้นและจับได้แต่เงาของตัวเอง
“ดังนั้นฉันจะประณามพวกท่านด้วยริมฝีปากของฉันในขณะที่หัวใจของฉันซึ่งหลั่งเลือดอยู่ภายในตัวฉันจักเรียกท่านด้วยชื่ออันอ่อนหวานนานาชื่อ
“ผู้ที่เอ่ยเอื้อนออกมาคือความรักซึ่งถูกกระหน่ำด้วยตัวมันเอง มันคือความภาคภูมิซึ่งถูกพิฆาตไปครึ่งๆ ซึ่งกระพือปีกอยู่ในฝุ่นธุลี ความกระหายหิวความรักของท่านนั่นเองที่ส่งเสียงอื้ออึงอยู่บนหลังคาในขณะที่ความรักของฉันซึ่งคุกเข่าอยู่ในความเงียบนั้นสวดวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ท่าน
“แต่จงดูสิ่งปาฏิหาริย์เถิด!
“ก็การกลบเกลื่อนของฉันเองที่เปิดดวงตาของท่านขึ้น และการแสร้งทำเกลียดชังนั่นแหละที่ปลุกหัวใจของท่านให้ตื่นขึ้น
“และบัดนี้ท่านก็รักฉัน
“ท่านรักดาบที่ฟาดฟันตัวท่านและลูกธนูที่ทำให้ทรวงอกของท่านปริออก เพราะเมื่อท่านมีบาดแผลท่านจึงจะเป็นสุข และเพียงเมื่อท่านได้ดื่มโลหิตของท่านเองท่านจึงจะมึนเมาได้
“พวกท่านมารวมกันอยู่ในสวนของฉันทุกวันดุจดังแมลงเม่าซึ่งแสวงหาความพินาศในเปลวไฟ และด้วยใบหน้าที่เงยขึ้นและดวงตาทรงเสน่ห์ ท่านเฝ้าดูฉันฉีกภูษาแห่งวันวานของท่านออก และท่านพูดแก่กันและกันด้วยเสียงกระซิบว่า “เขาแลเห็นด้วยแสงสว่างแห่งพระเจ้า เขากล่าวถ้อยดุจดังศาสดาแห่งโบราณกาล เขาเปิดเผยดวงวิญญาณของเราและไขกุญแจหัวใจของเราออก และเขารู้วิถีทางของเราเช่นเดียวกับนกอินทรีซึ่งรู้ทางเดินของหมาจิ้งจอก”
“ถูกแล้ว อันที่จริงนั้นฉันรู้จักวิถีทางของพวกท่าน แต่ก็เพียงเช่นเดียวกับที่นกอินทรีรู้จักทางของลูกอ่อนของมันเท่านั้นเอง และฉันใคร่จักเปิดเผยความลี้ลับของฉัน แต่กระนั้นเนื่องจากต้องการความใกล้ชิดของท่าน ฉันจึงแสร้งทำเป็นห่างเหิน และฉันคอยเฝ้าดูประตูน้ำแห่งความรักของฉันด้วยเกรงว่ากระแสน้ำแห่งความรักของท่านจักลดลง”
หลังจากกล่าวสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้เบิกทางก็เอามือปิดหน้าและร่ำไห้อย่างขมขื่น เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าความรักที่ถูกลดเกียรติอยู่ในความเปล่าเปลือยของมันนั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักที่แสวงหาชัยชนะด้วยการปลอมแปลง และเขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก
แต่ในบัดดลนั้นเขาก็ผงกศีรษะขึ้นและยืดแขนออกเสมือนคนเพิ่งตื่นนอนและกล่าวว่า “รัตติกาลอวสานลงแล้ว และพวกเราผู้เป็นบุตรแห่งราตรีย่อมต้องสิ้นชีพเมื่อรุ่งอรุณกระโดดข้ามเทือกเขามา และความรักอันทรงพลังจักผลุดขึ้นจากเถ้าถ่านของเรา มันจักสำรวลร่าอยู่ในดวงตะวันและจักมิมีวันม้วยมรณ์
เขียนโดยคาลิล ยิบราน
ผู้เบิกทาง
กิติมา อมรทัต แปล
Be Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com
