15 กรกฎาคม 2556 23:22 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai,
ฟอร์โมซา 12 เมษายน 1994 (เดิมเป็นภาษาจีน)
ในโลกระดับที่สูงขึ้น เราไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันด้วยถ้อยคำใดๆ เลย เราแผ่คลื่นแม่เหล็กออกไปแล้ว ผู้อื่นก็สามารถรับมันได้ ภาษาเป็นเพียงคลื่นแม่เหล็กรูปแบบหนึ่งหรือเป็นการสั่นสะเทือนแบบหนึ่งเท่านั้นเอง หลังจากที่เราเคยชินกับการฟังการสั่นสะเทือนแบบนี้ เราก็จะรู้ว่าคนอื่นกำลังพูดอะไร, ภูเขาหรือน้ำ ถ้าเราได้รับการฝึกที่เป็นระบบอีกแบบหนึ่ง เราจะสามารถติดต่อสื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กแทนที่จะใช้ภาษาแบบใดๆ มันเหมือนกับว่าทั่วโลกใช้ภาษาเดียวกัน และเวลาเราคิดถึงเรื่องอะไร คนอื่นก็สามารถรับรู้ได้ เพราะว่าการคิดเป็นแรงพลังแบบหนึ่งที่แผ่ความยาวคลื่นของมันไปถึงผู้อื่นเหมือนกับคลื่นแม่เหล็ก พวกเขาจะได้รับมันและก็เข้าใจมัน
บางครั้งเธอพูดว่าไม่ว่าอาจารย์จะอยู่ที่ไหน ท่านจะตอบคำอธิษฐานของเธอ หลายคนบอกฉันเกี่ยวกับประสบการณ์แบบนี้ของพวกเขา ส่วนใหญ่เป็นพวกเพื่อนประทับจิต อย่างไรก็ตาม, ผู้ที่ไม่ได้ประทับจิตหลายคนก็มีประสบการณ์เหล่านี้เช่นกัน ไม่ใช่ว่าฉันมีวิทยุอยู่ตรงนี้และแอบได้ยินว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าเรามีระบบการติดต่อสื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กอีกแบบหนึ่ง เราจึงรู้ความคิดของผู้อื่น เราไม่จำเป็นจะต้องบันทึกมันเป็นภาษาทางโลก เราเข้าใจว่าคลื่นแม่เหล็กแบบยาวและสั้นหมายความว่าอย่างไร, หรือความเร็วที่ใช้สำหรับคลื่นฉุกเฉิน, และความหมายของคลื่นที่ช้าๆ และนุ่มนวล
อาจารย์ผู้รู้แจ้งรู้ความหมายของรูปแบบของคลื่นแบบต่างๆ ที่แผ่ออกมาจากผู้ที่ทุกข์ยาก และส่งข่าวตอบไปเพื่อช่วยพวกเขาหรือบอกพวกเขาว่าควรจะทำอย่างไร ในสถานการณ์แบบนี้, เราพูดว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านนี้ช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยาก หรือว่าพวกเขาได้รับข่าวสารจากภายในและหลบหนีพ้นจากภัยพิบัตินั้น อาจารย์ผู้รู้แจ้งและผู้ที่ทุกข์ยากเป็นหนึ่งเดียวกันภายใน พวกเขามีการสั่นสะเทือนแบบเดียวกันภายใน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่พบตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเอง แต่อย่างไรก็ตาม, อาจารย์ผู้รู้แจ้งรู้วิธีที่จะติดต่อสื่อสารกับตัวตนที่แท้จริงของผู้ที่กำลังทุกข์ยาก บอกวิธีเอาชนะวิกฤตการณ์นั้นให้พวกเขา พวกเขาได้รับข่าวสารที่ช่วยเหลือนั้นเหมือนกับเราได้รับข่าวสารจากวิทยุ
ก้าวเข้าสู่เครือข่ายของสหโลก
ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม พระสูตรทางพุทธกล่าวว่า พระพุทธเจ้าพูดภาษาที่สรรพสัตว์ทั้งมวลล้วนเข้าใจ เราใช้คลื่นแม่เหล็ก, การสั่นสะเทือนหรือรหัสพิเศษในการสื่อสาร ในจักรวาลมีภาษาอยู่ภาษาเดียว ใครก็ตามที่เข้าใจรหัสนี้, รู้วิธีที่จะรับและส่งแผ่มันออกไป, ก็สามารถจะสื่อสารกับทั้งจักรวาลได้
จักรวาลเป็นเหมือนกับเครือข่ายหนึ่ง และแต่ละโลกหรือแต่ละดาวก็สัมพันธ์กัน ถ้าเราสามารถเข้าสู่ระบบเครือข่ายของสหโลก เราก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะได้รับการช่วยเหลือถ้าเราประสบกับความยากลำบากใดๆ และคำสวดอธิษฐานของเราจะได้รับการตอบ เรามีวิทยุอยู่ที่บ้านกันทุกคนและเราสามารถจะรับข่าวสารต่างๆ ได้ที่บ้าน ซึ่งถ่ายทอดมาจากสถานีวิทยุ ถ้าเราหมุนไปที่ช่องนั้นของสถานีวิทยุ เราก็จะอยู่ในเครือข่ายที่กระจายข่าว ถ้าเธอไม่มีวิทยุที่บ้าน เธอก็ไม่มีทางจะได้รับข่าวอะไรเลยถึงแม้ว่าสถานีวิทยุจะอยู่ข้างบ้านเธอ
ระบบสื่อสารสองทิศทางในระดับที่สูงสุด
ก็คล้ายกับเรื่องนี้, ผู้บำเพ็ญคือผู้ที่เข้าอยู่ในระบบซึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าเราจะอยู่ไหนสถานีของอาจารย์ก็สามารถจะได้รับการร้องขอต่างๆ ที่ฉุกเฉินของเรา, รู้ว่าเรากำลังจะพูดอะไร สถานีวิทยุกระจายเสียงเป็นระบบแบบทิศทางเดียว แต่ระบบของเราเป็นแบบสองทิศทางเหมือนกับโทรศัพท์ ยกตัวอย่างเช่น, เธอเข้าใจไม่ว่าฉันจะพูดอะไร และฉันก็เข้าใจว่าเธอพูดอะไรเหมือนกัน เราสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ทั้งสองทาง มันเป็นระบบการสื่อสารระดับสูงที่สุดกระทั่งไม่มีเครื่องอุปกรณ์ใดๆ เลย
อย่างไรก็ตาม, ถ้าเราไม่ได้บำเพ็ญไปจนถึงระดับที่สูงระดับหนึ่ง ระบบการสื่อสารก็ดูเหมือนกับว่าเป็นทิศทางเดียว เฉพาะอาจารย์เท่านั้นที่สามารถรับข่าวสารของเธอ แต่เธอไม่สามารถจะรับข่าวสารของอาจารย์ เราอาจจะรู้สึกว่าเราได้รับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม, ข่าวสารนั้นก็ดูจะไม่ค่อยชัดเจนสำหรับเรา เพราะว่ามีสิ่งกีดขวางบางอย่างอยู่ระหว่างกลาง บางทีเราอาจจะไม่ได้ปรับเครื่องมือของเราให้ดีเต็มที่, บางครั้งเราก็โทรศัพท์หรือเปิดวิทยุ เราได้ยินเสียงอะไรต่างๆ มากมายและไม่สามารถจะได้รับข่าวสารที่ชัดเจนแบบนั้นเราก็ต้องจัดการแก้ไขให้เรียบร้อยทันที บางทีเราอาจจะอยู่ไกลจากสถานีวิทยุและมีภูเขาหรือสิ่งกีดขวางกั้นอยู่เหมือนกับโทรศัพท์ไร้สาย มันติดต่อไม่ได้เวลาอยู่ในหุบเขา
อย่างไรก็ตาม, การสื่อสารของเราจะไม่ถูกภูเขาขวางกั้น นอกจากว่าเราจะกีดขวางตัวเราเองด้วยเครื่องกีดขวางเหมือนอย่างภูเขาและกั้นขวางพระพรของอาจารย์ เราสงสัยอาจารย์หรือเราไม่มั่นใจ ไม่ไว้วางใจมากพอ เราจึงคิดว่าเราไม่สมควรที่จะได้รับการช่วยจากอาจารย์ เราเคยชินกับการคิดว่าเรามีกรรมหนัก หรือว่าเรารู้สึกหยิ่งทะนงตนและอยากจะพึ่งตัวเราเองมากกว่าจะพึ่งคนอื่น มีเหตุผลหลายอย่างให้เราถูกขวางกั้นในความคิดที่เป็นอคติของเราเองและก็จับตัวเราเองคุมขังในคุกโดยไม่มีการติดต่อสื่อสารหรือไม่มีความรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถจะรับข่าวสารจากอาจารย์ ยกตัวอย่างเช่น, ถ้าเราสวมเสื้อกันฝน เราก็จะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากฝน...
