31 กรกฎาคม 2553 14:24 น.
คีตากะ
This happened between a boy who is now 16 year and a mother. The little boy has been vegetarian since he was born.
When the boy was 5 year old at supermarket, his mother asked, “how do you know what is vegetarian and what is not?” the little boy said, “it depends on if they have eyes, nose, and mouth. Do you see the eyes on vegetable?”
When the boy was age 10, the mother asked, “why cannot you eat the living meat?” the boy held his mother’s hand tightly and innocently said, “mom, do you love me?” “of course I do.” Mother replied. The little boy continued and said. “what if there is someone who want to bite me? What would you do?” mom said, “I will not allow them.”
Later on, the mother cannot help but ask, “So then, why cannot you eat the dead meat?” the boy looks lovely with his clean face and said, “mom, do you still love me?” “Of course I do,” mom replied. “What if I dead, and you bury my body and someone dug it up and ate it; what would you do?” the boy asked. “I am going to fight with them,” the mother replied.
At age 16, the boy now already grown up strong, tall, well-built and intelligent-remain a committed vegetarian. He wants to be lawyer; after many discussions, the boy said, “The universal law is that if there is life, the laws between one or another among living creatures, including animals, are all the same. Yet, we human beings are selfish; we only obey our own laws and disregard the universal law-the law of the one, the law of unity.”
The mother asked: “how do you distinguish people and how do you tell if they have an open-mind?” the boy said, “people’s hearts are like doors. Some have swing doors,easily coming and easily going. Some doors have locks and they need the right keys to get in them. Some doors have keys, but the locks will run around all the time. The key has to chase after the locks. Some doors have big mouths on the top. When someone approaches the door, the mouth will attack. Some doors have no locks, no keys, but at the right time both keys and locks appear all together.”
29 กรกฎาคม 2553 14:26 น.
คีตากะ
ถึงครอบครัวทางธรรมที่รัก
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระสูตรว่าด้วยเนื้อแห่งบุตรชาย ที่มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งได้ออกเดินทางพร้อมลูกชายที่ยังเล็ก ข้ามทะเลทรายเพื่ออพยพไปยังดินแดนใหม่ที่ปลอดภัย เนื่องจากไม่มีความรู้ทางด้านภูมิศาสตร์ เมื่อเดินทางไปในทะเลทรายได้เพียงครึ่งทางอาหารก็หมดเสียแล้ว พวกเขาตระหนักว่าทั้งสามคนจะต้องตายในทะเลทราย และไม่มีหวังที่จะอพยพไปถึงประเทศที่อยู่ อีกฟากหนึ่งของทะเลทรายได้ ในที่สุดพ่อและแม่ตัดสินใจที่จะฆ่าลูกชายเสีย ทุกๆ วันทั้งพ่อและแม่ กินชิ้นเนื้อเล็กๆ ของลูกชายเพื่อให้พอประทังชีวิตเดินต่อไปได้ และได้แบกชิ้นเนื้อส่วนที่เหลือของลูกชายไว้บนบ่า เพื่อตากแดดให้แห้ง ทุกครั้งที่พ่อและแม่เสร็จจากการกินชิ้นเนื้อเสี้ยวเล็กๆ ของลูกชาย ทั้งคู่จะมองหน้ากันแล้วถามว่า "ลูกชายที่รักของเราอยู่ที่ไหนในตอนนี้"
