27 กุมภาพันธ์ 2554 02:32 น.

ภัยร้ายจากเนื้อสัตว์และสิ่งเสพติด....

คีตากะ

2066347wvy54pci61.gifโรคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อสัตว์ :
● โรคบลูทังจ์
● โรคติดเชื้อ อี โค ไล
● โรคไข้ไทฟอยด์
● โรคไข้หวัดนก
● โรควัวบ้า
● โรคจากเซอร์โคไวรัสใรสุกร(PMWS)
● โรคลิสตีไรโอซิส
● โรคอาหารทะเลเป็นพิษ
● โรคความดันโลหิตสูงในสตรีที่ตั้งครรภ์
● โรคท้องร่วงเฉียบพลัน

ความสูญเสียบางอย่างจากการทานเนื้อสัตว์ :
โรคหัวใจ
● มากกว่า ๑๗ ล้านคนโดยรวมเสียชีวิตในแต่ละปี
● ค่าใช้จ่ายสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจอย่างน้อย ๑ แสนล้านเหรียญขึ้นไปต่อปี

โรคมะเร็ง
● แต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่มากกว่า ๑ ล้านคน ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
● คนมากกว่า ๖๐๐,๐๐๐ คน ตายเนื่องจากกลุ่มโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแต่ละปี
● ในสหรัฐอเมริกาที่เดียว ค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่สูงประมาณ ๖.๕ พันล้านดอลล่าร์(๑.๙๕ แสนล้านบาท)
● ทุกๆ ปีคนนับล้านถูกตรวจพบใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งที่เกี่ยวเนื่องกับเนื้อสัตว์

โรคเบาหวาน
● คน ๒๔๖ ล้านคนทั่วโลกถูกผลกระทบจากโรคนี้
● มีการประมาณว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาแต่ละปีสูงถึง ๑๗๔ พันล้านดอลล่า(๕.๒๒ ล้านล้านบาท)

โรคอ้วน
● ผู้ใหญ่ ๑.๖ พันล้านคนทั่วโลก มีน้ำหนักมากเกินไปและมากกว่า ๔๐๐ ล้านคนที่เป็นโรคอ้วน
● แต่ละปีค่าใช้จ่ายสำหรับเวชภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกาที่เดียวสูงถึง ๙๓ พันล้านดอลลาร์(๒.๗๙ ล้านล้านบาท)
● คนตายอย่างน้อย ๒.๖ ล้านคนแต่ละปีเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน

เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
● ใช้น้ำสะอาดหมดไปถึง ๗๐%
● สร้างมลภาวะให้แก่แหล่งน้ำ
● ทำลายป่าไม้ซึ่งเป็นปอดของโลก
● ใช้ธัญพืช(พืชตระกูลข้าว)ทั้งหมดของโลกไปถึง ๔๓%
● ใช้ผืนดินถึง ๘๕% เพื่อถั่วเหลืองของโลก(อาหารสัตว์)
● ก่อให้เกิดความอดอยากหิวโหยและสงครามบนโลก
● เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึง ๘๐%
และมากกว่านั้น...

ความสูญเสียบางอย่างจากการบริโภคนม :
● มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก อันเกิดจากฮอร์โมนที่อยู่ในนม
● เชื้อแบคทีเรียลีสทีเรียและโรคลำไส้อักเสบ
● ฮอร์โมนและไขมันอิ่มตัวที่นำไปสู่โรคกระดูกพรุน โรคอ้วน เบาหวาน และ

โรคหัวใจ
● เป็นสาเหตุให้เกิดโรคการแข็งตัวของเนื้อเยื่อหลายชนิดอัตราสูงขึ้น
● จัดเป็นสารทำให้เกิดภูมิแพ้สำคัญ
● แพ้น้ำตาลแล็คโตส
และมากกว่านั้น...

ประโยชน์บางอย่างของการทานอาหารมังสวิรัติ :
● ช่วยลดความดันโลหิต
● ลดระดับคอเลสเตอรอล
● ลดการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒
● ป้องกันอาหารเป็นลมชัก
● ป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
● ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ๕๐%
● ลดความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ ๘๐%
● ป้องกันโรคมะเร็งหลายรูปแบบ
● ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
● อายุยืนยาวกว่าที่คาดหมายถึง ๑๕ ปี
● ไอคิวสูงขึ้น
● อนุรักษ์น้ำสะอาดไว้ได้ถึง ๗๐%
● รักษาป่าฝนในอะเมซอนได้มากกว่า ๗๐% จากการแผ้วถางทำลายเพื่อทำทุ่งเลี้ยงสัตว์
● วิธีแก้ปัญหาผู้อดอยากหิวโหยของโลก :
    - สงวนผืนดินให้เป็นอิสระได้ปีละ ๓,๔๓๓ ล้านเฮกต้าร์
    - สงวธัญพืชได้ถึง ๗๖๐ ล้านตันต่อปี (เป็นครึ่งหนึ่งของผลผลิตธัญพืชของโลก)
● ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยกว่าถึง ๒/๓ จากที่ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์
● ลดมลพิษของเสียจากสัตว์ที่ไม่ได้รับการบำบัด
● รักษาสภาพอากาศบริสุทธิ์
● ลดจำนวนการแพร่ก๊าซได้ ๔.๕ ตัน ต่อหนึ่งครัวเรือนต่อปีในสหรัฐอเมริกา
● หยุดสภาวะโลกร้อนได้ถึง ๘๐%
และมากกว่านั้น...

การสูญเสียอย่างน่าเศร้าบางอย่างจากแอลกอฮอล์
แต่ละปีมีคน ๑.๘ ล้านคนทั่วโลก เสียชีวิตเนื่องจากแอลกอฮอล์

สูญเสียจากโรคที่เนื่องจากแอลกอฮอล์
● ๑๘๖.๔ พันล้านดอลล่าร์(๕.๕๙๒ ล้านล้านบาท) ในอเมริกา
● สูงถึง ๒๑๐-๖๖๕ พันล้านดอลล่าร์(๖.๓-๑๙.๙๕ ล้านล้านบาท) ทั่วโลก

โรคภัย
● มะเร็ง
● โรคตับ
● โรคหัวใจและหลอดเลือด

สมองเสียหาย
● โรคหลงลืมและโรคสมองเสื่อม
● โรคสมองฝ่อ

อวัยวะล้มเหลว
● หัวใจ
● ตับ
● ไต
● ท้อง
● ตับอ่อน
● ตา

ผลต่อการตั้งครรภ์
● สภาวะจิตถดถอย
● ผลแอลกอฮอล์ต่อเด็กในครรภ์ :
    - การเติบโตชะงัก
    - ใบหน้าพิการ
● การตายเฉียบพลันของทารก
● การแท้งบุตร

ความรุนแรงอันเนื่องมาจากแอลกอฮอล์
● การทารุณเด็ก        ๕๐% ของคดี
● กระทำรุนแรงต่อคนรัก        ๓๐% ของคดี
● การกระทำรุนแรง        ๔๐-๘๐% ของคดี
● ฆ่าตัวตาย            ๒๐-๕๐% ของคดี
และมากกว่านั้น...

ประโยชน์ของการห้ามแอลกอฮอล์ :

ประหยัดด้านการเงิน การวิจัยของแคนาดา คาดการว่าโครงการห้ามแอลกอฮอล์ สามารถรักษาชีวิตคน ๘๘๐ คน และ ๑ พันล้านดอลลาร์ ได้ในทุกๆ ปี

ด้านศีลธรรม
-    การลดการขายเหล้าว็อดก้า ๑๐% เป็นผลให้การตายที่มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์มีอัตราลดลงอย่างมากในรัสเซียในหนึ่งปี
-    การออกกำลังกาย การดื่มแอลกอฮอล์ลดลง การรับประทานผลไม้และผัก และการที่ไม่สูบบุหรี่ ทำให้ยืดอายุยืนขึ้น ๑๔ ปี
-    องค์การอนามัยโลกพบว่านโยบายด้านแอลกอฮอล์ซึ่งรวมทั้งการเพิ่มภาษี การลดจำนวนวันและชั่วโมงที่อนุญาตจำหน่ายแอลกอฮอล์และการเพิ่มอายุของผู้ที่ดื่ม ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดพิษภัยอันเกิดจากแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง :
•    การเพิ่มภาษีแอลกอฮอล์ ๑๐% ในสหภาพยุโรป ช่วยรักษาชีวิตคนได้ ๙,๐๐๐ คนภายในหนึ่งปี
•    ถ้าการขายแอลกอฮอล์ถูกสั่งห้ามสัปดาห์ละหนึ่งวัน สามารถลดความพิการและการตายก่อนวัยอันควร ได้ถึง ๑๒๓,๐๐๐ ปี

โรงมะเร็ง สถาบันวิจัยโรคมะเร็งของโลกค้นพบว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ

โรคภัยอื่นๆ
-    การฟื้นฟูสภาพและประสิทธิภาพของสมอง จะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นทันทีที่เลิกดื่มแอลกอฮอล์
-    ผู้ป่วยตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ สามารถมีสุขภาพดีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าผู้ป่วยเลิกดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานอาหารที่ดี
-    เว็ปไซต์ Bodybuilding.com กล่าวว่านักเพาะกายที่หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์ จะได้รับประโยชน์มากมายในการบริหารกล้ามเนื้อ มีความชุ่มชื้นมากขึ้น กระบวนการเผาผลาญอาหารฟื้นฟูขึ้น และจิตใจมีสมาธิมากขึ้น
-    การสั่งห้ามแอลกอฮอล์ในบาร์โรว์ อลาสก้า สหรัฐอเมริกา ทำให้การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนคลอดมีอัตราลดลงมากกว่า ๓๐%
-    เว็บไซต์สุขภาพ health.com รายงานถึงประโยชน์ของชีวิตที่ไม่ดื่ม
แอลกอฮอล์ :
● มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเพื่อนและครอบครัว
● มีอิสระในการใช้จ่ายเงินและเวลาสำหรับเรื่องอื่นๆ
● ทำให้สถานภาพการทำงานและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีขึ้น
● มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
● สร้างมิตรภาพกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมที่เป็นที่ยอมรับในชีวิต
- กลุ่มผู้ที่ดื่มสุราในอดีตได้เล่าในที่ชุมนุมทางออนไลน์ถึงข้อสังเกตในผลดีในชีวิตที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ :
- วิถีทางการดำเนินชีวิต :
● สุขภาพดีขึ้น
● มีเวลาว่างที่มีคุณภาพมากขึ้น
● มีเงินมากขึ้น
● มีเวลาสนุกกับลูกๆ มากขึ้น
● มีความมั่นใจและเคารพตนเองมากขึ้น
● เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับสังคม
● การสั่งห้ามเครื่องดื่มในนิวซีแลนด์ มีผลให้เครื่องดื่มที่ไม่เหมาะสม มีจำนวนลดลง ๙๘% เช่นเดียวกับคดีอาชญากรรมอื่นๆ ก็ลดจำนวนลง
● เมื่อพื้นที่สงวนชนพื้นเมืองอเมริกัน แบล็คฟีท สั่งห้ามขายแอลกอฮอล์ในระหว่างงานประจำปีของชาวอเมริกันอินเดียเหนือ พวกเขาพบว่ามีการพัฒนาตามมาสี่สัปดาห์หลังจากนั้น :
    - ไม่มีตัวเลขอุบัติเหตุการจราจรที่เกี่ยวข้องกับชาวแบล็คฟีทเกิดขึ้นเลย
    - ไม่มีตัวเลขการจับกุมการขับขี่ภายใต้อิทธิพลกับแอลกอฮอล์
    - คดีก่อกวนที่รายงานต่อตำรวจลดน้อยลง ๖๔%
    - คดีทำร้ายร่างกายลดลง ๔๔% 
    - จำนวนผู้คนที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลลดลง ๗๕%
    - การฟ้องร้องคดีความประพฤติไม่เรียบร้อย มึนเมาในที่สาธารณะ หรือการยึดตู้บรรจุแอลกอฮอล์เปิด มีลดน้อยลง ๒๕%
● การวิจัยในนิวเม็กซิโก อเมริกา ชี้ให้เห็นว่าการห้ามขายแอลกอฮอล์วันอาทิตย์ มีผลให้การปะทะกันและการบาดเจ็บล้มตายจากการจราจร ลดน้อยลง
● คดีเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ลดลง ๑๕% เมื่อมีการสั่งห้ามแอลกอฮอล์ในอะแบริสทวิธ สหราชอาณาจักรอังกฤษ
● การสั่งห้ามแอลกอฮอล์อย่างถาวรในพื้นที่ท่าน้ำเมือง คอฟฟ์ ฮาร์เบอร์ ออสเตรเลีย อันเนื่องมาจากประสบความสำเร็จในการลดคดีอาชญากรรม
● การสั่งห้ามแอลกอฮอล์ที่ ทะเลสาบคินเคด สหรัฐอเมริกา ทำให้ไม่มีการเสียชีวิตจากการว่ายน้ำ อุบัติเหตุรุนแรงจากการพายเรือน้อยลง และคดีลดลง

เยาวชน
● เจ้าพนักงานรายงานถึงการทำลายทรัพย์สินของรัฐลดน้อยลง จากการที่สั่งห้ามแอลกอฮอล์ในมหาวิทยาลัยโอกลาโฮม่า สหรัฐอเมริกา
● ในรัฐฟลอริด้าสหรัฐอเมริกา การเพิ่มอายุผู้ดื่มที่ถูกกฎหมาย จากอายุ ๑๘ ปี เป็น ๒๑ ปี ทำให้ลดจำนวนอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต อย่างเห็นได้ชัด
● การสมัครใจเลิกขายแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชนอายุต่ำกว่า ๒๑ ปี ในหมู่บ้านมาร์สค์ ของอังกฤษ ได้เลิกขายโดยถาวรในเวลาต่อมา เนื่องมาจากผลดีที่จำนวนของคดีอาชญากรรมและความประพฤติที่ต่อต้านสังคมได้ลดน้อยลง

การสูญเสียน่าเศร้าบางอย่างของการเสพยา
-    แต่ละปีมีคนตาย ๒๐๐,๐๐๐ คนทั่วโลก
-    ค่าใช้จ่าย แต่ละปีในสหรัฐอเมริกาเป็นเงิน ๑๘๑ พันล้านดอลลาร์(๕.๔๓ ล้านล้านบาท) ในอังกฤษเป็นเงิน ๓๓ พันล้านดอลลาร์(๙.๙ แสนล้านบาท)
-    ค่าใช้จ่ายตลอดชีวิตของการติดยาในอังกฤษ จำนวนสูงถึง ๕๗๕ พันล้านดอลลาร์(๑๗.๒๕ ล้านล้านบาท)

ผลกระทบที่อันตราย
● ทำลายสมอง
● ลมชัก
● โรคหัวใจ
● โรคตับ
● วัณโรค
● โรคถุงลมโป่งพอง
● มะเร็ง
● โรคหดหู่ ท้อแท้
● ฆ่าตัวตาย
● สูญเสียความทรงจำถาวร
● โรคจิต
● อัตราการตายเด็กทารกสูงขึ้น
● อาชญากรรมและความรุนแรงเพิ่มขึ้น
● การไร้สมรรถภาพทางเพศ
อาชญากรรมและความรุนแรง
● ยาผิดกฎหมายเป็นปัจจัยหนึ่งใน ๕๐% ของการโจรกรรมในอังกฤษแต่ละปี
● ในอังกฤษ ๖๐% ของผู้ถูกจับกุมแต่ละปี เป็นผู้เสพยาผิดกฎหมาย
● ผู้ติดเฮโรอีน ๖๕๐ คนในสหรัฐอเมริกา ก่อคดีอาชญากรรมถึง ๗๐,๐๐๐ คดี ภายในสามเดือน

ความสูญเสียต่อสังคม
● ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาสูญเสีย ๑๐๐ พันล้านดอลลาร์ต่อปี(๓ ล้านล้านบาท) เนื่องจากลูกจ้างติดยาและแอลกอฮอล์
● ชาวออสเตรเลียจ่ายเงิน ๕๓ พันล้านดอลลาร์ต่อปี(๑.๕๙ ล้านล้านบาท) เพื่อดูแลรักษา บังคับใช้กฎหมาย และสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานของผู้เสพยา
การตาย
● ในสหรัฐอเมริกา มีคนตาย ๕๒ คนต่อวัน เนื่องจากการเสพยา
● ในแคนาดา การใช้สารที่เป็นโทษ เชื่อว่ามีถึง ๒๑ เปอร์เซ็นต์ของการตายทั้งหมด และ ๒๓ เปอร์เซ็นต์สูญเสียศักยภาพชีวิต เนื่องมาจากการตายก่อนเวลาอันควร
และมากกว่านั้น...

ประโยชน์ของการหลีกเลี่ยงการเสพยาและการบำบัด :
-    ในสหรัฐอเมริกา การบำบัดรักษาการติดยาแสดงให้เห็นถึงการช่วยรักษาชีวิต ลดคดีอาชญากรรมและฟื้นฟูครอบครัว พร้อมกันด้วย :
● ๖๙% ของผู้ที่ได้รับการบำบัดสามารถใช้ชีวิตที่ปราศจากยาหลังจากได้รับการบำบัดหนึ่งปี
● การจับกุมคดีต่างๆ ลดลง ๖๔% หลังจากการบำบัดหนึ่งปี
     - การวิจัยของแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พบว่าทุกๆ ๑ ดอลลาร์ที่ลงทุนในการบำบัดยาเสพติด สามารถประหยัดได้ถึง ๗ ดอลลาร์จากการที่คดีต่างๆ ลดลง ลดค่าใช้จ่ายสำหรับสุขภาพและความอยู่ดีกินดี และเพิ่มรายได้ที่มั่นคง
       -    การวิจัยยี่สิบปีในสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นว่าโครงการบำบัดรักษาผู้ติดยา มีผลต่อการลดคดีอาชญากรรม เช่นเดียวกันกับการพัฒนาสุขภาพและการร่วมมือกันทางสังคม
        -  การวิจัยของสถาบันเพื่อนโยบายสาธารณะ รัฐวอชิงตัน ในสหรัฐอเมริกา พบว่าโครงการการบำบัดเยาวชนที่ใช้ยา เป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพและสามารถประหยัดเงินของรัฐได้ ๑,๙๐๐ ดอลล่าร์(๕๗,๐๐๐ บาท) ถึง ๓๑,๒๐๐ ดอลลาร์(๙๓๖,๐๐๐ บาท) ต่อเด็กหนึ่งคน
        -    โครงการของที่ทำงานปลอดยาเสพติด ได้รับผลดี :
    ● การขาดงานบ่อยๆ ลดน้อยลง
    ● อุบัติเหตุมีน้อยลง
    ● ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
    ● ขวัญและกำลังใจดีขึ้น
    ● สุขภาพของลูกจ้างดีขึ้น
    ● มีการใช้ยาลดน้อยลงเพื่อรักษาสุขภาพ
    ● ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพลดลง
    ● ค่าเบี้ยประกันลดน้อยลง

ต่อไปนี้คือคำตอบที่ถือว่าดีที่สุดต่อคำถามทางออนไลน์ “คำถามในเว็ปไซต์ของยาฮู” ถึงประโยชน์ของการไม่เสพยา
    ● ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ
    ● ไม่ต้องกลัวการติดเชื้อทางเข็มที่ฉีดเข้าร่างกาย
    ● ไม่ต้องกลัวสมองยุ่งเหยิง
    ● ไม่ต้องกลัวการขับขี่อันตราย และอุบัติเหตุ
    ● มีความสุขและเป็นอิสระในการมองโลก (ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) โดยปราศจากความรู้สึกที่เป็นครึ่งๆ กลางๆ 
    ● เป็นสุขกับการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในยามวิกฤตหรือคับขัน
    ● สามารถบอกคนอื่นๆ เกี่ยวกับความสุขของชีวิตที่ปราศจากยาเสพติด

ความสูญเสียน่าเศร้าบางอย่างของการสูบบุหรี่ :
-    ในแต่ละปี คน ๕.๔ ล้านคนทั่วโลกตายเนื่องจากการสูบบุหรี่
-    เฉพาะในสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายของการเจ็บป่วยที่เนื่องมาจากการสูบบุหรี่สูงถึง ๙๔ พันล้านดอลลาร์(๒.๘๒ ล้านล้านบาท)
● โรคหัวใจ : เส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมองตีบตัน ไตวาย
● มะเร็ง : มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
● อาการเรื้อรังของโรคที่เกี่ยวกับปอด : ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ
● เส้นเลือดสมองอุดตัน
● การไร้สมรรถภาพทางเพศ
● อันตรายเพิ่มเติมของการสูบบุหรี่มือสอง : อาการที่ทารกตายเฉียบพลัน การคลอดก่อนกำหนด โรคหืดในเด็ก หลอดลมอักเสบ โรคหูติดเชื้อ
และมากกว่านั้น...

