กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ แซนโฮเซ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 16 กรกฏาคม 2537 (1994)(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป #438คุณถามฉันเสมอ : ทำไมฉันไม่ทำทำแค่ตีปีศาจ และเตะพวกเขาออกไป แล้วทำให้ทั้งโลกเป็นอิสระ หรือทำให้ลูกศิษย์เป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้กรรมของพวกเขาทั้งหมดหายไปเหมือนกับข้าวราดแกง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้น ทำไมยังมีกรรมเหลือค้างสำหรับชาตินี้ ซึ่งบางครั้งลูกศิษย์มีประสบการณ์ที่ทุกข์ทรมานและเจ็บป่วยด้วย แต่มันก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว เพราะนั่นคือคุณกำลังทำความสะอาดบ้านของคุณทุกๆวันด้วยการทำสมาธิและ "ไม้กวาด" มังสวิรัติ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ผู้คนทำความสะอาดบ้านกันด้วยไม้กวาดด้ามยาว มันทำมาจากต้นไม้ หรือเมื่อคุณกินกะหล่ำปลีหรืออะไรทำนองนั้น คุณจะได้รับเส้นใยมากมายซึ่งเป็นการทำความสะอาดระบบร่างกายของคุณด้วย นั่นทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นในแต่ละวัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคุณยังคงดูอ่อนเยาว์มากกว่าก่อนการประทับจิตไม่ต้องการร้านเสริมสวยถูกไหม ไม่ ไม่ต้องการเลยจริงๆดังนั้นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ไม่สามารถลบล้างกรรมของลูกศิษย์ได้อย่างสมบูรณ์หรือกรรมร่วมของโลก หรือแทรกแซงสถานการณ์ที่ไม่น่าชื่นชอบชนิดใดๆ ก็เป็นเพราะทั้งคู่ต้องเคารพกฎของโลกนี้ มันก็เหมือนกับสนามฟุตบอลที่ผู้เล่นต้องเคารพกฎเดียวกัน เราสามารถพูดคุยกันได้ แต่ไม่สามารถทำลายพวกเขาเพียงเพราะมีบางคนอยู่ภายในกลุ่มของเรา เมื่อเขาเตะคนอื่นที่เขาไม่ควรเตะ เราไม่สามารถทำอะไรได้ เขาต้องถูกไล่ออกไป ไม่ได้หมายความว่าเพียงเพราะเขาเป็นเพื่อนของเรา เราจะสามารถปกป้องเขาได้ เช่นเดียวกันเมื่อกลุ่มตรงข้ามเป็นฝ่ายชนะหรือทำบางสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ไม่สามารถเตะพวกเขาหรือทำลายพวกเขาได้แค่เพียงเพราะพวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามคล้ายกันกับโลกใบนี้ที่มีสองฝ่ายกำลังเล่นเกมกัน หนึ่งคือบวก - ด้านพวกเรา - และอีกอันคือลบ หรือที่เรียกว่าด้านศัตรู มันสร้างปัญหาให้กับพวกเราเสมอ สร้างอุปสรรคและทุกๆสิ่ง แต่พวกเราเป็นหนี้พวกเขาในบางสิ่งบางอย่างมาก่อน พวกเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ พวกเรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันกับพวกเขาในช่วงชีวิตมากมาย ดังนั้นในตอนนี้เราไม่สามารถลืมสิ่งที่เราเคยทำต่อพวกเขา หรือบางสิ่งที่เพื่อนๆของเราได้กระทำต่อพวกเขาในอดีต แล้วเราจะทำเพียงแค่ปกป้องเพื่อนของเราโดยจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรม หรือในแบบที่ไม่ยุติธรรมไม่ใช่ว่าเราไม่มีพลัง ไม่ใช่ว่าอาจารย์ทำสิ่งใดไม่ได้ อาจารย์สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลทั้งจักรวาลได้ แต่พวกเราต้องยุติธรรม มิฉะนั้นเราจะไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะเป็นนักบุญหรือเป็นผู้บำเพ็ญอย่างนักบุญ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมบางครั้งคุณจึงเห็นอาจารย์มากมายต้องอดทนมาก เช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ท่านสามารถไปดินแดนพุทธะ(พุทธเกษตร)ใดๆหรือทำสิ่งใดก็ได้ที่ท่านต้องการ ท่านสามารถดูแลกรรมของเหล่าลูกศิษย์ได้ ท่านสามารถทำให้ผู้คนกลายเป็นอรหันต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนกรรมของสถานที่เกิดของท่านเองได้ เมื่อเกิดสงครามความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องเพราะท่านไม่อยากปฏิบัติต่อผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไม่ยุติธรรม นั่นทำให้ท่านต้องเสียชื่อเสียง ผู้คนมากมายรวมถึงลูกศิษย์ในเวลานั้นเสียความศรัทธาในตัวท่านและคิดว่าท่านไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ถึงแม้สมาชิกในตระกูลตัวเองถูกทำร้าย พวกเขากำลังถูกฆ่าฟันซึ่งท่านทำสิ่งใดไม่ได้เลย ท่านเพียงไปที่นั่นและพูดกับพวกเขาเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ท่านกระทำ ท่านพยามยามทำให้พวกเขาเชื่อผลกระทบที่เต็มไปด้วยอันตรายของสงครามและผลแห่งกรรม แต่พวกเขาไม่ฟัง พลังกรรมที่ดึงดูดพวกเขาเข้าด้วยกันกล้าแข็งเกินไป พวกเขายึดติดด้วยกันและตายด้วยกันพระพุทธเจ้าไม่สามารถแทรกแซงได้เพราะท่านเป็นผู้เล่นที่ยุติธรรม เช่นเดียวกับพระเยซูคริสซ์ ท่านมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์มากมายตามตำนาน ดังนั้นท่านต้องกระทำได้หรือสามารถรักษาตัวท่านเองได้ แต่ท่านไม่ทำ ท่านปล่อยให้มันเป็นไป มิลาเรปาแห่งธิเบตท่านหยั่งรู้ว่าท่านกำลังจะตายจากยาพิษ ท่านได้บอกกับผู้หญิงคนที่จะวางยาพิษว่า "เธอจงไปรับเงินค่าจ้างที่วางยาพิษฉันจากคนนั้นก่อน แล้วฉันจะดื่มมันลงไป มิฉะนั้นถ้าฉันดื่มมันแล้วและตาย เขาอาจจะไม่ให้เงินเธอ"ดังนั้นพวกท่านหยั่งรู้ล่วงหน้าก่อนที่ท่านจะตาย พระศากยมุนีพุทธเจ้าหยั่งรู้ด้วยว่าท่านกำลังจะตาย ท่านพูดแล้วว่า "ฉันจะเข้าสู่มหาปรินิพพานในอีกสามเดือน" นั่นหมายความว่าจากโลกนี้ไป ซึ่งท่านยังหวังว่าพระอานนท์จะบอกท่าน "โปรดอย่าตาย" แต่บางทีพระอานนท์อาจกำลังคิดมากเกินไป หรือคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เขาอาจหิวคิดถึงจาปาติ ทำให้เขาไม่ได้ยินพระพุทธเจ้าพูดในเวลานั้น พระพุทธเจ้าพูดเป็นนัยๆถึงสามครั้ง แต่พระอานนท์กลับไม่พูดอะไร เขาน่าจะกำลังคิดถึงจาปาติมากกว่า การที่เธอออกไปบิณฑบาตรเพียงวันละครั้งเท่านั้น มันยากที่จะเฝ้ารักษาจิตให้เพ่งศูนย์ห่างจากจาปาติได้ ดังนั้นเขาไม่ได้ขอให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อไปในโลกนี้ หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าผิดหวัง พระองค์พูดว่า "ตกลงสามเดือนต่อจากนี้เราจะไปจากโลกนี้" แต่แล้วพระอานนท์ตื่นจากฝันจาปาติ และเขาร้องไห้ "โอ้ได้โปรดอย่าไป!" แต่มันสายไปแล้ว พระพุทธเจ้าถามถึงสามครั้งแล้วเธอไม่ตอบ นั่นถูกกำหนดแล้ว และพญามาร ราชาแห่งมายาอยู่รอบๆพระพุทธเจ้าเสมอ เมื่อพระอานนท์ไม่ตอบ พญามารจึงพูดว่า "เห็นไหม ไม่มีใครต้องการท่าน! ดังนั้นท่านต้องไป"พระพุทธเจ้าพูดว่า "ดีแล้ว" ท่านรู้แล้ว แต่ท่านยังคงทำ ท่านสามารถรอเวลาอื่นเมื่อพระอานนท์กินอิ่มเต็มที่และทำสมาธิดี มีจิตใจที่แจ่มชัดแล้วค่อยถามคำถามนี้ ซึ่งพระอานนท์ควรจะรู้ว่าจะพูดอะไร "โอ้ได้โปรดอาจารย์ อย่าไป!" แต่ท่านเลือกพูดผิดเวลา บางทีท่านควรจะไปไม่ว่ากรณีใดก็ตาม แค่เหมือนกับมิลาเรปาหรือเหมือนกับพระเยซูคริสซ์ ท่านรู้ก่อนที่ท่านจะไป ท่านพูดว่า "นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะเห็นฉัน หลังจากพรุ่งนี้ หรืออีกเดี๋ยวเดียวเธอจะไม่เห็นฉันอีกต่อไป " ท่านรู้สิ่งนั้น ท่านยังบอกลูกศิษย์ว่าคนที่จุ่มขนมปังในซอสนั้นแบบนั้นแบบนี้ เป็นคนที่ขายท่านอาจจะเพื่อเงินสองร้อยดอลลาร์ดังนั้นคนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เหล่านี้ของโลก พวกท่านรู้ทุกสิ่ง พวกท่านรู้ถึงสิ่งที่ท่านสามารถกระทำ แต่บางครั้งพวกท่านเล่นไปตามที่มันเป็น เพราะโลกนี้กำเนิดขึ้นมาจนมีสิ่งมีชีวิตแล้ว พวกท่านไม่สามารถทำลายมันได้ เนื่องจากมีผู้คนมากมายอยากจะอาศัยอยู่ ประชากรโลกทั้งหมดยึดติดกับโลกนี้และไม่อยากปล่อยไป ดังนั้นแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ทำลายมัน พระเจ้าจะไม่ทำลายมัน ถ้าหากกรรมไม่หนักจนเกินไป ถ้าหากมันยังคงสมดุลย์ แล้วโลกนี้ยังคงดำรงอยู่ แต่ถ้าโลกยังอยู่ก็ย่อมมีการให้และรับกรรมซึ่งมันจะไม่เคยจบ วันนี้พวกเขาฆ่าเขา แล้ววันอื่นลูกๆของเขาจะฆ่าพวกเขา และลูกๆของพวกเขาจะฆ่าลูกๆของเขาและอื่นๆ จนกระทั่งผู้คนกลุ่มนี้จะตื่นขึ้นด้วยตัวเองแล้วตระหนักถึงความเปล่าประโยชน์ของวงจรชั่วร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้นชั่วนิจนิรันดร์ แล้วพวกเขาหยุดแก้แค้นและอยู่นิ่งๆ ทุกๆสิ่งก็จะให้ผลแตกต่างออกไปผู้คนบนโลกนี้เอาแต่เล่นและเล่นตลอดเวลาไม่เคยหยุด พระพุทธเจ้าจึงต้องมาที่นี่ ท่านต้องเคารพกฎกติกาการเล่นของที่นี่ด้วย มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็จะไม่สามารถมาในสถานที่แห่งนี้ได้ตั้งแต่แรก ยกตัวอย่าง ถ้ามีประธานาธิบดีคนใดอยากจะเข้าร่วมทีมฟุตบอล ถึงเขาจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและได้รับการเคารพทั่วทั้งโลก เขาจะสามารถเข้าร่วมได้โดยปราศจากการผ่านกฎใดๆ ของทีมฟุตบอลไหม คำตอบคือไม่! ผู้ร่วมทีมจะปฏิเสธเขา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นประธานาธิบดีแล้วจะสามารถไปที่สนามฟุตบอลแล้วเตะบอลไปรอบๆได้เลยเช่นเดียวกับโลกนี้ ที่เป็นเหมือนสนามเล่นเกมของสรรพสัตว์ ระดับจิตสำนึกแบบนี้ โลกนี้จึงเป็นสนามเล่นของผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกเช่นมนุษย์ สัตว์ ภูตผีและปีศาจ คนเหล่านี้อยู่รอบๆโลกที่มองไม่เห็น ดังนั้นแม้ว่าพระเจ้าอยากจะมาที่นี่และชวนลูกๆของพระองค์บางคนมาที่บ้านหรือลองหาคนเหล่านั้นที่อยากจะมาบ้านกับพระองค์ พระองค์ก็ต้องเคารพกฎของที่นี่ยกตัวอย่างเช่น หากประธานาธิบดีเกิดชอบผู้เล่นฟุตบอลบางคน บางทีเขาอยากเป็นเพื่อนกับดาราฟุตบอล ทางเดียวที่จะไปที่สนามและเป็นเพื่อนกับคนๆนั้นก็คือการเป็นผู้เล่นเสียเองด้วย อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเพียงครั้งคราวหรืออย่างเสแสร้ง ดังนั้นเขาต้องเรียนรู้กฎและเคารพพวกเขา แล้วสุดท้ายหรืออย่างช้าๆ ทีละน้อยเขาสามารถเป็นเพื่อนกับดาราฟุตบอล แล้วเขาจึงสามารถพูดคุยกับเขา ช่วยเขา หรือรักเขาได้ ให้ความสนใจต่อเขาหรือให้ความรักแก่เขาได้ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ เพราะเขาเป็นประธานาธิบดี แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของสนามฟุตบอลทั้งหมด เขาก็จะไม่สามารถเข้ามาข้างในสนามได้ เพราะแม้แต่เจ้าของสนามก็ไม่สามารถมาข้างในได้ หรือแม้แต่คนที่รวยที่สุดในโลกก็ไม่สามารถเข้ามาในสนามฟุตบอลเพื่อเล่นและวนไปเวียนมาได้...
ปราศรัยเป็นภาษาจีน โดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่ศูนย์ซีหู หมู่เกาะฟอร์โมซา วันที่ ๒๔ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๙๔ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาจารย์เซนชาวญี่ปุ่นและศิษย์ของเขา วันหนึ่งศิษย์ได้ถามอาจารย์เซนว่า "อาจารย์ ขณะนี้ไม่มีอะไรอยู่ในจิตของฉันเลย แล้วฉันควรจะทำอย่างไรดี?" เขาหมายถึงว่าเขาว่างเปล่า! เขาได้บรรลุถึงระดับของความสงบอย่างสมบูรณ์ สสารต่างๆ ไม่แตกต่างจากความว่าง และความว่างเปล่าก็ไม่แตกต่างจากสสาร การมีบางสิ่งบางอย่างก็เหมือนกับไม่มีอะไรเลย มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างการรับประทานอาหารมังสวิรัติและการรับประทานเนื้อ...