16 พฤศจิกายน 2563 15:01 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ที่ศูนย์ซีหู หมู่เกาะฟอร์โมซา
วันที่ ๒๙ เมษายน ๑๙๙๒
(เดิมเป็นภาษาจีน)
ในโลกของเรานี้ นักการเมืองไม่สามารถให้ชีวิตที่สงบสุขแก่ประชาชนของเขาด้วยการใช้โครงการอันเฉลียวฉลาดหลักแหลมทางด้านการเมืองหรือด้วยการวางแผนอันดีเลิศ ศีลธรรมควรมาก่อน หากผู้คนมีศีลธรรมโลกก็จะสงบปลอดภัยและเป็นสุข ไม่มีความจำเป็นต้องมีการเมือง ไม่มีความจำเป็นต้องโต้แย้งกัน ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ ไม่จำเป็นต้องควบคุมคน หรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีตำรวจหรือกองทัพใดๆ ไม่มีความจำเป็นไม่ว่าในเรื่องใดอีกต่อไป มันน่าเสียดายที่ผู้นำของหลายประเทศในโลกนี้ ไม่เข้าใจเรื่องนี้เท่าไรนัก
ถ้าเธอไปพูดกับนักการเมืองบางคนว่า “ฉันมีวิธีที่จะช่วยเหลือประเทศของคุณให้เป็นประเทศที่สุขสงบ” เขาก็จะตอบเธอกลับมาว่า “สิ่งที่ประเทศของเราต้องการก็คือ อาหารและเงิน” เขาจะไม่สนใจเรื่องศีลธรรม พวกเขาไม่ได้คิดถึงข้อความที่ว่า “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าให้พบก่อน และจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอื่นๆ ก็จะมาสู่ตัวคุณ” ฉันไม่ได้พูดว่าไม่มีใครเลย เพียงแต่มีไม่กี่คนเท่านั้น และถึงแม้จะมีผู้นำที่ดี ก็ยังเป็นเรื่องยากถ้าประชาชนที่อยู่เบื้องล่างเขาเป็นคนไม่ดี เขาก็จะเอาเงินมาซื้อตำแหน่งกับคนที่มีเงินก็ยังสามารถเข้ามาได้ (อาจารย์หัวเราะ) โดยทั่วไปมันเป็นแบบนั้น ดังนั้นผู้ที่มีความสามารถก็ไม่สามารถรับใช้ประเทศชาติของเขาได้ ถ้าพวกเขาไม่มีเงินมาก ไม่มีใครที่จะฟังพวกเขา
ในสมัยโบราณ พระเจ้าแผ่นดินและรัฐบาลได้แสวงหาอาจารย์ผู้รู้แจ้ง ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งมีศีลธรรมและปัญญา เพื่อที่จะปรึกษาหารือพวกเขาเกี่ยวกับการปกครองชาติ บางประเทศก็ยังทำอย่างนี้ในปัจจุบัน! แต่ว่ามีน้อยมากๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมโลกจึงตกต่ำลงและมีสงครามและภัยพิบัติมากมายหลายอย่าง เป็นเพราะว่าผู้นำสามารถมีผลกระทบต่อทั้งชาติ ประชาชนจะฟังสิ่งที่เขาพูด อย่างน้อยที่สุดเขาก็มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของเขา สถานีวิทยุหรือโทรทัศน์ทั้งหมดและหนังสือพิมพ์ก็เผยแพร่ความคิดของเขา ถ้าความคิดของเขาดีและประเสริฐ แน่นอนชาติทั้งชาติก็จะได้รับผลด้วย มันไม่สำคัญว่าประชาชนจะชอบมันหรือไม่ เมื่อพวกเขาได้ฟังในตอนแรก หลังจากได้ฟังแล้วจิตใจของเขาก็ต้องบันทึกเก็บมันไว้ ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลวด้วยเช่นกัน ดังนั้นอิทธิพลจึงมีมากเหลือเชื่อ!
