8 มีนาคม 2558 00:52 น.

จิตใจที่ไม่ยึดติดเป็นจิตใจแห่งการรู้แจ้ง

คีตากะ

st-1.gif















ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่สมาธิกลุ่ม ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

13 มีนาคม 2539 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดีทัศน์ที่ 536



ครั้งหนึ่งมีอาจารย์เซนอยู่ท่านหนึ่ง ที่มีลูกศิษย์อยู่จำนวนหนึ่ง และหนึ่งในนั้นได้เขียนถึงท่านอาจารย์เป็นครั้งเป็นคราว หลังจากการประทับจิตแล้ว ก็เหมือนกับที่เธอเขียนบันทึกประจำวันจิตวิญญาณของเธอ แล้วส่งมาให้ฉัน หรือบางครั้งเขียนรายงานมาให้ฉันว่า เธอได้ประสบความสำเร็จแบบไหน ดังนั้น ลูกศิษย์คนนั้นจึงเขียนมาถึงอาจารย์และบอก “ท่านอาจารย์ ผมกำลังเกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งอย่างลึกล้ำจริง ๆ ในขณะนี้ ผมใช่เวลาทั้งหมดของผมในการค้นหาตัวตนอันแท้จริงภายในของผม” อาจารย์อ่านแค่บรรทัดแรกของจดหมายเท่านั้น แล้วก็โยนมันลงถังผงไป

เป็นเวลานานต่อมาหลังจากนั้น ลูกศิษย์ก็ได้เขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงอาจารย์ บอกว่า “โอ ท่านอาจารย์ ตอนนี้จักรวาลทั้งจักรวาลตอบสนองต่อความคิดที่อยู่ภายในที่สุดของผม สัจธรรมช่างเหลือเชื่อเสียนี่กระไร! ปัญญาของมนุษย์ช่างเลอเลิศเสียนี่กระไร! พลังจักรวาลช่างยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร!”

แต่อาจารย์ก็เพียงแต่สั่งน้ำมูกด้วยจดหมาย (เสียงหัวเราะ) แล้วก็โยนมันลงโถส้วม แล้วในจดหมายฉบับที่ 3 ลูกศิษย์ก็เขียนมาว่า “โอ ท่านอาจารย์ ตอนนี้ผมมีความเมตตาต่อมวลมนุษย์ทั้งหลายและผู้ที่ด้อยโอกาสทั้งหลาย! แม้กระทั้งมด ผมก็ได้ยินเสียงหัวใจของมันเต้น และรู้สึกได้ถึงวิญญาณของมัน ที่กำลังพยายามต่อสู้! โอ ท่านอาจารย์ ช่างเป็นการค้นพบที่มหัศจรรย์เสียจริง! ผมจะพยายามต่อสู้ให้มากยิ่งขึ้น ผมสัญญาท่าน! ผมจะเป็นลูกศิษย์ที่ดีของท่าน แล้วท่านก็จะเห็น”

แล้วอาจารย์ก็เช็ดอะไรบางอย่างด้วยจดหมายนั้น (เสียงหัวเราะ) เธอก็รู้นะว่าที่ไหน ฉันจะไม่พูดล่ะ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วก็โยนมันลงส้วม และรู้สึกสิ้นหวัง

ต่อมาในจดหมายฉบับที่ 4 ลูกศิษย์ก็รายงานมาว่า “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ผมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลแล้ว! ทุกอย่างเป็นผม และผมเป็นทุกอย่าง! ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ผม ผมคือทุกสิ่งทุกอย่าง โอ ผมขอแสดงความยินดีกับตัวเอง! (เสียงหัวเราะ)

แต่อาจารย์ก็ไม่แม้กระทั่งเสียเวลาไปจับมัน เพียงแต่ปล่อยให้ลมพัดมันไปที่ไหนที่หนึ่ง ที่มันจะไป และไม่ต้องการจะพูดอะไรอีกต่อไป จากนั้นเป็นเวลานาน ท่านอาจารย์ก็พูดว่า “อย่าลำบากเขียนมาถึงฉันอีกต่อไป เจ้าเพียงแต่เสียกระดาษและปากกา” ดังนั้น ลูกศิษย์จึงไม่เขียนอะไรมาอีกต่อไป

หลายปีผ่านไป และอาจารย์ก็แบบว่ารู้สึกเสียใจนิดหน่อย ที่ทำกับลูกเมื่อครั้งก่อนแรงเกินไปหน่อย ความที่จำได้ถึงลูกศิษย์คนเก่งของท่าน ไม่ได้พบหน้าและไม่ได้ยินข่าวคราวมานาน เขาก็เลยส่งข่าวถึงลูกศิษย์และพูดว่า “เฮ้! เกิดอะไรขึ้นล่ะในตอนนี้? ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของเธอเป็นอย่างไร?” (เสียงหัวเราะ) บางทีท่านอาจจะคิดถึงจดหมาย “จักรวาลที่ใหญ่โต” อันเหลวไหลไร้สาระ

ลูกศิษย์จึงเขียนตอบมาด้วยคำ 2 คำ เท่านั้นบนกระดาษบนกระดาษแผ่นใหญ่ใบหนึ่งว่า “ใครจะไปสนใจ?” (เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือ) เธอรู้ไหมว่า อาจารย์มีปฏิกิริยาอย่างไร? เขาก็ไปดื่มกาแฟ ชา หรือเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์กับเซเว่นอัพ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) นั่นคือลักษณะ ที่มันควรเป็น

เฉพาะเธอรู้ว่า เธอใช้ได้แล้วเท่านั้น เธอจึงไม่ใส่ใจ มิฉะนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่า เธอจะเขียนมาถึงฉันมากเพียงไรว่า “ฉันรักท่าน พลังจักรวาล ฉันผู้มีเมตตา” และอะไรก็ตามทั้งหมดนี้ ก็เป็นทฤษฎีที่ไร้สาระ เหตุฉะนี้ อาจารย์ทางทฤษฎีมากมายเปิดปากของพวกเขา และพูดเกี่ยวกับความเมตตา การรู้แจ้ง ปัญญา และอะไรทั้งหมดนั้น แต่พวกเขาก็ไม่ทำอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำ พวกเขาพูดถึงมัน นั่นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก และเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่จะทำให้พวกเขาตระหนักว่า เราไม่จำเป็นต้องพูด

ทำไมฉันจึงพูดตลอดเวลา ก็เพราะว่าเธอชอบมันนะซิ (ผู้ฟัง: ใช่) แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้พูดเพื่อสอนเธอ ถ้าเธอคิดว่า ฉันกำลังสอนเธอ เธอก็ผิดไปแล้วล่ะ เพราะว่าฉันรู้สึกสิ้นหวังกับพวกเธอด้วย ฉันรู้ว่า ฉันไม่สามารถสอนอะไรพวกเธอได้ ฉันเพียงแต่ทำให้เธอเพลิดเพลินด้วยคำพูดต่างๆ กัน โดยหวังว่า เธออาจจะจับอะไรบางอย่าง ที่เธอชอบได้ และยึดถือมันเอาไว้ และเธอก็จะจำฉันได้ และไม่ลืมที่จะบำเพ็ญ วันหนึ่งเธอก็จะรู้ทุกอย่างด้วยตัวเธอเอง ไม่ใช่จากคำสอนของฉันเท่านั้น อาจจะ 30% จากคำสอนของฉัน แต่ก็ไม่มากหรือไม่น้อย เพียงเพื่อว่า เธอจะจำฉันได้ และเราจะสามารถติดต่อกันภายในได้

