13 พฤษภาคม 2554 14:22 น.
คีตากะ
หนังสืออาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
นี่คือเรื่องราวของภิกษุณีสุขลา
วันหนึ่งพระเจ้าของโลก คือพระพุทธเจ้า กำลังพำนักอยู่ในเชตวนารามในยุคของสารวัตถี พระองค์บรรยายธรรมให้กับกลุ่มผู้นับถือศรัทธา ๔ กลุ่ม (หมายถึงผู้นับถือศรัทธาทั้งชายหญิง ทั้งที่เป็นฆารวาสและออกบวชหรือพุทธบริษัท ๔) ในเวลานั้นมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ร่ำรวยมากซึ่งมีบุตรสาวที่หน้าตางดงามมาก มีสิ่งหนึ่งที่พิเศษมากในเด็กผู้หญิงคนนี้ เขามีผ้าสีขาวห่อหุ้มร่างกายเมื่อเกิดมา พ่อแม่ของเขารู้สึกงุนงง จึงไปถามหมอดู หมอดูก็บอกว่า “เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เด็กผู้หญิงคนนี้มีบุญมาก ฉันขอตั้งชื่อว่าสุขลา”
เมื่อเด็กหญิงคนนี้เติบโตขึ้น ผ้าที่อยู่บนร่างกายของเขาก็โตขึ้นตามร่างกายด้วย เขาได้กลายเป็นผู้หญิงที่มีความสวยงามมากและมีความสง่างาม การเป็นลูกสาวของครอบครัวที่ดีซึ่งมีภูมิหลังดี ทำให้มีคนเป็นจำนวนมากมาขอแต่งงาน อย่างไรก็ตามนางก็ไม่สนใจผู้ใดเลย
วันหนึ่งพ่อของนางก็ได้เรียกช่างฝีมือที่มีความชำนาญมาก มาทำเครื่องประดับที่สวยงามมากให้แก่นางสำหรับงานแต่งงานของนาง นางถามพ่อว่า “เครื่องประดับเหล่านี้ทำไปทำไมกัน?” พ่อของนางพูดว่า “ตอนนี้ลูกก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อควรที่จะเตรียมไว้สำหรับงานแต่งงานของลูก!”
ลูกสาวก็บอกพ่อของนางว่า “การแต่งงานอยู่ไปได้แค่ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น มันไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไรนัก และมิหนำซ้ำยังจะสามารถสร้างความเศร้าใจมากมายให้แก่เราได้ ลูกไม่ต้องการแต่งงาน ลูกต้องการเป็นแม่ชี การเป็นแม่ชีและได้รับการหลุดพ้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า”
นางเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถชักชวนนางให้เปลี่ยนใจได้ พวกเขาก็ไม่บังคับนางและตกลงยอมให้นางเป็นแม่ชี วันรุ่งขึ้นพ่อก็ออกไปซื้อผ้ามา เขาต้องการตัดชุดนักบวชให้กับนาง ลูกสาวก็ถามว่า “ลูกกำลังจะเป็นแม่ชีทำไมพ่อจึงยังคงเตรียมผ้าเหล่านี้?”
พ่อของนางก็พูดว่า “พ่อกำลังจะตัดชุดแม่ชีให้ลูก”
ลูกสาวก็สั่นหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก ลูกมีผ้าผืนนี้ปกคลุมร่างกายก็พอเพียงแล้ว”
พ่อแม่ของนางก็รู้สึกงุนงงและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ก็เลยพานางไปหาพระพุทธเจ้า แน่นอน สุขลาได้ขอร้องให้พระพุทธเจ้าอนุญาตให้นางโกนหัว และอุทิศตนเป็นนักบวช นางพูดกับพระพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าของโลกที่เคารพ เป็นการยากที่จะรักษาร่างกายมนุษย์เอาไว้ ยากที่จะได้ฟังธรรมและพบพุทธะที่มีชีวิตอยู่ ตอนนี้ฉันมีร่างกายมนุษย์ ได้ฟังธรรมะและได้พบพุทธะ ได้โปรดให้ฉันได้โกนศีรษะและอุทิศตนเป็นนักบวชและได้รับการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดด้วยเกิด....และอื่นๆ”
พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร? “ดีมาก ภิกษุ”
พอพระองค์พูดจบ ผมของนางก็หลุดร่วงลงมาในทันที (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) และผ้าที่อยู่บนร่างกายของนางก็เปลี่ยนเป็นจีวร! ช่างสะดวกสบายเสียจริงๆ! แบบนี้เราก็สามารถประหยัดมีดโกนและใบมีดโกนได้ ประหยัดเสื้อผ้าและทุกอย่าง (ทุกคนหัวเราะ) หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็มอบนางให้เป็นลูกศิษย์ของภิกษุณีมหาปราจาปาตีเพื่อสอนธรรมะให้แก่นาง นางมีความขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญ และในไม่ช้าก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
พระอานนท์เกิดความอยากรู้อยากเห็นมาก จึงได้ประณมมือคุกเข่าลงและถามพระพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าแห่งโลกที่เคารพ ภิกษุณีสุขลาได้ทำบุญกุศลอันใดไว้ในชาติก่อน จึงทำให้นางเกิดมามีผ้าพันกาย และได้เกิดในครอบครัวอันสูงส่ง รวมทั้งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์อย่างรวดเร็ว หลังจากอุทิศตนเป็นนักบวช? ขอพระองค์โปรดบอกให้เราทราบเพื่อว่าเราจะได้เข้าใจได้”
พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ว่า นานมาแล้วมีพระพุทธเจ้าลงมาเกิดยังโลกนี้พระองค์มีชื่อว่าพระวิปัสสิน พระองค์มักจะไปกับลูกศิษย์เพื่อโปรดสรรพสัตว์ ทุกแห่งกษัตริย์ ขุนนางและพลเมืองเคารพพระองค์เป็นอย่างมาก พวกเขาจะถวายของให้พระองค์และจัดให้มีการชุมนุมทางจิตวิญญาณที่ใหญ่โตมากมายให้พระพุทธเจ้า และขอให้พระองค์บรรยายธรรม
ในตอนนั้นมีภิกษุที่มีจิตใจอารีมาก ชอบสร้างบุญสัมพันธ์กับผู้คน ดังนั้นทุกๆ วันท่านจึงออกไปขออาหารจากทุกครัวเรือน และให้ของขวัญที่ให้พรเป็นการตอบแทนแก่พวกเขา ท่านยังได้เทศน์และสั่งสอนธรรมะที่แท้จริงของยูไล (การรู้แจ้งสูงสุด) ให้กับทุกคน
มีหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งครอบครัวยากจนแสนสาหัส นางและสามีของนางมีผ้าเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นเพื่อใช้ปกปิดร่างกายของพวกเขา ถ้าหากสามีของนางออกไปขอทาน นางก็จะให้ผ้าชิ้นนั้นแก่เขา ในขณะที่นางจะไม่มีอะไรสวมใส่อยู่ที่บ้าน ถ้าหากเป็นคราวของภรรยาที่จะออกไปขอทาน สามีก็จะอยู่ที่บ้าน นั่งรออยู่บนกองฟาง
วันหนึ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นไปขอทาน ก็ได้ผ่านบ้านของพวกเขา ภิกษุได้เห็นหญิงสาวและพูดว่า “โอ สาวน้อย! เธอควรจะได้รู้ว่า มันยากที่จะได้ร่างกายมนุษย์ มันยากที่จะได้ฟังธรรมและได้พบพุทธะ.... ตอนนี้มีพุทธะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ซึ่งมักจะเทศน์ธรรมะและคัมภีร์อยู่เสมอ เธอควรที่จะไปที่นั่นและไปฟังธรรม แล้วเธอก็จะได้รับผลบุญอันไม่รู้จบสิ้นอย่างแน่นอน ตอนนี้เธอสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นเพราะเธอใจแคบและตระหนี่และไม่ได้ให้ทานใดๆ มาก่อน ดังนั้น ในขณะนี้เธอจึงกำลังรับผลกรรมนี้อยู่ ถ้าเธอได้ให้ทานในชาตินี้ เธอก็จะได้รับความมั่นคงในอนาคตอย่างแน่นอน”
หญิงสาวคนนั้นรู้สึกดีใจเมื่อได้ฟังเรื่องนี้ นางได้ขอให้ภิกษุรออยู่ข้างนอก ในขณะที่นางเข้าไปข้างในและพูดกับสามีของหล่อนว่า “ดูสมณะ (หมายถึงภิกษุ) ที่ข้างนอกสิ ท่านได้มาแนะนำให้เราไปพบพุทธะที่มีชีวิตและฟังพระองค์เทศ ท่านยังได้แนะนำให้เราให้ทานเพื่อที่จะได้รับความมั่งคั่งเป็นการตอบแทน ท่านบอกว่า ความจนของเราในชาตินี้เป็นผลมาจากการที่เราไม่ได้ให้ทานและความละโมภไม่มีที่สิ้นสุดของเราในชาติก่อน ชาตินี้เราถึงได้ยากจน ตอนนี้เราควรหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดี เพื่อเราจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ในชาติหน้าของเรา”
หลังจากที่สามีของนางได้ฟังนางพูดจบลง ก็พูดขึ้นว่า “เราควรจะทำอะไรล่ะ! เราไม่มีอะไรเลยในบ้านของเรา เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เราจะมีอะไรกินในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า เราจะสามารถให้ทานอะไรได้ล่ะ?”