ถ้าหากว่าเธอไปดูในนรก เธอจะเห็นว่ามันเต็มไปด้วยผู้นำของโลก มันน่ากลัวมากเพียงเพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้! เพราะคนๆ หนึ่งมีอิทธิพลต่อคนมากมายหลายคน และทั้งโลกด้วย ถ้าหากเขานำประชาชนไปในทางที่ผิด แน่นอนเขาจะสร้างกรรมจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นถ้าเราเป็นประชาชนธรรมดา ก่อนที่เราจะมีความก้าวหน้ามากในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเรา เมื่อเราไม่มีปัญญาหรือความสามารถหลายอย่าง เราก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือ มีโอกาสที่จะบรรลุการหลุดพ้นชั่วนิรันดร์ ถ้าหากว่าเราไม่มีความสามารถใดๆ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความรักและไม่มีปัญญา แล้วก็ปีนขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงมากและเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญทั้งหลาย เราก็จบกัน! (หัวเราะ) มันอันตรายมากจริงๆ เธอเข้าใจไหม? กรรมของเราก็จะเพิ่มขึ้นนับพันล้านเท่า
สำหรับเราประชาชนตัวเล็กๆ จะมีสักกี่คนที่เราสามารถมีอิทธิพลต่อเขาได้ ที่เราสามารถมีอิทธิพลได้มากที่สุดก็คือลูกของเรา เราสามารถสร้างตัวอย่างที่เลวได้สำหรับเฉพาะลูกของเรา หรือภรรยาหรือสามีของเราเท่านั้นไม่ใช่หรือ? และยังมีเพื่อนๆ และญาติพี่น้องด้วย หากพวกเขาเชื่อฟังในสิ่งที่เราพูด ฉะนั้นเราจึงไม่มีอิทธิพลมากมายนัก ถ้าเราเป็นคนใหญ่โต แน่นอนอิทธิพลของเราจะมีมากเหลือเชื่อ เราจะดึงดูดแรงในด้านลบและระดับต่ำที่คล้ายคลึงกับของเรา ทำให้โลกทั้งโลกยิ่งเป็นไปทางด้านลบมากขึ้นสั่นคลอนมากขึ้น มุ่งไปสู่ทิศทางนั้นและก็ยิ่งเพิ่มกำลังด้านลบมากยิ่งขึ้นอีก กรรมก็จะกลายเป็นหนักยิ่งขึ้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนรกจึงเต็มไปด้วยพระเจ้าแผ่นดิน มันแย่มาก แย่มากจริงๆ
มันก็ทำนองเดียวกับพวกที่เรียกกันว่าผู้บำเพ็ญ ถ้าพวกเขาไม่ได้เข้าถึงเต๋าอย่างแท้จริง ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ได้มีธรรมวิถีที่ถูกต้องและไม่ได้ครอบครองสัจธรรม คุณความดีและความงามที่อยู่ภายในแล้ว พวกเขาก็ก้าวขึ้นไปบนเวที และมีอิทธิพลต่อประชาชน นำพวกเขาไปในทางที่ผิด กรรมที่พวกเขาจะได้รับนั้นจะมากเหลือเชื่อ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนรกจึงเต็มไปด้วยผู้นำทางด้านการเมืองและศาสนาชนิดต่างๆ พวกเขาหลายคนกำลังได้รับ “การฝึก” อยู่ที่นั่น (หัวเราะ) ในบางกรณี พวกเขาต้องคอยอยู่เป็นเวลานานมาก พวกเขาต้องคอยจนกว่าคนที่ถูกล้างสมองจากพวกเขานั้นจะได้รู้แจ้งและหลุดพ้นไปก่อนที่พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือ พวกเธอคิดออกไหมว่าพวกเขาต้องคอยนานสักเท่าใด? นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันจึงมีกล่าวในคัมภีร์พุทธว่า มี “นรกตลอดกาล” เนื่องจากว่ามีประชาชนหลายคนต้องเจ็บปวดถูกทำร้ายและถูกนำไปในทางที่ผิด เธอต้องคอยจนกว่าพวกเขาทุกคนจะได้รู้แจ้งและหลุดพ้นก่อนที่บาปของเธอจะลดน้อยลง นั่นต้องใช้เวลานานมาก!