การสั่งห้ามสูบบุหรี่เพื่อรักษาชีวิต :
-    การวิจัยโดยสถาบัน PIRE กล่าวว่ากฎหมายห้ามสูบบุหรี่ที่เข้มงวดในปัจจุบันของแคลิฟอร์เนียจะช่วยเหลือชีวิตคนได้มากกว่า ๕๐,๐๐๐ คนภายในปี ๒๐๑๐
-    การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของอังกฤษ ได้ลดผลกระทบจากภัยเงียบของบุหรี่ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการเสียชีวิตของผู้คนมากกว่า ๑๑,๐๐๐ คนในแต่ละปี
-    ขอบคุณการห้ามสูบบุหรี่ของประเทศ แคว้นเวลส์คาดว่าสามารถปกป้องผู้ไม่สูบบุหรี่จากการตายก่อนวัยอันควร ได้ปีละประมาณ ๔๐๐ คน
-    แม้แต่คนอายุ ๖๕ ปีขึ้นไปก็มีความสุขกับสุขภาพที่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาเลิกสูบบุหรี่ ด้วยความเสี่ยงทั้งหมดต่อการเสียชีวิตลดลงเกือบ ๒๐% และจากมะเร็งปอด ๔๒%
-    นายกเทศมนตรีนิงยอร์ค มิเชล บลูมเบิร์ก ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่าอัตราการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นได้ลดลง ๕๐% ในหกปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถป้องกันการตายก่อนถึงวัยอันควรได้ ๘,๐๐๐ คน

การห้ามการสูบบุหรี่หมายถึงการลดโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
-    รายงานการวิจัยโดยสมาคม โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าโรคหัวใจวาย ในเมือง พูอีโบล์ โคโลราโด สหรัฐอเมริกา มีอัตราลดลง ๒๗% หลังจากการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลใช้บังคับ ในขณะที่เมืองที่อยู่ใกล้ๆ ที่ไม่มีการสั่งห้ามสูบบุหรี่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโรคหัวใจวาย
-    เพียงหนึ่งปีหลังจากการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลใช้บังคับในไอร์แลนด์ อัตราการเกิดอาการเส้นเลือดตีบฉับพลัน ลดลง ๑๑%
-    นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย กลาสโกว์ รายงานว่า โรคหัวใจวายมีอัตราลดลง ๑๗% ในสก็อตแลนด์ นับตั้งแต่การสั่งห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเมื่อปีที่แล้ว
-    สถาบันอนามัยแห่งชาติในฝรั่งเศส ประกาศถึงอัตราการลดลงอย่างชัดเจนของโรคหัวใจวาย เมื่อประเทศสั่งห้ามสูบบุหรี่ และยังเป็นประโยชน์ในการลดผลกระทบจากการหายใจควันบุหรี่เข้าไปของผู้สูบบุหรี่มือสอง
-    นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา พบว่าอัตราการเข้าโรงพยาบาลอันเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ลดลง ๘% หลังจากการสั่งห้ามสูบบุหรี่ ซึ่งลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพปีละ ๕๖ ล้านดอลลาร์(๑.๖๘ พันล้านบาท)
-    ในแคว้นพีดมอนต์ ของอิตาลี การเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหัวใจวายเฉียบพลันของคนอายุน้อยกว่า ๖๐ ปี ได้ลดลง ๑๑% หลังจากมีการห้ามสูบบุหรี่ในอาคารของที่สาธารณะ

การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงสุขภาพที่ดีขึ้น
-    ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพอนามัยประชากรแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีอันตรายของการเป็นโรคเรื้อรังสูง เช่น ถุงลมอักเสบ โรคหืด และความดันโลหิตสูง
-    การวิจัยโดยสถาบันยูโรเปี้ยนเกี่ยวกับเนื้องอกวิทยาในมิลาน อิตาลี แสดงให้เห็นว่าผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มการขยายตัวของเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ มากขึ้นสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีแนวโน้มการเป็นมะเร็ง
-    ผู้สูบบุหรี่และผู้ที่อ่อนแอเนื่องจากเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีการเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่เร็วกว่าประมาณ ๗ ปี เทียบกับผู้ไม่สูบ
-    ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ และมีลักษณะพันธุกรรมที่พิเศษ มีความเสี่ยงสูงต่อการพัฒนาของมะเร็งเต้านม ตามการวิจัยที่ตีพิมพ์โดยวารสาร ระบาดวิทยามะเร็ง ตัวบ่งชี้ทางชีววิทยาและการป้องกัน
-    ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มีโอกาสเก็บรักษาฟันของพวกเขาไว้ได้จนถึงวัยชรา มากกว่าผู้สูบบุหรี่

การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงเด็กๆ มีสุขภาพดีขึ้น
-    การวิจัยของทางราชการ ที่ตีพิมพ์โดยสถาบันชีวิตและสุขภาพเด็กของมหาวิทยาลัย บริสโตล กล่าวว่าทารกของหญิงที่สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ เด็กทารกจะมีแนวโน้มทรมานจากอาการตายเฉียบพลันสูงถึง ๔ เท่า
-    การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ สามารถทำลายเชื้ออสุจิ ซึ่งจะถ่ายทอดยีนส์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ทารก
-    ดร.ชากิรา ฟรังโก ซุเกลีย แห่งคณะสาธารณสุขศาสตร์แห่งฮาวาร์ด รายงานว่าเด็กๆ ที่อยู่ในบริเวณที่อากาศมีมลพิษสูง หรือถูกผลกระทบจากการสูบบุหรี่ของพ่อแม่ มีคะแนนทดสอบความจำและความฉลาดอยู่ในระดับต่ำกว่าเด็กๆ ที่อยู่ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์
-    เด็กๆ ที่อ่อนแอจากผลการเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดถึงสามเท่า และมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาระบบการหายใจอื่นๆ ในช่วงชีวิตต่อมา

การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงานดีขึ้น
-    ภายในสองเดือนของการห้ามสูบบุหรี่ในสก็อตแลนด์ คนทำงานในสถานที่ขายเครื่องดื่ม รายงานว่าการเจ็บป่วยในระบบทางเดินการหายใจและอื่นๆ ลดลงเกือบ ๓๓%
-    ผู้ไม่สูบบุหรี่ที่กลายเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงสูง ๒๐% ในการเป็นมะเร็งปอด
-    การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของไอร์แลนด์ เห็นว่าการลดมลพิษทางอากาศในผับได้ถึง ๘๓%
การห้ามสูบบุหรี่มีผลดีต่อธุรกิจ
-    ๕ ปีนับตั้งแต่มีการห้ามสูบบุหรี่ ผู้โดยสารของสายการบินแอร์โร่ฟล็อท มีจำนวนมากขึ้น ๑๕% และมีเที่ยวบินที่ไปสหรัฐอเมริกามากขึ้น ๒๕% 
-    ในรายงานของหัวหน้าแพทย์ของอังกฤษ ดร.เลียม โดนัลสัน กล่าวว่าการห้ามสูบบุหรี่ ช่วยประหยัดเงินได้ประมาณ ๒.๗ พันล้านปอนด์ : ๖๘๐ ล้านปอนด์ ประหยัดโดยการที่แรงงานมีสุขภาพดีขึ้นและแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ๑๔๐ ล้านปอนด์ ประหยัดโดยการที่มีวันลาป่วยน้อยลง และ ๔๓๐ ล้านปอนด์ ประหยัดจากการสูญเสียผลผลิตอันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ในขณะทำงาน และ ๑๐๐ ล้านปอนด์ ประหยัดจากต้นทุนค่าทำความสะอาดที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเข้าชมที่ www.SupremeMasterTV.com


				
14 กุมภาพันธ์ 2554 19:35 น.

เฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานผู้กินอากาศ...

คีตากะ

henrimonfort.jpgเฮนรี่ มอนฟอร์ต(Henri Monfort) ชาวชามานผู้กินอากาศ



เราตื่นเต้นที่จะแนะนำคุณให้รู้จักบุคคลที่พิเศษอีกคนหนึ่งที่เลิกกินอาหารและมีชีวิตอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังแห่งจักรวาลเท่านั้น เราจะเดินทางไปยังเมืองที่สวยงามของนองต์ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสเพื่อพบกับเฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานผู้กินอากาศและนักประพันธ์ เฮนรี่อยู่โดยปราศจากอาหารมานานกว่า ๗ ปีและไม่มีความอยากที่จะกลับไปกินอาหารวัตถุอีกเลย

ต : ผมพบว่าความรู้สึกที่ผมมีคือมันได้รับการหล่อเลี้ยงเหมือนกับเด็ก เด็กทารกที่อยู่ในท้องของแม่ ยิ่งกว่านั้นพลังชีวิตนี้ก็ยังเป็นพลังแห่งความรัก คุณจะไม่รู้สึกว่าถูกตัดขาดจากจักรวาลเลย เนื่องจากคุณได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักของจักรวาล ดังนั้นมันจะมีมิติของการรวมตัวกันเข้ามาแทนที่และเราจะพ้นจากระบบของสิ่งที่เป็นคู่ เช่นความสุขและความทุกข์

เฮนรี่ มอนฟอร์ตได้อุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นให้ใช้ความสามารถของตนเองและแผ่ขยายความรักโดยอาหารที่มีความเมตตาที่ไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์ เฮนรี่ได้เมตตาแบ่งปันเรื่องราวของเขาและชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหารกับโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวี นับเป็นวิถีชีวิตทางเลือกใหม่และมีประโยชน์ต่อผู้ที่แสวงหาอิสระให้แก่ตนเอง พ้นจากความต้องการอาหาร

ต : ผมเกิดที่ปลายดินแดนของบริททานี่ที่ซึ่งแผ่นดินติดกับทะเล ดังนั้นผมมีการติดต่อกับธาตุต่างๆ ทั้งหมด ผืนดิน, ทะเล, อากาศ ฯลฯ ตั้งแต่ผมเล็กๆ ผมเป็นชาวชามาน ผมเกิดมาอย่างนั้น มันเป็นความสามารถพิเศษที่คนเรามีมาแต่เกิดและผมก็โชคดีที่มีปู่ของผม ผู้ที่มีสัมผัสไวมากต่อจิตวิญญาณในธรรมชาติ ผมสามารถพูดได้อย่างนั้น ผมจึงได้อาบอยู่ในมัน ขอบคุณปู่ของผม

ด้วยความสามารถอันไม่ธรรมดาตั้งแต่วัยเด็ก มันจึงยากสำหรับเฮนรี่ที่จะพบใครที่เข้าใจเขาได้นอกจากปู่ของเขา

ต : เหมือนชาวชามานทั่วไป ผมเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมเป็น ดังนั้นปีแรกๆ ของชีวิตผมไม่ค่อยจะดีนัก เพราะผมมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอะไรแบบนั้น แต่ผมไม่สามารถเล่าให้พ่อแม่, พี่น้อง ฯลฯ ของผมฟังได้มากนัก มันจึงมีช่องว่างเกิดขึ้น


henri_monfort.jpg


เมื่ออายุ ๑๘ ปีเฮนรี่ตัดสินใจเดินทางค้นหาตนเอง สิ่งที่เขาได้เรียนรู้และประสบภายหลังได้กลายเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ปราศจากอาหาร วิถีชีวิตที่เขาเลือกในเวลาต่อมา

ต : ผมเริ่มสนใจอย่างมากในวิถีที่ไม่รุนแรงในโรงเรียนคานธีและโดยเฉพาะ ลานซา เดล วาสโต ผู้ที่สร้างชุมชนแห่งอาร์คและเป็นผู้ที่ไปเยี่ยมคานธีและได้รับนามว่าชานติดาสจากท่านคานธี นั่นเป็นชื่อที่ผมตั้งให้ลูกคนเล็กผม คนที่อยู่ในภาพนั้น ดังนั้นเขาเป็นคนที่สำคัญมากเพราะเขาคือผู้ที่อดอาหารอย่างมากเพื่อชำระล้างตนเอง ชีวิตของเขาค่อนข้างสมถะเกือบจะเป็นพระ เราพูดแบบนั้นเพราะว่าเขาเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ค่อนข้างสันโดษ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเมตตามาก เคารพความเป็นมนุษย์มาก แล้วหลังจากนั้นผมก็เริ่มเดินทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้น ผมเกือบจะบวชในคณะเบเนดิค ชีวิตนักบวชดึงดูดใจผมมาก มีการนั่งสมาธิ, สวดภาวนา ผมคิดว่าศาสนาสามารถนำทางผมสู่การรู้แจ้งด้านจิตวิญญาณ แล้วหลังจากนั้นผมก็พบการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล ผมได้รับการประทับจิตเข้าสู่วิถีทรานเซนเดนทัลโดยผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ จากกองทัพ และผู้หญิงคนนั้นในที่สุดคือภรรยาของผม มันเป็นช่วงแรกๆ ของการปฏิบัติสมาธิแบบทรานเซนเดนทัลและมันเป็นเทคนิคซึ่งให้ประโยชน์แก่ผมมากมายในระดับของการทำสมาธิ

เมื่อเข้าสู่วิถีการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล เฮนรี่ได้ใช้ชีวิตที่มีเมตตามากขึ้น, ทานอาหารมังสวิรัติซึ่งอยู่ในแนวทางของ “อหิงสา” หรือไม่รุนแรง

ต : ผมเป็นมังสวิรัติตั้งแต่ผมเริ่มทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล นั่นคือตั้งแต่อายุ ผมอายุเท่าไร? ประมาณ ๒๕ ปี ตอนที่ผมเริ่มและมันก็เป็นคำถามของปรัชญาชีวิตของผม...เพราะผมเติบโตมาในบริททานี่ ผู้คนกินเนื้อสัตว์กันมาก พวกเขากินเนื้อสัตว์ที่ปรุงแต่งกันมาก ดังนั้นปัญหาคือผมมีปัญหาตับอ่อนแอ ดังนั้นผมจึงป่วยอยู่เสมอ แม้ตัวผมเองก็ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ผมอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ของผมขาดแคลนเรื่องอาหารและพวกเราต้องกินเนื้อสัตว์ นอกจากนั้นผมเห็นสิ่งที่พวกเราได้กระทำต่อโลกและสิ่งแวดล้อมในบริททานี่...เกี่ยวกับการทำฟาร์มวัวและฟาร์มหมู เราสร้างมลพิษให้แก่น้ำ เราสร้างมลพิษ...ตอนนี้เราเห็นเห็ดราสีเขียวซึ่งพัฒนาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อไนเตรท, ฯลฯ ในบริททานี่เรามีน้ำที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส(ถ : ใช่ฉันจำได้...) สวยงามที่สุด, ร่ำรวยที่สุด, ยากจนที่สุด, และตอนนี้...มันสกปรกที่สุด มันยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงสำหรับชาวชามานที่พวกเราทำลายโลกนี้ สำหรับเราแล้วมันเกือบเหมือนอาชญากรรม มันเหมือนอาชญากรรมจริงๆ ดังนั้น ผมพูดได้เลยว่าผมเป็นมังสวิรัติโดยธรรมชาติในทันทีที่เป็นไปได้และจากนั้นโดยบังเอิญผมพบภรรยาคนแรกของผมที่เป็นมังสวิรัติ ดังนั้นมันเป็นไปเองและมันก็จริงที่ในวงจรของการทำสมาธิ คนเรามักจะพบกับคนที่ส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ



27061534:jpeg_preview_medium.jpg?2010121



หลังจากที่เขาแต่งงานและมีลูก ในไม่ช้าเฮนรี่ก็ลืมเรื่องที่เขาปรารถนาแต่เดิมในการปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ ๑๘ ปีที่เขาใช้ชีวิตธรรมดาๆ ทำงานอยู่ที่ธนาคารในเมืองนองต์ เมื่อสิ้นสุด ๑๘ ปีนั้นเฮนรี่ก็มีน้ำหนักมากถึง ๑๒๐ กิโลกรัมเป็นผลลัพธ์จากการที่เขาพึ่งพาอาหารเพื่อลดความเครียดในการทำงานของเขา เมื่อลูกๆ ของเขาเติบโตขึ้น เฮนรี่ก็ตัดสินใจลดน้ำหนักเพื่อฟื้นเป้าหมายในชีวิตด้านจิตวิญญาณ เหมือนสุภาษิตที่ว่า “เมื่อนักเรียนพร้อมครูก็มา” เมื่อเฮนรี่มีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงชีวิต “ครู” ของเขาก็ปรากฏขึ้นและนำเขาเข้าสู่หนทางของการอยู่ด้วยพลังปราณที่อาศัยพลังความรักของจักรวาลในการค้ำจุนร่างกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์

ต : เมื่อลูกของผมโตขึ้น พวกเขาเรียนจบ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมเปลี่ยนทิศทางโดยสิ้นเชิงกลับคืนสู่แก่นแท้ พูดอีกอย่างคือหนทางด้านจิตวิญญาณ สุดท้ายผมพบกับคนคนหนึ่งที่กลายมาเป็นน้องเขยของผมตั้งแต่ผมแต่งงานครั้งที่สอง เขาบอกผมว่า “นี่ผมพบหนังสือเล่มหนึ่ง ในเมื่อคุณก็ฝึกอดอาหาร หนังสือนี้จะทำให้คุณสนใจแน่นอน” มันเป็นหนังสือของจัสมูฮีนที่ชื่อว่า “อยู่ด้วยแสง” ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งคืนและหนึ่งวันต่อมาผมก็ตัดสินใจฝึกการอยู่ด้วยพลังปราณ ผมบอกกับร่างกายของผมว่า “ฉันคิดว่าการที่ฉันได้ฝึกอดอาหารมาก่อนนี้เป็นการเตรียมตัวฉันแน่นอน” หนังสือเล่นนี้เหมือนกับการเผยความจริงให้แก่ผม

เฮนรี่ มอนฟอร์ตเป็นชาวชามานผู้กินอากาศและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจในวิถีชีวิตแบบไม่ต้องกินอาหาร ปัจจุบันนี้เขาอยู่ในเมืองนองต์ที่สวยงามทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เขายังใช้ความสามารถในการเป็นชาวชามานช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีวิถีชีวิตที่เติมเต็มขึ้น หากมองดูปรัชญาของชามาน เฮนรี่ได้อธิบายแนวคิดของเอกภาพในลัทธิของชามาน



Henri-Monfort-2.JPG



ต : ลัทธิของชามานไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ศาสนา ชาวชามานมีอยู่ก่อนตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์คนที่วาดภาพในถ้ำลาสโกก็เป็นชาวชามาน เรามีอยู่ก่อนศาสนาและปรัชญา ทั้งคู่นั้นรับสิ่งต่างๆ ไปจากลัทธิชามาน ดังนั้น มีชาวชามานอยู่ทั่วโลกทุกทวีป แต่ละที่ก็มีประเพณีของตัวเอง เราพูดได้อย่างนั้น แต่เวลาเดียวกันเราทั้งหมดก็เชื่อมต่อกันด้วยสิ่งหนึ่งที่เรามีอยู่แล้ว ทุกอย่างที่มีอยู่นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา ดังนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ มันยังคือ สัตว์, พืช, ก้อนหิน, น้ำ, แผ่นดิน, อากาศ, ไฟ, โลก, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ฯลฯ สำหรับเราแล้วทุกสิ่งคือหนทางที่ให้เราไปถึงสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่และสามารถติดต่อกับเอกภาพพื้นฐานนั้น ถ้าใช้ภาพเราพูดได้อย่างนั้นว่าที่จริง ชาวชามานสร้างวงเวียนชั้นนอกของเอกภาพนี้ในหมู่พวกเรา ปกติแล้วไม่มีชาวชามานคนใดที่จะพูดว่าเขาเหนือกว่าคนอื่น เราเคารพประเพณีทั้งหมด แม้ว่าไม่ใช่ของเราเอง

ตั้งแต่วัยเด็ก เฮนรี่ก็ได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและโลกรอบตัวเขาในฐานะที่เขาเป็นชาวชามานแต่กำเนิด

ต : เมื่อคุณเป็นชาวชามาน คุณเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ คุณสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นไม่เห็น คุณได้ยินสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน และตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมสามารถเห็นพลังปราณในชั้นบรรยากาศอนุภาคเล็กๆ สีขาวที่เคลื่อนที่รวดเร็วมากและเราก็ใช้พลังปราณนั้นในการบำบัดรักษาซึ่งเราเรียกว่าพลังแม่เหล็ก มันเป็นความสามารถที่ยินยอมให้พลังปราณไหลผ่านคนนั้น เพื่อบำบัดรักษาผู้คน บำบัดรักษาสัตว์, พืช, โลก ฯลฯ แต่มันไม่เคยปรากฏแก่ผมว่าเราสามารถใช้มันมาหล่อเลี้ยงตัวเองโดยตรง ดังนั้น สำหรับผมนั่นเป็นการเผยที่แท้จริง ผมจึงเริ่มต้นโดยไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอยู่อย่างนั้นจริงๆ สำหรับผมมันคือการตัดสินใจวันต่อวัน ทุกวันผมพูดกับตัวเองว่า “ถ้ามันได้ผล ฉันก็ทำต่อ” ผมไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลับไปอยู่ในสถานะที่ผมพอใจน้อยกว่าทุกวันนี้

หลายปีให้หลัง หลังจากที่ลูกๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เฮนรี่ตัดสินใจกลับสู่เส้นทางจิตวิญญาณที่เขากระหายมาตั้งแต่เขาอายุ ๑๘ ปี แล้วเฮนรี่ก็บังเอิญค้นพบวิถีชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร เมื่อเขาได้รับหนังสือของจัสมูฮีน “อยู่ด้วยแสง” และอ่านจบภายในคืนเดียว เฮนรี่ตัดสินใจในวันต่อมาลงมือเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เขารู้สึกว่าทำให้เขาเข้าสู่จักรวาลทั้งหมด



pic.php?oid=AQCh2ZVsS4nBxEDFuDwqOuPRKlr-




ต : และจากเวลานั้นมา เมื่อเราอยู่ในความสุขตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี้ มันมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเป็นจิตสำนึกที่เข้ามาในชีวิต จิตสำนึกของความเป็นเอกภาพ พูดอีกอย่างคือผมอยู่โดยเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด และด้วยเหตุผลนี้ เราสามารถเลี้ยงตัวเราเองด้วยสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด ทั้งหมดมันหล่อเลี้ยงผมในเวลานี้ คุณหล่อเลี้ยงผม ผมหล่อเลี้ยงคุณ แต่คุณก็หล่อเลี้ยงตัวคุณเอง คุณหล่อเลี้ยงผมด้วย พื้นที่นี้ก็หล่อเลี้ยงผม แสงหล่อเลี้ยงผม ความรู้สึกรอบตัวผมหล่อเลี้ยงผม ทั้งหมดทุกสิ่งหล่อเลี้ยงผม ผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยและนั่นคือสิ่งที่พิเศษ

การใช้หนังสือของจัสมูฮีนเป็นคู่มือนำทางเฮนรี่ก็ผ่านกระบวนการ ๒๑ วัน การเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไร ในการมาเป็นผู้ไม่กินอาหาร?

ต : มันเป็นเวลา ๗ ปีและสองเดือนที่ผมทดลองในการอยู่ด้วยพลังปราณ “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ” คือการเลี้ยงตัวเองโดยพลังปราณ อะไรคือปราณ? มันคือสิ่งที่เราเรียกว่าพลังแห่งชีวิต... คนเราสามารถหยุดดื่มได้ถ้าคนนั้นต้องการ คนเราสามารถเลี้ยงตัวเองด้วยพลังปราณอย่างเดียว

แม้ว่าตัวเขาเองตัดสินใจชั่วข้ามคืนในการไม่กินอาหาร เฮนรี่ก็มีประสบการณ์ของการอดอาหารมาสองปีแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้น

ต : เราไม่สามารถเริ่มต้นอยู่โดยพลังปราณได้ในชั่วข้ามคืน มันจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวไว้ก่อน การเตรียมตัวนั้นอาจจะนาน เพราะว่าจำเป็นต้องมีความสมดุลที่ดีระหว่างร่างกาย, อารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณซึ่งเป็นระดับทั้ง ๔ ของชีวิต



0.jpg



นอกจากนั้นความเข้าใจอย่างระเอียดระหว่างการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณก็จำเป็นต้องมีก่อนที่จะพยายามอยู่โดยไม่กินอาหาร

ต : สิ่งแรกที่ต้องทำคือการแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยปราณ สำหรับผมคำว่า “หล่อเลี้ยงด้วยปราณ” มีคำว่า “อาหาร” ผมไม่คิดว่าคนเราจะสามารถอยู่โดยไม่เลี้ยงตนเอง นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน แต่ละคนหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีต่างๆ กันแบบเดียวกัน เวลาที่คุณกินเนื้อสัตว์แล้วคุณตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติ เวลาที่คุณเป็นมังสวิรัติ คุณสามารถกลายเป็นวีแก้น ซึ่งหมายถึงกินเฉพาะที่เป็นพืชผัก คุณสามารถกลายเป็นกินอาหารแบบรอว์(raw food diet) หรือแบบอินสติงโต้(instincto) คุณสามารถตัดสินใจได้ในห้วงเวลาหนึ่ง การเริ่มต้นอยู่ด้วยพลังปราณ มันอาจเป็นขั้นตอนที่ดี ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แต่มันไม่จำเป็น เราสามารถมีอาหารของเราโดยไม่ต้องเลือก หรือเปลี่ยนชนิดอาหารเป็นพิเศษ ดังนั้นอะไรคือความแตกต่างระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ? คือว่าการอดอาหารมีเวลาที่จำกัด มันไม่สามารถทำตลอดไป การอดอาหาร คุณจะเริ่มในวันที่กำหนดและสิ้นสุดในวันที่กำหนด ระยะเวลาที่นานที่สุดสำหรับการอดอาหารคือ ๔ เดือน คุณจะเห็นคนที่ตอนท้ายของ ๔ เดือน มันเกิดขึ้นกับหลายคน เช่น คานธีหรือคนที่ประท้วงด้วยการอดอาหารเป็นเวลานานๆ พวกเขาจบลงด้วยนอนลงกับพื้นให้น้ำเกลือ หมดแรง และถ้าคุณทำต่อไป น้ำหนักคุณลดลงถึงจุดที่น้ำหนักของคุณไม่สามารถคืนกลับมาได้ หมายความว่าน้ำหนักคุณจะลดลงไปเรื่อยๆ  แม้ว่าคุณเริ่มกินอีกและคุณจะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งตาย ยกตัวอย่างคนที่ไม่อยากอาหารจะผ่านกระบวนการทำลายตัวเองนี้ การอดอาหารคือเมื่อคนคนนั้นได้ใช้ของที่มีสำรองไว้ แต่เมื่อไม่มีอะไรเหลือคนนั้นก็ตาย มันเป็นทัศนะแบบเป็นคู่ หมายถึง “มีฉัน มีจักรวาล ฉันใช้ส่วนสำรองของฉันและฉันตัดขาดตัวเองจากจักรวาล”  แต่การหล่อเลี้ยงด้วยปราณ เราจะได้รับพลังงานจากจักรวาล ดังนั้นมันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันจะรวมตัวฉันเองกับจักรวาลและจักรวาลจะหล่อเลี้ยงฉันโดยตรง มันสำคัญมากทีเดียว คุณจะเห็นภายหลังว่านี่คือการตัดสินมุมมองของการเริ่มต้นวิธีหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ

การอดอาหารอาจเป็นขั้นตอนในการมาเป็นผู้กินอากาศ ความเห็นของเฮนรี่ มันมีความสำคัญอย่างมากในระดับของเซล

ต : ดังนั้นเราจะมั่นใจในวิธีการอดอาหาร คนที่ตัดสินใจอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะใช้มันมาเป็นประโยชน์ในการชำระล้างตัวเอง เราจะอดอาหารแต่ไม่นานเกินไปอาจจะหนึ่งวัน หรือสองวัน สามวัน หนึ่งสัปดาห์ ไม่ต้องหลายเดือน แล้วหลังจากนั้นร่างกายที่บริสุทธิ์แล้ว การชำระล้างร่างกาย ซึ่งเราเรียกว่าการล้างพิษจะเข้ามาแทนที่ ต้องขอบคุณกระบวนการอดอาหาร ดังนั้นถ้าตอนนี้กระบวนการนี้ทำให้คุณสนใจ ผมก็ขอเชิญคุณอดอาหารเป็นระยะๆ เพราะการอดอาหารน่าสนใจมาก เพื่อดูว่าตัวคุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อไม่มีอาหาร ดังนั้นมันจำเป็นที่ในระดับของร่างกาย พูดได้ว่าการอดอาหารจะเผยความจำของเซลล์ อะไรคือความจำของเซลล์? ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ ร่องรอยเล็กๆ เหล่านี้คือรอยแตกที่ยินยอมให้โรคทั้งหลายแพร่พันธุ์กระจายออกไป หรือปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณจะทำให้เราลบรอยทรงจำเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของกระบวนการ



thumb_onlyphotosY_aa_listffssdf563413442



เพื่อมีประสบการณ์ความสำเร็จในการอยู่โดยไม่กินอาหาร เฮนรี่ได้อธิบายถึงขั้นตอนเฉพาะที่ต้องปฏิบัติตาม

ต : ในระดับของร่างกาย เราต้องมีสุขภาพที่ดี เราควรเตรียมโดยอาหารที่กิน, โดยการอดอาหารและโดยการล้างพิษ การชำระล้างร่างกาย เราต้องตระหนักว่า เมื่อเรากินวันละ ๓ หรือ ๔ มื้อ เราจะไม่สามารถไปถึงขั้นตอนการล้างพิษ เราสะสมพิษต่างๆ ไว้ในร่างกาย ในไขมัน, ในข้อต่อและนั่นก็คือสาเหตุของโรคภัย ดังนั้นการอดอาหารจึงจำเป็นและการล้างพิษอย่างถูกต้องจะได้ผลหลังจากที่อดอาหาร ๓ เดือน ดังนั้นถ้าเราทำเป็นระยะๆ ร่างกายของเราจะสะอาด แล้วในระดับอารมณ์ เราจะเป็นอิสระจากความสัมพันธ์เชิงบังคับที่เรามีกับอาหารและการชดเชยทางอารมณ์ที่เราพบในนั้น ดังนั้นมันจำเป็นต้องตรวจดูระดับเหล่านั้นก่อนจะเริ่มอยู่ด้วยพลังปราณ



default.jpg



เฮนรี่ มอนฟอร์ต เป็นชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณในการดำรงชีวิต พลังปราณคืออะไร? แฮรี่ได้อธิบายถึงรูปแบบต่างๆ ของมันในระหว่างการบรรยายเรื่อง “อาหารพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ” 

ต : ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมก็เห็นอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้ของแสง เมื่อคุณอยู่ในที่ที่บริสุทธิ์มาก อาจจะเป็นในป่าหรือในภูเขา คุณจะเห็นอนุภาคเหล่านี้ ซึ่งมีความเร็วสูงนั่นคือปราณ นั่นคือเหตุที่เราเรียกมันว่าการหายใจ เพราะมันคือปราณของอากาศ ความจริงแล้วเราต้องพูดว่ามีระดับต่างๆ ของปราณถ้าอยู่ในอากาศ มันเรียกว่า “ปราณ” ถ้าในระดับของเหลวมันเรียกว่า “โซมา” ถ้าผมวางมือไว้ตรงนี้ (ทำท่าวางมือสองข้างช้อนไว้ใต้คาง)และเงยหน้าไปข้างหลัง น้ำลายของผมกลายเป็นของเหลวที่เรียกว่า “โซมา” ซึ่งลงไปอยู่ในอวัยวะย่อยอาหาร มันเป็นของเหลวที่หวานเหมือนน้ำผึ้งและจะนำแสงสว่างไปยังอวัยวะต่างๆ บางคนอาจบอกว่านั่นคือน้ำลายที่บริสุทธิ์ขึ้น แล้วในระดับของของแข็งมันเรียกว่า “วิภูติ” คุณเคยได้ยินคำว่า “วิภูติ” หรือเปล่า? มีอาจารย์ด้านจิตวิญญาณหลายๆ ท่านรวมทั้งท่านสัตยา ไส บาบา ที่นำปราณแบบแข็งหรือวิภูติออกมาจากอากาศ พวกเขานำมันมาพิสูจน์ด้วยมือของพวกเขา มันออกมาอย่างนั้น มันเหมือนขี้เถ้า บางคนอาจบอกว่านั่นคือปราณในระดับของแข็ง แล้วพวกเขายังสามารถสร้างวัตถุเอาเพชรพลอยออกมา อะไรแบบนั้น ดังนั้นปราณไม่เพียงแต่อยู่ในอากาศ มันมีอยู่ในทุกระดับของการสร้าง มันสำคัญมากที่ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย เพราะมันจะช่วยให้เรารู้ว่าเราจะไปถึงระดับหล่อเลี้ยงด้วยตัวเองอย่างไร

ตามความเห็นของเฮนรี่ ขั้นตอนแรกในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือการเตรียมตัว ซึ่งอาจใช้เวลาหนึ่งปีขึ้นอยู่กับแต่ละคน เขาแนะนำว่าก่อนเริ่มกระบวนการของการอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังจักรวาลจะต้องมีหลักการที่ชัดเจน

ต : ข้อแรกคือเราจะกำหนดเรื่องน้ำหนักในตอนแรก เรากำหนดว่าน้ำหนักแค่ไหนจะดีที่สุดสำหรับร่างกายของเรา และเราก็ไม่ควรให้ต่ำกว่านั้น แต่ในระหว่างที่อดอาหาร เรามีน้ำหนักลดไปเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทัศนะคติ เราจะบอกเซลล์ของเรา เราบอกว่าเรากำลังทำอาหารในระดับของเซลล์ซึ่งเราจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้อสองคือเราจะมีพลังงานอย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อเราได้เชื่อมต่อเข้ากับพลังงานของจักรวาล เราอาจบอกอย่างนั้น มันไม่มีความเหนื่อยอ่อน ไม่มีการสึกหรอ ดังนั้นยิ่งเรากระตือรือร้น เราก็ยิ่งจะมีพลังงานมากขึ้น ข้อที่สามคือเราจะแบ่งเวลานอนเป็นสองช่วง ถ้าเรานอน ๘ ชั่วโมง เราจะไม่นอนนานกว่า ๔ ชั่วโมง ตอนนี้ผมนอนสองชั่วโมง แต่เวลาที่เรานอนหลับสองชั่วโมง เราตื่นขึ้นเหมือนกับว่าเรานอน ๗-๘ ชั่วโมง ดังนั้นเหลือเวลามากมายให้ทำอย่างอื่น

เมื่อการเตรียมตัวเรียบร้อย กระบวนการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน ขั้นแรกของกระบวนการเปลี่ยนแปลงคือการอดอาหาร ซึ่งจำเป็นต้องชำระล้างร่างกายเนื้อในระดับของเซลล์ การอดอาหารใช้เวลาอย่างมากหนึ่งสัปดาห์ ผลของการอดอาหารตลอดสัปดาห์ ร่างกายจะเริ่มพบกับการล้างพิษ หลังจากชำระล้างแล้ว ร่างกายก็จะเริ่มลบเซลล์ความจำ



default.jpg



ต : ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ เราจะลบความทรงจำในเซลล์เหมือนกับเวลาที่เราล้างแผ่นดิสก์ ถ้าแผ่นดิสก์เป็นรอยมันจะเล่นซ้ำอยู่ที่เดิม ดังนั้นถ้าคุณค่อยๆ ลบรอยตำหนิพวกนี้ออก คุณก็จะราบรื่น ซึ่งคุณจะไม่ต้องพบกับเรื่องเดิมๆ อีก ความทรงจำในเซลล์มันเข้าลึกมาก มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “ความจำแบบครอบครัว” ซึ่งหมายถึงว่ามีผู้คนที่อยู่ในวัยเดียวกันจะถ่ายทอดโรคภัยที่พ่อแม่ของพวกเขาหรือปู่ย่าตายายเคยมีมาก่อน ดังนั้นเราจะขจัดสิ่งเหล่านั้นออก แล้วกระทั่งความจำที่ลึกมากขึ้น ซึ่งเป็นความจำที่เชื่อมโยงกับมนุษยชาติและพวกที่อยู่ตรงนี้ (ทำท่าชี้ที่บริเวณก้านสมอง) ในสมองของเรา พวกนี้คือความจำที่มาจากช่วงเวลาที่เมื่อผู้คนรู้สึกหิว มันคือความจำตามประวัติศาสตร์เวลาที่เกิดภัยแล้งและอาหารขาดแคลน, แล้วความจำเหล่านี้ทำปฏิกิริยาขึ้นมาใหม่ เพราะเวลาที่มีผู้คนกำลังตายด้วยความหิวโหย ดังนั้นการอดอาหารจะทำให้เราปรับตัวเองทางร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ที่กำลังเกิดขึ้น

ในระดับของจิตใจ อะไรที่เราคาดว่าจะพบในช่วงสัปดาห์นี้ของการอดอาหาร?

ต : ถึงจุดหนึ่ง คุณจะพบกับความจริงที่ว่าไม่มีอาหารอีกแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น? ความกลัวจะเกิดขึ้นมั๊ย? จะมีความกังวลหรือไม่? “ฉันจะถูกบังคับให้เป็นอย่างที่จะเกิดขึ้นหรือ? ฉันจะต้องหาร้านค้าเพื่อซื้ออาหารหรือไม่?” แล้วเกิดอะไรขึ้น? ในระดับของจิตใจ เราจำเป็นต้องขึ้นไปเหนือระดับความกลัวและข้อจำกัด

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราต้องมีเพื่อความสำเร็จในการจะอยู่โดยไม่กินอาหารคือความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอนว่ามันเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ที่จะอยู่รอดได้โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหารวัตถุ เราสามารถไปถึงสภาวะนี้โดยกระบวนการอดอาหาร ซึ่งก็จะช่วยเราสร้างความเชื่อมโยงในระดับจิตวิญญาณ ช่วงสัปดาห์แรกของการอดอาหารและการล้างพิษร่างกายจะพบกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในระดับกายภาพ

ต : มันไม่ค่อยน่าพึงพอใจนักในสัปดาห์แรกโดยเฉพาะ ๓ วันแรก คุณจะมีลิ้นขาว คุณจะมีลมหายใจเหมือนสุนัข-เหม็นมาก แต่ว่ามันจำเป็นที่ต้องผ่านพ้นการชำระล้างร่างกายนี้ก่อน



154x114_iLyROoafJK_K_2.jpg



เมื่อร่างกายผ่านการล้างพิษในสัปดาห์แรกแล้วก็ต้องชำระล้างลึกมากขึ้น นั่นจะเกิดในระดับของเซลล์ กระบวนการถอนรากเหง้าความทรงจำในเซลล์จะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่สองของการเปลี่ยนแปลง เมื่อร่างกายได้ล้างและ “ตั้งต้นใหม่” ร่างกายเข้าสู่สภาวะใหม่ของกระบวนการไม่กินอาหาร

ต : เราจะหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณเข้ามาแทนที่ในสัปดาห์ที่สาม พูดอีกอย่างคือเราจะเริ่มต้นอยู่ในระดับที่เปลี่ยนไป ดังนั้นมันเป็นอย่างไร? ตอนแรกเราจะทำงานที่มองเห็นได้ เมื่อถึงเวลาอาหารร่างกายของคุณคุ้นเคยกับการเริ่มตามระเบียบในเวลานั้น คุณจะหิวหรือพูดอีกอย่าง เราเรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งหมายถึงท้องของคุณเริ่มร้อง คุณมีความรู้สึกท้องว่างและรู้สึกหิว เวลานี้มีผู้คนที่ไม่รู้สึกหิวเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขากินมากจนพวกเขาไม่รู้สึก แต่ถ้าคุณอดอาหารคุณรู้ว่ามันคืออะไร มันคือความรู้สึกท้องว่างหรือตาลาย ซึ่งทำให้เราต้องการกินในทันที ดังนั้นระบบประสาทอัตโนมัติรู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเราใช้เวลานี้ที่เป็นมื้ออาหาร เราจะพิจารณาอย่างมีสติในตอนเริ่มต้นโดยทำให้แสงเข้าไปอย่างลึกล้ำเข้าถึงเซลล์ทั้งหมดของเรา เมื่อเราทำแบบนี้ ๓ หรือ ๔ วัน ปกติแล้วความรู้สึกของการรับรู้มันจะกระจายไป, ขยายออกไปและกลายเป็นละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจะยกตัวอย่างว่าการทำให้ความรู้สึกละเอียดบริสุทธิ์คืออะไร เมื่อผมทำขั้นตอนนี้มันเป็นเดือนพฤศจิกายน ผมออกไปข้างนอกในช่วงสัปดาห์แรกและขึ้นรถราง ผมอยู่ตรงท้ายรถราง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับแซนวิชที่ต้นขบวนรถ คุณคงมองเห็นความยาวของรางรถ ผมสามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในแซนวิชของเธอ ไม่เพียงรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ผมได้กลิ่นและรสชาติ (เพราะกลิ่นและรสชาติมันเชื่อมโยงกัน) เมื่อคุณได้กลิ่นคุณก็รู้รสชาติ ดังนั้นผมได้รับกลิ่นและรสชาติของสิ่งที่เธอกำลังกิน เมื่อผมอยู่ในปารีสเมื่อเร็วๆ นี้ มันเป็นวันแม่ มีเด็กๆ ทำขนมเค้กขนาดยักษ์สำหรับแม่ของพวกเขาด้วยครีม, สตรอเบอร์รี่และอะไรเหล่านั้น แล้วต่อมาพวกเขาก็กินขนมเค้กนั้นและผมก็ได้รับรสชาติของสิ่งที่พวกเขากำลังกินทั้งครีมและรสสตรอเบอร์รี่ ฯลฯ นี่หมายถึงว่าเราป้อนตัวเองด้วยวิธีที่แตกต่างไป ถ้าคุณมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ตกดินในภูมิทัศน์ที่สวยงาม คุณอยู่ตรงนั้น คุณรู้สึกดี คุณมองดูมันและคุณก็อิ่ม คุณไม่หิวในเวลานั้น นั่นคือการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ มันหมายความว่าคุณจะหล่อเลี้ยงตัวเองในแบบที่เปลี่ยนไปและความรู้สึกในการรับรู้ของคุณจะได้รับพลังที่ละเอียดอ่อนที่สุดของชีวิต



Henri_Monfort2.png



เฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณเท่านั้น เราได้เรียนรู้จากเฮนรี่ว่าขั้นตอนการเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน สัปดาห์แรกร่างกายจะต้องพบกับการล้างพิษโดยการอดอาหาร แล้วสัปดาห์ที่สองร่างกายจะทำการลบเซลล์ความทรงจำของเชื้อโรคและความเครียดเพื่อให้ร่างกายบำบัดด้วยตัวเอง แล้วสุดท้ายในสัปดาห์ที่สามเป็นการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ในช่วงนี้ร่างกายปรับการรับรู้ของมันให้ละเอียดขึ้นและค่อยๆ กลับมาสู่สภาวะที่บริสุทธิ์ดั้งเดิม ซึ่งมันมความพร้อมและสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมทุกชนิดได้

ต : เวลาที่ผมทำสมาธิในป่า ผมวางมือไว้บนพื้นดิน ผมได้ยินเสียงเมล็ดพืชงอก ได้ยินเสียงแมลงเดิน ได้ยินเสียงของใบไม้ผลิ ผมออกไปข้างนอก มันเกิดขึ้นในปีแรกเมื่อผมมาถึงในเดือนมกราคมมันมีอุณหภูมิติดลบสิบองศา ผมออกไปข้างนอกมันมีอากาศสองแบบระหว่างร้อนและหนาว ซึ่งมันยากจะทนได้ ในตอนแรกมันลำบากมาก มีวันหนึ่งผมพูดว่า “ไม่ มันก็คู่กัน” ปกติแล้วอากาศหนาวไม่มีผลต่อผม ดังนั้นผมออกไปข้างนอก มันติดลบสิบองศา แล้วทันทีมันเหมือนกับว่าความหนาวกลายเป็นไม่มีอะไร ผมไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว ปีแรกนั้นผมรู้สึกถึงความหนาว พอปีที่สองเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ร่างกายของผมหนักเพิ่มสามกิโลในช่วงกลางคืน และเมื่อผมไปที่อิตาลีพบภรรยาและลูกชายของผม มันร้อน ๔๐ องศาเซลเซียส น้ำหนักผมลดสามกิโลในช่วงกลางคืน ตอนแรกผมบอกตัวเองว่ามันคือน้ำที่ผมดื่ม มันจะต้องเป็นเพราะการกักเก็บน้ำ แต่เมื่อสองปีที่แล้วผมก็เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ ร่างกายหดตัวลงหรือผ่อนคลาย น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้น ร่างกายแน่นขึ้น หรือในทางตรงกันข้ามมันผ่อนคลาย มันไม่เกี่ยวกับน้ำอะไรเลย น่าทึ่งมาก ร่างกายมีความสามารถที่จะปรับตัวเองเข้ากับทุกๆ สิ่ง ดังนั้นเราจะหล่อเลี้ยงตัวเองโดยการรับรู้ความรู้สึก ซึ่งจะเกิดขึ้นในมิติหนึ่งซึ่งเราไม่สามารถจินตนาการได้



default.jpg



เมื่อร่างกายได้รับเอกราชกลับคืนมาจากอาหารวัตถุ การอยู่ด้วยพลังปราณจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ

ต : ทีนี้เมื่อเราไปถึงสภาวะนั้น ความรู้สึกของการรับรู้มันจะเหลือเชื่อและสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากนั้นคืออะไร? คุณก็จะอยู่ในแสงออร่าของคุณ แล้วอะไรคือแสงออร่า? มันก็คือสนามพลังงานของคุณ สนามพลังงานที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณ ดังนั้น ก่อนอื่นแสงออร่าจะมีขนาดที่น่าพิศวง คุณสามารถปรับมันให้ไกลเท่าที่คุณต้องการ ขนาดเท่ากับห้อง ขนาดเท่ากับบ้าน ขนาดเท่ากับสถานที่ ฯลฯ และหลังจากนั้น คุณจะเพ่งอยู่ที่ปราณซึ่งในแสงออร่า แล้วปราณนั้นก็จะมีความหนาแน่นมากขึ้น จนคุณจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากทุกรูขุมขนของผิวหนังคุณวันละ ๒๔ ชั่วโมง แล้วคุณจะไม่ต้องทำอะไรเลย คุณได้รับอาหารอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณไปถึงสภาวะนั้น คุณพูดได้เลยว่าคุณอยู่ได้ด้วยพลังปราณ เพราะคุณไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องอะไรแล้ว เซลล์ต่างๆ จะรับเอาสิ่งที่ต้องการจากปราณนั้น

ตามทัศนะของเฮนรี่ เมื่อเราไปถึงสภาวะไม่ต้องกินอาหาร สามารถอยู่ได้ด้วยพลังจักรวาลอย่างเดียว จิตสำนึกและการรับรู้ความรู้สึกจะขยายออกไปเหนือการแบ่งแยก “ตัวเอง” และ “ผู้อื่น” 

ต : เมื่อเราอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะไปถึงระดับที่เราเรียกว่าความปิติ คำว่าปราณมาจากประเพณีของฮินดู ชาวจีนเรียกว่าชี่, ชี่กง, ไท่ชี่ฉวน, ชาวโพลีนีเซียเรียกมันว่า มานาส ซึ่งรู้จักกันมาแต่ครั้งโบราณในประเพณีต่างๆ  ความปิติไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีด้านตรงกันข้าม หมายถึงเราจะมีความรู้สึกเต็มและเต็มอยู่เสมอ ไม่มีขณะใดที่เราจะรู้สึกว่าว่างเปล่า ความรู้สึกที่เต็มและเต็มไปด้วยความรัก ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว อีกทั้งความโดดเดี่ยวนั้นก็สลายไป ถ้าจักรวาลทั้งหมดเป็นภาพพิศวงขนาดมหึมา เรารู้สึกเหมือนเป็นชิ้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่ง และมีอยู่ในที่ของมัน ไม่มาก ไม่น้อย แต่อยู่ตรงที่ของมันและในเวลาของมัน ในเวลาที่เหมาะสมนั้น แล้วจากจุดนั้นจะมีความรู้สึกของความเต็มอิ่มและปิติสุข ที่มาในชีวิต ที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเศร้าอีกต่อไป ไม่ถูกทอดทิ้ง...

นอกจากการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณด้วยพลังงานของจักรวาล การอยู่โดยไม่กินอาหารมีประโยชน์ทางกายภาพอย่างมากมายมหาศาล (ถ : ตอนนี้คุณไม่ป่วยอีกแล้ว?)

ต : นั่นแหละ เราไม่รู้จักความเจ็บป่วยอีกต่อไป เราจะไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเหนื่อยอ่อน ไม่รู้จักอิดโรย เราสามารถพูดได้หลายชั่วโมง เราทำงานได้นานหลายชั่วโมง สามารถทำสิ่งต่างๆ มากมาย (ถ : คุณรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น มีความต้านทานมากขึ้น?) ผมรู้สึกเป็นหนุ่ม(หัวเราะ) กระชุ่มกระชวยขึ้น และมีสัญญาณภายนอกของความกระปรี้กระเปร่า ผมของผมเป็นสีดำ ผิวหนังตึงขึ้น สายตาของผม ผมเคยใส่แว่น แต่ตอนนี้แทบจะไม่ต้องใส่แว่นเลย ผิวหนังของผม เนื่องจากตับก่อนนี้ไม่แข็งแรง ผิวหนังก็แห้งมาก ผมมีผิวแบบที่เรียกว่า “หนังงู” คือลายเหมือนกับเกล็ด เหมือนเป็นแผลและเป็นลมพิษอยู่เสมอ อะไรพวกนั้น นี่เป็นสัญญาณว่าตับทำงานไม่ปกติ แล้วมันก็หายไปโดยสิ้นเชิง และในอีกระดับหนึ่งผมปรับตัวได้ง่ายมาก เพราะว่าเมื่อก่อนผมมีอาการโรคปวดข้อ มันมาจากปู่ของผม มันเป็นกรรมพันธุ์ เราพูดได้ว่ามันมาจากยีน เมื่อผมอายุ ๓๕ ผมมักเป็นตะคริวหรือที่เรียกว่ารูมาติซึ่มหรือรูมาตอย(rheumatism) คือคุณไม่สามารถจับอะไรได้ ไม่มีกำลัง แล้วคุณก็ทำของหล่น มันเป็นอาการที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเริ่มเมื่อผมอายุ ๓๕ แล้วตอนนี้ผมไม่มีปัญหานั้นแล้ว ผมเคยมีปัญหาเรื่องปวดหลัง ปวดมาก ผมเป็นหมอนรองกระดูเลื่อน การแทรกซึมในข้อสันหลัง ฯลฯ ผมคิดว่าถ้าผมไม่มีประสบการณ์นี้ทั้งหมดนั้นก็คงต้องเป็นอยู่และยิ่งเลวร้ายลงไป มันเกี่ยวข้องกับพิษต่างๆ ที่สะสมไว้ในข้อ ดังนั้นเราจะเห็นผลของมันได้รวดเร็วในการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ปัญหาทั้งหลายนั้นหมดไปเลย



27061635:jpeg_preview_medium.jpg?2010121



ประโยชน์อันมหาศาลครอบคลุมถึงด้านอื่นๆ ของชีวิตประจำวัน (ถ : ในระดับของพลังงาน มันคงจะเกินบรรยาย?)