อย่างไรก็ตามหญิงคนนั้นก็ยืนกรานต่อไปโดยพูดว่า “ในเมื่อฉันได้ตัดสินใจแล้วที่จะให้ ฉันก็จะต้องให้! ถ้าหากตอนนี้เราไม่ให้ ชาติหน้าเมื่อเรากลับมา เราก็จะต้องทุกข์ยากเหมือนอย่างที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้หรือแย่กว่าเสียด้วยซ้ำ”
สามีของนางกำลังคิดว่า “โอ! สงสัยภรรยาของฉันคงจะซ่อนทรัพย์สมบัติอะไรบางอย่างไว้เป็นความลับและไม่ได้บอกให้ฉันรู้!” ดังนั้นเขาจึงพูดกับภรรยาของเขาว่า “เอาละ! เธออยากให้ทาน ก็ให้ทานไป! ตามใจเธอ”
ภรรยาของเขาบอกว่า “ตกลง! ในเมื่อเธอยินยอมแล้ว ฉันก็จะเอาผ้าชิ้นนี้ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวเท่านั้นของเรา ถวายให้กับภิกษุรูปนั้น รีบเอามาให้ฉันเร็วๆ!”
ในตอนนั้นสามีของนางก็เริ่มแสดงความรู้สึกวิตกกังวล พูดว่า “โอ้ ไม่ได้หรอก! เราทั้งสองต้องพึ่งพาผ้าชิ้นนี้เพื่อออกไปขอทาน นับจากนี้ไปเราจะทำอย่างไร ถ้าหากเธอถวายมันให้กับภิกษุ? เราจะนั่งอยู่ที่นี่และพากันอดตายอย่างนั้นหรือ?”
ภรรยาของเขาจึงบอกเขาว่า “ไม่ช้าไม่นานเราก็จะต้องตาย ไม่ว่าเราจะให้ทานหรือไม่ให้ เพราะฉะนั้น ทำไมเราจึงไม่ให้เสียตอนนี้ล่ะ เพื่อว่าหลังจากที่เราตายไปแล้ว จะได้มีผลบุญเก็บไว้สำหรับอนาคตของเรา?”
สามีคนนี้ได้ยินภรรยาของเขาพูด รู้สึกว่ามีเหตุผล เขาจึงพูดด้วยความชอบใจว่า “ตกลง! ตกลง! ตกลง! งั้นเธอก็เอาผ้าชิ้นนั้นถวายให้กับท่านก็แล้วกัน”
ก่อนที่ภรรยาจะเอาผ้าออกไปข้างนอกเพื่อให้ทาน นางก็ได้ขอให้ภิกษุปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้าน มันจะเป็นสิ่งที่อับอายขายหน้าที่จะถูกเห็นโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ หลังจากที่นางได้ถวายของไปแล้ว
นางพูดว่า “ท่านผู้ทรงคุณธรรม ได้โปรดกรุณาปีนขึ้นมาบนหลังคาบ้านได้ไหม? ฉันมีสิ่งหนึ่งที่จะถวายให้ท่าน”
ภิกษุรู้สึกงุนงงมาก “ถ้าหากเธอจะให้ของอะไรกับฉัน ก็มาทำที่นี่สิ ทำไมเธอจึงขอร้องให้ฉันปีนขึ้นไปบนหลังคาด้วยล่ะ?”
ผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “ได้โปรดเข้าใจด้วยเถิด ท่านผู้ทรงคุณธรรม สามีของฉันและฉันมีเพียงผ้าผืนนี้ชิ้นเดียวเท่านั้น ซึ่งเรากำลังจะถวายให้ท่าน หลังจากที่เราให้ท่านแล้ว มันก็จะไม่สุภาพเป็นอย่างมาก ที่เราจะเผชิญหน้าท่านโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าอันใด ถ้าหากท่านอยู่บนหลังคาในขณะที่ฉันซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ท่านก็จะไม่รู้สึกขุ่นเคือง เมื่อท่านลงมาจากหลังคาหลังจากที่รับทานแล้ว”
ภิกษุขึ้นไปบนหลังคา ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในบ้านและล็อกประตู จากนั้นนางก็เปิดหน้าต่าง และโยนผ้าชิ้นนั้นขึ้นไปบนหลังคาเพื่อเป็นของถวายให้กับภิกษุ ภิกษุรู้สึกชื่นชมและรับของถวายที่จริงใจของสามีภรรยาคู่นั้น แม้ว่าผ้าผืนนั้นจะเก่าสกปรกและไม่มีค่า แต่ท่านก็รับไป จากนั้นท่านก็ให้พรสองสามีภรรยา และนำผ้ากลับไปถวายพระพุทธเจ้า ทันทีที่ท่านกลับมายังที่ที่วิปัสสินพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าก็ถามภิกษุทันทีว่า “ภิกษุ เอาผ้าชิ้นนั้นมาให้ฉันสิ”
พระภิกษุตระหนักได้ว่าพระพุทธเจ้าทราบในเรื่องนั้น จึงพูดว่า “ขอท่านได้โปรดรับความจริงใจของสองสามีภรรยาคู่นี้ด้วยเถิด!”
หลังจากที่วิปัสสินพุทธเจ้ารับผ้าผืนนั้นไปแล้ว พระองค์ก็มองดูมันอย่างอ่อนโยน ในเวลานั้นพระองค์กำลังแสดงเทศน์ต่อกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากซึ่งมีทั้งกษัตริย์ เสนาบดี ทหาร พวกผู้ดีที่ร่ำรวยและประชาชนทั่วไป ทุกคนเคารพและตั้งใจฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า ในทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นพระพุทธเจ้าถือผ้าผืนหนึ่งซึ่งเก่าและดำ คล้ายกับผ้าขี้ริ้ว และพระองค์ก็จ้องมองดูมัน ทุกคนรู้สึกว่ามันประหลาดมากและรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าอ่านใจของทุกคนออก จึงได้บอกพวกเขาว่า “ในบรรดาผู้ให้ทานทั้งหลายในกลุ่มผู้ชุมนุมนี้ ฉันไม่พบว่ามีผู้ใดที่จะล้ำเลิศยิ่งกว่าบุคคลซึ่งเพิ่งได้ถวายผ้าชิ้นนี้ให้แก่ฉัน”
เมื่อได้ฟังถ้อยคำของพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจ พระราชินีถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายของพระองค์ออกทันที รวมทั้งเครื่องประดับและอัญมณีและอื่นๆ จากนั้นกษัตริย์ก็ถอดเสื้อผ้าของพระองค์ออกและมอบเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวพระองค์ รวมทั้งเงินของข้าราชบริพารของพระองค์ จากนั้นพระองค์ก็ส่งคนไปพร้อมกับสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ เพื่อไปเชิญคู่หนุ่มสาวที่ยากจนคู่นี้ให้รับของถวายของพวกเขาและมาร่วมในงานชุมนุมของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาทราบว่าหนุ่มสาวคู่นี้ไม่มีอะไรสวมใส่ พวกเขาจึงถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของพวกเขาให้หนุ่มสาวคู่นี้ ในเวลานั้นวิปัสสินพุทธเจ้าจึงได้ถือโอกาสนี้ขยายความอธิบายให้ทุกคนทราบถึงเรื่องบุญกุศลของการให้ทานเพื่อที่จะเตือนทุกคนในเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียวและผลกรรมของความโลภ
พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ย้ำเตือนพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธอควรจะตระหนักว่า ผู้หญิงที่สิ้นเนื้อประดาตัวก็คือภิกษุณีสุขลาในขณะนี้ เนื่องจากการถวายที่บริสุทธิ์และจริงใจของนาง ไม่ว่านางจะเกิด ณ ที่ใดใน ๙๑ กัลป์ต่อมา นางก็จะมีผ้าชิ้นหนึ่งห่อหุ้มร่างกายของนางไว้เสมอ อีกทั้งนางจะมีชีวิตที่ร่ำรวย สุขสบาย และมีความสงสุขอยู่เสมอ นางสามารถพบฉันได้และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะนางได้ฟังเทศนาของพุทธะที่มีชีวิต และตั้งใจที่จะได้บรรลุการหลุดพ้น พวกเธอควรที่จะถือเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่จะบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งและกระตือรือร้นที่จะให้ทาน”
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้เทศนาเรื่องนี้แล้ว คนเป็นจำนวนมากก็ตกลงใจที่จะถวายของและให้ทาน ทุกคนรู้สึกพึงพอใจและเต็มไปด้วยความรื่นเริงใจในธรรมะ
พวกเธอมีข้อสงสัย มีความเห็นหรือมีอะไรที่จะวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม? พวกเธอได้ตกลงใจที่จะให้ทานหรือถวายอะไรบางอย่างหรือเปล่า? ในการชุมนุมครั้งนั้น ทุกคนตัดสินใจที่จะให้ทานเพื่อว่าพวกเขาทั้งหมดจะได้บรรลุความเป็นอรหันต์ได้! พวกเธอไม่รู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับผ้าชิ้นนี้หรอกหรือ? ผ้าชิ้นนี้ อันที่จริงแล้วเป็นของคน ๒ คน ถูกต้องไหม? บังเอิญในตอนนั้นนางสวมมันอยู่พอดี ก็เลยนำออกมาถวาย ด้วยวิธีการเช่นนี้ ทำให้นางได้รับผ้าเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ การถวายผ้าที่สกปรก ทำให้นางได้รับผ้าสีขาวเป็นการตอบแทน และต่อมาในภายหลังยังได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วย เรื่องนี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