มันก็เหมือนอย่างถ้าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เธอถูกวางยาพิษเพียงเล็กน้อย จิตของเธอก็จะไม่แจ่มชัดแล้วก็มีคนยื่นยาพิษให้เธอมากขึ้น เธอก็จะดื่มมันเข้าไปอีก เธอก็ยิ่งได้รับพิษมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นการยากมากที่จะคอยจนกว่าคนเหล่านั้นจะหลุดพ้น ใช้เวลานานมากๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคนที่นำผู้อื่นไปในทางที่ผิดต้องคอยนานยิ่งกว่านั้น เป็นการดีที่สุดสำหรับเราผู้บำเพ็ญที่จะไม่โลภ ไม่วิ่งไล่ตามตำแหน่งต่างๆ ! ไม่ทะเยอทะยานอยากได้ตำแหน่งซึ่งมีความรับผิดชอบต่างๆ ที่สำคัญ ถ้าเราไม่มีความสามารถหรือไม่มีสติปัญญา เราจะทำร้ายตัวเราเองอย่างแท้จริง เราจะทำความเสียหายให้กับโลกและขวางกั้นวิวัฒนาการของจักรวาล
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราที่จะทำก็คือ ปรับปรุงคุณธรรมและปัญญาของเราให้ดีขั้น จากนั้นเราก็จะสามารถทำอะไรก็ได้ ที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ เพราะว่าในขณะนั้น เราพร้อมแล้ว มันก็เหมือนเมื่อเราร่ำรวยแล้ว เราก็จะเอาเงินของเราไปลงทุนที่ไหนก็ได้ เราจะทำธุรกิจใดๆ ก็ได้อย่างนั้นไม่ใช่หรือ? มันน่าห่วงก็ต่อเมื่อเราไม่มีเงินเลย ถ้าเราต้องการมีธุรกิจของเราเอง หรือเป็นเจ้านายก่อนที่จะมีเงิน และก็นั่งกังวลว่าเราจะล้มเหลวในธุรกิจ นั่นก็คือการสร้างปัญหาขึ้นสำหรับตัวเราเอง เราจะพูดไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่ช่วยเรามันนึกภาพไม่ออกจริงๆ ในเมื่อกรรมของเราก็หนักมากแล้ว เราจะยังต้องการแบกกรรมของทั้งชาติ หรือของกลุ่มใหญ่ๆ อยู่อีก !
ผู้บำเพ็ญแบบนั้น เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงผลที่ตามมา พวกเขาจึงกล้าที่จะลุกขึ้นมาพูดเรื่องไร้สาระ กล้าที่จะรับคนเป็นศิษย์ของเขาและสอนในสิ่งผิดๆ ถ้าพวกเขารู้ว่ามีนรกรอคอยพวกเขาอยู่ พวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้น หรือไม่กล้าพูดอะไรเลย มันไม่เป็นการดีเพียงแค่ที่จะมีลูกศิษย์หลายคน เราควรจะรู้ว่าเรากำลังสอนอะไรพวกเขา และเรากำลังนำพวกเขาไปไหน เพราะทุกสิ่งไม่ได้สิ้นสุดหลังจากที่เราได้พักในโลกนี้มาหนึ่งร้อยปี เรายังดำเนินต่อไป ชีวิตของเรายังคงดำเนินต่อไป ชีวิตแล้วชีวิตเล่า สำคัญเพียงแต่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ในสวรรค์หรือในนรก ในนิพพาน หรือในโลก?
ฺBe Veg, Go Green 2 Save The Planet
16 พฤศจิกายน 2563 15:03 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา
4 สิงหาคม 2534 (เดิมเป็นภาษาจีน)
แรงสั่นสะเทือนภายในและแสงภายในของธรรมวิถีกวนอิมเปลี่ยนแปลงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเรา มันทำให้ความถี่ของการสั่นสะเทือนของเราเร็วขึ้นๆ ยิ่งการสั่นสะเทือนของเราเร็วขึ้น เราก็ยิ่งเข้าใกล้ระดับตถาคตมากขึ้น มิฉะนั้น, เราจะกลายเป็นพุทธะ(ผู้ที่รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์)ได้อย่างไร?