ต : ใช่ แน่นอน พลังงานนั้นมันเหมือนกับเราเชื่อมต่อกับพลังแห่งชีวิต พลังที่ไร้ขีดจำกัดไม่มีวันหมด เรายิ่งกระทำ พลังงานก็ยิ่งมีมากขึ้น เราสามารถเดินได้หลายชั่วโมง ขับรถได้หลายชั่วโมง ทำงานหลายชั่วโมง อ่านหนังสือได้เร็วขึ้นโดยมีความสามารถในการจดจ่อมากขึ้นและเรานอนหลับคืนละ ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้น เราสามารถใช้เวลานี้ทำงานทางอินเตอร์เนตหรืออ่านหนังสือ ผมอ่านหนังสือเยอะแยะมากมายโดยใช้เวลาที่เราได้จากการนอนน้อยลง เราจะสามารถใช้มันมาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากขึ้น (ถ : เมื่อเราคิดถึงเวลาทั้งหมดที่เราใช้ในการช๊อบปิ้ง ทำอาหาร ทำความสะอาด ซักล้าง มันเป็นสวรรค์จริงๆ?) เราลองนับเวลาที่เราใช้ในการทำเรื่องนั้นๆ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีด้านการเงิน เพราะว่าเราใช้เงินน้อยลงและเราก็อยู่อย่างเรียบง่ายขึ้น ใช้ไฟฟ้าน้อยลง เรามีชีวิตที่ง่ายขึ้น ความจำเป็นต่างๆ ก็ลดลง ผมไม่มีรถ ผมอยู่ใจกลางเมือง ผมมีรถจักรยาน ผมเดิน มันเป็นสวรรค์จริงๆ 

เฮนรี่ ในปัจจุบันนี้ทำงานต่อเนื่องจากหนังสือเล่มแรกของเขา “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งของด้านจิตวิญญาณ” และใช้เวลาของเขาในการสัมมนาและช่วยผู้อื่นให้มีวิถีชีวิตที่สุขภาพดีขึ้น ด้วยการขจัดการเป็นทาสของอาหารวัตถุ

ต : ผมจัดสัมมนาจนถึงเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายนของปีหน้า แล้วตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป ผมจะสร้างกลุ่ม ๓ กลุ่มประมาณ ๒๐ คน สำหรับคนที่อยากให้ผมดูแลเรื่องการอยู่ด้วยพลังปราณ (ถ : สาธารณชนมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการสัมมนาของคุณ?) มันเป็นเรื่องที่พิเศษมาก มันปรากฏชัดเจนว่ามีบางสิ่งที่อยู่ในอากาศระยะหนึ่ง เพราะมันมีความต้องการมากเกินคาด เราจัดสัมมนาในปารีสมีที่นั่ง ๑๒๐ ที่ แต่มีคนมา ๒๕๐ คน มันเหมือนกันเลยทุกที่ ในเมืองนองต์เราจัดสัมมนา ๔ ครั้ง คนเต็มห้อง เราได้รับการขอร้องให้จัดอีก มันแทบไม่น่าเชื่อความรู้สึกของผู้คน ความอยากรู้ในเรื่องนั้นและคำถามและความกระตือรือร้น

ขอบคุณ คุณเฮนรี่ สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและการเดินทางมาเป็นผู้กินอากาศ การช่วยเหลือของคุณ เพื่อให้ผู้อื่นได้ไปถึงสภาวะที่มีความผาสุกทั้งร่างกายและจิตใจนั้นน่ายกย่องมาก เราขอให้คุณพบความสำเร็จกับหนังสือเล่มใหม่ของคุณและส่งความปรารถนาดีให้แก่ความพยายามที่มีเมตตาของคุณ

ติดต่อคุณเฮนรี่ มอนฟอร์ต เชิญเข้าชมที่
nourriture.pranique.free.fr

ข้อมูลเพิ่มเติมของหนังสือของเฮนรี่ มอนฟอร์ต “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ” (Pranic Nourishment : Another Path to Spirituality) เชิญชมที่
nourriture.pranique.free.fr/livre.html

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่
www.SupremeMasterTV.com/BMD



				
11 กุมภาพันธ์ 2554 02:06 น.

คามิล่า คาสติสลอส ศิลปินและนักเต้นผู้กินอากาศ....

คีตากะ

0.jpgCamila Castillos A Breatharian Artist and Dancer


คามิล่า คาสติสลอส (Camila Castillos) เป็นศิลปินและนักเต้นผู้กินอากาศในรายการระหว่างอาจารย์กับศิษย์ทางโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ รายการนี้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของลัทธิกินอากาศหรือการอยู่โดยไม่กินอาหาร มันไม่ใช่การสอนที่สมบูรณ์ ดังนั้นเมื่อความปลอดภัย โปรดอย่าพยายามหยุดกินอาหารโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ

คามิล่า ยังเป็นยังเป็นภรรยาที่รักของอะกาฮิผู้กินอากาศ ก็เหมือนกับสามีของเธอ คามิล่าไม่กินอาหารมาเป็นเวลาประมาณสองปี 

ต : ในฐานะสามีภรรยา คุณร่วมแบ่งปันหลายสิ่ง แต่คุณก็เป็นตัวของตัวเอง และดังนั้นวิถีทางของเราเป็นหนึ่งเดียวกันที่เราแบ่งปันกัน แต่เราทั้งคู่ก็ยังรู้สึกในเรื่องที่แตกต่างกัน และอยู่ด้วยสิ่งที่แตกต่างกันอยู่ในชีวิตนี้ ที่เราแบ่งปันกัน คำว่ากระบวนการการกินอากาศที่เราแบ่งปันกันนี้ มันเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถพูดได้ เราไม่จำเป็นต้องนั่งลงและพูดว่า “โอเค คุณต้องการอย่างนี้ ฉันต้องการทำอย่างนี้” มันเป็นเรื่องที่เป็นไปโดยธรรมชาติ เราทั้งคู่เป็นมังสวิรัติมาเป็นเวลานานแล้วเราก็ไปตามธรรมชาติ เมื่อคุณร่วมชีวิตสามีภรรยา คุณเพียงแต่ไปข้างหน้า มันเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ และดังนั้นเราก็รับรู้ถึงกระบวนการกินอากาศ เราเลือกฝึกไปด้วยกัน ๒๑ วัน ในขั้นตอนของการกินอากาศ

ถ : พวเขามีชีวิตแต่งงานที่มีความสุขมาห้าปีทำงานด้วยกันในฐานะศิลปินและมีชีวิตคู่ในแบบผู้กินอากาศ

ต : เราใช้ชีวิตที่เรียบง่ายมาก ติดดินมาก มีความสุขมาก เราพบกันเพราะว่า เราต่างก็เป็นศิลปินและในเวลานั้น ฉันคิดว่าเราทั้งคู่รู้สึกเหมือนกับว่า เรากำลังหาบางสิ่งบางอย่าง และเมื่อเราพบสิ่งเหล่านั้น เรื่องราวก็ดำเนินไป และชีวิตของการอยู่ร่วมกันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้ได้มากและเติบโตด้วยกันอย่างมาก

ถ : ชีวิตวัยเด็กของคาเมล่าแวดล้อมไปด้วยครอบครัวที่อบอุ่น เธอเติบโตขึ้นมาเหมือนเด็กอเมริกันอื่นๆ มีอิสระเสรีและมั่นใจในตัวเองสูง ความคิดของการอยู่โดยไม่กินอาหารไม่เคยอยู่ในความคิดเลย ไม่เหมือนกับกรณีของนักบุญแคทธารีน แห่งซีน่า นักบุญนิโคลัสแห่งฟลูหรืออาจารย์ฟูฮุ่ยที่อุทิศตนแด่พระเจ้าตั้งแต่วัยเด็ก ส่งผลให้พวกเขามาใช้ชีวิตแบบไม่กินอาหาร คามิล่าไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆ ที่สวรรค์เรียกร้องหรือบังคับให้เธอเลิกกินอาหารในลักษณะของโยคี ชีวิตในวัยเด็กของเธอธรรมดาและมีความสุข

ต : ฉันเกิดในแคริฟอร์เนีย พ่อของฉัน เฮอร์เบิร์ต มิเชลและแม่ของฉัน คริสติน่า เอลิซาเบธ พ่อของฉันเป็นชาวซัลวาดอร์ แม่ของฉันเป็นชาวไอริช ฉันเป็นลูกผสมของทั้งสอง ฉันอายุ ๒๓ ปี ชีวิตของฉันเติบโตอย่างดีมาก ดีมาก ฉันมีความสุขมากกับครอบครัวของฉัน ฉันมีพี่ชาย มิเกลและน้องสาวเซียร่า พ่อแม่ของฉันสอนพวกเราให้ทำงานอยู่เสมอเพื่อหาหนทางในชีวิตของตัวเอง และหาหนทางที่สร้างสุขให้กับตัวเอง

ถ : เธอพึ่งพาตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก คามิล่า สร้างทางของเธอเองเพื่อบรรลุเป้าหมายและความใฝ่ฝัน

ต : ตั้แต่ฉันเป็นเด็ก ฉันมีอะไรๆ ให้ทำอยู่เสมอ เพื่อมีรายได้นิดหน่อยสำหรับตัวเองและเก็บออม เพราะฉันรู้ว่าสักวันหนึ่ง ฉันต้องท่องเที่ยว ฉันอยากรู้สิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งที่ฉันรู้และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในสถานที่ต่างๆ กัน และฉันมีครอบครัวที่วิเศษ ฉันพูดได้เต็มปากว่าครอบครัวฉันยอดเยี่ยมมาก พ่อแม่ของฉันสอนให้เรามีศรัทธา แม่ของฉันสอนฉันอย่างชัดเจนให้มีความเชื่อในบางสิ่งว่าชีวิตของฉันมาจากบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าฉันจะเรียกชื่อมันว่ามันคือพระเจ้าหรืออะไรก็ตาม แม่จะนำฉันเข้าสู่ความศรัทธาถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเสมอ



1d3027b.jpgถ : บางทีเสียงที่เรียกร้องของสวรรค์ภายในมันละอียดอ่อนมากหรือบางทีมันเป็นชะตาซึ่งในที่สุดชักนำเธอมาสู่วิถีชีวิตที่เมตตามากขึ้น เพราะคามิล่าเปลี่ยนมากินอาหารพืชผักที่ปราศจากเนื้อสัตว์ได้ง่ายดายเป็นธรรมชาติเหมือนการหายใจ

ต : ตอนที่ฉันเป็นวัยรุ่น ฉันตัดสินใจเป็นมังสวิรัติและนั่นเป็นก้าวแรกของฉัน ในการเปิดประตูใหม่และเข้าสู่สภาวะใหม่ของชีวิตสำหรับตัวฉัน ครอบครัวของฉันนั้นเรากินเนื้อสัตว์ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่าไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการบริโภคนั้นอีกแล้ว และดังนั้นฉันเป็นมังสวิรัติคงจะ ๖ ปีแล้ว และตลอดเวลานั้น พอถึงจุดหนึ่งฉันก็เป็นวีแก้น ฉันไม่กินผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มาจากสัตว์ แล้วฉันก็มากินอาหารแบบดิบผลไม้และผัก ทั้งหมดในแบบเดิม และแล้วอีกไม่กี่เดือนก็หันมาเป็นผู้กินอากาศและเข้าสู่ชีวิตสภาวะแบบนี้จริงๆ  ฉันเพียงแต่ดื่มน้ำผลไม้และกินผลไม้นิดหน่อย

ถ : แม้ว่าคามิล่าอาจจะยังไม่รู้ตัวในเวลานั้น ความก้าวหน้าตามธรรมชาติก็นำเธอเข้าสู่สภาวะไม่ต้องกินอาหารและในอีกหลายๆ ด้านที่สะท้อนความเป็นนักปราชญ์และนักบุญ “เธอจงอย่าฆ่า” เป็นหนึ่งในบทบัญญัติที่อาจารย์ผู้รู้แจ้งและผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าพระกฤษณะ พระเยซูคริสต์ พระศากยมุณีพุทธเจ้า ศาสดาโมฮัมหมัด สันติสุขมีแด่พระองค์ กูรู นานัค เดฟจิ อาจารย์กะเบียร์ อาจารย์ในศาสนาเซนและอาจารย์ซิกและอื่นๆ ยึดถือปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของพวกเขาและเข้าใกล้พระเจ้าหรือพลังแห่งสวรรค์ได้มากขึ้น ศีลหรือบัญญัตินี้สะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสิ่งสร้างทั้งหมด นอกจากนั้นความเคารพต่อชีวิตและความเมตตาต่อสรรพสัตว์และการอยู่และยอมให้ชีวิตอื่นอยู่ เหล่านี้เป็นเครื่องหมายของชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงและสูงส่ง ชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นเหมือนกับพระเจ้า สำหรับคามิล่าการเป็นผู้กินอากาศนั้นเป็นขั้นตอนที่เป็นธรรมชาติ เธอไม่ได้แสวงหามัน แต่เมื่อเวลามาถึง เมื่อเธอไปถึงสภาวะที่จิตใจมีความพร้อม โอกาสนั้นก็มาเคาะประตู มีใครหรือไม่ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคุณที่ทำให้คุณตัดสินใจเป็นผู้ที่ไม่ต้องกินอาหาร?

ต : ใช่ ตอนที่เราอยู่โบลิเวีย วันหนึ่งมีผู้หญิงมาที่บ้านของเราเคาะประตู เธอบอกว่า “ฉันกำลังมองหาสถานที่ที่ฉันสามารถปฏิบัติวิธีการเป็นผู้กินอากาศ ฉันอยากใช้เวลา ๒๑ วันและสถานที่นี้ที่พวกคุณอยู่ มันสวยงามมาก มีวิธีใดที่ฉันจะอยู่ที่นี่ได้? ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนว่ามีคนที่ทำอย่างนี้และมันก็กำลังเกิดขึ้น หล่อนเข้ามาและตั้งใจเคาะประตู ดังนั้นในเวลานั้นฉันพูดว่า “เรื่องนี้คงต้องมีเหตุผล มันจึงเกิดขึ้น”

ถ : คามิล่า เป็นภรรยาที่รักของอะกาฮิผู้กินอากาศ เธออยู่โดยไม่กินอาหารมาได้ประมาณสองปี คามิล่าเติบโตในครอบครัวที่มีความสุขในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ เธอใช้ชีวิตธรรมดาๆ แล้วเมื่อถึงวัยรุ่น เธอตัดสินใจเปลี่ยนมาทานอาหารพืชผักคล้ายกันกับคนอื่นๆ ที่ไม่กินอาหารเช่น ดร.บาบร่า มัวร์ เจริโค ซัลไฟร์และฟาน ทัน ลุค คามิล่าเปลี่ยนมากินอาหารที่มีความเมตตาที่ไม่มีเนื้อสัตว์เลยก่อนที่จะมาเป็นผู้กินอากาศ เธอไม่ได้วางแผนในการเปลี่ยนแปลงนี้ กระบวนการมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ 

ต : ฉันคิดว่าหลายๆ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตฉันอาจจะนำไปสู่สภาวะของการเปิดออกของฉัน แต่สิ่งที่พิเศษที่ฉันนึกถึง ที่ฉันรู้คือน้ำหนักที่มากขึ้น เมื่อสองปีก่อนฉันมีอาการป่วยทางร่างกายและเวลานั้น ฉันจำได้ว่าร่างกายของฉันมันทำความสะอาดมันเองในบางสิ่ง ดังนั้นฉันจึงสามารถเข้าสู่สภาวะใหม่ของการมีตัวตน ฉันคิดว่านั่นคือเวลาที่ร่างกายฉันได้รับข่าวสารที่ว่า “โอเค ตอนนี้เธอทิ้งของเก่าๆ ไว้ข้างหลังและเธอจะเริ่มเดินบนหนทางใหม่”

ถ : เมื่อจิตของเธอไปถึงสภาวะนี้ โอกาสก็มาเคาะประตูให้ได้เรียนรู้วิธีการอยู่โดยไม่กินอาหารผู้หญิงคนหนึ่งไม่รู้มาจากไหนมาถึงประตูหน้าบ้านของคามิล่า ถามหาสถานที่สำหรับพักอาศัยเพื่อการฝึกฝนเปลี่ยนแปลงเป็นผู้กินอากาศ โลกใหม่ได้เปิดออกสำหรับคามิล่าและสามีเธอ เมื่อทั้งคู่เต็มไปด้วยความเชื่อ

ต : การเป็นผู้กินอากาศเปลี่ยนชีวิตของฉันหลายๆ ทาง สิ่งที่เป็นอัตโนมัติที่เข้ามาในจิตคิดของฉันก็คือความสุข สภาวะที่ฉันรู้สึกว่าเวลานี้ฉันคือคนที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ มันเป็นสภาวะที่ไม่ผันผวน เมื่อก่อนที่ฉันจะมาเป็นผู้กินอากาศ ฉันอาจจะมีชีวิตลุ่มๆดอนๆ บางครั้ง ฉันรู้สึกว่าดีมาก แล้วต่อมาฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันรู้สึกว่าไม่ดีนัก แล้วตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉันมันทำให้ฉันมีความสุข ฉันคิดว่าการเป็นผู้กินอากาศทำให้ฉันตระหนักว่านั่นคือหนทางเดียวที่รู้สึกและหนทางเดียวที่จะนำชีวิตคือหนทางของสวัสดิภาพและความสุข

ถ : มันเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์สามารถอยู่โดยไม่กินอาหาร? ก็คล้ายๆ กับหลายๆ คนที่ไม่กินอาหารเช่น หลุยส์ ลาโตว, กิริ บาลา, นักบุญนิโคลัสแห่งฟลู, คามิล่าเชื่อว่าความสามารถที่หล่อเลี้ยงชีวิตด้วยพลังงานของจักรวาลหรือปราณคือของขวัญจากสวรรค์

ต : ฉันไม่รู้จะเรียกชื่อสิ่งนี้ว่าอะไร ฉันคิดว่าหลายๆ คนเรียกมันว่า “พระเจ้า” หรือ “พลังงานจักรวาล” “แสงสวรรค์” มันมีหลายๆ ชื่อที่เราจะเรียกมัน ฉันชอบคำว่า “แสงสวรรค์” ฉันชอบ ความรักแห่งจักรวาล”  มันมีหลายคำหลายประโยคที่สวยงามที่เราสามารถใช้เรียกสิ่งนี้ แต่สำหรับฉันมันคือแก่นของชีวิตที่ให้ชีวิตทั้งหมดแก่ชีวิตมัน พืชและสัตว์, มนุษย์และโลก ทุกอย่างล้วนเชื่อมต่อกันด้วยสายใยของชีวิตที่ให้การค้ำจุนเราและนั่นคือชีวิต

ถ : ตอนนี้เธอไม่กินอาหารแล้วชีวิตของคามิล่าเป็นอย่างไร? เธอพบกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ทางร่างกายหรือไม่? คามิล่าแบ่งปันประสบการณ์ของเธอแก่เรา คุณรู้สึกอย่างไรหลังจากที่ไม่กินอาหาร?

ต : มันมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางร่างกายและทางพลังงาน เพราะว่าร่างกายเนื้อนี้มันหนาทึบอย่างที่สุด เราจึงมองเห็นได้ มันอยู่ตรงนี้ เราสามารถสัมผัส จับต้องได้ ดังนั้น ในร่างกายนี้ การเป็นผู้กินอากาศ ฉันรู้สึกว่ามันชัดเจนมากกว่า ฉันรู้สึกเหมือนกับฉันไม่เคยมีสภาวะใดที่ไม่รู้สึกดี ร่างกายของฉันรู้สึกดีเสมอ ฉันรู้สึกเปี่ยมด้วยพลัง ฉันไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหรือไม่มีพลัง ฉันสามารถปลุกพลังงานของฉันในเวลาใดก็ตามที่ฉันต้องการอารมณ์ของฉันและจิตของฉัน จิตซิญญาณของฉัน ฉันรู้สึกอิสระเหมือนฉันลอยตลอดเวลา และฉันคิดว่าคำที่สัมผัสได้ที่ฉันสามารถใช้อธิบายสิ่งนี้คือความสุข ฉันคิดว่าพลังงานนั้นที่ฉันรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ดีที่นี่ในหัวใจของเรา ซึ่งเราทุกคนเรียกว่าความสุข ตอนนี้ ต่อเนื่องและมั่นคงในชีวิตของฉัน




thumb_onlyphotosY_aa_listffssdf563413442ถ : กระบวนการเปลี่ยนเป็นผู้กินอากาศของคามิล่าคล้ายคลึงกับชาวนาผู้กินน้ำฟาน ทัน ลุค , ฮิรา ราทาน มาเน็ก ผู้ทานแสง และผู้กินอากาศ ,ดร. บาบาร่า มัวร์ มันค่อนข้างง่ายและไม่มีความไม่สบายนัก ประสบการณ์ทั้งหมดของเธอที่ผ่านมาเป็นความรู้สึกที่ดีมาก 

ต : ฉันไม่ป่วยเลย สุขภาพของฉันดีขึ้นล้านเท่า ตั้งแต่ฉันเป็นผู้กินอากาศ แต่ก่อนฉันอาจจะเป็นหวัดหรืออาจจะปวดท้องหรืออะไรอย่างนั้น และตอนนี้....ไม่เลย ฉันไม่เป็นหวัดหรือไอหรือปวดท้อง

ถ : ทุกคนมีความสามารถที่จะปลอดอาหารและกำจัดความเจ็บป่วยหรือว่ามันเป็นความสามารถพิเศษอย่างชัดเจนผู้ที่กินอาหารปลอดเนื้อสัตว์ นักมังสวิรัติ เจ ผู้กินอากาศ แสงแดด น้ำ หรือปราณผลได้พบว่าเป็นประโยชน์

ต : ฉันรู้ว่าร่างกายของฉันมีทุกอย่างเพียงพอ ทุกสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันสามารถนำมาใช้และมันจะเกิดขึ้นภายใน เราทุกคนเป็นตัวตนแห่งสวรรค์ เราทุกคนมีพลัง ที่จะรักษา ถูกรักษาและนั่นเป็นบางสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราแต่ละคน และยิ่งเราค้นคว้าภายในตัวเรา ที่จะเปิดเผยความสามารถนี้ มีกำลังและความเข้มแข็งมากขึ้น มันจะสามารถแสดงพลังงานงานนั้นออกมา

ถ : เชื่อมั่นในสวรรค์ที่จะจัดหาให้เรา ทุกสิ่งที่เราต้องการ นี่เป็นความคิดของผู้กินอากาศจำนวนมาก เพื่อส่งเสริมการเลิกทานอาหารและละทิ้งระบบความเชื่อของสังคมที่ว่าต้องพึ่งพาอาหารเพื่อการอยู่รอดนั้นต้องใช้ศรัทธาและการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์