ขอพูดกับเธออย่างซื่อสัตย์ ฉันไม่เชื่อว่าใครจะสอนใครได้เลย แต่อะไรก็ตามที่ฉันสามารถทำได้ ฉันก็เพียงแต่ทำให้ดีที่สุด เพราะว่าเธอขอมัน เธอเรียกร้องมัน ฉันจึงทำมัน ไม่ใช่เพราะว่าฉันเชื่อว่า ฉันจะสามารถสอนเธอได้ด้วยคำพูด ด้วยการพูด ด้วยภาษา แต่ฉันเชื่อว่า เราสามารถสร้างการติดต่อที่ลึกล้ำมากซึ่งกันและกัน และด้วยการติดต่อที่ลึกล้ำนั้น เราจะสามารถติดต่อกันจากภายในได้ นั่นเป็นคำสอนอย่างเดียวเท่าที่อาจเกิดขึ้นได้ มิฉะนั้นแล้วเธอก็เป็นพุทธะอยู่แล้ว เธอเป็นสรรพสิ่งที่เหมือนกับฉัน

จะมีความจำเป็นอะไรสำหรับฉัน ที่จะบอกว่า เธอต้องทำอะไร? เธอมีทุกสิ่ง ที่ฉันมี เพียงแต่ว่า ด้วยการติดต่อภายในของเราซึ่งกันและกัน เธอก็เต็มใจที่จะได้รับการย้ำเตือน ถึงตัวตนอันแท้จริงเธอที่อยู่ภายใน จากตัวตนอันแท้จริงจากภายในของฉัน แล้วตัวตนอันแท้จริงจากภายในของเรา ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วก็ไม่มีการสอนใดๆ ทั้งสิ้น ดั้งเดิมแล้ว ไม่มีความจำเป็นและไม่เคยมีความจำเป็นสำหรับวิญญาณใดๆ ที่จะเรียนรู้สิ่งใดๆ



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org				
8 มีนาคม 2558 00:52 น.

หัวใจที่บริสุทธิ์ย่อมเห็นมารไม่ต่างจากพระเจ้า

คีตากะ

st92.gif













ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา


15 ตุลาคม 2533 (เดิมเป็นภาษาจีน)




ชาวอินเดียตะวันออกท่านหนึ่งซึ่งเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าอย่างมาก เขาปฏิบัติกับทุกคนเหมือนเช่นพระเจ้า แม้แต่แมวและสุนัขก็เป็นพระเจ้าสำหรับเขา วันหนึ่งสุนัขตัวหนึ่งได้ขโมยจาปาตีที่เขาอบและวางผึ่งไว้ เขาวิ่งไล่ตามพร้อมกับถือกล่องใส่เนยไปด้วย "โอ้ พระเจ้า โปรดคอยก่อน จาปาตียังไม่ได้ทาเนยเลยกินแบบนั้นมันไม่อร่อยนะ" ความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งในพลังสูงสุดทำให้เขามองเห็นพระเจ้าในทุกๆ ชีวิต

วันหนึ่งมารมาจับตัวเขาด้วยความกลัวว่าชายผู้นี้มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างมั่นคง จะพาเขาก้าวพ้นจากอำนาจของมารๆ จึงพยายามมาทำร้ายเขาขณะที่ชายคนนี้กำลังตักน้ำขึ้นมาจากบ่อ มารก็ปรากฏตัวขึ้นและจับเขาทุ่มลงในบ่อน้ำ แต่เมื่อชายหนุ่มได้เห็นเขาทั้งสองบนศีรษะมาร ใบหน้าสีดำ ปากใหญ่สีแดง อีกทั้งเขี้ยวยื่นยาว 2 เขี้ยว เขาก็ยิ้มและพูดว่า "โอ พระเจ้าที่รัก ท่านพุทธะได้โปรดให้ข้าพเจ้าได้ถวายตัวแด่บุญกุศลอันไม่สิ้นสุดของท่าน ช่างเป็นบุญอันประเสริฐของข้าพเจ้าที่ได้มีโอกาสเห็นตัวท่าน" จากนั้นเขาก็เริ่มร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า "พระเจ้าสูงสุดและสวยงามที่สุดพร้อมด้วยฟันซี่ยาว (อาจารย์ร้องเป็นเพลง:เสียงหัวเราะและปรบมือ) ผิวหน้าสีดำ ปากใหญ่หนา มีเขาอันใหญ่และเล็บคมกริบ ไม่ต้องการแม้แต่เสื้อผ้ามาสวมใส่ ข้าพเจ้าปรารถนาเชิญท่านไปที่บ้าน จัดหาเสื้อผ้าสวยๆ และถวายท่านด้วยนมและจาปาตี"

ขณะที่เขาร้อง เขาทั้งเต้นรำและหมอบกราบด้วยความงงงวยจากความซื่อไร้เดียงสาของเขา ทำเอามารไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาดี ได้แต่หัวเราะและพูดว่า "โอเคๆ เจ้าชนะ!"

ดังนั้น เราต้องรักษาความบริสุทธิ์แห่งจิตใจของเราไว้ตลอดเวลา เพื่อดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข				
8 มีนาคม 2558 00:54 น.

คำแนะนำของมารดา

คีตากะ

180562gbxubo16y9.gif












ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
27 ตุลาคม 2538 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)




อาจารย์เล่าเรื่องนี้แก่คู่สามีภรรยาชาวอินเดียที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ซึ่งมีปัญหาในชีวิตแต่งงานและได้ขอคำแนะนำจากอาจารย์ดังนี้ 

ลูกสาวคนหนึ่งที่หมั้นหมายกับสามีของเธอแล้ว ต้องเดินทางจากบ้านไปไกลเพื่อไปอยู่ที่บ้านของสามีเธอ ก่อนจะไป มารดาของเธอไม่ได้ร้องไห้เลย และไม่ยอมให้ลูกสาวร้องไห้ด้วย กลับบอกลูกว่า “ลูกต้องฟังแม่นะ วันนี้เป็นวันที่มีความสุขมาก พระเจ้าได้อวยพรลูกให้ลูกได้สามีที่ดีที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเสียด้วย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ผู้ซึ่งไม่เล่นการพนัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงอื่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่หลอกลวงคดโกง แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์ ใจบุญ สุภาพอ่อนโยน มีศีลธรรม มีคุณธรรม และหล่อเหลา (ทุกคนหัวเราะ) ทั้งภายในและภายนอก” ภายในของเขาสวยงามกว่าภายนอก ภายในของเขาขาวสะอาด ถึงแม้ว่าภายนอกเขาจะตัวดำก็ตาม (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ลูกสาวยิ้มและฟังด้วยความสนใจ และด้วยความรักความเอาใจใส่ต่อคำพูดของมารดา

