ออร่า แตกต่างจากแสง ออร่ามีสีต่างๆ กัน : บางครั้งสีดำ บางครั้งสีกาแฟ และบางครั้งสีเหลืองหรือแดง มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้น แต่เมื่อคุณเห็นคนที่มีออร่าทางจิตวิญญาณที่แรงกล้า คุณจะรู้ว่ามันแตกต่างกันกล่าวโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ สหประชาชาติ นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา26 มิถุนายน 2535 (1992) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ดีวีดี #260ผู้คนที่รู้แจ้งจะมีแสงที่ยิ่งใหญ่รอบตัวเขา นั่นแตกต่างจากออร่า ทุกคนมีออร่า แต่แสงที่ยิ่งใหญ่ของคนที่รู้แจ้งนั้นแตกต่างกัน มันใหญ่กว่า ชัดกว่า และเจิดจรัสกล่าวโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ มิวนิก เยอรมนี1 พฤษภาคม 2536 (1993) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป # 366แสงรอบพระพุทธเจ้าและพระเยซูนั้นถูกเรียกว่า รัศมีทรงกลด ซึ่งเป็นสนามแม่เหล็กของผู้รู้แจ้ง ยิ่งบุคคลนั้นรู้แจ้งมากเท่าไร แสงนี้รอบตัวเขาหรือเธอก็จะยิ่งสว่างไสว แต่เพียงเมื่อคุณเปิดตาปัญญาแล้วเท่านั้น คุณจึงจะสามารถเห็นว่าคนๆ หนึ่งมีแสงหรือไม่ คนที่มองเห็นแสงภายในได้เป็นคนที่มีแสงภายนอกเช่นกัน คนที่มองไม่เห็นแสงภายในนั้นมีแสงที่ริบหรี่มากหรือมืดมาก หรือมีแสงภายนอกน้อยมาก เราเรียกสิ่งนี้ว่าออร่า ออร่าของคนที่รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์นั้นเจิดจ้ามากๆ ศิษย์ที่สามารถมองเห็นแสงนี้ เพราะเขาหรือเธอรู้แจ้งแล้ว เป็นศิษย์ที่ตาปัญญาถูกเปิดแล้ว และเขาหรือเธอสามารถมองเห็นว่าพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูมีแสง ดังนั้นพวกเขาจึงวาดภาพเหมือนกับที่พวกเขามองเห็น... บางคนมีพลังจิตอยู่บ้างเช่นกัน พวกเขาไม่ได้บำเพ็ญวิถีกวนอิมด้วยซ้ำ แต่พวกเขามีตาปัญญาที่เปิดออกเล็กน้อย พวกเขาสามารถมองเห็นว่าใครมีแสงวิเศษเช่นกัน ใครมีแสงสีทอง และใครมีแสงสีกาแฟเข้ม แต่ความรู้ที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง คุณคือครู คุณคือพุทธะ และฉันต้องการแสดงให้คุณเห็นถึงปัญญาอันยิ่งใหญ่ของคุณกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ โคลัมโบ ศรีลังกา29 เมษายน 2543 (2000) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#687ถ: ท่านสามารถเห็นและวิเคราะห์ออร่าของผู้คนรอบๆ ท่านได้หรือไม่?อ: ฉันไม่สนใจ ฉันสนใจเพียงจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งสว่างไสวเสมอ เจิดจ้าเสมอ ชั่วนิรันดร์และมีอยู่ทุกหนแห่งเสมอกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา28 มีนาคม 2536 (1993) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#343แน่นอนว่าผู้คนที่บำเพ็ญทางจิตวิญญาณสามารถมองเห็นออร่าของคนอื่น แต่นั่นเป็นเพียงออร่าของโลกทิพย์ ตัวตนที่มีวิวัฒนาการระดับสูงจะแค่มองจิตวิญญาณของคนๆนั้น ซึ่งมีหรือไม่มีออร่า จิตวิญญาณนั้นสมบูรณ์แบบเสมอ สว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์เป็นล้านๆ ดวงมารวมกัน บางครั้งมันแค่ถูกปกคลุมไว้กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ เอเธนส์ กรีซ20 พฤษภาคม 2541 (1999) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#653การรักษาโรคโดยการใช้พลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่เป็นธรรมชาติ มันไปยุ่งกับออร่าของผู้คน กับจักระของผู้คน กับจิตวิญญาณและสนามแม่เหล็กของผู้คน มันยากที่จะแก้ไขในภายหลัง มันยังเป็นการวุ่นวายกับจิตและธรรมชาติของผู้คนด้วยกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา24 กุมภาพันธ์ 2534 (1991) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#155อันที่จริง อะไรก็ตามที่เราได้ทำไปแล้วหรือที่เราทำ แม้ว่าไม่มีใครรู้ แม้ว่าไม่มีใครเคยเห็นว่าเราทำสิ่งเหล่านี้มาก่อนหรือไม่เคยพบเราด้วยซ้ำ พวกเขาจะยังคงตรวจพบบางอย่างจากออร่าของเรา จากสนามพลังงานของเรา สนามแม่เหล็กของเรา และก็ตอบสนองตามนั้น นั่นคือเหตุที่เราจะต้องระวังตลอดเวลาที่จะรักษาตัวเราให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์และสะอาดอย่างไม่มีที่ติ และพยายามรักษามันอย่างมีสติเช่นนี้อยู่เสมอ มิฉะนั้นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่สามารถโทษใครอื่นได้กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา19 กุมภาพันธ์ 2539 (1996) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วิดีโอเทป # 527มีอีกประเด็นเกี่ยวกับว่า ทำไมเราต้องรักษาตัวเราเองให้สูงส่งและบริสุทธิ์ เพราะผู้คนสามารถมองเห็นเรา --- ผู้ที่มองเห็น นักปราชญ์ และความบริสุทธิ์ในหัวใจ --- สามารถมองเห็นออร่าของเรา ถ้าเราทำบางอย่างถูกต้อง ถ้าเราตระหนักถึงพระเจ้า เรารักพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ออร่าของเราจะเป็นสีทอง โชติช่วง ถ้าเราทำบางอย่างผิดพลาด - ถ้าเราทำร้ายผู้อื่นทางอารมณ์ ทางกาย ทางจิตใจ หรือทางจิตวิญญาณ -- ออร่าของเราจะมืด ผู้คนสามารถมองเห็นเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถหลอกลวงได้ นั่นคือเหตุที่เราจะต้องรักษาตัวเราเองให้งดงามกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ปูเน่ อินเดีย23 พฤศจิกายน 2540 (1997) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ธรรมสาร ฉบับ 91,ดีวีดี #600
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ในฮุสตัน, เท็กซัส, สหรัฐอเมริกา ๑๒ พฤศจิกายน ๑๙๙๓ (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) เธอคงรู้จักไก่ชนใช่ไหม? มีกษัตริย์ของจีนองค์หนึ่ง ท่านชอบชนไก่มาก เธอคงรู้จักนะ เอาไก่สองตัวมาสู้กัน แล้วก็พนันกันนั่นแหละ ตอนนี้ก็ยังมีคนทำแบบนี้อยู่ เรื่องก็คือ กษัตริย์องค์นี้ชอบการชนไก่มาก ท่านมีนักเลี้ยงไก่ชนที่เก่งมากอยู่คนหนึ่ง จึงนำไก่ตัวหนึ่งมาให้เขาเลี้ยง เป็นไก่พันธุ์ที่ดีที่สุด ให้เขาจัดการดูแลเพื่อจะได้เป็นไก่ชนที่เก่งกาจ เป็นแชมป์ในคราวหน้า นักเลี้ยงไก่ผู้นั้นก็ดูแลเลี้ยงไก่ตัวนั้น หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนกษัตริย์ก็ตรัสถามว่า “ไก่ตัวนั้นพร้อมแล้วหรือยัง?”