เมื่อเล่าเรื่องเศร้านี้ให้กับบรรดาภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถามว่า "พวกท่านคิดว่า สามีภรรยาคู่นี้มีความสุขหรือไม่ที่ได้กินเนื้อของลูกชาย" เหล่าภิกษุทูลตอบว่า "หามิได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งคู่ต้องทนทุกข์เมื่อต้องกินเนื้อของลูกชาย" พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า "เพื่อนที่รักทั้งหลาย พวกเราต้องฝึกปฏิบัติรับประทานอาหาร ในแบบที่เรายังมีความรักความกรุณาในหัวใจ เราต้องรับประทานอย่างมีสติ มิเช่นนั้น เราอาจจะกำลังรับประทานเนื้อลูกหลานของเราเอง"
องค์การยูเนสโกรายงานว่า ทุกๆ วันมีเด็กๆ ประมาณ 40,000 คนเสียชีวิตเพราะความหิวโหย หรือขาดสารอาหาร ในขณะเดียวกันมีการปลูกข้าวโพดและข้าวสาลี ส่วนใหญ่เพื่อเอาไปเลี้ยงปศุสัตว์ (วัว หมู ไก่ เป็นต้น) หรือเอาไปผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้าวโพดมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และข้าวโอ๊ตมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ที่ผลิตในสหรัฐนั้นเอาไปเลี้ยงปศุสัตว์ ฝูงสัตว์ของทั้งโลกเพียงอย่างเดียว ได้บริโภคอาหารที่มีปริมาณเท่ากับจำนวนแคลอรี่ที่พอเพียงกับความต้องการ สำหรับคนมากถึง 8,700 ล้านคน มากกว่าจำนวนประชากร ทั้งหมดบนโลกใบนี้
"เมื่อรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ และดื่มแอลกอฮอล์อย่างมีสติ
เรา จะตระหนักรู้ว่า เรากำลังกินเนื้อลูกหลานของเราอยู่"
ชาวพุทธได้ถือปฏิบัติโดยการรับประทานมังสวิรัติมามากกว่า 2,000 ปีแล้ว พวกเราเป็นมังสวิรัติด้วยความตั้งใจที่จะหล่อเลี้ยง ความเมตตากรุณาที่มีต่อสัตว์ทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เรายังรู้ด้วยว่า เรารับประทานมังสวิรัติเพื่อปกป้องโลก ป้องกันผลกระทบภาวะเรือนกระจก ที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขในอนาคตอันใกล้ เมื่อผลกระทบภาวะเรือนกระจกมีความรุนแรง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องได้รับทุกข์ ผู้คนเป็นล้านๆ จะล้มตาย และระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นท่วมเมืองและผืนแผ่นดิน จะส่งผลให้เกิดโรคร้ายมากมายที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และจะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทุกสายพันธุ์จะต้องเป็นทุกข์จากผลที่เกิดขึ้น
ทั้งภิกษุ ภิกษุณี และฆราวาสต่างฝึกปฏิบัติรับประทานมังสวิรัติ แม้ว่าจำนวนฆราวาสผู้เป็นมังสวิรัติร้อยเปอร์เซ็นต์มีไม่มากเท่าจำนวน ภิกษุภิกษุณี แต่พวกเขาก็ฝึกปฏิบัติรับประทานมังสวิรัติ ไม่ 4 วันก็ 10 วันทุกเดือน หลวงปู่เชื่อว่าการหยุดรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังช่วยโลกด้วยการกระทำนั้น ชุมชนฆราวาสควรกล้าหาญและริเริ่มให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะเป็นมังสวิรัติ อย่างน้อย 15 วันทุกเดือน หากเราทำได้ เราจะรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ดี เราจะมีความสงบ เบิกบาน และมีความสุข ตั้งแต่ขณะที่เราให้คำปฏิญาณ และดำเนินความมุ่งมั่นนี้ ระหว่างงานภาวนาที่จัดขึ้นในสหรัฐในปีนี้ มีชาวพุทธอเมริกันหลายคนที่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะงดรับประทานเนื้อสัตว์ หรือลดการรับประทานเนื้อลง 50 เปอร์เซ็นต์
นี่คือผลลัพธ์ของการตื่นรู้ หลังจากที่ได้รับฟังการบรรยายธรรมหลายครั้ง ในเรื่องผลกระทบ ภาวะเรือนกระจก ขอให้เรามาช่วยกันดูแลโลกของเรา ขอให้ช่วยกันดูแลสรรพชีวิต รวมไปถึงลูกหลานของเรา เพียงแค่เราเป็นมังสวิรัติ เราก็สามารถช่วยโลกได้แล้ว การเป็นมังสวิรัติในที่นี้หมายความถึงการที่เราไม่บริโภคผลิตภัณฑ์จากนมและไข่ เพราะทั้งสองเป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ หากเราหยุดบริโภค เขาก็จะหยุดผลิต มีเพียงการตื่นรู้ของกลุ่มคนเท่านั้น ที่จะสร้างให้เกิดความตั้งมั่นอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดการกระทำขึ้นได้