เรารู้ไหมว่าทำไมจึงเรียกว่า “ตถาคต”? ความหมายของตถาคตคือผู้นั้นทั้งไม่มาและก็ไม่ไปไหน ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? เหตุผลก็คือว่าตถาคตมาและก็ไปเร็วมากๆ แต่มันดูเหมือนกับว่าเขาไม่เคยมาหรือไปเลย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถไปในที่หลายๆแห่งได้ในเวลาเดียวกัน และก็กลับมาได้ในเวลาเดียวกันด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่มีทางเห็นว่าเขาไปไหน แต่ก็มีผู้เห็นเขาได้ในทุกมุมของจักรวาลไม่ว่าในเวลาใดก็ได้ ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่าตถาคต
ตอนเราเด็กๆ เราเล่นเกมเอาลูกบอลลูกเล็กๆ ใส่ในหมวกไม้ไผ่สาน และก็ทำให้ลูกบอลกลิ้งไปเรื่อยๆ ในหมวกนั้น พอมันกลิ้งช้าลง เราก็สามารถจะเห็นการเคลื่อนไหวของลูกบอล แต่ถ้าลูกบอลกลิ้งเร็วมากๆ มันก็ดูราวกับว่าไม่มีลูกบอลอยู่ นี่เป็นเรื่องของความเร็วของลูกบอล พอบุคคลคนนั้นกลายเป็นพุทธะแล้ว การสั่นสะเทือนของเขาจะแตกต่างไป เขาไปมาได้อย่างรวดเร็วมาก แต่ดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ไปหรือมาเลย เขาเร็วกว่าแสง เร็วกว่าสิ่งใดๆ แม้กระทั่งเร็วกว่าความคิดของเรา
เราทุกคนคิดว่า ความเร็วของแสงเป็นสิ่งที่เร็วที่สุดในโลกนี้ ถ้ามีฟ้าแลบฟ้าร้องที่ไหน เราจะสามารถเห็นแสงไฟแลบภายในหนึ่งวินาที เพราะว่าความเร็วของแสงนั้นไวมาก ยกตัวอย่างเช่น จักรยานมีความเร็วช้ามาก และเครื่องบินก็ไวกว่ามาก ทุกคนรู้ว่าความเร็วของแสงไวมาก แต่พุทธะและโพธิสัตว์ไวกว่าแสงอีก อย่างไรก็ตาม, พวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวร่างกาย
บางครั้งเธออาจจะดูภาพยนตร์กังฟูทางทีวีหรือรายการแสดงกังฟูที่พวกเขามักจะตั้งใจแสดงท่าให้ดูช้าๆ เพื่อให้เราสามารถเห็นเทคนิคที่ใช้ในท่ากังฟูที่สวยงาม แต่ถ้าการเคลื่อนไหวนั้นเร็วเกินไป เราจะเห็นมันได้ไม่ชัด ท่ากังฟูของบางคนช้ามาก บางคนก็เร็วมาก อย่างเช่น การเคลื่อนไหวของบรูซ ลี ไวมาก ปกติ, ก่อนที่เราจะเห็นเขาเริ่มลงมือ เขาก็จัดการเสร็จไปแล้ว บางคนสามารถรำดาบหรือทำอะไรได้เร็วแบบนั้นเหมือนกัน
พุทธะยิ่งเร็วกว่าอีก คนธรรมดาจึงไม่สามารถเห็นท่าทางการเคลื่อนไหวของพวกท่านเวลาที่พวกท่านไปมา ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกพวกท่านว่าตถาคต ดังนั้นจึงมีกล่าวไว้ว่า “เซ็นอยู่ในการเดิน, การใช้ชีวิต, การนั่งและการนอน”