(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) อะไรทำนองนั้นน่ะแหละ! ดังนั้นเขาจึงถามอาจารย์ของเขาว่า "อาจารย์! ฉันกำลังบำเพ็ญได้ดีมากแล้วนะนี่ ไม่มีอะไรอยู่ในจิตของฉันเลย ฉันควรจะทำอะไรต่อไปดีตอนนี้?" เขาหมายถึงว่าเพราะเขาบรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ยังมีอะไรอื่นที่เขาสามารถทำได้อีก! อาจารย์ของเขาจึงกล่าวแก่เขาว่า "ถ้าอย่างนั้น" เธอก็จงทิ้งมันไปเสีย! ลูกศิษย์ตอบว่า "แต่ฉันไม่มีอะไรเลย แล้วฉันจะสามารถทิ้งความไม่มีอะไรได้อย่างไร?" ถึงตอนนั้นอาจารย์ของเขาก็หมดความอดทนและพูดว่า "อย่างนั้นก็, เอามันออกมาซี" (อาจารย์หัวเราะ) เธอเข้าใจไหม?! บางทีเธออาจไม่มีอะไรอยู่ภายใน ดังนั้นเธอถึงไม่รู้ว่าจะเอาอะไรออกมา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) คิดดูซีแล้วเธอจะเข้าใจ ถ้าคนไม่มีอะไรอยู่ในใจเขาแล้วทำไมเขาถึงถามคำถามนี้? กังวลว่าจะทำอะไร ก็หมายถึงว่าเขายังมีอะไรเต็มอยู่ข้างใน เธอเข้าใจไหม? มันก็เหมือนอย่างที่เขาคิดว่า เขาไม่มีอะไรเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมอาจารย์จึงขอให้เขาละทิ้งมัน, ปล่อยวางมันลง อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงเถีงว่า "ฉันไม่มีอะไร" แล้วจะให้ฉันปล่อยวางอะไร? ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงกล่าวว่า "ก็ดีแล้วนี่ ก็เอามันออกมาซี่" เขาหมายถึงว่าเนื่องจากเธอไม่สามารถปล่อยวางมันลงได้ ก็จงเอามันออกมาและแสดงแก่อาจารย์ และท่านก็จะวางมันลงให้เธอดู อาจารย์ต้องการแสดงให้เขารู้ว่าเขายังคงมีบางอย่าง เขายังคงผูกเป็นปมอยู่ คนที่ปราศจากเงื่อนปมใดๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับว่าเขาทำอะไรวันนี้ จะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากเขารู้แจ้ง หรืออะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเขาไม่รู้แจ้ง หรือเขาควรจะทำอะไรดีในขณะนี้ที่เขาอยู่ในระดับที่สูงอย่างนี้ หรืออยู่ในระดับที่ต่ำเช่นนี้ ในการบำเพ็ญของเขา....เธอรู้ไหมว่า ฉันหมายความว่ายังไง? ถ้าภายในของเราว่าง ทำไมถึงถามปัญหาอะไรอีก? เราจะทำอะไรอื่นใดได้อีก เมื่อเราไม่มีอะไร? ไม่ใช่หรือ? ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีน้ำสักหยดอยู่ในถ้วยใบนี้ และเขายังพูดว่า "ไม่มีน้ำในถ้วยใบนี้ แล้วฉันจะดื่มมันได้อย่างไร?" ถ้าไม่มีน้ำอยู่ในถ้วย ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถามคำถามว่าจะดื่มมันหรือไม่ดื่ม จากคำถามของเขาก็หมายความว่า เขายังคงเต็มอยู่ข้างในเพียงแต่เขาคิดว่าไม่มีอะไรเต็ม ผู้บำเพ็ญส่วนมากก็เหมือนอย่างนี้ หลังจากบำเพ็ญไปได้สักระยะหนึ่ง พวกเขาก้เต็มไปด้วยทฤษฎีต่างๆ พวกเขาอ่านนิทานเซนหลายเรื่องเกินไป และเขาก็ฟังธรรมบรรยายของอาจารย์เขาหลายเรื่องเกินไป พวกเขาจึงพูดในทำนองไว้ภูมิ "สสารวัตถุต่างๆ ก็ไม่แตกต่างจากความว่างเปล่า, และความว่างเปล่าก็ไม่แตกต่างจากสสารต่างๆ" และคำพูดทำนองนั้นอื่นๆ พวกเขาก็กล่าวกันไปเรื่อยๆ และก้คิดว่าพวกเขาเก่งยิ่งใหญ่มาก พวกเขาเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว มีอยู่เพียงไม่กี่คน พวกพระและฆราวาสที่เป็นอย่างนี้ พวกเขาปฏิบัติตามฉันไปได้ระยะหนึ่ง พวกเขาได้ฟังเทปคาสเซ็ททั้งหมดแล้ว (อาจารย์หัวเราะ) และดูวีดีโอเทปทั้งหมด แล้วพวกเขาก็พูดว่า "ฉันควรจะทำอะไรดีตอนนี้? (อาจารย์หัวเราะ) ฉันขอพูดอย่างนั้นเพื่อเป็นตัวอย่างนะ แล้วพวกเขาก็จากไปและออกไปข้างนอก ไม่นานนักพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไร พอพวกเขาออกไปอยู่ข้างนอกเข้าเท่านั้น และต้องเผชิญกับการทดสอบหลายอย่าง พวกเขาจึงรู้ว่าพวกเขาก็ยังไม่เก่งมากถึงขนาดนั้น เราจำเป็นต้องระมัดระวังเมื่อเรารู้สึกว่า เราไม่มีอะไรเลย เราปิดขังทุกสิ่งไว้ข้างใน แล้วมองจากข้างนอกแล้วก็พูดว่า "ไม่มีอะไรอยู่ในบ้านเราเลย" ที่จริงเราเพียงแต่ปิดขังมันไว้ หลายคนทำอย่างนี้ ไม่ใช่มีเพียงผู้ที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเท่านั้น คนส่วนมากที่บำเพ็ญธรรมวิถีอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาทุกคนคิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่ เธอได้พบคนประเภทนี้แล้วหรือยัง พวกเขามักจะชอบเถียงเสมอๆ และอ้างว่าพวกเขามีความรู้เรื่องพระคัมภีร์ต่างๆ เต็มไปหมด พวกเขาคิดว่าพวกเขาว่างเปล่า และคิดว่าอาหารมังสวิรัติก็เหมือนอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนกัน เป็นต้น ที่จริงแล้วพวกเขายังคงมีความยึดมั่นมากมายเหลือเกิน จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยเงื่อนปมต่างๆ พวกเขาไม่สามารถเปิดใจให้กว้างได้ ฉันเข้าใจนิทานเรื่องนี้ในทันทีที่ฉันอ่านมัน เป็นไปได้อย่างไรที่เธอยังไม่เข้าใจมัน หลังจากที่ฉันได้อธิบายให้เอฟังเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน? (เสียงปรบมือ) ดังนั้น อย่ามาถามฉันว่า "เราควรจะทำอย่างไรดี เมื่อเราว่างเปล่าอยู่?" ถ้าเธอว่างเปล่าจริงๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องถาม เธอไม่ควรที่จะมีคำถามใดๆ และเธอก็จะไม่สนใจอะไร ถึงตอนนั้นเธอก็จะไม่กังวลว่าได้รับหรือไม่ได้รับความเป็นพุทธะ เธอจะไม่กังวลเรื่องอะไรอีก มันไม่สำคัญสำหรับเธออีกต่อไปไม่ว่าเธอจะไปสวรรค์หรือนรกหรือไม่ว่าเธอมีบุญหรือกรรม เธอจะไม่สนใจอะไรเลย! ตอนนี้พวกเธอเข้าใจแล้วใช่ไหม? (ผู้ฟังตอบ ไช่") Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
ไบเบิ้ล-----Luke 14 : 26 เธอลองมามองดูโลก มองความทุกข์รอบๆ ตัวเธอและในตัวเธอเอง เธอรู้สาเหตุแห่งความทุกข์นี้หรือไม่? เธออาจบอกว่าสาเหตุก็คือความเหงา สงคราม ความกดขี่ ความเกลียดชัง หรือการไม่เชื่อพระเจ้า คำตอบนั้นผิดถนัด สาเหตุแห่งความทุกข์มีประการเดียวเท่านั้น คือความเชื่อผิดๆ ที่อยู่ในหัวสมองของเธอและแผ่ขยายออกไป เธอแบกมันไว้อย่างปกติมาก และไม่เคยที่จะสงสัยสอบถามเจ้าความเชื่อนั้นๆ ด้วยความเชื่อหรือความหลงผิดนี้เองที่ทำให้เธอมองโลกบิดเบี้ยวไป ข้อมูลที่เธอรับมาเก็บไว้ในสมองนี้มันแรงมากและความกดดันจากสังคมก็แรงด้วย จนกระทั่งเธอตกบ่วงแห่งความเชื่อว่าโลกมันบิดเบี้ยวเช่นนั้น ไม่มีทางออกเลย เพราะเธอไม่เคยแม้แต่จะสงสัยในการรับรู้อันบิดเบี้ยวของตน ไม่รู้เลยว่าความคิดของตนนั้นผิด และความเชื่อนั้นก็ไม่ถูกต้องด้วย เธอมองดูรอบๆ ตัว แล้วลองหามาซิว่ามีใครสักคนไหม ที่มีความสุขจริงแท้ ปลอดจากความกลัว อิสระจากความรู้สึกระแวงภัย หรือความกระวนกระวาย ความเครียดและความวิตกทั้งหลายแหล่ ถ้าเธอหาเจอสักหนึ่งในแสนคนก็นับว่าเธอโชคดีทีเดียว นี่แหละที่จะทำให้เธอชักสงสัยในโปรแกรมข้อมูลและความเชื่อต่างๆ ในหัวสมองที่พวกเธอมีอยู่เป็นปกติวิสัย พวกเธอถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้วว่าไม่ให้สงสัยอะไรทั้งสิ้น ให้เชื่อในสมมุติฐานที่กูกกำหนดโดยประเพณี วัฒนธรรม สังคมและศาสนา เวลาที่เธอไม่มีความสุข เธอก็ถูกอบรมมาให้โทษตัวเอง ไม่โทษตัวโปรแกรม ไม่โทษวัฒนธรรมหรือค่านิยมตลอดจนความเชื่อผิดๆ เล่านั้น ที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าคนส่วนมากถูกล้างสมองไม่ให้ตระหนักรู้ว่าพวกเขาเป็นทุกข์เพียงใด เหมือนคนที่นอนหลับฝันจะไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังฝันอยู่ ความเชื่อผิดๆ อันใดเล่าที่สกัดกั้นความสุขของเธอ? มีตัวอย่างอยู่หลายเรื่อง เรื่องแรก : เธอรู้สึกว่าไร้ความสุขเมื่อปราศจากสิ่งที่เธอผูกพันและคิดว่ามันมีค่าเหลือเกิน ผิดเพราะในชีวิตนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เธอจำเป็นต้องมีเพื่อให้เป็นสุข