ผู้เลี้ยงก็ตอบว่า “ยังไม่พร้อม” กษัตริย์ก็ถามว่า “ทำไม่ล่ะ?” เขาก็ตอบว่า “มันยังไม่ถึงขั้นเลย” กษัตริย์จึงถามว่า “มันเป็นอย่างไรหรือ?” เขาก็ตอบว่า “เวลาที่มันเห็นไก่ตัวอื่นๆ อยู่แถวนั้น หรือบางทีเห็นไก่ตัวอื่นอยู่ไกลๆ ก็ตาม มันก็จะเริ่มตั้งท่า แสดงออกและรู้สึกตื่นเต้น กางปีกออก อ้ากรงเล็บออก อะไรทำนองนั้น มันยังแย่มาก” กษัตริย์ก็ถามอีกว่า “เอาล่ะ ดูแลมันต่อไปและฝึกหัดมันต่อก็แล้วกัน” อีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมา กษัตริย์ก็ถาม อีกว่า “มันพร้อมแล้วหรือยัง?” เขาก็ตอบว่า “ยัง ยัง แต่ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยัง แต่ยังรู้สึกตื่นเต้นมากเวลาที่เห็นไก่ชนตัวอื่นๆ อยู่แถวนั้น เพราะ ฉะนั้นก็ยังไม่ดีนัก” เขาก็เลี้ยงไก่ชนนั้นต่อไปอีก จนหลายเดือนผ่านไป กษัตริย์ก็รู้สึกเอือม และลืมเรื่องเกี่ยวกับไก่ที่ยังไม่ได้เรื่องได้ราวนี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ผู้เลี้ยงไก่ก็เข้ามารายงานต่อกษัตริย์ว่า “ตอนนี้ไก่พร้อมแล้ว” กษัตริย์จึงถามว่า “ทำไม? ทำไม? เธอรู้ได้อย่างไรว่ามันพร้อมแล้ว?” เขาก็ตอบว่า “ตอนนี้ ถึงแม้ไก่ตัวอื่นๆ ทุกตัวมองเห็นมันตั้งแต่ไกลๆ โดยที่มันก็ไม่ได้ทำอะไร มันเพียงแต่เดินไปเดินมา ไก่ตัวอื่นๆ ก็วิ่งหนีถอยห่างกันหมด เพราะฉะนั้นนี่แหละคือตอนที่มันพร้อมแล้ว” ตอนนี้มันไม่ได้มีลักษณะเป็นไก่ชนแล้ว เพียงแต่เป็นตัวของตัวเอง ไก่ตัวอื่นๆ ก็กลัวกันหมด ใช่ ตอนนี้มันมีพลังทุกอย่างแล้ว ดังนั้นเมื่อพลังทุกอย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์ มันจะไม่รั่วไหลออกมา เข้าใจไหม ไม่มีทางที่จะรั่วออกมาได้ เธอจึงไม่รู้ไม่เห็นมัน ดังนั้นในพระสูตรมากมายจึงมีกล่าวว่า “เวลาที่เธอรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ เธอจะดูเหมือนคนธรรมดามาก จิตใจที่ธรรมดาคือจิตใจที่รู้แจ้ง...” เขากล่าวกันไว้อย่างนั้น... ฺBe Veg, Go Green 2 Save The Planet www.SupremeMasterTV.com
โดย อนุตราจารย์ชิงไห่, ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา ๓๑ ธันวาคม ๑๙๙๔ (เดินเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ) นานมาแล้วมีชายแก่คนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ที่เชิงเขาและก็ยากจนมาก เขาไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ เลย นอกจากกระท่อมมุงจากซึ่งเป็นสมบัติสิ่งเดียวที่เขามี จริงๆ แล้ว คนคนนี้เป็นคนที่ขี้เกียจมาก ดังนั้นมันก็สมควรแล้ว! วันหนึ่งเขาได้ยินว่า ในที่แห่งหนึ่งมีโยคีที่มีอำนาจวิเศษมากคนหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติที่สามารถเนรมิตสิ่งใดที่เขาต้องการก็ได้ หลังจากที่ได้ยินดังนั้น ชายที่ขี้เกียจมากคนนี้ ซึ่งไม่ต้องการจะทำงานอะไร จึงอยากจะไปที่นั่นเพื่อขอให้โยคีคนนั้นใช้อำนาจเหนือธรรมชาติของเขาเนรมิตสิ่งต่างๆ ให้เขา เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป หลังจากที่คิดอย่างนี้แล้ว เขาก็เริ่มออกเดินทาง เขาเดินมาเป็นระยะทางที่ไกลมากไปยังถ้ำในภูเขาที่โยคีคนนั้นอาศัยอยู่ เมื่อเขาพบโยคี เขาก็กราบคารวะ โยคีนั้นก็ดีมากทีเดียว ต้อนรับเขาอย่างสุภาพและก็ถามเขาว่าต้องการอะไร ชายที่ขี้เกียจคนนั้นก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพรัก ฉันเป็นคนยากจนมาก นอกจากกระท่อมมุงจากหลังเล็กๆ หลังหนึ่งแล้ว ฉันไม่มีอะไรอีกเลย ตอนนี้ฉันก็แก่มากแล้ว ทำงานไม่ได้ ดังนั้นได้โปรดเถิดท่านอาจารย์ผู้เมตตา กรุณาช่วยฉันด้วย มอบทรัพย์สมบัติให้แก่ฉันบ้างเพื่อจะใช้ในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันทราบว่าท่านมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติมาก ท่านสามารถเนรมิตสิ่งใดๆ ก็ได้ในทันทีที่ต้องการ ฉันเชื่อว่าท่านจะสามารถช่วยเหลือฉันได้” โยคีคนนั้นก็หลับตาลง และก็นั่งเงียบโดยไม่พูดอะไรสักคำ บางทีอาจจะเพราะว่าท่านรู้สึกเหนื่อยที่ต้องฟังเรื่องเหล่านี้ ชายแก่คนนี้ก็ยังคงขอร้องเขาอยู่ตลอด หลังจากที่ขอร้องอยู่นาน โยคีคนนั้นก็ให้เก้าอี้ตัวหนึ่งแก่เขาไปโดยไม่เต็มใจนักพูดว่า “หลังจากที่เธอกลับไปบ้านแล้ว เวลาใดที่เธอคิดถึงสิ่งที่เธอต้องการ ก็จงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนี้ได้ แต่เธอต้องล้างมือ ล้างหน้า และอาบน้ำก่อนที่จะนั่งบนเก้าอี้นะ แล้วจึงคิดถึงสิ่งที่เธอปรารถนา ทำแบบนี้แล้วเธอจะได้มันมาแน่นอน” หลังจากที่ขอบคุณโยคีนั้นแล้ว ชายแก่คนนั้นก็รีบนำเก้าอี้นั้นกลับไปบ้านทันที! หลังจากไปถึงบ้านแล้ว เขาไม่ได้ชักช้าเสียเวลาแม้แต่นิด เขารีบไปล้างมือ ล้างหน้า อาบน้ำทันที แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ในเวลานั้นเขารู้สึกหิวมาก เขาจึงคิดถึงอาหาร แล้วก็มีอาหารปรากฏขึ้นมาทันที โอ! เป็นอาหารที่ดีมาก รสเลิศและมีมากมาย ดังนั้นเขาจึงกินเข้าไปจนอิ่มมาก หลังจากกินเสร็จแล้ว เขาก็รู้สึกอ่อนเพลียและอยากจะได้เตียงสำหรับนอนพักผ่อน ในทันทีก็มีเตียงพร้อมฟูกที่นอนหนาปรากฏขึ้น เขาก็นอนลงไปเพื่อจะหลับให้สบาย แต่เขาก็ไม่สามารถจะได้พักผ่อนจริงๆ เพราะว่าในใจของเขากำลังคิดอยากได้สิ่งต่างๆ และเงินอยู่ตลอดเวลา เขาจึงกระโดดลุกขึ้นจากเตียงและไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ตอนนี้เขาเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนกระท่อมมุงจากของเขาให้กลายเป็นวัง ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ กระท่อมมุงจากนั้นก็หายไปทันที! วังของชายแก่คนนี้สวยงามมาก มีเพชรนิลจินดาอยู่ทั่วไปหมด ประตูทำด้วยทอง พื้นและเพดานทำด้วยทอง แม้แต่เสาทั้งหลายก็เป็นทองฝังเพชรพลอยที่มีค่ามาก ดังนั้นเขาจึงมีความสุขและรู้สึกสบายมาก เขายังคิดต่อไปอีกว่า “อา! วังใหญ่โตอย่างนี้ไม่ควรจะไม่มีคนรับใช้” เขาเพิ่งคิดเสร็จก็มีคนรับใช้หลายคนปรากฏขึ้นคอยรับคำสั่งจากเขา ต่อมาเขาก็คิดว่า “มีคนรับใช้ มีวัง โดยไม่มีเงินไม่ได้! ” เขาจึงคิดถึงเงิน ทอง และเงินตราธนบัตร ทันใดนั้นทุกอย่างก็ปรากฏขึ้น มันทำให้ชายแก่คนนี้มีความสุขมากจริงๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็กลับกังวลขึ้นมา เขาคิดว่า “อา! วังของฉันสวยงามมาก มีทรัพย์สมบัติมากมาย ถ้าเกิดมีแผ่นดินไหว แล้วจะทำยังไง? (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เขาเพิ่งคิดเสร็จ แผ่นดินไหวก็เกิดขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของเขาและวังนั้นก็ถูกทำลายยุบหายลงไปในดิน(รวมทั้งเก้าอีวิเศษ) เรื่องนี้บอกอะไรแก่พวกเรา? จิตใจของเราจะต้องสะอาดและบริสุทธิ์ก่อนตั้งแต่แรก มันยังดีไม่พอหรอกที่มีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ หรืออำนาจจากการปฏิบัติบำเพ็ญ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องทำกาย วาจา และความคิดของเราให้สะอาดก่อนที่จะมีพลังอำนาจนั้น ถ้าเรามีอำนาจแต่กาย วาจา และความคิดของเราไม่สะอาด ไม่รักษาศีลอย่างถูกต้อง เราก็สามารถทำสิ่งที่เลวได้ พลังอำนาจของเราจะสามารถทำอันตรายตัวเราเองได้ บางครั้งอำนาจนี้สามารถทำอันตรายคนอื่นได้ด้วย ดังนั้นตั้งแต่โบราณกาลมา