ต : ฉันเป็นผู้ที่มีศรัทธาต่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเสมอมาและตอนนี้ ฉันรู้ว่าสิ่งนั้นที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมีอยู่ภายในตัวฉันและภายในทุกชีวิตทั้งมวล ศาสนาและจิตวิญญาณมันตั้งอยู่บนพื้นฐานของการค้นพบกับตัวตนแห่งสวรรค์ที่คงอยู่และทุกสรรพสิ่ง คุณธรรมที่วิเศษเหล่านี้อย่างความรักและความสุขและความสงบสุข และฉันคิดว่าศรัทธาเป็นส่วนที่เป็นธรรมชาติของตัวตนของเรา การเป็นมนุษย์ ฉันคิดว่าการมีศรัทธาคือบางสิ่งที่เราทุกคนรู้ นั่นดี และยิ่งมีศรัทธาที่เรามีในบางสิ่ง บางสิ่งนั้นยิ่งแสดงต่อเรา “ใช่ ฉันอยู่ที่นี่ มันเป็นความจริงที่ว่า คุณสามารถมีศรัทธาในฉัน” มีหนทางมากมาย หนทางมากมายในการค้นหาแก่นนี้ ที่เราทุกคนจะพบในช่วงเวลาที่สมบูรณ์ และฉันเคารพหนทางของทุกคนเพราะฉันรู้ว่ามันสมบูรณ์ในสภาวะของพวกเขา

ถ : จากประสบการณ์ส่วนตัวของการไม่ทานอาหาร คามิล่าเชื่อว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากวิถีชีวิตนี้

ต : มันทำให้ฉันค้นพบกับความสุข และฉันรู้ว่านั่นคือการค้นหาที่คนมากมายกำลังทำอยู่ในตอนนี้ และฉันเชื่อว่า ฉันรู้ว่าวิถีชีวิตนี้มอบโอกาสให้คุณค้นพบทุกสิ่ง ที่คุณมองหา เพราะฉันรู้ว่า ตอนนี้ การค้นหาของฉันสิ้นสุดลง ทุกสิ่งเหล่านี้ที่ฉันค้นหามันมีอยู่ภายในฉันและในปัจจุบัน และฉันจะแนะนำวิถีชีวิตนี้ให้กับทุกคน

ถ : สำหรับจิตวิญญาณผู้กล้าหาญ ผู้ที่อยากจะใช้ชีวิตปลอดอาหาร คามิล่ามีคำแนะนำที่มีประโยชน์บางอย่าง

ต : คำแนะนำที่ดีที่สุดที่ฉันคิดว่าฉันสามารถให้ได้คือการรู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังค้นหาอยู่ในตัวคุณ ในตอนนี้ ในเวลานี้ อย่ามองหาปัญญาภายนอกตัวคุณมากเกินไปและความรู้ที่ คุณมีอยู่แล้วภายใน หลายๆ ครั้งในชีวิตของเรา เราได้ถูกสอนว่า เราไม่รู้สิ่งที่เราต้องถูกสอน เพื่อที่จะรู้ แต่ฉันรู้ว่าแต่ละตัวตนนั้นสูงส่งและแต่ละคนรู้อยู่อย่างชัดเจน สิ่งที่พวกเขาต้องการและคำแนะนำของฉัน ทำให้อาจารย์ภายในของคุณเองทำงาน อนุญาตให้สิ่งนั้นตัวตนนั้นที่ฉันเป็นตัวตนแห่งสวรรค์ พระเจ้าองค์นั้น อะไรก็ตามที่คุณรียกให้ตัวตนนั้นผ่านตัวคุณ ให้ตัวคุณเองเปิดสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ และหนทางที่ไร้ขีดจำกัดของชีวิต ลองท้าทาย-ไม่ใช่บังคับอะไร แต่ท้าทายสิ่งต่างๆ หรือนิสัยที่คุณมีในชีวิต สิ่งจำเป็นและตั้งคำถาม ถามตัวคุณเองว่า มันจำเป็นจริงๆ หรือไม่หรือด้านเหล่านั้นในชีวิตของคุณ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการรู้ว่าคุณแต่ละคนเป็นอาจารย์ของคุณเอง

ถ : ชีวิตปลอดอาหารของคามิล่าซึ่งมีเมตตาและสอดคล้องกับศีลข้อไม่ใช้ความรุนแรงเป็นตัวอย่างที่แท้จริงของการใช้ชีวิตในศรัทธาและเชื่อมั่นในสวรรค์

ต : ฉันคิดว่า ยิ่งเรายอมรับความสมบูรณ์ที่คงอยู่และยอมรับว่า เราไม่ใช่ผู้ที่ควบคุมทุกสิ่ง แต่มีพลังงานสวรรค์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรา ยิ่งเราตระหนักและทราบถึงสิ่งนี้ชีวิตของเราจะยิ่งสอดคล้องและสมบูรณ์และมีความสุขและมั่นคง

				
11 กุมภาพันธ์ 2554 01:18 น.

อะกาฮิ(akahi) มนุษย์กินอากาศจากเอควาดอร์....

คีตากะ

akahi.jpgอะกาฮิ(AKAHI) มนุษย์กินอากาศจากเอควาดอร์


วันนี้เราจะเดินทางไป เอควาดอร์ประเทศที่สวยงามในอเมริกาใต้ ไปพบกับผู้กินอากาศ อะกาฮิ เป็นนักเต้นและศิลปินที่ค้นพบความสุขมหัศจรรย์จากการใช้ชิวิตที่ไม่กินอาหาร

ต : ก่อนที่ผมจะมาเป็นชาวกินอากาศ ชีวิตผมก็มีความสุขเหมือนกันเพราะผมเป็นศิลปิน ผมมักจะท่องเที่ยวและชีวิตผมก็มีความสุขดี แต่มันเป็นความสุขอีกชนิดหนึ่ง มันเป็นความสุขที่แตกต่างกัน เป็นความสุขที่ไม่เคยเต็มบริบูรณ์ ผมมีความสุขชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยสุขอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นไม่อาจพูดว่า ผมมีความสุขจริงๆ ในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ตอนนี้เป็นผู้กินอากาศ คุณจะรู้สึกเสมอว่า คุณหายใจเอาความรักที่สวยงาม ผมเรียกมันว่าพลังงานความรักสำหรับผมมันคือความรัก

ถ: เขาเข้ามาเป็น ชาวกินอากาศได้อย่างไร? ชีวิตของเขาเป็นอย่างไร ก่อนที่จะเริ่มเดินทาง มาสายนี้ เป็นผู้ที่ไม่กินอาหาร? อะกาฮิ มาจากครอบครัวที่ทำงานหนัก เขามีพี่น้องผู้ชายสองคน ผู้หญิงหนึ่งคน ผู้ซึ่งทั้งหมดในครอบครัว ถูกสอนตั้งแต่ยังเล็ก ให้เป็นอิสระและพึ่งพาตัวเอง ดังนั้น เขาจึงทำงาน ตั้งแต่เป็นเด็กๆ แล้ว อะกาฮิเชื่อว่าประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการอบรม เลี้ยงดูมาทำให้เขา มีทัศนะของชีวิตแตกต่างจากคนอื่น แต่อิสระที่เขามีนั้น เขาก็ไม่สามารถพบสิ่งใดที่น่าสนใจ ส่วนลึกของจิตใจเขา มันมีบางอย่างที่เขารู้ว่าต้องมีมากกว่าชีวิตทางวัตถุนี้

ต : ผมเหมือนกับรอคอยเวลานั้นที่ผมสามารถพบตัวของผมเอง ผมคิดว่ามันมีหนทางอื่นสำหรับผม บางอย่างที่รอผมอยู่ บางอย่างที่ผมต้องการพบเช่นกัน

ถ : ในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมอะกาฮิเริ่มสนใจดนตรีและศิลปะและเมื่ออายุ ๑๘ ปี ก็เริ่มสร้างผลงานภาพวาดและขายเอง

ต : ผมรู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์สำหรับผมในการวาดภาพเหมือนงานของผม เหมือนวิธีการจัดการชีวิตผม ดังนั้น ผมจึงเริ่มเดินทางไปทั่วอเมริกาใต้ ขายงานศิลปะและภาพวาดของผม แล้วในการท่องเที่ยวครั้งนี้ การเดินทางนี้สิ่งที่สวยงามทั้งหลายก็เริ่มเกิดขึ้นกับผม เมื่อความรู้ทั้งหลายนี้ ความรักนี้เริ่มเข้ามาในชีวิตผม สำหรับผมการเป็นผู้กินอากาศคือการรับรู้ว่ามีแหล่งของความรักอยู่จริงและผมหายใจเอาความรักนั้นทุกๆ วินาที ดังนั้นตอนนี้ มันเป็นมีความสุขจริงๆ หัวใจผมเต็มไปด้วยความสุข ผมรู้ว่าผมมีความสามารถต้องการทำอะไรก็ทำได้ ต้องการเป็นอะไรก็เป็นได้ ต้องการมีอะไรก็มีได้ และที่จริง เวลานี้ผมรู้ว่า ผมรู้ว่าผมไม่ต้องการอะไรเลย หลังจากขบวนการนี้ ผมเลิกกินอาหารและมันก็รู้สึกดีมาก สำหรับผมมันเหมือนกับ....มันคงความงดงาม เพราะมันไม่มีวันหมด ไม่มีหยุด ทุกเวลามีแต่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เติบโตอยู่ภายในตัวผม สภาวะของจิตสำนึกที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุข ตลอดเวลา มันทำให้ผมรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความสุขและความขอบคุณ ในทุกลมหายใจ

ถ : ความปรารถนาแรงกล้าที่ต้องการช่วยผู้อื่นเกิดขึ้นในตัวเขา เมื่อคู่ชีวิตของเขาเริ่มป่วยในช่วงเวลานี้ อะกาฮิ เปลี่ยนนิสัยการกินของเขาจากอาหารเนื้อสัตว์มาเป็นอาหารพืชผัก ก่อนนี้คุณเป็นอย่างไรก่อนที่จะมาเป็นผู้กินอากาศ? อาหารแบบไหนที่คุณกินตอนนั้น?

ต : ผมผ่านกระบวนการทางจิตสำนึก เมื่อผมท่องเที่ยวในอเมริกาใต้ ผมเริ่มเป็นมังสวิรัติ ครอบครัวของผมตอนสมัยผมเป็นเด็ก พวกเขามักให้ผมกินอาหารนานาชนิด พวกเขาไม่ใช่มังสวิรัติ ดังนั้นผมพบทางนี้ มันเป็นทางของผมเอง เมื่อผมเริ่มท่องเที่ยว ดังนั้นผมเป็นมังสวิรัติมาได้สามปี ขั้นตอนเหล่านี้ที่มาเป็นชาวกินอากาศ มันมีเหตุผลที่ทรงพลังชีวิตของผม เพราะในปี ๒๐๐๖ เพื่อนของผมเวลานี้คือภรรยาของผม เธอมีปัญหาสุขภาพในตัวเธอและเราก็ผ่านพ้นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของเรา ด้วยความตั้งใจที่จะบำบัด ด้วยเหตุนี้ ผมมีความมุ่งมั่นภายในที่จะเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการรักษา ผมคิดแบบนั้น ผมตัดสินใจอย่างนั้น ผมสวดภาวนาถึงพระเจ้า “ได้โปรดเถิด อนุญาตให้ผมเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการการรักษา” 

ถ : เมื่ออะกาฮิงดกินเนื้อสัตว์และเปลี่ยนมากินอาหารพืชผัก เขาก็ได้พบการเปลี่ยนแปลงที่เหลือเชื่อและไม่อาจลืมได้ 

ต : มันง่ายจริงๆ สำรับผมในการเป็นมังสวิรัติ ไม่เคยมีปัญหาเลย ในการงดเนื้อสัตว์แล้วทีละขั้นตอน มันเริ่มเติบโตขึ้น ความปรารถนานี้ที่จะรักษาให้หายขาดได้หรือสุขภาพดีอย่างเต็มที่หรือบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนั่นคือเหตุที่ผมเปลี่ยนจากการเป็นมังสวิรัติ หันมาเป็นวีแก้น(อาหารเจไม่กินไข่และนม) อยู่ระยะหนึ่ง แล้วผมก็มาถึงขั้นอาหารดิบ(ผักสดไม่ผ่านการปรุง) ดังนั้นผมก็กินอาหารแบบดิบอยู่สองสามเดือน มันมหัศจรรย์จริงๆ ที่รู้สึกถึงความสดชื่นของอาหารแบบนั้น รู้สึกถึงพลังงานที่อาหารแบบดิบนั้นมีอยู่ มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองสั่นสะเทือน ด้วยพลังงานอีกแบบหนึ่ง เมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยพลังงานอีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในตัวผม เป็นพลังงานบางชนิด มันเบามากกว่า




0.jpg




ถ : เมื่ออะกาฮิเปลี่ยนจากอาหารแบบดิบมาเป็นผู้กินผลไม้ ตัวตนในร่างกายของเขารู้สึกเหมือนขยายออกจนเขารู้สึกว่าเชื่อมติดต่อใกล้ชิดกับโลกแห่งธรรมชาติมากขึ้น ผมรู้สึกถึงพลังงานนี้ เบาขึ้น ผมรู้สึกเบาขึ้นในตัวผมและผมก็บอกว่า “วาว! ฉันรู้สึกดีเยี่ยมจริงๆ ในแบบนี้” แล้วต่อมา ผมก็เปลี่ยนมาเป็นผู้กินผลไม้เท่านั้นนานอยู่สองสามเดือน กินแต่เพียงผลไม้ นั่นเป็นช่วงที่ดีที่สุด ผมเรียนรู้ถึงรสชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ที่ปราศจากน้ำตาล ผมรู้สึกถึงรสชาติที่แท้จริงและผมก็เริ่มชื่นชอบมากขึ้นในสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่เรามีอยู่และเคารพมันด้วยเช่นกัน และทำให้ผมเคารพแม่พระธรณีอีกด้วย ผมรักแม่พระธรณีมากจริงๆ บางส่วนของชีวิตผม ผมตระหนักและรู้สึกได้ว่า ผมสามารถเชื่อมต่อและถูกเชื่อมต่อกับธาตุทั้งหมดที่อยู่รอบตัวผม

ถ : การงดกินอาหารโดยสิ้นเชิงและอาศัยเพียงพลังงานจักรวาลเท่านั้นในการค้ำจุนชีวิต อะกาฮิ รู้สึกถึงการหลอมรวมที่ยิ่งใหญ่กับพลังจักรวาลของชีวิต

ต : ผมตระหนักรู้ว่าผมอยู่ในการเชื่อมต่อกับฝน ผมรู้สึกว่าผมเชื่อมต่อกับอากาศ กับน้ำ ผมสามารถพูดคุยกับธาตุเหล่านี้ และผมสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากพวกเขา ผมสามารถรับรู้การชี้แนะจากพวกเขา มันน่าสนใจมากสำหรับผมเพราะมันเหมือนกับ เมื่อคุณเริ่มเปิดจิตสำนึกของคุณ คุณเริ่มได้รับข่าวสาร ข่าวสารเหล่านี้เปิดดวงตาของคุณออกมากขึ้นและมากขึ้น และนี่คือคุณเริ่มตระหนักถึงการเชื่อมต่อกับแม่พระธรณีและธาตุทั้งหมดนั้น แล้วการเชื่อมต่อนี้กับแม่พระธรณีนำคุณเข้าไปเชื่อมต่อกับจักรวาล

ถ : ผลจากการที่สวดภาวนาถึงพระเจ้าเพื่อขอการชี้แนะและความรู้ เพื่อให้เขาสามารถรับใช้มนุษยชาติ เพื่อนคนหนึ่งก็เข้ามาในเวลาที่เหมาะเจาะของชีวิตและเป็นแรงบันดาลใจให้เขางดอาหารโดยสิ้นเชิงและกลายเป็นผู้กินอากาศ

ต : แล้วผมก็ตระหนักว่ามันเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้กินอากาศ ผมได้พบกับคนคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในชีวิตผม อย่างที่ผมบอกคุณว่าผมสวดขอให้มีใครก็ได้ หรือผู้นำทางที่สามารถทำให้ผมกลายเป็นคนที่สามารถช่วยผู้อื่นได้ แล้วเพื่อนคนหนึ่งของผมก็มา เขาเป็นผู้กินอากาศอยู่แล้ว ผมจึงตระหนักว่า มันเป็นไปได้ ครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องนี้ผมก็ยอมรับ และบอกว่า “ใช่ ผมต้องการ ผมต้องการทำอย่างนี้” 

ถ : ครั้นที่เขางดอาหาร อะกาฮิสังเกตว่าทัศนะคติของเขาต่อชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เขาค้นพบสัจธรรมอีกครั้งซึ่งได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาโดยสิ้นเชิง

ต : ผมผ่านกระบวนการฝึกเป็นเวลา ๒๑ วันและหลังจากนั้นโดยผ่านกระบวนการนี้ ผมรู้ว่ามีข้อมูลมากมายที่ไม่เป็นความจริง ข้อมูลจำนวนมากที่ผมคิดว่าจริง แต่มันไม่จริง ดังนั้นผมเห็นสัจธรรมที่แท้จริงภายในตัวผมผมพบสัจธรรมของผมเอง ภายในตัวผมและสัจธรรมนี้บอกผมว่า ผมเป็นอิสระซึ่งไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาวัตถุใดๆ เพื่อการมีชีวิตอยู่ สัจธรรมนี้บอกผมว่าสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมต้องทำในชาตินี้ก็คือมีศรัทธาในความรัก ในพลังงานที่สวยงามนี้ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ทั่วจักรวาล

ถ : อะกาฮิอยู่โดยไม่กินอาหารมาเป็นเวลาสองปี ได้รับการหล่อเลี้ยงโดยพลังของจักรวาล หรือปราณ เราค้นพบว่าการเดินทางของเขามาเป็นผู้กินอากาศเริ่มต้นจากหัวใจที่ปรารถนาจะช่วยเหลือมนุษยชาติ ผลจากอุดมการณ์ที่สูงส่งนั้น อะกาฮิก็เปลี่ยนนิสัยการกินอาหารมาเป็นอาหารพืชผัก โดยเริ่มต้นที่การเป็นมังสวิรัติแล้วเขาก็ขยับมาเป็นวีแก้นต่อไปก็ไปเป็นอาหารดิบ และหลังจากนั้นก็มาเป็นผู้กินแต่ผลไม้ เมื่อมีโอกาสพบกับเพื่อนที่เป็นผู้กินอากาศ อะกาฮิก็ตัดสินใจเดินทางแห่งความเป็นอิสระกลายเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร มันเป็นอย่างไรสำหรับอะกาฮิเมื่อเขาเปลี่ยนแปลงจากการเป็นผู้กินผลไม้มาเป็นผู้ที่ไม่ต้องกินอาหาร พึ่งพาแต่เพียงพลังของจักรวาลเท่านั้นในการค้ำจุนชีวิต? ที่จริงแล้วมันเป็นความศรัทธาที่เหลือเชื่อ

ต : มันไม่ง่ายอย่างนั้นในตอนเริ่มต้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีพลังงานในทุกเรื่องเหมือนกับว่าคุณเปลี่ยนรูปแบบทั้งหมดของคุณ ข้อมูลทั้งหมดนี้ สังคมใส่ให้คุณ มันเข้าไปลึกล้ำมาก มันเข้าไปใน DNA ของคุณ ดังนั้นมันเปลี่ยนโปรแกรมใน ดีเอ็นเอ ของคุณ คุณต้องเผชิญกับอุปสรรคอย่างหนักในชีวิตคุณ สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องแปลกและยากที่จะเข้าใจว่าผมสามารถเปลี่ยนโปรแกรมให้ตัวเองใหม่ได้




27394911:jpeg_preview_medium.jpg?2010122





ถ : อะกาฮิได้ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ซึ่งค่อนข้างท้าทาย สำหรับเขาในทุกๆ ด้าน

ต : อารมณ์ต่างๆ มากมายในตัวผมเริ่มปรากฏออกมา อารมณ์ทั้งหมดที่ไม่ใช่ความสุขเริ่มปรากฏออกมาจากตัวผม มันลำบากมากที่เห็นอารมณ์เหล่านั้นออกมาจากตัวผม เพราะมันทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน ในเวลานั้น แต่ผมก็รู้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ที่ดึงอารมณ์เหล่านั้นออกมาจากตัวผม

ถ : มันเป็นการท้าทายเหมือนกันในความเชื่อของอะกาฮิและวิถีชีวิตที่สังคมบ่มเพาะในตัวเขา ตั้งแต่สมัยเด็ก มันเกิดขึ้นกับความคิดผมเหมือนกัน ความเชื่อที่ทรงพลังเหล่านี้ที่อยู่ในตัวผม...เช่น ผมเคยเชื่อว่าผมต้องกินอาหารเพื่ออยู่รอด ผมเคยเชื่อว่าการเจ็บป่วยมีอยู่ ผมเคยเชื่อว่าผมต้องแก่ชรา ผมเคยเชื่อว่าผมต้องตาย ดังนั้น ข้อมูลทั้งหมดนั้นผมเริ่มตระหนักว่ามันไม่จริง สำหรับผมแล้ว ความตายไม่มี การเจ็บป่วยไม่มีและความจำเป็นทั้งหลายที่สังคมสร้างขึ้นนั้น มันไม่มี ดังนั้น เมื่อผมเผชิญกับมัน มันเหมือนกับการทำลายกฎข้างในของผม ทำลายรูปแบบทั้งหมดที่อยู่ข้างในตัวผม และนั่นคือสิ่งที่ทรงพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมและเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างจากข้างในตัวผม

ถ : นอกจากความท้ายทาย เขาต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้ไม่กินอาหาร อะกาฮิไม่เคยพบกับสิ่งที่ดีกว่านี้

ต : ผมรู้สึกว่าตัวผมแข็งแรงขึ้น ผมรู้สึกถึงสภาวะที่สุขภาพดีตลอดเวลา ผมรู้สึกสุขภาพดีจริงๆ สุขภาพดีจริงๆ ร่างกายของผมเรียนรู้การหายใจมากขึ้น ดังนั้นทุกลมหายใจมันเข้าลึกมากสำหรับผม ดังนั้นปอดผมขยายตัว ร่างกายผมเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าสบายจริงๆ ผมรู้สึกว่าผมมีร่างกายที่สมบูรณ์ และรู้สึกว่าผมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

ถ : อะกาฮิเชื่อว่ามนุษยชาติกำลังพบกับยุคที่เสื่อมถอยซึ่งจะมีเหลือเพียงแต่ความรัก ความหวังและแสงสว่าง จากจิตสำนึกที่สูงขึ้นของทั่วโลก

ต : จิตสำนึกของความหวังใหม่ที่อยู่ทั่วไปบนโลกนี้ ทุกคนบนโลกเวลานี้กำลังมองหา บางสิ่งที่ดีกว่า บางสิ่งที่สวยงามในชีวิตของพวกเขาและเวลานี้ผมสามารถพูดได้ว่ามันง่ายมากในการเป็นอิสระจากทุกๆ สิ่งในสังคม

ถ : หลังจากมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง กับบททดสอบของกระบวนการเปลี่ยนแปลงมามีชีวิตโดยไม่กินอาหาร อะกาฮิได้อธิบายถึงสิ่งเดียวที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้กินอากาศ

ต : สิ่งเดียวเท่านั้นที่คุณต้องมีก็คือความศรัทธา ศรัทธาในตัวคุณเอง ศรัทธาว่าคุณทำได้ ศรัทธาว่าคุณคือคนสำคัญที่ไม่มีข้อจำกัดใดๆ และมีความปราถนาที่จะมีพลังอำนาจซึ่งมาจากศูนย์กลางหัวใจของคุณ

ถ : ยิ่งกว่านั้น อะกาฮิยังอธิบายถึงความจริงที่เราทุกคนสามารถอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอาหารเลย

ต : ยิ่งกว่านั้น การเป็นผู้กินอากาศมันง่ายจริงๆ การมีชีวิตอยู่โดยไม่กินอาหารหรือการเป็นคนพิเศษ ที่จดจำถึงจิตสำนึกนั้นได้ ข้อแรก ผมอยากบอกแก่ผู้คนว่าเวลานี้ทุกคนบนโลกเป็นผู้กินอากาศ คุณทั้งหมดเป็นผู้กินอากาศอยู่แล้ว คุณได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังงานของจักรวาลที่มีอยู่ในอากาศอยู่แล้ว ตอนนี้ในชีวิตชาตินี้หรือชาติอื่นๆ คุณก็เคยเป็นผู้กินอากาศเหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นวิธีดั้งเดิมแท้จริงที่ได้รับการบำรุงเลี้ยง เพราะเราไม่ใช่แค่กายเนื้อ เราคือร่างของแสง แบะในฐานะเป็นร่างของแสง คุณก็ได้รับการหล่อเลี้ยงจากแหล่งของแสงเช่นกัน แหล่งพลังงานของแสงนี้ สามารถรักษา สามารถช่วยให้ร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะสมบูรณ์เช่นกัน ดังนั้นขอให้จดจำนำความรู้นี้เข้าสู่จิตสำนึกของคุณในเวลาขณะนี้ว่าคุณมีพลังมากมายอยู่กับคุณทุกวินาที คุณมีทรัพยากรมากมายพร้อมสำหรับคุณทุกวินาที และเพียงแต่คุณ นำมันมาใช้ในชีวิตคุณ นำพลังงานที่สวยงามนี้ให้เติบโตอยู่ในตัวคุณ

ถ : อะกาฮิ อธิบายว่าความรู้นั้นอยู่ตรงนั้นแล้วและวิญญาณของเรารู้จักมัน เราเพียงแต่ต้องทำจิตคิดเราให้เป็นอิสระว่ามันเป็นไปได้ แล้วร่างกายของเราก็จะจำได้

ต : ร่างกายของเรารู้จัก สิ่งเหล่านี้อยู่แล้วแน่นอน ความทรงจำที่เก่าก่อนในร่างกาย ในวิญญาณของเรารู้จักความรู้ทั้งหมดนี้ มันอยู่ข้างในในเมื่อร่างกายเป็นแสง เราก็ได้รับพลังงานนี้จากแสงเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคุณเปิดเข้าสู่จิตสำนึกนั้นที่ว่าคุณไม่ใช่เป็นแค่ร่างกายเนื้อ แต่คุณมีร่างกายของแสงและร่างกายของแสงของคุณเชื่อมต่อกับแหล่งที่มา คุณตระหนักว่าวิญญาณของคุณ จิตวิญญาณมันใหญ่กว่าและทรงพลังกว่าร่างกายเนื้อของคุณ ดังนั้นเมื่อคุณบำรุงวิญญาณของคุณด้วยแสง ร่างกายเนื้อของคุณก็จะยอมรับมันและได้รับการหล่อเลี้ยงไปด้วย ผมคิดว่ามันเป็นธรรมชาติสำหรับมนุษย์ทั้งหมดที่สามารถเป็นผู้กินอากาศ ที่สามารถเต็มอิ่มได้

ถ : ก็เหมือนกับ กิริ บาลาผู้กินอากาศผู้ที่อยู่ด้วยลมปราณมากกว่า ๕๐ ปี เมื่อโยคะนันดะ ได้พบกับเธอ อะกาฮิ ถือว่าความสามารถของมนุษย์ที่อยู่ได้โดยไม่กินอาหารนั้นมาจากพระเจ้า ใครทำให้คุณสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร?

ต : เป็นความสามารถตามธรรมชาติ นี่เป็นของขวัญจากพระเจ้า เพราะสิ่งนี้เป็นของธรรมชาติสำหรับทุกคนบนโลก ทุกคนสามารถทำได้

ถ : การที่ อะกาฮิ ใช้ชีวิตเป็นผู้กินอากาศเป็นการหลอมรวมอยู่ในความรักของจักรวาล ทุกขณะจิตของวันเวลา

ต : ผมรู้สึกว่าทางของผมจบลง ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมแสวงหา ผมได้พบมันแล้ว ดังนั้นผมไม่แสวงหามันอีกต่อไป ผมรู้สึกว่ามีความสุขจริงๆ กับสิ่งที่ผมมีและการใช้ชีวิต ตอนนี้ผมมีแต่ความสุขกับสภาวะที่สวยงามของจิตสำนึกที่ทุกๆ เวลา มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และนำผมไปยังความรู้สึกอื่นๆ มันเหมือนกับว่าผมกำลังสำรวจทางใหม่ เพื่อรู้สึกถึงความรักในขณะนี้ เหมือนตอนนี้ ผมพบกับความรักที่สำคัญจริงๆ 



L1ZE6_50.jpg




ถ : อะกาฮิ อยู่โดยไม่กินอาหารเป็นเวลาสองปีมาแล้ว เขาได้รับการหล่อเลี้ยงโดยพลังของจักรวาลหรืออีกชื่อหนึ่งว่า พลังปราณ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงซึ่งอยู่โดยไม่กินอาหาร เช่น กิริ บาลา ,เซนต์ นิโคลาส แห่งฟลู, เจริโค ซัลไฟร์, ดร. บาร์บาร่า มัวร์, ฟาน ทัน ลุค, ฮิร่า ราตัน เมนัค, และคนอื่นๆ อะกาฮิอาศัยพระกรุณาของพระเจ้า ในการอยู่รอด เขาเชื่อมั่นว่าด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าจากหัวใจที่ต้องการรับใช้มนุษยชาติ พระเจ้าจึงให้เขาสมหวังในการเป็นผู้ไม่กินอาหาร ไม่ต้องมีภาระผูกมัดกับความจำเป็นทางวัตถุ อุดมการณ์อันสูงส่งของเขาทำให้เขาสามารถเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารไปเป็นผู้ที่มีเมตตามากขึ้น การเริ่มต้นเดินทางแสวงหาทางจิตวิญญาณในที่สุดก็นำเขาไปสู่วิถีชีวิตใหม่ของการเป็นผู้กินอากาศ อะกาฮิได้รับมุมมองใหม่ในชีวิต

ต : ความรักดำรงอยู่จริงๆ ความรักคือพื้นฐานสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างปรัชญาของผมคือความรักมีพร้อมสำหรับคุณ เมื่อคุณเปิดรับมัน คุณเปิดรับความรักให้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ มันก็จะให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่คุณ

ถ :  แม้ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นมีความยากลำบากหลายอย่างในตอนแรก แต่อะกาฮิก็เชื่อว่ามนุษยชาติมีความสามารถแต่กำเนิดในการอยู่โดยไม่กินอาหาร อะกาฮิมีความเชื่อมั่นว่าพลังแห่งจักรวาลเป็นเสมือนแหล่งอาหารหล่อเลี้ยงเรา เพียงแหล่งเดียวมาแต่โบราณ ก่อนที่เราจะมีนิสัยของการกินอาหารเกิดขึ้น

ต : คุณสามารถอยู่ได้โดยไม่กินอาหาร และไม่ต้องดื่มน้ำ มันเพียงแค่อย่างที่บอกคือต้องมีความเชื่อนี่คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมี มีความศรัทธาอย่างมาก มันเป็นการทดสอบความเชื่อ ถ้าคุณผ่านการทดสอบนี้คุณจะพบกับขุนทรัพย์แห่งความรักและเมื่อคุณค้นพบขุมทรัพย์นี้แล้ว มันก็จะให้คุณทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ : ผู้ที่อยู่โดยไม่กินอาหารมีหลายๆ แบบแตกต่างกันไป บางคนไม่กินทั้งอาหารและน้ำ เช่น โยคีนี กิริ บาลา บางคนดื่มแต่น้ำชาเช่นเกษตรกรชาวเอาหลัก(เวียดนาม) ฟาม ทัน ลุค ขณะที่คนอื่นๆ ดื่มน้ำเท่านั้นเมื่อต้องการ เช่นผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ หลุยส์ ลาตูว์ หรือโยคีผู้เป็นอมตะ เดฟราฮา บาบา

ต : ผมยังดื่มน้ำผลไม้หรือชาเป็นบางครั้ง บางครั้งก็ดื่มน้ำ เวลาที่ผมอยากให้ปากมีรสชาติบ้าง แต่เพื่อนของผมไม่ดื่มน้ำเลยเป็นเวลาเกือบสองปี และเขาก็สุขภาพดีมาก ดังนั้นมันเป็นความจริงที่คุณสามารถอยู่ได้โดยไม่กินอะไร และไม่ดื่มอะไรเลย มันเป็นเรื่องความศรัทธา ถ้าคุณใส่ความศรัทธาเข้าในความรู้นั้นว่าแหล่งของขุมทรัพย์นี้สามารถให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ คุณมีทุกสิ่งทุกอย่าง คุณได้รับความชุ่มฉ่ำทั้งหลายจากพื้นโลกด้วยเช่นกันเมื่อคุณมีความเชื่อและค้นพบขุมทรัพย์นั้น

ถ : ชีวิตแต่ละวันจะเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ไม่กินอะไรเลย? เรามาดูชีวิตประจำวันของอะกาฮิ อยากจะรู้ว่ามันเป็นวันพิเศษสำหรับคุณที่เป็นผู้กินอากาศหรือไม่?

ต : บางวันผมก็ออกกำลังกายที่นี่หรือผมก็นั่งสมาธิเพราะผมชอบมาก แสงแดด ผมชอบดูแสงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าและรับพลังงานในตอนเช้าๆ  บางครั้งผมก็ไปที่มุมต่างๆ ของเมืองเพื่อรู้จักเมืองนี้หรือไปนอกเมืองบ้าง ผมชอบเดินทาง ผมชอบมีประสบการณ์แบบต่างๆ ทุกวัน นั่นคือสิ่งที่ผมชอบ เพราะมันเหมือนกับว่าตอนนี้ผมยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนโปรแกรม ข้อมูลภายในทั้งหมดของผม ดังนั้นผมลบข้อมูลจำนวนมากที่มีอยู่ก่อนในชีวิตออกจาก DNA ของผม ข้อมูลที่ผมเลือกแล้วว่า ผมไม่ต้องการแล้ว ดังนั้นตอนนี้ผมใส่โปรแกรมใหม่ให้ DNA  ด้วยข้อมูลแห่งความรัก มันเหมือนกับผมทำหน่วยความจำใหม่และผมต้องการให้ ความจำเหล่านี้มีแต่ความสุข

ถ : การอยู่โดยไม่ต้องกินอาหาร ไม่ใช่สำหรับคนเพียงไม่กี่คนหรือคนที่มีความสามารถพิเศษเลย คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นนักบุญหรือผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณเลยก็ได้ ในการได้รับประโยชน์จากการฝึกการอยู่ด้วยพลังปราณนี้ คุณแนะนำชีวิตแบบนี้ให้คนอื่นๆ หรือไม่?

ต : ใช่ แน่นอน ผมแนะนำให้ทุกๆ คนเพราะมันง่ายจริงๆ และมีความสุขจริงๆ มันเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดในการเป็นผู้กินอากาศ ง่ายจริงๆ และคุณจะพบว่ามันเป็นสภาวะแห่งความสุขจริงๆ คุณจะพบกับเสรีภาพซึ่งการเป็นผู้กินอากาศจะมอบให้คุณ มันเพียงแต่ต้องมีใจและมีความปรารถนาที่ดีงาม เพื่อจดจำตัวคุณเองว่าคุณเป็นคนที่ไร้ขีดข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น

ถ : สำหรับคนที่อยากจะทดลองใช้ชีวิตแบบผู้กินอากาศ อะกาฮิ ได้แบ่งปันความรู้ของเขาและคำแนะนำบางอย่าง

ต : เคล็ดลับสำคัญคือคุณเป็นผู้กินอากาศอยู่แล้ว เวลานี้คุณหายใจด้วยแสงแห่งจักรวาล ในขณะนี้คุณก็เป็นผู้ที่กินอากาศอยู่แล้ว และกระบวนการนี้เริ่มต้นให้คุณแล้ว เพราะเวลานี้คุณรู้ว่าพลังนี้มีอยู่จริงและคุณหายใจเอาพลังนี้ทุกๆ วินาที ดังนั้นเมื่อคุณยอมรับพลังนี้แล้วนั่นแหละ พลังนี้จะรู้ว่าคุณยอมรับมันคล้ายกับว่าพลังนี้มีความฉลาดและมีการรับรู้เหมือนกัน และเมื่อพลังนี้รู้ว่าคุณรู้จักกับมัน มันก็เริ่มเข้ามาหาคุณง่ายมากขึ้น แล้วกระบวนการนี้ก็เริ่มต้นขึ้น หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนานาชนิดอยู่ภายในตัวคุณ มันเพียงแต่ว่าให้เปิดจิตสำนึกรับรู้ว่าพลังนี้มีอยู่และคุณกำลังหายใจมัน แล้วเมื่อคุณทำได้ มันก็เริ่มต้นทันที ผมเห็นภาพต่างๆ ที่สวยงามมากมายอยู่ในตัวผู้คนจำนวนมาก หลายๆ คนที่ผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากในชีวิตของพวกเขา แล้วหลังจากประสบการณ์นี้ ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไป และมันดีมากที่ได้ฟังผู้คนบอกคุณอย่างนั้น เมื่อพวกเขาได้รับความรู้นี้และพวกเขายอมรับความรู้นี้ เวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็รู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ง่ายและพวกเขาก็รู้เรื่องนี้ดี แต่คุณต้องผ่านกระบวนการนี้ เพื่อรับรู้หรือจดจำมันได้ กระบวนการนี้ถูกจัดวางอยู่ในช่องทางพิเศษ เพื่อเปิดจิตสำนึกแห่งปราณในตัวคนเรา ดังนั้นเมื่อคุณผ่านกระบวนการนี้แล้ว มันก็จะชัดเจนมากขึ้น มันง่ายมากในการเป็นผู้กินอากาศหรือการอยู่โดยไม่กินอาหาร

ถ : เวลานี้อะกาฮิให้การฝึกอบรมช่วยผู้ที่ต้องการสละการอยากอาหาร

ต : ความสุขที่ผมพบในชีวิต ผมรู้สึกว่าทุกคนมีความรักอยู่ในหัวใจและทุกๆ คนบนโลกต้องมีความรักนี้ เพื่อรับรู้ถึงมัน ผมรู้สึกดีกับชีวิตผมกับทั้งหมดที่อยู่รอบตัวผมและผมรู้สึกอยู่ข้างในว่าผมปรารถนาให้ผู้อื่นสามารถรู้สึกได้เช่นเดียวกันนี้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมมาทำงานตรงนี้ ทำให้ผมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ทิ้งชีวิตด้านอื่นและทำสิ่งที่ผมทำอยู่เวลานี้

ถ : อะกาฮิ เชื่อว่ามนุษยชาติใกล้ถึงเวลาของการปรับไปสู่จิตสำนึกโลกที่สูงขึ้น อนาคตของดาวโลกอยู่กับการเลือกวิถีชีวิตของเราจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพืชผักหรือการไม่กินอาหารเลย

ต : สิ่งที่พิเศษสุดในช่วงเวลานี้สำหรับดาวโลกและสำหรับมนุษย์ก็คือค้นหาสันติสุขภายในตัวเอง ค้นหาความสุขภายใน ดังนั้นวิธีนี้คุณช่วยคนอื่นได้ด้วย คุณกำลังช่วยโลก มันเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงจากโลกที่มีปัญหาต่างๆ มากมายไปเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความรัก







ติดตามข้อมูลเพิ่มของอะกาฮิได้ที่

www.akahmi.com
email : soy.akahi@hotmail.com
 
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมนุษย์กินอากาศค้นหาได้ที่

www.SupremeMasterTV.com/BMD

				
11 กุมภาพันธ์ 2554 00:37 น.

รอดได้เมื่อภัยมา....

คีตากะ

02231_002.jpgวิธีรอดได้เมื่อภัยมา
(Natural Disaster Servival Guide)

เตรียมพร้อม
ภัยธรรมชาติมักจะมาโดยไม่ทันให้เราตั้งตัว การเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราควรเริ่มดำเนินการทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอให้เห็นสัญญาณอันตรายก่อน อย่าประมาทกับพลังของธรรมชาติ และนี่คือข้อแนะนำการเตรียมความพร้อมเบื้องต้นก่อนภัยมา

เตรียมใจ
สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องเตรียมเป็นอย่างแรก คือ “เตรียมใจ” ไม่ใช่เป็นการเตรียมตัวตาย แต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับความไม่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไปเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
    โดยเฉพาะรู้จัก “การฝึกสติ” ให้เป็นนิสัยประจำตัว จะช่วยในการควบคุมอารมณ์ เพื่อให้การตัดสินใจและแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้อย่างละเอียดรอบคอบขึ้น ซึ่งไม่เพียงจะส่งผลแค่ตัวเราเท่านั้น ยังส่งผลถึงคนในครอบครัวและคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างด้วย

เตรียมสมาชิกในบ้าน
๑ หมั่นติดตามข้อมูลข่าวสารและสนใจฟังประกาศเตือนจากเจ้าหน้าที่รัฐ
๒ เรียนรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติในท้องถิ่นของตนเอง เช่นในกรณีของดินถล่ม เนื่องจากดินถล่มมักจะเกิดซ้ำในที่เดิม โดยขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น
๓ รู้จักสภาพพื้นที่รอบๆ บ้าน โดยอาจสังเกตด้วยตนเอง หรือขอข้อมูลจากศูนย์วิจัยหรือสำนักงานในท้องถิ่น
๔ ถ้าชุมชนมีความเตรียมพร้อม ต้องเรียนรู้กฎความปลอดภัยของชุมชน เรียนรู้ป้ายหรือสัญลักษณ์เตือนภัย ตลอดจนเส้นทางที่ใช้ในการอพยพ และที่ตั้งของศูนย์หลบภัยในชุมชน
๕ ซักซ้อมกับคนในครอบครัว ให้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับแผนการอพยพหนีภัย ควรฝึกซ้อมแผนอพยพในชุมชนจนเคยชินและสามารถหลบหนีได้แม้ในเวลากลางคืน หรือเวลาที่อากาศแปรปรวน
๖ ศึกษาวิธีการปฐมพยาบาลขั้นต้น ตลอดจนฝึกใช้เครื่องมือที่จำเป็น เช่น อุปกรณ์ดับเพลิง
๗ ในกรณีที่อาจเกิดเหตุแผ่นดินไหว ให้ฝึกสมาชิกในครอบครัวให้รู้จักการ “หมอบ” “ป้อง” และ “เกาะ” คือหมอบหลบใต้โต๊ะหรือเก้าอี้ที่มั่นคง ใช้แขนปกป้องศีรษะและคอ และเกาะยึดโต๊ะเก้าอี้ให้มั่นคง
๘ ซักซ้อมทำความเข้าใจกับสมาชิกในบ้านให้ทราบตำแหน่งวาล์วปิดน้ำ วาล์วปิดแก๊ส สะพานไฟฟ้า รวมทั้งแนะนำวิธีปิดด้วย
๙ เรียนรู้อุปกรณ์ในบ้านทุกชนิดที่อาจเป็นอันตรายได้เมื่อเกิดน้ำท่วม ปิดวงจรกระแสไฟฟ้าเมื่อเกิดน้ำท่วม เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และก่อนอพยพออกจากบ้านให้ปิดแก๊สและน้ำประปาในบ้านด้วย
๑๐ ติดเบอร์โทรศัพท์สำหรับกรณีฉุกเฉินไว้ที่โทรศัพท์ทุกเครื่อง รวมทั้งศึกษาวิธีการติดต่อกับหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือได้ในกรณีเกิดภัยพิบัติ เช่น หน่วยงานกาชาดในท้องถิ่น บันทึกเบอร์โทร.ที่สำคัญไว้ในโทรศัพท์มือถือ เพราะเมื่อเกิดเหตุอาจมีเพียงโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานได้(ดูเบอร์โทร.ฉุกเฉินด้านท้าย)
๑๑ เตรียมเส้นทางหนีภัยอย่างน้อยสองทางที่เชื่อมต่อกับเพื่อนบ้าน เพราะหากพลัดหลงกับสมาชิกในครอบครัวจะได้หลบหนีไปพร้อมกัน
๑๒ หากอยู่ในบริเวณเสี่ยงภัยสึนามิ ให้เตรียมเส้นทางหลบหนี ทั้งจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน เลือกที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๐๐ ฟุต (ประมาณ ๓๐ เมตร) หรือห่างไกลชายทะเล ๒ ไมล์(ประมาณ ๓.๒ กิโลเมตร) และสามารถไปถึงได้ภายใน ๑๕ นาที
๑๓ ตระเตรียมสิ่งของจำเป็นให้พร้อมสำหรับการอพยพได้ตลอดเวลา
๑๔ พูดคุยทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวเพื่อให้รู้วิธีปฏิบัติตัวและลดความวิตกกังวล นอกจากจะเตรียมเรื่องสิ่งของจำเป็นแล้วก็ควรเตรียมจิตใจด้วย หากตัดสินใจจะอยู่ต่อในบ้าน การติดอยู่ในบ้านอาจเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเด็กๆ ได้ ดังนั้นหากมีเวลาพ่อแม่ควรจัดให้มีการฝึกซ้อมคล้ายกับการเข้าค่าย โดยเป็นการใช้ชีวิตที่ปราศจากเครื่องอำนวยความสะดวกเป็นเวลา ๑ วัน เพื่อเตรียมตัวเด็กๆ ให้พร้อมรับมือเมื่อเกิดวิกฤต

เตรียมบ้านเรือน
๑ ตรวจดูสิ่งต่างๆ ภายนอกบ้านได้แก่ ตรงบริเวณชานระเบียงหรือรั้ว หากจับโยกแล้วยังเคลื่อนได้ ให้พยายามยึดส่วนนั้นให้มั่นคงขึ้น หรือไม่ก็ถอดออกไปเลย ตลอดจนซ่อมแซมหลังคาและรางระบายน้ำให้แข็งแรง
๒ ควรเสริมโครงสร้างบ้านให้มั่นคงเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว
๓ รถที่ไม่ได้จอดในโรงรถให้จอดบริเวณที่อยู่ใต้ลม เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกพัดพามาโดนตัวบ้านหากเกิดพายุรุนแรง
๔ ยึดอุปกรณ์ที่อยู่นอกบ้าน เช่น โต๊ะเก้าอี้ในส่วน เครื่องเล่นของเด็กๆ ให้มั่นคง ป้องกันพายุพัดพา
๕ หากมีประกาศเรื่องลูกเห็บตกให้คลุมยานพาหนะที่อยู่นอกบ้านด้วยผ้าหนาๆ 
๖ ควรตัดเล็มกิ่งไม้ และตัดกิ่งไม้ตายที่อยู่ใกล้บริเวณบ้านออก
๗ ตรวจดูสายไฟที่เชื่อมต่อเข้ามาในตัวบ้าน หากพบว่าไม่มั่นคงให้รีบซ่อมแซม
๘ ยึดชั้นวางของหรืออุปกรณ์ห้อยแขวนภายในบ้านให้มั่นคง ย้ายของน้ำหนักมากมาวางไว้ในที่ต่ำ
๙ รูปแขวนหรือกระจกควรอยู่ห่างจากเตียงนอนและโซฟา หากมีสิ่งเหล่านั้นแขวนอยู่ใกล้ๆ ให้ปลดลง
๑๐ ตรวจดูว่าอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก หรือท่อน้ำยึดติดกับโครงของผนังบ้านหรือส่วนที่แข็งแรงของบ้านเป็นอย่างดีแล้วและยึดเครื่องเรือนหรือของใช้ชิ้นหนักให้ติดกับพื้นหรือผนังบ้าน
๑๑ เตรียมที่ปลอดภัยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ เพราะศูนย์หลบภัยอาจไม่รับเลี้ยงสัตว์
๑๒ เตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในภาวะฉุกเฉินไว้ในที่ที่ทุกคนในบ้านรู้และหยิบฉวยได้ เช่น ไฟฉาย ยา กระเป๋ายังชีพ เครื่องดับเพลิง เป็นต้น ฯลฯ เตรียมถ่านหรือแบตเตอรี่สำรองไว้สำหรับไฟฉาย มือถือและวิทยุเสมอ
๑๓ เมื่อทราบว่าบ้านอยู่ในเขตที่อาจเกิดดินถล่มได้ ให้ติดต่อบริษัทที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเคลื่อนของดินเพื่อขอคำปรึกษาในการแก้ไขปรับปรุงบ้านให้พร้อมรับสถานการณ์ อย่าแก้ไขต่อเติมบ้านเองโดยไม่มีความรู้
๑๔ ติดตั้งท่อก๊าซและท่อประปาที่มีความยืดหยุ่นสูง หลีกเลี่ยงการก่อสร้างที่พักอาศัยใกล้จุดที่มีความเสี่ยงจะเกิดสึนามิ
๑๕ หากอาศัยใกล้ชายหาด ควรปลูกสร้างเขื่อน ต้นไม้ หรือวัสดุที่ช่วยลดแรงปะทะของคลื่น
๑๖ หากประเมินแล้วว่าบ้านไม่มั่นคงพอ ใช้หลบภัยไม่ได้ และต้องอพยพไปที่อื่น ให้แจ้งคนรู้จักให้ทราบด้วยว่าเราจะอพยพไปที่ใด