เดือนธันวาคม 2550 นี้ วัดเดียร์พาร์คจะมีไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ สำหรับใช้ในกิจการของวัด ทุกๆ วัดที่อยู่ในวิถีหมู่บ้านพลัมในยุโรปและอเมริกาเหนือ ก็ได้ฝึกปฏิบัติวันงดใช้รถสัปดาห์ละครั้ง และเพื่อนๆ ของเราอีกหลายพันคน ก็ได้ฝึกปฏิบัติด้วยกันกับเรา เราเริ่มใช้รถน้อยลง และมาใช้รถพลังไฟฟ้าและรถที่ใช้น้ำมันพืชแทน รถยนต์เหล่านี้สามารถลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ลงได้ 50 เปอร์เซ็นต์ การเลือกซื้อรถโตโยต้าพริอุสซึ่งใช้น้ำมันและไฟฟ้าอย่างละครึ่ง เราสามารถป้องกันไม่ให้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 1 ตันทุกปี
อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก รายงานว่า "การเป็นมังสวิรัตินั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ผู้รับประทานมังสวิรัติหนึ่งคน สามารถป้องกันไม่ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เกือบๆ 1 ตันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในทุกปี มากกว่าผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ เธออาจจ่ายเงินมากกว่า 7 แสนบาท เพื่อซื้อรถพริอุสหนึ่งคัน และก็ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ออกมา 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าการที่เธอเพียงแต่เลิกรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อื่นๆ
เธอเห็นหรือยัง ครอบครัวทางธรรมที่รัก การเป็นมังสวิรัตินั้นเพียงพอแล้วที่จะช่วยโลกได้ มีพวกเราคนไหนบ้างที่ยังไม่เคยได้รับ ประสบการณ์อันแสนอร่อยจากอาหารมังสวิรัติ เราจะมองไม่เห็นความจริงข้อนี้เลยหากเรามัวยึดติดกับ การกินเนื้อสัตว์
บ่ายวันนี้เมื่อเราเริ่มงานภาวนา ทุกคนได้รับข้อมูลว่าเราจะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์นมและไข่ ตลอดช่วงการภาวนา จากนี้ไปในงานภาวนา ทั้งหมดของเรา และแน่นอนว่าในศูนย์ปฏิบัติธรรมทั้งหมดของเรา ในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือก็จะทำเช่นนั้นด้วย หลวงปู่เชื่อมั่นว่า ฆราวาสทั้งหลายจะเข้าใจและสนับสนุนอย่างเต็มหัวใจ การฝึกปฏิบัติของเราในทุกวันนี้คือการช่วยให้ทุกคนได้ตระหนักรู้ถึง อันตรายของ ภาวะโลกร้อน เพื่อที่จะช่วยให้โลกและสรรพชีวิตปลอดภัย เรารู้ว่าหากไม่มีการตื่นรู้ของทั้งกลุ่มชน โลกและสรรพชีวิตจะไม่มีโอกาส อยู่รอด วิถีชีวิตประจำวันของพวกเราต้องแสดงให้เห็นว่าเรานั้นได้ตื่นรู้แล้ว...
ด้วยรักและไว้วางใจ
หลวงปู่
วัดบลูคลิฟฟ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 12 ตุลาคม 2550
19 กรกฎาคม 2553 03:22 น.
คีตากะ
การเป็นมังสวิรัติในศาสนาต่างๆ
บาไฮ
“ในเรื่องของการทานเนื้อสัตว์และงดเว้นการทานเนื้อสัตว์ คุณทราบอย่างแน่ชัดว่า ในตอนเริ่มต้นของการสร้าง พระเจ้าได้กำหนดอาหารให้กับทุกสรรพชีวิต และการทานอาหารที่ขัดต่อข้อกำหนดนั้น ไม่ได้รับอนุญาต”
~ คัดเลือกจากงานเขียนของบาไฮบาง
ประเด็นที่เกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาโรค หน้า 7-8
เคาได
“....สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยุติการฆ่า....เพราะสัตว์ก็มีจิตวิญญาณและมีความเข้าใจเช่นเดียวกับมนุษย์....ถ้าเราฆ่าและทานพวกเขา แล้วเราจะติดหนี้เลือดพวกเขา”