เนื่องจากผ้านั้นเป็นของทั้งสามีและภรรยา แล้วทำไมเฉพาะภรรยาเท่านั้นจึงได้รับผลบุญกุศล? เราไม่ได้ยินว่าสามีได้รับประโยชน์อันใด เป็นเพราะภรรยาเป็นผู้ริเริ่มที่จะถวายทาน ในขณะที่สามี ในตอนแรกไม่ต้องการที่จะถวาย เขาเพียงแต่เปลี่ยนความคิดในเวลาต่อมา! ความเต็มใจของเขาค่อนข้างที่จะช้าไปสักหน่อย (ทุกคนหัวเราะ) เพราะฉะนั้น ถ้าเธอต้องการทำสิ่งใด เธอควรที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็วและทำอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้รางวัลที่ดีที่สุด
เพียงแค่การถวายอย่างจริงใจให้กับลูกศิษย์ของพุทธะที่มีชีวิต นางก็มีผ้าสีขาวห่อหุ้มร่างกายในแต่ละครั้งเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ (กัลป์สามารถเท่ากับจำนวนปีเป็นพันๆ ล้านปี) และได้เกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่งอยู่เสมอ ในที่สุดนางก็ได้พบพุทธะที่มีชีวิตและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เร็วจนแม้กระทั่งพระอานนท์ก็เทียบหล่อนไม่ติด พระอานนท์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้จากไปแล้วเท่านั้น ในขณะที่ภิกษุณีผู้นี้ได้บรรลุภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนหลังจากการประทับจิต
อย่างไรก็ตามเธอคิดว่ามันดีไหมที่จะให้ทาน (ผู้ฟัง : มันไม่ใช่เป็นสิ่งสูงสุด) ไม่ใช่เป็นสิ่งสูงสุด! เวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพียงเพื่อผ้าชิ้นนั้น นับว่าแย่จริงๆ! อันที่จริงแล้ว ถ้าหากนางไม่ได้ให้ทานในตอนนั้นแต่ขอการหลุดพ้น นางก็คงจะได้รับการหลุดพ้นในชาติเดียว นางจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้บุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ในภายหลังต่อมา โชคไม่ดีที่นางไม่ได้ขอการหลุดพ้นสูงสุดในขณะที่นางให้ทาน นางให้ทานเพราะนางต้องการชีวิตในอนาคตที่มั่งคั่งกว่า
เป็นความผิดของใคร? เป็นความผิดของนางหรือ? ไม่! มันเป็นความผิดของภิกษุที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เพราะท่านไม่ได้บอกนางถึงธรรมวิถีสูงสุด ท่านเพียงแต่แนะนำนางให้ทราบถึงบุญกุศลภายในไตรภูมิ เขาเพียงพูดว่าถ้าเธอให้ทานก็จะได้รับบุญเป็นการตอบแทนซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มความโลภให้กับพวกเขา ถ้าหากเขาได้บอกผู้หญิงคนนั้นว่า “ตอนนี้เธออาจจะยากจน แต่ก็ไม่เป็นไรนะ มีพุทธะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ถ้าหากเธอติดตามพระองค์เพื่อปฏิบัติบำเพ็ญและตั้งใจที่จะได้รับการหลุดพ้นอาณาจักรแห่งสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติสารพัดอย่าง เธอจะสามารถได้อะไรก็ตามที่เธอต้องการหลังจากหลุดพ้นแล้ว ไม่ว่าเธอจะร่ำรวยแค่ไหน ตราบใดที่เธอยังอยู่ในโลกนี้ มันก็จะไม่ดีไปกว่าในสวรรค์หรือยิ่งใหญ่ไปกว่านิพพาน”
มันจะไม่ดีกว่านี้หรือถ้าเขาได้พูดแบบนี้? ด้วยเหตุนี้อาจารย์ถึงไม่เน้นการให้ทาน ด้วยความกลัวว่าความโลภในทรัพย์สมบัติจะเกิดขึ้นในตัวเธอ ไม่ว่าที่ไหนที่ฉันไป ฉันก็จะไม่เน้นการให้ทาน แม้ถ้าฉันเคยเน้น ฉันก็จะรวมเอา – ความอดทนต่อการดูถูก ความขยันหมั่นเพียร สมาธิและปัญญาเข้าไว้ด้วย ฉันจะพูดว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้นและไม่สำคัญ ฉันได้บอกเธอเสมอว่าการให้ทานนั้นไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่เพราะเรามามือเปล่า และอีกหน่อยก็จะจากไปมือเปล่า เราเป็นหนี้โลกนี้มากมาย แม้เมื่อเราให้คนอื่นนิดหน่อย ก็เป็นเพียงแค่การใช้หนี้ของเรา เธอไม่สามารถนับได้จริงๆ หรอกว่านี่คือการให้ทาน
ดังนั้นจากเรื่องนี้ เราจึงสามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างธรรมวิถีสูงสุดและธรรมวิถีธรรมดาได้ ธรรมวิถีธรรมดาจะแนะนำคนให้ทำบุญเพื่อผลบุญที่จะตอบแทนในอนาคต... และอื่นๆ และค่อยๆ ไปสู่นิพพานอย่างช้าๆ ๙๑ กัลป์! อมิตาพุทธ! เธอรู้หรือเปล่าว่า ๙๑ กัลป์นั้นยาวแค่ไหน? เราไม่สามารถที่จะทนกับ ๙๑ ชาติได้ ไม่ต้องพูดถึง ๙๑ กัลป์หรอก ทุกครั้งที่เธอเกิดมา ไม่ว่าเธอจะร่ำรวยแค่ไหน เธอก็จะต้องพบกับการเกิด ความชรา ความเจ็บป่วยและความตาย เราเจ็บปวดทุกครั้งที่เราเกิดมา เจ็บปวดทุกครั้งเมื่อเราแก่ตัวลง เมื่อเราเจ็บป่วย และเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเมื่อเราพบกับความตายและการพลัดพรากจากกัน ระหว่างการเกิดและการตายก็ยังคงมีความไม่ยุติธรรมอยู่มากมาย มีความทุกข์ที่สาหัสหรือเบาบางกว่า มีอารมณ์ที่ไม่ได้คาดคิดมากมายและการประสบพบกับสภาพเลวร้าย มันไม่คุ้มเลยจริงๆ ที่จะมีชีวิตอยู่ ๙๑ กัลป์ในลักษณะแบบนี้
ถ้าหากปัญญาในสมองของเธอไม่ปรากฏขึ้นมาและไม่ได้คิดในทิศทางของการหลุดพ้นสูงสุด เช่นนี้แล้วเธอบำเพ็ญอะไรก็จะไม่มีประโยชน์อันใด จะมีดีอะไรถ้าเธอเพียงแต่อยู่ภายในไตรภูมิ!? เป็นกษัตริย์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน – มีเกิด ชรา เจ็บป่วย และตาย ปวดหัวแบบเดียวกันและมีความกลัดกลุ้มทางโลกเป็นกองพะเนิน ดังนั้นเธอควรที่จะรู้ไว้ด้วยว่า ธรรมวิถีสูงสุดนั้นแตกต่างจากธรรมวิถีธรรมดาเหล่านั้นที่อยู่ภายในไตรภูมิ วัตถุประสงค์อะไรก็ตามที่เรามีในความคิดของเรา เราก็จะบรรลุวัตถุประสงค์นั้น อะไรก็ตามที่เราต้องการจริงๆ ในใจของเรา ดวงวิญญาณของเรา ปัญญาของเรา จะทำให้เราได้รับในสิ่งนั้นไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อผู้หญิงที่ยากจนคนนั้นให้ทาน นางไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า นางเพียงแต่ได้ยินภิกษุพูดว่า การให้ทานจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งเป็นการตอบแทน ทางเลือกที่ดีกว่าไม่ได้ถูกเสนอให้กับนาง นางได้ยินถ้อยคำเรื่องการให้ทานและผลตอบแทนที่มั่งคั่งจากภิกษุ ดังนั้นนางจึงคิดว่ามันดีและจะต้องเป็นสัจธรรม ดังนั้นนางจึงเชื่อภิกษุทันที และตั้งสัตย์อธิษฐานเช่นนั้น เธอจะต้องรู้ว่านางรวบรวมพลังทั้งหมดของนาง ความคิดของนาง คำพูดและการกระทำเข้าไปไว้ในคำอธิษฐานของนางในขณะนั้น ดังนั้นนางจึงต้องกลับมาเพื่อมารับผลบุญของนางเป็นเวลา ๙๑ กัลป์
ภิกษุที่มีบุญญานิสงส์และมีการบำเพ็ญที่ดีเป็นผู้พูดข้อความนี้ ดังนั้นคำพูดของท่านจึงมีพลังและสามารถทำให้เกิดผลได้ เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนั้นได้ยินเรื่องดีเช่นนี้ หล่อนได้รับความทุกข์ยากมาตลอดทั้งชีวิต ตอนนี้ได้มีหนทางที่ดีที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากในชาติหน้าของนาง แน่นอน นางก็จะต้องใช้ทั้งกายและใจเพื่ออธิษฐานขอสิ่งนั้น
เธอไม่สามารถที่จะรวมการกระทำ คำพูดและความคิดทั้งหมดของเธอไปที่สิ่งๆ เดียวได้เสมอ เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นแล้วเธอจะใช้พลังงานทั้งหมดของเธอให้หมดไปกับสิ่งที่เธออธิษฐาน แม้ถ้าในภายหลังนางเกิดได้พบพุทธะขึ้นมา มันก็จะสายเกินไปเสียแล้ว พลังงานทั้งหมดของนางได้ถูกใช้ให้หมดไปในคำอธิษฐานครั้งก่อนที่ได้อธิษฐานขอผลบุญในชาติหน้าของนาง ดังนั้นนางจึงต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพื่อรับสิ่งที่อธิษฐานนั้น โชคดีที่นางได้พบพระพุทธเจ้าและได้ตื่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตามนางก็มีพลังวังชาเหลืออยู่น้อยมากในขณะนั้น ดังนั้นนางจึงต้องกลับชาติมาเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ เธอก็ได้เห็นแล้วสินะว่าเราสามารถทำอันตรายผู้คนในลักษณะนี้ได้อย่างไร?