เตรียมสิ่งจำเป็น
ในกรณีที่ไม่จำเป็นต้องอพยพไปไหน ควรเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ในบ้าน ดังนี้
๑ น้ำ (๑ แกลลอนต่อคนต่อวัน) อาหารกระป๋อง อาหารแห้งและที่เปิดกระป๋อง เตรียมไว้ให้พอสำหรับสองสัปดาห์
๒ ยารักษาโรค อุปกรณ์ และคู่มือปฐมพยาบาล
๓ วิทยุใส่ถ่าน ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง ไฟแช็กจำนวนหนึ่ง
๔ เสื้อผ้าสะอาด รองเท้าหุ้มส้น หรือรองเท้ายาง
๕ ถุงนอนและผ้าห่มสำรอง
๖ ไอโอดีนเม็ด และคลอรีนแบบใช้ในบ้านแบบไม่มีกลิ่นสำหรับทำน้ำให้สะอาด
๗ นม อาหารเด็ก ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับเด็ก
๘ กระดาษชำระหรือผ้าทำความสะอาดแบบใช้แล้วทิ้ง (หรือผ้าเช็ดทำความสะอาดของเด็ก)
๙ ของใช้อนามัยส่วนตัว เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผ้าอนามัย ฯลฯ
๑๐ อุปกรณ์ทำความสะอาด ผงซักฟอก ไม้กวาด ไม้ถูพื้น
๑๑ เติมน้ำมันรถไว้ให้พร้อม เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินติดรถ เช่น อาหาร พลุสัญญาณ สายต่อพ่วง แผนที่ อุปกรณ์ช่าง ชุดปฐมพยาบาล เครื่องดับเพลิง
๑๒ อุปกรณ์ใช้ครั้งเดียวทิ้ง จำพวกชาม ช้อน ถ้วยกระดาษ พร้อมถุงพลาสติกใส่ขยะ
๑๓ ภาชนะเก็บความเย็น
๑๔ เติมเชื้อเพลิงเต็มถังไว้ใช้ในบ้าน
๑๕ เตาไฟฟ้าปิกนิค ตะเกียงและเชื้อเพลิงสำหรับเติม ไม่ควรใช้เทียนเพราะหากเทียนล้มจะทำให้เกิดอัคคีภัยได้
๑๖ เครื่องดับเพลิงชนิด ABC (เป็นเครื่องดับเพลิงอเนกประสงค์ใช้ดับเพลิงได้ทุกชนิด)
๑๗ อุปกรณ์ช่าง เช่น ค้อน ตะปู เชือก เลื่อย ผ้าใบกันน้ำ ฯลฯ
๑๘ จัดเตรียมกระเป๋ายังชีพไว้ใกล้ตัวกรณีฉุกเฉินที่ต้องอพยพ เช่น น้ำท่วม การปลดปล่อยก๊าซมีเทนหรือก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟส์จากมหาสมุทร

กระเป๋ายังชีพ
ควรประกอบด้วยสิ่งที่จำเป็นดังนี้
๑ อาหารแห้ง น้ำ พร้อมภาชนะใส่ และอุปกรณ์ทำครัวขนาดพกพา
๒ ผ้าห่ม ถุงนอน และเต้นนอน
๓ เสื้อผ้าหนาสัก ๒-๓ ชุด
๔ ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง
๕ รองเท้าหุ้มส้นป้องกันเท้าบาดเจ็บ
๖ ยารักษาโรคและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล
๗ ไฟแช็ก ตะเกียง มีดผ่าฟืนหรือมีดอเนกประสงค์
๘ ของใช้ส่วนตัว เช่น ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ กระดาษชำระ ขัน ยากันยุง ฯลฯ
๙ นกหวีด แผนที่ เข็มทิศ หรือพลุสัญญาณ
๑๐ สำเนาเอกสารประจำตัว รูปถ่ายของตัวเองและบุคคลในครอบครัว เก็บไว้ในถุงกันน้ำ

อพยพหรืออยู่ต่อ....
การตัดสินใจว่าจะอพยพหรืออยู่ต่อนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะภัยพิบัติที่เกิดในบ้านเรามีทั้งภัยที่ร้ายแรงจนอาจต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์หลบภัยหรือที่หลบภัยที่เหมาะสม และแบบที่ไม่ร้ายแรงซึ่งเราพอจะอยู่ต่อไปในบ้านได้ เช่น น้ำท่วมแบบไม่รุนแรงแต่ก็อาจจะกินเวลานานถึงสัปดาห์ จึงต้องพูดคุยซักซ้อมกับคนในครอบครัวให้ดีไม่ว่าจะตัดสินใจอพยพหรืออยู่ต่อ และต้องคุยแต่เนิ่นๆ เพราะอาจไม่มีเวลามากพอให้คิดหาหนทางเมื่อใกล้จะเกิดเหตุ เมื่อพูดคุยกันอย่างจริงจัง เราจะพบว่ามีปัญหามากมายที่จะต้องแก้ไขเมื่อเกิดเหตุขึ้นจริงๆ ดังนั้นจงตัดสินใจให้เร็ว อย่าชะล่าใจหรือปล่อยให้เหตุการณ์จวนตัว

ข้อควรพิจารณาว่าจะอพยพคนในครอบครัวไปอยู่ในที่ปลอดภัย หรือตัดสินใจอยู่ในบ้านต่อไป ดูได้จากปัจจัยต่อไปนี้
๑ คุณอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุธรรมชาติชนิดใด (พายุ น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว ก๊าซรั่ว  เขื่อนแตก สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด การปล่อยก๊าซมีเทน ฯลฯ)
๒ โครงสร้างของบ้านสามารถต้านทานความแรงของพายุได้หรือไม่
๓ ส่วนที่เปิดได้ เช่น หน้าต่าง ประตูเลื่อน บานเกล็ดสามารถกันลมฝนได้หรือไม่
๔ มีสมาชิกในครอบครัวคนใดบ้างที่ต้องการการรักษาพยาบาลที่ไม่สามารถจัดการกันเองได้หรือไม่
๕ ในบ้านมีปัจจัยหรือที่หลบภัย เช่น อาหารและน้ำ มากพอจะประทังชีวิตให้อยู่รอดได้จนกว่าภัยธรรมชาตินั้นจะผ่านพ้นไปหรือไม่

หากต้องอพยพ ต้องทราบก่อนว่า
๑ คุณจะไปหลบภัยที่ไหน มีเส้นทางใดบ้างที่จะไปถึงได้ ต้องใช้เวลามากเท่าใด เพราะระหว่างการซักซ้อมกับความจริงมักต่างกันมาก การขับรถ ๑๕ นาที อาจกลายเป็น ๔ ชั่วโมงได้เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นจริงเนื่องจากรถติด(เพราะต่างคนก็ต่างรีบไป)
๒ เตรียมอาหารและสิ่งของที่จำเป็นไว้พอสำหรับ ๓ วัน(ยกเว้นภัยพิบัติการปล่อยก๊าซมีเทน)
๓ จะนำสัตว์สัตว์เลี้ยงไปไว้ที่ใด

ข้อปฏิบัติตัวหากจะทำการอพยพ
๑ สนใจฟังประกาศเตือนจากเจ้าหน้าที่รัฐ
๒ ปิดแก๊ส ปิดวาล์วน้ำประปา สับสะพานไฟฟ้า และระวังอย่าให้ตัวเปียกระหว่างปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า
๓ ล็อกบ้าน และอย่าลืมนำอุปกรณ์ยังชีพพร้อมเอกสารและรูปถ่ายไปด้วย
๔ หากคุณออกจากบ้านไปก่อนมีการออกประกาศเตือน ควรแจ้งให้เพื่อนบ้าน หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทราบด้วยว่าคุณจะไปที่ไหน
๕ เติมน้ำมันให้เต็มถังอยู่เสมอพร้อมสำรองบางส่วนเท่าที่จำเป็น(เพราะเวลาฉุกเฉินอาจไม่มีปั๊มไหนเติมได้) เก็บเงินสดไว้บ้างเผื่อจำเป็นฉุกเฉิน และเก็บบัตรประจำตัวหรือทะเบียนบ้านไว้กับตัวในกรณีขออนุญาตเจ้าหน้าที่รัฐกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งหลังภัยพิบัติสงบลง

หากตัดสินใจจะอยู่ในบ้านต่อไป ต้องพิจารณาก่อนว่า
๑ มีเครื่องป้องกันบริเวณหน้าต่างประตูหรือไม่
๒ ใช้เวลามากเท่าใดในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันนั้นๆ
๓ มีปัญหาน้ำซึมเข้าบ้านหรือไม่
๔ จะจัดการช่วยเหลือทางการแพทย์ให้สมาชิกในครอบครัวได้อย่างไร
๕ ต้องเก็บอาหารหรือปัจจัยอะไรบ้างไว้ในบ้าน(ดูหัวข้อสิ่งของที่ต้องจัดเตรียมไว้ในบ้าน)
๖ มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อื่นใดบ้างหลังพายุสงบ
๗ จะจัดเก็บเอกสารสำคัญไว้ที่ใด
๘ ควรบอกให้ญาติพี่น้องที่อยู่ไกลทราบว่าเราตัดสินใจจะอยู่บ้านต่อไปหรือไม่
๙ เตรียมพร้อมที่จะอยู่ในบ้านโดยไม่มีน้ำไฟหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ได้ถึง ๒ สัปดาห์หรือไม่

การรับมือ
วิธีปฏิบัติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติต่างๆ มีดังนี้
พายุ
๑ ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
๒ ถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด และปิดแก๊ส
๓ อยู่ในบ้าน ปิดหน้าต่าง ย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยและมั่นคงที่สุดของบ้าน เช่น ห้องน้ำ ห้องใต้ดิน
๔ หากพายุพัดเข้ามาในบ้านได้ ให้หาอุปกรณ์ในบ้านกำบังตัวเช่น โต๊ะ เตียง ฟูกที่นอน ผ้าห่ม ผ้าใบกันน้ำ
๕ เตรียมพร้อมรับพายุรอบสองเมื่อ “ตาพายุ” ผ่านไป
๖ หากขับรถอยู่ขณะเกิดพายุ ให้หาที่ปลอดภัยเพื่อจอดรถและควรห่างไกลจากสายไฟ ต้นไม้ แม่น้ำ

น้ำท่วม
๑ สับวงจรจ่ายไฟฟ้าในบ้านลง
๒ น้ำเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าได้ เพราะฉะนั้นให้อยู่ห่างจากสายไฟ อย่าเดินผ่าน หรืออยู่ใกล้สายไฟหรือสัมผัสวงจรไฟฟ้าเมื่อมือเปียก หรือยืนอยู่บนที่เปียกหรือชื้นแฉะ
๓ อาจมีสัตว์ป่าหลุดจากป่า หรือมีสัตว์เลี้ยงที่พลัดจากบ้านในช่วงน้ำท่วม พยายามหลีกเลี่ยงสัตว์เหล่านี้ หรืออย่าพยายามต้อนจับสัตว์เอง หากมีความจำเป็นต้องทำ ให้แจ้งหน่วยงานควบคุมสัตว์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
๔ หากถูกสัตว์ใดก็ตามกัด ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน และหากถูกงูกัด ต้องระบุให้ได้ว่าเป็นงูชนิดใด เพราะหากเป็นงูพิษจะต้องใช้เซรุ่มต้านพิษงูที่ถูกต้อง
๕ ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หรือทายากันยุง

แผ่นดินไหว
๑ หากอยู่ในห้อง ให้หาจุดปลอดภัยภายในห้องเช่น โต๊ะ เก้าอี้ที่มั่นคงซึ่งอยู่ในด้านที่ไม่มีสิ่งของหล่นใส่ได้ เช่น ใกล้เสาหรือคาน และให้อยู่ห่างจากประตู หน้าต่าง ระเบียง ชั้นหนังสือ หรือเครื่องเรือนขนาดใหญ่
๒ หมอบหลบที่พื้นใต้โต๊ะ หรือใต้เก้าอี้ที่แข็งแรง (สำหรับวิธีการอื่นๆ ที่น่ารู้ : ดูสามเหลี่ยมชีวิต)
๓ อยู่ในบ้านหรืออาคารจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุด เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บจากสิ่งของหล่นใส่ได้หากวิ่งออกจากจุดเกิดเหตุในทันที
๔ หากอยู่ด้านนอกอาคารให้หมอบลงกับพื้นในที่โล่งกว้าง ห่างจากอาคาร ต้นไม้ และสายไฟฟ้า
๕ หากอยู่ในรถให้ชะลอรถ หาที่ปลอดภัยแล้วจอดรอจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุด ห้ามหยุดใต้สะพาน ทางด่วน หรือเสาไฟฟ้าแรงสูง
๖ อย่าใช้ไฟ หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วระหว่างเกิดแผ่นดินไหว ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด
๗ หากอยู่บริเวณชายหาด ให้อยู่ห่างจากชายฝั่งเพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง และหากได้รับรายงานว่าจะมีคลื่นขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวซัดเข้าหาฝั่งบริเวณท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่ให้นำเรือที่จอดออกทะเลทันที เพราะคลื่นที่อยู่ห่างจากฝั่งจะมีขนาดเล็กกว่าคลื่นที่อยู่ใกล้ฝั่ง

หมายเหตุ : สามเหลี่ยมชีวิต
“สามเหลี่ยมชีวิต” เป็นวิธีป้องกันตัวอีกวิธีหนึ่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่ในอาคารที่น่าสนใจ ได้รับการทดลองแล้วโดยผู้มีประสบการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวและอาคารถล่มว่าสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ หากปฏิบัติตามอย่างมีสติ 
    หลักการของ “สามเหลี่ยนมชีวิต” คือ บริเวณที่ปลอดภัยสำหรับการป้องกันตัวจากสิ่งของหรือชิ้นส่วนอาคารหล่นใส่ ไม่ใช่บริเวณข้างใต้สิ่งกำบัง (โต๊ะ เตียง เก้าอี้ ฯลฯ) เพราะสิ่งกำบังนั่นเองอาจยุบตัวลงทับตัวเราเมื่อถูกน้ำหนักมหาศาลของตัวอาคารถล่มทับ แต่บริเวณที่ปลอดภัย คือ บริเวณรอบๆ สิ่งกำบัง ซึ่งเมื่อสิ่งของหรือซากอาคารถล่มใส่จะเหลือพื้นที่เล็กๆ ลักษณะเป็นสามเหลี่ยมให้เราสามารถแทรกตัวและรอดชีวิตได้
    ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า หากเราอยู่ในอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว แทนที่จะหลบใต้สิ่งกำบัง ให้หมอบลงข้างๆ แทน เช่น ข้างขาโต๊ะ หรือขาเตียง เพราะเมื่ออาคารถล่มลงสิ่งกำบังนั้นจะช่วยค้ำยันชิ้นส่วนอาคารที่หล่นลงมาไม่ให้ทับตัวเราได้

ดินถล่ม
๑ ตื่นตัวพร้อมรับสถานการณ์อยู่เสมอ การตายเพราะดินถล่มมักเกิดขึ้นเวลานอนหลับ
๒ ติดตามข่าวสารจากวิทยุหรือโทรทัศน์เมื่อเกิดฝนตกหนัก
๓ หากอยู่ในพื้นที่ที่สงสัยว่าจะเกิดดินถล่ม ให้รีบอพยพออก แต่จำไว้ว่าหากเดินทางตอนเกิดพายุมักจะมีอันตราย ถ้ายังอยู่ในบ้านให้หลบขึ้นบริเวณชั้นสอง
๔ ตั้งใจฟังเสียงที่เป็นสัญญาณว่ากำลังเกิดดินถล่ม เช่น เสียง ต้นไม้หัก เสียงก้อนหินหล่นกระทบกัน
๕ หากอยู่ใกล้บริเวณที่เป็นช่องทางน้ำไหล หรือลำธารให้ระวังการเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำอย่างฉับพลัน หรือการเปลี่ยนแปลงจากน้ำใสเป็นน้ำโคลนขุ่นข้น
๖ ขับรถด้วยความระมัดระวัง เพราะถนนอาจขาด เต็มไปด้วยโคลนตม หรือก้อนหินที่ถล่มลงมา
๗ ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ หากตกอยู่ในอันตราย
๘ คอยดูการไหลของน้ำผิวดินที่อยู่ใกล้บริเวณบ้าน
๙ วิธีที่ดีที่สุดคือหลบให้พ้นจากเส้นทางที่ดินถล่ม ไปอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัย
๑๐ หากหลบไม่พ้นให้ขดตัวเป็นลูกบอล ท่านี้ช่วยป้องกันร่างกายได้ดีที่สุด

สึนามิ
๑ เมื่อได้รับประกาศเตือนอย่างเป็นทางการให้หลบหนีทันที เพราะเจ้าหน้าที่จะออกประกาศเตือนได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยืนยันแล้วว่าจะเกิดสึนามิจริง จึงอาจเหลือเวลาหลบหนีไม่มาก
๒ สังเกตดูความเปลี่ยนแปลงในทะเลอย่างใกล้ชิด หากน้ำทะเลลดระดับมากผิดปกติหลังเกิดแผ่นดินไหว สันนิษฐานได้ว่าอาจเกิดสึนามิตามมา ให้อพยพคนและสัตว์เลี้ยงออกจากบริเวณชายฝั่งไปอยู่ที่สูง
๓ หากเกิดแผ่นดินไหวเมื่อคุณอยู่บริเวณชายหาดพอดี ให้ทำการ “หมอบ” “ป้อง” และ “เกาะ” คือหมอบลงกับพื้น ใช้แขนปกป้องศีรษะและคอ และหาที่เกาะยึดที่มั่นคง เพราะสิ่งสำคัญคือต้องปกป้องตัวเองจากการเกิดแผ่นดินไหวก่อน
๓ เมื่อแผ่นดินไหวสงบ ให้เตือนภัยทุกคนในบริเวณนั้นและหลบหนีขึ้นที่สูงทันที เพราะสึนามิอาจเกิดตามมาในเวลาไม่กี่นาที
๔ หากหากอยู่ที่ท่าเรือให้นำเรือออกจากฝั่งไปกลางทะเล  เพราะคลื่นที่อยู่ห่างจากฝั่งจะมีขนาดเล็กกว่าคลื่นใกล้ชายฝั่ง
๕ รออยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยสักระยะหนึ่งก่อน อย่าเพิ่งกลับไปที่ชายฝั่งโดยทันที เพราะอาจมีระลอกคลื่นเกิดซ้ำ

อัคคีภัย
กรณีเกิดไฟป่า
๑ ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เมื่อได้รับคำเตือนว่าเกิดไฟป่าและติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
๒ นำรถเข้าจอดในโรงรถ หันหน้ารถออกในทางที่จัดไว้ให้เป็นเส้นทางหนีไฟ ปิดประตูหน้าต่าง เสียบกุญแจรถไว้ในช่องสตาร์ต
๓ รวมสัตว์เลี้ยงไว้ในบริเวณเดียวกัน และวางแผนอพยพสัตว์เลี้ยงในกรณีที่จำเป็น

เมื่อได้รับคำแนะนำให้อพยพ ต้องดำเนินการโดยทันที ดังนี้
๑ สวมเสื้อผ้าที่ช่วยป้องกันร่างกาย เช่น รองเท้าหุ้มข้อ เสื้อที่อบอุ่น กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว และผ้าเช็ดหน้าสำหรับปิดปากจมูก
๒ นำกระเป๋ายังชีพที่เตรียมไว้ไปด้วย
๓ ล็อกบ้าน และบอกเพื่อนบ้านเอาไว้ในกรณีที่คุณจะอพยพออกไป
๔ เดินทางไปตามเส้นทางหนีไฟ คอนระวังดูการเปลี่ยนแปลงของความเร็วในการลุกลามและทิศทางของไฟและควัน

หากพอมีเวลา ให้ทำตามขั้นตอนนี้เพื่อป้องกันบ้านของคุณ
๑ ปิดหน้าต่าง ช่องระบายลม ประตู บานเกล็ด หรือม่านบังหน้าต่าง และม่านประดับ ถอดม่านที่มีน้ำหนักเบาออกไป
๒ เคลื่อนย้ายเครื่องเรือนที่ติดไฟง่ายไปไว้กลางบ้าน ให้ห่างจากหน้าต่างหรือประตูกระจกบานเลื่อน
๓ เปิดไฟทุกห้องเพื่อให้คนภายนอกหาบ้านของคุณพบหากเกิดควันไฟหนาทึบ
๔ ต่อสายยางกับหัวก๊อกนอกบ้าน
๕ วางสายฉีดสปริงเกลอร์บนหลังคาและที่ใกล้กับถังเชื้อเพลิง เปิดน้ำให้หลังคาเปียก
๖ ฉีดน้ำใส่ต้นไม้บริเวณรอบบ้านในระยะสิบห้าฟุตให้ชุ่ม
๗ นำอุปกรณ์ช่วยดับเพลิงมาวางไว้ด้วยกัน