15 กรกฎาคม 2556 23:23 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai
ในฌานเจ็ดที่ กัมพูชา 13 พฤษภาคม 1996
เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
ฉันเคยขอร้องพวกเธอมาก่อนว่าอย่าภาคภูมิใจกับครอบครัวที่สอดคล้องปรองดองกันของเธอหรือสภาพแวดล้อมที่สงบสุขของเธอ, การได้รับสิ่งต่างๆ ทางวัตถุและประโยชน์อะไรต่างๆ ของเธอ ที่เธอคิดว่ามีเข้ามาหาเธอจากพรของอาจารย์หรือจากการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม มันเป็นความจริงที่อาจารย์จะอวยพรจะอวยพรเรากับอะไรก็ตามที่เราปรารถนา แต่เราไม่ควรพอใจไปกับสิ่งนั้นและรู้สึกภาคภูมิใจกับความสำเร็จนั้น เพราะว่าเรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลย ปุ๋ยที่เหม็นจำเป็นสำหรับไม้ดอก แต่ดอกไม้คือสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ปุ๋ย
เขาสนใจที่จะปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ถ้าผู้เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มากอย่างพระเยซูบอกกับเราไว้ว่าอย่างนี้ เราก็ควรจะสนใจเอาใจใส่ เราควรจะรู้ว่าผู้เป็นอาจารย์ต้องการอะไรจากเรา และเราต้องการอะไรจากอาจารย์จริงๆ
ถ้าครอบครัวของเรามีความสงบสุขสอดคล้องกันและมีความรักต่อกันมากขึ้น มันก็ดีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า, ขอบคุณพลังอาจารย์ ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้น ก็ขอบคุณพระเจ้าที่เธอไม่ต้องมีคนที่จะต้องดูแล ต้องให้ความสนใจ ต้องกังวลว่าเขาจะพอใจ หรือหล่อนจะมีความนสุขหรือไม่
เธอจะอิสระกว่า ถ้าไม่มีใครรักเธอ
เธอจะอิสระกว่าถ้าเธอไม่มีใครที่จะมารักเธอ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ สิ่งต่างๆ ไม่ว่าอะไรมีราคาที่จะต้องจ่ายทั้งนั้น แม้ว่าจะมีใครคนหนึ่งรักเธอ เธอก็ต้องดูแลเอาใจใส่ต่อเขาหรือหล่อนเป็นพิเศษ เพื่อให้เขามีความสุข เพราะว่าถ้าเขาไม่มีความสุข เธอก็ไม่มีความสุข แต่ถ้ามีคนหนึ่งเกลียดเธอ พู้! ....ดีเลย, สวัสดีลา ไม่มีอะไรให้เธอทำ ไม่มีอะไรให้เธอต้องกังวล ไม่ใช่ความผิดของฉันนี่ถ้าเธอเกลียดฉัน อย่างนั้นก็ดีแล้ว
เราไม่อยากให้คนเกลียดเรา แต่ที่จริงแล้ว, ความรักแบบที่เรามีในโลกนี้แทบจะเป็นเครื่องพันธนาการ กระทั่งความสัมพันธ์ที่ดีก็เป็นเพียงเครื่องพันธนาการ เพราะว่าในการคิดถึงพวกเขา เราก็ลืมที่จะปลดปล่อยกันและกันให้เป็นอิสระ เราเรียกร้องต้องการความสนใจ, ต้องการความรักตอบแทนและสิ่งต่างๆ เหล่านี้จากกันและกัน หาได้ยากที่ความรักระหว่างคู่สามีภรรยาจะไหลไปอย่างอิสระโดยไม่มีการยึดติด, ไม่มีการเรียกร้องต้องการ, ไม่มีการบังคับสั่งการ, ไม่มีเงื่อนไขใดๆ จริงๆ และไม่มีความพยายาม
ส่วนใหญ่เราต้องพยายามที่จะรักษามันไว้ และความพยายามใดๆ ก็ต้องใช้เวลาและพลังงาน เมื่อมีใครที่รักเธออยู่ใกล้ๆ เธอ เธอก็ต้องใช้เวลาและให้ความสนใจ แม้ว่าเธอจะไม่อยากทำ เธอก็ต้องให้ความสนใจ แล้วเราก็ถูกเบนไปจากความสนใจที่เป็นจุดเดียวภายใน มีคนไม่มากที่สามารถเพ่งความสนใจทั้งภายในและภายนอกได้ในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาหรือหล่อนจะทำได้ ก็ต้องมีเวลาและต้องใช้เวลามาก ขณะที่เธอสนใจอยู่กับสิ่งนี้ เธอก็ไม่สามารถจะสนใจสิ่งนั้นได้ ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถนึกถึงทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน เธอทำได้แค่อย่างเดียวในเวลาหนึ่งเท่านั้น เอไม่มีทางจะสนใจเรื่องนี้แล้วในขณะเดียวกันก็สนใจอย่างอื่นๆ ได้เต็มที่ด้วย
เพราะฉะนั้น, ที่จริงแล้วเราอยู่คนเดียวจะดีเลิศ เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรและจะทำอะไรเวลาไหน แต่โชคไม่ดีที่โลกนี้ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตหลายอย่าง, รวมทั้งมนุษย์ และเราก็ต้องสัมพันธ์กับพวกเขาตลอดเวลาถ้าเราต้องทำอะไร ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปอยู่ที่ภูเขาหิมาลัยหรือภูเขาลูกอื่นๆ , อยู่คนเดียว ทำอะไรไปเอง แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน อาจจะฟังดูไร้ประโยชน์มาก แต่มันก็ดี
ฉันไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่ที่จะอยู่ในโลกและก็สอนมนุษย์ ในเมื่อคนส่วนใหญ่เพียงแต่อยากได้ผลประโยชน์ทางด้านวัตถุ และยึดติดอยู่กับความสุขและความสำเร็จส่วนตัว โดยทำทุกวิถีทางไม่ว่าอะไร พวกเธอส่วนใหญ่ประกาศว่าเธอรักฉันมากและอยากจะเห็นฉันมาก ได้เห็นทุกวันก็ยิ่งดี แต่มันไม่เป็นความจริงเลย พอฉันขอให้เธอมาช่วยฉัน มาทำงานให้ฉัน มาอยู่ใกล้ฉัน เธอก็บอกว่า "ไม่ได้หรอก! ฉันยังชอบชีวิตครอบครัวของฉัน ฉันรักภรรยาของฉัน, ลูกๆ ของฉัน, สามีของฉัน และอะไรต่างๆ ของฉันแล้วแต่เธอจะบอก" ทุกครั้งที่เธอมาที่นี่ เธอก็พูดว่า "โอ, อาจารย์! เราคิดถึงท่าน เราคิดถึงท่านมาก กรุณาอยู่นานๆ กว่านี้ กรุณายืนอยู่ตรงนั้น" อะไรทำนองนั้น ฉันไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรแน่จริงๆ และฉันไม่คิดว่าเธอจะรู้ว่าเธอต้องการอะไรเหมือนกัน (อาจารย์หัวเราะ)