ในคัมภีร์ทางศาสนาพุทธได้กล่าวไว้ว่าผู้ที่ให้ทานจะต้องบริสุทธิ์ในความตั้งใจของเขา รู้สึกมีความสุขและไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ ผู้ที่รับทานก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน - ไม่มีความปรารถนา รู้สึกมีความสุขที่ได้รับและมีความบริสุทธิ์ ด้วยวิธีนี้ ทั้งสองก็จะได้รับผลบุญ ทั้งคนที่ให้ทานและคนที่รับทานควรที่จะเป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะ ผู้หญิงคนนั้นจึงต้องกลับมาชาติมาเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ ก่อนที่นางจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ต้องรอเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพื่อที่จะได้รับการหลุดพ้น! น่ากลัวจัง! ไม่ได้รับผลบุญอะไรแม้แต่นิดเดียว! ๙๑ กัลป์ก็เท่ากับไม่ต้องปฏิบัติบำเพ็ญอีกต่อไปแล้ว
นางก็ได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว แต่นางก็ต้องรอเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ก่อนที่จะได้รับการหลุดพ้น เดิมทีแล้วเธอสามารถได้รับการหลุดพ้นทันทีที่เธอได้พบพระพุทธเจ้า หลุดพ้นได้ในชาติเดียว ปัญหาก็คือนางได้พบกับลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าก่อนและได้รวบรวมพลังทั้งหมดของนางไปที่คำอธิษฐานนั้นโดยที่ไม่รู้ว่ามีวิธีการที่ดีกว่า
ดังนั้นเมื่อเธอออกไปเทศนาสั่งสอนคนอื่น อย่าได้พูดถึงสิ่งที่เหลวไหลเหล่านั้น อย่าได้กระตุ้นความโลภของพวกเขาหรือความปรารถนาทางวัตถุภายในไตรภูมิของพวกเขา ดีที่สุดคือเธอควรที่จะชักชวนพวกเขาให้มุ่งสู่การหลุดพ้นทันที ถ้าเขาไม่ฟังก็ไม่เป็นไร เขาสามารถได้รับผลบุญอย่างอื่นจากที่ต่างๆ และคนอื่นสามารถแนะนำธรรมวิถีต่างๆ ให้เขาได้ เราอย่าไปแนะนำคนให้ทำสิ่งเหลวไหลเหล่านั้น
“ค้นหาอาณาจักรแห่งพระเจ้าก่อน แล้วเธอจะมีทุกอย่าง” มันเป็นแบบนี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ ทั้งหมดก็มีแต่แนะนำคนให้ทำเรื่องเล็กๆ เหล่านั้นและให้ได้ผลบุญเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเป็นการตอบแทน จะมีประโยชน์อะไรกัน? มีแต่จะทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีใครที่แนะนำคนอื่นให้ทำทานเพื่อผลบุญในอนาคตในชาติอื่นแล้วละก็ คนเหล่านั้นกำลังทำอันตรายอันยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อต่อผู้อื่น กระนั้นพวกเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจเสียเหลือเกินและยกยอตัวเอง คิดว่าตัวเองนั้นช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ
เรื่องนี้นับว่าน่ากลัวจริงๆ พวกเขาได้สร้างกรรมขึ้นมาซึ่งพวกเขาไม่รู้ตัวและยังคงยกยอตัวเองในเรื่องนี้ ถ้าหากตัวเขาเองให้ทานและเวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ด้วยตัวของเขาเองแล้วละก็ เราก็ไม่มีอะไรที่จะพูด อย่างไรก็ตาม ถ้าเขานำผู้คนทั้งหมด ผู้คนเป็นล้านๆ พันๆ ล้านคนให้ทำสิ่งเดียวกันนี้เพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์และผลบุญในชีวิตในภายภาคหน้าของพวกเขา นั่นก็นับว่าน่ากลัวจริงๆ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกเขาขัดขวางคนจากการได้รับการหลุดพ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณก็คือการได้รับแนวความคิดที่ถูกต้องและได้รับธรรมวิถีที่ถูกต้อง หลังจากนั้น การที่เรามีชีวิตธรรมดาๆ ก็นับว่าเป็นการดีพอเพียงแล้วสำหรับเรา แนวความคิดที่ไม่ถูกต้องและธรรมวิถีที่ไม่ถูกต้องจะนำความยุ่งยากมาให้...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.com
9 พฤษภาคม 2554 09:13 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิไห่
เน่ยหู ไทเป ฟอร์โมซา
๒๗ กันยายน ๒๕๒๘
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีผู้หนึ่งซึ่งหลงรักภรรยาของตนเป็นยิ่งนัก พวกเขาไม่เคยแยกจากกัน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ภรรยาของเขาต้องกลับบ้านไปเยี่ยมบิดามารดาของหล่อน แล้วเมื่อเวลากลางคืน เขาคิดถึงหล่อนมากเหลือเกิน จนเขาได้วิ่งตามหล่อนไปที่บ้านของบิดามารดาหล่อน สถานที่แสนจะมืดมิด และเวลาก็ดึกดื่น จนทั้งบ้านปิดหมดแล้ว ประตูก็ปิด กำแพงก็สูงยิ่งนัก เขามิอาจเข้าไปในบ้านได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปรอบบ้าน ท้ายที่สุดก็พบเชือกเส้นใหญ่
เชือกเส้นนั้นผูกติดอยู่บนกำแพง ปลายห้อยมาถึงพื้น เขาจึงโหนเชือกแล้วปีนขึ้นสู่ชั้น ๒ เขาจึงได้เห็นภรรยาของเขา ภรรยาของเขาประหลาดใจเป็นยิ่งนัก และกล่าวว่า “ท่านเข้ามาได้อย่างไร?” ฝ่ายสามีก็ตอบว่า “ฉันปีนเชือกที่เธอผูกไว้ให้ฉันขึ้นมา นั่นเป็นวิธีที่ทำให้ฉันมาเยี่ยมเธอได้ เธอไม่ทราบหรอกหรือ? ฉันนึกว่า เธอทราบว่า ฉันจะมา เธอจึงผูกเชือกไว้ให้ฉัน!”
หล่อนกล่าวว่า “โอ ไร้สาระ! ฉันไม่ทราบหรอกว่าท่านจะมาในเวลาเช่นนี้!” ดังนั้นสามีจึงกล่าวว่า “หากเธอไม่เชื่อฉัน ก็ลงมาดูได้!” จากนั้นเขาทั้งสองจึงลงไปดูเชือก แล้วก็เห็นว่ามันหาได้ใช่เชือกไม่ แต่เป็นงูตัวใหญ่ห้อยลงจากกำแพง อย่างไรก็ตาม ด้วยที่มันมืด เขาจึงไม่สังเกตเห็น และด้วยความรักอันหน้ามืดตามัวของเขานี้นั้น เขาจึงเข้าใจว่าเป็นภรรยาทำไว้ให้ แต่เขาเกือบได้ฆ่าตนเองไปเสีย!
ภรรยาจึงกล่าวกับเขาว่า “โอ พระแม่เจ้า! ท่านช่างรักฉันมากเหลือ! แต่ฉันจะให้อะไรกับท่านได้? หากเพียงท่านรักพระเจ้ามากเท่าที่ท่านรักฉันด้วยความรักแบบเดียวกันนี้ ท่านก็คงจะหามันพบ หากท่านรักการรู้แจ้งมากเพียงนี้ หากท่านรักพระเจ้ามากเพียงนี้ ท่านก็คงจะพบพระเจ้าและกลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว! แต่ด้วยความรักที่ท่านให้ฉัน ท่านจะได้สิ่งใดมา? ไม่ได้อะไรเลย!” ทันใดนั้น ผู้เป็นสามีก็เกิด “รู้แจ้ง” ดวงตาของเขาถูกเปิด แล้วด้วยงูตัวเดิม เขาปล่อยตัวลงสู่พื้นอีกครั้ง แล้วก็วิ่งหนีไป ไม่กลับมาพบภรรยาของเขาอีกเลย! หลังจากนั้น แน่นอน เขากลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่และได้รับการรู้แจ้ง
เธอเห็นไหม ทุกสิ่งอื่นๆ ในโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เธอดูแลภรรยา ดูแลลูก ดูแลสามี แต่เธอมิได้ดูแลตัวเธอเอง อย่างไรก็ตาม “ตัวเธอเอง” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด! จะมีอะไรดีกับการเฝ้าดูแลทั้งครอบครัวแล้วสูญเสียตนเองไป?