ลองคิดดูสักนิดเถิด สาเหตุที่เธอไม่มีความสุขก็เพราะเธอมัวแต่เพ่งอยู่กับสิ่งที่เธอไม่มี มากกว่าจะสนใจสิ่งที่เธอมีอยู่แล้ว ความเชื่ออีกเรื่องหนึ่ง คือเชื่อว่าความสุขเป็นเรื่องของอนาคต ไม่จริงหรอก ที่นี่และขณะนี้เธอมีความสุขอยู่แล้ว แต่เธอไม่รู้ตัว เพราะเจ้าความเชื่อผิดๆ มันบิดเบือนการรับรู้ของเธอ มันทำให้เธอยึดติดอยู่กับความกลัว ความกระวนกระวาย ความผูกพัน ความรู้สึกผิด และจำต้องรับหน้าที่ไปตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ ถ้าเธอมองทะลุสิ่งนี้ได้ เธอจะประจักษ์ว่าตนเองมีความสุขอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว ยังมีความเชื่อเรื่องอื่นๆ อีก คือเชื่อว่าความสุขจะเกิดจากการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่และบุคคลรอบตัวเธอ ไม่จริงหรอก เธอสิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไปในการที่จะจัดการโลกนี้เสียใหม่ ถ้าการเปลี่ยนแปลงโลกนี้มันเป็นภาระหน้าที่ในชีวิตของเธอ ก็มุ่งหน้าจัดการไปเลย แต่อย่าไปเพ้อฝันว่าสิ่งนี้จะทำให้เธอมีความสุข สิ่งที่จะทำให้เธอเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ได้มิใช่โลกนี้หรือบุคคลที่อยู่รอบตัวเธอ แต่คือความคิดในหัวสมองของเธอเองต่างหาก การแสวงหาความสุขจากสิ่งภายนอกมันยากเหมือนหารังนกอินทรีในมหาสมุทร (ภาษิตไทย "งมเข็มในมหาสมุทร" ผู้แปล) เพราะฉะนั้น ถ้าเธอต้องการแสวงหาความสุข เธอต้องเลิกเสียเวลาและเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ ไปกับการปลูกผมแก้ศีรษะล้านหรือตกแต่งร่างกายให้มีเสน่ห์ เปลี่ยนที่อยู่อาศัย เปลี่ยนงาน เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนวิถีชีวิต หรือแม้แต่เปลี่ยนบุคลิกภาพของตนเอง เธอตระหนักหรือไม่ว่า ถึงแม้เธอจะอาจเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง หรือสามารถมีบุคลิกที่งดงามมีเสน่ห์ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีรื่นรมย์ไปหมด แต่เธอก็จะยังไร้ความสุขอยู่นั่นเอง ที่จริงในใจลึกๆ เธอก็รู้อยู่แล้วถึงความจริงข้อนี้ แต่เธอก็ยังมัวแต่ใช้ความสามารถและพลังงานของเธอไปในการแสวงหาสิ่งที่รู้ว่าไม่อาจทำให้เธอมีความสุขได้เลย ความเชื่อผิดๆ ยังมีอีก คือเชื่อว่าถ้าความปรารถนาทั้งหลายของเธอได้รับการสนองตอบละก็เธอจะมีความสุข ไม่จริงหรอก ที่แท้ความปรารถนาและความยึดติดนี้ต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกเกร็ง สับสน เครียด รู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัว เธอลองเรียงลำดับความยึดติดและความปรารถนาของเธอดูซิว่ามีกี่อย่าง แล้วลองพูดกับมันทีละอย่างว่า "ความจริงฉันรู้อยู่ในใจลึกๆ แล้วนะว่า ถึงแม้ฉันจะได้เจ้ามา ฉันก็ไม่มีความสุขหรอก" พูดพลางคิดพิจารณาความจริงในถ้อยคำนั้น แท้จริงแล้วความปรารถนาเป็นเพียงความสบายใจหรือความตื่นเต้นแวบเดียวเท่านั้น เธออย่าไปทึกทักเอาว่านั่นคือความสุข แล้วความสุขล่ะคืออะไร? น้อยคนนักที่จะรู้ และไม่มีใครจะบอกเธอได้ เพราะความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจพรรณนาได้ เธอจะอธิบายถึงแสงสว่างให้แก่คนที่นั่งอยู่ในที่มืดมาตลอดชีวิตได้อย่างไร เธอจะอธิบายความเป็นจริงให้แก่คนที่กำลังฝันอยู่ได้หรือไม่ เธอจะต้องเข้าใจ ความมืดมันจึงจะหายไป แล้วเธอก็จะรู้เองว่าแสงสว่างคืออะไร เธอจะต้องเข้าใจว่าฝันร้ายของเธอคืออะไร แล้วมันก็จะหยุด เธอจึงจะค้นพบความจริง เธอจะต้องเข้าใจความเชื่อที่ผิดๆ ของเธอมันจึงจะหมดไป แล้วเธอก้จะได้ลิ้มรสแห่งความสุข ถ้าหากผู้คนต้องการความสุขอย่างยิ่งยวดละก็ ทำไมพวกเขาจึงไม่พยายามเข้าใจความเชื่อผิดๆ ของเขาหล่ะ? ประการแรก ก็เพราะเหตุว่าเขาไม่เคยมองความเชื่อนั้นๆ ว่ามันผิด เขาเห็นว่ามันคือข้อเท็จจริงและความเป็นจริง สิ่งนี้ถูกบันทึกหรือจัดโปรแกรมไว้ในสมองอย่างแน่นแฟ้น ประการที่สอง เป็นเพราะพวกเขากลัวว่าจะต้องสูญเสียโลกโลกเดียวที่เขารู้จัก นั่นคือโลกแห่งความปรารถนา ความผูกพัน ความกลัว ความกดดันทางสังคม ความเครียด ความทะเยอทะยาน ความวิตกกังวล และความรู้สึกผิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้นำความสำราญขั่ววูบมาให้เขา ทำให้เขาตื่นเต้นยินดี บางคนกลัวที่จะออกไปจากฝันร้าย เพราะมันเป็นโลกแห่งเดียวที่เขารู้จัก ณ โลกนั้น เขามีภาพของตัวเองและผู้อื่นให้มองเห็นอยู่ ถ้าเธออยากจะก้าวไปถึงความสุขนิรันดร์ เธอต้องพร้อมที่จะเกลียดบิดามารดา เกลียดแม้แต่ชีวิตของเธอเอง แล้วก็พร้อมที่จะจากสิ่งเหล่านี้ไป ทำอย่างไรละ? ไม่ใช่ว่าก็สลัดทิ้งหรือเลิกไป เพราะสิ่งที่เธอเลิกไปโดยวิธีรุนแรง เธอจะต้องผูกติดมันไปตลอดกาล เธอควรจะมองว่ามันคือฝันร้าย และแล้วไม่ว่าเอจะเก็บมันไว้หรือไม่ก็ตาม มันจะค่อยๆ คลายมือจากเธอ คลายอำนาจที่จะทำร้ายเธอ เธอจะได้หลุดพ้นจากความฝัน พ้นจากความมืด ความกลัว และความทุกข์ ฉะนั้น เธอจงใช้เวลาพิจารณาสิ่งที่เธอเกาะเกี่ยวไว้เหล่านี้ว่าสิ่งใดคือ ความจริง สิ่งใดคือฝันร้าย ซึ่งให้ความสำราญและความตื่นเต้นเพียงชั่ววูบ แล้วก็ทิ้งไว้แต่ความวิตกกังวล ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ความเครียด ความกระวนกระวาย ความกลัว และความทุกข์ บิดามารดา : คือฝันร้าย ภรรยา บุตร พี่น้อง : คือฝันร้าย ทุกสิ่งที่เธอครอบครองอยู่ : คือฝันร้าย ชีวิตเธอที่เป็นอยู่ขณะนี้ : คือฝันร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเกาะเกี่ยวไว้และเชื่อมั่นว่าเธอจะไร้ความสุขถ้าปราศจากสิ่งนั้น ก็คือฝันร้าย เมื่อมองเห็นเช่นนี้แล้ว เธอก็จะเกลียดบิดามารดา เกลียดภรรยาและบุตร พี่น้อง เกลียดแม้แต่ชีวิตของเธอเอง แล้วเธอก็จะจากสิ่งเหล่านี้ไปได้โดยง่าย เธอจะเลิกยึดติดมัน และจำทำลายพลังอำนาจของมันที่จะทำร้ายเธอ ในที่สุดเธอก็จะได้รับประสบการณ์จากสภาวะอันลึกล้ำ ซึ่งไม่สามารถบรรยายได้ด้วยถ้อยคำใดๆ เป็นสภาวะที่ดำรงไว้ซึ่งความสุขและความสงบ เธอจะได้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงความจริงที่ว่า ทุกคนที่เลิกยึดติดพี่น้อง พ่อแม่ หรือบ้านและที่ดิน จะเข้าถึงชีวิตนิรันดร์ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.com
อาจารย์เล่านิทาน โดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ นานมาแล้วมีพระองค์หนึ่ง ท่านเป็นผู้ที่บำเพ็ญปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญได้ดีมาก ทุกภพทุกชาติของท่าน ท่านได้ออกบวชเป็นพระ แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ แม้ถ้าเธอออกบวชเป็นพระ รักษาศีลเคร่งครัดและมีคุณธรรมสูงส่งเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหากไม่ได้รับการู้แจ้ง ก็ยังคงต้องกลับชาติมาเกิดและบวชเป็นพระอีก มีโอกาสได้เกิดมาบวชเป็นพระก็นับว่าโชคดีแล้ว เพราะบางทีเธออาจะไม่มีโอกาสได้บวชเสียด้วยซ้ำ! พระรูปนี้ได้บวชเป็นพระมา ๕๐๐ ปีแล้ว ทุกครั้งที่ท่านกลับชาติมาเกิดก็ได้ออกบวชเป็นพระ เป็นพระอริยสงฆ์ และท่านก็ยิ่งมีคุณธรรมสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่ได้รับการรู้แจ้ง แต่ท่านก็เป็นผู้ที่รักษาศีลเคร่งครัด เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งและจิตบริสุทธิ์ ชาติสุดท้ายที่ท่านบวชเป็นพระ ทุกครั้งที่ท่านออกบิณฑบาตหรือออกไปบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ จะมีนกกระเรียน ๕๐๐ ตัวล้อมรอบติดตามไปด้วยทุกแห่ง มีผู้คนสงสัยได้ถามทานว่า "เหตุใดจึงมีนกกระเรียน ๕๐๐ ตัวติดตามท่านไปด้วยทุกแห่งทุกครั้งไม่ว่าท่านจะไปไหนก็ตาม" บางคนที่มีตาทิพย์สามารถมองเห็นได้ว่านกกระเรียนเหล่านี้เคยเป็นลูกศิษย์ของพระรูปนี้ในอดีตชาติ ในอดีตชาติท่านเคยมีลูกศิษย์อยู่ ๕๐๐ คน แต่เนื่องจากพลังจากการบำเพ็ญของท่านไม่เพียงพอ ฉะนั้นท่านจึงไม่สามารถโปรดลูกศิษย์ได้ ในตอนนั้นทุกครั้งที่ลูกศิษย์เห็นอาจารย์ออกไปรับของถวายหรือไปร่วมงานเลี้ยงอันทรงเกียรติหรืออกไปบรรยายธรรม จะขอติดตามไปด้วย พวกเขากล่าวว่า "ท่านอาจารย์ครับ! ท่านเคยพูดว่าพวกเราเป็นนักบวชที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ล้วเหตุใดทุกครั้งที่ท่านออกไปเสวยสุขข้างนอก ท่านจึงไม่พาศิษย์ไปด้วย!" อาจารย์ท่านทราบดีว่าลูกศิษย์ของท่านบุญกุศลไม่มากพอ ไม่ควรออกไปรับของถวายจากผู้อื่น แต่เนื่องจากลูกศิษย์เป็นปุถุชน ไม่เข้าใจข้อนี้และอยากได้สิ่งของที่เป็นวัตถุ จึงจำเป็นต้องพาพวกเขาออกไปด้วย ลูกศิษย์ ๕๐๐ คนนี้หลังจากตายไปแล้วก็ได้กลายเป็นนกกระเรียนไปทั้งหมดและไม่สามารถกลับชาติมาเกิดเป็นพระอีก มีอาจารย์เท่านั้นที่ได้กลับมาเป็นพระ ดังนั้น ทุกครั้งที่อาจารย์ท่านออกไป ลูกศิษย์ ๕๐๐ คนจึงยังคงติดตามอยู่รอบข้าง เป็นเพราะว่าความสัมพันธ์ที่เคยเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์กันมาก่อน เนื่องจากตนเองไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ลูกศิษย์จึงไม่สามารถหลุดพ้นเช่นกันและยังคงต้องแบกรับผลกรรมเอง ถ้าหากอาจารย์ของเธอมีพลังที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเธอจะสร้างกรรมเล็กน้อยขึ้นมา อาจารย์ก็สามารถชำระล้างให้ได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอจึงจำเป็นต้องมีมหาอาจารย์! Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
อาจารย์เล่านิทาน โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระรูปหนึ่งที่ได้กลายเป็นลิง เมื่อพระพุทธเจ้าลงมายังโลกนี้ เพื่อมาเทศนาสั่งสอนธรรมะ สัจธรรม มีพระสงฆ์เป็นจำนวนมากที่มาเรียนกับพระองค์ มีพระบางรูปที่ได้บรรลุอรหันต์แล้ว แต่คนเป็นจำนวนมากไม่ทราบในเรื่องนั้น พระรูปอื่นๆ บางครั้งก็ล้อพระที่เป็นอรหันต์เหล่านั้น เพราะพวกเขาบางคนก็ไม่ได้หน้าตาดีนัก ดูหน้าตาตลกๆ เหมือนอย่างคนที่มีชื่อ "ชิงไห่จื้อ" เหมือนอย่างฉัน มีพระอยู่รูปหนึ่งซึ่งเกเรมากๆ ทุกครั้งที่ท่านเห็นพระรูปหนึ่งวิ่งลงมาจากภูเขา ท่านก็จะพูดกับพระรูปนั้นว่า "ท่านดูอย่างกับลิงวิ่งลงมาจากภูเขาลูกนั้น" เป็นเพราะว่าท่านได้วิจารณ์พระรูปนั้นและเรียกว่าเป็นลิง ท่านจึงต้องมาเกิดเป็นลิง 500 ชาติ เพราะฉะนั้นขอให้ระวัง อย่าไปหัวเราะเยาะพระ เพราะระหว่าง "พระ(MONK)" "ลิง(MONKEY)" ความแตกต่างก็มีเพียงแค่ตัวอักษร 2 ตัวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอล้อพระธรรมดาๆ ก็อาจจะโอเค แต่ถ้าพระรูปนั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว เธอก็จะเดือดร้อน เธอไม่มีทางรู้ว่าพระรูปไหนได้เป็นพระอรหันต์แล้ว หรือพระรูปไหนได้บรรลุระดับการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณที่สูงมาก เพราะฉะนั้นขอให้เธอระวังไว้ให้ดีๆ โดยเฉพาะพระที่ฉันส่งมาจากเหมี่ยวลี่ มายังประเทศของเธอตามที่เธอขอร้องเพื่อมาสอนธรรมะให้แก่เธอ ขอให้เธอระวัง อย่าไปเอาเขามาล้อเล่น หรือแม้กระทั่งอย่าได้พยายามที่จะดึงดูดเขาทางด้านร่างกาย ตามคำสอนทางศาสนาพุทธ ถ้าเราพยายามที่จะชักนำพระซึ่งศึกษาอยู่กับพุทธะที่มีชีวิตอยู่ไปในทางที่ผิด มันถือว่าเป็นบาปที่หนักมาก Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.SuprememasterTV.com www.godsdirectcontact-thai.org