อาจารย์ทั้งหลายก่อนที่จะรับลูกศิษย์ จะทดสอบลูกศิษย์อยู่เวลานาน จนกระทั่งกาย วาจา และใจของเขาสะอาดหมดจดก่อนที่จะให้พลังอำนาจแก่เขา อาจารย์บอกพวกเธออยู่บ่อยๆ ว่าไม่ให้ฝึกอำนาจเหนือธรรมชาติ คนธรรมดาข้างนอกสามารถฝึกอำนาจเหนือธรรมชาติกันได้ง่ายๆ พวกเขาไม่ต้องถือศีลอะไรและไม่ต้องเป็นมังสวิรัติ เมื่อเรายังไม่สามารถควบคุมจิตใจของเราได้ ถ้าเราคิดถึงเรื่องเลวๆ มันก็จะเกิดขึ้นทันที เพราะว่าตอนนั้นเราจะได้ในสิ่งที่เราคิด พลังอำนาจในจักรวาลนี้มีมากมายมหาศาล แต่เราควรรู้วิธีที่จะใช้มัน มิฉะนั้นมันจะสามารถทำให้เกิดอันตรายมากมาย เป็นอันตรายต่อตัวเราเอง และเป็นอันตรายต่อโลกด้วย ภัยพิบัติบางอย่างที่เราเห็นในโลกนี้บางครั้งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นกรรมของผู้คนทั้งหลายนั้น แต่เนื่องมาจากคนบางคนที่ฝึกพลังเหนือธรรมชาติ พวกเขาฝึกไปในทิศทางที่เลวหรือเนื่องมาจากความคิดที่วุ่นวายสับสนของพวกเขา จึงทำให้โลกสับสนวุ่นวายไปด้วย เราสามารถกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้ก่อเรื่องวุ่นวาย หรือมีพลังอำนาจทางลบเข้าสิง มีคนแบบนี้จริงๆ ดังนั้นเวลาเราบำเพ็ญเราต้องคิดถึงพระเจ้าทุกๆ วัน คิดถึงชื่อที่มีพลังบรรจุอยู่เต็มเปี่ยมของพุทธะทั้งหลายเพื่อที่จะป้องกันตัสเราเอง บางครั้งมันไม่ได้เป็นกรรมของเราเองทั้งหมดที่ทำให้เกิดอุปสรรคกีดขวาง แต่บางครั้งมันเป็นเพราะพลังมายา พลังทางลบที่อยู่รอบๆ ตัวเราที่มีผลกระทบกระเทือนต่อเรา ดังนั้นเราต้องจำเป้าหมายของเราไว้เสมอ จำพลังอำนาจที่สูงสุดและท่องคำพระห้าคำไว้เพื่อปกป้องตัวเราเอง การคิดให้มากๆ ถึงพระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ จะทำให้จิตใจของเราสะอาด แล้วเราก็จะไม่ปรารถนาต้องการสิ่งใดๆ สำหรับพวกเราแล้วในตอนนั้นพลังอำนาจเหนือธรรมชาติจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะว่าเราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และจะไม่มีอะไรที่เราไม่สามารถจะมีได้ ถึงตอนนั้นเราจะรู้สึกพึงพอใจมากอยู่ข้างใน และเราก็จะรู้ว่าหลังจากที่เราได้จากโลกที่เป็นมายาลวงตานี้ไปแล้ว เราก็จะกลับไปสู่บ้านเกิดของเราที่ซึ่งเรามีทุกสิ่งทุกอย่าง เปรียบเทียบกับสถานที่นั้นแล้ว โลกนี้ก็เป็นเพียงขยะเท่านั้น ที่นี่ไม่มีอะไรจะเสนอสนองแก่เราได้ หลังจากที่วิญญาณของเราได้กลับไปดูยังบ้านเกิดของเราหลายครั้งแล้ว จิตใจของเราก็จะเข้าใจและจะมั่นคงมาก ตอนนั้นเราจะไม่ต้องการอะไรเลย หรือหากเราต้องการเราก็จะต้องการเฉพาะสิ่งที่ดีสำหรับคนอื่น หัวใจของเราจะมีเมตตากรุณามาก คิดถึงแต่สิ่งที่เป็นบวกอยู่เสมอ เมื่อคิดถึงแต่สิ่งที่เป็นบวกแล้ว สิ่งที่เป็นบวกนั้นก็จะเกิดขึ้น.... Be Veg, Go Green 2 Save The Plane
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, ฟอร์โมซา ๑๙ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๕ (เดิมเป็นภาษาจีน) ครั้งหนึ่ง ขณะที่ขโมยคนหนึ่งกำลังพยายามจะขโมยของในพระราชวัง เขาก็แอบได้ยินการสนทนากันระหว่างขันทีสองคนว่า “พระราชาของเราอยากจะให้เจ้าหญิงแต่งงานกับนักบวชที่กำลังบำเพ็ญอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เรื่องนี้เธอคิดว่าอย่างไร?” ขันทีอีกคนก็พูดว่า “ก็ดีนี่! ดีแล้ว! เจ้าหญิงเป็นบุคคลที่มีค่ามากที่สุดในประเทศนี้ และพวกนักบวชที่กำลังบำเพ็ญอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาก็เป็นบุคคลที่หาได้ยาก, มีคุณธรรม และประเสริฐสูงส่งในโลกนี้เช่นกัน ฉันก็ย่อมจะยินดีและเห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นธรรมดา!” พอได้ยินคำพูดเหล่านี้เข้า ขโมยคนนั้นก็เลิกล้มความคิดที่จะลักขโมย แล้วก็แอบหลบกลับไปเป็นนักบวชแทน (มีเสียงหัวเราะ) เขารีบโกนผมแล้วก็ใส่ชุดนักบวชแล้วก็ไปนั่งสมาธิปะปนกับนักบวชเหล่านั้น หวังใจว่าเจ้าหญิงจะกลายมาเป็นภรรยาของตน หลายวันต่อมา พระราชาก็ส่งขันทีไปยังชายฝั่งแม่น้ำคงคาจริงๆ เพื่อถามนักบวชเหล่านั้นว่าอยากแต่งงานกับเจ้าหญิงหรือไม่ โดยถามไปทีละคน พอได้รับคำตอบปฏิเสธก็ถามคนต่อไปเรื่อยๆ พวกนักบวชเป็นผู้บำเพ็ญที่ดี และไม่สนใจอะไรในตัวเจ้าหญิง ดังนั้นทุกคนจึงปฏิเสธกันหมด มีขโมยคนนั้นคนเดียวที่ยังไม่ได้ถูกถาม กำลังนั่งใจเต้นตุ้บๆ แทบจะบ้าอยู่แล้ว ในใจเขาส่งเสียงร้องโหวกเหวกอยู่ว่า ฉันอยู่ที่นี่! มาถามฉันเร็วๆ เข้าซี (มีเสียงหัวเราะ) ในที่สุดขันทีก็เข้าไปถามเขา พอขันทีคนนั้นถามเขา เขาก็นั่งเงียบเฉยอยู่ (มีเสียงหัวเราะ) ไม่พูดอะไรเลยสักคำ คนอื่นๆ ทุกคนบอกว่าเขาไม่ต้องการจะแต่งงานกับเจ้าหญิง แต่เขาไม่พูดอะไรเลย มันก็แตกต่างกันมากอยู่แล้ว ขันทีก็ดีใจมากไปรายงานให้พระราชาทราบว่า “มีนักบวชที่บำเพ็ญอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาคนหนึ่งดูเหมือนกับคิดว่าจะแต่งงานกับเจ้าหญิงเหมือนกัน คือเราถามเขาแล้วเขาไม่ได้ปฏิเสธ ซึ่งก็หมายความว่าเขายินยอมถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้ตัดสินใจพูดออกมาว่ายินยอมด้วยจริงๆ เท่านั้นเอง ในระหว่างนักบวชทั้งหมดที่เราถามดูแล้ว มีเขาคนเดียวที่ไม่ได้ตอบปฏิเสธ” ด้วยความยินดีกับข่าวดีนี้มาก พระราชาก็คิดว่าพระองค์ควรจะไปด้วยตัวเองและก็เอาของขวัญบรรณาการไปให้เยอะๆ แล้วนักบวชนั้นก็จะยอมแต่งงานกับเจ้าหญิงแน่นอน พระราชาจึงพาแม่ทัพนายกองและเสนาบดีทั้งหมดของพระองค์รวมทั้งขันทีด้วย เดินทางไปยังแม่น้ำคงคาที่ขโมยกำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วพระองค์ก็ขอร้อง “นักบวช” นั้นด้วยความเคารพยกย่องมากให้แต่งงานกับเจ้าหญิง เนื่องจากพระราชาก็บำเพ็ญปฏิบัติเช่นเดียวกัน ดังนั้นพระราชาจึงไม่อยากให้เจ้าหญิงแต่งงานกับคนธรรมดาทั่วไป พระราชาอยากให้พระธิดา แต่งงานกับผู้บำเพ็ญมากกว่า เพื่อที่เธอจะได้บำเพ็ญไปด้วยพร้อมกับสามีที่ดี, ครูที่ดี พระราชาจะพอใจมากที่ได้ลูกเขยที่สามารถสอนวิธีทำสมาธิและวิธีเป็นคนที่มีคุณธรรมแก่เจ้าหญิงได้ ดังนั้นพอได้ยินว่ามีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งที่กำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาจะยอมแต่งงานกับเจ้าหญิงพระองค์จึงดีใจมาก ก้มกราบแสดงความเคารพเขาอย่างยกย่องมาก และขอให้เขาแต่งงานกับพระธิดา ขโมยคนนั้นรู้สึกพึงพอใจมากแต่แล้วเขาก็คิดขึ้นมาว่า ฉันเพิ่งจะโกนผมแล้วก็แต่งตัวชุดนักบวชปลอมตัวเป็นนักบวชผู้บำเพ็ญมาไม่นานเอง แต่พระราชากับเสนาบดีของพระองค์ทุกคนยังปฏิบัติต่อฉันอย่างเคารพนับถือมากขนาดนี้ แล้วก็เสนอทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายให้แก่ฉันด้วย ฉันนึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นไปได้ขนาดไหนถ้าฉันจะกลายเป็นนักบวชจริงๆ เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งจริงๆ! ” หลังจากนั่งคิดพิจารณาดูแล้ว เขาก็ไม่อยากจะแต่งงานกับเจ้าหญิงอีกต่อไป! (มีเสียงหัวเราะ) เขากลับเริ่มต้นบำเพ็ญอย่างเอาจริงเอาจังแทน ตอนแรกเป็นการแกล้งทำ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นนักบวชจริงๆ คนหนึ่งไปแล้วเพราะเขาได้รู้ได้เข้าใจถึงประโยชน์ของการบำเพ็ญแล้ว นับแต่นั้นมา ขโมยคนนั้นก็นั่งสมาธิและบำเพ็ญอย่างจริงใจมาก จนในที่สุดเขาก็ได้รู้แจ้งและกลายเป็นพุทธะ เป็นผู้บำเพ็ญที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง... ฺBe Veg, Go Green 2 Save The Plane