แล้วผู้เป็นมารดาก็พูดว่า “เอาละ ลูกจงไปยังบ้านใหม่ของลูกนะ และจงปฏิบัติต่อญาติฝ่ายสามีของลูกเหมือนกับญาติพี่น้องของลูกเอง เคารพนับถือพ่อแม่ของสามีเหมือนกับที่ลูกเคารพนับถือแม่กับพ่อของลูกนะ เคารพสามีของลูกเหมือนดังพระเจ้า, กูรู, เพื่อน, ผู้คุ้มครองป้องกันแต่เพียงผู้เดียวของลูก เหมือนดังบุคคลที่ลูกรักและนับถือมากที่สุดในโลกนี้ เพื่อว่าต่อไปลูกจะได้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับลูกๆของลูก และนำความรุ่งเรือง ความสุข และความภาคภูมิใจมาสู่ครอบครัวใหม่ของลูก ลูกเป็นหนี้บุญคุณนี้ต่อสามีของลูก ต่อแม่ และต่อพ่อและพี่น้องทุกคนในครอบครัวของเราที่จะทำหน้าที่นี้ให้สมบูรณ์ และลูกเป็นหนี้ต่อตัวเองเท่าๆ กับต่อสามีของลูกที่จะทำให้เราทุกคนปลื้มปิติด้วยวิธีนี้

"จงดูแลครอบครัวของลูกรวมทั้งทรัพย์สมบัติและธุรกิจของสามีให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป แล้วมันจะนำความสูงส่ง ความมั่นคง และความสมบูรณ์พูนสุขมาสู่ครอบครัวของลูก เพื่อลูกๆ ของลูกจะได้มีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องเศร้าเสียใจไปหรอก มีแต่อนาคตที่น่าตื่นเต้นและเรื่องท้าทายเรื่องใหม่ที่กำลังรอคอยลูกอยู่ การที่ได้รับความรักจากสามีนั้นเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก ลูกควรจะอดทนเพียรพยายามที่จะเป็นภรรยาที่ดี เพื่อที่ลูกจะได้มีความสุขและความสำเร็จทั้งหมดนี้ในชีวิตของลูก”
ลูกสาวก็พูดว่า “แต่ว่า ลูกจะทำอะไรได้ที่จะเป็นการปฏิบัติภาระหน้าที่อันสวยงามและสูงส่งที่แม่เพิ่งจะบอกลูกนี้ให้สำเร็จสมบูรณ์ล่ะจ๊ะ?”

มารดาก็บอกว่า “ลูกต้องกินดี แต่งตัวดี และนอนหลับให้สบายทุกวัน” ลูกสาวก็พูดว่า “ค่ะแม่ ลูกเข้าใจแล้ว”  แล้วเธอก็เดินทางไปอยู่บ้านครอบครัวของสามี และทำตามนั้นทุกอย่างคือ นอนหลับสบาย กินดี แต่งตัวสวยๆทุกวัน บรรดาสมาชิกในครอบครัวสามีของเธอต่างก็มีความสุข ถูกใจรักใคร่เธอ เธอเลี้ยงดูลูกๆที่น่ารัก ว่านอนสอนง่าย เฉลียวฉลาด ขยันเรียน ขยันทำงาน ให้สามีและครอบครัวของสามี  คนอื่นๆต่างก็มาถามเคล็ดลับของเธอว่า “เธอทำได้อย่างไรน่ะ? เธอมาจากที่ห่างไกลขนาดนี้ เธอไม่เคยรู้ขนบธรรมเนียมของดินแดนแห่งนี้เลย แต่เธอก็ยังทำได้ดีมาก เธอทำอย่างไรน่ะ?

ลูกสะใภ้คนนี้ ซึ่งตอนนี้เป็นคุณแม่ของลูก 3 คนแล้ว เป็นแม่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เจ้านายหญิงแห่งบริษัทของสามีเธอ หัวหน้าเลขานุการ แม่บ้านของทั้งครอบครัว (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) นางพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุและสำหรับพ่อแม่ผู้อ่อนแอบอบบางของสามี ผู้นำครอบครัวสำหรับน้องชายน้องสาวของสามี และอะไรอื่นๆ และเป็นผู้ช่วยซึ่งเป็นคุณแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรักของลูกๆ ที่น่ารัก สุขภาพดี และฉลาดเฉลียวสามคน เธอพูดด้วยความถ่อมตัวมากว่า “ฉันทำทั้งหมดนี้ได้สำเร็จเพราะคำแนะนำด้วยความรักของแม่ของฉัน”

เพราะฉะนั้นทุกคนจึงพูดว่า “บอกฉัน บอกฉันหน่อย-ได้โปรดเถิด บอกฉันด้วย บอกฉันที”  “แม่ของฉันบอกฉันไว้ก่อนที่ฉันจะเป็นเจ้าสาวผู้เศร้าหมองที่มาอยู่ที่นี่ว่า ฉันควรจะไปอยู่กับครอบครัวของสามี แล้วก็นอนหลับให้สบาย กินดีๆ แต่งตัวให้สวยเก๋ทันสมัย” (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)  ทุกคนก็พูดว่า “อะไรนะ? เป็นคำแนะนำแบบไหนกันนี่? และเธอก็ทำตามแบบนั้นทุกอย่างเลยหรือในการดูแลครอบครัวของเธอน่ะ?”  เธอก็ตอบว่า “ใช่แล้ว ฉันทำแบบนั้นทุกอย่างคือ กินดี นอนหลับให้สบาย แล้วก็แต่งตัวสวยๆทันสมัยทุกวัน ฉันทำแบบนั้นแหละ”

พวกเขาจึงพูดว่า “ทำได้อย่างไรน่ะ? เธอหมายความว่าอย่างไร? เธอดูแลครอบครัวของเธอด้วยการทำเพียงแค่เพลิดเพลินมีความสุขแบบนี้ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ไปได้ด้วยดีหรือ? ช่วยอธิบายให้เราเข้าใจหน่อย เธอกำลังพูดล้อเล่นหรืออะไรกันแน่?”

เธอก็พูดว่า “เปล่านะ! เปล่า! สิ่งที่แม่ของฉันหมายความสำหรับการกินดีก็คือว่า ฉันต้องดูแลทั้งครอบครัวทั้งหมดให้พวกเขาได้กินดี รวมทั้งแขกเหรื่อทั้งหลาย จนกว่าพวกเขาจะอิ่มหนำสำราญกันหมดแล้ว ฉันถึงจะกินของที่เหลืออยู่ เพราะว่าหลังจากที่ทุกคนอิ่มสบายใจกันแล้ว ก็จะไม่มีใครมารบกวนฉันอีก (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ถึงตอนนั้นฉันก็จะหิวขึ้นมาแล้ว (ทุกคนหัวเราะ) เพราะต้องวิ่งไปวิ่งมา เพราะฉะนั้นของอะไรที่เหลืออยู่ ไม่สำคัญหรอกว่ามันจะเป็นอะไร มันก็จะอร่อยมากทั้งนั้นแหละ(ทุกคนหัวเราะ) บำรุงกำลังและมีพลังพรเยอะแยะเลย

