25 มีนาคม 2551 09:30 น.
คีตากะ
มีคนมักบอกว่า ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของคนโบราณแล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จ มันก็เกิดข้อโต้แย้งของบางคนขึ้นมาว่า คำสอนของคนโบราณสอนให้ใคร? เราก็มาตอบได้ว่า เขาสอนให้คนโบราณโน้น เดี๋ยวนี้มันยุคไหนแล้ว บางอย่างก็ล้าสมัย อย่างเช่นคำว่า เรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เราว่าปัจจุบันนี้เห็นคนเรียนสูงๆเป็นแต่ลูกจ้าง ไม่เป็นข้าแผ่นดินก็เป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน อาจเป็นได้ว่าสมัยโบราณ คนที่จะได้มีโอกาสร่ำเรียนหนังสือคงจะมีน้อย ก็เลยเหมาไปเลยว่าใครเรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้านาย แต่ทุกวันนี้คนเรียนสูงๆตกงานก็มีให้เห็นกันเกร่อ ปัจจุบันการศึกษาก็เปลี่ยนแปลงไปแยะ พูดมากไปไม่ค่อยได้มีคุณครูที่น่านับถืออยู่มาก แต่อยากยกคำพูดของคนบางคนที่ได้ยินมาเขาบอกว่า ไม่มีสถาบันไหนสอนให้คนเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนใหญ่สอนให้เป็นลูกจ้าง เรามานั่งคิดดูก็เห็นว่ามีส่วนจริง ใครๆก็พูดว่าเรียนสูงๆจะได้มีงานทำดีๆ ความหมายก็คือส่งเสริมให้เป็นลูกจ้างอยู่ดี ไม่เห็นบอกว่าเรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าของกิจการ มันก็น่าคิดเหมือนกัน เคยได้ยินคนรวยบางคนพูดว่า การจะร่ำรวยหรือยากจนอยู่ที่ตรงการเลือกอาชีพ ถ้าเลือกอาชีพที่มีโอกาสรวยก็มีสิทธิรวย ถ้าเลือกอาชีพที่ทั้งชาติไม่มีโอกาสรวยก็ย่อมไม่รวย ฟังแล้วมันก็น่าสนใจ เขาให้สังเกตจากคนที่เคยทำอาชีพนั้นจนปลดเกษียณว่าสุดท้ายส่วนใหญ่เป็นอย่างไร รวยหนี้ รวยทรัพย์ รวยน้ำใจ รวยเพื่อน หรือรวยอะไร ? ก็คิดว่าทุกคนมีมุมมองแตกต่างกันไป...
แม้แต่เรื่องของศาสนาที่เป็นเรื่องอ่อนไหวในสังคม ก็มีความเชื่อแบบคล้ายคลึงกันนี้มาแต่โบราณเหมือนกัน ศาสนาดั้งเดิมได้แตกนิกายออกไปมากมาย และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น จนถึงที่สุดกลายเป็นสงครามศาสนาชนิดอยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ ก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ
มันก็คงวุ่นกันตรงนี้แหละ ที่นำคำสอนของคนโบราณมาใช้ในยุคปัจจุบันโดยไม่มีการพินิจไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่างเช่นศีลบางข้อของพระสงฆ์ที่ห้ามพกพาเงินกับตัว ทราบมาว่าสาเหตุเพราะพระสงฆ์สมัยโบราณมักเดินธุดงค์ไปตามป่าเพื่อการฝึกภาวนาสมาธิ และเงินสมัยโบราณทำจากเหรียญโลหะเสียส่วนใหญ่เวลากระทบกันจะมีเสียงดัง อาจรบกวนการปฏิบัติธรรมได้โดยง่าย พระพุทธเจ้าจึงห้าม บัญญัติเป็นศีล แต่ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน เงินส่วนใหญ่เป็นธนบัตรทำจากกระดาษ เรื่องจะเกิดเสียงรบกวนคงจะยาก แต่ถ้ามายึดเอาตายตัวก็คงเพิ่มความลำบากให้กับชีวิตมากขึ้นและไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าที่ควร แต่พอใครคิดจะมาเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน ถูกตราหน้าว่าพวกนอกรีต นอกธรรม เหมาเอาเลย แต่คงไม่ถึงกับสุดโต่งเหมือนบางคนที่ชอบพูดว่ากฎมีไว้ให้ฝ่า นี่ก็คงเกินไป เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆมีไว้เพื่อรักษาสังคมให้สงบสุขเรียบร้อยมากขึ้น ถ้ามันสมเหตุสมผลพอกับยุคสมัย ไม่เช่นนั้นก็จะล้าหลังมีไว้เพื่อสอนคนโบราณ ใช้ไม่ได้กับคนสมัยนี้