ปล่อยอัตตาไป แล้วเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ถ้าเธอถามตัวเองอย่างสัตย์จริงให้ตัดสินใจเลือกเธอก็จะรู้จริงๆ ว่าเธอต้องการอะไร กระทั่งหลังจาก, ถ้าเธอรักฉันมาก, เธอชั่งน้ำหนักความชอบและไม่ชอบแล้ว และเธอตัดสินใจแล้วว่าในใจของเธอ เธอรักฉันมากกว่าคนในครอบครัวของเธอ มากกว่าฐานะตำแหน่ง, เงินทองหรือการศึกษาใดๆ ก็ตาม แล้วเธอก็มา ตอนนั้นเธอก็ยังต้องเผชิญกับอัตตาของเธอ เธอต้องฆ่าตัวเธอเองก่อนที่จะสามารถกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน
คนเหล่านี้หายาก ทุกสิ่งทุกอย่างดึงความสนใจจากเธอ ถ้าเธอสามารถจะช่วยงานฉันบางอย่าง เธอก็หันมายึดติดกับงานนั้น เธอยึดติดกับความสำคัญของงานนั้นและความสำคัญของตัวเธอในการทำงานนั้น แล้วเธอก็ลืมไปว่าเธอกำลังทำงานให้ใคร, งานนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร เธอลืมว่าเธอทำงานเพราะฉัน เพราะฉันขอให้เธอทำและเธอทำเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น
4 ตุลาคม 2556 22:28 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด, บอสตัน แมสซาชูเซตท์, สหรัฐอเมริกา
24 กุมภาพันธ์ 1991 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
ถ : เป้าหมายสุดท้ายชองการทำสมาธิก็คือการหลุดพ้น อาจารย์กรุณาบอกฉันด้วยว่า จิตวิญญาณที่หลุดพ้นแล้วนั้น หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธและความหลง ฯลฯ จริงๆ หรือไม่
อ : จริง ฉันเคยบอกไปแล้วว่า คนที่รู้แจ้งเวลาที่เขาโกรธ มันไม่ใช่เป็นความโกรธที่แท้จริง ภายในลึกๆ ของเขาไม่ได้หวั่นไหวสั่นคลอน หรือว่าคนที่ถูกโกรธนั้นไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนด้วยความเกลียดชังด้วยบรรยากาศในทางลบ บุคคลผู้รู้แจ้งไม่เคยโกรธด้วยวัตถุประสงค์ที่เห็นแก่ตัว เขาไม่เคยโกรธเพราะเธอให้เงินเขาไม่มากพอ เพราะเธอผละจากเขาไป หรือภรรยาของเขาหนีไปอยู่กับชายอื่น หรือในทำนองกลับกัน แล้วเขาก็พยายามที่จะไล่ตามเธอให้กลับมา และหาวิธีอื่นใดที่จะทำร้ายคนผู้นั้น____คู่แข่ง บุคคลผู้รู้แจ้งอาจจะมองดูว่าโกรธแต่ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากนี้
บางครั้งเธอต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าพลังของความก้าวร้าว เพื่อที่จะฝ่าให้พ้นอุปสรรคในการทำงานและเพื่อให้ภาระหน้าที่ของเธอก้าวต่อไป เขาไม่ได้โกรธเนื่องจากไม่มีใครให้อาหารเขา ไม่มีใครให้เงินกับเขา หรือไม่มีใครรักเขา เธอหนีความโกรธไปไม่พ้นหรอก เธอต้องใช้มัน มันมีความแตกต่างระหว่างความโกรธที่แท้จริงกับคนที่รู้แจ้งซึ่งใช้ความโกรธเป็นอาวุธ
ก็เหมือนกับมีดซึ่งอยู่ในมือของหมอผ่าตัด ย่อมแตกต่างไปจากมีดที่อยู่กับฆาตกร มันยังคงเป็นมีดเหมือนกัน ทำให้เจ็บ ทำให้เลือดออก แต่ว่ามันช่วยรักษาให้หายได้ หมอผ่าตัดรู้ว่าควรผ่ามากน้อยเพียงใด ตรงไหน และยาวเท่าใด แต่ฆาตรกรเขาเพียงแต่ฆ่าคนไปอย่างหน้ามืดตามัวด้วยความเกลียดชัง หรือความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
ความโกรธ ความโลภและความหลง และสิ่งที่เรียกว่า ลักษณะในทางลบต่างๆ ล้วนมาจากแดนนิพพาน ล้วนมาจากอาณาจักรของพระเจ้า ต่างก็เป็นคุณสมบัติที่สูงส่ง ทำไมเราถึงได้มีความโลภต่อสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เป็นเพราะว่าเรามาจากอาณาจักรที่งดงามของพระเจ้า เราเคยชินกับเกียรติยศมาก่อน เราเคยชินกับความร่ำรวยมั่งคั่งมาก่อน เราเคยชินกับสรรพสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อให้ได้มา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเราส่วนมากถึงได้ขี้เกียจไม่อยากทำงาน เราเพียงแต่อยากได้เงินอยากได้เพชร (ผู้ฟังหัวเราะ) เราต้องรู้ว่าในโลกนี้มันแตกต่างออกไป เราใช้ความโลภนี้ผลักดันเราเพื่อฝ่าฟันโลกนี้ ให้ได้รับซึ่งหินล้ำค่าที่อยู่ภายในตัวเรา ---------- แก้วสารพัดนึก ความโลภก็ไม่เลวหรอก ความโกรธก็ไม่ได้เป็นพลังทางลบ กิเลสตัณหาก็ใช้ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องใช้มันให้ถูกทาง ใช้มันเป็นเครื่องมือในการรักษา ไม่ใช่ในการฆ่า แล้วทุกๆ อย่างก็จะเรียบร้อย ไม่มีอะไรที่เป็นลบ มันเป็นความคิดที่ผิดๆ ของเรานั่นเองที่ทำให้สิ่งต่างๆ เป็นลบ (เสียงปรบมือ)
คติพจน์
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
หลังจากที่เราได้รู้ถึงความลับทั้งหมดของจักรวาล หลังจากที่เราได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งมวลของสวรรค์ เราจะไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกต่อไป เราจะกลายเป็นผู้มีความสุขอยู่ภายในตน ไม่ว่าสิ่งใดจะมาก็มา เราจะกลายเป็นเหมือนเด็ก เราจะไม่อยากและความอยากใดๆ ในโลกนี้ก็จะไม่เผาไหม้จิตใจของเราอีกต่อไป และจะไม่มีอำนาจควบคุมเหนือเราอีกต่อไป นั่นคือ อานิสงส์ของการรู้แจ้ง
ถ้าเราเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนแปลง ถ้าเรามีสวรรค์อยู่ภายในตัวเรา มีความสงบสุขอยู่ภายในตัวเรา เช่นนี้แล้ว ทุกๆ แห่งก็คือสวรรค์ ทุกๆ แห่งล้วนสงบสุข...
4 ตุลาคม 2556 22:31 น.
คีตากะ
หลายปีที่ อิสซาเบล เฮอร์เซลิน ได้ละทิ้งความต้องการอาหารและใช้ชีวิตแบบบริทธาเรี่ยน หากไม่กินอาหารแล้วอะไรที่จะหล่อเลี้ยงเธอให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างร่าเริง?
ถ: เมื่อคุณไม่กินอะไรแล้วหมายถึงอาหารวัตถุ แล้วอะไรที่หล่อเลี้ยงคุณ สิ่งที่คุณเรียกว่าปราณหรือไม่?