กรณีเกิดเพลิงไหม้บ้านหรืออาคาร
หลังเกิดเหตุภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว หรือสึนามิที่ก่อความเสียหายให้ตัวอาคารและบ้านเรือน อาจเกิดอัคคีภัยตามมาได้ เนื่องจากการรั่วไหลของเชื้อเพลิงตามจุดต่างๆ หากเกิดเหตุขึ้นให้ตั้งสติ และปฏิบัติตามขั้นตอนนี้เพื่อความปลอดภัย
๑ สกัดจุดเกิดเหตุ ปิดประตูหน้าต่างห้องที่เกิดเพลิงไหม้ให้สนิทที่สุดเพื่อป้องกันการลุกลามของเพลิง แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีใครติดอยู่ข้างใน แล้วรีบวิ่งหนีออกมา
๒ แจ้งเหตุส่งสัญญาณ เปิดสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ หากไม่มีอุปกรณ์แจ้งเหตุฉุกเฉิน ให้ช่วยกันตะโกนดังๆ หลายๆ ครั้งว่า “ไฟไหม้” จากนั้นรีบโทรศัพท์เรียกหน่วยดับเพลิงทันที
๓ อย่าลนลานหาทางหนี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ให้มองทางหนีไฟไว้อย่างน้อย ๒ ทาง พร้อมสังเกตอุปกรณ์ช่วยชีวิตและอุปกรณ์หนีไฟไว้ด้วยว่าอยู่ตรงไหนและใช้อย่างไร อย่าใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนขณะเกิดไฟไหม้ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้จะหยุดการทำงานเนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้า ให้ใช้บันไดหนีไฟเท่านั้น
๔ จะให้ดีต้องตรวจสอบ หากอยู่ในอาคารที่มีเพลิงไหม้ก่อนจะเปิดประตูให้นั่งชันเขาให้มั่นคงหลังประตู ใช้หลังมือแตะที่ลูกปิดประตู ถ้ามีความร้อนสูงแสดงว่ามีเพลิงไหม้อยู่บริเวณใกล้ๆ อย่าเปิดประตูโดยเด็ดขาด แต่หากลูกบิดไม่ร้อน ให้ค่อยๆ บิดออกช้าๆ โดยใช้ไหล่คอยหนุนประตูไว้
๕ คลานหมอบใต้ควัน หากต้องฝ่าควันไฟ ให้ใช้ผ้าหรือผ้าห่มชุบน้ำชุ่มๆ ปิดจมูกไว้ แล้วคลานต่ำๆ และหนีไปยังทางออกฉุกเฉิน เพราะอากาศที่พอหายใจได้จะอยู่ด้านล่างเหนือพื้นห้องไม่เกิน ๑ ฟุต และควรเตรียมหน้ากากหนีไฟฉุกเฉิน หรืออาจใช้ถุงพลาสติกใสขนาดใหญ่ตักอากาศบริสุทธิ์ แล้วคลุมศีรษะหนีฝ่าควันออกมา เพราะการคลานต่ำจะไม่สามารถทำได้จากชั้นบนลงชั้นล่างที่มีควัน
๖ อย่าหวั่นเมื่อติดกับ หากติดอยู่ในวงล้อมของไฟ ให้โทรศัพท์แจ้งหน่วยดับเพลิงว่าท่านอยู่ที่ตำแหน่งใดของเพลิงไหม้แล้วหาทางช่วยเหลือตัวเองโดยปิดประตูให้สนิท หาผ้าหนาๆ ชุบน้ำอุดตามช่องที่ควันเข้าได้ เช่น ใต้ประตูหรือช่องลมต่างๆ ปิดพัดลมและเครื่องปรับอากาศ แล้วเปิดหน้าต่างส่งสัญญาณด้วยการโบกผ้า และตะโกนขอความช่วยเหลือ
๗ ดับไฟไหม้ตัว หากมีไฟลามติดตัวหรือเสื้อผ้า อย่าวิ่ง! เพราะไฟจะลุกลามเร็วขึ้น ให้หยุด ทรุดกาย แล้วกลิ้งกับพื้นเพื่อดับไฟ พร้อมเอามือปิดหน้า
๘ รวมตัว ณ จุดหมาย เมื่อหนีจากที่เกิดเหตุได้แล้ว ให้ไปรวมพลยังจุดนัดพบหรือสถานที่ที่ใกล้จุดเกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบจำนวนคนและหาผู้ที่ยังติดค้างอยู่

วิธีการใช้ถังดับเพลิง
“ดึง-ปลด-กด-ส่าย”
๑ ดึง หมายถึง ดึงสลักล็อกออก
๒ ปลด หมายถึง ปลดสายฉีด ชี้ปลายไปที่ฐานไฟ วิธีการจับสายฉีด ใช้มือข้างไม่ถนัดุจับให้หัวแม่มือชี้ระนาบไปทิศทางเดียวกับปลายสาย ปลายหัวแม่มือห่างจากปลายสายประมาณ ๑-๒ ซ.ม. นิ้วทั้งสี่กำสายให้แน่น
๓ กด หมายถึงกดคานเพื่อปล่อยน้ำยาจากถัง วิธีการยกถังและกดคาน ให้ใช้นิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วก้อย เรียงชิดติดกันสอดคานล่าง (ส่วนมือจับตัวล่าง)ใช้ฝ่ามือด้านหัวแม่มือวางระนาบบนคานบน (ส่วนมือจับตัวบน) หัวแม่มือชี้ตรงไปกับคาน ใช้แรงจากต้นหัวแม่มือกดคานทั้งสองเข้าหากัน
๔ ส่าย หมายถึง ส่ายสายฉีดไปมาให้น้ำยาดับเพลิงกระจายทั่วฐานไฟ

เยียวยา
วิธีปฏิบัติหลังเกิดภัยพิบัติแยกตามประเภทของภัยพิบัติ ดังนี้
พายุ
๑ ติดตามข่าวสารต่อไป
๒ อย่าออกไปข้างนอกจนกว่าจะได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศว่าปลอดภัยแล้ว เพราะอาจมีพายุอีกลูกพัดผ่านมาในเส้นทางเดียวกัน
๓ หากคุณอพยพออกไปแล้ว อย่ากลับเข้าบ้านจนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าปลอดภัย และเมื่อจะกลับบ้านให้ใช้เส้นทางที่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ และเดินทางอย่างมีสติ
๔ อย่าใช้โทรศัพท์โดยไม่จำเป็น โทร.เบอร์ฉุกเฉินเฉพาะเมื่อได้รับบาดเจ็บร้ายแรงหรือต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น
๕ ระวังสายไฟฟ้าที่ขาด ซากต้นไม้ อาคารชำรุด เศษซากปรักหักพัง หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วม
๖ อย่าเปิดไฟจนกว่าจะแน่ใจได้ว่าปลอดภัยและอย่าเปิดไฟหากตัวเปียกน้ำ
๗ อย่าออกเดินเพ่นพ่าน หลีกเลี่ยงการใช้ถนนเพื่อหน่วยฉุกเฉินจะได้ใช้เดินทางไปให้ความช่วยเหลือได้สะดวก
๘ ติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอคำแนะนำสำหรับความเสียหาย(กรณีทำประกันไว้)

น้ำท่วม
๑ ล้างมือด้วยสบู่และน้ำที่ต้มหรือฆ่าเชื้อเสมอเมื่อจะปรุงอาหาร รับประทานอาหาร และหลังจากเข้าห้องน้ำ หรือหลังจากสัมผัสกับน้ำที่ท่วมและน้ำโสโครก
๒ ช่วยกันทำความสะอาดชุมชนเมื่อเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านไป
๓ คอยฟังประกาศเรื่องความปลอดภัยของน้ำประปาแถวบ้าน แหล่งน้ำสาธาณะที่ถูกน้ำท่วมจะต้องมีการทดสอบและฆ่าเชื้อหลังเหตุน้ำท่วม หากตรวจพบอะไรน่าสงสัยให้รีบแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่น
๔ น้ำดื่มที่ปลอดภัย คือน้ำบรรจุขวด น้ำต้มหรือผ่านกระบวนการแล้ว ซึ่งหน่วยงานด้านสาธารณสุขในท้องถิ่นสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีทำความสะอาดน้ำแก่คุณได้

แผ่นดินไหว
๑ ตรวจดูตัวเองและคนข้างเคียงว่าบาดเจ็บหรือไม่ และทำการปฐมพยาบาล
๒ หลังแผ่นดินไหวสงบให้ออกจากอาคารทันที เพราะอาจเกิดแผ่นดินไหวซ้ำได้
๓ เมื่อจะออกจากอาคาร ให้ตั้งสติ อย่าแตกตื่น และอย่าไปออกันที่ทางออก
๔ หากออกจากอาคารไม่ได้ ให้หลบอยู่ใต้โต๊ะ หรืออยู่ชิดกับโครงสร้างอาคารที่แข็งแรง เช่น เสา
๕ ตรวจดูว่ามีแก็สรั่วไหลหรือไม่ด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น และปิดวาล์วน้ำ วาล์วแก๊ส และสะพานไฟฟ้า
๖ คอยติดตามข่าวการเกิดภัยพิบัติอย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมสำหรับการอพยพออกนอกพื้นที่ประสบเหตุ
๗ ใช้โทรศัพท์เท่าที่จำเป็นและโทร.เข้าเบอร์ฉุกเฉินเฉพาะเมื่อต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น
๘ สวมรองเท้าหุ้มส้นที่มีพื้นรองเท้าหนาเพื่อป้องกันเศษกระจกบาด และสวมเสื้อผ้าหนาๆ 

ดินถล่ม
๑ อยู่ให้ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุดินถล่ม เพราะอาจเกิดเหตุซ้ำได้
๒ ตรวจดูว่ามีใครติดอยู่ในบริเวณดินถล่มหรือไม่ แล้วแจ้งให้ผู้ช่วยเหลือทราบ โดยไม่พยายามเข้าไปในพื้นที่ด้วยตัวเอง
๓ ติดตามฟังข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
๔ ให้ระมัดระวังว่าจะเกิดน้ำท่วมซ้ำ เพราะน้ำท่วมมักมาพร้อมกับดินถล่ม
๕ ตรวจตราดูว่ามีสาธารณูปโภคจุดใดบ้างที่เกิดความเสียหาย แล้วแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาซ่อมแซม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายตามมา เช่น ความเสียหายที่มีต่อเสาไฟฟ้า ท่อประปา ฯลฯ
๖ รีบทำการปลูกพืชคลุมหน้าดินหลังเกิดเหตุ เนื่องจากหน้าดินที่ไม่มีสิ่งปกคลุมอาจก่อให้เกิดอันตรายเมื่อมีเหตุน้ำท่วมฉับพลันได้

สึนามิ
๑ ติดตามข่าวสารภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง
๒ ทำการปฐมพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บ ให้ความช่วยเหลือเด็ก คนชรา และผู้ที่ติดอยู่ตามสถานที่ต่างๆ 
๓ โทร.เบอร์ฉุกเฉินเมื่อจำเป็นถึงแก่ชีวิตเท่านั้น เพื่อให้สายฉุกเฉินว่างสำหรับเปิดรับสายที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
๔ หลีกเลี่ยงสายไฟที่ขาด รวมทั้งตึกและสะพาน เพราะสิ่งก่อสร้างที่ไม่มั่นคงจะเป็นอันตรายได้ในกรณีเกิดอาฟเตอร์ช็อก
๕ อยู่ห่างจากอาคารที่มีน้ำท่วมอยู่รอบๆ เพราะคลื่นสึนามิอาจทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอาคารทำให้พื้นแตก หรือกำแพงภายในอาจเกิดการถล่มได้
๖ จะกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแจ้งว่าปลอดภัยแล้ว เพราะการเดินทางเข้าออกบริเวณที่มีความเสียหายนอกจากจะเป็นอันตรายต่อตัวเองแล้ว ยังอาจไปขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่กำลังให้ความช่วยเหลืออยู่ก็ได้
๗ เมื่อกลับเข้าบ้านให้สวมรองเท้าหุ้มข้อเพื่อป้องกันเท้าบาดเจ็บ ใช้ไฟฉายตรวจสอบความเสียหายแทนเทียนหรือตะเกียงที่อาจทำให้เกิดอัคคีภัยได้ หากมีแก๊สรั่ว
๘ ตรวจดูกำแพง พื้น ประตู หน้าต่าง บันได และเพดานว่ามีแนวโน้มจะพังทลายลงมาหรือไม่
๙ ตรวจดูฐานรากของบ้านว่าได้รับความเสียหายหรือไม่ เพื่อประเมินว่าปลอดภัยพอจะกลับเข้ามาอยู่อาศัยได้
๑๐ ตรวจดูว่าเกิดความเสียหายกับระบบน้ำ ไฟ แก๊สในบ้านหรือไม่ หากมีให้รีบปิดวาล์วน้ำ วาล์วถังแก๊ส หรือสับสะพานไฟ หากต้องการใช้น้ำในบ้านต้องให้แน่ใจว่าระบบท่อน้ำไม่ได้เสียหายหรือปนเปื้อน ทางที่ดีควรใช้น้ำที่ต้มแล้ว
๑๑ ระวังสัตว์ป่า หรือสัตว์เลื้อยคลานที่มากับน้ำ ซึ่งอาจซ่อนตัวอยู่ตามเศษซากสิ่งของในบ้าน
๑๒ ทำความสะอาดบ้านและเปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้บ้านแห้งเร็วขึ้น
๑๓ ทิ้งอาหารที่สัมผัสกับน้ำไป เพราะอาจมีการบนเปื้อน

การเตรียมพร้อมรับมือกับการปล่อยก๊าซมีเทนและไฮโดรเจนซัลไฟด์
    ภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังส่งสัญญาณบางอย่าง ให้มวลมนุษย์เตรียมพร้อมรับกับจุดวิกฤตขั้นร้ายแรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น แม้นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจระบุวันเวลาได้ชัดเจนมากนักของภัยพิบัติในครั้งนี้ แต่เราในฐานะมนุษย์ไม่ควรประมาทและต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น ภาวะโลกร้อนอาจก่อให้เกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ ดินถล่ม คลื่นความร้อน ไฟป่า หิมะตกหนัก สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนไปแบบสุดขั้วจนถึงจุดวิกฤตที่เรียกกันว่าสถานการณ์ “วันโลกาวินาศ” นั่นคือการปลดปล่อยก๊าซมีเทนและไฮโดเจนซัลไฟด์จากท้องมหาสมุทรปริมาณมหาศาล จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า “การสูญพันธุ์” ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตในโลก ๕ ครั้งทีผ่านมาส่วนใหญ่มาจากการปล่อยก๊าซมีเทนและไฮโรเจนซัลไฟด์ที่สะสมอยู่ตามธรรมชาติอย่างฉับพลัน โดยแหล่งกักเก็บขนาดใหญ่ของมันคือมหาสมุทรนั่นเอง
    ภาวะโลกร้อนที่เตลิดจนไม่สามารถควบคุมได้นี้ไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่มีหลักฐานว่ามันเป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อครั้งบรรพกาล ปัจจุบันยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างของจุดวิกฤตินี้ นักพยากรณ์หลายสำนักคาดการณ์ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นในตอนสิ้นปี ค.ศ. ๒๐๑๒ หรือต้นปี ๒๐๑๓ ที่จะถึง นั่นหมายความว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มสูงขึ้น ๕-๖ องศาเซลเซียสภายในระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คาดการณ์ไว้ในแบบจำลองของ IPCC ด้วย ดังนั้นเราควรเตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้าดังนี้
๑ เตรียมจิตใจด้วยการฝึกสติ
๒ เตรียมร่างกายด้วยการฝึกฝนการเป็นมนุษย์กินอากาศหรืออยู่ด้วยพลังปราณ เพราะเมื่อเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซไฮโดรเจซัลไฟส์อย่างฉับพลัน(ก๊าซพิษที่รุนแรงพอๆ กับไซยาไนด์กลิ่นคล้ายไข่เน่า ไม่สามารถสัมผัสและหากสูดดมเข้าไปอาจถึงขั้นเสียชีวิต)จากมหาสมุทรสู่ชั้นบรรยกาศ มันจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งบนบกและในทะเล ส่วนสิ่งมีชีวิตที่รอดมาก็จะเกิดการผ่าเหล่าทางดีเอ็นเอจากการที่มันไปทำลายชั้นโอโซนจนรังสีอัลตราไวโอเล็ตผ่านมาได้มากกว่าปกติ พืชเกือบทั้งหมดจะสูญพันธุ์จากอุณหภูมิที่สูงสุดขั้ว ทำให้มนุษย์หรือสัตว์ที่รอดมาได้จะขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดในการบริโภค ขณะที่การเพาะปลูกก็ไม่สามารถทำได้(บนพื้นดินอาศัยอยู่ไม่ได้) กอปรกับก๊าซมีเทนที่เข้มข้นมากจะเข้ามาแทนที่ออกซิเจนที่มนุษย์และสัตว์ใช้ในการหายใจทำให้เกิดภาวะ ”ขาดออกซิเจน” อากาศเป็นพิษเนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์และขาดออกซิเจนจากก๊าซมีเทนปริมาณมหาศาลที่เข้ามาแทนที่ ทำให้อากาศบนโลก ณ เวลานั้นเป็นอันตรายอย่างมากไม่สามารถใช้ในการหายใจหรือดำรงชีพได้สำหรับมนุษย์อีกต่อไป
๓ เตรียมสถานที่หลบภัย เนื่องจากอากาศเป็นพิษที่ลอยอยู่เหนือพื้นดินประมาณ ๑ ฟุต สถานที่ปลอดภัยที่สุดจึงเป็นบริเวณใต้ดิน ควรทำการขุดหลุมหรือสร้างที่หลบภัยโดยเริ่มจากระดับความลึกตั้งแต่ ๓-๖ เมตรจากพื้นผิวดินลงไปสร้างเป็นห้องสำหรับอยู่อาศัยชั่วคราว มีรูระบายอากาศเล็กๆ และเครื่องกรองอากาศ รวมทั้งสามารถป้องกันอากาศที่เป็นพิษจากด้านบนมิให้ซึมเข้ามาได้ สิ่งที่พึงสังวรณ์อีกข้อคือเมื่อภาวะโลกร้อนถึงขั้นวิกฤตอาจทำให้โลกสูญเสียธารน้ำแข็งทั้งขั้วโลกเหนือและใต้ไปเหมือนเมื่อครั้งในอดีต คำนวณได้ว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบ ๑๐๐ เมตร ดังนั้นจุดที่จะขุดสร้างที่หลบภัยต้องอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๐๐ เมตรขึ้นไป(สามารถตรวจสอบได้จากแผนที่ทางภูมิศาสตร์) หรือควรห่างจากชายฝั่งทะเลไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไมล์ (๓๒๐ กิโลเมตร) นอกจากนั้นอาจใช้ถ้ำตามธรรมชาติที่มีทำเลเหมาะสมตรงตามเงื่อนไขข้างต้นได้เช่นกัน พร้อมกับจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นในการยังชีพทุกอย่างสำหรับเวลาประมาณ ๑๐-๑๒ ปี (จะต้องทำการสำรวจล่วงหน้า)
๔ เตรียมถุงยังชีพให้พร้อมอยู่ตลอดเวลาตามข้อมูลเบื้องต้นที่กล่าวไปแล้วโดยคุณจะต้องใช้เวลาอยู่ในที่หลบภัยยาวนานประมาณ ๑๐-๑๒ ปี เท่ากับช่วงวงจรชีวิตของก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากก๊าซมีเทนจะถูกออกซิไดซ์กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำภายในระยะเวลานี้ คุณจึงสามารถออกมาจากสถานที่หลบภัยได้และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
๕ ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากก๊าซมีเทนและไฮโดเจนซัลไฟด์สะสมอยู่ในทะเลเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นควรติดตามข้อมูลทางทะเลเป็นหลัก เช่น ภาวะความเป็นกรดของน้ำทะเล การฟอกขาวของปะการัง การตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากทางทะเล การระเบิดของก๊าซมีเทน อุณหภูมิของน้ำทะเล หรือประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
๖  กรณีสถานที่หลบภัยอยู่ไกลจากบ้านต้องมีการเดินทางควรศึกษาเส้นทางหลายๆ สายเพื่อไปถึงจุดนั้นได้ทันท่วงที ควรเลือกเส้นทางที่ไม่ใช่ทางสายหลักเพื่อเวลาฉุกเฉินจะไม่ต้องเสียเวลาเพราะรถติดจนไม่สามารถหนีภัยพิบัติได้ทัน
๗ ควรเตรียมหน้ากากป้องกันมลพิษทางอากาศ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ถุงมือ รองเท้าหุ้มส้น เพื่อไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับก๊าซพิษในเวลาฉุกเฉิน
๘ ถ้าเป็นไปได้ควรซื้ออุปกรณ์วัดการรั่วของก๊าซมีเทนและศึกษาข้อมูลอันตรายและการป้องกันก๊าซมีเทนและก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์เพิ่มเติม รวมทั้งการอาศัยอยู่ภายในใต้ดินอย่างปลอดภัยในภาวะที่อากาศเป็นพิษ
๙ สำหรับจุดวิกฤตของการเริ่มต้นภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อน ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้เผยแพร่เอาไว้หน้าแรก ด้านขวามือบน ซึ่งหมายถึงเวลานับถอยหลัง(Count down) ให้กับผู้ที่มีความศรัทธาใช้ในการอ้างอิงหรือตัดสินใจที่ www.SupremeMasterTV.com(เวลาที่มีการปลดปล่อยก๊าซจากมหาสมุทรหรือวันโลกาวินาศ)
๑๐ หากคุณไม่สามารถอยู่ได้โดยพลังปราณ คุณต้องสามารถสร้างพลังงานใช้เองได้และเก็บกักตุนอาหารหรือน้ำจำนวนมากหรือใช้การเพาะปลูกภายในใต้ดินได้(เป็นเรื่องยาก)เพื่อใช้เป็นอาหารในการดำรงชีพตลอดนับ ๑๐ ปี คุณอาจต้องเสาะหาแหล่งน้ำใต้ดินและประยุกต์การเพาะปลูกโดยไม่มีการสังเคราะห์แสง ยกเว้นคุณสามารถสร้างดวงอาทิตย์หรือแหล่งพลังงานเทียมขึ้นมาได้ หรือคุณสามารถแยกออกซิเจนจากแหล่งน้ำใต้ดินเพื่อใช้ในการหายใจ ฯลฯ

Emergency Line

ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ                 1860,0-2589-2497 ต่อ 24
สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพ    199, 0-2354-6858
ตำรวจนครบาล/แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย          191, 0-2246-1338-42
ศูนย์ดับเพลิงศรีอยุธยา                    199
กองบังคับการตำรวจทางหลวง                1193
ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว                 1155
เหตุฉุกเฉิน อาชญากรรม กองปราบปราม      1195
ศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ    1691, 0-2255-1133-6
ศูนย์แจ้งอุบัติภัย กองทัพเรือ                 1696
แจ้งเหตุทางน้ำ กองบัญชาการตำรวจ           1196
แจ้งเหตุด่วนทางน้ำ ศูนย์ปลอดภัยทางน้ำ            1199
แจ้งเหตุฉุกเฉิน อุบัติภัยสารเคมี กรมควบคุมมลพิษ    1650
ศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง               0-2226-4444
สายด่วนแจ้งเหตุสาธารณภัย (ปภ.)                 1784
ศูนย์ร้องทุกข์กรุงเทพมหานคร                    1555

หน่วยกู้ภัย
ศูนย์นเรนทร กระทรวงสาธารณสุข              1669
หน่วยแพทย์กู้ชีวิต วชิรพยาบาล                1554
ศูนย์กู้ภัยโยธิน                        0-2901-6232 กด 0
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง                        0-2226-4444
มูลนิธิร่วมกตัญญู                       0-2751-0951-3
ศูนย์หัวเฉียวพิทักษ์ชีพโรงพยาบาลหัวเฉียว        0-2223-1774
ศูนย์กู้ชีพนเรนทร โรงพยาบาลราชวิถี            0-2248-2222
ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม                        1356
ศูนย์ค้นหาและช่วยชีวิตกองทัพอากาศ            0-2534-4267, 0-2534-1911

แจ้งเหตุรายการวิทยุ
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน                
FM 92.50 MHz                        1677
สถานีวิทยุ สวพ.91                      1644
สถานีวิทยุ จส.100                      1137

สอบถามข้อมูล
ลมฟ้าอากาศ
สำนักพยากรณ์อากาศ                         0-2399-4012-3,
กรมอุตุนิยมวิทยา กทม. (ตลอด 24 ชั่วโมง)        0-2398-9830
ศูนย์บริการข่าวอากาศ
กรมอุตุนิยมวิทยา                       1182, 0-2399-4566
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ
อ.เมือง จ.เชียงใหม่                     0-5327-7919
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี                    0-4524-4189, 0-4524-4108
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก
อ.เมือง จ.สงขลา                        0-7431-1760, 0-7431-4715
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันตก
สนามบิน จ.ภูเก็ต                       0-7632-7191
สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย                AM 891 kHz,
                            AM 819 kHz , FM 92.5 MHz
                            และ FM 93.5 MHz

แผ่นดินไหวและสึนามิ
สำนักแผ่นดินไหว                    0-2399-4547, 0-2399-0965
กรมอุตุนิยมวิทยา กทม.                    www.tmd.go.th
เว็บไซต์        

ดิน-โคลนถล่ม                        0-2202-3610, 0-2202-3611
ศูนย์ธรณีพิบัติภัย                www.dmr.go.th/geohazard/landslide/
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