เราไม่ควรทิ้งครอบครัวของเราไป เราควรดูแลครอบครัวของเราเช่นกัน แต่เราต้องดูแลตัวเราเอง ต้องค้นพบตนเอง ค้นพบว่าเราคือใคร และว่าเราถูกกำหนดให้ทำอะไรในโลกนี้ หากเธอไม่ทราบ หลังจากเธอตายไป เธอก็จะไม่มีสิ่งใด...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.Godsdirectcontact-thai.org
www.SupremeMasterTV.com
9 พฤษภาคม 2554 08:24 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ซันตี้เหมิน ผิงตง ฟอร์โมซา ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๕
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
ถ : ฉันมีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นคำถามเชิงทฤษฎีล้วนๆ แต่ฉันวนเวียนอยู่กับมันมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ฉันเข้าใจด้วยความคิดว่า เราไม่มีตัวฉัน ความรู้สึกของเราไม่ใช่เรา และความคิดของเราก็ไม่ใช่เรา และอื่นๆ ดังนั้นอะไรคือสิ่งที่ดำรงสืบทอดจากการเกิดชาติหนึ่งๆ ไปสู่อีกชาติหนึ่ง และอะไรก่อให้เกิดกรรมและเก็บสะสมกรรมไว้ และอะไรก่อให้เกิดบุญและเก็บสะสมบุญ? เป็นความคิดของเราหรือเปล่า?
อ : เป็นความคิดของเราและดวงวิญญาณของเราที่ยึดติดอยู่กับความคิดนั้นๆ ตัวอย่างเช่น หากรถวิ่งผิดปกติไป และคนขับไม่รีบกระโดดออกไปจากรถเขาก็จะเสร็จเรียบร้อยไปพร้อมกับตัวรถ หากเขากระโดดออกมาทันเวลา หากเขาไม่ยึดติดกับรถจนพยายามกู้รถคันนั้นไว้ เขาก็อาจกู้ชีวิตของตนไว้ได้ มีคนบางคนรักรถมากกว่าชีวิตของตนเอง นั่นเป็นปัญหาเดียวกันกับพวกเราส่วนมาก เราจะรักที่จะสะสมขยะของเรามากกว่าดวงวิญญาณของเรา รักมันมากกว่าตัวตนแท้จริงของเรา เราจะติดต่ออยู่เสมอกับโลกภายนอก กับการเก็บรวบรวมความคิด กับความคิดเบี่ยงเบนทั้งหลายแหล่ กับเรื่องไร้สาระมากมายหลายประเภท แต่เรามิได้ติดต่ออยู่กับพระผู้เป็นเจ้าแท้จริงของเรา กับตัวตนแท้จริงของเรา ดังนั้นเราจึงมีแต่ปัญหา
ฉันจะพยายามอธิบายเพิ่มเติม ในชีวิตของเธอนั้น ทราบไหมว่า ใครเป็นผู้มีชีวิตอยู่ในขณะนี้? มันคือตัวรับรู้ คือตัว “ฉัน” ที่แท้จริง ซึ่งมีชีวิตอยู่โดยผ่านสื่อรับรู้ต่างๆ เช่น มือ เท้า ดวงตา หู ปาก ความรู้สึก และสมอง เป็นฉะนี้ และหากตัว “ฉัน” ซึ่งคือตัวรับรู้นี้คอยติดอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้ กับการคิดแบบนี้ กับข้อมูลนี้แล้วนั้น เมื่อนั้นตัว “ฉัน” ก็จะไม่สามารถเป็นอิสระได้จากความรู้สึกต่างๆ จากการคิด จากความคิดอันสั่งสมมาของสังคม ซึ่งสังคมคิดไปเองตามสภาพแวดล้อม ตามความเคยชิน เมื่อนั้น แน่นอน ตัวรับรู้แท้จริงนั้น ตัว “ฉัน” แท้นั้นก็จะต้องกลับมาอีก แต่หากตัว “ฉัน” แท้นี้เข้าใจเสมอว่าตัวมัน ตัว “ฉัน” แท้ ตัวรับรู้แท้จริงนั้นเป็นเพียงประจักษ์พยานของความรู้สึกเหล่านี้ ของการคิดเหล่านี้ ของความคิดสั่งสมทั้งมวลเหล่านี้แล้วนั้น เมื่อนั้นตัว “ฉัน” นี้ก็จะไม่มีวันติดอยู่กับความรู้สึกหรือความคิดเหล่านี้ และจะเป็นอิสระเสมอไป ดังนั้นเมื่อเขาจะตาย เขาทราบอย่างถ่องแท้ว่า เขาไม่ใช่ความรู้สึกเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งผูกมัดเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมนี้ ไม่ใช่ความคิดเหล่านี้ และเขาก็เป็นอิสระ เขาจะก้าวมั่นกลับสู่ตัวรวมทั้งหมด สู่แม่น้ำแห่งชีวิตทั้งสาย และไม่ไปติดค้างอยู่ในมุมของสิ่งที่เรียกกันว่า ความคิด ความรู้สึก ความเกลียดชัง และความรัก ดังนั้นเราจะต้องปลุกความรู้ตัวของเราให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ดึงมันกลับมา และคอยเตือนมันอยู่ตลอดเวลาว่า “เธอไม่ใช่ความรู้สึกนี้ เธอไม่ใช่ความคิดนี้ เธอไม่ใช่สิ่งนี้ และเธอไม่ใช่สิ่งนั้น” เข้าใจไหม? ไม่มีสิ่งใดที่เป็นเธอ!
ถ : ในเรื่องของความเจ็บปวดก็เป็นเช่นเดียวกันหรือไม่?
อ : ถูกต้องแล้ว เพราะมันเป็นร่างกายที่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เส้นประสาทจะรู้สึกถึงความเจ็บปวด เพราะเส้นประสาทถูกสร้างไว้ให้รู้สึกสิ่งต่างๆ ตัวรับรู้จะเพลินใจกับความรู้สึกเหล่านี้และเพลินใจกับการรับทราบสิ่งต่างๆ ภายนอก มิฉะนั้นแล้ว เราจะรับรู้ได้อย่างไร? มันคือการที่ตัวรับรู้ประสบกับความรู้สึกถึงความเจ็บปวดผ่านร่างกาย แต่ตัวรับรู้เองนั้นไม่เคยมีความเจ็บปวด! หากเธอรับประทานผลแอปเปิ้ล ก็จะเป็นผลแอปเปิ้ลซึ่งมีรสหวาน มิใช่ลิ้นของเธอที่หวาน มิใช่เธอที่หวาน! ความหวานมิใช่เธอ แต่มันมาจากผลแอปเปิ้ล เธอเป็นเพียงผู้เพลิดเพลินใจกับความหวานนั้น ในทำนองเดียวกัน เราเองตัวรับรู้นั้นก็จะเพลินใจกับความสุข รับทราบถึงความเจ็บปวด และปฏิเสธในสิ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างก็ไม่สลักสำคัญอะไร เธออาจเพลินใจกับมันหรือไม่ก็ปฏิเสธมัน เธออาจเรียนรู้ถึงสิ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ หรือถึงสิ่งซึ่งเพลิดเพลินใจ แต่ก็มีอยู่แค่นั้น เธอมิได้เป็นตัวน่าพึงพอใจหรือตัวไม่น่าพึงพอใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสถานการณ์ต่างๆ เท่านั้น
ดังนั้น ทำไมเธอจึงจะมัวมาติดอยู่ตรงนั้น แล้วถูกผูกมัดอยู่ชาติแล้วชาติเล่า? เป็นเพราะเธอยังรู้สึกไม่พึงพอใจ เธอจะต้องทราบว่า สิ่งเหล่านี้อยู่เพียงแค่ชั่วคราว วันนี้มันมา พรุ่งนี้มันก็ไป โอเค ก็มีอยู่แค่นั้น ถ้าฉันมีความสุข ฉันก็จะสุขไปกับมัน ถ้าฉันประสบสิ่งซึ่งไม่น่าสุขสบายใจ ฉันก็จะอดทน ก็มีอยู่แค่นั้น เมื่อฉันจากไปแล้ว ฉันก็ไปแล้ว เมื่อฉันไม่มีสิ่งเหล่านั้น ก็คือฉันไม่มี มิฉะนั้นแล้ว หากเรา ตัวรับรู้นั้น คอยไล่ตามความสุข เราก็จะกลับชาติมาเกิด ตัวรับรู้จะพยายามคอยจับความรู้สึกสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ แล้วมันจะพยายามจับตนเองเข้าไปอยู่ในกรอบอีกครั้งหนึ่ง แล้วเพลิดเพลินใจไปกับมัน หรือไม่ก็มีความทุกข์ ด้วยคอยแต่ยึดเกาะอยู่กับความรู้สึกหวานหรือขมนี้อยู่ตลอดเวลา คอยแต่ไล่ตามมันไป
หากใครให้ผลแอปเปิ้ลกับเธอ แล้วเธอรับประทานมันลงไป โอ เธอชื่นชอบมันเป็นยิ่งนัก! แต่แล้วเธอไม่มีผลอื่นอีก เธอจึงเที่ยวไปทุกหนแห่งเพื่อเสาะหาแอปเปิ้ลอีกสักผลหนึ่ง ทุกๆ วัน ความคิดของเธอได้แต่กล่าวว่า “แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล!” เธอไม่เป็นอันทำสิ่งอื่นใด แล้วเธอก็เสียศูนย์ไป เธอเสียศูนย์ไปเพราะความหวานของแอปเปิ้ล ในชีวิตของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน ตัวรับรู้จะคอยไล่ตามสิ่งน่าพึงพอใจและรังเกียจสิ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ แล้วเราก็จะติดชะงักอยู่ตรงนั้น ตัวรับรู้ไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากความรู้สึกเหล่านี้ได้ ดังนั้นเราจึงถูกผูกมัด เราไม่หลุดพ้น หากเราทราบอยู่ทุกชั่วขณะ โดยเฉพาะ ณ เวลาแห่งความตายว่าเรามิใช่ความรู้สึกนี้ เราไม่สนใจความรู้สึกนี้ และว่าเราจบแล้วกับความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อนั้นเราก็จะเป็นอิสระ เราเป็นอิสระอยู่เสมอ! เราไม่เคยไร้อิสระ (ผู้ชมปรบมือ)
ดังนั้นจงร้องไห้เมื่อเธอต้องการ และหัวเราะเมื่อเธอพอใจ แต่จงเข้าใจว่าการร้องไห้และหัวเราะนั้นมิใช่ตัวเธอ เธอเพียงประสบ รับรู้มัน เพื่อจะได้รู้สิ่งต่างๆ เพื่อจะได้มีตัวตน มิฉะนั้นแล้วเธอจะไม่มีตัวตน มิฉะนั้นแล้วโลกก็จะไม่มีตัวตน เรามักจะกล่าวว่า โลกนี้เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ และไม่ควรมีตัวตนอยู่ แต่ทำไมมันจึงไม่ควรมีตัวตนอยู่ด้วยเล่า ถ้าไม่มีมัน ก็คงน่าเบื่อด้วย จะไม่มีอะไรให้ทำ และเธอก็จะได้แต่เพลิดเพลินใจอยู่ตลอดเวลา “โอ ฉันเป็นนี่ ฉันเป็นนั่น (ผู้ชมหัวเราะ) ฉันเป็นพระเจ้า ก็มีอยู่แค่นั้น ฉันเป็นพระเจ้าผู้มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง แล้วฉันก็ทราบดี! ฉันไม่มีความทุกข์ ไม่มีอะไรสักอย่าง ฉันปลื้มสุขอยู่ตลอดเวลา” แล้วอย่างไรล่ะ? ไม่ต้องมาใส่ใจกันเรื่องนิพพาน จะใส่ใจไปทำไมกัน? ถ้าเธอมีความสุขอยู่ทุกวัน จะสนใจมันไปทำไม?