อิสซาเบล: ฉันว่ามันอธิบายยากมากที่จะบรรยาย สำหรับฉันแล้วพลังงานชีวิตอันนี้คือพลังแห่งความรัก แต่ฉันก็ไม่สามารถอธิบายความรักนี้ซึ่งมีอยู่ในสรรพสิ่งได้ มันมีอยู่ในทุกสถานการณ์ ในทุกอารมณ์และในทุกความสัมพันธ์ มันมีอยู่อย่างมากมายมหาศาลในตัวคุณ
สำหรับอิสซาเบลไม่มีอาหารใดที่จะเทียบได้กับความรู้สึกที่ได้อยู่ด้วยพลังปราณ
อิสซาเบล: ความรักอันนี้ สำหรับฉันความมั่นใจที่ฉันมีในชีวิตฉันไม่สามารถบอกว่าเป็นความรู้สึกอย่างไร มันไม่ง่ายที่จะอธิบาย แต่มันเติมคุณให้เต็มมากกว่า 100,000 เท่าและดีขึ้นอีก 100,000 เท่า มันมากกว่าความพอใจ 100 เท่า และดีกว่าอาหารจริง 100 เท่า ถึงกระนั้นฉันก็ยังขอบคุณผืนโลกสำหรับทุกๆ สิ่งที่เธอได้ให้ฉันจนถึงเวลานี้
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษย์มีผู้ที่ไม่กินอาหารหลายๆ คนที่อาศัยพลังงานของจักรวาลค้ำจุนร่างกายเนื้อและจิตวิญญาณของพวกเขาและยังมีอีกไม่กี่คนที่มีชีวิตอยู่หลายสิบปีด้วยพลังความรักความศรัทธาและการอุทิศตนทั้งหมดแด่พระเยซูหรือพระเจ้า มันไม่มีอะไรแตกต่างสำหรับอิสซาเบล
ถ: พูดกันว่าคุณได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังความรักความศรัทธา
อิสซาเบล: ใช่ค่ะ
ถ: เราพูดเรื่องนี้ได้ไหม?
อิสซาเบล: ได้ มันหล่อเลี้ยงฉันจากมิติ-ที่ฉันอยากบอกว่ามหาศาลที่สุด มันบำรุงตลอดทั่วตัวตนของฉันมากกว่าอาหารจริงซึ่งมีข้อจำกัด พลังชีวิตนี้ซึ่งเชื่อมต่อฉันเข้ากับทุกสิ่งทุกอย่างและสร้างอาหารชนิดนี้สำหรับฉัน ให้ฉันอิ่ม
อะไรที่ดึงดูดให้อิสซาเบลเข้ามาใช้ชีวิตแบบไม่กินอาหาร? เธอเป็นแม่บ้านธรรมดาๆ มีชีวิตครอบครัวตามปกติ
อิสซาเบล: ฉันเกิดในปารีสมีพี่น้องผู้ชายสองคน ตอนที่ฉันอายุประมาณสิบปี ฉันย้ายมาอยู่ที่บริทตานี่(Brittany) ในเขตของแวนเนส (Vannes) แล้วพอฉันอายุสิบเจ็ดปี ฉันก็ออกจากครอบครัวไปอยู่กับสามีของฉัน พ่อของลูกของเราชื่อ มีว่า (Maeva) และฉันยังเป็นคุณยายของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ชื่อโลว่า (Lova) เพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือนมานี้
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เป็นเด็กอิสซาเบลมีประสบการณ์พิเศษเกี่ยวกับอาหาร
อิสซาเบล: ทุกอย่างเริ่มขึ้น ตั้งแต่ฉันเกิด ตอนที่ฉันเกิดนั้นเป็นยุคของเสรีภาพสตรี ฉันจึงถูกป้อนด้วยนมขวดที่เป็นสูตรของทารก และนั่นไม่เคยเข้ากับฉันเลย พ่อแม่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะให้ฉันกินอะไรได้ ไม่มีใครบอกพวกเขาถึงทางเลือกอื่นๆ ที่มีอยู่ ดังนั้นฉันจึงถูกเลี้ยงด้วยนมขวดและเปลี่ยนมากินอาหารหรืออะไรแบบนั้นเร็วที่สุดที่จะเป็นได้
นอกจากปัญหากับนมสูตรทารกแล้ว อิสซาเบลยังเกิดมาพร้อมกับความชอบอาหารพืชผักซึ่งเป็นอาหารที่เด็กทุกคนจะเลือกโดยธรรมชาติ
อิสซาเบล: อาหารแข็งนี้ก็ไม่เข้ากับฉันอีกเหมือนกัน ฉันคิดว่าเพราะฉันเกิดมาไม่ชอบทั้งเนื้อสัตว์, ปลา, นม, หรือผลิตภัณฑ์นม ดังนั้นสำหรับฉันและพ่อแม่ของฉันในเวลาที่ทานอาหาร มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉันจะนั่งอยู่เป็นชั่วโมงๆ หน้าจานอาหารของฉัน แล้วอาหารนั้นก็จะถูกเก็บไปเข้าตู้เย็นสำหรับมื้อเย็นหรืออาจจะวันต่อไปก็ได้ มันเป็นอย่างนี้อยู่จนประมาณสิบเจ็ดปี ฉันเริ่มมองหาเมื่ออายุได้สิบห้า
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่มักจะบอกว่า เด็กๆ ตั้งแต่เกิดมามีแนวโน้มตามธรรมชาติเป็นมังสวิรัติอาหารที่พร้อมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็น อย่างไรก็ตามเนื่องจาก มีข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “โภชนาการ” ของอาหารเนื้อสัตว์ พ่อแม่มักจะบังคับพวกเขาให้กินเนื้อสัตว์ ทำให้สุขภาพของเด็กๆ ทรุดโทรมลง
อนุตราจารย์ชิงไห่ : เมื่อเด็กเกิดมา พวกเขาจำนวนมากปฏิเสธเนื้อ แต่เราบังคับให้พวกเขากินลงไป แล้วหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาก็กินเนื้ออย่างเป็นธรรมชาติ เด็กจำนวนมากไม่ต้องการเนื้อเลย เป็นความจริง และพวกเขาต่อต้านแรงๆ แต่ถ้าคุณให้พวกเขากินมังสวิรัติตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาไม่เคยเรียกร้องเนื้อ เพื่อนประทับจิตของเราจำนวนมาก พวกเขามีลูกตั้งแต่หลังจากประทับจิต และลูกของพวกเขาได้รับการเลี้ยงดูด้วยอาหารมังสวิรัติ และเติบโตอย่างแข็งแรงและสุขภาพดีมาก ป่วยน้อยกว่าเด็กคนอื่นๆ แก้มเป็นสีชมพู งดงามและบริสุทธิ์มาก มองดูนุ่มนวล พวกเขาไม่เคยเรียกร้องเนื้อ จริงๆ แล้ว เมื่อมีคนให้เนื้อพวกเขาโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาจะตกใจและทิ้งมันทันที เด็กอายุห้าปี หกปี สี่ปี
สำหรับพ่อแม่ของอิสซาเบล การให้สิ่งที่จำเป็นและการปลอบโยนแก่ลูกๆ คือวิธีการแสดงออกถึงความรักของพวกเขา โชคไม่ดีที่นั่นรวมถึงการเลี้ยงอิสซาเบลและพี่น้องของเธอด้วยเนื้อสัตว์
อิสซาเบล: มีความสำคัญมากที่พ่อแม่ต้องเลี้ยงดูให้ดีและนั่นก็เป็นสิ่งที่มีเกียรติด้วย มันเป็นความรัก คุณบางคนอาจจะมีประสบการณ์นั้น เราให้ความรักแก่ลูกๆ ของเราเวลาที่เราสามารถนำเนื้อสัตว์ชิ้นหนึ่ง, ปลา, และอาหารที่คิดว่าสมดุล มาวางบนโต๊ะได้ทุกวัน สำหรับพวกเขาแล้วนี่คือสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นพวกเขาระวังมากและต้องมั่นใจว่า เราได้อาหารวันละสามมื้อ ในสิ่งที่ถือว่าเป็นวิธีที่ “สมดุล” ซึ่งในสังคมก็ถือเหมือนกันว่ามัน “สมดุล”
โชคดีที่ในช่วงเป็นวัยรุ่นอิสซาเบลพบกับเจตนารมณ์อิสระที่จะบอก “ไม่” ต่อเนื้อสัตว์ที่มีอันตราย
อิสซาเบล: ฉันเป็นคนที่มีวินัยมาก ฉันเริ่มพูดว่า “หยุด!” สำหรับอาหารทั้งหมด ที่ฉันไม่ชอบ เมื่ออายุประมาณสิบห้าสิบหก โดยที่ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาทดแทนสิ่งที่ ฉันไม่ชอบนั้น แล้วฉันก็เลี้ยงตัวเองได้ในช่วงเวลาหลายปีนั้น แต่ก็ไม่ได้ชอบนัก
แล้วโอกาสก็มาถึง อิสซาเบลได้ค้นพบ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ซึ่งอร่อยกว่าและสุขภาพดีกว่า นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอสุขใจง่ายๆ กับการกินอาหาร
อิสซาเบล: ตอนที่ฉันออกมาจาก “รังของครอบครัว” ฉันดีใจที่พบกับสุภาพสตรีคนหนึ่งที่มีร้านอาหารสุขภาพออกานิค แล้วที่นั่น ฉันก็ได้รู้จักอาหารอีกแบบหนึ่งซึ่งมีสุขภาพที่ดีกว่าและสุขใจมากกว่า ซึ่งเรียกกันว่า “มังสวิรัติ” และจุดนั้นที่ฉันค้นพบว่า “ปลอดเนื้อสัตว์, ปลา, นม” สอดคล้องกับอาหารที่ติดป้ายบอกว่ามังสวิรัติหรือวีแก้น จากนั้นมาฉันก็เริ่มบำรุงตัวฉันด้วยความสุขใจมากขึ้น
อะไรทำให้อิสซาเบลเลิกทานอาหารโดยสิ้นเชิงและอยู่ด้วยพลังปราณเท่านั้น?
หลายปีที่ผ่านมา อิสซาเบล เฮอร์เซลินได้ละเว้นความต้องการของร่างกายต่ออาหารและได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการหายใจเพียงอย่างเดียว จริงๆ แล้วเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันหนึ่งเธอจะกลายมาเป็นอนุสรณ์ซึ่งมีชีวิตและเป็นตัวอย่างให้คนได้เห็นว่ามนุษย์เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยปราณหรือพลังจักรวาล เท่าที่ผ่านมาเธอมีประสบการณ์ที่ดีและวิเศษมาก ตั้งแต่เกิดอิสซาเบลไม่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์และเลือกทานผลิตภัณฑ์จากพืชแทน อิสซาเบลไม่ได้สังเกตตัวเองจนเธอโตขึ้นเป็นวัยรุ่นว่าอาหารที่เธอเลือกทานตั้งแต่เกิดนั้น แท้จริงเป็นอาหารมังสวิรัติ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อิสซาเบลได้เพลิดเพลินไปกับรสชาติของอาหาร เมื่อเธอได้ค้นพบอาหารมังสวิรัติที่เต็มไปด้วยความรักปราศจากสัตว์และทำให้สุขภาพดี แทนที่จะเป็นเนื้อสัตว์ที่เต็มไปด้วยสารพิษต่อร่างกายที่เธอมักถูกบังคับให้ทานเมื่อสมัยเด็ก
อิสซาเบล: ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันฟังร่างกายตัวเองมาโดยตลอด แต่ฉันไม่เคยรู้ว่า การที่ทานอาหารซึ่งปราศจากเนื้อสัตว์, ปลาและโปรตีนจากสัตว์คือการเป็นมังสวิรัติ และการที่อาหารนั้นปราศจากส่วนประกอบของสัตว์ทุกชนิดจะเรียกว่าการทานเจ ฉันยังคงพยายามอยู่ทุกวันที่จะเรียนรู้และค้นหาคำศัพท์เฉพาะที่จะใช้เรียกอาหาร ฉันได้พบกับสตรีท่านหนึ่งซึ่งได้แนะนำให้ฉันได้รู้จักกับวิธีการใหม่ที่จะหล่อเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอดหลังจากที่เธอได้แนะนำฉัน-ฉันเริ่มรู้สึกพึงพอใจกับตัวเองมากขึ้นและเมื่อฉันย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่ฉันได้บอกกับตัวเองว่า “นับตั้งแต่นี้ไปฉันจะเริ่มหล่อเลี้ยงบำรุงร่างกายตัวเองด้วยความสุข” ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะเลิกทานอาหาร ฉันแค่บอกกับตัวเองว่าฉันต้องการที่จะค้นหาความสุขกับการกิน เพราะว่าตลอดเวลา 17 ปีที่ผ่านมา – ที่เรียกว่าการกินอาหาร- ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขเลย ดังนั้นฉันจึงไม่เคยเห็นค่าหรือรู้สึกดีกับการกินนัก อีกเรื่องหนึ่ง ฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้ค้นพบและรู้จักกับอาหารจำพวกโปรตีนที่ทำมาจากพืชหลากหลายชนิด
เมื่ออิสซาเบลได้ค้นพบการกินเจ เธอตั้งใจที่จะเรียนรู้และค้นหาเกี่ยวกับทางเลือกของอาหารเจซึ่งเป็นอาหารที่สื่อถึงความเมตตาและยังดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
อิสซาเบล: ฉันก็ได้ค้นพบอาหารอร่อยๆ มากมาย ซึ่งอาหารเหล่านั้นมีรสชาติอร่อยกว่าอาหารใดๆ ที่ฉันได้รู้จักและลิ้มลองมาก่อน ทีละเล็กทีละน้อย ฉันได้เรียนรู้ไปกับอาหารเจมากขึ้น ผู้หญิงท่านนั้นได้แนะนำอาหารจำพวกพืชแตกหน่อและสาหร่ายให้ด้วย แล้วฉันก็ทำตามเธอเป็นอย่างดี
ในช่วงที่อิสซาเบลได้ทำการรู้จักกับพืช ผัก และอาหารเจแบบใหม่ๆ เธอได้คำนึงถึงความสำคัญของอาหารชีวจิต
อิสซาเบล: อาหารชีวจิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับฉัน ถึงฉันจะไม่สามารถเรียบเรียงมาเป็นคำพูดได้ในเวลานั้น – ด้วยความเคารพต่อโลกนี้และความคิดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของการตื่นตัวหรือรับรู้ – แม้ว่าจะมีสิ่งอื่นก่อนหน้า – การเริ่มต้นของการตระหนักรู้ว่าทุกสิ่งในจักรวาลนั้นเกี่ยวข้องกัน และมันเป็นอะไรที่สำคัญมากที่มนุษย์เราจำเป็นจะต้องให้เกียรติโลกใบนี้ที่โอบอุ้มพวกเราไว้อย่างอบอุ่น
หลังจากนั้นอิสซาเบลก็เริ่มที่จะลดการทานอาหารที่ทำให้สุกโดยความร้อนและเริ่มที่จะเพิ่มอาหารดิบเช่น ผลไม้ และผักสดลงไปในมื้ออาหารของเธอ
อิสซาเบล: ทีละเล็กละน้อย หลายปีผ่านไปหลังจากที่ฉันได้ลิ้มลองอาหารทุกอย่างที่มาจากผลิตภัณฑ์จากพืชซึ่งทำให้ฉันได้เพลิดเพลินไปกับการกินอยู่ๆ ร่างกายของฉันก็เรียกร้องอะไรบางอย่าง มันเรียกร้องให้ฉันเปลี่ยนรูปแบบการทานอาหารมาเป็นการทานที่ลดปริมาณอาหารไปมาก อาหารจำพวกธัญพืชถูกตัดออก เหลือเพียงแต่ข้าวและแป้งคิวนัว อาหารจำพวกโปรตีน ถึงจะมาจากพืชก็ถูกตัดออกไปจากเมนูอาหารของฉัน พูดถึงผลไม้ ฉันเองเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทานผลไม้เท่าไรนัก ร่างกายฉันมันไม่ค่อยถูกกับผลไม้ เว้นแต่องุ่นและมะเดื่อสด ผักที่ทำสุกแล้ว พวกเขาไม่เห็นด้วยกับฉัน จริงๆ ไม่ใช่ผักดิบโดยแท้ด้วยเช่นกัน มันจึงเป็นสิ่งที่ฉันเรียกว่า “ครึ่งสุกครึ่งดิบ” ผักเหล่านี้เข้ากับร่างกายของฉันได้ดี ร่างกายฉันยอมรับมัน ส่วนใหญ่ฉันจะทานผักจำพวกที่แตกหน่อ ฉันจะเล่าสิ่งที่ฉันค้นพบให้ฟัง เมื่อ 20 ปีที่แล้วของธัญพืชงอกโดยไม่มีสวน ฉันจะพูดว่า ตั้งแต่เกิดบ้านที่ฉันอยู่นั้นไม่มีสวน ฉันเลยทำสวนเล็กๆ ในบ้าน ซึ่งลูกสาวฉันก็ชอบสวนในบ้านมากและสาหร่าย สิ่งที่ฉันอยากจะสื่อก็คือบนเส้นทางชีวิตของฉัน – และสิ่งนี้สำคัญ – ฉันไม่ได้ใส่ใจรับฟังและยอมรับกับสิ่งที่จะทำให้ฉันมีความสุขและร่างกายของฉันได้แสดงสิ่งที่มันจำเป็นในเวลานั้น มันเป็นหนทางที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับทุกคน และมันสำคัญที่แต่ละคนจะค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง
ตามที่อิสซาเบลบอกว่าร่างกายของแต่ละคนมีความต้องการส่วนบุคคลและถ้าเราฟังร่างกายของเรา เราจะรู้โดยธรรมชาติว่าจะจัดหาอะไรให้มันทำงานอย่างดีที่สุด