"ฉันสวดถึงอาจารย์ชิงไห่ก่อนกินด้วย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วท่านก็อวยพรอาหารของฉัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าฉันจะกินอะไรมันก็กลายเป็นน้ำอมฤตไปหมด ร่างกายของฉันก็แข็งแรง อาหารก็ถูกปาก ฉันมีความพึงพอใจ ดังนั้นฉันจึงสามารถบริการครอบครัวของฉันได้อย่างดีที่สุดหลังจากที่ฉันได้กินอิ่มหนำสำราญกับอาหารอร่อยๆ ไปคนเดียวอย่างเงียบๆและสงบสุข เมื่อทุกคนกินอิ่มและพอใจกันหมดแล้ว พวกเขาก็รักฉันเช่นกัน และก็แน่นอนที่ความรู้สึกรักของพวกเขานี้ก็ได้อวยพรให้แก่ฉันด้วย เพราะว่าฉันดูแลพวกเขาอย่างดีมาก ดังนั้นความหวังดีและความรู้สึกพึงพอใจของพวกเขาก็จะอวยพรให้แก่ฉัน และฉันก็จะได้รับผลบุญจากความสุขของพวกเขาด้วย นั่นก็คือเคล็ดลับของการกินดี”

พวกเขาก็พูดต่อไปว่า “เธอนอนหลับอย่างสบายทุกคืนเลยหรือ? เธอห่วงแต่เรื่องนอนเท่านั้นหรือ?”  เธอก็ตอบว่า “เปล่า! ที่แม่ของฉันพูดว่าหลับให้สบายนั่นหมายความว่า หลังจากที่ทุกคนนอนหลับกันหมดแล้ว ฉันก็ดูแลประตูหน้าต่างทุกบาน ดับไฟทุกดวง และให้มั่นใจว่าทุกอย่างเข้าที่เรียบร้อยและปลอดภัยเพื่อขโมยจะได้ไม่เข้ามา ดูแลสมาชิกครอบครัวทุกคนให้หลับสบาย แล้วฉันก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก ใจของฉันก็จะสงบและผ่อนคลายมาก เพราะรู้ว่าพวกเขาได้รับการดูแลอย่างดี อบอุ่นอยู่ในผ้าห่มกันหมดแล้ว และพวกเขาจะนอนหลับกันไปตลอดคืน ไม่มีทางลุกขึ้นมารบกวนฉัน หรือร้องขออะไร หรือไม่สบายป่วยไข้อะไร แล้วฉันก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก ถึงตอนนั้นฉันก็จะนอนหลับสบายเหมือนกัน เพราะว่าไม่มีอะไรอื่นอีกที่ฉันจะต้องทำ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) นั่นคือความหมายที่แม่ฉันพูดถึง”

คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกประหลาดใจและประทับใจในปัญญาของผู้เป็นแม่รวมทั้งปัญญาของลูกสาวด้วย แน่นอน แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น  “แล้วข้อสุดท้ายล่ะ ช่วยอธิบายข้อสุดท้ายด้วย โอ! ทำไมเธอต้องแต่งตัวให้สวยด้วย?”  เธอก็ตอบว่า “ใช่แล้ว! การแต่งตัวสวยหมายถึงเธอต้องแต่งตัวให้เหมาะให้ควรและให้เรียบร้อยอยู่เสมอ เธอต้องแต่งตัวไปพร้อมกับยิ้มกว้างไปด้วยเวลาเธอตื่นนอนตอนเช้าและตอนสุดท้ายก่อนจะเข้านอน แต่งตัวเธอด้วยความรักความกรุณาซึ่งพระเจ้าได้มอบไว้ให้ในดวงใจของเธอ ฉะนั้นเวลาคนพบเห็นเธอ พวกเขาก็จะเห็นเทพธิดาองค์หนึ่ง เห็นความรักที่จารึกอยู่บนใบหน้าของเธอ เห็นพระพรที่ฉายอยู่ในแววตาของเธอ เห็นพระเจ้าในรอยยิ้มอันเมตตากรุณาของเธอ นั่นก็คือสิ่งที่แม่ของฉันหมายถึงในเรื่องการแต่งตัวให้สวย

“ฉะนั้นนั่นก็คือวิธีที่ฉันแต่งตัวของฉันเองทุกวัน นั่นก็คือวิธีที่ฉันบำรุงตัวเองให้มีสุขภาพดีทุกวัน นั่นก็คือวิธีที่ฉันนอนหลับฝันดีทุกคืน และถ้าพวกเธอทุกคนทำอย่างนี้ สมาชิกครอบครัวของเธอ พ่อแม่พี่น้องของสามีเธอก็จะเป็นเหมือนกับของฉันที่นี่!”  เพราะฉะนั้นทุกคนจึงก้มหัวเคารพ ปรบมือ ยิ้ม และแต่งตัวพวกเขาเองอย่างสวยงามแล้วก็กลับบ้านไป 				
8 มีนาคม 2558 00:54 น.

จงเป็นตัวอย่างที่กล้าหาญและซื่อสัตย์

คีตากะ

st511.jpg












ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา

3 พฤศจิกายน 2538 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วิดีทัศน์หมายเลข 511




มีเรื่องเล่าเกี่ยวผู้ชายคนหนึ่งในรัฐฉี เขามีชื่อว่าเถียน วันหนึ่งเขาได้งานเลี้ยงใหญ่โตมากเพื่อบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่ ผู้คนหลายพันคนได้มาร่วมงานเลี้ยงนี้และมีการทำอาหารมากมาย การรับประทาน การรื่นเริงสนุกสนาน และอะไรแบบนั้น

จากนั้นก็มีแขกคนหนึ่งมามอบของให้กับนายเถียน เป็นปลาและนกพันธุ์ที่หายากมาก และรังนกที่หายาก มันแพงมากในประเทศจีนและเป็นของที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ในการสร้างรังนั้น นกนางแอ่นจะต้องถ่มน้ำลายของมันออกมา แต่แล้วเมื่อคนมาขโมยเอารังของมันไป มันก็ต้องสร้างต่อโดยการสร้างรังใหม่อีกรังหนึ่ง แต่พอถึงเวลานั้น นกก็จะไม่มีน้ำลายและสารอาหารในร่างกายมันที่จะถ่มออกมาอีกต่อไป ดังนั้นมันก็จะถ่มจนเลือดออก แล้วน้ำลายบนรังในตอนนั้นก็จะเป็นสีแดงเลือด แต่รังนกสีแดงกลับแพงกว่าสีขาว และนั่นคือวิธีที่พวกคนรับประทานมัน

เพราะฉะนั้นขอให้ระวัง: ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่เป็นมังสวิรัติ จะเป็นผัก แม้เธอจะไม่ได้ฆ่านก แต่มันก็ตายจากความทรมาน จากการขาดอาหาร และขาดสารอาหารเหมือนๆ กัน เพราะฤดูกาลที่มันต้องสร้างรังไว้ให้พร้อมสำหรับลูกของมันได้มาถึง นั่นเป็นปฏิกิริยาที่เป็นไปตามธรรมชาติของนก ถ้าเราเอารังของมันไป มันก็จะสร้างรังใหม่ ซึ่งมันก็จะถ่มน้ำลายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันสร้างรังขึ้นมา บางทีมันอาจไม่สมบูรณ์ และบางทีมันอาจสมบูรณ์ แต่ก็ต้องเอาชีวิตหรือสุขภาพมันมีค่าของมันเข้าแลก มันอาจเหนื่อยล้า แล้วพอถึงเวลาที่ลูกนกเกิดขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถดูแลพวกมัน แน่นอน มีมนุษย์ไงล่ะ พวกเขา “ดูแล” เด็กๆ โดยการเอาเด็กๆ ใส่เข้าไปในท้องอันอบอุ่นของพวกเขาและเก็บเอาไว้ตลอดกาล เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ

ในงานเลี้ยงของนายเถียนนี้ เมื่อมีคนมอบรังนกเลือดที่หายากเช่นนี้ให้แก่เขา ตัวอย่างเช่น หรือปลาที่หายากมาก นายเถียนก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากและดีใจ เขาคงจะเป็นบุคคลชั้นสูงที่สำคัญมากในสังคม ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีงานเลี้ยงแบบนี้ และคงมีคนไม่มากนักที่มาร่วมงาน ดังนั้นเขาจึงซาบซึ้งใจและดีใจ แล้วเขาก็ถอนหายใจ พูดว่า “โอ! พระเจ้ามีความรักต่อพวกเรามาก ดูสิ่งที่พระองค์ประทานให้เรารับประทานทุกๆ วันสิ พระองค์สร้างสัตว์สารพัดชนิดเพื่อให้เราอิ่มท้องและเอร็ดอร่อยในรสอาหาร”

ทุกคนได้ยินประโยค ที่เขาพูดสรรเสริญพระเจ้าแบบนั้น จึงปรบมือด้วยความเห็นพ้องและชื่นชมสรรเสริญ แต่ในหมู่แขกที่มานั้น มีเด็กชายคนหนึ่งอายุเพียง 12 ขวบ บางทีเขาอาจเป็นมังสวิรัติ  เขายืนขึ้นและพูดว่า “ท่านครับ มันไม่ใช่เป็น อย่างที่ท่านพูดหรอกครับ” แล้วท่านเซอร์ก็ประหลาดใจมากและสะดุ้งตกใจ เขาถามเด็กว่า “หนูหมายความว่าอย่างไร มันไม่ใช่เป็น แบบที่ฉันพูดหรือ? หนูมีความเห็นเป็นอย่างอื่นหรือ หนูผู้มีอายุน้อยนิด? หนูรู้อะไรด้วยหรือ?”

เด็ก ชายก็พูดว่า “ครูของผมสอนผมอีกแบบหนึ่ง ครูผมพูดว่า “สรรพสัตว์มีความเสมอภาคในโลกนี้ พระเจ้าสร้างสรรพสัตว์ด้วยความรักแบบเดียวกัน ด้วยศิลปะ ด้วยพรสวรรค์ที่สร้างสรรค์ และด้วยความตั้งใจที่สร้างสรรค์แบบเดียวกัน” ดังนั้นจึงไม่มีใครในโลกนี้ที่ดีกว่าสรรพสัตว์อื่นใดในโลกนี้ พระเจ้าสร้างสรรพสัตว์ที่แตกต่างกันด้วยจุดประสงค์และเจตนาที่แตกต่างกัน หากท่านพูดว่า สรรพสัตว์ อย่างเช่น ปลา นก กระบือ และอื่นๆ มีไว้เพื่อให้เรารับประทาน เพราะพระเจ้าสร้างพวกมันขึ้นมาให้เรารับประทาน ผมก็คิดว่า ท่านผิด เพราะว่าลองดูยุงสิครับ มันกัดเราและดูดเลือดเรา และดูสิงโตและเสือสิครับพวกมันกินมนุษย์ ท่านคิดว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ยุง และเสือและสิงโตด้วยหรือเปล่าครับ?” ดังนั้นท่านเซอร์ พวกบุคคลสำคัญจึงไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร


เด็กชายก็พูดต่อว่า “ครูของผมพูดว่า ‘ในโลกนี้สรรพสัตว์ทุกชนิดมีความเท่าเทียมกัน แต่ส่วนใหญ่มนุษย์จะใช้ความฉลาด พละกำลัง และเล่ห์เหลี่ยม มาทำร้ายและเอาเปรียบสรรพสัตว์อื่นๆ ที่อ่อนแอกว่า อ่อนโยนกว่า อ่อนหวานกว่า และมีภัยน้อยกว่า ทั้งหมดก็มีเท่านี้’ เราไม่สามารถพูดว่า พระเจ้าสร้างสรรพสัตว์ใดๆ มาให้เรารับประทานหรือให้เราใช้” ดังนั้นแน่นอน พวกบุคคลสำคัญและพวกบุคคลสำคัญที่เล็กกว่าอื่นๆ ทั้งหมดในงานก็ปิดปากสนิท

ฉันคิดว่า เด็กชายบางคนของเรา วันหนึ่งพวกเขาก็จะพูดแบบเดียวกันนี้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง อาจจะเป็นที่ทำเนียบขาวก็ได้ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ฉันเพียงแต่ล้อเล่น มันอาจจะไม่เป็นที่ทำเนียบขาว มันอาจเป็นที่ทำเนียบฟ้า” ทำเนียบชมพู” หรือ “ทำเนียบเหลือง” แล้วตอนนี้เด็กๆ ของเราส่วนใหญ่ก็ฉลาดมาก บางครั้งพวกเขาก็พูดออกมาตรงๆ ใน สิ่งที่พวกเขาคิดหรือตามที่ได้เรียนรู้มาจากที่นี่โดยไม่กลัวว่าจะทำให้ใครขุ่นเคือง

ใน ทางกลับกัน กลายเป็นว่า พวกเราผู้ใหญ่ซึ่งฉลาดกว่า แข็งแรงกว่า เป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาด กลับกลัวที่จะพูดในบางครั้ง แม้กระทั่งภายในครอบครัว เราก็กลัวที่จะพูดกับผู้คนว่า เราเป็นลูกศิษย์อาจารย์ชิงไห่ เราถือศีล 5 และรับประทาน มังสวิรัติ อาหารที่มีเมตตา เพราะเรากลัวว่า คนจะหัวเราะเยาะเรา เรากลัวว่า คนจะตีจากและไม่เป็นเพื่อนเราอีกต่อไป เรากลัวว่า ตำแหน่งของเราจะสั่นคลอน เรากลัวว่า นายของเราจะหมดความชอบในตัวเรา เรากลัวว่าภรรยาของเราจะไม่รักเราอีกต่อไป เรากลัวว่าลูกๆ ของเราจะคิดว่าเราเป็นบ้าไปแล้ว และเรากลัวว่า เพื่อนๆ ของเราจะตีจากเรา เรากลัวว่าทุกคนจะมองดูเราหรือดูถูกเราคล้ายกับว่า เราเป็นบ้าหรือมาจากดาวดวงอื่น

เรากลัวทุกอย่าง เรากลัว แม้กระทั่งร้านขายเนื้อสัตว์จะมองดูเราด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ทุกครั้งที่เราเดินผ่านในตอนนี้ เรากลัว ไม่ว่าเรื่องอะไรว่า เพราะเราได้เรียนรู้มาในทางลบว่า ทุกอย่างที่แตกต่างออกไป ทำให้คนปลีกตัวออกห่าง แต่ไม่จำเป็นเสมอไปหรอก ถ้าเราแตกต่างในทางที่ดี คนอาจทำตามก็ได้ มิฉะนั้นแล้วเราจะมีชีวิตที่แตกต่างออกไปทำไม ถ้าเรากลัวนักกลัวหนา? ถ้าเช่นนั้นเราก็ก้มศีรษะของเรา คำนับทุกคน และมีชีวิต แบบที่พวกเขาเป็นกันก็แล้วกัน แบบนี้เราก็จะมีความสงบสุขตลอดกาล, บางที เพราะเราจะอยู่ที่นี่ตลอดไป แล้วเราก็จะมีความสงบสุขกับมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้ตลอดไป แต่อาจจะไม่ใช่กับสัตว์ต่างๆ แล้วทุกที่ที่เราไป สุนัขก็จะเห่าเรา และวัวกระทิงก็ถึงอาจถึงกับขวิดเราก็เป็นได้