~คำสอนของนักบุญ เกี่ยวกับการ
รักษาศีลสิบประการ-การละเว้นจากการฆ่า ตอนที่ 2
ศาสนาคริสต์
อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องก็สำหรับอาหาร แต่พระเจ้าจะทรงให้ทั้งท้องและอาหารสิ้นสูญไป
~คอรินเธียนส์ 1 6:13 ไบเบิ้ลอันศักดิ์สิทธิ์
“และเมื่อเนื้อยังติดฟันเขาทั้งหลายอยู่ ยังรับประทานไม่ทันหมด พระเจ้าทรงกริ้วประชาชนยิ่งนัก และพระเจ้าก็ทรงทำโทษประชาชนด้วยภัยพิบัติอย่างร้ายแรง”
~นัมเบอร์ 11:33 ไบเบิ้ลอันศักดิ์สิทธิ์
ลัทธิคำสอนของขงจื้อ
“มนุษย์ทุกคนมีจิตใจ ซึ่งไม่สามารถทนเห็นความทุกข์ทรมาณของผู้อื่น มนุษย์ที่สูงส่งกว่า เมื่อได้เห็นสัตว์ที่มีชีวิตไม่สามารถทนเห็นพวกเขาตาย เมื่อได้ฟังเสียงร้องโอดครวญเจียนตายของพวกมัน พวกเขาไม่สามารถทนที่จะทานเนื้อของพวกมันได้”
~เม่งจื้อ กษัตริย์ฮุยแห่งเหลียง บทที่ 4
ฮินดู
“เนื่องจากคุณ....ไม่สามารถทำให้สัตว์ที่ถูกฆ่ากลับมามีชีวิตได้ คุณต้องรับผิดชอบต่อการฆ่าพวกเขา ดังนั้น คุณจะลงนรก ไม่มีหนทางที่คุณจะหนีไปได้”
~อาดิ-ลิลา บทที่ 17 โคลงที่ 159-165
“เขาผู้ปรารถนาที่จะพอกพูนเนื้อของตนเอง ด้วยการทานเนื้อของสิ่งมีชีวิตอื่น จะใช้ชีวิตในความทุกข์ตรม ในสายพันธุ์ชีวิตที่เขาจะไปเกิด”
~มหาภารตะ อานุ 115.47.FS หน้าที่ 90
ศาสนายิว
“ถ้าผู้ใดก็ตามในวงศ์วานอิสราเอลหรือในพวกคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้ารับประทานเลือด* ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้รับประทานเลือด*นั้น และจะตัดเขาออกเสียจากชนชาติของตน”
*เลือดหมายถึง “เนื้อ”
~เลวินิติ 17:10 ไบเบิ้ลอันศักดิ์สิทธิ์
ลัทธิเต๋า
“อย่าไปที่ภูเขาเพื่อจับนกด้วยตาข่าย หรือลงไปในน้ำเพื่อวางยาปลาและลูกปลา อย่าฆ่าวัวที่ไถพรวนท้องทุ่งของคุณ”
~บันทึกแห่งหนทางเงียบ
ศาสนาโซโรอัสเตอร์
“พืชเหล่านั้น ฉัน อาหุรมาสดา (พระเจ้า) โปรยฝนลงมาสู่โลก เพื่อนำอาหารให้กับผู้ที่ศรัทธา และเป็นอาหารให้กับวัวผู้มีพระคุณ”
~อเวสตา เวนิแดด ฟาร์การ์ด 5-20
ศาสนาพุทธ
“.....เนื้อทุกอย่างที่ถูกทานโดยสิ่งมีชีวิต เป็นเนื้อของญาติๆ ของพวกเขาเอง
~ลังกาวตารสูตร (พระไตรปิฎก หมายเลข 671)
“หลังจากเด็กทารกถือกำเนิด ต้องระวังไม่ฆ่าสัตว์ใดก็ตาม เพื่อเลี้ยงมารดาด้วยอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ และไม่รวมญาติมิตร มาดื่มสุรา หรือทานเนื้อสัตว์....เพราะในช่วงเวลาให้กำเนิดบุตรอันแสนลำบากนี้ มีภูตผีปีศาจ และสัตว์ร้าย นับไม่ถ้วน ต้องการที่จะบริโภคเลือดที่มีกลิ่นคาว....ด้วยการหันไปฆ่าสัตว์อย่างอวิชชาและโหดร้าย....พวกเขาได้นำคำสาปแช่งมาสู่ตนเอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งมารดาและบุตร”
~พระกษิติครรภ์สูตร บทที่ 8
“จงระวังในช่วงหลังจากที่คนหนึ่งเพิ่งจะเสียชีวิต ไม่ฆ่า หรือทำลาย หรือสร้างกรรมเลว ด้วยการถวายของบูชาให้กับภูตผีหรือเทพเจ้า .....เนื่องจากการฆ่าสัตว์ หรือการบวงสรวงหรือการบูชายัญเช่นนี้ จะไม่เกิดคุณประโยชน์ต่อคนตายแม้แต่น้อยนิด แต่จะยิ่งก่อให้เกิดกรรมเลวพอกพูนทับถมกรรมที่มีอยู่เดิมมากยิ่งขึ้น ทำให้มันยิ่งฝังลึกและรุนแรง....ส่งผลให้ เลื่อนการเกิดใหม่ สู่สถานะที่ดีของเขาออกไป”
~พระกษิติครรภ์สูตร บทที่ 7
เอสซีน
“ฉันมาเพื่อยุติการบูชายัญและการฉลองเลือดเนื้อ และถ้าคุณไม่หยุดการบวงสรวงและทานเนื้อและเลือด พระพิโรธของพระเจ้าจะไม่ละเว้นคุณ”
~คำสอนของสิบสองผู้ศักดิ์สิทธิ์
อิสลาม
“พระอัลเลาะห์จะไม่เมตตาต่อใครก็ตาม เว้นแต่ผู้ซึ่งมีเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ”
~พระศาสดา โมฮัมหมัด ฮาดิธ
“อย่าให้ท้องของคุณกลายเป็นสุสานของสัตว์!”