“มีคุณธรรม” “รักษาบ้านของคุณก่อนที่มันจะสาย” ผมควรจะเก็บความรู้อันนี้เอาไว้เพื่อจะได้บอกญาติมิตร เพื่อนพ้องและคนสนิทเท่านั้น อย่างน้อยก็รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้พร้อมวิธีเอาตัวรอด หรือบางทีผมน่าจะเผยแพร่มันไปให้กว้างขวางที่สุด ให้เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจ สนับสนุนให้คนรณรงค์เพื่อช่วยกันปกป้องโลก เราจะได้หลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายก่อนสายเกินไปซึ่งแน่นอนจะต้องมีคนบอกว่าผมเป็นคนบ้าหรือเสียสติไปแล้ว เห็นๆ อยู่แล้วว่าผมเลือกทางที่สองซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ดีมากกว่า..... ข้อความ 2 ข้อความข้างต้นนี้ไม่ได้ถูกส่งมาจากองค์การระดับโลกหรือจากประเทศไหนๆ อย่างนาซ่า สหประชาชาติ หรือไอพีซีซี ไม่ได้ถูกส่งมาจากประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีของประเทศใด และมันไม่ได้ถูกส่งมาจากผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำศาสนา หรือนักบวชของศาสนาใดๆ บนโลก นอกจากนั้นมันยังไม่ได้มาจากฟอร์เวิร์ดเมลล์ ที่ปลิวว่อนอยู่ในอินเทอร์เนต แต่ใครจะเชื่อว่า มันถูกส่งมาจากมนุษย์ดาวอังคาร ! ตลอดระยะเวลายาวนานมาแล้ว ที่มนุษย์พยายามมองหาชีวิตจากนอกโลก ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด ไฮเทคที่สุด พยายามส่งสัญญาณต่างๆ ออกไปแล้วเฝ้าสังเกตฟากฟ้าและดวงดาวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรอคอยสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกจะตอบรับกลับมา แต่ก็ยังคงผิดหวัง พวกเขาไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตแม้เล็กที่สุดอย่างแบคทีเรียจากนอกโลกเลย ยานอวกาศถูกส่งออกไปสำรวจดวงดาวต่างๆ แต่คงยังว่างเปล่าหรือว่าการค้นหายังไม่ดีพอ ยังไม่ครอบคลุมพอ หรืออาจเป็นเพราะว่าในห้วงอวกาศไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ โลกเป็นเพียงดาวดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตกระนั้นหรือ ? มนุษย์กลับมามีความหวังอีกครั้งจากการสำรวจดาวอังคาร ภายหลังจากการส่งยานอวกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2508 ชื่อ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและร่องลึกที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชื่อที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ต่อมายานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา 8 มีนาคม พ.ศ. 2550 นายเจฟเฟรย์ แอนดรูวส์-แฮนนาและเพื่อนร่วมงาน แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ พบหลักฐานสำคัญว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีโครงสร้างของระบบน้ำซึม ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ชี้ให้เห็นว่าดาวอังคารเคยมีความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนกับองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตมาเป็นเวลานาน 22 กันยายน พ.ศ. 2550 ยาน 2001 มาร์สโอดิสซีย์ พบสิ่งที่ดูเหมือนถ้ำ 7 แห่ง บริเวณเนินลาดของภูเขาไฟบนดาวอังคาร โดยทางยานได้ส่งภาพของพื้นบริเวณหนึ่งซึ่งมืดและมีลักษณะเป็นทรงกลมที่เชื่อ ว่าเป็นปากถ้ำ เชื่อว่าภายในเป็นพื้นที่กว้างใต้ดินและน่าจะมีอากาศเย็นกว่าพื้นที่โดยรอบ ในเวลากลางวัน และอุ่นกว่าในเวลากลางคืน ถ้ำทั้ง 7 นี้ทางนาซาได้ตั้งชื่อให้ว่า "น้องสาวทั้ง 7” จากการรวบรวมข้อมูลการสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยทั้งจากกล้อง ไอทีเอฟ (Infrared Telescope Facility) ของนาซา กล้องโทรทัศน์เคกในฮาวาย และจากกล้องเจมิไนใต้ในชิลี นักดาราศาสตร์พบมีเทนจำนวนหนึ่งเกาะกลุ่มกันอยู่ในบรรยากาศของดาวอังคาร มีเทน บางก้อนมีปริมาณถึง 21,000 ตัน ปริมาณนี้มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แสงอาทิตย์ทำให้มีเทนสลายไป แต่แล้วจำนวนมีเทนก็เพิ่มขึ้นมาอีก นั่นแสดงว่ามีกระบวนการบางอย่างบนนั้นคอยเติมมีเทนตลอดเวลา การค้นพบนี้จุดประกายความหวังว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอยู่บนดาวอังคาร เพราะสิ่งมีชีวิตหลายอย่างคายแก๊สมีเทน อย่างไรก็ตาม มีเทนไม่ได้เกิดจากสิ่งมีชีวิตเสมอไป เพราะอาจเกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาอย่างเดียวก็ได้ เช่นน้ำทำปฏิกิริยากับหินเหลวในภูเขาไฟ ก็ทำให้เกิดมีเทนได้เช่นกัน ไม่ว่ามีเทนที่พบนี้จะเกิดจากกระบวนการทางชีววิทยาหรือธรณี วิทยา แต่การค้นพบนี้ย่อมแสดงว่าดาวอังคารยังคงมีกระบวนการต่าง ๆ ดำเนินอยู่ แตกต่างจากภาพลักษณ์เดิมที่เคยมองว่าดาวอังคารเป็นดาวที่ตายแล้วอย่างสิ้นเชิง นักวิจัยระบุว่าถ้ามีเทนมาจากจุลินทรีย์ จุลินทรีย์เหล่านั้นคงต้องอาศัยอยู่ใต้ดินห่างไกลจากพื้นดินอันหนาวเย็น ซึ่งเป็นบริเวณที่อุ่นพอสำหรับของเหลวอย่างน้ำจะยังคงมีอยู่ ของเหลวเช่นน้ำจัดเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นของส่วนประกอบสิ่งมีชีวิต น้ำนั้นรู้ว่ามีอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากหุ่นยนต์ได้เก็บตัวอย่างน้ำแข็งได้จากพื้นดิน นักวิจัยได้พบกลุ่มของมีเทนบริเวณเสี้ยวหนึ่งของทางขั้วโลกเหนือของดาวอังคารในปี พ.