อิสซาเบล: และทีละเล็กละน้อย ฉันได้รู้ว่าร่างกายของฉันรู้มากมาย เรามนุษย์ ฉันคิดว่าเรายอดเยี่ยมโดยแท้ เพราะร่างกายของเรารู้และเพราะร่างกายของเราเป็นเอกลักษณ์ ฉันจะพูดว่าหนทางที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ทุกคนและมันขึ้นอยู่กับตัวเราเองที่จะหาหนทางของเรา และฉันคิดว่ายิ่งเราค้นหาตัวเองมากเท่าใด ในการฟังนี้และความจำเป็นนี้ ในความสุขนี้และความกลมเกลียวนี้ ร่างกายของเราจะยิ่งบอกเราว่าอะไรที่ดีกับมัน
ที่จริงแล้ว เดิมทีมนุษย์ไม่จำเป็นต้องการอาหารทางกายเพื่อที่จะค้ำจุนร่างกายของเรา คนกินอากาศมากมายมีความเชื่อเดียวกันรวมถึง ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ นักเคมีแพทย์ทางเลือกและผู้ฝึกมนุษย์กินอากาศ เขากล่าวว่า “ผมเชื่อว่าเมื่อมนุษย์มายังโลกไม่มีความจำเป็นที่จะบริโภคอะไรเลย” ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่เคยเล่าเรื่องทางศาสนาพุทธครั้งหนึ่งที่อธิบายถึงสภาวะปลอดอาหารดั้งเดิมของเรา
อนุตราจารย์ชิงไห่ : ในเวลานั้นโลกนี้ไม่มีผู้นำ ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีอะไรเลย แล้วหนึ่งในสิ่งมีชีวิตจากโลกที่สูงกว่ากว่านั้นเห็นว่าโลกนี้ว่างเปล่า แต่มีหินแล้ว ใช่ เขาจึงลงมา นั่นคือคนแรกเราเรียกว่า พราหมณ์ เอาล่ะ ตามเรื่องที่เล่าน่ะ ใช่? พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วทันทีทันใดนั้น เขาได้เห็นว่าเขาโดดเดี่ยวมากและมันไม่ดี เขาจึงพูดว่า “ฉันอยากให้มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากตามฉันมา” ดังนั้น พวกเขาก็มา ผู้คนที่สวยงามทั้งหลายนี้มาจากโลกกวนอิม พวกเขาเรียกว่ากวนอิมเพราะในโลกนั้นผู้คนถูกหล่อเลี้ยงอยู่ด้วยแสงและเสียงเท่านั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องกินอาหารหยาบเหมือนที่เราทำตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจำนวนมากได้มายังโลกนี้อย่างช้าๆ และตั้งหลักปักฐาน เมื่อพวกเขามาที่นี่ พวกเขามีชีวิตอยู่ในแสงและรัศมี พวกเขาสามารถเหาะไปที่ไหนก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ไปที่ไหนก็ได้เพียงชั่วอึดใจ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะหรือการคมนาคมทางกายภาพใดๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาอะไร พวกเขาก็สามารถเข้าใจกันได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขายังคงเป็นอิสระมากในหนทางของพวกเขาเองและในรัศมีของพวกเขา และพวกเขามีชีวิตอยู่ในรัศมีเป็นเวลายาวนาน นาน นาน นาน นับล้านล้านปี แล้ว โลกนี้ก็เริ่มหยาบขึ้นอย่างช้าๆ และสวยงามมากขึ้น มองเห็นมากขึ้น มีความรุ่งโรจน์มากขึ้น แล้วคนเหล่านี้บางคนเดินไปรอบๆ ทะเลหรือเหาะไปรอบชายฝั่งและเห็นฟองบางชนิดจากทะเล ฟองนี้สวยงาม ส่องแสงสว่างมากและกลิ่นหอมมาก มีกลิ่นหอมที่แปลกมากฟุ้งออกมาจากฟองนี้ที่ลอยอยู่ในทะเล พวกเขาบางคนอยากรู้อยากเห็นและพวกเขาก็ลงมาที่พื้นแล้วลองชิมดู ไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน มันไม่เคยปรากฏมาก่อน พวกเขามองดูก่อนและมันก็สวยงามมากและกลิ่นมันก็หอมเย้ายวน พวกเขาจึงชิมมันและมันก็อร่อยมาก พวกเขาไม่เคยกินอะไรมาก่อนและพวกเขาไม่ได้คิดว่าพวกเขาต้องการมัน พวกเขาไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรที่หอมและรสชาติดีขนาดนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงกินมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น และทุกๆ คนก็เริ่มรู้จักฟองสวยๆ บนทะเลนี้ ซึ่งมีรสชาติดีและกลิ่นหอม และสวยงาม พวกเขาจึงมาและกินมัน ยิ่งพวกเขามีน้ำหนักมากขึ้น พวกเขาก็เปลี่ยนรูปร่างของพวกเขาและเปลี่ยนพลังงานของพวกเขาอย่างช้าๆ พวกเขาไม่สามารถเหาะได้ไกลมากอีกต่อไป และอย่างช้าๆ แสงของพวกเขา แสงออร่าของพวกเขาก็สั้นลง สีเริ่มทึบขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจสิ่งนั้นมาก ยังไงมันก็สายไปแล้วที่จะเปลี่ยน – มันดีเกินไป ยิ่งพวกเขากินมากขึ้น พวกเขาก็ต้องการมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถหยุดกินได้และหลังจากที่ทุกคนกินฟองนั้นก็ได้หายไป – กินมากไป...ก็เลยหมดไป! แล้วก็มีสิ่งอื่นปรากฏขึ้นบนโลก ข้าวสาลีชนิดหนึ่งที่ขึ้นเหนือพื้นที่ และใครๆ ก็สามารถมาเอาและกินมันได้ – มันเป็นข้าวสาลีชนิดหนึ่ง ดังนั้นคนจึงชอบมันด้วย เพราะว่าไม่มีฟองอีกต่อไป พวกเขาจึงลองกินข้าวสาลี ข้าวสาลีก็รสชาติดีมากด้วย ประณีตสวยและมีกลิ่นหอม ดังนั้นพวกเขาจึงกินและทุกๆ คนกิน และยิ่งพวกเขากินสิ่งนี้ ร่างกายและวิญญาณของพวกเขาก็ยิ่งหยาบมากขึ้น พวกเขาแทบจะเหาะไม่ได้อีกต่อไปและกายเนื้อของพวกเขาก็เปลี่ยนไปแย่ลง ไม่ใช่ดีขึ้น พวกเขาเคยสวยงามและเจิดจ้ามาก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาดูหยาบขึ้นและเสียงบางอย่างเริ่มเกิดขึ้นจากปากพวกเขาแล้วตอนนี้ แต่ก่อนไม่มีความจำเป็นต้องพูดจา ตอนนี้พวกเขาต้องทำเสียงบางอย่างเพื่อให้เพื่อนบ้านเข้าใจ ยังไม่เป็นภาษา แต่ก็มีเสียงแล้วตอนนี้ และพวกเขาไม่สามารถหยุดกินได้แล้วตอนนี้ มันเหมือนกับเสพติด “โฮ้! มันสวยมาก ดีมาก” พวกเขาจึงกินต่อไป
อิสซาเบลเริ่มต้นการเดินทางกลับสู่สภาวะที่บริสุทธิ์ดั้งเดิม และเริ่มมีชีวิตอยู่ด้วยแสงได้อย่างไร?
หลายปีมานี้ อิสซาเบล เฮอร์เซลิน ได้ละเว้นจากการรับประทานอาหารและเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยการกินอากาศ จริงๆ แล้วเธอไม่เคยนึกเลยว่าวันหนึ่งเธอจะกลายมาเป็นอนุสรณ์ซึ่งมีชีวิตและเป็นตัวอย่างให้คนได้เห็นว่ามนุษย์เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังลมปราณหรือพลังจักรวาล ตั้งแต่เกิด , อิสซาเบลไม่เคยชอบทานเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมเลย ฉันฟังร่างกายของฉันเสมอมา ฉันไม่รู้ว่าการไม่ทานเนื้อสัตว์, ปลา การไม่ทานโปรตีนสัตว์นั้นเรียกว่า “มังสวิรัติ” และที่การไม่มีผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ใดนั้นเรียกว่า “วีแก้น” ดังนั้นมันเป็นความสุขจริงๆ สำหรับฉันและหลายๆ ปีที่ได้ค้นพบอาหารที่มีโปรตีนจากพืชที่มีความหลากหลายมากมาย
อิสซาเบล ค่อยๆ ปรับตัวเองให้คุ้นเคยกับอาหารที่ส่วนใหญ่มาจากพืชแตกหน่อและสาหร่าย เธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาทานอาหารครึ่งสุกครึ่งดิบ ซึ่งอาหารพวกนี้ทำให้ทานแล้วรู้สึกสบาย และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก อิสซาเบลได้เปลี่ยนแปลงวิถีการกินของเธออีกครั้งเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับ การใช้ชีวิตอยู่ด้วยพลังแสง หลายๆ ครั้งพระเจ้าจะมีวิธีมากมายที่จะดลใจเราเพื่อยกระดับ และทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น แท้จริงแล้วความโชคร้ายหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นมักเป็นพรที่พระเจ้าได้ให้เรา แต่เรามองมันไม่เห็นเอง ความจริงนี้ก็เกิดขึ้นกับอิสซาเบลด้วยเช่นกัน การที่ลูกสาวของเธอเกิดอาการบาดเจ็บที่เท้านั้นทำให้อิสซาเบลได้รู้จักกับโลกใหม่ของพลังแสงที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อิสซาเบล: มันไม่ยอมหาย ลูกฉันเจ็บปวดทรมานมาก แต่ไม่มีแผลหรืออาการอะไรเลยที่แสดงว่ามีการบาดเจ็บเกิดขึ้นที่ทำให้เธอเจ็บปวดเช่นนี้ ฉันไม่สามารถนวดเท้าให้เธอ เธอจะเจ็บจนกรีดร้องออกมา ก็มีเพื่อนของฉันคนหนึ่งมาที่บ้านแล้วบอกกับฉันว่า “เราเคยเป็นแบบลูกของเธอเมื่อ 15 ปีที่แล้ว แล้วเราก็ได้ไปรักษากับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถรักษาเราให้หายขาดได้ภายในครั้งเดียว ตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่รองเท้าไป ตอนที่ไปรักษา แต่พอรักษาเสร็จ ฉันกระโดดกลับได้เลย” หลังจากที่ฉันได้พบกับผู้หญิงคนที่รักษาเพื่อนคนนั้น มีบางอย่างที่ตราตรึงใจฉันเป็นอย่างมาก ฉันได้รู้จักกับพลังงานหนึ่งซึ่งฉันใช้เวลาสิบกว่าปีเรียนรู้และฝึกฝนมัน พลังงานบวกนี้ได้ให้ความชุ่มชื่นกับชีวิตฉันและไม่ต้องสงสัยเลย การฝึกตนกลายเป็นเรื่องง่ายจนฉันไม่รู้สึกยาก พลังงานนี้ได้นำพาสิ่งดีๆ มาให้ฉันได้รู้จักและสิ่งดีๆ เหล่านั้นมันไม่มีขอบเขต มันคือความรัก ความรักที่บริสุทธิ์ ฉันก็ได้พาลูกของฉันไปรักษากับคนๆ นั้นและมันก็เหมือนกัน! – ลูกสาวฉันกระโดดออกมาเลย ฉันเตรียมเอารองเท้าไปเพราะฉันรู้มาก่อนเลยว่าลูกจะหาย ลูกก็กระโดดกลับบ้านเลย ฉันรู้สึกปลื้มใจในทันใด
ผลจากการที่ลูกสาวของเธอเกิดอาการบาดเจ็บที่เท้านั้น ทำให้เธอได้มีโอกาสรู้จักกับจิตวิทยาแผนใหม่ ซึ่งเกี่ยวกับพลังงาน อิสซาเบลดูสนใจกับสิ่งนี้มากหมอรักษาจึงสนับสนุนให้เธอเรียนและรับการฝึกฝนกับวิชาสาขาใหม่นี้ อิสซาเบลได้ไปฝึกวิชานี้ที่อาร์เดซเพื่อที่เธอจะได้ช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย ปรากฏว่าการฝึกตนกับพลังงานแสงนี้เข้ากับเธอได้ดี มันสอดคล้องกับร่างกายของเธอที่พยายามจะหยุดการรับประทานอาหาร
อิสซาเบล: ทุกครั้งที่ฉันเข้ารับการฝึกที่อาร์เดซ – ประมาณเดือนละครั้ง – ฉันจะอดอาหารระหว่างนั้น ฉันรู้สึกว่าพลังงานบวกเหล่านี้ได้โอบอุ้มฉันอยู่ และพลังเหล่านั้นคือความรัก จริงๆ! ฉันรู้สึกชุ่มโชกในความรักนี้ ตลอดเวลาที่ฉันอยู่ที่นั่น ฉันไม่รู้สึกหิวเลย ครั้งแรกที่ไปฉันยังจองอาหารไว้สำหรับตัวเอง แต่ตั้งแต่ครั้งที่สองเป็นต้นไปฉันไม่ได้จองอาหารให้ตัวเองอีกเลย ฉันไม่ต้องการอาหารเลย ตอนฤดูร้อนได้มีการจัดสัมนาขึ้น สัมนานี้ยาวหนึ่งอาทิตย์ ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์นั้น ฉันก็อดอาหาร แล้วฉันก็รู้สึกสุขใจมาก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันได้รู้จักกับการอดอาหาร หลังจากนั้นเป็นต้นมา ร่างกายของฉันเรียกร้องให้ ฉันอดอาหารเป็นครั้งเป็นคราว ทุกครั้งที่ฉันไปพักผ่อนตากอากาศช่วงหน้าร้อน ฉันก็ปล่อยให้ร่างกายของฉันได้พักจากอาหารด้วย มันทำให้ฉันรู้สึกดีมาก หลังจากนั้น ฉันลองให้ลำไส้ใหญ่ของฉันได้พักผ่อนจากหน้าที่ ร่างกายของฉันก็ยังคงมีแรงกระปรี้กระเปร่าได้เพราะว่าฉันหล่อเลี้ยงร่างกายด้วยพลังแสงนี้
เมื่อตอนอิสซาเบลยังสาวเธอใช้ชีวิตทุกอย่างเพื่อสุขภาพ เธอออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกๆ วัน เธอจะออกกำลังกายหนักๆ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำหรือปั่นจักรยาน หลังจากที่อิสซาเบลเริ่มอดอาหารนั้น เธอไม่เห็นว่ามันจะทำให้เธอแข็งแกร่งน้อยลงเลย มันกลับทำให้เธอรู้สึกสุขใจที่ไม่ต้องไปยึดติดหรือกังวลกับการที่ร่างกายจะต้องทานอาหาร