~พระศาสดา โมฮัมหมัด ฮาดิธ
ศาสนาเชน
“พระที่แท้จริงไม่ควรรับอาหารและเครื่องดื่มที่ถูกเตรียมไว้เป็นพิเศษให้แก่เขา ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสิ่งมีชีวิต”
~กรีตังกาสูตร
ศาสนาซิก
“มนุษย์ที่เสพกัญชา เนื้อสัตว์ และไวน์ – ไม่ว่าการแสวงบุญ การอดอาหาร และพิธีกรรมใดก็ตามที่พวกเขากระทำ พวกเขาจะลงนรกทุกคน”
~กูรู แกรนธ์ซาฮิบ หน้าที่ 1377
ศาสนาพุทธทิเบต
“การบวงสรวงเทพเจ้า ด้วยเนื้อจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตเหมือนการบูชามารดา ด้วยลูกของหล่อนเอง และสิ่งนี้เป็นความล้มเหลวอันร้ายแรง”
~หนทางสูงสุดแห่งการเป็นศิษย์ ศีลแห่งกูรู
ความล้มเหลวอันร้ายแรงสิบสามประการ กูรู กัมโปปาผู้ยิ่งใหญ่
“ทุกๆ คนรู้ว่า การทานมังสวิรัตินั้นดีต่อสุขภาพและรักษาโลกนี้ไว้ได้ พวกเขาจะถูกทำให้รู้สึกตัวถึงธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ความเมตตา ความรัก ธรรมชาติของตัวพวกเขาเอง แล้วระดับจิตสำนึกของพวกเขาจะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติและพวกเขาจะเข้าใจมากกว่าที่พวกเขาเคยเป็น และจะเข้าใกล้สวรรค์มากขึ้นกว่าสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ในขณะนี้”
~อนตราจารย์ชิงไห่
สัมนาวิดิโอกับศูนย์ซิดนีย์ ออสเตรเลีย – 17 สิงหาคม 2551
www.SupremeMasterTV.com/Be-Veg
18 กรกฎาคม 2553 18:00 น.
คีตากะ
โรงเรือนมุงหลังคาด้วยกระเบื้องทรงสูงเปิดรับลมทั้ง 4 ด้าน เสาทำจากไม้ทั้งต้นที่เริ่มผุจากการกัดแทะของปลวกตามกาลเวลา ภายในเป็นที่อาศัยของแม่โคแบบผูกยืนโรงกว่า30 ตัว ตรงกลางเป็นทางเดินเพื่อใช้ให้อาหาร ซึ่งจะวางลงในรางยาวก่อด้วยอิฐโบกปูนเรียบทั้งภายในและภายนอก รางยาว 2 ฝั่งข้างทางเดินทำให้แม่โคทั้ง 2 ฝั่งของโรงเรือนหันหน้าเข้าหากัน ทางเดินนี้ไม่เพียงมีประโยชน์ในการให้อาหารทั้งอาหารหยาบจำพวกหญ้าหรือต้นข้าวโพด อาหารข้นจำพวกรำข้าวหรืออาหารเสริม และน้ำดื่มแล้ว มันยังเป็นที่ให้ลูกโคอยู่อาศัยอีกด้วย พื้นที่ที่มีอย่างจำกัด ก่อให้เกิดความแออัดยัดเยียดและไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาสักเท่าใด ทุกเช้าเจ้าของจะต้องตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อทำความสะอาดคอกสัตว์นี้ ด้วยการฉีดน้ำที่ปั๊มจากบ่อบาดาลและใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวหรือพลั่วตักสิ่งปฏิกูลต่างๆออกไปจนหมดเกลี้ยง เมื่อคอกสะอาดแล้วจะใส่สายน้ำเอาไว้ในรางจนปริมาณน้ำสูงถึงครึ่งหนึ่งของความสูงของรางพร้อมทั้งใส่อาหารทั้งหยาบ และละเอียด เช่น ฟางข้าว หญ้า ข้าวโพด และรำข้าว ปริมาณที่เพียงพอให้แม่โคเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้เพื่อผลิตน้ำนมส่งเข้าโรงงานที่อยู่ใกล้บ้านทุกวันทั้งเช้าและเย็น...