ศ. 2546 และเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ค้นพบกลุ่มก๊าซที่มากเช่นนี้บนดาวอังคาร ทางนาซ่าได้ระบุว่ามี 3 บริเวณที่ปล่อยมีเทนปริมาณมหาศาลอย่างช้า ๆ ซึ่งบริเวณเหล่านั้นแสดงหลักฐานของแหล่งน้ำใต้ดินโบราณ ซึ่งไม่มีสัญญาณว่าก๊าซอื่นที่คาดว่าถ้ามีเทนถูกผลิตจากภูเขาไฟ อย่างเช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในอดีตเคยมีการพบกลุ่มของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินลึกลงไป 2-3 กิโลเมตรที่แอฟริกาใต้มาแล้ว ซึ่งนักวิจัยคาดว่าน่าจะมีแบคทีเรียที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้อาศัยบนดาวอังคาร เช่นกัน ปริมาณมีเทนที่พบนี้น้อยมากเพียงสิบโมเลกุลในอากาศหนึ่งพันล้านโมเลกุล เท่านั้น แม้จะน้อยนิดแต่ก็เป็นการค้นพบที่สำคัญเพราะมีเทนบ่งบอกถึงกลไกลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่บนดาวอังคาร โดยปรกติมีเทนจะทำปฏิกิริยากับไอออนไฮดรอกซีล (OH) ในบรรยากาศกลายเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกิริยานี้ทำให้มีเทนในบรรยากาศหมดไปภายในไม่กี่ร้อยปี แต่การที่ยังพบมีเทนอยู่แสดงว่ามีกลไกบางอย่างที่ผลิตมีเทนออกมาอย่างต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอทฤษฎีออกมาหลายทฤษฎีเพื่ออธิบายกระบวนการผลิตมีเทนออกสู่บรรยากาศ ทฤษฎีที่โดดเด่นและน่าเป็นไปได้มากที่สุดเกี่ยวข้องกับภูเขาไฟและกัมมันตภาพ ความร้อนใต้พิภพอย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารจากวงโคจรหลายลำไม่เคยพบกัมมันตภาพลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้ ๆ นี้เลย อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าแม้จะมีความเป็นไปได้น้อยกว่าก็คือ เกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อยู่ใต้พื้นดินคายก๊าซมีเทนออกมา กระบวนการนี้เกิดขึ้นบนโลกตลอดเวลา สัตว์ แบคทีเรีย และการย่อยสลายของสารอินทรีย์ล้วนคายก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ มีเทนในบรรยากาศโลกเกือบทั้งหมดเกิดจากกระบวนการนี้ แม้ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะคงยังสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่องและมีโครงการจะอพยพมนุษย์ขึ้นไปอาศัยอยู่บนนั้น ถ้าหากในอนาคตโลกไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป ดาวอังคารบางทีก็เรียกกันว่า”ดาวแดง “ เพราะผิวพื้นเป็นหินสีแดง หินบนดาวอังคารที่มีสีแดงก็เพราะเกิดสนิม ท้องฟ้าของดาวดังคารเป็นสีชมพู เพราะฝุ่นจากหินแดงที่ว่านี้ ผิวของดาวอังคารเหมือนกับทะเลหินแดง มีก้องหินใหญ่และหลุมลึก ภูเขาสูง หุบ เหว และเนินมากมาย หนึ่งปีบนดาวอังคารเกือบเท่าสองปีโลก แต่หนึ่งวันบนดาวอังคารจะนานกว่าครึ่งชั่วโมงโลกเพียงเล็กน้อย ดาวอังคารมีอากาศห่อหุ้มอยู่ไม่มากและเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลมพัดแรงจัดทำให้ฝุ่นฟุ้งไปทั้งดวงดาว ดาวอังคารมีขนาดโตประมาณครึ่งหนึ่งของโลก ดาวอังคารอยูไกลดวงอาทิตย์มากกว่าโลกจึงทำให้มีบรรยากาศหนาวเย็น อุณหภูมิบนดาวดวงนี้จะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ปัจจุบันมีข้อมูลเกี่ยวกับดาวอังคารค่อนข้างมาก แม้ว่าดูจากภาพถ่ายแล้ว พื้นผิวดาวอังคารมองดูคล้ายกับทะเลทราย หรือคล้ายกับภูเขาไฟบนโลก แต่สภาพบรรยากาศนั้นแตกต่างกัน เราลองสัมผัสบรรยากาศดูจะพบกับความกดดันที่ต่ำกว่าโลกเล็กน้อย ประมาณ 1% รอบๆตัว ขณะยืนอยู่บนดาวอังคาร สูดหายใจได้บ้างแต่อึดอัดเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 95% ที่เหลือเป็นอาร์กอนและก๊าซไนโตรเจน เหตุขาดแคลนก๊าซออกซิเจนเพราะไม่มีชั้นบรรยากาศโอโซน (Ozone layer) ด้วยผลกระทบจากรังสีอุตตร้าไวโอเลทของดวงอาทิตย์ ทำให้ชั้นโอโซนของดาวอังคารเสียหายมีความผิดปกติมานาน หนึ่งวันของดาวอังคารมี 24.6 ชั่วโมง ถือว่าใกล้เคียงกับโลก ถ้าเราอยากจะสัมผัสฤดูกาลทั้ง 2 ฤดู บนดาวอังคารต้องใช้เวลา 20 เดือน ซึ่งเท่ากับโลก 1 ปี เมื่อเทียบกับเวลาโลก เพราะดาวอังคารหมุนรอบดวงอาทิตย์ช้ากว่าโลก ทำให้ทุกฤดูกาลยาวนานกว่าโลก เนื่องด้วยวงโคจรลักษณะเป็นรูปไข่และแกนเอียง 25 องศา ทำให้เกิดฤดูแตกต่างกันสองแบบ ระหว่างขั้วเหนือและขั้วใต้ โดยขณะที่ดาวอังคารเริ่มมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์จะโคจรช้าลง ด้านขั้วเหนือเกิดฤดูร้อนที่ยาวนานมีลมเย็น -5 องศาเซลเซียส ส่วนด้านขั้วใต้ เกิดฤดูหนาวยาวนานที่จุดเหยือกแข็ง – 87 องศาเซลเซียส มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลักษณะเป็นน้ำแข็งแห้ง (Dry ice) ปกคลุมเหมือนหมวกครอบบนขั้วมีความหนา เรียกว่า Polar caps (บริเวณปกคลุมขั้วน้ำแข็ง) โดยรวมแล้ว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ใน 3 บนดาวอังคารจะเคลื่อนตัวไปมาตามกลไกอากาศระหว่างด้านขั้วเหนือและขั้วใต้ ปรากฎการณ์ดังกล่าวบางครั้งเกิดพายุฝุ่นขนาดใหญ่เข้ามาสมทบ พัดพาสิ่งต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนินทรายขนาดใหญ่บนพื้นผิวมีสีสันต่างกัน เพราะฉะนั้นในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา การสำรวจด้วยกล้องที่นักดาราศาสตร์โบราณมองจากโลกจึงเข้าใจผิดว่าเป็นการเปลี่ยนของพืชพันธ์ไม้และมีคลองชลประทานบนดาวอังคาร ขณะยืนอยู่ที่โล่งแจ้งบนดาวอังคารเหมือนกับทะเลทรายอันว่างเปล่าแล้ว หากเป็นเวลาเดียวกับการเกิดพายุก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บได้ เพราะลักษณะพายุเป็นลมหมุนแบบโทนาโด มาพร้อมกับก้อนหินมากมาย คล้ายกับพายุลูกเห็บบนโลกเรียกว่า Dust devils บนดาวอังคารเรียกว่า Wind vanes (ลมพายุใบจักร) ทั้งนี้เกิดการก่อตัวพราะความร้อนสะสมจากดวงอาทิตย์บริเวณพื้นผิว ส่วนมีลักษณะหมุนก็เพราะกระแสลมแรงพัดแบบสลับทิศทางกัน ตลอดทั้งปีบนดาวอังคารบนพื้นผิวเราจะพบแต่ลมพายุฝุ่นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้สภาพอากาศ สะเก็ดเล็กๆของฝุ่นผงกระจัดกระจายทั่วไป เมื่อมองผ่านแสงแดดจะเห็นเป็นแสงสีฟ้ามากกว่าแสงสีแดงเหมือนบนโลก หากบริเวณที่มีแสงน้อยมองเห็นสภาพบรรยากาศเป็นสีน้ำเงินเข้มจนออกสีเทาดำ แต่ในชั้นบรรยากาศกลับตรงกันข้าม กลุ่มฝุ่นหมอกจะดูดกลืนแสงสีฟ้า เราเงยหน้ามองฟ้าบนดาวอังคารจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำตาล ความจริงสิ่งที่เห็นเป็นการสะท้อนผงฝุ่นในอากาศ เป็นสภาพที่เราพบเห็นเหมือนท้องฟ้าในเมืองใหญ่ที่มีเขม่าพิษ จากควันไอเสีย อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับฤดูกาลของดาวอังคารด้วย โดยทั่วไปถ้าเราตื่นตอนเช้าบนดาวอังคารจะ เห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินอมเขียวถึงเวลากลางวัน บรรยากาศท้องฟ้าอาจจะมีสีเหลืองอมสีน้ำตาล หรือบางครั้งก็มีสีที่ต่างๆออกไปอีก ส่วนตกเย็นบรรยากาศเป็นสีน้ำเงินอมเขียวเช่นเดียวกับตอนเช้า การสำรวจพื้นผิวทางธรณีวิทยาดาวอังคาร พบเห็นร่องรอยหลุมจากการชนปะทะของอุกกาบาตเช่นกัน ข้อแตกต่างกันของด้านขั้วเหนือและขั้วใต้ แนวด้านขั้วใต้มีลัษณะเป็นที่ราบสูงพบหลุมอุกกาบาตมีความลึกและใหญ่มากมาย ส่วนด้านขั้วเหนือเป็นที่ราบต่ำหลุมไม่ใหญ่นักพบจำนวนไม่มากรวมทั้งภูเขาไฟจำนวนน้อยกว่าด้านขั้วใต้ แผ่นเปลือกดาวอังคารมีเหมือนแผ่นเปลือกโลกเช่นกัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภูเขาไฟโดยมีหุบเขาที่ยาว