แต่เป็นเพราะเธอยังคงปรารถนาในนิพพาน ดังนั้นจงพยายามเพื่อให้ได้มันมา จงพยายามจนกระทั่งเธอไม่ปรารถนามันอีกต่อไป จนกระทั่งเธอเหนื่อยใจกับมัน แล้วเธอก็จะเป็นอิสระ (ท่านอาจารย์และผู้ชมหัวเราะ) ฉันเพียงต้องการให้เธอพยายามให้ได้มาซึ่งนิพพาน เพราะฉันต้องการให้เธอทราบว่า เธอไม่จำเป็นต้องได้นิพพาน แต่ตราบใดที่เธอต้องการมัน ก็จงพยายามไป หากเธอยังคงต้องการของปลอมที่ทำมาจากพลาสติก ก็จงมีมันไป จงมีมันไปจนกระทั่งปากของเธอแห้งผาก ไร้ซึ่งน้ำนม ไร้ซึ่งสิ่งใดๆ จากนั้นวันหนึ่งเธอก็จะโยนมันทิ้งไป และตระหนักว่า เธอมิได้จำเป็นต้องใช้มันตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเธอเป็นอิสระจากมันเสมอมา เธอไม่จำเป็นต้องใช้มัน....
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
9 พฤษภาคม 2554 06:42 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
๓๐ พฤษภาคม ๑๙๙๐ (เดิมเป็นภาษาจีน)
ตอนนี้เวลาแห่งการเกิดอุทกภัยได้ผ่านพ้นไปแล้ว โนอามีชีวิตอยู่จนถึง ๘๐๐ ปีและบุตรชายมากมาย อาจจะเป็นพันๆ คน! หนังสือกล่าวว่าโนอาและลูกๆ ของเขาได้ปลูกองุ่น ลูกของเขาก็มีลูกมากมายซึ่งก็มีลูกออกมาอีกมากมาย มีลูกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่า มีคนมากมายเกินไปและครอบครัวมากมายต้องย้ายไปที่อื่น ถ้าพวกเขาไม่ย้ายก็จะไม่มีหญ้าพอเพียงสำหรับฝูงสัตว์ เนื่องจากทุกคนพูดภาษาง่ายๆ พวกเขาจึงเข้าใจเป็นอย่างดี จึงเป็นการง่ายที่พวกเขาจะร่วมมือกันในงานใดๆ
พวกเขาบางคนย้ายไปยังที่ที่เรียกว่าบาบิโลน ที่นั่นพวกเขาได้คิดค้นวิธีการทำอิฐ พวกเขาเรียนรู้ที่จะเผาอิฐทำให้มันแข็งและแข็งแรง พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะยึดอิฐเข้าด้วยกันด้วยวัสดุโบราณคล้ายกับซีเมนต์ที่เรามีในปัจจุบันนี้ ด้วยวิธีนี้พวกเขาก็สามารถสร้างบ้านได้
วันหนึ่งคนหนึ่งในพวกเขาได้พูดว่า “เราควรสร้างเมื่องที่ใหญ่มากให้พวกเรา และในเมืองนั้นก็มีหอคอยอันศักดิ์สิทธิ์ ใหญ่และสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อเราจะได้สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเรา” เหลวไหล! (ผู้ฟังหัวเราะ) พวกเขาต้องการสร้างมันเพื่อจะได้มีชื่อเสียง และทุกคนในบาบิโลนก็เห็นชอบ คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีมาก นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกคนก็ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างหอคอยบาเบล
พระเจ้าเริ่มต้นที่จะสังเกตงานของพวกเขาจากสวรรค์ เมื่อเห็นว่ากำแพงนั้นค่อยๆ สูงขึ้นและมนุษย์กำลังมีความเห็นมากขึ้นและยุ่งอยู่กับความคิดของพวกเขา พระเจ้าทราบว่าจะมีความยุ่งยากเกิดขึ้น มนุษย์เริ่มต้นที่จะคิดมากเกินไปแล้ว อัตตาของพวกเขาและความคิดในทางโลกก็จะแผ่ขยายออกมา ในเวลานั้นมนุษย์เริ่มต้นเชื่อว่าพวกเขาเป็นเทพและสามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะสร้างหอคอยเสร็จ พระเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง พระองค์คิดว่าถ้ามนุษย์พูดภาษาต่างกัน พวกเขาก็จะไม่เข้าใจกันและดังนั้นจะไม่ทำงานอย่างหักโหม
และแล้วพระเจ้าก็เริ่มต้นทำให้ภาษาของพวกเขาสับสนและส่งคนไปยังมุมต่างๆ ของโลก ไปเหนือ ใต้ ออก ตก บางคนก็ตั้งหลักแหล่งที่ริมฝั่งทะเลและบางคนก็อยู่บนเกาะ บางคนก็ย้ายไปยังที่ซึ่งไกลออกไป บางคนก็ไปอียิปต์ บางคนไปอาฟริกา และบางคนไปอาระเบีย
ลูกหลานของโนอาได้ทวีคูณและเพิ่มมากขึ้นๆ แต่ละวงศ์ตระกูลก็ออกลูกออกหลานเป็นหญิงชายอีกมากมาย แต่ละครอบครัวก็ใหญ่ขึ้นๆ ในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นประเทศชาติขึ้นมา ในแต่ละชาติผู้คนก็พูดภาษาต่างๆ กัน นับจากนั้นมาพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้หรือพูดคุยติดต่อกันได้
จนถึงขนาดนี้ ทุกคนที่คิดถึงหอคอยบาเบล พวกเขาก็ถูกเตือนให้ระลึกว่าทำไมคนจึงพูดบาเบลมากมาย ซึ่งหมายถึงพวกเขา “บลา บลา บลา” มาก คำว่าบาเบลหมายถึงการพูดพล่ามไร้สาระเหมือนเด็ก เพราะฉะนั้นหอคอยนี้จึงได้ชื่อว่าหอคอยบาเบลเหมือนอย่างความหมายของคำว่าบาเบล เรามักจะพูดมากเกินไปอยู่เสมอ
นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าและลูกหลานโนอา มีคติสอนใจในเรื่องนี้และเราสามารถเรียนรู้จากมันได้ มันคืออะไรล่ะ ยิ่งมนุษย์สบายมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็คิดถึงพระเจ้าน้อยลง ย้อนกลับไปเมื่อพ่อแม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างเรียบง่ายมาก ทุกคนอาศัยอยู่ในเรือและจำพระเจ้าได้ หลังจากนั้นไม่นานพระเจ้าก็ให้ชีวิตที่สบายแก่พวกเขา ไม่มีน้ำท่วม ไม่มีการลงโทษ ไม่มีผู้ที่คอยย้ำเตือน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มรู้สึกว่าพวกเขายิ่งใหญ่
บางครั้งเมื่อเรามีชีวิตที่สบายมากขึ้น เราก็จะมีเพื่อนมากขึ้นเหมือนอย่างอีฟคนโง่และอาดัมผู้ก๋ากั่น สมัยเมื่อพวกเขายังอยู่ในสวรรค์ พวกเขาก็ถูกความเพ้อฝันพาไปคิดว่าพวกเขามีไม่พอและพวกเขาควรที่จะเหมือนพระเจ้า แต่จะเป็นเหมือนพระเจ้าไปทำไม? ก็เป็นเพียงลูกแอปเปิ้ลที่พวกเขาไม่มี และพวกเขาก็ถูกหลอกให้ทำเรื่องโง่ๆ พวกเขามีโลกทั้งโลกและสวรรค์ทั้งสวรรค์อยู่แล้ว พวกเขามีความสุขทุกวันและมีอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า พวกเขาช่างโง่เสียนี่กระไร! ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พระเจ้าลงโทษพวกเขาโดยการส่งพวกเขาลงมายังโลกมนุษย์ ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเรียนรู้บทเรียนของพวกเขาได้ แล้วพวกเขาก็จะรู้ว่า “ชีวิตเมื่อก่อนเป็นชีวิตที่ดี ตอนนี้มันเจ็บปวด” แล้วพวกเขาก็จะเริ่มทะนุถนอมมัน พวกเขามีทุกอย่างอยู่แล้วยกเว้นแอปเปิ้ลลูกหนึ่ง แต่พวกเขายังคงอยากที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า ช่างมีอัตตาเสียจริงๆ ! หมดหนทางที่จะช่วยเหลือได้!