โดยเฉพาะเรื่องที่สูงสุดที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดมากกลัวโดนข้อหาอวดอุตริทางธรรม
อย่างเช่น นิพพาน คนที่ควรจะมีสิทธิพูดจะต้องเคยนิพพานมาแล้ว คนไม่เคยไม่ควรพูด เพราะมันจะกลายเป็นเพียงแค่ความรู้ไม่ใช่มาจากประสบการณ์ และเสี่ยงกับการสร้างวจีกรรม ฟังดูแล้วมันก็น่ากลัวจนเกินไป เปรียบไปแล้วมันก็คล้ายกับบุรุษไปรษณีย์ ที่ไม่ใช่เป็นคนเขียนจดหมายเองแต่มีหน้าที่ส่งจดหมาย ถ้าถามว่าข้อความในจดหมายคืออะไร หรือในกล่องพัสดุนี้มีอะไร เขาก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะเขามีหน้าที่ในการส่งอย่างเดียว แค่รักษาสิ่งของหรือจดหมายจนถึงมือผู้รับในสภาพที่เรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น บางครั้งเคยพบว่าคนที่พูดบางคนมีความคิดที่ดีมากๆแต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติเลยสักครั้ง ถ้าเราเพียงแต่เปิดใจให้กว้างนำเอาความคิดของเขาลองไปปฏิบัติจนเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาก็ถือว่าการฟังได้ประโยชน์อย่างมาก คนพูดอาจไม่เคยปฏิบัติมา แต่เขาอาจเคยได้ยินได้ฟังคนที่เขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วจำมาพูด นั่นก็เป็นประโยชน์ต่อคนฟังเช่นกัน คนฟังจึงควรมีวิจารณญาณให้มากในการเลือกที่จะกลั่นกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาของแต่ละคน เฉกเช่นการจะเข้าถึงนิพพาน อันเป็นเรื่องที่สำหรับบางคนมันอาจจะไกลเกินเอื้อม แต่สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องง่ายๆ ถึงกับมีบางคนเปรียบเทียบว่าง่ายกว่าการยืนเข้าแถวซื้อของเสียอีก เรื่องราวทำนองนี้เราก็เคยได้ยินได้ฟังมามากแม้เราจะไม่รู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร แต่ก็อยากเสนอแนวความคิดเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบางคนที่สนใจ สิ่งแรกต้องเกริ่นตั้งแต่สมัยพุทธกาลว่า แม้พุทธศาสนาเองก็ยังแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่ายมากมาย แต่ที่เห็นชัดๆคือนิกายมหายานกับเถรวาทหรือหินยาน แค่สองนิกายนี้ก็ถกเถียงกันไม่รู้จักจบจักสิ้นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เราก็ฟังเขาเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ความที่เราเคยศึกษาทั้งสองนิกายมาบ้างพอสมควรและเห็นข้อดีข้อเสียของแต่ละฝ่ายก็รู้สึกเศร้าใจที่แม้ธรรมะจะมีหนึ่งเดียว แต่ความที่จิตใจคนแตกต่างกันไป จึงทำให้เกิดข้อโต้แย้งมากมายในข้อทฤษฎีและข้อปฏิบัติ เราไม่พูดถึงนิพพานคืออะไร? แต่พยายามหาวิถีทางในการก้าวไปสู่สิ่งนี้ หนทางใดที่เหมาะกับอุปนิสัยของใครก็ควรเดินไปตามเส้นทางนั้น เพราะเราเชื่อว่าแม้จะมีวิถีทางที่ดีที่สุดแต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถกระทำได้ เพราะคำว่าอัตตา ตัวเดียว ทุกคนก็มี ตัวกู ของกู ด้วยกันทั้งนั้น มีความคิด มีนิสัย ความชอบแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน แต่เราอยากจะมากล่าวด้วยเหตุด้วยผลมากกว่า เราเข้าใจว่าพระพุทธองค์สามารถที่จะหยั่งรู้และแยกแยะภาวะจิตของสรรพสัตว์ได้อย่างกระจ่างแจ้ง ดูได้จาก ทศพลญาณ พระองค์สามารถจะสั่งสอนอบรมสรรพสัตว์ตามระดับสติปัญญาของแต่ละบุคคลได้ จึงได้เกิดเรื่อง ดอกบัวสี่เหล่าขึ้น ใครที่หนาแน่นด้วยความหลงผิดก็ต้องฝึกฝนกันหนักหน่อย ใครมีปัญญาสูงก็สอนแบบเบาหน่อย เปรียบเสมือนนักเรียนที่มีระดับสติปัญญา หรือไอคิวแตกต่างกันนั่นเอง คนฉลาดย่อมเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าคนไม่ฉลาด ย่อมเป็นสัจธรรม หลักธรรมจึงมีถึง แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ก็เพื่อให้เหมาะกับอุปนิสัยของสรรพสัตว์ที่แตกต่างกัน บางคนเหมาะกับเถรวาท บางคนเหมาะกับมหายาน แต่เป้าหมายหลักก็เพื่อเข้าถึงธรรมอันสูงสุด อะไรเรียกว่า หลักธรรมสูงสุด พระพุทธองค์เองย่อมเป็นตัวอย่างของการเป็นผู้เข้าถึงหลักธรรมสูงสุด ซึ้งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตล้วนๆไม่เกี่ยวกับรูปธรรมใดๆ แต่ข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี ผู้นำทางหรือคนชี้แนะ บางคนบอกว่าก็หลักธรรมในคัมภีร์ต่างๆที่จารึกไว้นั่นไง แต่อย่าลืมว่า คัมภีร์เหล่านั้นใช้สอนคนสมัยโบราณ และเรื่องส่วนใหญ่ก็เป็นการที่พุทธองค์ชี้แนะสั่งสอนพุทธบริษัทกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อยู่ที่ว่าสอนใคร? ระดับภูมิธรรมขั้นไหน? เหมือนกับระบบการศึกษา คนเรียนดอกเตอร์จะมานั่งเรียนในโรงเรียนประถมไม่ได้ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราบอกว่าดอกเตอร์สูงสุด การเรียนการสอนระดับนี้ต้องไม่เหมือนกับการเรียนชั้นประถมแน่นอน แล้วมันจะยิ่งละเอียดอ่อนขนาดไหนถ้ามันไม่ใช่การเรียนรู้แค่ระดับสมองแต่มันลึกถึงระดับวิญญาณ ที่ยากพิสูจน์จับต้องและแยกแยะระดับชั้นหรือภูมิธรรมได้ง่ายๆ เราไม่เปรียบเทียบว่านิกายไหนดีกว่ากัน ให้เป็นไปตามความชอบส่วนบุคคลน่าจะเหมาะกว่า แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การจะเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไป เช่น ไปต่างจังหวัดหรือไปต่างประเทศ ถ้าเราไปด้วยตนเองมันก็จะมีผลเพียงสองอย่างคือ ไปถึงจุดหมายกับไปไม่ถึงจุดหมาย แต่ถ้าเรามีผู้นำทางหรือเรียกว่าไกด์ซึ่งเขาเป็นผู้ชำนาญทางและเคยไปที่แห่งนั้นมาแล้ว ผลมันก็จะรับประกันได้แน่นอนกว่าว่าจะไปถึงจุดหมายและไม่เกิดการหลงทาง โดยเฉพาะเสียเวลาจากการหลงทิศหลงทางไป จนถึงกับแย่ที่สุดคือหาไม่พบจุดหมายปลายทางเลย เสียเงิน เสียเวลา เสียพลังงาน โดยเฉพาะเสียความรู้สึก และในที่สุดเราก็พบว่าตัวเราล้มเหลว พระพุทธองค์เป็นตัวอย่างของไกด์ที่ดี ผลก็คือในสมัยพุทธกาลมีผู้เข้าถึงธรรมขั้นสูงได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างกับปัจจุบัน ที่มีแต่นักพูดและหานักปฏิบัติได้ยาก และในบรรดานักปฏิบัติส่วนใหญ่ก็หลงทาง มีส่วนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ชี้แนะ แม้พระพุทธองค์เองตั้งแต่เล็กจนโตก็มีอาจารย์คอยชี้แนะมาตลอด ล้วนเป็นอาจารย์ระดับประเทศทั้งสิ้น อาจารย์ดังแห่งยุค ซึ่งในอินเดียและเนปาลสมัยก่อนเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญ จนปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นกันอยู่มากมาย วิถีทางแตกต่างกันไปแต่จุดหมายเดียวกัน โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ล้วนเป็นที่ชุมนุมของเหล่านักบุญ และพระพุทธองค์ก็เคยจาริกไป การจะค้นหาไกด์นำทางที่ดีเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะคนที่จิตใจคับแคบย่อมยากที่จะฟังใครง่ายๆ แต่เรามีคัมภีร์โบราณมากมายมีนิกายมากมาย ศาสนามากมาย ถ้าเรานำมาศึกษาเปรียบเทียบให้ดี เปิดใจให้กว้าง ไม่ยึดติดจนเกินไปกับความเชื่อเดิมๆ ที่บางครั้งก็ล้าสมัย แล้วนำมาเปรียบเทียบกับอาจารย์ดีอาจารย์ดังในปัจจุบัน คิดว่าคงไม่สุดวิสัยเกินไปที่จะหาพบอาจารย์ดีสักคนหนึ่ง มีคำกล่าวว่า ทุกยุคทุกสมัยจะมีนักบุญหรือพุทธะมาเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์เสมอ แต่ถ้าเราไม่มีบุญสัมพันธ์หรือไม่คิดจะค้นหาก็ย่อมยากยิ่งที่จะได้พบเจอ อีกอย่างสังคมที่ต้องดิ้นรนแบบปากกัดตีนถีบ ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เวลาของชีวิตก็เหลือน้อยลงจนไม่เหลือเวลาเพื่อเป้าหมายสูงสุดของชีวิตนี้ นั่นคือ การหลุดพ้น เป็นอิสระจาก โลภ โกรธ หลง คำสอนต่างๆก็มีมากมายจนเกินไปแล้ว แต่มีสักกี่คนที่มีประสบการณ์จริงๆ รู้แจ้งจริงๆ เพียงแค่รู้ต่างกับรู้แจ้ง การรู้ต้องอาศัยตำรา ครูอาจารย์ช่วยสอน แต่การรู้แจ้งมาจากประสบการณ์จากภายใน สิ่งแรกหาได้จากภายนอก แต่สิ่งหลังหาได้จากภายในจิตใจ และถ้ามีอาจารย์คอยชี้แนะก็ย่อมไปได้เร็วกว่ามาก โดยเฉพาะในปัจจุบันยิ่งจำเป็นต้องมีอาจารย์ เพราะมายาที่จะล่อลวงจิตใจให้หลงทางได้มีมากมายกว่าอดีตนัก ไม่มีอะไรตายตัวและต้องยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสโลก เหมือนโรคภัยไข้เจ็บที่กำเนิดขึ้นมากมาย บ้างก็กลายพันธุ์จากเดิม บ้างก็เกิดขึ้นมาใหม่ มีให้เห็นอยู่ การบำบัดรักษาก็ต้องเท่าทันโรคภัยต่างๆเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็ถูกเรียกว่าล้าหลัง ไม่ทันโลก ถ้าเป็นรถก็เรียกว่า ตกรุ่น อะไรประมาณนั้น
ถ้าเราพบอาจารย์ดีแล้วมันก็ง่ายขึ้นเยอะ เราก็เพียงแต่ทำตามที่อาจารย์ชี้แนะ และเดินตามท่านโดยไม่ท้อถอยกลับหลัง ไม่ยอมแพ้กลางทางเชื่อว่าจุดหมายปลายทางย่อมเป็นที่หวังได้ เพราะอาจารย์ดีที่แท้จริงนั้นหาใช่สามัญชนคนธรรมดาไม่ แม้ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านก็จะยังคงสามารถช่วยเหลือศิษย์ไปจนตลอดรอดฝั่งได้ในที่สุด จึงมีคำกล่าวว่าการได้เพียงพบหน้าอาจารย์ดีสักครั้งก็ถือว่าหลุดพ้นแล้วทันที แม้คนผู้นั้นจะไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นอาจารย์ดีก็ตาม หรือแม้กระทั่งเกลียดชังก็ตาม ในที่สุดอาจารย์ดีก็ยังคงช่วยเหลือคนผู้นั้นได้อยู่ดี ก็ขึ้นชื่อว่าอาจารย์ดีย่อมกระทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว คนธรรมดาสามัญย่อมไม่สามารถกระทำได้ ย่อมเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน มิเช่นนั้นก็ไม่คู่ควรกับคำว่า อาจารย์ดี อาจเป็นได้แค่อาจารย์ดังเท่านั้น ซึ้งล้วนมีให้เกร่อเต็มบ้านเต็มเมือง......อีกเรื่องหนึ่งที่ล่อแหลมเป็นอย่างมากที่จะกล่าวถึง คือเรื่องของ กรรม การที่นักปฏิบัติส่วนใหญ่ล้มเหลวกลางทางเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากกรรมนี่เอง กรรมคือนิสัยหรือความคิดที่ฝั่งแน่นมาจากอดีต จนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้คิดแบบเดิม พูดแบบเดิม และกระทำแบบเดิม ชีวิตก็เลยเป็นแบบเดิมๆ มีคนกล่าวว่า ความคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยน น่าจะใช้ได้ดี แม้พุทธองค์จะห้ามมิให้คิดถึงเรื่อง กรรม เพราะเป็นเรื่องซับซ้อน ละเอียดอ่อน แต่พระองค์ก็กลับมีวิธีที่จะพิชิตกรรมนี้ได้ การที่ทรงหยั่งทราบว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน กล่าวคือ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง กรรมก็เช่นเดียวกัน สามารถแก้ไขได้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องเหนือความเข้าใจของมนุษย์ เรามักได้ยินบ่อยๆว่าใครทำกรรมอะไรตัวเองก็ต้องชดใช้ ถูกต้องถ้านั่นเป็นปุถุชน แต่ถ้าเป็นอาจารย์ดีหรือพุทธะท่านเหล่านั้นจะมีวิธีรับมือได้เสมอ เพราะไม่มีอะไรที่อาจารย์ดีทำไม่ได้ แม้กระทั้งในพุทธประวัติยังสามารถทำให้นรกว่างได้แม้เพียงชั่วขณะก็เคยมีมาแล้ว ท่านเข้าใจระบบการทำงานของมัน ที่ปัจจุบันเรียกว่า อินพุท เอ๊าพุท รู้ความเป็นมาเป็นไป จึงสามารถแก้ไขได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า พุทธานุภาพ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่ปัจจุบันยังไปไม่ถึง เป็นวิทยาศาสตร์ขั้นสูง แท้ที่จริงโลกนี้ล้าหลังอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดที่อาจารย์ดีทำไม่ได้ เพราะท่านมีปัญญามากกว่าคนธรรมดา มากกว่านักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก ท่านคือยอดนักวิทยาศาสตร์ และเยี่ยมยอดในทุกศาสตร์สาขาวิชา เพราะท่านคือต้นกำเนิดของศาสตร์ต่างๆนั่นเอง เพราะท่านเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ อะไรที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ล้วนอยู่ในความสามารถของท่าน แม้แต่โลกใบนี้ แม้แต่จักรวาลทั้งจักรวาล มีดาวเคราะห์ต่างๆเป็นต้น ท่านย่อมรู้จักหมด ไม่มีอะไรที่ท่านไม่รู้เพราะท่านได้ชื่อว่าสัพพัญญู ท่านจึงสามารถแก้ไขกรรมต่างๆของศิษย์ได้และทำให้เขาเหล่านั้นเข้าถึงธรรมได้อย่างปลอดภัยและใช้เวลาเพียงสั้นๆ ท่านไม่ได้สอนอะไรเพียงทำให้ทุกคนเป็นเหมือนกับตัวท่าน เพราะท่านรู้ว่าสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน และรวมทั้งท่านด้วย ท่านไม่ได้สอนอะไรใหม่ เพราะนี่คือธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ก่อนมีโลกและจักรวาล ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีสิ่งเดียวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือสิ่งนี้นี่เอง สิ่งที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ หรือหน้าตาดั้งเดิมหรือธรรมชาติพุทธะหรือเต๋า หรือพระเจ้า นี่คือความจริงของชีวิตข้อเดียว นี่คือสัจธรรมสูงสุด ผู้ที่เข้าถึงสิ่งเหล่านี้เรียกว่านิพพาน นั่นเอง มิใช่ตาย เพราะคนที่นิพพานต้องนิพพานเวลาเป็นๆถ้าคนที่นิพพานแล้วตายเรียกว่า ดับขันธปรินิพพาน ไม่รู้ศัพท์ถูกต้องหรือเปล่า ไม่เคยเรียนมาเสียด้วย การอธิบายมีมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องค้นหาอาจารย์ดีและปฏิบัติมันด้วยใจ จนเกิดมรรคเกิดผลเห็นแจ้งขึ้นมาจริงๆนั่นแหละจึงเรียกว่ายอดคน ตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคนก็แล้วกัน........สาธุ
6 มีนาคม 2551 12:10 น.
คีตากะ
และแล้ว ! ก็เป็นเหมือนเก่า..ในที่สุดเราก็ก้าวเข้ามาสู่จุดเริ่มต้น กลับมาสู่ชนบทแดนกันดาร ห่างไกลความเจริญ นี่คือบ้านเกิด ท่ามกลางป่าไพรและท้องทุ่ง มีคนเคยบอกว่า รก ของเราถูกฝังไว้ที่แห่งนี้ เราจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกล ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน สุดท้ายต้องวนกลับมาที่เดิม.....
ที่นี่คือสถานที่ในการหยุดเพื่อตรวจสอบระบบความคิดของตัวเอง......เพราะชีวิตถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดอันเข้มข้นของตัวเราเอง เราเชื่อเช่นนั้น ความคิดคือสิ่งกำหนดชะตาชีวิต ความคิดเปลี่ยนโลกเปลี่ยนชะตาชีวิต...หลายคนเคยพูดเช่นนั้น เราก็เชื่อเช่นนั้น เพียงแต่ว่า อาจไม่ใช่เพียงแค่ความคิด น่าจะมีเรื่องของกรรม ซึ่งก็คือความคิดในอดีตเช่นกัน ประกอบเป็นองค์รวมอยู่ด้วย สรรพชีวิตล้วนเป็นไปตามกรรม เหมือนกับเวลาตอนเด็กๆที่เล่นลูกบอลลูกเล็กๆ บางครั้งเราเตะมันอัดกับกำแพงแรงเท่าใด มันก็จะกระเด้งกลับมาแรงเท่านั้น....
ความรู้สึกตอนที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า แปดโมงเพื่อ เร่งรีบเข้าทำงาน และคอยเวลาห้าโมงเย็นเพื่อรอเวลาเลิกงาน มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากจริงๆสำหรับชีวิต ราวกับว่าถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่เวลานี้เราดูเหมือนว่าจะมีอิสระมากขึ้นเหมือนจะมีความสุขดีแต่เรื่องปวดหัวอย่างอื่นก็ยังคงมีใหม่ๆอยู่เสมอ ราวกับว่าวที่สายป่านถูกตัดขาดลอยละลิ่วไปไร้ทิศทาง ทั้งอิสรเสรีและเลื่อนลอย
ถ้าพิจารณาแล้วคำว่าไร้แก่นสารนั้นไม่สมควรกล่าวในเวลานี้ เพราะชีวิตคือความไร้แก่นสารประการหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้น มีคนบอกเราว่าชีวิตย่อมมีจุดมุ่งหมายของมัน แม้จะจบลงด้วยความตายก็ตาม เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเราไม่เคยตายเลยไม่รู้ว่าจากนั้นจะไปไหนต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อคือคำกล่าวที่ว่าชีวิตแท้ที่จริงต้องการความสุข และการเกิดมาก็เพื่อนเป้าหมายนี้....แต่อะไรเล่าคือความสุข ? แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนบอกดูหนังฟังเพลงเป็นความสุข บางคนบอกมีคนรักเป็นความสุข บางคนบอกการได้ท่องเที่ยวเป็นความสุข บางคนว่าเรื่องกินสิเป็นความสุข บางคนบอกว่าสังคมมีเพื่อนเยอะๆเป็นความสุข บางคนบอกว่าร่ำรวยสิจึงเป็นความสุข บางคนบอกได้ร้องเพลงก็พอแล้ว บางคนบอกว่าการนอนป็นความสุข บางคนชอบทำงานหนักเป็นความสุข บางคนบอกสันโดษเป็นความสุข แต่ละคนก็มีความสุขในมุมมองของตัวเอง และใครก็อย่ามาวิพากษ์วิจารณ์.....
แต่ถ้าใครถามว่าความสุขที่เป็นสุขที่นิรันดร์ หลายคนที่พอรู้หน่อยก็ต้องบอกว่านิพพาน ซึ่งคำนี้ฟังง่ายแต่แปลยาก บางคนบอกว่าหมายถึง การดับเย็นจากกิเลส หรือการหมดจากทุกข์ ดับจากทุกข์ เรามีความเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเจอความทุกข์มาแล้วทุกคน แต่มีกี่คนที่เจอคำว่านิพพาน และใครจะมีชีวิตที่เป็นนิพพาน ยังมีบางคนพูดถึงนิพพานชั่วคราว นิพพานถาวร เป็นอย่างไรก็ยากเข้าใจ น่าเสียดายที่เราไม่เคยนิพพาน เลยไม่รู้ บางคนถึงกับบอกว่า นิพพานแปลว่าตาย ยิ่งปวดหัวไปใหญ่ ก็คงปล่อยมันไป ว่ากันไป.......แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า นิพพานต้องมีความสุข แล้วแต่ใครจะชอบ จะรักนะกัน....
กลับมาบ้านก็เจอแต่ข่าวๆๆๆ เพราะปกติไม่ค่อยดูข่าว แต่พ่อเขาชอบดูก็เลยต้องดูเป็นเพื่อนเขา อยู่กันแค่สองคน แม่ก็ไปเลี้ยงหลานให้น้องชาย เราจึงต้องทำงานแทนแม่ ทำกับข้าว ซักผ้า ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน งานของผู้หญิงเราทำหมด เราออกมาทำธุรกิจส่วนตัว และประกาศว่าจะไม่ยอมเป็นลูกจ้างให้ปวดหัวอีก ใครๆก็พูดง่าย แต่ไม่เคยทำได้สักที แม้แต่เราก็พูดมาหลายรอบ แต่สุดท้ายยังคงกลับไปทำงานบริษัทอยู่ดี คราวนี้ก็อีกแหละ ความตั้งใจดี แต่ปัญญาไม่พอ เอาตัวไม่รอด แต่เราล้มลุกคลุกคลานอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้แน่นอนนี่ก็ผ่านงานมาตั้ง 5 บริษัทแล้ว สงสัยจนอายุเกินที่เขาจะรับเข้าทำงานจึงจะหยุดได้กระมัง.....
ข่าวการบ้านการเมืองยิ่งน่าเวียนหัว ละครไทยดูไปก็น้ำเน่า เน้นการตลาดขายโฆษณาอย่างเดียว คนก็ดูกันจัง ยิ่งละครเรื่องเด็ดๆ ค่าโฆษณา นาทีเป็นแสน เราเคยทำการตลาดมาบริษัทหนึ่ง เคยถามเจ้าของกิจการว่าทำไมสินค้าเราถึงไม่ทำโฆษณาทางทีวี เขาบอกว่าเคยทำมาแล้วแต่ไม่ได้ผล เพราะแบรนด์ของคู่แข่งเข้มแข็งติดตลาดมากกว่า แถมลงทุนทีใช้เงินเป็นล้าน ทุกวันนี้บริษัทนี้เน้นส่งออก 95% ขายในประเทศแค่ 5% เลยไม่ต้องทุ่มงบโฆษณา เน้นขายตรงมากกว่า วางตามโมเดิ้นเทรด ห้างร้านต่างๆไว้ให้แบรนด์ติดตาเท่านั้น เท่ากับเป็นการโฆษณาไปในตัว.....
ข่าวเรื่อง คนรวยเล่นหุ้น คนจนเล่นหวย ฟังคนโน้นพูดที คนนี้พูดที เราชาวบ้านตาดำๆธรรมดายิ่งปวดเศียรเวียนเกล้าไปใหญ่ พูดมากก็โดนด่า ว่าเป็นพวกไร้การศึกษาซะงั้น บ้างก็ว่าไหนๆจะเล่นกันแล้วก็ทำให้ถูกกฎหมายไปเลยเอาเงินเข้ารัฐช่วยเหลือเด็กยากจนขาดทุนการศึกษา บ้างก็ว่าเป็นการส่งเสริมอบายมุขทำประเทศล่มจม ไม่รู้จะฟังใคร หาโอเลี้ยงกินดีกว่าแก้เซ็ง มันอึดอัดคับข้องใจยังไงชอบกล....
ต่างคนก็ต่างมุมมอง...ว่ากันไป อะไรถูกอะไรผิดเดี๋ยวก็รู้เองแหละ บางคนว่าโลกนี้ไม่มีดำกับขาว มีแต่สีเทาๆมัวๆ น่าจะจริงนะ น่าสังเกตว่าสิ่งนี้ได้สะท้อนภาวะจิตใจของคนออกมา ว่าที่จริงยังคงสีเทาๆ ไม่ดำสนิทและขาวบริสุทธิ์ นี่แหละมนุษย์ตัวจริง เป็นๆ ทุกคนก็มีอัตตาทิฐิ ด้วยกันทั้งนั้น ตัวเองต้องถูกต้องเสมอ ไม่ยอมฟังใคร ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กูอยู่เฉยๆดีกว่าประเทศฉิบหายกูก็ฉิบหายไปด้วย..นั่นสิ บ้านหลังเดี๋ยวกันเสาหายไปข้าง หลังคาหลุดไปบ้าง มันก็คงซวยกันอยู่ดี จะหนีไปไหนล่ะ หรือจะเข้าป่า ก็คงอดตายในป่า เพราะเดี๋ยวนี้คนมันทำลายป่ากันจะหมดประเทศแล้ว ดินฟ้าอากาศแปรปรวนไปหมด นี่จะหน้าร้อนแท้ๆ เมื่อเช้าดันหนาวจนเกือบจะเป็นไข้ ดูมันสิธรรมชาติไปกันใหญ่ คงเริ่มเพี้ยนตามคนนั่นแหละ กรรมละคราวนี้ ความฉิบหายมาเยือน...
พวกคนจนก็บอก...พวกคนรวยมันโกงเขามาใครจะทำเงินได้เยอะๆขนาดนั้นมันต้องโกงชัวร์ ส่วนพวกคนรวยก็บอก....พวกคนจนมันโง่ไม่มีสมอง ทำธุรกิจไม่เป็น ทำงานเพื่ออุดมการณ์ ให้มันกินอุดมการณ์แทนข้าวไปเถอะ ไม่รู้จะฟังใครต่างคนก็ต่างสาดโคลนใส่กัน ถ้าพูดถึงความสุขสบายทางกายรวยก็อาจจะดี แต่ถ้าสบายใจไม่ต้องดิ้นรนมากไม่แน่จนอาจจะดี เพราะยังไงคนรวยตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่างและจะเป็นทุกข์มากเวลาจะตาย พวกนี้กลัวตายเป็นที่สุด เสียดายชีวิตที่สุขสบาย ส่วนคนจนตายก็เอาความยากลำบากติดตัวไปไม่ได้ อาจจะอยากตายเร็วๆเสียด้วยซ้ำ ไม่ค่อยกลัวตาย เพราะอาจคิดว่าชาติหน้าตากูรวยมั่งนะกัน เพราะจริงๆคงไม่มีใครคิดเกิดมาจนหรอก ใครก็ต้องอยากรวย อยากสบายทั้งนั้น แต่ไม่มีปัญญาเท่านั้นเอง....
คนมีปัญญาเท่านั้นที่สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส และมองเห็นโอกาสในทุกๆที่ๆ ทุกสถานการณ์ หากเป็นนักธุรกิจก็เห็นโอกาสในการทำเงิน การลงทุน หากไม่มีโอกาส ยังสามารถสร้างโอกาสขึ้นมาได้อีก ส่วนคนไม่มีปัญญาอย่าว่าแต่ไม่เคยเห็นโอกาส ยังนอนรอโอกาส ไม่รู้จักโอกาส ที่ซ้ำร้ายยิ่งไปอีกคือมีโอกาสแล้วยังไปทำลายโอกาสอีก เช่นเราเป็นต้น มีโอกาสร่ำรวยตั้งไม่รู้กี่ทีกลับไปทำลายหมดเลย.....กรรมของตู แต่นี่ก็เป็นแค่โลกียปัญญา....
โลกุตรปัญญา เป็นอย่างไร? คงต้องไปถามพวกบำเพ็ญเพียรทางจิต วิปัสสนากรรมฐาน พระเจ้าพวกนั้น เราก็ไม่ค่อยรู้เป็นคนไม่มีโลกุตรปัญญา แต่เคยได้ยินได้ฟังมามาก ว่าคนที่มีปัญญาชนิดนี้จะสามารถกลายเป็นยอดคน เช่นในเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งถือได้ว่าเป็นยอดคน หยั่งรู้ดินฟ้าปานเทพยดาประมาณนี้แหละ ถ้าขงเบ้งบำเพ็ญต่อไปในป่าไม่ออกมาทำศึก ก็อาจบรรลุธรรมขั้นสูงก็เป็นได้ การมารบราฆ่าฟัน สร้างเวรกรรม ขงเบ้งอายุสั้นตายแค่อายุประมาณ 40 เท่านั้น จริงเปล่าไม่รู้? มีคนบอกว่าขงเบ้งกับฮิตเลอร์มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้รบกี่ครั้งไม่เคยแพ้ ในแวดวงคนบำเพ็ญบอกว่า แท้ที่จริงพวกนี้ใช้โลกุตรปัญญาไปในทางที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก การบำเพ็ญจิตทางลัทธิเต๋าของขงเบ้งทำให้เขาสามารถถอดจิตได้ และก่อนจะรบเขามักจะถอดจิตออกไปดูข้าศึกวางแผนกันบ่อยๆ จึงสามารถรับมือและซ้อนแผนข้าศึกได้ราวกับตาเห็น ที่มีอยู่ครั้งที่ขงเบ้งสามารถสยบทัพทั้ง 7 ทัพที่ยกมาพร้อมกันจากทุกทิศทาง เพียงนั่งอยู่ในกระโจมวางแผนเท่านั้น ทัพทั้ง 7 ถอยแตกกระจายไม่เป็นขบวน ใครจะคาดคิดว่าขงเบ้งเพียงแค่นั่งถอดจิตไปดูศัตรูจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้วก็อาจเป็นได้.....เหลือเชื่อจริงๆๆๆ...ฮิตเลอร์ก็คงถอดจิตได้เหมือนกัน เดี๋ยวประวัติศาสตร์จะเพี้ยนกันไปใหญ่...กรรมแล้วตู ว่าไปตามเขา......หาเรื่องใส่ตัวและ! ไปนอนดีกว่า.....