ฉันได้เห็นภาพมากมายของวัวกระทิงในสนามสู้วัวกระทิง บางครั้งเมื่อมันสามารถขวิดนักสู้วัวกระทิงได้ มันก็เอาจริงๆ – ไปสู่สวรรค์เลย นั่นเป็นลักษณะ ที่เราเรียกว่าอาจจะเป็นกรรม เพราะฉะนั้นหากพวกเราทุกคนกล้าหาญเหมือนเด็กชายคนนี้ซึ่งมีอายุ 12 ขวบ (มันเป็นเรื่องจริง) ฉันก็คิดว่า โลกนี้จะเป็นสถานที่ที่ดีขึ้น แล้วเราก็จะมีพี่น้องมากขึ้น หลั่งเลือดน้อยลง มีความรุนแรงน้อยลง มีสงครามน้อยลง และมีการพูดคุยเรื่องสันติภาพน้อยลง เพราะสันติภาพจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

แล้วเราก็ไม่ต้องใช้จ่ายเงินมากมายสำหรับโรงแรม 5 ดาวใน เจนีวา และพวกเครื่องบินส่วนตัวทั้งหลาย และผู้คุ้มกันและแชมเปญชั้น 1 และคาร์เวียร์ เราไม่ต้องเสียน้ำลายเพื่อพูดคุยเรื่องสันติภาพ เมื่อสันติภาพได้มาเยือนโลกของเราจริงๆ ถ้าทุกคนทำตามวิถีทางของนักบุญ ทำตามวิถีทางแห่งความไม่รุนแรงจากข้างในออกสู่ข้างนอกตั้งแต่เด็กเป็นต้นไป เด็กๆ ของเราทั้งหมดก็จะเป็นเหมือนกับเด็กในเรื่องนี้ เพราะจะต้องมีสักวันหนึ่ง ที่ผู้คนในโลกนี้เบื่อหน่ายสงคราม การต่อสู้ และความรุนแรง จะต้องมีสักวันหนึ่ง ที่พวกเขาจะมานั่งรวมกันและหยุดเรื่องเหลวไหลทั้งหมดนี้

การที่พวกเราซึ่งเป็น มนุษย์ไม่สามารถพูดคุยกันได้ด้วยภาษาของเราเองเป็นเรื่องที่น่าละอาย เราได้ลดสถานะของตัวเราลงมาสู่สถานะของสัตว์ แล้วเราก็ชอบใช้มันมาด่าสาปแช่งคนอื่น อย่างเช่น “เธอเป็นหมา ไอ้หมา” และอะไรแบบนั้น แต่สัตว์ไม่ได้เลวอะไรแบบนั้น พวกมันไม่เลวเหมือนกับมนุษย์เราบางคนเสียด้วยซ้ำ สัตว์บางครั้งต่อสู้เพราะความหิว พวกมันกินและฆ่าเพราะความหิว แต่หลังจากที่พวกมันอิ่มแล้ว พวกมันก็เชื่อง พวกมันไม่ออกไปทำร้ายใคร

บางครั้งสัตว์ก็สู้กับสัตว์อื่น แต่พวกมันปกป้องพวกของมัน แต่บางครั้งพวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ พวกเราสู้กับทุกคน: เพื่อนบ้านของเรา ลูกของเรา ทุกอย่างของเรา เพราะเราไม่สามารถระงับความแตกต่างของเราเองด้วยคำพูด หรือการจัดการ หรือใช้สันติวิธีแบบสุภาพบุรุษ มันยากมากสำหรับเรา เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดกันจริงๆ ในเรื่องนี้แล้วละก็ สัตว์บางตัวก็มีคุณสมบัติที่ดีมากมาย บางครั้งดีกว่าเราเสียด้วยซ้ำไป สุนัขมีความซื่อสัตย์มาก ม้ามีความจงรักภักดีมาก และวัวรักสันติมาก วัวให้และไม่เอาอะไรตอบแทน นอกจากหญ้าแห้ง และฉันไม่ทราบว่า เรามีสิทธิหรือศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่หรือไม่ที่จะดูถูกสัตว์ต่างๆ ซึ่งเรามักคิดเสมอๆ ว่าต่ำต้อยกว่าเราในเผ่าพันธุ์มนุษย์

ดังนั้นหากเรายังคงประพฤติตนในลักษณะที่ผู้คนในโลกประพฤติกันอยู่ทุกวันนี้ โดยการทำสงครามและยุติทุกอย่างด้วยปืน เลือด ชีวิตมนุษย์และอะไรแบบนั้น ฉันก็คิดว่า เราไม่มีศักดิ์ศรีพอเพียงหรือสิทธิที่จะมองเข้าไปในดวงตาของสัตว์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องดูถูกพวกมัน ดังนั้นขอให้หวังในเรื่องนั้น และขอให้สอนลูกๆ ของเราด้วยตัวอย่างที่ดี ขอให้พวกเขามีความกล้าหาญและพูดจาตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์เหมือนอย่างเด็กชายในเรื่องนี้ นั่นคือหน้าที่ของเธอๆ จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่พวกเขา				
8 มีนาคม 2558 00:55 น.

การฝึกหัดของโมเสส - การนิ่งเงียบและยอมรับ

คีตากะ

mosesbush.gif












โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่


      เธอรู้จักโมเสสไหม? ทุกคนรู้จัก โมเสสเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของบัญญัติ 10 ประการ เป็นที่คาดคิดว่าเขาได้ติดต่อกับพระเจ้า เขารู้จักพระเจ้า เขาได้ยินพระเจ้าพูด และเขาได้รับบัญญัติโดยตรงจากพระเจ้า แต่แม้ว่ามันจะเป็นบัญญัติของพระเจ้า ในช่วงระยะเวลานั้นมันก็ได้ถูกฝ่าฝืนและเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ฉันสงสัยว่าทำไม? บางทีอาจจะไม่ใช่เป็นอารมณ์ของพระเจ้า (ท่านอาจารย์หัวเราะ) มันเป็นอารมณ์ของโมเสส อารมณ์ของเขานั้นใหญ่มากเหมือนกับอารมณ์ของฉัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เขาโกรธมากแล้วเขาก็โยนแผ่นหินซึ่งมีบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า ฉันคิดว่าต่อมาในภายหลังเขาก็ได้ทำมันขึ้นมาอีก อาจจะใช้เวลา 40 วัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ในการสลักหินให้เป็นตัวหนังสือ มันใช้เวลานานมาก

เอาละ มาดูกันว่าโมเสสทำอะไรอย่างอื่นอีกในระหว่างช่วงชีวิตของเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นๆ เกี่ยวกับโมเสสตอนที่เขายังอยู่ในขั้นฝึกหัดที่จะเป็นอาจารย์ เขายังไม่ได้เป็นอาจารย์ ดังนั้นอารมณ์ของเขาก็เลยยังไม่มีเวลาที่จะปะทุขึ้นมา แต่เธอก็ยังสามารถเห็นอะไรบางอย่างจากเรื่องนี้ได้ โมเสสจะต้องได้เป็นอาจารย์ในเวลาต่อมา ดังนั้นก่อนที่เขาจะพาผู้คนออกจากแผ่นดินของอียิปต์ เขาก็ได้ฝึกหัดกับมหาอาจารย์