คนที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนการทำสมาธิ หรือคนที่ระดับชั้นสูงกว่าผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นนิดหน่อย จะรู้เวลาที่พวกเขาเข้าสู่สมาธิหรืออยู่ในสมาธิ และก็รู้ตอนที่ออกจากสมาธิด้วย แม้กระทั่งคนอื่นก็สามารถสังเกตเห็นได้ด้วย แต่กับคนที่ระดับชั้นสูงมากซึ่งบรรลุถึงสภาวะตถาคตแล้ว เราไม่มีทางบอกได้เลยว่าเขาเข้าหรือออกจากสมาธิเมื่อไหร่ เพราะว่าเขาเข้าและออกทุกขณะ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในสมาธิในช่วงเวลาหนึ่ง เราก็บอกไม่ได้ เพราะว่าเขาเร็วมากจริงๆ เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางที่จะตัดสินว่าเขาเข้าสู่สมาธิในช่วงหนึ่งแล้วก็ออกมาจากสมาธิแล้ว เราไม่สามารถกำหนดได้ทั้งเข้าและออก เขาเข้าสู่สมาธิและออกจากสมาธิในเวลาเดียวกัน เพราะว่าระดับของเขาสูงมากและความเร็วของเขาก็ไวเหลือเชื่อ
เรากล่าวว่า “เซ็นอยู่ในการเดิน, การใช้ชีวิต, การนั่งและการนอน” แต่ถ้าเรายังไม่บรรลุถึงระดับนั้นที่ “เซ็นอยู่ ในการเดิน, การใช้ชีวิต, การนั่งและการนอน” ก็ไม่มีทางที่เราจะมีนิรมาณกายที่นับไม่ถ้วน และไม่มีทางที่เราจะอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งได้ สำหรับตถาคตแล้ว, ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขาก็เพียงแต่พักอยู่ในที่แห่งหนึ่งเท่านั้น คาดว่าเขาอยู่ในระดับที่ “เซ็นอยู่ในการเดิน, การใช้ชีวิต, การนั่งและการนอน” ซึ่งเขาจะอยู่ทั้งในและนอกสภาวะสมาธิทุกขณะ
ก็คล้ายๆ กับการเล่นกลิ้งลูกบอลไปรอบๆในหมวกไม้ไผ่ตอนที่เรายังเด็กๆ ลูกบอลกลิ้งไปรอบๆเร็วมากจนเรามองไม่เห็นมัน เราบอกไม่ได้ว่ามันอยู่ตรงนี้หรือตรงนั้นกันแน่ มันกลิ้งไปรอบๆเร็วมาก พอสักพักหนึ่งก็ดูเหมือนกับว่าลูกบอลนั้นหายไปไม่ได้อยู่ในหมวกเพราะว่าความเร็วของลูกบอลมันเร็วมาก
นอกจากนี้, สภาวะตถาคตก็ไม่ได้เป็นแบบเดียวกับการถอดถ่ายกายทิพย์ คนบางคนรู้วิธีเข้าสู่สมาธิแบบหนึ่งดีมาก สามารถกระทั่งคงอยู่ในสภาวะนั้นไปหลายเดือนหรือหลายปี แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะว่าเขายังคงอยู่ในระดับที่คนอื่นสามารถแยกแยะได้ว่าบาง ครั้งเขาอยู่ในสมาธิหรือบางครั้งก็ออกจากสมาธิ
ที่ระดับนี้ยังมี “ประตู” ให้เข้าหรือออกจากสมาธิ อย่างไรก็ตาม, เซ็นไม่มี “ประตู”อะไร ดังนั้นระดับนี้จึงสูงจริงๆ เราจึงมักจะเห็นข้อความจารึกว่า “ไม่มีประตูทั้งสอง” เวลาที่เธอไปตามวัดทางพุทธต่างๆ มันหมายความถึงสภาวะที่ไม่มีด้านในและด้านนอก ไม่มีดีไม่มีชั่ว กระทั่งไม่มีโลกและไม่มีพุทธะ แต่เธอต้องบรรลุถึงระดับที่ “ไม่มีประตูทั้งสอง”นี้เสียก่อน
เธอควรจะไปให้ถึงหรือบรรลุถึงสภาวะตถาคตเพื่อที่เธอจะสามารถไปที่ใดก็ได้ทุกเวลา แต่ก็ยังคงอยู่ในที่แห่งหนึ่งเช่นกัน ทุกคนเขียนข้อความว่า “ไม่มีประตูทั้งสอง” หรือว่า “เซ็นอยู่ในการเดิน, การใช้ฃีวิต, การนั่งและการ นอน” แต่ไม่มีใครเข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะสามารถใช้สมองมาคิดให้เข้าใจได้ แต่เธอจำเป็นจะต้องบรรลุถึงสภาวะนี้เอง อย่างไรก็ตามหลังจากที่เธอบรรลุถึงระดับนี้แล้ว เธอก็จะยังคงเป็นคนปกติธรรมดาคนหนึ่ง เธอจะไม่คิดว่าเธอเป็นพุทธะ