และลึกมากกว่าของโลกโดยเฉพาะ ภูเขาไฟ Olympus Mons มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับภูเขาไฟฮาวาย และ Valles Marineris มีหน้าผาคล้ายเช่น Grand Canyon ในอเมริกา บนดาวอังคารนั้นพบหลักฐานบ่งชี้ชัดว่ามีจุลชีพขนาด เล็กมากอาศัยอยู่ทำให้เชื่อได้ว่าบนดาวอังคารต้องมีแหล่งน้ำ การค้นหาแหล่งน้ำในอดีตพบถึงแนวไหลของน้ำเหมือนคลองที่แห้ง รอยกัดเซาะจากปริมาณน้ำที่ล้นฝั่ง แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่า น้ำเกิดขึ้นบนดาวอังคารด้วยสภาพอากาศแบบใด หรือเกิดจากน้ำใต้ดิน การใช้เครื่องมือพิเศษทำการตรวจสอบ มีความแน่ใจว่าพื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยร่องรอยรูปแบบการกัดเซาะของน้ำเหมือนบนโลก เชื่อว่าบริเวณขั้วที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งแห้ง น่าจะเก็บร่องรอยอดีตนับพันล้านปีเอาไว้ ถ้าเช่นนั้นน้ำเหล่านั้นหายไปไหน ประการแรก ปกติน้ำมีการระเหยตัวสู่อากาศได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนประการที่สอง บางส่วนที่ยังคงอยู่ หากมีการเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นน้ำแข็งจมอยู่ใต้ผิวดิน แต่ถ้าน้ำแข็งเหล่านั้นยังคงมีอยู่ ความร้อนของภูเขาไฟจะทำให้ละลายไหลออกมาได้ เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านอาจารย์ (Supreme Master Ching Hai) ได้กรุณานำข้อมูลบางส่วนของดาวอังคารมาเปิดเผยในรายการทีวีสุพรีมมาสเตอร์(www.SupremeMasterTV.com) ซึ่งแพร่ภาพไปทั่วโลก ท่านอาจารย์กล่าวว่าข้อมูลนี้ได้จากการจดบันทึกระหว่างที่ท่านนั่งสมาธิในยามดึกดื่นคืนหนึ่ง โดยผมคัดและเรียบเรียงมาจากการถาม-ตอบระหว่างท่านอาจารย์และลูกศิษย์ เนื้อความคร่าวๆ มีดังต่อไปนี้ เมื่อ 40 ล้านปีที่แล้ว ดาวอังคารยังเป็นดวงดาวที่มีสภาพเหมือนกับโลก กล่าวคือมีอากาศ น้ำ ป่า แผ่นดิน มหาสมุทร ฯลฯ ดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตทั้ง คน พืช และสัตว์ ทุกสิ่งใกล้เคียงกับโลกมาก ต่างกันตรงที่มนุษย์ดาวอังคารได้พัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปไกลล้ำหน้ากว่าโลกมากเท่านั้น ดาวอังคารขณะนั้นมีจำนวนประชากรประมาณ 1,000 ล้านคน ลักษณะของมนุษย์ดาวอังคารก็มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์โลก แม้จะมีวงโคจรที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์มากกว่าโลก แต่ก็มีชั้นบรรยากาศที่คอยรักษาความอบอุ่นให้แก่ดวงดาว การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็วเกินไปไม่สมดุลกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณนำความหายนะมาสู่ดวงดาว ในที่สุดดาวอังคารเกิด”ภาวะเรือนกระจก” แก๊สเรือนกระจกจากภาคการปศุสัตว์และการเผาป่าเป็นสาเหตุหลักที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจนหนาแน่นเกินกว่าที่ธรรมชาติอย่างมหาสมุทรและป่าไม้จะกำจัดส่วนเกินออกไปได้ ผลก็คืออุณหภูมิดวงดาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 5 ปีก่อนหน้านั้นมีการเตือนเรื่องภัยพิบัติจากกูรูโดยเฉพาะผู้นำทางจิตวิญญาณที่รู้แจ้ง ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีเพียงท่านเดียว(เป็นผู้ชาย) และบางคนที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรือล่วงรู้กฎแห่งกรรมบนดาวอังคาร แต่มนุษย์ดาวอังคารส่วนใหญ่ตอนนั้นยังคงเพิกเฉยและไม่เชื่อว่าดวงดาวของตนจะถึงจุดสิ้นสุด จึงไม่มีการเตรียมพร้อมหรือแก้ไขอะไร เมื่อภาวะเรือนกระจกขึ้นไปถึงจุดวิกฤตเข้าขั้นหายนะ การทำลายล้างครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาแค่ 2 เดือน อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ชั้นดินเยือกแข็งหรือเพอร์มาฟรอสต์ (permafrost) ละลายปล่อยแก็สมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นแก็สเรือนกระจกสะสมในบรรยากาศมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อุณหภูมิของดวงดาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ความร้อนแพร่ลงสู่ก้นมหาสมุทรกระตุ้นให้เกิดการปล่อยแก็สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (แก็สไข่เน่า : H2S) และแก็สไนโตรเจนออกไซด์ (NO2) ในช่วงแรกและตามมาด้วยแก็สมีเทน (CH4)ในช่วงหลัง ซึ่งส่วนใหญ่สะสมอยู่ที่ใต้พื้นมหาสมุทรและทะเลสาบต่างๆ ผลก็คือมนุษย์ดาวอังคารได้รับแก็สพิษและเกิดภาวะขาดออกซิเจน ตายอย่างช้าๆ ด้วยความทุกข์ทรมานภายในเวลา 4 วัน การที่ไม่มีการเตรียมพร้อมทำให้สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารถึง 90 เปอร์เซ็นต์สูญพันธุ์ทันทีรวมทั้งมนุษย์ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน ต่อมาอีก 1 เดือนสูญพันธุ์อีก 5 เปอร์เซ็นต์ 3.8 เปอร์เซ็นต์อีกหนึ่งเดือนถัดมาและอีก 1 เปอร์เซ็นต์ในเวลาต่อมา ทำให้มนุษย์ดาวอังคารเหลือเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รอดชีวิตซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคน พวกที่รอดชีวิตกลุ่มแรกเป็นพวกที่สามารถหลบหนีลงสู่ใต้ดิน หลุมลึก อุโมงค์ หรือถ้ำได้ทัน โดยพวกเขาได้มีการเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน ด้วยการขุดอุโมงค์หรือถ้ำใต้ดินเอาไว้และบางส่วนเป็นถ้ำตามธรรมชาติ มีการกักตุนอาหาร นำอุปกรณ์เทคโนโลยี่ และนำสัตว์เลี้ยงบางส่วนลงสู่ใต้ดิน ด้วยพื้นที่แออัดคับแคบทำให้คนที่เหลือรอดพวกแรกๆ เริ่มทำการขุดอุโมงค์ขยายออกไปเรื่อยๆ เดิมทีภายหลังจากหายนะครั้งใหญ่มนุษย์ที่ลงสู่ใต้ดินมีอยู่กระจัดกระจายกันไปตามแต่ภูมิประเทศทั่วดวงดาว พวกเขาสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ทางโทรจิต เพราะอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดใช้งานไม่ได้ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆล้มเหลว มนุษย์ดาวอังคารที่เหลือรอดจำนวนหนึ่งในสี่มีความสามารถในการใช้โทรจิตเพื่อการติดต่อสื่อสาร พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นมังสวิรัติหรือวีแกนและเป็นผู้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิมแทบทั้งสิ้น อาจารย์ยังกล่าวว่าไม่เพียงที่ดาวอังคารเท่านั้นที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม แทบทุกดวงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในจักรวาลล้วนบำเพ็ญวิถีนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงรอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ได้ นั่นก็เป็นเพราะกฎแห่งกรรม “ทำดีย่อมได้รับผลดี” นั่นเอง ในเวลา 20 ปีต่อมา การมีความสามารถในด้านโทรจิตของมนุษย์ดาวอังคารบางส่วนนี้เอง ทำให้กลุ่มคนต่างๆ ที่เคยอยู่กระจัดกระจายกันไปในใต้ดินกลับมารวมกันได้อีกครั้งกลายเป็นประเทศเดียว ช่วงแรกๆ ที่มีการขุดขยายอาณาบริเวณภายในใต้ดินนั้นมีความยากลำบากและต้องพบกับอุปสรรคมากมาย บางส่วนก็ต้องตายไประหว่างนั้นเพราะเกิดจากการถล่มของดินทับบ้าง แก็สพิษจากข้างบนรั่วซึมลงมาได้บ้าง ขาดอากาศ อาหารและน้ำดื่มบ้าง สำหรับมนุษย์กลุ่มที่ฉลาดกว่าได้ทำการขุดถ้ำบริเวณที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล จะขุดลึกลงไปโดยมีเพดานสูงประมาณ 10 เมตรระหว่างพื้นดิน บ้านยกพื้นเป็นอาคาร 4-5 ชั้นสร้างจากดินโคลนทั้งหลัง (เพราะไม่มีซีเมนต์) เพื่อการอยู่อาศัยและป้องกันน้ำรั่วซึมชั้นล่าง สำหรับอากาศที่ใช้ในการหายใจ พวกเขาใช้เทคนิกพิเศษในการแยกแก็สออกซิเจนจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือแม่น้ำบริเวณใกล้เคียง นอกจากนั้นยังมีการรีไซเคิ้ลน้ำและอากาศที่ใช้แล้วซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดนำกลับมาใช้ใหม่อีกด้วย สำหรับแก็สไอเสียต่างๆ ก็ใช้การปั๊มปล่อยออกสู่ผิวดินด้านบนและมีการกรองอากาศ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์โลกพบแก็สมีเทนในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเมื่อไม่นานมานี้ มีการควบคุมสภาพอากาศให้คงที่เพื่อให้อุณหภูมิพอเหมาะกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ดิน เมื่อมีการรวมกลุ่มกันก็เริ่มมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เกิดอารยธรรมใหม่ที่มุ่งเน้นชีวิตแบบพอเพียงและเรียบง่าย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณเป็นหลัก นั่นเพราะพวกเขาล้วนมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน ทานอาหารจำพวกธัญพืช ผัก ผลไม้หรือมังสวิรัติเพียง 1-2 มื้อต่อวัน คิดเป็นปริมาณหนึ่งในสี่ของอาหารของเราบนโลกต่อคนต่อวัน พวกเขาสามารถผลิตดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เทียมขึ้นเองเพื่อใช้ในการทำการเกษตร เพาะปลูกธัญพืชเพื่อใช้เป็นอาหารเส่วนใหญ่เป็นแบบไฮโดรโปนิก(ปลูกพืชในน้ำ) และให้แสงสว่างในการดำรงชีวิตภายในใต้ดิน โดยสามารถจะเปิด-ปิดมันเวลาใดก็ได้ตามต้องการ สำหรับสัตว์เลี้ยงส่วนหนึ่งเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินซึ่งไม่มีบนโลกเรา และบางส่วนถูกนำลงมาพร้อมกับเจ้าของเวลาเกิดภัยพิบัติ พวกเขาไม่ทานเนื้อสัตว์จึงไม่ทำการขยายพันธุ์ของพวกมัน หากแต่จะควบคุมจำนวนเอาไว้ โดยเลี้ยงเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อน โดยปัจจุบันมีวัวจำนวน 32 ตัว และสุนัขอีกจำนวนหนึ่ง สัตว์ส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่แรก ไม่มีสัตว์จำพวกนกหรือแมว สัตว์ทั้งหมดที่เหลืออยู่ถือเป็นสมบัติของชาติ หากมองไปจะพบพืช ดอกไม้ หรือต้นไม้มีความสูงไม่เกิน 3 เมตรเกือบทั้งหมด เนื่องจากพื้นที่มีจำกัดเพราะความสูงระหว่างพื้นและเพดานสูงเพียง 10 เมตร จึงมีการควบคุมการเจริญเติบโตของพวกมันเป็นอย่างดี เวลาผ่านมา 40 ล้านปี ปัจจุบันประชากรดาวอังคารมีประมาณ 5.8 ล้านคนล้วนอาศัยอยู่ใต้ดิน ประชากรมนุษย์จะอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและเลือกผู้นำโดยใช้ระดับสติปัญญา คุณธรรมหรือระดับชั้นทางจิตวิญญาณเป็นเกณฑ์วัด ไม่ใช่ความอาวุโส และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนทุกสาขาอาชีพสามารถถูกเลือกมาเป็นผู้นำได้ โดยไม่ได้จำกัดอายุ การศึกษา หรือวงค์ตระกูล สำหรับคู่ครองที่อยู่ร่วมกันจะมีความรับผิดชอบและให้เกียรติกัน มีการคุมกำเนิดโดยใช้วิธีแบบธรรมชาติ ควบคุมจำนวนประชากรไม่ให้หนาแน่นเกินไปเพราะข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ เนื่องจากการเป็นวีแกนหรือมังสวิรัตินี้เองทำให้พวกเขามีสุขภาพแข็งแรงมากและแก่ช้า การไม่มีมลพิษ ไม่มีความเครียด ไม่เจ็บป่วยหรือเป็นโรคต่างๆนาๆ ทำให้เมืองใต้ดินของดาวอังคารไม่มีแพทย์ พยาบาลหรือโรงพยายาบาล มนุษย์ดาวอังคารจึงมีอายุยืนถึง 200 ปี ระบบการปกครองที่เรียบง่ายแบบรัฐสภาแตกต่างจากโลกเราอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลจะมีผู้นำมาจากการเลือกตั้งซึ่งปัจจุบันเป็นราชินี (บางครั้งก็เป็นราชา) จะเพียงคอยให้คำปรึกษาหรือตอบคำถามเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีการควบคุมบังคับหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะมนุษย์ดาวอังคารมีวินัยเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนปรองดองกัน ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีการฉ้อโกงหรือติดสินบน ไม่มีการลักขโมย ไม่มีโจรหรือผู้ร้าย ไม่ทำลายกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีกองทัพ ไม่มีอาวุธ ไม่มีคุกหรือเรือนจำ ไม่มีเงิน ทุกครอบครัวต่างทำงานตามความสมัครใจ ตามพรสวรรค์และความถนัดของตนแบบอิสระไม่มีนายจ้าง ไม่มีค่าจ้าง จากนั้นจะนำผลผลิตที่ได้เหล่านั้นมาแบ่งปันกัน ไม่มีตลาดค้าขาย ทุกคนต่างช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันอย่างดีจึงไม่มีคนจนและคนรวย ทุกคนต่างเท่าเทียมกันเคารพซึ่งกันและกัน ประวัติศาสตร์การทำลายล้างดวงดาวอันแสนเจ็บปวด ทำให้ชาวดาวอังคารที่เหลือรอดตระหนักดีว่าการพัฒนาที่มุ่งเน้นด้านวัตถุจนละเลยด้านจิตวิญญาณนำพาดวงดาวไปสู่ทิศทางใด บรรพบุรุษรุ่นแรกๆที่เหลือรอดมาได้บันทึกเรื่องราวของประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างละเอียด ทั้งยังมีการสร้างรูปปฏิมากรรมต่างๆไว้เพื่อเตือนใจให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เป็นการส่งถ่ายบทเรียนอันมีค่าจากรุ่นสู่รุ่นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ บางครั้งพวกเขาก็ขึ้นมาบนพื้นผิวดวงดาวพร้อมถังบรรจุแก็สออกซิเจน โดยสวมหน้ากากป้องกันแก็สพิษ และใช้รถหุ้มฉนวน เพื่อทำภารกิจบางอย่าง เช่นการขนส่ง เมืองใต้ดินของดาวอังคารจะมีประตูลับซ่อนเอาไว้มิดชิดและซับซ้อน เพื่อป้องกันผู้บุกรุก พวกเขาจะเข้าและออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มนุษย์จากดวงดาวอื่นจะทันสังเกตเห็น รถยนต์และยานพาหนะส่วนใหญ่ของดาวอังคารมีลักษณะกลมแบนคล้ายจาน ซึ่งมีส่วนคล้ายกับยูเอฟโอ รถยนต์ที่หุ้มฉนวนเหล่านี้เอนกประสงค์มาก เพราะมันสามารถบินได้เหมือนเครื่องบินและวิ่งได้บนท้องถนน เหตุผลที่ยานพาหนะส่วนใหญ่ของดาวอังคารมีลักษณะกลมแบนก็เพราะมันสามารถลดแรงเสียดทานจากอากาศได้มากทำให้ประหยัดพลังงาน นอกจากนั้นยังสะดวกในการเลี้ยวเปลี่ยนทิศได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินหน้าถอยหลังเหมือนกับยานพาหนะบนโลกที่ส่วนใหญ่เป็นทรงเหลี่ยม สำหรับรถขนส่งสาธารณะจะใช้ไฟฟ้าทั้งหมด เป็นรถที่ใช้เคเบิ้ลไฟฟ้า ไม่ใช้แก็ส รถที่มีลักษณะกลมคล้ายจานมีความเร็วตั้งแต่ 100 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้นไป บางคันวิ่งได้ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง สำหรับสูงสุดวิ่งได้ถึง 500 ไมล์ต่อชั่วโมง รถขนส่งสาธาณณะ รถยนต์ และจักรยานเป็นของส่วนรวมทุกคนเป็นเจ้าของสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับไฟฟ้าและน้ำ ล้วนเป็นของฟรีทั้งสิ้น มนุษย์ดาวอังคารไม่ต้องการติดต่อกับโลกของเราตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา สาเหตุเพราะว่ากลัวเชื้อโรคจากมนุษย์ ทั้งเชื้อโรคทางกายภาพซึ่งพวกเขาไม่มี และเชื้อโรคทางจิตวิญญาณ (โลภ โกรธ หลง) พวกเขาพอใจในสิ่งที่เป็นและเรียนรู้อยู่อย่างพอเพียง ดังนั้นจะซ่อนตัวเสมอมา และรู้สึกเป็นกังวลเมื่อยานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารจากมนุษย์โลกเข้ามาใกล้ดวงดาว แต่ด้วยเทคโนโลยี่ที่สูงส่งของพวกเขาทำให้มนุษย์เราไม่เคยรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา ซึ่งปัจจุบันมนุษย์โลกเริ่มสงสัยดาวอังคารมากขึ้นจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมายในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาจึงยิ่งวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น มนุษย์ดาวอังคารไม่ต้องทำงานหนัก ไม่มีทำงานล่วงเวลา (O.T.) ทำให้พวกเขามีความสุขและผ่อนคลายกว่ามาก พวกเขาปลูกหญ้าและสร้างสวนดอกไม้เพื่อความเพลิดเพลิน มีความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ มากมาย มีโรงละคร(ไม่มีละครสัตว์) โรงภาพยนต์ ทีวี วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มีเกมกีฬามากมาย (ไม่มีกีฬาที่ใช้ความรุนแรง เช่น มวย ชนสัตว์) เช่นว่ายน้ำ แอโรบิค มีภาพยนต์ และตลก ส่วนใหญ่เล่นเพื่อความสนุก ไม่มีการแข่งขันเพื่อเอาชนะ เทคโนโลยี่ต่างๆ มีความทันสมัยล้ำหน้ากว่าบนโลกอย่างเช่น อินเตอร์เนตที่มีความเร็วสูง สามารถดาวน์โหลดหรืออัพโหลดได้ทันทีเหมือนกับการส่งแฟกซ์หรือถ่ายเอกสาร ไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมงเหมือนอินเตอร์เนตบนโลก ทั้งยังไม่มีไวรัส ไม่เสียบ่อย เช่นเดียวกับเครื่องจักรกลทุกชนิดบนดาวอังคารที่มีคุณภาพสูง แทบจะไม่เคยเสียต้องซ่อมเลย นอกจากนั้นยังสามารถดูทีวีและเล่นอินเตอร์เนตระหว่างดวงดาวที่ห่างไกลนับล้านๆไมล์ได้อีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ความเป็นไปของโลกเราอย่างต่อเนื่องและกำลังเฝ้ามองดูเราอย่างเงียบๆ ตลอดมา แน่นอนการที่มนุษย์บางส่วนของดาวอังคารสามารถสื่อสารทางโทรจิตและบางส่วนล่องหนหายตัวได้ พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางมายังโลกหรือดวงดาวอื่นๆ โดยใช้ร่างกาย ซึ่งในความเป็นจริงพวกเขาก็แทบไม่เคยเดินทางมายังโลกเราเลยด้วยซ้ำ นอกจากการติดต่อทางโทรจิตสำหรับคนพิเศษบางคนเท่านั้น ดังนั้นเรื่องราวที่มนุษย์เข้าใจไปเองว่ามนุษย์ต่างดาวจะมายึดครองโลกจึงไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย เพราะถ้าพวกเขาต้องการจริงๆ ก็คงทำไปนานแล้ว และด้วยเทคโนโลยี่ที่พวกเขามีอยู่ มนุษย์โลกคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน ด้วยระดับทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง ทำให้มนุษย์ดาวอังคารไม่มีความปรารถนาจะยึดครองโลกหรือดาวดวงใดก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะมีความสามารถที่จะกระทำได้ ลักษณะภายนอกของพวกเขาคล้ายคลึงกับมนุษย์ของโลกเราอยู่มาก หากแต่ดูสง่างามกว่า ดูสุขภาพดีกว่า แข็งแรงกว่า มีแสงสว่างมากกว่า เยือกเย็นกว่า และดูมีเมตตามากกว่า นอกจากนั้นหากได้พบพวกเขาเราจะไม่สามารถคาดคะเนอายุของพวกเขาได้เลย เพราะพวกเขาจะดูอ่อนเยาว์กว่าอายุอยู่มาก บางคนอายุมากแล้ว แต่ยังดูเยาวัยมากเหมือนเด็กๆ การไม่มีความเครียดทำให้มนุษย์ดาวอังคารมีอายุยืนยาวถึง 200 ปี ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง ดาวอังคารปัจจุบันไม่มีศาสนาพวกเขาล้วนบำเพ็ญวิถีธรรมเดียวกัน เรียบง่าย ทำสมาธิ คิดถึงพระเจ้าภายในตัวเอง บำเพ็ญวิถีแห่งแรงสั่นสะเทือนซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งก็คือธรรมวิถีกวนอิมและเกือบทั้งหมดล้วนเป็นมังสวิรัติ ในปัจจุบันมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งระดับสูงถึง 2 ท่านซึ่งเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ มนุษย์ดาวอังคารเรียนรู้จากหายนะที่เกิดขึ้นกับดวงดาวของตนในอดีต ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับโลกของเราในปัจจุบันนี้ นั่นคือ “ภาวะโลกร้อน (Global Warming)” พวกเขารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกของเราซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตของพวกเขาเมื่อ 40 ล้านปีก่อน และรู้ว่ามนุษย์โลกสามารถจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองได้ มนุษย์อ่อนแอเกินไปที่จะสามารถอาศัยอยู่ใต้ดินเหมือนมนุษย์ดาวอังคาร ประกอบกับเทคโนโลยี่ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอและไม่สามารถเทียบได้กับดาวอังคาร ทำให้โลกตกอยู่ในอันตรายหากยังไม่สามารถลดแก็สเรือนกระจกลงได้ อุณหภูมิของโลกก็อาจเพิ่มสูงขึ้นไปถึงจุดวิกฤตในเวลาอันใกล้นี้ เร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้คาดการณ์กัน นั่นเองเป็นเหตุผลให้มนุษย์ดาวอังคารที่เฝ้ามองโลกอยู่รู้สึกห่วงใยต่ออนาคตของโลกโดยที่พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เพราะนี่เป็นกฎแห่งกรรมซึ่งมนุษย์โลกจะต้องเป็นผู้เลือกเองและได้ส่งผ่านข้อความอันเป็นเสมือนคำเตือนโดยผ่านท่านอาจารย์มา โดยข้อความแรกมาจากวุฒิสภามีความว่า “มีคุณธรรม” ส่วนข้อความที่สองมาจากประธานพลเมืองมีความว่า “รักษาบ้านของคุณก่อนที่มันจะสาย” อาจารย์ยังกล่าวอีกว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะหยุดยั้งหายนะของโลกครั้งนี้นั่นคือ โยนเนื้อสัตว์ทิ้งไปทันที ปล่อยให้สัตว์อยู่ของมันอย่างนั้น เปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติหรือวีแกน โลกก็จะเปลี่ยนแปลงทันทีไปสู่ความสงบสันติ หากมนุษย์โลกยังเพิกเฉยเหมือนที่เป็นอยู่ ก็จะไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ต่อไป ซึ่งอาจจะมีจุดจบเหมือนดาวอังคารเมื่อครั้งในอดีต “ตื่นขึ้น ตื่นขึ้น ก่อนจะสาย”......... ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.suprememastertv.com/bbs/board.php?bo_table=environment&wr_id=28&goto_url=