วินัยข้อแรกที่อาจารย์ท่านนี้ให้โมเสสปฏิบัติก็คือการนิ่งเงียบ วันหนึ่งเขาทั้ง 2 คนได้ท่องเที่ยวไปในชนบท ดังนั้นอาจารย์จึงได้ตั้งวินัยให้นิ่งเงียบนี้ให้เขาทำตาม อาจารย์คงจะรับโมเสสเป็นลูกศิษย์ของเขา และคงจะได้เห็นว่าเขามีแววที่จะเป็นอาจารย์ในอนาคต

แต่กระนั้นก็ดีตามที่เธอรู้กันการที่จะสอนใครนั้น “มันง่ายมาก” (ท่านอาจารย์หัวเราะ) แต่การที่จะทำให้เขาเชื่อ เข้าใจและเห็นด้วยกับคำสอนของเธอนั้นมันยากมาก มันโอเคที่จะสอน แต่เขาฟังหรือไม่ฟังนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากและยากมากๆ โมเสสก็ได้เริ่มต้นฝึกหัดกับอาจารย์ และอาจารย์ได้บอกให้เขานิ่งเงียบไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การนิ่งเงียบก็หมายความว่าให้ปิดปากของเธอ แต่มันยากมาก และอาจารย์ก็พูดว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะต้องนิ่งเงียบ ห้ามพูดจนกว่าฉันจะอนุญาตให้พูดได้”

โมเสสพูดว่า “D’ACCORD (ตกลง - เป็นภาษาฝรั่งเศส) โอเค”

จากนั้นเขาทั้ง 2 คนก็ท่องเที่ยวไปทั่วชนบทเป็นเวลาหลายวัน บางครั้งก็หยุดที่ตรงนี้ บางครั้งก็หยุดที่ตรงนั้น - หยุดในโรงแรม วันหนึ่งพวกเขาก็ได้ผ่านชนบทแห่งหนึ่งที่สวยงามมาก ความงามของมันพิเศษและตระการตาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งโมเสสอดไม่ได้ที่จะเปิดตามองดูและเปิดปากของเขาด้วย เขาไม่ใช่เพียงแค่เปิดปากเท่านั้น เขาพูดออกมาด้วยว่า “โอ! ท่านอาจารย์มันช่างสวยงามเสียจริงๆ” (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) แต่อาจารย์ก็ให้อภัยเขา “ฉันบอกเธอให้ หุ-บ หุบปาก” (ผู้ฟังหัวเราะ)


โมเสสพูดว่า “โอๆ ท่านอาจารย์ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย โปรดยกโทษให้ฉัน ฉันจะหุบปาก ฉันจะไม่พูดอีกแล้ว” พอพวกเขาเดินต่อไปบนถนน พวกเขาก็มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง มีแม่กำลังร้องไห้อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เพราะลูกน้อยของหล่อนบังเอิญถูกพัดไปกับกระแสน้ำ กระแสน้ำนั้นแรงมากๆ โมเสสต้องการช่วยชีวิตเด็กคนนั้น แต่อาจารย์ไม่ยอมให้เขาทำ แน่นอนโมเสสก็ทำไม่ได้เหมือนกันเพราะกระแสน้ำนั้นแรงมาก

เขาพูดกับอาจารย์ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านมีพลัง ท่านมีความสามารถยิ่งใหญ่ ท่านจะช่วยชีวิตเด็กทารกนั้นได้ไหม? ท่านนิ่งเงียบและเพียงแต่ยืนอยู่ที่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน!? แม่ก็กำลังร้องไห้ ท่านไม่เห็นหรอกหรือ? เด็กก็กำลังจมน้ำ แล้วท่านก็นิ่งเงียบอยู่ได้!”

อาจารย์พูดว่า “จุ๊! เงียบ!”  เขาก็ได้ชักสีหน้าที่ดูดีแบบนี้ให้โมเสสด้วย (ท่านอาจารย์แสดงการจ้องมองที่จริงจัง ถมึงทึง ผู้ฟังหัวเราะ) พวกเธอก็รู้จักสีหน้าแบบนั้นเป็นอย่างดีมากจากคนคนหนึ่งที่ฉันจะไม่ขอเอ่ยชื่อ (ผู้ฟังหัวเราะ) เมื่อเขา (ผู้หญิง) โกรธ เขาก็มีหน้าตาแบบนั้นเหมือนกัน ตาของเขาใหญ่กว่าปกติ 2 เท่า (ผู้ฟังหัวเราะ) ตอนนี้เธอก็รู้จักคนคนนั้นแล้ว คนที่ชื่อ อะไรบางอย่าง จื๊อๆๆ ฉันไม่รู้จักคนคนนั้นหรอก

แม้ว่าโมเสสจะเชื่อฟังอาจารย์และหุบปากของเขา แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เด็กทารกนั้นจมน้ำ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจมาก แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะร้องขอสิ่งใดๆ ได้ เขาเฝ้าตำหนิอาจารย์เขาตลอดเวลา เขาพูดว่า “นี่จะต้องเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความเมตตา ไม่มีความรักต่อมนุษยชาติ เขาเทศน์ตลอดเวลาว่าเราจะต้องมีเมตตา เราจะต้องมีความรักต่อมวลมนุษย์ เราจะต้องช่วยผู้ที่ขัดสน ผู้ที่อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก ผู้ที่อยู่ในอันตรายและอะไรแบบนั้น เราจะต้องช่วยมวลมนุษย์ แล้วดูเขาสิ เขายืนเฉยๆ ดูเด็กทารกจมน้ำ แม่ก็ร้องไห้ ช่วยตัวเองไม่ได้ และเขาก็ไม่ทำอะไรเลย”

เขากำลังมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจของเขา สงสัยเป็นอย่างมากๆ และไม่สบายใจมากๆ มีความคิดที่วิพากษ์วิจารณ์ในตัวอาจารย์ แต่เขาก็เพียงปิดปากนิ่งเงียบ แม้โมเสสจะได้ขอให้อาจารย์ใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์และอะไรแบบนั้น แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ช่วยเหลือ โมเสสรู้ว่ามันไม่ถูกต้องที่วิพากษ์วิจารณ์อาจารย์ แต่เขาก็อดไม่ได้ และเป็นเวลายาวนานที่เขาไม่สามารถที่จะขับไล่ความคิดที่เป็นลบเหล่านี้ที่มีต่ออาจารย์

ในระหว่างการเดินทางของพวกเขาไปทั่วประเทศ บางทีพวกเขาอาจจะไปพบลูกศิษย์คนอื่นๆ แต่ก่อนพวกเขาไม่มีรถยนต์เหมือนอย่างในปัจจุบันนี้ ดังนั้นพวกเขาก็คงจะต้องเดินเท้า บางครั้งถ้ามีเงินก็สามารถนั่งรถม้าได้ สงสัยพวกเขา 2 คนคงไม่มีเงินมากนัก จึงท่องเที่ยวไปโดยการเดินเท้า

วันหนึ่งพวกเขาก็มาถึงชายฝั่งทะเลพวกเขาทั้ง 2 ได้เห็นเรือที่มีลูกเรือทั้งหมดกำลังจมลง ดังนั้นปากอันกว้างใหญ่ของโมเสสก็อดไม่ได้ที่จะต้องเปิดอีก เขาพูดว่า “ดูนั่นสิ ท่านอาจารย์ เรือทั้งลำกำลังจมลง ท่านเห็นหรือเปล่า? และลูกเรือทั้งลำก็กำลังจมลง ท่านจะจัดการทำอะไรสักอย่างได้ไหมนี่?”

อาจารย์พูดว่า “จุ๊ๆๆ! เงียบซะ”

นั่นก็คือทั้งหมดที่เขาพูดแน่นอนโมเสสก็เลยไม่ได้พูดอะไรอีกและนิ่งเงียบ แต่ความคิดวิพากษ์วิจารณ์ของเขาก็เพิ่มมากขึ้นๆ หลายเท่า เขาหนักใจมาก หนักใจมากๆ และไม่สบายใจ 

เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาก็บ่น ไม่ใช่บ่นกับอาจารย์แต่บ่นกับพระเจ้า เขาพูดว่า “พระเจ้า! ท่านบอกให้ฉันติดตามชายผู้นี้ แต่ท่านไม่ทราบว่าเขาเป็นคนอย่างไร” (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ)  พระเจ้าพูดว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล! ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน?”  โมเสสก็พูดกับพระองค์แบบนั้นและพูดต่อไปว่า “แต่พระเจ้าท่านไม่ทราบหรอก เขาเห็นเด็กกำลังจะตาย และเขาเห็นเรือกำลังจมลงพร้อมทั้งลูกเรือทั้งลำ - มีอยู่ 30 กว่าคนกำลังจะตาย แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่แม้กระทั่งรู้สึกสะเทือนใจหรือกะพริบตาของเขา นั่นแหละคือเขาแล้วท่านก็บอกให้ฉันติดตามเขา”


พระเจ้าจึงบอกกับเขาว่า “เธอนั่นแหละที่ไม่รู้ เด็กที่จมน้ำตายคือคนที่จะทำให้เกิดสงครามที่ใหญ่โตมากระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งจะทำให้คนเป็นแสนๆ คนต้องตาย และคนเป็นจำนวนล้านๆ คนต้องบาดเจ็บ เพราะฉะนั้นก็เป็นการดีแล้วที่ภัยพิบัติได้เกิดขึ้นกับเขา และเขาได้จมน้ำตายไปทำให้ชีวิตคนเป็นจำนวนมากรอดพ้นมาได้ สำหรับเรือที่จมลงลำนั้นนั่นเป็นเรือของโจรสลัด พวกโจรสลัดกำลังจะไปปล้นครั้งใหญ่ ใกล้ๆ กับท่าเรือชายฝั่งทะเล ใกล้มากกับจุดที่พวกเขาจมน้ำ เป็นการดีที่เรือจมลงและโจรสลัดทั้งหมดตาย มันได้ช่วยชีวิตผู้คนของเมืองนั้นไม่ให้ต้องถูกปล้น ฆ่า ข่มขืนและถูกกระทำในทางชั่วช้าต่างๆ โดยพวกโจรสลัดเหล่านั้น ตอนนี้เธอก็ได้รู้แล้วว่า ผู้คนที่บริสุทธิ์ทั้งหลายได้รับการช่วยเหลือจากเหตุการณ์ที่เด็กทารกจมน้ำตายและเรือโจรสลัดจมลง”

แน่นอน ในที่สุดโมเสสก็หุบปากของเขา (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) และ “ปากภายใน” ของเขาก็หุบด้วยเช่นกัน นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ใช่ว่าเพราะภายนอกของเขาไม่ได้พูด ภายในของเขาจึงนิ่งเงียบ ตกลงเธอก็ได้เห็นแล้วนะว่าอย่างน้อยที่สุดโมเสสก็จะได้เป็นอาจารย์ประเภทหนึ่งในอนาคต และในช่วงที่เขาเป็นลูกศิษย์ฝึกหัด เขาก็ช่างเป็นนักเรียนที่ยากที่จะสั่งสอนและโง่เขลา เธอจินตนาการออกไหมว่ามันจะยิ่งยากกว่านี้สักเท่าไรในการที่อาจารย์ท่านใดๆ จะต้องสอนคนที่ธรรมดาๆ ที่มีความฉลาดทางสติปัญญาน้อยกว่า มีปัญญาน้อยกว่า และมีบุญญานิสงส์ที่น้อยกว่า? เพราะว่าการที่บุคคลใดจะเป็นอาจารย์ เขาจะต้องเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่มาก มีบุญญานิสงส์มากและมีปัญญามากอยู่แล้ว เป็นบุคคลที่มีระดับชั้นสูงมาก ดังนั้นการที่จะสอนคนที่มีระดับชั้นสูงเช่นนั้น อาจารย์ก็จะต้องผ่านความยากลำบากมากมายเช่นนี้

เธอคิดว่าถ้าโมเสสเชื่อฟังเขาและนิ่งเงียบ นั่นก็ถือว่าเป็นการดีพอแล้วใช่ไหม? ไม่ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาแสดงออกภายนอก มันเป็นสิ่งที่อยู่ภายในซึ่งจะทำให้เกิดพลังงานที่เป็นอันตรายบางอย่าง และบางครั้งก็เป็นพลังที่ทำให้อาจารย์รู้สึกอึดอัดไม่สบายเป็นอย่างมาก แม้ว่าอาจารย์จะนิ่งเงียบและแบกรับมันไว้ทั้งหมด ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้ทำอันตราย มันอาจจะไม่ได้ทำร้ายร่างกายของอาจารย์ แต่มันอาจจะทำร้ายจิตใจหรือสนามพลังงานของอาจารย์ มันไม่ได้ทำร้ายปัญญาของอาจารย์ ไม่ได้ทำร้ายความเมตตาและความรักและตัวตนที่แท้จริงของอาจารย์ แต่มันอาจจะทำร้ายความสามารถทางจิตใจของอาจารย์ก็ได้ มันอาจจะทำร้ายแม้กระทั่งร่างกายของเขาก็ได้ หากบางสิ่งเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าความสามารถทางจิตใจจะแบกรับไว้ได้ มันก็จะปรากฏออกมาและมีผลกระทบต่อร่างกายด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ถ้าหากพลังนั้นแรงมากและมีความเป็นลบมาก ทั้งร่างกายและจิตใจก็จะได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่เมื่อลูกศิษย์มีความใกล้ชิดมาก อย่างเช่นที่โมเสสใกล้ชิดกับอาจารย์ของเขา พลังอันนี้ก็จะมีผลกระทบต่ออาจารย์อย่างแรงมากและมีผลกระทบโดยตรง และมันจะสุดที่จะทนทานได้ แต่แน่นอน อาจารย์ก็จะนิ่งเงียบและจะไม่พูดถึงเรื่องนี้เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพราะโมเสสนั้นนิ่งเงียบ ไม่มีใครที่ทราบว่าเขากำลังโจมตีอาจารย์ด้วยการใช้ความคิดซึ่งนับว่าเป็นการตีที่แรงเท่าๆ กับการตีร่างกายภายนอก เชื่อฉันเถอะ





2k8dd333613c.jpg


Be Veg, Go Green 2 Save The Planet

www.SupremeMasterTV.com

www.godsdirectcontact-thai.org				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