เพราะฉะนั้นเราจะต้องพิจารณาตัวเราเป็นครั้งคราว เมื่อเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เราไม่ควรเพ้อฝันมากเกินไป มิฉะนั้นแล้วเราจะเสียใจในภายหลังเมื่อมันสายเกินไปที่จะหวนกลับมา ปกติเมื่อมีชีวิตที่สบายคนก็ดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องที่ไม่ดีหรือเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นแม้ในสภาพที่สบายและมีความสุข เราก็ไม่ควรที่จะลืม ปล่อยตัวปล่อยใจตนเองและจบลงด้วยการเป็นคนอ่อนแอ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพที่ยากลำบากกว่า ในทางกลับกันเราควรที่จะรักษาความกล้าหาญของเราและจิตใจที่สมดุลเอาไว้...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
7 พฤษภาคม 2554 03:29 น.
คีตากะ
จากโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ตอนที่ ๑๑๖
การดำรงอยู่ของวิญญาณเป็นเรื่องโกหกหรือไม่? วิญญาณยังคงมีอยู่หลังจากการตายใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ไหมที่จะมี “ชีวิต” อีกหลังจากกายเนื้อได้ตายไปแล้ว? นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายๆ คนได้เพียรพยายามตอบคำถามเหล่านี้มานานหลายปี บางคนกล่าวว่าการศึกษาเรื่องของชีวิตหลังความตายโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นไปไม่ได้ ทางเดียวที่อาจจะสำเร็จก็คือการให้คนที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกเพื่อตอบคำถาม แพทย์บางคน เช่น ดร.เรย์มอนด์ มูดดี้ ดร.เคนริง และดร.บรูซ เกรย์สัน พวกเขามีคนไข้หลายคนที่ทำเช่นนั้นได้ คือฟื้นกลับมาหลังจากตายไปแล้ว หลังจากมีหลักฐานบันทึกประสบการณ์ของคนไข้เหล่านี้ แพทย์เหล่านี้ปัจจุบันก็ยินยอมเชื่อว่าพวกเขามีข้อมูลพิสูจน์ในเรื่องการมีอยู่ของวิญญาณ และชีวิตหลังความตาย
รูดอล์ฟ สเตนเนอร์ ผู้เขียนเรื่อง “ชีวิตเหนือความตาย” ไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นกลุ่มองค์ประกอบทางกายภาพของอวัยวะทั้งหลาย เขากล่าวว่าร่างกายเนื้อคือธาตุต่างๆ ของอสูร และกิจกรรมของอัตตา ซึ่งก่อตัวเป็นรูปร่างและเคลื่อนไหวได้ เขายังกล่าวว่าวิญญาณและจิตทำงานร่วมกันกับอวัยวะของร่างกาย และแปรรูปออกมาเป็นภาพของจักรวาลทางจิตวิญญาณ จากสิ่งนี้วิญญาณจึงจุติลงมาในครรภ์
คำอธิบายนี้มาจากมุมมองทางจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนหันมาเชื่อในเรื่องการมีอยู่เหนือกายภาพโดยผ่านวิธีการทางฟิสิกส์ควอนตัม (Quantum Physics) วิธีการนี้อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดที่ว่า สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กันและกันและสามารถส่งผลกระทบถึงกันและกันด้วยความเร็วที่มากกว่าความเร็วของแสง และจิตสำนึกนั้นกำเนิดมาจากการเคลื่อนไหวของข้อมูลที่เกือบเป็นทางจิตวิญญาณ บางคนกล่าวว่าทฤษฎีนี้เป็นการเริ่มต้นทางวิทยาศาสตร์ในการทำความเข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องความลึกลับ และเรื่องทางผีสางบางอย่าง นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในเรื่องของชีวิตหลังความตายนั้นมาจากประสบการณ์ของคนใกล้ตาย (NDEs)
ประสบการณ์ในระหว่างใกล้ตายของคนที่ตายทางร่างกาย บางครั้งในระหว่างการผ่าตัดหรือหัวใจวาย หัวใจของพวกเขาหยุดเต้น และหยุดหายใจ แต่หลังจากผ่านไปหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง หัวใจของพวกเขาก็เริ่มทำงาน และพวกเขาเริ่มหายใจอีกครั้ง คนที่มีประสบการณ์เหล่านี้พยายามอธิบายประสบการณ์การออกจากร่าง และความรู้สึกของการเริ่มเข้าไปในโลกของจิตวิญญาณ มีแพทย์หลายคนได้ทำการรวบรวมข้อมูลคนไข้ที่รายงานเรื่องของประสบการณ์ประเภทนี้มากว่า ๓๐ ปี นักวิทยาศาสตร์และแพทย์จำนวนมากเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้นเอง แต่ลักษณะพิเศษหลายๆ อย่างของประสบการณ์ใกล้ตายนั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแนวคิดที่ว่าพวกมันเป็นเพียงภาพหลอน
มีการวิจัยชิ้นหนึ่ง คนขับรถบรรทุกอายุ ๕๕ ปี ชื่อ อัล ซัลลิแวนตายในขณะทำการผ่าตัดครั้งที่สาม เมื่อเขาพบกับแม่และน้องเขยที่ตายไปแล้วในระหว่างที่เขาใกล้ตาย ซัลลิแวนกล่าวว่าแม่ของเขาบอกเขาให้กลับไปและให้บอกเพื่อนบ้านของเขาว่าลูกชายของพวกเขานั้นเป็นโรคความบกพร่องของการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อน้ำเหลือง (Lymphoma) จะหายป่วย เป็นที่น่าสังเกตุว่า อัล ซัลลิแวนก็พูดได้แม่นยำว่าศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเขาได้พับแขนของเขาให้มืออยู่ใต้รักแร้ ขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเพียงภาพหลอน ดร.เกรย์สัน ผู้ทำการศึกษาในเรื่องนี้กล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ข้อมูลที่แม่นยำเหลือเชื่อและพิสูจน์ได้นี้ เป็นผลมาจากประสบการณ์ของคนใกล้ตาย?”
มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตายจะนำข้อมูลอันลึกซึ้งจากอีกโลกหนึ่งนั้นกลับมา บางครั้งข้อมูลนั้นก็เป็นทางกายภาพมาก และบางครั้งก็เป็นทางจิตวิญญาณมาก ประสบการณ์ระหว่างที่ใกล้ตายของสุภาพบุรุษที่ชื่อว่าเมลเลน โธมัส เบเนดิกท์ เขามีผลงานทางวิทยาศาสตร์ด้านไบโอ โฟตอนนิค (Bio-Photonics คือชีววิทยาด้านการสร้าง การควบคุมและการตรวจจับโฟตอน) การสื่อสารด้วยเซลลูล่าร์ (Cellular Communication) ชีววิทยาควอนตัม (Quantum Biology) และดีเอ็นเอ (DNA) เขาได้รับสิทธิบัตร ๖ แขนงเมื่อเร็วๆ นี้ ประสบการณ์ใกล้ตายบางเรื่องได้เกิดขึ้นกับคนที่ตายไปแล้วหลายวัน มีชายคนหนึ่งชื่อโรโดเนีย ผู้ป่วยทางระบบประสาท เขาอยู่ในภาวะใกล้ตาย ๓ วัน เขาออกจากร่างไปในขณะที่แพทย์เริ่มทำการผ่าตัด ก่อนหน้าที่เขามีประสบการณ์ เขาเคยเป็นคนไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เนื่องจากประสบการณ์ของเขาทางจิตวิญญาณในอีกโลกหนึ่งนั้นลึกซึ้งมาก หลังจากนั้นมาเขาก็ทำปริญญาเอกใบที่สองทางด้านจิตวิญญาณและศาสนา และกลายเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ข้อพิสูจน์เรื่องวิญญาณหลังความตายอีกอันหนึ่งที่เชื่อถือได้เป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย มีการวิจัยชิ้นหนึ่ง คือกลุ่มเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ตายหมู่ขณะทำการดับไฟป่า พวกเขาต่างรายงานว่าในขณะที่อยู่ในภาวะใกล้ตายพวกเขาเห็นกันและกันลอยอยู่เหนือร่างกายที่ไม่มีชีวิตของพวกเขา และทั้งหมดก็รอดชีวิตมาได้ในที่สุด
“ประสบการณ์ใกล้ตาย” แต่งโดย ดร.เรย์มอนด์ มูดดี้ ในหนังสือ “ชีวิตหลังจากชีวิต” ดร.มูดดี้ยังเป็นนักประพันธ์หนังสือขายดี ๑๑ เล่ม ซึ่งขายไปแล้วทั่วโลกกว่า ๑๓ ล้านเล่ม และเขายังเขียนบทความอีกมากมายในสถานศึกษาและหนังสือทางวิชาการอย่างเช่น “ประสบการณ์ใกล้ตาย” “ความตายที่สง่างาม” และ “ชีวิตหลังการสูญสิ้น” และปรากฏตัวในรายการทอล์คโชว์ยักษ์ใหญ่อย่างเช่นโอปราห์, เจอรัลโด, เอ็นบีซีทูเดย์ และเอบีซี เทิร์นนิ่ง พอยดท์ ดร.มูดดี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เขาจับใจผู้ฟังด้วยผลงานอันลือลั่นในเรื่องของประสบการณ์ใกล้ตายและเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตาย ในหนังสือ “ชีวิตหลังชีวิต”
ดร.มูดดี้ได้ทำการค้นคว้าวิจัยคนไข้ที่ประสบกับ “การตายทางการแพทย์” แล้วฟื้นขึ้นมามากกว่า ๑๐๐ ราย งานศึกษาชิ้นเอกนี้ได้ทำให้เขาเป็นผู้เขียนชั้นแนวหน้าของโลกในวงการเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย “ชีวิตหลังชีวิต” ได้เปลี่ยนทัศนะของเราในเรื่องชีวิตและความตาย เนื้อเรื่องของเขาที่ตัดตอนมามีตอนหนึ่งได้อธิบายประสบการณ์ใกล้ตายว่าเป็นเหมือน “ความรู้สึกว่าล่องลอยและขาดการติดต่อจากกายเนื้อของคุณ” เขากล่าวต่อไปว่า “วิญญาณมองดูร่างที่ไร้ชีวิตนั้นจากมุมหนึ่งของเพดาน และรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของความสงบและเยือกเย็น และเวลาเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย วิญญาณรู้สึกจมอยู่ในอุโมงค์ที่มืดมิดและมีแสงสีขาวที่สว่างเจิดจ้าอยู่ปลายอุโมงค์ เมื่อคุณเข้าไปในแสงสีขาวนั้น ผู้เป็นที่รักหรือบุคคลทางศาสนาจะมาต้อนรับคุณ และคุณจะได้ชมภาพยนต์แห่งชีวิตย้อนหลัง” น่ามหัศจรรย์ที่หลายๆ คนจากส่วนต่างๆ ทั่วโลกล้วนอธิบายประสบการณ์ที่เหมือนกันมากเช่นนี้ พวกเขายังรายงานถึงการมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ยิ่งใหญ่น่าเคารพ ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เพิ่มความใกล้ชิดยิ่งขึ้น และการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่เพื่อบรรลุเป้าหมาย
ดร.มูดดี้ได้อธิบายถึงกรณีศึกษาของหญิงตาบอดคนหนึ่งที่สามารถอธิบายได้อย่างแม่นยำถึงเครื่องมือที่ใช้ในการนำชีวิตเธอฟื้นมาใหม่หลังจากหัวใจวาย-ถูกต้องทุกอย่างในเรื่องสีทั้งหมด (“Right Down to Their Colors”) ข้อเท็จจริงที่ว่าหญิงคนนี้ตาบอดมานานถึงห้าสิบปีจึงเป็นจุดสนใจที่มีเหตุผลของประสบการณ์ใกล้ตาย มูดดี้ยังได้รายงานว่าคนส่วนมากที่มีประสบการณ์ใกล้ตายล้วนแต่ไม่อยากกลับมาหลังจากที่ได้ละทิ้งร่างกายไปแล้ว คนไข้บางรายถึงกับโกรธแพทย์ที่นำเขากลับมา พวกเขาต้องมีประสบการณ์ที่ดีมากทีเดียว
ดร.เคนริง เป็นศาสตราจารย์ภาคจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัย Connecticut เขามีบันทึกของประสบการณ์ใกล้ตายประมาณ ๑๐๒ ราย การวิจัยล่าสุดของเขาคือเรื่องประสบการณ์ใกล้ตายในหมู่คนตาบอด และการค้นพบของเขาสามารถหาอ่านได้ในหนังสือล่าสุดของเขาชื่อ มุมมองของจิต หนังสือเล่มก่อนๆ ของเขาเช่น ชีวิตเมื่อตาย บทเรียนจากแสง มุ่งหน้าสู่อวสาน และโครงการอวสาน การวิจัยของ ดร.ริง ในเรื่องประสบการณ์ใกล้ตาย เช่น คนไข้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ขณะที่ออกไปจากร่างของเขาเอง ซึ่งภายหลังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริง เขาได้วิจัยเรื่องประสบการณ์ก่อนตายซึ่งยืนยันเรื่องการกลับชาติมาเกิด ปรากฏการณ์ที่น่าหลงใหลเกิดขึ้นเมื่อมีคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ก่อนตายได้รายงานว่าในขณะที่ใกล้ตาย วิญญาณของพวกเขาปรากฏต่อหน้าคนบางคน ปกติก็มักจะเป็นคนที่รัก มีการบันทึกว่าคนเหล่านี้ได้ยินการสนทนาระหว่างคนอื่นๆ ในเวลาที่พวกเขาออกจากร่างไป ดร.ริง กล่าวว่า “ข้อพิสูจน์ชนิดนี้หรืออื่นๆ ได้ให้หลักฐานพยานแวดล้อมสำหรับผู้ที่มีจิตสำนึกอยู่รอด”
ดร.ริง ได้เขียนบทความในวารสาร Near-Death Studies (การศึกษาใกล้ตาย) เกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตาย เขารายงานว่าทันทีที่ออกจากร่าง คนนั้นจะมีประสบการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งรวมทั้ง “การเคลื่อนที่ผ่านความว่างเปล่า”
แพทย์คนต่อไปที่มีการบันทึกซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจของคนที่มีประสบการณ์การออกจากร่างหรือประสบการณ์ใกล้ตาย ดร.บรูซ เกรย์สัน เป็นศาสตราจารย์สาขาวิชาโรคจิต ที่มหาวิทยาลัยระบบสุขภาพเวอร์จิเนียร์ (The University of Virginia Health System) เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคม The Para-Psychological Association : องค์กรอาชีพนานาชาติของนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการทำงานด้านการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ) การวิจัยของเขามุ่งไปที่ประสบการณ์ใกล้ตาย เขาเป็นผู้ได้รับเงินอุดหนุนการทำวิจัยเก้าเรื่องซึ่งเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายการวิจัย และได้ปาฐกถาในงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์มามากกว่า ๖๐ ครั้งในการประชุมระดับประเทศและระดับภูมิภาค ดร.เกรย์สันยังได้พิมพ์หนังสือมากกว่า ๖๐ เรื่อง เขาเขียนหนังสือเรื่องหนึ่งชื่อว่า “ประสบการณ์ใกล้ตาย : ปัญหา สิ่งที่คาดหวัง สิ่งที่ปรากฏ” และเขายังเป็นบรรณาธิการหนังสือ The Journal of Near-Death Studies (วารสารของการศึกษาการใกล้ตาย) เป็นเวลากว่า ๒๒ ปีที่ผ่านมา
ดร.เกรย์สันได้บันทึกสุขภาพในระยะยาวของคนไข้ที่ได้รายงานถึงเหตุการณ์ใกล้ตาย เขายังได้เขียนวิธีการทางอายุรเวชในการช่วยเหลือการปรับตัวการดำเนินชีวิตของคนไข้หลังจากผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย
การมีประสบการณ์ใกล้ตายเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ทำให้คนส่วนใหญ่กลับมาเปลี่ยนแปลงตนเอง อาชญากรหันมาให้การช่วยเหลือผู้อื่น สุขภาพดีขึ้น ปัญหาทางจิตใจได้รับการแก้ไข คนส่วนใหญ่หลังจากผ่านประสบการณ์ใกล้ตายล้วนกล่าวว่าพวกเขาไม่มีข้อสงสัยแล้วว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ พวกเขารู้ว่ามีพระเจ้า เมื่อเราลงมายังโลกนี้ เราสูญเสียการติดต่อกับพระเจ้า เราลืมการมีอยู่ของพระองค์ แต่เมื่อได้ผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย เราได้ติดต่อกับตัวตนสวรรค์นั้นอีกครั้งหนึ่ง ตัวตนของเราอีกด้านหนึ่งซึ่งรักเราอย่างลึกซึ้งเกินบรรยาย ส่วนนั้นซึ่งอยู่ภายในตัวเรานิรันดร และไม่ว่าชีวิตจะตายทางกายภาพขณะที่อยู่ในประสบการณ์นั้น วิญญาณของเรายังคงรับรู้เหตุการณ์ตลอดเวลา และนำกลับมาบอกเล่าให้ผู้ที่ได้รับฟังต้องประหลาดใจ ร่างที่ลึกลับและสง่างามของสิ่งที่ปรากฏในการแสดงเหตุการณ์ช่วงใกล้ตายนั้น อยู่เหนือข้อสงสัยใดๆ ว่าวิญญาณมีอยู่จริงเหนือชีวิต และพระเจ้าก็เช่นกัน...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet