30 มกราคม 2551 00:39 น.
คีตากะ
กลางท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย ปลายปี ค.ศ. 2011 ณ แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง รุ่งเช้าที่ท้องฟ้ากำลังสดใสของวันที่ 29 เดือนธันวาคม…….. พายุร้ายกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
“หัวหน้าครับ ! หัวหน้า เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ !” เสียงเอะอะดังมาจากหัวหน้าทีมช่างขุดเจาะน้ำมันภาคพื้นทะเล ที่วิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ ราวกับถูกผีหลอกมาก็ปาน! แกชื่อช่างบ่าว หน้าตามอมแมม ร่างกายต่ำเตี้ย ผิวสีดำสนิท
“มีอะไรว่ะ !ไอ้บ่าว ทำหน้าตื่นขนาดนั้น มึงขุดเจอภูตผีหรือไงฮะ !” คุณสุรชัยผู้จัดการฝ่ายผลิตตวาดเสียงดัง เมื่อถูกคนขัดจังหวะขณะกำลังนั่งจิบกาแฟและอาหารมื้อเช้าอยู่
“หัวหน้าครับ คืออย่างนี้ครับ ระหว่างที่คนงานกว่าร้อยคนกำลังทำงานอยู่นั้น ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น มีคนมารายงานผมๆจึงรีบไปดู พบว่าท้องทะเลเกิดมีฟองอากาศมากมายกำลังผุดขึ้นมาจากใต้ทะเลครับ คนงานกลัวกันมาก วิ่งหนีกลับที่พักกันหมดเลยครับ บางคนบอกว่า เจ้าแห่งท้องทะเลกำลังลงโทษที่พวกเรามาขุดเจาะน้ำมันบริเวณนี้ “ ช่างบ่าวรายงานด้วยอาการอกสั่นงันงก เหมือนเจอผีสางมาจริงๆ…..
ทันทีที่ได้ฟังรายงานจากช่างบ่าว สีหน้าของคุณสุรชัยก็เปลี่ยนเป็นแดงสดสีเลือดขึ้นมา พร้อมตวาดว่า
“นี่มึงเป็นถึงหัวหน้าทีมช่าง ทำไมจึงทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ แค่ฟองอากาศ ทะเลก็ต้องมีฟองอากาศเป็นเรื่องปกติ ไปรีบไสหัวกลับไป มีภาวะความเป็นผู้นำหน่อยสิ บอกคนงานด้วยใครกล้าหนีงานอีกกูจะตัดเงินเดือนหรือไม่ก็ไล่ออก รวมทั้งมึงด้วย ออกไปซ่ะ ก่อนที่กูจะโกรธมากกว่านี้ !”
ช่างป่าวได้แต่รีบออกจากห้องไป ก่อนที่จะเจอข้อหาหนัก แต่สัญชาติญาณถึงเหตุร้ายภายในจิตใจของแก ซึ่งเป็นผู้ที่เคยคร่ำหวอดในวงการขุดเจาะน้ำมันมากว่า 20 ปี สอนให้แกรู้ว่ากำลังมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น แกเดินเรื่อยๆพลางคิดว่าเพราะอะไรผู้จัดการถึงไม่รับฟังคำพูดของแก…แต่แล้วแกก็เปลี่ยนใจที่จะกลับไปตามคนงานมาทำงาน กลับเดินเลี้ยวซ้ายเลียบทางเดินเล็กๆที่ติดกับท้องทะเลตรงไปยังห้องของหัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับแกมานานในฐานะเพื่อนร่วมงาน
“มึงจะบ้าไปแล้ว ไอ้บ่าว เมื่อคืนมึงกินเหล้าดึกไปเปล่าวะ เช้ามาเลยเมาไม่สร่าง กูว่ามาต่อกันอีกซักกลมดีกว่าหว่ะ ถอนหน่อยจะได้หายเมาฮาๆ”ประสงค์ หัวหน้าทีมวิจัยฯ หัวเราะเพื่อนของเขาเองที่ตื่นตูมกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หลังจากที่ช่างบ่าวเพื่อนสนิทของเขาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง….
“เออ ไม่มีใครเชื่อกูก็แล้วไป เกิดอะไรขึ้นจะมาว่ากูไม่เตือนไม่ได้นะมึง” ช่างบ่าวตัดพ้อต่อว่าเพื่อนสนิทของเขาก่อนที่จะรีบก้าวเท้าออกจากห้องไป
ช่างบ่าวรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมากที่ไม่มีใครรับฟังคำพูดของเขา และเขาเริ่มจะเชื่อคำพูดของคนเหล่านั้นไปเสียแล้วว่าตัวแกเพี้ยนไปเอง แต่สัญชาติญาณของแกยังคงร้องเตือนแกไม่หยุดหย่อน ถึงเหตุร้ายแรงบางอย่าง แต่แล้วแกก็พลันคิดขึ้นมาได้ว่าในไซด์งานขุดเจาะน้ำมันนี้ยังมีคนผู้หนึ่งที่สามารถตอบปัญหาเคลียร์ข้อข้องใจให้แก่แกได้ ภายหลังจากที่แกเข้าไปรายงานระดับผู้บริหารหลายท่าน แต่สุดท้ายก็จบเหมือนเช่นเดิม คือแกโดนตวาดไล่ออกมาเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าคนๆนี้จะเหมือนคนอื่นๆอีกหรือไม่ แต่แกไม่มีทางเลือก เพราะนี้คือทางเลือกสุดท้าย คนที่เขาต้องการพบก็คือ นายช่างสอง วิศวกรหนุ่มไฟแรง ที่เพิ่งเข้างานมาได้เพียง 2 เดือน แต่ก็ถูกส่งมาประจำที่นี่เช่นเดียวกับแก
“มึงเห็นนายช่างสองเปล่าว่ะ” ช่างบ่าวถามคนงานคนหนึ่งที่เผอิญเดินมาเจอกัน
“ลูกพี่ลองไปดูที่ห้องนายช่างสิ” คนงานตอบ
“กูไปมาแล้วแต่ไม่เจอ เดินหาจนทั่วเกือบจะตกทะเลตายอยู่แล้ว ไม่รู้วันนี้นายช่างมาทำงานเปล่า? หาตัวยากจริงๆ” ช่างบ่าวรู้สึกท้อแท้อย่างบอกไม่ถูกกับการเดินตามหานายช่างสอง แกให้ประชาสัมพันธ์ประจำไซด์สาวสวย ประกาศให้หลายรอบแล้วแต่ยังคงไม่เห็นแม้เงาของคนที่เขาอยากพบเจอมากในเวลาที่คับขันที่สุด !
“ไอ้หมาย มึงเห็นลูกพี่มึงเปล่าว่ะ มึงสนิทกับนายช่างสองไม่ใช่เหรอ? น่าจะรู้ดีว่าเขาอยู่ไหน เห็นกินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ” ช่างบ่าวรีบกล่าวด้วยอาการดีใจ เมื่อได้พบกับสมหมาย ช่างเครื่องกล คนสนิทของนายช่างสอง หลังจากที่เดินตามหามันมากว่าครึ่งค่อนวัน
“ฮาๆๆๆๆ วันนี้ลูกพี่ผมไม่มาทำงานหรอกครับ แกลากิจครับ” สมหมายตอบด้วยรอยยิ้มแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ออก
“กูมีเรื่องเร่งด่วนอยากพบเจอนายช่าง ตอนนี้เดี๋ยวนี้ เรื่องคอขาดบาดตายนะมึง ไม่มีเวลามาล้อเล่นกับมึงหรอก บอกมาตรงๆว่านายช่างอยู่ไหน” ช่างบ่าวเริ่มหงุดหงิด พร้อมพูดแกมบังคับ
“ผมบอกให้พี่รู้ก็ได้ แต่พี่อย่าไปบอกใครนะ เดี๋ยวนายช่างสองจะมาเล่นงานผม !”
“เออ กูรับปาก รีบบอกมา นายมึงอยู่ไหน” ช่างบ่าวคาดคั้น
“ผมว่าเมื่อคืนแกดื่มหนักไปหน่อย ผมชวนแกกลับตอนตีหนึ่ง แต่แกบอกไม่กลับแถมพูดจาไม่รู้เรื่องอีก ยังขับไล่ผมให้กลับไปก่อน ผมเดาว่าแกคงไปนอนกับอีหนูที่ร้านอาหารและคาราโอเกะชื่อ ร้านสุขสำราญคาราโอเกะ ในเมืองนะครับ !” สมหมายกล่าวรายงาน ภายหลังจากที่ทราบว่านายช่างขึ้นฝั่ง ช่างบ่าวก็รีบสั่งลูกน้องเอาเรือออกทันทีเพื่อไปตามนายช่างสองความหวังสุดท้ายที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของแก และอาจหมายถึงความเป็นความตายของแกด้วย !
ท้องฟ้ายังคงเวิ้งว้างว่างเปล่าราวกระดาษ ลมทะเลแม้จะรุนแรง แต่เสียงหัวใจของช่างบ่าวยังเต้นแรงกว่าอีกหลายเท่านัก
ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล
สุขสำราญเพียงกินดื่ม
หวังเหงาจางร้างเลือนลืม
ขอหยิบยืมน้ำเมาคลาย……
โอบกอดนารีมีไออุ่น
หอมกลิ่นกรุ่นรักมิหน่าย
ผ่านวันเปล่าเหงาวางวาย
สุขมิคลายได้กอดนาง….
ยิ้มเยาะเย้ยชนชาวโลก
มัวนั่งโศกโชคเหินห่าง
ข้าคงสุขทุกข์เบาจาง
อ้อมกอดนางสำราญใจ
ครั้งแรกที่ช่างบ่าวมาถึง “ร้านสุขสำราญคาราโอเกะ” แกต้องพบกับความว่างเปล่าเพราะไม่พบตัวนายช่าง แต่พอสืบทราบว่าเมื่อคืนนายช่างสองมาที่นี่และอยู่กับหญิงสาวเยาว์วัยนางหนึ่ง แกก็รีบตามหาจนพบตัวเธอ เธองดงามอย่างยิ่งทางร้านเพิ่งรับเข้ามาเป็นนักร้องที่นี่ได้แค่ 3 วัน แต่คนที่สนิทสนมกับเธอมากที่สุดคงเป็นนายช่างสองนั่นเอง
“เมื่อคืนหนูอยู่กับพี่สองทั้งคืน แกชวนหนูดื่มเหล้า เราเล่นพนันกันว่าใครเมาก่อน จะถูกปรับแพ้ ต้องเป็นคนถอดเสื้อผ้าก่อน คริคริคริ “ หญิงสาวพูดโดยไม่อายราวกับพูดจาถึงคนรักของเธอก็ปาน ดวงตาเธอหวานเยิ้มเหมือนตกอยู่ในห้วงความรัก มุมปากมีรอยยิ้มน้อยๆปรากฏ
“แล้วจากนั้นเล่า ?” ช่างป่าวรีบสอบถาม
“จากนั้นพี่เค้าก็……อิอิอิ”
“เขาก็อะไร?”
“พอเราดวลเหล้ากันหมดไปหลายขวด หนูว่าหนูคอแข็งแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อพี่เค้ายังคอแข็งยิ่งกว่า แม้แกจะบอกว่าไม่เคยดื่มเหล้า แต่หนูไม่เชื่อหรอก พี่เค้ายังบอกอีกว่ายังไงก็ไม่ยอมเมาก่อนหนูแน่ๆ และไม่ยอมถอดเสื้อผ้าก่อนแน่นอน เขาว่าเสียเชิงชายหมด น่าเสียดาย ! ตอนที่หนูเริ่มเมานั่นเอง…พี่เค้าก็…”
“ว่าไปสิ แล้วไงต่อ” ช่างบ่าวเริ่มสงสัยใคร่อยากรู้จริงๆขึ้นมา จนลืมเหตุการณ์ร้ายไปหมดสิ้น
“พี่เค้าก็พลันล้มพับลงไปนอนกองกับพื้นหลับแน่นิ่งไป ส่วนหนูก็เมาจนหลับไปเหมือนกัน จนจำอะไรไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า พี่เขาหายตัวไปแล้ว !” สาวนักร้องกล่าวทำเสียงเสียดายอยู่กรายๆ
“เวรกรรม ! แล้วผมจะหานายช่างเจอได้ที่ไหนกันหล่ะคราวนี้ มีเรื่องเร่งด่วนด้วย !” ช่างบ่าวทำท่าเหมือนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
“ลองไปหาที่วัดซิ” หญิงสาวกล่าวเปรยๆ
“นายช่างจะไปวัดทำไม ?” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัย
“หนูเห็นพี่เค้าเป็นคนธรรมะธรรมโมน่ะ”
“รู้ได้ยังไง?”
“ก็พี่เค้ามาถึงร้านก็เอาแต่ร้องเพลงๆ สั่งอาหารแต่พวกผักผลไม้ หนูก็เอามาให้พี่เค้า หนูสงสัยก็เลยถามพี่เค้าว่าพี่ทำไมกินแต่ผัก พี่เค้าบอกว่า พี่ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่เนื้อคน อิอิอิ”
“ถ้าหนูมีแฟนยังงี้คงรวยตายเลย ปล่อยให้พี่เขากินแต่ผัก เงินคงเหลือเยอะ หนูจะกินแต่เนื้อให้อิ่มแปล้เลย” หญิงสาวพูดคล้ายว่าต้องการแบบนั้นจริงๆ พร้อมกับหัวเราะคิกคัก
หญิงสาวมัวแต่พร่ำเพ้อ พอเธอหันกลับมาอีกทีก็ไม่พบช่างบ่าวเสียแล้ว แกหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ! ปล่อยให้เธอนั่งวาดฝันสร้างวิมานไปเพียงคนเดียว ….
จริงดั่งที่สาวน้อยกล่าว นายช่างสองมาอาศัยกุฏิหลวงตาที่วัดข้างๆนี้เองเมื่อคืนนี้ ซึ่งในเมืองแห่งนี้มีเพียงวัดเดียวเท่านั้น ช่างบ่าวจึงตามหาไม่ยากเย็น วัดอยู่ตรงมุมถนนใกล้ๆ ร้านนี้เอง
“นมัสการครับหลวงตา” ช่างบ่าวกล่าวหลังจากกราบเจ้าอาวาส
“เจริญพรโยม มีธุระอะไรกับอาตมาหรือเปล่าถึงมาที่นี่” เจ้าอาวาสถามด้วยดวงตาที่เปี่ยมเมตตา
“ผมมาหาคนๆหนึ่งครับ ไม่ทราบหลวงตาพบคนแปลกหน้าผ่านมาทางนี้บ้างหรือเปล่า?” ช่างบ่าวยิงคำถามทันที
“พบคนหนึ่ง แต่ไม่แปลกหน้าหรอก โยมสองใช่ไหมหล่ะ?”
“ใช่ครับเขาเป็นหัวหน้าผมเองครับแต่อยู่คนละแผนก”
“เมื่อคืนเขามาสนทนาธรรมกับอาตมา เราพูดจาถูกคอกัน อาตมาก็เลยชวนค้างคืนเสียที่วัด เพราะมันดึกมากแล้ว”
“นายช่างไม่ใช่เมาหนักหรอกหรือครับ คาดว่าสภาพคงดูไม่ได้” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัย
“เปล่านี่ ! อาตมาไม่เห็นได้กลิ่นสุราเลยนี้ แล้วโยมเขาก็ปกติดีทุกอย่าง มีสติแจ่มใส ไม่คล้ายคนเมา”
ช่างบ่าวทำหน้าตามึนงงสงสัยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วถามต่อว่า
“ตอนนี้นายช่างอยู่ที่ไหนครับ”
“อาตมาพอตอนเช้าออกไปบิณฑบาตกลับมาก็หาไม่พบแล้ว สงสัยจะกลับไปแล้วแหละ!” หลวงตาตอบ
ช่างบ่าวทำท่าผิดหวัง กราบเจ้าอาวาสพร้อมลากลับไซด์งาน ลงเรือมุ่งหน้าสู่ท้องทะเลทันที เวลาก็สายมากแล้ว อาทิตย์ทอแสงสาดส่องมาเข้มข้น และรุนแรงราวกับไม่เคยปราณีต่อสรรพชีวิตทั้งหลายบนโลก ราวกับยึดถือแผ่นดินต่างเขียง เห็นชีวิตเป็นผักปลาก็ปาน!
ฝ่าเกลียวคลื่นหมื่นแสนแสนรันทด
โศกสลดรักจางเหินห่างหนี
ครางแคลงใจน้ำใจในนารี
ไยจึงมีเพียงน้อยร่อยหรอลง…..
ช่างบ่าวตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมาพบนายช่างสองกำลังนั่งจิบกาแฟทำท่าสบายอารมณ์ คล้ายกำลังสุนทรีย์กับภาพความงามของท้องทะเลเบื้องหน้านี้ แม้วัยจะล่วงเลยเลขสองไปแล้ว แต่ยังคงดูแจ่มใส กระตือรือร้น และผ่อนคลาย ราวเด็กหนุ่มอายุ ย่างเข้า 20 ก็ปาน แม้จะนั่งอยู่เพียงคนเดียว และดูเหมือนว่าจะว้าเหว่ แต่บุคลิกของเขายังคงสูงส่ง ยากสยบ เสมือนว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่บนโลกนี้ หากเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นอยู่ในสภาพเช่นนี้นั่งอยู่ตรงนี้ คงไม่มีบุคคลที่สองที่จะสามารถปลอดโปร่งและผ่อนคลายมากกว่าเขาอีก หรือความผ่อนคลายจำต้องคร่ำเคร่งฝึกฝนจึงได้มา…..
“นายช่างครับเกิดเหตุการณ์ใหญ่แล้ว ! ………..” ช่างบ่าวรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนที่รายงานให้กับผู้บริหารท่านอื่นฟังไม่ผิดเพี้ยนแม้สักคำ
“ผมทราบแล้ว และอยากจะถามพี่สนุกๆให้พี่ลองตอบมาฟังดู” นายช่างสองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมโลกจึงร้อนขึ้น?”
“เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการเผาเชื้อเพลิง การหุงต้ม การเผาขยะ จากเตาปฏิกรณ์ของโรงงาน จากรถยนต์ที่วิ่งเต็มถนน จากสารทำความเย็นจากแอร์คอนดิชั่นของคนรวยๆ สำนักงานต่างๆ ลอยขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศและสร้างภาวะเรือนกระจก “
“พี่ลืมสิ่งสำคัญ และสาเหตุสำคัญไปข้อหนึ่ง”
“อะไรครับนายช่าง?”
“คาร์บอนไดออกไซด์ จากฟาร์มปศุสัตว์ทั่วโลก ! ที่เหล่าสัตว์ เช่น โคกระบือ ปล่อยออกมา”
“ผมพึ่งจะทราบนะเนี้ย ว่าการทำฟาร์มเพื่อผลิตอาหารให้ชาวโลกกลับย้อนมาสร้างภัยพิบัติให้กับโลกได้”
“สิ่งที่พี่รู้อาจมีมากมาย แต่ที่ไม่รู้น่ากลัวยังมีอีกมากเช่นกัน”
“แต่นายช่างครับฟองอากาศที่ผุดมาจากใต้ท้องทะเลมากมายนี้ คืออะไรครับ? รับประกันได้เลยในชีวิตผมไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่ๆ”
“ผมถามพี่ เมื่อเกิดภาวะเรือนกระจก หรือ Green House Effect จากนั้นเป็นอย่างไร?” นายช่างเปลี่ยนประเด็นและตั้งคำถาม
“โลกก็จะกลายเป็นเหมือนเตาอบดีๆนี่เองซิครับ การที่ชั้นบรรยากาศหรือโอโซนถูกทำลายก็ส่งผลให้แสงแดดที่ส่องมาโลกรุนแรงขึ้นด้วย” ช่างบ่าวสาธยายเหมือนผู้รู้
“พี่ยังลืมไปข้อหนึ่ง !”
“อะไรครับ?”
“น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็วทำให้โลกขาดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ ผลก็คือยิ่งทำให้โลกยิ่งร้อนขึ้นไปอีก”
“ผมสงสัยว่า เมื่อโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย แล้วทำไม น้ำทะเลไม่เย็นขึ้นเล่าครับ?” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ !”
“ผมเข้าใจแล้ว แต่ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ที่พวกนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์คือเมื่อทะเลเย็น จะทำให้ลมมรสุม พายุต่างๆ รุนแรงขึ้น และปริมาณน้ำจากทะเลที่สูงขึ้นจะเกิดภาวะน้ำท่วมโลกมิใช่หรือ?”
“ผมไม่ทราบอะไรทั้งนั้น พี่คงดูหนังมากเกินไปแล้ว รู้แต่เพียงว่าถ้าอุณหภูมิระหว่างพื้นดินกับทะเลแตกต่างกันมาก มวลอากาศร้อนย่อมเข้าไปแทนที่อากาศเย็น และความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้ลมพายุมรสุมต่างๆรุนแรงขึ้น”
“ใช่ครับผมดูจากในหนัง เห็นว่าโลกกลายเป็นน้ำแข็ง”
“น้ำท่วมโลกและพายุรุนแรงยังไม่น่ากลัวเท่าไร”
“ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้อีกหรือครับ แค่นี้ผมว่ายังหาทางแก้ไม่ได้เลย”
“ยังมีวิธีที่ตายเร็วกว่านั้น แบบเฉียบพลัน แบบไม่ทันตั้งตัว และหนีไม่ทัน”
“คืออะไรครับ?” ช่างบ่าวถามด้วยอาการอกสั่นสะท้าน รู้สึกว่าอากาศรอบตัวกำลังเย็นลงทุกขณะ คล้ายได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนดังมาจากห้วงนรกอเวจี…..
“ผมถามพี่ น้ำแข็งเมื่อละลายไปหมดแล้วเกิดอะไรขึ้น”
“ใช่ครับ น้ำแข็งมีวันละลายหมด แต่ดวงอาทิตย์ยังไม่เคยดับ น้ำทะเลอย่างไรก็ต้องร้อนอยู่ดี”
“คำถามอีกข้อ ปริมาณน้ำที่มากมายกว่าน้ำแข็งขั้วโลกหลายเท่าตัวใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
“ปลาใหญ่ย่อมกลืนปลาเล็ก มหาสมุทรกลับร้อนอยู่ดี”
“ที่สำคัญมีอัตราที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ !”
“ผมถามอีกข้อ เหล็กเมื่อร้อนกับเย็นต่างกันอย่างไร?”
ช่างบ่าวยังไม่หายหวาดหวั่น แต่ก็สงสัยในคำถามของนายช่างพลางตอบไปว่า
“เหล็กเวลาร้อนจะขยายตัว แต่เวลาเย็นจะหดตัวครับ”
“ผมถามอีกข้อ ก๊าซ ของแข็ง ของเหลวได้รับความร้อน อันไหนขยายตัวได้เร็วกว่ากัน?”
“ผมว่าน่าจะเป็นก๊าซ และเร็วกว่าหลายเท่าด้วยเท่าที่เห็น เพราะโมเลกุลมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงมากเวลาได้รับความร้อน”
“ผมถามพี่ ก๊าซอะไร ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี มีพิษ และจุดติดไฟได้อย่างรวดเร็ว”
“ก๊าซหุงต้ม ที่ใช้กันตามบ้านไงครับ เวลารั่วทีน่ากลัวจะตาย !”
“บอกไม่มีกลิ่นแล้วเวลาแฟนพี่ทำแก๊สรั่ว ทำไมถึงรู้หล่ะครับ”
“ก็เพราะทางร้านเขาผสมกลิ่นเข้าไป เพื่อความปลอดภัยน่ะซิครับ รั่วจะได้รู้ก่อน อันตรายมาก”
“พี่จำข่าวหน้าหนึ่งได้เปล่าครับ ตอนที่ก๊าซนี้รั่ว เกิดอะไรขึ้น”
“จำได้ซิครับ รถก๊าซเกิดไปชนอะไรเข้า เกิดรั่ว แล้วเผอิญมีประกายไฟเกิดขึ้น อาจมาจากเครื่องยนต์ของรถ หรือจากใครจุดไฟก็ไม่ทราบ เกิดไฟวิ่งตามอากาศ คนถูกย่างสดตายไปหลายคน คิดแล้วสยองจริงๆ” ช่างบ่าวทำตาลุกวาวหลังจากเค้นข้อมูลในสมองของแก ซึ่งแกยังไม่หายเสียงสั่น แต่พอเห็นนายช่างมีท่าทีสบายๆแกก็เลยหายวิตกจริตลงบ้าง แล้วถามว่า
“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับฟองอากาศที่กำลังผุดขึ้นมานี้เล่าครับนายช่าง?”
“ผมมีคำถามอีกข้อก่อนจะตอบคำถามของพี่ ก๊าซหุงต้มเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“แม้ผมจะเคยเรียนตอน ม.6 แต่ก็จำไม่ค่อยได้ พอรู้ว่ามันเป็นผลิตผลจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งแยกเอาองค์ประกอบทางเคมีของมีเทนหรือ CH4 ออกแค่นั้น ”
“พี่คงไม่ทราบว่า ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซพิษที่รุนแรงมากเช่นเดียวกับก๊าซหุงต้มมาจากขบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติเหมือนกัน ส่วนใหญ่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ไร้สีไร้กลิ่น แต่พอรวมกับอากาศจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนและฝนกรด”
“แต่ภาวะโลกร้อน อากาศร้อนและฝนกรดยังไม่น่ากลัวเท่าไร” นายช่างกล่าวย้ำ
“ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้อีกเหรอครับ?” ช่างบ่าวเริ่มวิตกกังวลอีกครั้ง เหมือนไม่อยากได้ยินคำตอบที่ตนถามออกไปสักเท่าใด….
“พี่รู้หรือเปล่าว่าใต้ท้องมหาสมุทรมีซากพืชซากสัตว์ล้มตายสะสมมายาวนานตั้งแต่ยุคไดโนเสา”
“ย่อมทราบซิครับ เพราะนี่คืออาชีพของเรา ทำให้เรามีน้ำมันดิบเอาไปขายไง”
“น้ำมันดิบก็มาจากซากพืชซากสัตว์เหล่านี้นอกจากนั้นยังมีก๊าซธรรมชาติอีกด้วยในใต้ท้องทะเล”
“พี่คงเห็นแล้วว่าใต้ท้องทะเลล้วนมีสารและก๊าซที่เป็นเชื้อเพลิงจำนวนมาก”
“ใช่ครับ”
“และมันก็เป็นอาวุธที่สามารถทำลายล้างโลกได้ภายในพริบตา!”
พอนายช่างสองกล่าวถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็เงียบกริบ เสมือนว่าสรรพสิ่งไม่มีการดำรงอยู่ ไร้ชีวิต ไร้ลมหายใจ โลกร้างไร้ผู้คน…….ไม่ทราบเวลาผ่านไปนานเท่าไร ช่างบ่าวเกิดอาการสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด แกคล้ายรับรู้ชะตากรรมของมวลมนุษยชาติแล้ว และพูดด้วยเสียงสั่นสะท้านตะกุกตะกักว่า
“นายช่างกำลังหมายความว่าฟองที่กำลังผุดตรงหน้าเรานี้คือ………”
“อย่างที่พี่เข้าใจไม่ผิดเพี้ยน จากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นวันนี้ อาวุธทำลายล้างโลกพลันอุบัติขึ้นแล้ว มันคือก๊าซพิษ ไร้สี ไร้กลิ่น ปริมาณมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลก จากมหาสมุทรที่ล้อมรอบแผ่นดินไว้ราวลูกไก่ที่อยู่ในกำมือ มันจะแพร่ไปในอากาศอย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมิถึงจุดๆหนึ่ง พร้อมกับคร่าชีวิตผู้คนและสัตว์ภายในพริบตาเมื่อสูดดมเข้าไป ไม่ทันวิ่งหนี ไม่ทันตั้งตัว ไม่มีเวลาแม้จะกล่าวคำอำลา………………………..”
“ความร้อนทำให้มันขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนคาดไม่ถึง”
“นายช่างกำลังจะบอกผมว่าเรากำลังจะถูกฆ่าใช่ไหมครับเวลานี้เดี๋ยวนี้” ช่างบ่าวถึงกับทรุดเขาลงกับพื้น อย่างหมดอาลัยตายอยาก คงยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และภาวนาให้เรื่องราวที่ได้ยินมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝัน แม้ในใจเขาจะทราบว่านี่เป็นความจริงก็ตาม….
“พี่ยังไม่ถึงกับตายเร็วเกินไป พี่ดูซิมันพึ่งจะเริ่มผุดขึ้นมาในปริมาณน้อยๆเท่านั้นยังมีเวลาวันสองวันให้พี่ได้หนีทัน” นายช่างสองยังคงพูดจาเหมือนล้อเล่น ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม คล้ายว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกก็ปาน !
เขายังคงนั่งจิบกาแฟสบายอารมณ์เหมือนเคย ราวกับว่าไม่เคยพูดอะไร จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อช่างบ่าวตั้งสติได้แล้ว นายช่างจึงพูดเสริมว่า
“อาวุธที่มองเห็นอย่างไรก็ยังไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวแท้จริงคืออาวุธลับที่มองไม่เห็น ไม่รู้มันจะมาเวลาใด เมื่อไร จนมันมาถึงตัวแล้วคิดแก้ไข คงไม่ทันการแล้ว อิอิอิอิ”
“ ฟองผุดนี้ก็คือ ก๊าซมีเทนนั่นเอง ไร้สี ไร้กลิ่น ฆ่าชีวิตในพริบตา ถ้าปริมาณมีมากพอ” นายช่างสองกล่าวสรุปย้ำอีกครั้ง ก่อนจะพริ้มตาหลับลงอย่างสงบ……………
แม้ว่าผลการณ์วิจัยจากนักวิทยาศาสตร์และองค์การนาซาจะได้เปิดเผยข้อมูลมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ภายใต้ท้องทะเลสามารถจะเกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซมรณะคร่าสรรพชีวิตได้ภายในพริบตา ถ้าหากท้องทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึงจุดหนึ่ง ด้วยปริมาณที่มากมายมหาศาลเกินกว่าใครจะคาดคิด แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังคงไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันจะมีความเป็นไปได้ขนาดไหน และจะเกิดขึ้นเมื่อใด คำเตือนต่างๆได้แจ้งไปทั่วโลกแต่ผู้นำประเทศทั้งหลายกับให้ความสนใจแต่เรื่องเศรษฐกิจจนกลายเป็นหนวกใบ้ และปล่อยให้การใช้เชื้อเพลิงอันเป็นผลต่อภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไป จนวันนี้สิ่งแวดล้อมได้สูญเสียสมดุลและเกิดภัยทางธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดได้เกิดขึ้นมากมายคร่าชีวิตผู้คนนับล้าน และบัดนี้หนทางเพื่อแก้ไขต่างๆสมควรงดเว้นได้แล้วเนื่องเพราะ สายเกินไป สำหรับการยับยั้งมหันตภัยจากก๊าซมรณะนี้…………………………………..
ไม่นานหลังจากนั้น เหตุการณ์ต่างๆเริ่มเลวร้ายลงจนถึงขั้นวิกฤติ การเตือนภัยดังไปทั่วโลก ท้องทะเลอันเงียบสงบได้เกิดก๊าซมีเทนขึ้นจำนวนมากมายมหาศาลทั่วทุกมุมโลก โลกตกอยู่ในภาวะอันตรายทันที มาตรการต่างๆถูกนำมาใช้แต่ไร้ผล ไม่สามารถยับยั้งก๊าซพิษลงได้ มันได้ฆ่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ล้มตายมากมายสุดคณานับ จนไม่สามารถคาดการณ์จำนวนที่แน่ชัดได้ ผู้คนล้มตายไปค่อนทวีป มีเหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้น มีพื้นที่บางส่วนที่รอดพ้นจากมหันตภัยครั้งนี้ มีเหลือคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่รอดชีวิตและแน่นอนหนึ่งในนั้นย่อมมีช่างบ่าวและนายช่างสองรวมอยู่ด้วย เพราะทั้งคู่ถูกไล่ออกจากงานทันทีที่แจ้งกับผู้บริหารถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่มีใครรับฟังเขา ผลก็คือเขาเป็นเพียงสองคนที่รอดตายจากไซด์งานกลางทะเล ส่วนคุณสุรชัยและคนงานนับพันต้องถูกสังเวยชีวิตลงด้วยก๊าซมรณะอย่างน่าเวทนา ทันทีที่ถูกไล่ออกช่างบ่าวได้รีบพาครอบครัวไปอาศัยอยู่จังหวัดเชียงราย ส่วนนายช่างสองมีคนรักอยู่คนหนึ่งที่เชียงใหม่ เขาคิดถึงเธอมากจึงบินขึ้นไปหาเธอทันทีและครองคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป……………….
HAPPY ENDING
16 มกราคม 2551 02:41 น.
คีตากะ
เนื่องจากตัวตนภายในของเราติดต่อเชื่อมโยงอยู่กับสวรรค์ เล่าจื้อจึงกล่าวว่า หมื่นสิ่ง คือหนึ่งเดียวกัน และถ้าเราบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวนั้น, ความยิ่งใหญ่นั้นภายในตัวเราแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ เราจะมีพลังปาฏิหาริย์หารทุกอย่าง เราจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆทุกชนิดในชีวิต เราจะสามารถเข้าใจคัมภีร์ของศาสนาต่างๆทุกเล่ม โดยที่ไม่ต้องมีใครมาสอนเรา เราจะรักษาระเบียบวินัยทางคุณธรรมทุกอย่าง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับเรา เราจะมีความรัก โดยไม่ต้องมีใครสอนเราให้ทำอย่างนั้น และเราจะมีสันติสุขในใจเรา แล้วสันติสุขนั้นก็จะแผ่ออก และช่วยให้มีสันติสุขในโลกนี้มากขึ้น
ต่อพระเจ้า ต่อพุทธะ เราควรจะมีเจตนาแห่งความตั้งใจแน่วแน่เต็มที่ อย่าถูกชักจูงหรือได้รับอิทธิพลจากโลกหรือความยั่วยวนใดๆ หรือปล่อยให้จิตใจของเราถูกเหหะนออกไปจากเป้าหมายของเรา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถได้รับพรบารมีของพระเจ้า ถ้าทุกอย่างที่เราคิดถึงคือพระเจ้า มีแต่พระเจ้าอยู่ในจิตใจของเรา เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราไม่จำเป็นต้องสวดอธิษฐานหรืออ้อนวอนขออะไรจากพระเจ้าเพราะว่าทุกอย่างสร้างขึ้นมาด้วยใจ หรือทุกอย่างที่เรามีอยู่ในใจคือพระเจ้า เราก็คือพระเจ้า
คนในโลกของเรานี้มีความทุกข์เพราะว่าในเวลานี้ ในชาตินี้ เราไม่ได้ทุ่มเทความพยายามของเราอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเรียนรู้ที่จะช่วยตัวเราเอง ปฏิบัติภารกิจของเราให้สำเร็จ และจัดการแก้ปัญหาในเรื่องกรรมของเรากันในเวลานี้ เราอยากจะวิ่งหนีมันอยู่เรื่อย แต่เราก็หนีไม่พ้นแม้ว่าเราจะต้องการเช่นนั้น ดังนั้นเราจึงต้องกลับมาอีกในคราวหน้า ซึ่งบทเรียนของเราก็จะยิ่งยากขึ้น และดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้นมาแล้ว
เราเคยมุ่งมั่นตั้งใจอยู่กับการแข่งขันแบบนั้น เราจึงตาบอด ไม่ฉลาดพอ ยิ่งใครเป็นกังวลร้อนใจมาก เจาก็จะยิ่งต่อสู้ดิ้นรนมาก ยิ่งดิ้นรนมาก สิ่งที่เขาทำก็จะยิ่งแย่ลง แต่ในทางกลับกัน พอเราเกิดไม่อยากจะทำหรือทำอะไรไปแบบสบายๆง่ายๆ เรากลับจะทำได้ดี เหตุผลมันง่ายมากคือ เพราะว่าเราผ่อนคลาย จิตใจของเราไม่รู้สึกร้อนรนที่จะต่อสู้มากนัก ปัญญาและความฉลาดไหวพริบตามธรรมชาติของเราก็จะผุดออกมาเอง ยิ่งเราผ่อนคลายมาก เราก็จะทำอะไรได้ดีขึ้น
ยิ่งเราคิดถึงพระเจ้ามากขึ้น เราก็ยิ่งสบายมากขึ้น แล้วไม่ว่าเราจะคิดหรือไม่คิดมันก็เหมือนกัน เพราะว่าเราร่วมผสมกลมกลืนกับท่านแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เท่านั้นที่จะเรียกได้ว่าเรากำลังอยู่ในเซ็น ไม่ว่าจะเป็นตอนกำลังเคลื่อนไหว กำลังมีชีวิต กำลังนั่งหรือกำลังนอน ถึงตอนนั้นเราก็ได้บรรลุเต๋าแล้ว เราไม่ต้องพยายามอะไรอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้พยายามอะไร เราก็จะได้รับมากมาย ปัจจุบันนี้ แม้ว่าเราจะพยายามอย่างมาก เราก็ได้มาน้อยมาก มันเป็นเพราะว่าเรายังกำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่
เวลา เธอยิ้มทั้งกายและใจของเธอก็ยิ้มไปด้วย และระดับของจิตสำนึกของเธอก็จะสูงขึ้นไประดับหนึ่งโดยอัตโนมัติเพราะฉะนั้น จงยิ้มไว้ให้มากๆ จงยิ้มในเวลาที่มีความสุขและเวลาเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้เวลาที่เธอต้องร้อง แต่จงยิ้มไปด้วยในเวลาที่เธอร้องไห้ ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมา แต่ก็ยิ้มอยู่ในใจด้วย พยายามยิ้มเข้าไว้เมื่อใดก็ตามที่เธอสามารถจะทำได้
ถ้าเรามีความสามารถหรือพรสวรรค์ใดๆก็ตาม เราควรจะระมัดระวังอยู่เสมอ เพราะว่าเราจะกลายเป็นผู้ที่เย่อหยิ่งอวดดีได้ง่าย แล้วถึงตอนนั้นมันก็จะยากมากที่จะแก้ไขได้แม้แต่สำหรับผู้เป็นอาจารย์ก็ตามเถิด เพราะว่าคนเราจะไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นภายในตัวเขา มันเป็นสิ่งที่ลำบากและยุ่งยากมากสำหรับเรา ถ้าเรามีอัตตาของเรา ยากมากๆ และการที่จะเป็นครูผู้สอนก็ยิ่งลำบากมากกว่าอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานทางด้านนี้ เธอไม่มีทางสุภาพไปได้นานหรอก เธอไม่มีทางสุภาพมากได้(มีเสียงหัวเราะ) ไม่อย่างนั้นเธอก็จะไม่ได้ช่วยลูกศิษย์ ไม่ได้บอกเล่าถึงสัจธรรม โชคดีที่ฉันเป็นคนที่ตรงๆมาก ใช่หรือไม่ใช่! ถ้าฉันบอกว่าไม่ ! ก็คือไม่ ไม่มีการเหลวไหลไร้สาระอะไรอีก ต่อไปถ้าคนนั้นดีขึ้น ฉันก็จะรู้ ไม่สำคัญหรอกว่าเราจะอยู่ไกลกันแค่ไหน
เวลาเราบำเพ็ญถึงพระเจ้า เวลาเราติดต่อกับพลังสรรพานุภาพที่แท้จริงของเราภายใน เราจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อยดี รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นทันเวลา รู้ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดขึ้น พรใดที่เราจะได้เราก็จะได้มา เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ รู้สึกว่าได้รับการคุ้มครองป้องกัน รู้สึกสงบและมีความสุขมากด้วย เพราะว่าในช่วงเวลาที่เราต้องต่อสู้ดิ้นรนและลำบากยากแค้นนั้น พลังของพระเจ้าจะรุนแรงมาก เพราะพระเจ้ารู้ว่าเราต้องการมันมากในขณะนั้น มากกว่าในเวลาปกติ ดังนั้นเวลาที่เราสวดขออย่างจริงใจในเวลานั้น เราก็จะได้รับพรมากเป็นสองเท่า สามเท่า หรือหลายเท่า ด้วยเหตุนี้การสวดขอสำหรับผู้ที่ขาดแคลนยากเข็ญ ผู้ที่สิ้นหวังและผู้ที่เคราะห์ร้ายในตอนนั้นด้วยความจริงใจของเรา เราก็จะได้รับผลประโยชน์จากพรนั้นด้วย เราจึงรู้สึกมีความสุขและสงบ ไม่เศร้าโศกหรือทุกข์กังวลอะไร นั่นคือความลับของเรื่องนี้ !
การเลือกกระทำโดยเสรี
เรามีทางเลือกหลายทางในโลกนี้ จักรวาลมิได้ตายตัวและหม่นหมองอย่างที่เธออาจจะคิด ฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับตัวเธอจริงๆที่จะตัดสินใจว่า เธอต้องการจะทำอะไร และเธอต้องการจะจัดการกับภาระและความรับผิดชอบมากเพียงใด เธอสามารถจะกระทำมันได้ตราบใดที่เธอมิได้ทำร้ายผู้อื่น พระผู้เป็นเจ้ามีความปรารถนาอยู่บางประการ แต่เราคือผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเราเอง มิฉะนั้นมันจะน่าเบื่อหน่ายจนเกินไป ถ้าทุกๆสิ่งถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เราสามารถจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ แต่เราจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงที่ดีงามและเมื่อนั้นมันก็จะโอเค
ตัวอย่างเช่น ห่อกระดาษชำระในมือของฉันนี้ ฉันสามารถเก็บมันไว้เพื่อนำมาใช้เอง หรือฉันสามารถโยนกระดาษชำระนี้ให้กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้มัน สัก 2-3 ชิ้น ฉันสามารถโยนมันไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ฉันยังสามารถทิ้งทั้งห่อลงในถังขยะ แล้วเมื่อนั้นก็จะไม่มีใครได้ใช้มัน ถ้าฉันเก็บมันไว้ ฉันจะเป็นเพียงผู้เดียวที่จะได้ใช้มัน อย่างไรก็ตาม ผู้คนสามารถจะใช้ประโยชน์จากกระดาษชำระเหล่านี้ได้ ถ้าฉันนำสักหน่อยหนึ่งไปไว้ในทุกๆที่ ด้วยวิธีนี้ฉันก็จะมีทางเลือกมากมาย มันขึ้นอยู่กับฉันที่จะตัดสินใจ และนั่นไม่เป็นไร มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่า พระเจ้าได้จัดแจงแล้วให้ฉันโยนห่อกระดาษชำระห่อนี้สู่บุคคลที่กำหนดไว้แล้วผู้หนึ่ง มันไม่สามารถจะเป็นเช่นนั้นได้ จักรวาลมิได้น่าเบื่อจำเจเช่นนี้ เรามีทางเลือกมากมาย
มีศาสนาหลายประเภทที่พูดถึงการเลือกกระทำโดยเสรี ซึ่งบางครั้งจะนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้คนจำนวนมากรวมทั้งตัวเราด้วยและทำให้เราต้องมาเกิดใหม่ ถ้าหากเราตัดสินใจดี ผลที่ออกมาก็จะดีเช่นกัน และเราก็จะได้รับผลประโยชน์จากมัน มิฉะนั้นเราจะต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วง ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกลำบากใจและเป็นที่เหน็ดเหนื่อยเป็นยิ่งนัก ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เราจะต้องกลับมาเพื่อซ่อมแซมสิ่งที่เราได้กระทำผิดไว้ และชดเชยต่อสิ่งเลวร้ายที่เราได้กระทำ หรือความสูญเสียที่ผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดได้รับ มันก็เป็นเช่นนี้แหละ
มันเป็นความจริง ไม่มีสิ่งใดที่ดีหรือเลวอย่างแท้จริงในจักรวาล มันเป็นเพียงวัฏจักรหนึ่ง ทุกๆคนก็เล่นบทบาทของเขาหรือหล่อน และเราก็จะกลับไปพักผ่อนเมื่อถึงเวลา อย่างไรก็ตาม นี่มิใช่ข้ออ้างเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตนโดยไร้ความรับผิดชอบ แน่นอน เราจะต้องเลือกที่จะกระทำสิ่งที่ดี เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อเราและผู้อื่นด้วย และเราก็จะไม่ต้องสร้างความเหน็ดเหนื่อยต่อตนเองด้วย การกลับชาติมาเกิด มันจะมีอุปสรรคมากมายทุกๆครั้งที่เรามาที่นี่และมันก็ไม่แน่นอนเสมอไปว่า เราจะสามารถแก้ไขสิ่งที่เราได้กระทำผิดพลาดไปในช่วงเวลาที่เรากลับมาที่นี่ ดังนั้นเราจะต้องดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั้งทุกสิ่งถูกชดใช้ และบางครั้งสิ่งนี้ก็ใช้เวลาเป็นพันๆปี..
ไวน์1 แก้ว
หนุ่มขี้เมาพูดขึ้นว่า แปลกนะ ! ผมไม่เข้าใจเลยว่า แค่ไวน์เพียงแก้วเดียวเท่านั้น
สามารถทำให้ผมเมาหัวปักหัวปำเมื่อคืนก่อน ! คนที่ยืนอยู่ข้างๆจึงตอบว่า ก็เป็นเพราะว่าไวน์แก้วนั้นเป็นไวน์แก้วสุดท้ายของไวน์หลายแก้วที่คุณดื่มมาแล้วนะซี !
ผู้ฟังที่อดทนที่สุด
มีชายคนหนึ่งบนแท่นปราศรัยซึ่งเอาแต่พูดๆ ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ผู้ฟังก็เริ่มลุกขึ้นและจากไป หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ก็มีชายเหลือแค่คนเดียวเท่านั้น ในที่สุดชายคนนั้นก็หยุดพูดและลงมาถามชายอีกคนหนึ่งว่า ทำไมเขาจึงยังนั่งอยู่จนจบ ในเมื่อคนอื่นๆ จากไป เขาก็ตอบว่า ผมเป็นคนพูดคนต่อไปนะสิครับ
10 มกราคม 2551 20:52 น.
คีตากะ
เมือ่พวกเราอยู่ดินแดนที่สูง จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในโลกที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเหมือนกับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา เกิดขึ้นมาในพริบตาเดียว แล้วสลายไปในพริบตาเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับภาพมายา! และแม้แต่พูดไม่ได้ว่าในพริบตาเดียว มันเหมือนกับเกิดขึ้นมาปุ๊บ ก็สลายไปทันที พวกเราอยู่ในดินแดนที่สูงดูโลกมายาทั้งหมด ก็เป็นเหมือนเช่นนี้
ดังนั้น ความทุกข์ในชีวิตมันดูเหมือนยาวนาน เป็นเพราะพวกเราอวิชา ถูกกักขังอยู่ในกรงของเวลากับช่องว่าง มันจึงดูเหมือนยาวนาน แต่ความเป็นจริงมันไม่นาน สำหรับพระเจ้า แม้แต่ 1 วินาที ในพริบตาเดียวยังไม่ถึง ความจริงไม่นับเวลา เ ร็วมากจริงๆ! แต่เพราะว่าพวกเธอถูกกักขังไว้ที่มุมมุมหนึ่ง มองไม่เห็นทั้งหมด ดังนั้นก็เข้าใจว่า ตัวเองอยู่ที่นั่นเท่านั้น ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น! พวกเธออยู่ได้ทุกแห่งหน เพียงแต่ถูกขังอยู่ที่นั่น บินออกไปไม่ได้ แล้วคิดว่า ตัวเองนั้นอยู่ที่นั่นเท่านั้น ตัวเองก็เป็นคนนั้น เป็นคนนี้
เหมือนกับบางครั้งนกตัวเล็กๆ หรือแมลงจะติดอยู่ในหน้าต่าง เพราะว่ากระจกของหน้าต่างนั้นใส ภายในห้องก็มีตะเกียง ดังนั้น พวกมันจึงเข้าใจว่า ที่หน้าต่างนั่นไม่มีอะไร ว่างเปล่า สุดท้ายตัวเองก็บินชนเข้าไป ศีรษะบวมขึ้นมา ตาก็มองไม่เห็น อีกสักพักก็ล้มลงไป พวกมันไม่ไปช่องที่ว่าง แต่กลับบินผ่านไปที่กระจกนั่น
พวกมันก็เหมือนกัน! ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ความสุขก็ไม่นำพา ก็หมดเรื่องแล้ว แม้แต่ความปลอดภัย ก็ไม่ต้องร้องขอ สุขภาพ ความสำเร็จ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน ครอบครัว อะไรก็ไม่ต้องการทั้งสิ้น พวกเราก็จะไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์แล้ว! ก็เป็นเพราะพวกเราอยากได้มากเกินไป จึงถูกกักขังไว้ที่นี่ ไว้ที่นั่น จมูกก็ถูกจูงไปที่นั่น แล้วตนเองจึงร้องโวยวายเพื่อขอความช่วยเหลือ
7 มกราคม 2551 22:54 น.
คีตากะ
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงวิธีอันเหลือเชื่อที่จะฆ่าหนูตะเภา อารมณ์ที่หงุดหงิดจะสร้างสารพิษที่มีอำนาจและร้ายแรงถึงชีวิตได้ เลือดที่ถูกดูดเอามาจากคนที่ได้พบกับความหวาดกลัวอย่างมาก หรือมีอารมณ์โกรธมากนั้น เมื่อนำมาฉีดเข้าไปในหนูตะเภา ก็ทำให้มันตายได้ในเวลาไม่ถึงสองนาที ลองคิดดูว่า สารพิษเหล่านี้จะสามารถทำอะไรในร่างกายของคุณได้ สารพิษที่ความกลัว ความโกรธ ความหงุดหงิด และความเครียด สร้างออกมานั้น ไม่เพียงแต่สามารถฆ่าหนูตะเภาได้ แต่สามารถฆ่าหรือทำลาย เราได้ในลักษณะที่คล้ายๆกัน
คัดมาจากหนังสือ การมีความสุข เขียนโดย แอนดรูว์ แมททิวส์, ศิลปินและนักเขียนชาวอเมริกัน
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยังคงมีสุขภาพที่ดี ขณะที่มีชีวิตอยู่กับความกลัว ความกังวล และความกระวนกระวายใจ ดร.คาทส์ ได้ทำการทดลองตรวจส่วนประกอบของลมหายใจออกของคน เขาใช้หลอดทดลองเก็บลมหายใจออกของคนๆหนึ่ง ซึ่งหลังจากแช่แข็งแล้ว ก็ควบแน่นออกมาเป็นหยดน้ำอยู่ก้นหลอด จากการตรวจสอบของเขา เขาพบว่าสำหรับคนที่ร่าเริง ยิ้มแย้มเสมอ สีของน้ำที่ขับออกมานั้นเป็นสีม่วงอ่อนสวยงาม หรือไม่ก็เป็นสีทองอมขาว สำหรับคนที่มีอารมณ์โกรธขึ้งอยู่เสมอ น้ำที่ขับออกมานั้นจะเป็นสีดำมืดหรือสีเทา ดร.คาทส์ได้รวบรวมสิ่งที่ขับออกมาของคนแบบต่างๆโดยเฉพาะ เมื่อคนกลุ่มนี้เพ่งรวมความคิดอยู่กับการแช่งด่าคนอื่น สิ่งที่พวกเขาขับออกมาจะเป็นสีน้ำตาลขุ่นแบบโคลน หรือว่าเป็นสีดำ และเมื่อฉีดน้ำนี้เข้าไปในหนูตะเภา มันจะตายภายในเวลาห้าถึงหกนาทีปรากฏการณ์นี้ทุกคนควรจะใส่ใจระมัดระวังกัน
คัดมาจากหนังสือ เยือนมิติที่สี่ เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาเหนือธรรมชาติชาวญี่ปุ่น มิวูละ เซอิลิว ฮิโตมาซา
ในหนังสือของนอร์แมน คัซซินส์ ชื่อ กายวิภาคของความเจ็บป่วย เขาเล่าวิธีที่เขาฟื้นตัวจากโรคง่อยมามีชีวิตที่เป็นปกติและสุขภาพดีว่า ยาสำคัญของเขาก็คือ หัวเราะมากๆ คัซซินส์เชื่อว่าความเคร่งเครียดจริงจังต่อการใช้ชีวิตของเขาทำให้เขาเจ็บป่วย และก็คิดว่าเขาจะสามารถทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนกลับมาใหม่โดยการหัวเราะได้ เขาได้แสดงให้เห็นสิ่งที่คนพูดกันมานานแล้วว่า การหัวเราะเป็นยาที่ดีที่สุด เวลาคุณหัวเราะ จะมีสิ่งมหัศจรรย์นานาชนิดเกิดขึ้นที่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของคุณ ฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินสะถูกหลั่งออกมาในสมองของคุณ ทำให้คุณรู้สึกสบายมาก และระบบการหายใจของคุณก็เหมือนกับได้ออกกำลัง แบบที่คุณอาจจะได้รับจากการวิ่งเหยาะๆ
การหัวเราะช่วยบรรเทาความเจ็บปวด คุณจะหัวเราะได้ก็ต่อเมื่อคุณรู้สึกผ่อนคลาย และยิ่งคุณผ่อนคลายมากขึ้น คุณก็จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง ที่จริงแล้ว คุณไม่มีทางจะเป็นโรคกระเพราะและก็หัวเราะได้ในเวลาเดียวกัน คุณต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับความเจ็บป่วยอื่นๆ เรามักจะป่วยไข้บ่อยๆ เพราะการเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังกับตัวเอง และชีวิตมากเกินไป สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำก็คือ หัวเราะเพื่อช่วยให้เรามีสุขภาพดี
ศิลปะของการมีความสุข เกี่ยวข้องกับความสามารถในการหัวเราะในเวลาที่มีสถานการณ์ลำบากได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หลังจากที่เกิดสถานการณ์นั้นแล้ว คนๆหนึ่งที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์ข้างต้นนี้ จะต้านทานไม่ยอมหัวเราะไปสองปี อีกคนหนึ่งอาจจะตัดสินใจว่าหลังจากเวลาสองสัปดาห์ผ่านไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะหยุดร้องไห้เสียทีและก็เริ่มหัวเราะใหม่ ดังนั้น คนๆแรกก็ต้องจมอยู่ในความทุกข์นานกว่าอีกคนหนึ่งถึงห้าสิบเท่า แล้วเขาก็เลือกที่จะทำเองด้วย
เราทุกคนล้วนต้องทุกข์กับความอับโชค คนที่มีความสุขเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการที่ต้องรอคอยนานเกินไปที่จะเห็นด้านที่ตลกๆ ของความผิดหวังของพวกเขา
จำไว้เถิดว่าความลำบากของเรานั้นจะดูใหญ่โตมากสำหรับเรา มากกว่าสำหรับคนอื่นเสมอ ถ้าคนอื่นๆไม่มีใครที่นอนไม่หลับ บางที่เราก็อาจจะไม่จำเป็นจะต้องนอนไม่หลับด้วยเช่นกัน
ความรับผิดชอบที่สำคัญของเราต่อคนอื่นอย่างหนึ่งก็คือ การทำให้ตัวเองมีความสุข ! เวลาเราสุขสนุกสนาน เราก็จะรู้สึกดีกว่า เราจะทำงานได้ดีขึ้น และคนก็อยากมาอยู่ใกล้ๆตัวเรา ชีวิตไม่เคร่งเครียดจริงจังขนาดนั้นหรอก มาสนใจมีอารมณ์ขันให้มากกว่านี้ดีกว่า
คัดมาจากหนังสือ "การมีความสุข !" (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
ใครขี้เกียจที่สุด ?
มีเรื่องตลกๆเกี่ยวกับเรื่องความขี้เกียจอยู่เรื่องหนึ่ง คือ มีชายสามคนกำลังนอนอยู่ข้างถนนไม่ทำอะไรเลย มีคนๆหนึ่งเดินผ่านมาแล้วก็ถามด้วยความอยากรู้ว่า อา ! พวกเธอสามคนกำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ?
พวกเขาก็บอกว่า โอ! เราขี้เกียจมาก ก็เลยนอนอยู่ตรงนี้ เราไม่อยากทำงาน|
คนนั้นก็พูดว่า เหรอ, ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ พวกเธอบอกฉันทีซิว่าพวกเธอพวกเธอขี้เกียจกันขนาดไหน ฉันจะให้เงินหนึ่งดอลลาร์แก่คนที่ขี้เกียจที่สุด
ถ้าใครอยากจะขี้เกียจ ก็อาจจะต้องขี้เกียจอย่างเต็มที่ เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่มีอะไรจะมาแย้ง
คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า ฉันกระหายน้ำมาก ทั้งหิวทั้งกระหายเลย ฉันมีลูกแพร์อยู่ในกระเป๋าของฉันลูกหนึ่ง แต่ฉันขี้เกียจมากจนไม่ยอมหยิบมันออกมากิน
คนต่อมาก็พูดว่า เหรอ! แค่นั้นไม่มีอะไรหรอก พระอาทิตย์ส่องตาฉันทำให้ฉันเคืองตาตลอด แต่ว่าฉันขี้เกียจจะหันหน้าหนี
คนที่สามก็พูดว่า เออ, สองคนนี้ก็ยังไม่แย่เท่าไหร่หรอก ฉันสิขี้เกียจที่สุด แล้วก็พูดต่อไปว่า ฉันอยากจะหลับเหลือเกิน รู้สึกเพลียมากเลย! แต่ฉันขี้เกียจจะปิดตาลงมา (ผู้ฟังหัวเราะ)
เล่าโดยท่าน Suma Ching Hai ที่ศูนย์เทียนชาน ในฮ่องกง(เดิมเป็นภาษาจีน)
6 มกราคม 2551 00:10 น.
คีตากะ
ครั้งหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนกับถูกแรงที่ทรงพลังมากอย่างหนึ่งดึงขึ้นไปสูง เป็นแรงที่มากพอที่จะขยับเขยื้อนสวรรค์และโลกได้ทีเดียว ผมพุ่งขึ้นไปได้ด้วยความเร็วที่สูงมาก ทันใดนั้นเอง จิตวิญญาณของผมก็ถูกปลดปล่อยจากพันธะทางร่างกายไป จิตสำนึกของผมเข้าไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนและไม่สามารถจะบรรยายได้ กระบวนการทั้งหมดเหมือนกับเป็น "การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่" ความคิดอะไรต่างๆในหัวของผมอันตรธานหายไปหมดสิ้นในทันที มันเหมือนกับที่บรรดาอาจารย์เซ็นในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หายไปหมด"
ผมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและอยู่เหนือพ้นจากกาลเวลาและสถานที่ เข้าสู่ "สภาวะของจิตสำนึกที่ศักดิ์สิทธิ์" ที่เหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่การเริ่มต้นของกาลเวลา และเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดกาล ในตอนนั้น ในใจของผมเต็มไปด้วยความสุขและมีความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ผมรู้สึกว่ากำลังอยู่ในมหาสมุทรของความรักที่ผมได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันไปแล้ว รู้สึกเหมือนกับเป็นลูกแกะที่หลงทางที่ได้กลับมาสู่อ้อมแขนของแม่อีกในที่สุด เป็นความรู้สึกที่ปลอดภัยและดลจิตใจแบบที่มิอาจจะหยั่งวัดได้
ขณะเดียวกัน, ในความมืดมิดนั้นก็มีวงรัศมีซึ่งตรงกลางส่องแสงสีขาวสว่างเจิดจ้ามาปรากฏขึ้น แต่ถึงแม้ว่าแสงนี้จะสว่างจ้ามาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เคืองตาเลย และดูเหมือนว่ามันมีพลังอันมากมายไม่จำกัด คลื่นแสงเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้หัวใจของผมสว่างไสวขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้ปลุกปัญญาสูงสุดที่นอนหลับไหลอยู่ภายในตัวผมมาแสนนานให้ตื่นขึ้น
ด้วยพรแห่งพลังความรักและแสงอันเจิดจ้านี้ ผมก็ได้ตระหนักขึ้นมาทันทีราวกับว่าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากความฝันว่า " โอ ! ชีวิตบนโลกนี้ช่างเป็นเหมือนความฝันจริงๆ และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสร้างขึ้นมาจากจิตใจของเราจริงๆ" ผมได้เข้าใจอย่างเต็มที่แล้วในสิ่งที่เขียนอยู่ในวัชรสูตรว่า " เราไม่ควรจะยึดติดกับสิ่งใดๆ แล้วธรรมชาติเดิมแท้ของเราก็จะปรากฏขึ้น"
ผมยังได้เข้าใจตลอดที่ท่านโพธิธรรมได้กล่าวว่า "เราจะไม่มีทางได้รู้จักพุทธะ ถ้าเราค้นหาด้วยจิตใจของเรา" จากการที่ได้ผ่านการค้นหา ต้องดิ้นรนต่อสู้ และมีความคิดต่างๆที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจมากมาย ในที่สุด ผมก็ได้พบ
" ธรรมชาติพุทธะ" ที่พระพุทธเจ้าได้พูดถึง หรือ "พระจิตศักดิ์สิทธิ์" ที่พระเยซูพูดถึง หรือ "เจ้าแห่งปัญญา" ในศาสนาอิสลาม หรือ "หรือจิตสำนึกที่สูงสุด" ในภควัทคีตา ผมได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ที่สุดว่า "สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และทุกๆคนมีธรรมชาติพุทธะจริงๆ"
ผมไม่รู้ว่าประสบการณ์นี้กินเวลานานเท่าไร แต่ในที่สุดผมก็ออกมาจากสมาธิ แล้วก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย มีความสุข ความสบายใจที่สุด ร่างกายของผมมีกระแสความสุขและแรงสั่นสะเทือนอันน่าภิรมย์ไหลเวียนไปทั่ว หัวใจของผมเป็นอิสระเสรีเต็มไปด้วยความสงบ เมื่อมองดูในกระจก ผมก็พบว่าตัวผมเหมือนกับเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หน้าตาสดใสขึ้นมาก ผิวเรียบลื่นและอ่อนนุ่มขึ้นราวกับผิวของเด็กเล็กๆช่องทางเดินของพลังงานในตัวผมถูกเปิดออกตลอดทั่วทั้งร่าง ผมรู้สึกว่ามีกระแสพลังวิ่งขึ้นมาจากส่วนที่อยู่ต่ำกว่าท้อง มาตามส่วนหลังทางด้านล่างและเคลื่อนขึ้นไปสู่ด้านบนสุดของศรีษะเป็นระลอกๆตลอดเวลา และมันดูราวกับมีรูที่เปิดอยู่ตรงกระหม่อมอยู่รูหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่ผมเพ่งความสนใจตรงนั้นก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนระดับสูงอย่างหนึ่งจากเบื้องบนที่ไหลผ่านรูนั้นลงมาอยู่ตลอดเวลา และจิตสำนึกของผมก็ผ่านออกไปทางนั้นเสมอ เพื่อจะได้พบกับ "การระเบิดอย่างรุนแรง" อีก แล้วก็เข้าสู่โลกที่สงบสบาย
แต่ยังมีสิ่งที่มากกว่านี้อีกด้วยนั่นคือ ผมยังค้นพบว่า ดูเหมือนว่าผมจะสามารถใช้ "รู" นั้นหายใจได้ด้วย ! มีการแปลงร่างทั้งทางกายและใจจริงๆ เป็นการ "เกิดใหม่จากการอาบแช่อยู่ในแสงอันยิ่งใหญ่" อะไรอย่างนี้!
ไม่นานหลังจากนั้น มีการจัดฌานขึ้นที่ซีหู บังเอิญเป็นช่วงเทศการไหว้พระจันทร์ ดังนั้นอาจารย์จึงมาร่วมสนุกกับลูกศิษย์เป็นพิเศษ มีการจุดประทัดด้วย ตอนนั้นผมทำหน้าที่เป็นธรรมบาลอยู่ จึงโชคดีที่ได้อยู่ใกล้ๆอาจารย์
ทันใดนั้นผมก็ได้ยินอาจารย์อุทานว่า " โอ้ ! ทุกคนดูสิ! พระจันทร์ออกมาแล้ว ! " ถึงแม้ว่าผมจะเป็นธรรมบาลอยู่ผมก็ยังแหงนหน้าขึ้นไปดูตามอาจารย์ด้วย " โอโฮ ! พระจันทร์เต็มดวงเชียว! " " โอ้โฮ ! สวยจริงๆ !" เสียงคนพูดชมเชยกันไปทั่ว แต่ว่าหัวใจของผมกลับไปอยู่ที่อื่น ผมรู้สึกแต่ว่าภาพเบื้องหน้านี้ดูคุ้นเคยมาก ราวกับว่าเคยเห็นมันมาก่อน แล้วผมก็คิดอะไรได้ " โอ้! นี่เอง! " "นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยเห็นมาก่อนในการนั่งสมาธิบางครั้งหรอกหรือ?! " ถึงแม้ว่าพระจันทร์ตอนนี้จะไม่สว่างเท่าแสงสีขาวในภาพที่ผมเห็น แต่มันก็เหมือนกันจริงๆ! ผมไม่สงสัยในเรื่องนี้เลย
นับแต่นั้น ในเวลาเงียบๆตอนกลางคืน ผมก็ชอบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวอยู่เต็มแล้วก็มองค้นหาไปเรื่อยๆเวลาที่ผมเห็นพระจันทร์ที่สว่างสุกใสอีก ความรู้สึกอันลืมไม่ลงนี้ก็จะผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง ผมจะถือโอกาสนี้เพื่อเตือนใจตัวเองเสมอ ไม่ให้หลงยึดติดอยู่กับภาพลวงตาของโลกภายนอก แต่ว่ามองหาอาณาจักรชั่วนิรันดร์ของพระเจ้าภายใน!
โอ! ท่านอาจารย์, ศิษย์ของท่านได้เข้าใจในที่สุดแล้วว่า ทำไมคนในสมัยโบราณจึงอยากชมพระจันทร์!.......................................................