แม่โคที่ถึงวัยเจริญพันธุ์จะได้รับการผสมเทียมและให้กำเนิดลูก เพื่อมีน้ำนมนำไปขาย มันจะทำหน้าที่เป็นเครื่องจักรกลผลิตน้ำนมจนกว่าจะกลายเป็นโคแก่ที่หมดน้ำนมไปเอง ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีอายุไม่เท่ากันตามความสมบูรณ์ของร่างกายและพันธุ์ของมันด้วย นอกจากนั้นอาหารยังเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการผลิตน้ำนมทั้งปริมาณและคุณภาพ ลูกโครุ่นแล้วรุ่นเล่าก็จะถูกเลี้ยงหรือขุนขึ้นมาแทนที่แม่โคเป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป ดูเหมือนว่าลูกโคจะได้รับเอกสิทธิ์มากเป็นพิเศษในเรื่องการมีอิสรภาพมากกว่าแม่โค พวกมันจะถูกเลี้ยงแบบปล่อยอิสระมากกว่า ให้วิ่งเล่น กินหญ้า เดินดูโน่นดูนี่ทุกวันอย่างเสรี แต่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ พวกมันก็จะมีชะตากรรมเหมือนกับแม่โคตัวอื่นๆที่ต้องถูกผูกด้วยเชือกในโรงเรือนคับแคบและสกปรกขาดอิสรภาพตลอดไป และทำหน้าที่เสมือนเครื่องจักรกลเครื่องหนึ่งเท่านั้น โคที่เลี้ยงแบบผูกยืนโรงจะมีสุขภาพจิตย่ำแย่กว่า การเลี้ยงแบบปล่อยเหมือนกับฟาร์มใหญ่ๆ ที่มีที่ดินเพียงพอ การที่พวกมันเครียดจะทำให้พวกมันกินและนอนเท่านั้น ขาดความกระตือรือล้น เซื่องซึม สุขภาพจึงอ่อนแอและเป็นโรคติดต่อได้ง่าย
กลิ่นยังเป็นปัญหาหลักของการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงสุกร ฟาร์มเลี้ยงวัวก็ไม่แตกต่างกันมากนัก สัตว์เคี้ยวเอื้องมีหลายกระเพาะอย่างวัว กระเพาะของมันจึงทำหน้าที่เป็นถังหมักแก็สอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแก็สมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ กลิ่นจากมูลวัวมีส่วนผสมของแก็สจากการหมักในกระเพาะและลำไส้สร้างความวิงเวียนศรีษะต่อมนุษย์ไม่น้อย การสูดดมเข้าไปปริมาณมากนอกจากจะทำให้เหม็นแล้ว ภาวะขาดออกซิเจนของสมองยังทำให้เกิดความง่วงซึมได้ง่ายอีกด้วย ฟาร์มเลี้ยงวัวที่ไม่สะอาดจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคอย่างดี การสร้างที่พักอาศัยของมนุษย์ตามมาตรฐานควรอยู่ห่างจากโรงเรือนเลี้ยงอย่างน้อย 100 เมตร แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวส่วนใหญ่ยากจนและมีที่ดินจำกัด ส่วนมากที่อยู่อาศัยกับโรงเลี้ยงจะอยู่ใกล้กันมาก บางบ้านใช้ใต้ถุนบ้านเป็นคอกเลี้ยงก็มีให้เห็นอยู่มาก ซึ่งเสี่ยงต่อการติดต่อเชื้อโรคจากสัตว์ไปสู่คน เกษตรกรส่วนใหญ่แถวนี้มีอาชีพเลี้ยงวัวแบบครัวเรือน พื้นที่มีจำกัด จำนวนโคที่จะเลี้ยงจึงจำกัดไปด้วย ส่งผลให้รายได้มีจำกัด การเลี้ยงในจำนวนที่น้อยเกินไปผลผลิตต่ำจะทำให้ต้นทุนสูงไปด้วย ต่างกับฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีจำนวนแม่โคที่ให้น้ำนมได้จำนวนมากต้นทุนรวมจึงยิ่งต่ำลงมากด้วย โรงงานแปรรูปนมส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงวัวหรือไม่ไกลมากนัก เพื่อประหยัดค่าขนส่ง สำหรับเกษตรกรที่อยู่ไกลออกไปอาจไม่คุ้มกับต้นทุนค่าน้ำมันในการขนส่ง แต่ก็มีบริการรับจ้าง รับ-ส่งให้เลือกในราคาที่ประหยัดเพราะใช้วิธีแบบเหมารวม ผู้รับส่งน้ำนมดิบจึงประหยัดต้นทุนได้มากกว่าและสามารถมีรายได้หักต้นทุนแล้วคุ้มค่าน้ำมัน นั่นต้องขึ้นกับระยะทางการเดินทางอีกด้วย
น้ำนมสดที่ถูกนำส่งเข้าโรงงานจะถูกนำไปแปรรูปเป็นนมสำเร็จรูปพร้อมดื่ม บ้างก็ส่งขายให้โรงงานที่ผลิตอาหารหรือเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ส่วนผสมของนมอีกต่อหนึ่ง เช่น โรงงานผลิตนมผง โรงงานผลิตขนมหวาน โรงงานผลิตไอศกรีม ในปัจจุบันต้นทุนแฝงจากการเลี้ยงโคนมมีค่อนข้างสูง ฟาร์มไม่ได้มาตรฐาน ต้นทุนอาหารข้นสูง ขาดแคลนอาหารหยาบ คุณภาพน้ำนมต่ำ ยังเป็นปัญหาของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยทั่วไปอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ถูกมองข้ามมานานจากการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ก็คือ “สิ่งแวดล้อม” แหล่งน้ำอยู่ใกล้กับฟาร์มไม่ได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบ ส่วนใหญ่ขาดระบบบำบัดน้ำเสียที่ดี ทำให้เกิดการเน่าเสีย ดินบริเวณโดยรอบเสื่อมสภาพลงกลายเป็นดินเค็มมีภาวะเป็นกรดเพาะปลูกไม่ได้ หลายๆฟาร์มที่ไม่สะอาดกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคที่สามารถส่งถ่ายมาถึงมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว หลายโรคเกิดซ้ำซาก บางโรคเป็นโรคอุบัติใหม่ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทน คาร์บอนไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดในภาคการเกษตรที่ผลิตก๊าซเรือนกระจกเติมเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอันส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน นอกจากนั้นตามมาตรฐานที่กำหนดจำเป็นต้องใช้ที่ดินจำนวนมากในการทำฟาร์ม ทำให้ป่าไม้ถูกถางทำลายและเกิดการรุกล้ำเขตป่าสงวนอยู่บ่อยๆ นอกจากนั้นโคนมมีกระเพาะที่ใหญ่จึงกินอาหารจุมาก จำเป็นต้องใช้พื้นที่จำนวนมากในการเพาะปลูกพืชเพื่อเลี้ยงมัน เช่น ข้าวโพด ฟางข้าว ข้างฟ่าง หญ้า เกษตรกรรายใดที่มีที่ดินไม่เพียงพอ จึงต้องมีต้นทุนสูงขึ้นจากการเช่าที่หรือไม่ก็ซื้อจากแหล่งอื่น ยิ่งการเลี้ยงโคนมหรือการเลี้ยงสัตว์อื่นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ที่ดินที่ต้องใช้สำหรับปลูกพืชอาหารก็ต้องเพิ่มมากขึ้นไปด้วย เป็นการใช้ที่ดินอย่างสิ้นเปลืองและไม่เกิดประโยชน์สูงสุด หากเพียงแต่นำที่ดินเหล่านั้นมาเพาะปลูกพืชเพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงมนุษย์ก็จะเพียงพอเลี้ยงประชากรทั้งโลกในปัจจุบันได้อย่างแน่นอน การปศุสัตว์ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก แต่ยังใช้พื้นดินเป็นบริเวณกว้างทั่วโลก การทำฟาร์มเลี้ยงใช้พื้นที่กสิกรรม 70% หรือ 30%ของผิวดินของโลก ยิ่งไปกว่านั้น ผลิตผลโดยส่วนใหญ่ถูกปลูกเพื่อเป็นอาหารสัตว์ โดยที่ 40% ของธัญพืชของโลก ถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม ไม่ใช่คน แค่เพียงธัญพืชเหล่านี้ครึ่งหนึ่ง ก็เพียงพอสำหรับการกำจัดความหิวโหยให้แก่ประชากรทั่วทั้งโลกได้แล้ว การปศุสัตว์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการทำลายป่า 70% ของป่าอะเมซอนเดิม ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ การปศุสัตว์ยังเป็นสาเหตุของดินเสื่อม ทุ่งเลี้ยงสัตว์ประมาณ 20% ถูกทำให้เสื่อมสภาพด้วยการกินหญ้า การอยู่อย่างแออัด และการกัดเซาะที่มากเกินไป มันยังเป็นสาเหตุของการบริโภคน้ำจำนวนมากและมลภาวะ แค่ที่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น น้ำชลประทาน 30,000 ล้านแกลลอน ถูกนำไปใช้ในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงสัตว์ต่อปี นี่คือน้ำประมาณ 85% ของแหล่งน้ำสะอาดในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้สัตว์ยังผลิตของเสียชีวภาพในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ระบบนิเวศจะรองรับได้ มีตัวอย่างของข้อมูลในประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้น้ำในการผลิตอาหาร 1 กิโลกรัมในการกสิกรรมของสหรัฐ เนื้อวัวใช้น้ำ 1,000,000 ลิตร เนื้อไก่ 3,500 ลิตร ถั่วเหลือง 2,000 ลิตร ข้าว 1,912 ลิตร ข้าวสาลี 900 ลิตร และมะเขือเทศ 500 ลิตร ด้านการใช้พลังงานในการผลิตอาหารให้ได้โปรตีน 1 แคลลอรี่ ถั่วเหลืองใช้พลังงานเชื้อเพลิงถ่านหิน 2 แคลอรี่ ข้าวโพด 3 แคลอรี่ ข้าวสาลี 3 แคลอรี่ แต่เนื้อวัวใช้พลังงานปิโตรเลียมถึง 54 แคลอรี่ นั่นหมายความว่าในการผลิตแฮมเบอร์เกอร์จากเนื้อวัวต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงถ่านหินถึง 27 เท่าของพลังงานที่ใช้ในการผลิตเบอร์เกอร์ถั่วเหลือง ในเรื่องของการใช้พลังงาน การใช้น้ำ ที่ดิน มลภาวะ การทำลายระบบนิเวศ มันไม่น่าประหลาดใจเลยที่ได้เรียนรู้ว่าพลังงานที่ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์หนึ่งมื้อ สามารถจะนำไปผลิตอาหารจากพืชผักได้ถึง 15 มื้อหรือมากกว่า เมื่อไม่นานมานี้ กิดอน เอเชลและพาเมล่า มาร์ติน สองนักวิจัยจากคณะธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยชิคาโก ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตอาหารและปัญหาสิ่งแวดล้อม พวกเขาได้แสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นผลมาจากเนื้อแดง ปลา ไก่ นม และไข่ โดยเปรียบเทียบตัวเลขกับอาหารมังสวิรัติ พวกเขาพบว่าการเปลี่ยนจากการทานอาหารอเมริกันทั่วไปมาเป็นการทานอาหารจากพืช สามารถป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1.5 ตัน ต่อคนต่อปี ในทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนจากรถซีดานปกติ(ใช้น้ำมัน) เช่น โตโยต้า แคมรี่ ไปเป็นรถยนต์ไฮบริด(ใช้ไฟฟ้า) โตโยต้า พริอุส จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1 ตัน ต่อคนต่อปี
ทางเลือกนั้นอยู่ในครัวของคุณแล้ว แม้ว่าบางคนจะเลือกที่จะไม่มองความโหดร้ายที่อยู่ในการปศุสัตว์ แต่ความเร่งด่วนในการหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และวิธีที่จะดำเนินการนั้นชัดเจน ไม่ใช่แค่นักมังสวิรัติหรือนักสิ่งแวดล้อมที่กล่าวไว้เท่านั้น เวลานี้ ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) ดร.ปาจาอุร ได้ประกาศต่อโลกว่า ผลกระทบของการทานเนื้อสัตว์นั้นสร้างความเสียหายให้กับโลกของเรา เราควรที่จะหยุดทานเนื้อสัตว์ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ แต่กระนั้นที่สุดแล้วมันขึ้นอยู่กับการเลือกของผู้คน เราทุกคนมีส่วนร่วมที่จะทำให้โลกเย็นลงและสะอาดมากขึ้น ฉะนั้น แค่เริ่มต้นที่ครัวของท่าน เลือกที่จะทานมังสวิรัติ และช่วยกันเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
8 กรกฎาคม 2553 14:40 น.
คีตากะ
หัวจดเท้ารักษาเองได้ก่อนไปหาหมอ
๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพังก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว
๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีด หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ
๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกินกระเทียม, หอม, พริกให้มากเข้าไว้
๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)
๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน
๖. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินหัวหอมใหญ่, หอมแดง, ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน
๗. นอนไม่หลับ กินน้ำตาลทราย ๒ ช้อนโต๊ะ ถ้าอยากให้หลับสบายเพิ่มเติมขี้เหล็กและมะรุมเข้าไปหน่อย
๘. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)
๑๐.ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ
๑๑.ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น
๑๒.โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก
๑๓.เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย
๑๔.วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน กินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้
๑๕.หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอม
๑๖.กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมเท่ากับเม็ดใหญ่) มะม่วงและสับปะรดซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก ( แมงกานีส)
๑๗.ความจำไม่ดี สิ่งที่มีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้
๑๘.มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด
๑๙.มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่
๒๐.ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย
๒๑.เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กิน น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย
๒๒.ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น
๒๓.เบาหวนถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาลและกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก