26 สิงหาคม 2552 13:48 น.

นับเวลาถอยหลัง (Countdown)…วันสิ้นโลก

คีตากะ

      แก่นแท้ของศาสนาเกือบทุกศาสนาบนโลกคือ วิทยาศาสตร์ ในขณะที่โลกกำลังพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนจุดสุดท้ายปลายทางของถนนทั้ง 2 สายย่อมมาบรรจบกัน เสมือนสายน้ำที่ก่อเกิดจากแควน้ำน้อยใหญ่ไหลมารวมกัน ต่างที่มา ต่างถิ่นฐาน ก่อนจะกลายเป็นทะเลหรือมหาสมุทรในทีสุด
......................................................................................................................
            คำทำนายเกี่ยวกับวันโลกาวินาศ หรือวันสิ้นโลก จากสำนักต่างๆ ได้ถูกเปิดเผยต่อสายตาประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า จนก่อให้เกิดความสับสนไปทั่วทุกมุมโลก ในขณะที่ปัญหาวิกฤติโลกก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข มีเพียงชนกลุ่มน้อยที่เตรียมพร้อมและเข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับธรรมชาติ จากสัญชาติญาณที่คลุกคลีอยู่กับธรรมชาติมาช่วงระยะเวลายาวนาน นักบำเพ็ญ นักพรต นักการศาสนา นักวิทยาศาสตร์ นักทำนาย แม้แต่นักกวี ต่างล้วนแสดงความคิดที่เห็นพ้องตรงกันว่า โลกจะถึงจุดจบภายในปลายปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555 
เช่นเดียวกับ ชาวมายา (ชนเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) ที่ทำปฏิทินใช้เองตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ชนเผ่ามายานี้มีความสามารถในการคำนวณการโคจร การเกิดดับของดวงดาวอย่างไม่น่าเชื่อ คือเขาสามารถคำนวณว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365 วัน ตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับปฏิทินที่ชาวโลกปัจจุบันใช้กัน แล้วยังสามารถคำนวณเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลได้อย่างแม่นยำมาก  ชาวมายายังกำหนดวันสุดท้ายของปฏิทินของพวกเขาคือ วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) พวกเขาบอกด้วยว่า วันนั้นโลกจะถึงจุดสิ้นสุด (โดยบอกไว้เมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว).....
            คำประกาศจากองค์การ NASA ว่าในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังสีต่างๆจากอวกาศ แล้ววันนั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังสีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) 
            นาย Gordon-Michael Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก สามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวในสหรัฐฯที่ผ่านมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) จากแผนที่ของเขาประเทศไทยเหลือพื้นที่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น (ภาคเหนือและภาคอีสาน)
           หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล" กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้ 
           ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่(Suma Ching Hai) ผู้นำจิตวิญญาณโลก/ศิลปิน กล่าวในการประชุมสัมมนาผ่าน Video Conference เรื่อง ทางออกเพื่อโลกที่สวยงามในภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยมี ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่านเข้าร่วมสัมมนาเมื่อ วันที่ 15 สิงหาคม 2552 ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช  ว่า  นับจากนี้โลกจะเหลือเวลา 3-4 ปี (ค.ศ.2012) ก่อนจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆที่จะเกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ซึ่งมาจากน้ำมือของมนุษย์แทบทั้งสิ้น การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการถางป่าจำนวนมากทั่วโลกเอามาใช้ในการทำทุ่งหญ้าเพื่อทำฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งฟาร์มมากมายเหล่านี้นี่เองเป็นแหล่งผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้โลกเกิดปรากฎการณ์ภาวะเรือนกระจก(Green House Effect) และเป็นตัวการสำคัญที่เร่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากรถยนต์ทั่วโลกรวมกันเสียอีก ทางออกของมนุษยชาติคือการลดก๊าซเรือนกระจกลง ด้วยการหันมาทานพืชผักหรือเป็นมังสวิรัติแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ (ลดความต้องการทางการตลาดหรือ Demand ลง) ทางออกนี้ยังสอดคล้องกับหลักศาสนาของทุกศาสนาบนโลกรวมทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้มนุษย์มีความรักเมตตาโดยการ ห้ามฆ่าสัตว์ อีกด้วย นอกจากนั้นควรลดการใช้ทรัพยากร เชื้อเพลิง(น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) หันมาใช้พลังงานทดแทน ใช้ชีวิตอย่างประหยัดและมีคุณธรรม โลกก็อาจจะถึงจุดจบช้าลงอีก....
            ปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆที่มนุษย์ยุคปัจจุบันยังไม่รู้จักกันเท่าที่ควร อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้สูงขึ้น 4 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณทะเลอาร์กติก ไซบีเรีย กรีนแลนด์ และแอนตาร์กติก องค์การนาซาคาดว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจะลายหมดภายในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 2012 ผลกระทบที่ตามมาเมื่อโลกปราศจากน้ำแข็งช่วยสะท้อนพลังงานจากแสงดวงอาทิตย์ก็คือ ความร้อนถึง 90% จากดวงอาทิตย์จะสามารถถูกส่งผ่านทะลุถึงพื้นผิวน้ำได้ ซึ่งจะเป็นการเร่งภาวะโลกร้อนให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก  ก๊าซมีเทนก้อน(Methane Hydrate) ที่สะสมจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์นับล้านๆปีภายใต้ชั้นน้ำแข็ง(permafrost)บริเวณขั้วโลก ใต้มหาสมุทร แหล่งน้ำ และพื้นแผ่นดิน กำลังละลายและถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 จนถึงขณะนี้ นอกจากนี้อุณหภูมิจากภาวะโลกร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 2 องศาเซลเซียส สามารถทำให้ก๊าซมีเทนปริมาณมากกว่า 1,000 ล้านตัน ถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันจะนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากบนโลก ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้รุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 72 เท่า ตกค้างยาวนานกว่า 20 ปี แหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในอุตสาหกรรมการทำฟาร์มปศุสัตว์ และเป็นต้นตอสำคัญที่สุดในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งจะต้องได้รับการหยุดยั้งอย่างเร่งด่วน....
            ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา (อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซา) ยังคาดการณ์อีกว่า ผลจากการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลาย จะทำให้มวลของน้ำบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มสูงขึ้นมหาศาลจนเกิดการเสียสมดุล ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแกนโลก(ปัจจุบันแกนโลกเอียงจากแนวดิ่งทำมุม 23.5 องศา) ซึ่งจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและพายุที่รุนแรงบ่อยขึ้นบริเวณภูมิภาคนี้  ผลจากภาวะน้ำทะเลหนุนขึ้นสูงซึ่งประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล 200-1,000 ล้านชีวิตทั่วโลกจะต้องรีบอพยพโดยด่วน (โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีเมืองหลวงอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1 เมตร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น 4 -5 องศาเซลเซียสจะทำให้ระดับน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นอีก 5 เมตร) ถ้าแผ่นน้ำแข็งทางตะวันตกของแอนตาร์กติกละลายหมด ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นอย่างน้อย 3.3 ,3.5 เมตร จะส่งผลกระทบกับประชากรกว่า 3.2 พันล้านคน(ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรโลก) ที่อาศัยอยู่ภายในระยะห่างจากแนวชายฝั่งทะเล 200 ไมล์ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ถ้าหากน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นมากจนยากจะคาดการณ์ บางคนกล่าวว่าระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงถึง 70 เมตร ซึ่งนั่นหมายถึงทุกชีวิตบนโลกนี้จะพบกับหายนะ ในขณะนี้ มีเกาะอย่างน้อย 18 แห่งทั่วโลกกำลังลังจมหายและมากกว่า 40 แห่งตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล ภาวะโลกร้อนยังทำให้ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของโลก เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำโขง ฯลฯ กำลังละลายไปอย่างรวดเร็วในแต่ละปี ซึ่งจะส่งผลกระทบที่อันตรายต่อการอยู่รอดของประชากรมากกว่า 2 พันล้านคน โดยประชากร 1 พันล้านคนจะได้รับผลกระทบจากการหายไปของธารน้ำแข็งหิมาลัย โดยธารน้ำแข็ง 2 ใน 3 ของโลกซึ่งมีมากกว่า 18,000 แห่งกำลังหายไป การละลายของธารน้ำแข็งเป็นภัยที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินถล่ม นอกจากนั้นการละลายอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฝนตกน้อยลง เกิดภัยแล้ง และเกิดการขาดแคลนน้ำ แม่น้ำสายสำคัญของโลก เช่น ไนล์(แอฟริกา) ดานูบ(ยุโรป) รีโอ แกรนด์(อเมริกาหนือ) ลา พลาดา(อเมริกาใต้) เมอร์เรย์-ดาร์ลิง(ออสเตรเลีย) แยงซี(จีน) สาละวิน(พม่า) สินธุ(ปากีสถาน) คงคา(อินเดีย) และโขง(สิบสองปันนา) ที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรกว่า 870 ล้านคน กำลังเหือดแห้งลงอย่างรวดเร็วจากภาวะโลกร้อน สิ่งมีชีวิตในน้ำจืดกว่า 10,000 สายพันธุ์กำลังสูญพันธุ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังคาดการณ์ว่าในไม่ช้ามนุษย์จะต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำจืดทั้งแหล่งน้ำบนดินและใต้ดิน พื้นที่ทางการเกษตรมากมายจะได้รับความเสียหาย ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมรุนแรงตามมา....
            ภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ(Climate Change) ปัญหาที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงเท่าที่เรารับรู้กันกันอยู่แล้วก็คือ การเกิดปรากฏการณ์ เอล นิโญ(El Nino) และ ลา นิโญ(La Nino) ที่ก่อให้เกิดความผกผันของการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรและกระแสอากาศโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตรเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเริ่มละลาย รวมทั้งเกิดพายุรุนแรง ภาวะแห้งแล้ง คลื่นความร้อน และไฟป่าอยู่บ่อยๆ เช่น ในปี ค.ศ. 2003 คลื่นความร้อน(heat wave)เข้าทำลายบ้านเรือนในยุโรป กว่า 10,000 หลังคาเรือน และก่อให้เกิดไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในออสเตรเลีย นอกจากนั้นการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิในทะเลยังก่อให้เกิดพายุเฮอริเคนและพายุโซนร้อนที่รุนแรงและยาวนานขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามันเพิ่มสูงขึ้น 100% เมื่อเทียบกับ 30 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทางทะเลยังทำให้เกิดพื้นที่ตายในทะเล(Oceanic dead zones)มากกว่า 400 แห่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่ขาดก๊าซออกซิเจนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต สาเหตุมาจากการปล่อยของเสียมากมายจากฟาร์มปศุสัตว์ลงสู่แม่น้ำและมหาสมุทร หลายชาติได้ตระหนักถึงมหันตภัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2550 องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแห่งสหประชาชาติและกรรมาธิการวิทยาศาสตร์นานาชาติ ทุ่มงบประมาณถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อโครงการวิจัย 228 โครงการ ในการที่จะติดตามสุขภาพบริเวณขั้วโลก และทำการวัดผลกระทบจากปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน รวมถึงผลกระทบของรังสีแสงอาทิตย์ที่มีต่อบรรยากาศขั้วโลก ไปจนถึงชีวิตสัตว์น้ำที่อยู่ใต้มหาสมุทรน้ำแข็งแอนตาร์กติกอีกด้วย นับเป็นโครงการวิจัยนานาชาติขนาดใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 5,000 คน จาก 63 ชาติ ได้เดินทางสู่ขั้วโลกเมื้อวันที่ 1 มีนาคม 2550 ขณะที่โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในสิ้นปี 2552 รายงานผลการวิจัยศึกษาของนานชาติ ได้เผยแพร่ข่าวคาดการณ์ภาวะโลกร้อนในอนาคตเอาไว้มากมาย เช่น โลกร้อนที่สุดในรอบ 400 ปี ใจกลางโลกร้อนจัดมีอุณหภูมิสูงถึง 3,676 องศาเซลเซียส ใกล้เคียงกับอุณหภูมิที่ผิวพื้นดวงอาทิตย์ ซึ่งร้อนถึง 5,526 องศาเซลเซียส ธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้บางลง หวั่นทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น สัตว์นับล้านๆชนิดจะสูญพันธุ์  ฯลฯ........
             อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น จะทำให้การระเหยของน้ำทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ลำธาร และทะเลสาบ เพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้ฝนตกมากขึ้น แต่กระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ ทำให้เกิดอุทกภัย ส่วนบริเวณอื่นก็จะเกิดปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากฝนตกน้อย สภาวะอากาศที่มีความชื้นจึงเหมาะกับการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ  การเพิ่มของพาหะนำโรค รวมทั้งเกิดเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ ไปจนถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคที่เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว สุขภาพที่เสื่อมลงเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลไปกับงานด้านสาธารณสุข ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศทำให้ประชากรเสียชีวิตจำนวน 315,000 คนต่อปี ประชากรกว่า 325 ล้านคนทั่วโลกได้รับผลกระทบ(เจ็บป่วยจากโรคต่างๆ) นำมาสู่การสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 125 พันล้านเหรียญสหรัฐฯทุกปี นอกจากนั้นการลดจำนวนลงของสัตว์ป่าอย่างรวดเร็วจากการสูญพันธุ์ยังไม่มีรูปแบบที่แน่นอนที่จะใช้เปรียบเทียบ นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าสัตว์ป่าจำนวน 16,000 สายพันธุ์กำลังตกอยู่ในอันตรายและอาจจะสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วถึง 100 เท่ากว่าอดีตที่ผ่านมา ในเนปาลและออสเตรเลีย ไฟป่าได้ทำให้เกิดภาวะแห้งแล้ง ในแอฟริกา ประชาชนในโซมาเลีย เอธิโอเปียและซูดาน กำลังประสบกับภัยแล้งและกลายเป็นทะเลทราย โดยสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่าจำนวนมากเพื่อใช้ในการทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ กำลังส่งผลกระทบต่อประชากรมากกว่า 1.2 พันล้านคน และมากกว่า 100 ประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยง แหล่งน้ำต่างๆกำลังเหือดแห้งลง เช่น ในเมืองใหญ่ของ Beijing เดลฮี กรุงเทพฯ ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ขณะที่แม่น้ำ Ganges จอร์แดน ไนล์ แยงซี มีปริมาณน้ำลดลงอย่างมากในแต่ละปี ในประเทศจีนเกิดภัยแล้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 5 ทศวรรษ พืชผลทางการเกษตรสูญเสียจำนวนมากอย่างน้อย 12 จังหวัดทางเหนือ ต้องใช้ทุนของชาติกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัย.....
             เมื่อเร็วๆนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึงทฤษฎีที่เรียกว่า hydrate hypothesis ที่อธิบายว่า กิจกรรมของมนุษย์ได้ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นอย่างเป็นวัฎจักร จากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก(ไอน้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โอโซน มีเทน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ สารประกอบฟลูออโรคาร์บอน) ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมาเป็นระยะเวลายาวนานนับล้านๆปี ทำให้โลกมีอุณภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในดินได้เปลี่ยนซากพืชซากสัตว์ให้กลายไปเป็นมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีปริมาณมหาศาลเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดความไม่สมดุล ในขณะที่โลกยังคงร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้เกิดการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(permafrost) ที่เป็นเสมือนแผ่นกักเก็บก๊าซมีเทนเอาไว้ การปลดปล่อยอย่างมหาศาลของก๊าซมีเทนจาก มีเทนก้อน(methane clathrates or hydrates) จึงเกิดขึ้น ทำให้อัตราการอุ่นเป็นไปอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดเมื่อมหาสมุทรอุ่นขึ้นจากผลข้างต้น จะทำให้ก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาลถึง 10,000 พันล้านตันใต้ท้องมหาสมุทรที่เรียกว่า clathrates ถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศเข้าแทนที่อากาศ และทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายบนโลกต้องขาดอากาศหายใจสิ้นชีพลง(90%) ซึ่งกระบวนการนี้ก่อเกิดเป็นวัฏจักรและเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งบนโลก โดยสัณนิฐานได้ว่านี่อาจเป็นเหตุของการสูญพันุธุ์ของไดโนเสาเมื่อ 251 ล้านปีที่ผ่านมา การร้อนขึ้นของยุคจูแรสซิกตอนต้นเมื่อ 180 ล้านปีก่อน และการร้อนมากที่สุดเมื่อประมาณ 55 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกมาแล้ว 8-9 ครั้ง และเคยเกิดขึ้นกับดาวอังคารเมื่อประมาณ 40 ล้านปีก่อน รวมทั้งดาวศุกร์อีกด้วย...
            ข้อตกลงเรื่องการลดภาวะโลกร้อนจะไร้ผล เพราะพื้นที่ทางการเกษตรถูกเผาไหม้จำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วโลกในปี ค.ศ. 2012 และเป็นสาเหตุของความอดอยาก การล่วงล้ำอำนาจอธิปไตย การเจ็บป่วย และเกิดสงคราม ไปทั่วทุกระดับของโลก ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐ รัสเซีย และจีน จะต่อสู้กันเพื่อควบคุมแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของโลก ประชากรมากกว่า 4.5 พันล้านคนจะตายจากผลที่มาจากภาวะโลกร้อนในปี ค.ศ. 2012 ดาวเคราะห์โลกจะขับเคลื่อนเข้าสู่ความหายนะอย่างน่าตระหนก....
             บทสรุปของโลกอยู่ในกำมือของมวลมนุษยชาติ หายนะขั้นรุนแรงจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? มนุษย์ย่อมเป็นผู้เลือก แม้จะโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเกิดจากความโลภของมนุษย์ก็ตาม ต้นเหตุสำคัญมาจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลัก อันเป็นใจความสำคัญของเรื่องราวและสอดคล้องทั้งหลักวิทยาศาสตร์และศาสนานั่นคือ สัตว์จำนวนมากมายมหาศาลถูกเข่นฆ่าทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา การบริโภคเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดการทำลายป่ามากมายเพื่อใช้ทำฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมายตามมา สิ่งที่อันตรายที่สุดคือการอุ่นขึ้นของมหาสมุทร นำไปสู่การปลดปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซพิษอื่นๆ ปริมาณมหาศาลที่สะสมมานับเป็นเวลาล้านๆปีภายใต้มหาสมุทร แพร่กระจายเข้าแทนที่ก๊าซออกซิเจนที่ใช้ในการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต ก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกมากกว่า 90% ก่อเกิดเป็นวัฏจักรเหมือนในประวัติศาสตร์โลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งการสูญสิ้นสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวดาวอังคารและดาวศุกร์ ทางแก้ก็เพียงแค่การลดก๊าซเรือนกระจกลง ด้วยการหันมาทานพืชผักผลไม้แทนการบริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อลดความต้องการลง และยังเป็นการหยุดการรุกล้ำผืนป่าทางธรรมชาติ อันเป็นแหล่งต้นน้ำกักเก็บความชื้น ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมทั้งมลภาวะทางอากาศ และผลิตก๊าซออกซิเจนให้แก่สิ่งมีชีวิตบนโลก นอกจากนั้นควรลดการใช้พลังงานฟอสซิล (น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ) หันมาใช้พลังงานทดแทน (พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ฯลฯ) ใช้ชีวิตอย่างประหยัดและมีคุณธรรม ก็จะสามารถรักษาโลกใบนี้เอาไว้ได้......

.................................................................................................

ค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.suprememastertv.com :www.godsdirectcontact-thai.com

									ข้อมูลโดย
								                    ...คีตากะ...
 
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