อิสซาเบล: เวลาผ่านไปฉันก็อดอาหารมากขึ้นๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ ฉันอดอาหารปีละ 3-4 ครั้ง ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ปีที่แล้วเพื่อนฉันส่งอีเมล์มาถามว่า “ปีนี้เธออดอาหารมากี่ครั้งแล้ว? เพราะฉันมีความรู้สึกว่าเธออดอาหารบ่อยมาก” และนั่นเองมันทำให้ฉันได้สังเกตตัวเองและบอกกับตัวเองว่า “มันจริง!” ฉันเริ่มอดอาหารมากขึ้นและมากขึ้นจริงๆ – ตอนแรกฉันไม่ค่อยแน่ใจว่า ฉันอดอาหารแบบถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า แต่ร่างกายของฉันได้บอกฉันว่ามันต้องการลดอาหารมันอยากพักจากการมีอาหาร แล้วฉันก็รู้สึกดีมากจริงๆ ทุกครั้ง ฉันยังได้ลองไปปีนเขาโดยที่อดอาหารระหว่างั้นด้วย ฉันไปปีนเขานานถึง 1 อาทิตย์โดยที่แบกสัมภาระทั้งหมด – รวมถึงเต็นท์ไว้ในกระเป๋าเป้สะพายไหล่ด้วย – ฉันเดินแบบนั้น 10 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงร่างกายของฉันคือความสุขที่ได้มีชีวิตอยู่ สิ่งสวยงามรอบๆ ตัวฉันและฉันก็ได้สัมผัสกับพลังงาน ฉันไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดที่ไหนอีกเลย ฉันคิดว่ามันเป็นการชะล้างของเสียในร่างกายทีละน้อย
ต่อมาอิสซาเบล เริ่มปล่อยให้การอดอาหารเป็นไปเองโดยเธอฟังความต้องการของร่างกายตัวเองและไม่ต้องวางแผน เพื่ออดอาหารอีกต่อไป
อิสซาเบล: เวลาร่างกายของฉันอยากพักผ่อน ฉันจะหยุดกิน ฉันไม่รู้ว่าฉันจะหยุดกินไปกี่วัน 4,5 ปีที่แล้วในช่วงฤดูร้อนลูกสาวของฉันก็ยุ่งมากในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน เธอจะต้องไปเยี่ยมพ่อและปู่กับย่า เธอไปตั้งสองเดือน แล้วช่วงหน้าร้อนนั้นเอง หลังจากเธอไปเยี่ยมพ่อวันต่อมา ร่างกายฉันสั่งให้ฉันพักผ่อน(จากอาหาร) แล้วฉันก็ทำตามมันอย่างเคย ฉันพักจากการกินไปเป็นเวลา 2 เดือน โดยไม่มีเหตุผลใดๆ
ตลอดเวลา 2 เดือนนั้นที่ร่างกายของอิสซาเบลไม่ได้กินอาหารเลย เธออยู่ได้อย่างสบายและแข็งแรงดี เพียงแต่ช่วงนั้นเธอเครียด เพราะเธอต้องย้ายบ้านใหม่
อิสซาเบล: ฉันขี่จักรยานเลียบชายหาดบ่อยมากระหว่างช่วงอดอาหารหรือช่วงที่กินอาหารน้อยมาก ฉันขี่ไปได้ไกล 100 – 150 กิโลเมตรทุกๆ วัน ฉันได้ค้นพบพลังงานและความสมดุลในร่างกาย ระหว่างช่วงสองเดือนนั้น ฉันย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่และฉันก็ได้ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน พอกลับถึงบ้าน ฉันก็ยุ่งกับการจัดแต่งบ้านใหม่ ฉันทาสีบ้านใหม่ ตกแต่งใหม่ จัดทุกอย่างใหม่ ย้ายของใหม่ๆ ฉันทำบ้าน ตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง ฉันได้นอนหลับแค่ 4-5 ชั่วโมงต่อวัน แล้วฉันก็จะตื่นขึ้นมาเดินออกกำลังกายตอนเช้า หรือบางครั้งก็วิ่งเหยาะๆ อยู่กับธรรมชาติทุกวันก่อนจะออกไปทำงาน ฉันขอบคุณมากสำหรับชีวิตใหม่ที่แสนดีนี้
การที่อิสซาเบลได้อยู่อย่างปราศจากอาหารมา 2 เดือน ทำให้เธอเริ่มรู้สึกอยากที่จะอยู่โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเลยแบบถาวร อิสซาเบลปรับตัวช่วงแรกๆ ของการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร?
หลายปีมานี้ อิสซาเบล เฮอร์เซลิน ได้ละเว้นจากการรับประทานอาหารและเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยการกินอากาศ จริงๆ แล้วเธอไม่เคยนึกเลยว่า วันหนึ่งเธอจะกลายมาเป็นอนุสรณ์ซึ่งมีชีวิตและเป็นตัวอย่างให้คนได้เห็นว่า มนุษย์เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังลมปราณหรือพลังจักรวาล ตั้งแต่เกิดอิสซาเบล ไม่เคยชอบทานเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมเลย ในวัยรุ่นเธอค้นพบว่าอาหารจากพืชซึ่งเธอชอบทานมากกว่าเป็นที่รู้จักในชื่อว่า “มังสวิรัติ” หรือ “วีแก้น” อย่างช้าๆ การบริโภคอาหารของเธอลดลงเหลือแค่ถั่วงอก สาหร่าย และผักสุกนิดหน่อยเป็นส่วนใหญ่ ตอนที่อาการบาดเจ็บที่เท้าของลูกสาวของเธอได้รับการรักษาโดยนักบำบัดด้านจิตวิทยาพลังงาน อิสซาเบลลงชือเพื่อเข้าฝึกเป็นนักบำบัด โดยบังเอิญในช่วงการฝึกเหล่านี้ ความอยากอาหารของเธอลดลงและด้วยการปรับเข้าหาร่างกายของเธอ อิสซาเบลหยุดทานอาหาร จนกระทั่งร่างกายอยากอาหารอีกครั้ง ในฤดูร้อนหนึ่ง ขณะที่ลูกสาวของเธอไม่อยู่ อิสซาเบลตอบสนองต่อความต้องการของร่างกายของเธอและหยุดทานอาหารทางกาย หลังจากไม่ทานอาหารมาสองเดือน เธอตัดสินใจที่จะทำต่อไป และเพียงพึ่งพาปราณ เพื่อการมีชีวิตอยู่
อิสซาเบล: ตอนที่ฉันเริ่มหล่อเลี้ยงตนเองด้วยแสงนี้ เพื่อที่จะอยู่มีชีวิตด้วยประสบการณ์นี้เท่านั้น เพื่อที่ฉันสามารถอยู่ด้วยมันได้โดยสมบูรณ์ เพื่อให้รู้จักมันอย่างถ่องแท้ และใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับมัน ดังนั้นเป็นเวลาสามเดือน ฉันได้เลี่ยงการทานอาหารกับครอบครัวหรือเพื่อนๆ หรือฉันแค่บอกว่าฉันถือศีลอดเป็นเวลาหลายวัน ตอนที่ฉันพูดอย่างอื่นไม่ได้ ซึ่งก็ได้รับการยอมรับ เพราะฉันได้ถือศีลอดอยู่เป็นประจำมาหลายปีแล้ว และฉันรอประมาณสามเดือนก่อนที่จะพูดถึงการหล่อเลี้ยงร่างกายเช่นนี้ หรือ “พลังงานธรรมชาติ” ตามที่ฉันเรียกมัน แม้ว่ามันจะไม่น่าประหลาดใจนัก เพราะหลายๆ ครั้งที่ฉันได้ทดลองกับอาหาร เพื่อนของฉันทุกคนก็ไม่ประหลาดใจเท่าใดนัก และพวกเขาส่วนใหญ่บอกว่าฉันดูมีความสุขเพียงใด – การมีความสุขถึงสันติสุขที่ลึกซึ้งมากขึ้นมีความสุขมากมายและมีสุขภาพที่ยอดเยี่ยม สิ่งนั้นหมายถึงทุกสิ่ง ดังนั้นพวกเขายอมรับวิถีชีวิตใหม่นี้ในการหล่อเลี้ยง ร่างกายของฉันเองโดยสมบูรณ์และเกือบทันที
สำหรับผู้กินอากาศหลายคน กระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้กินอากาศมักจะเกิดขึ้นในช่วงสามสัปดาห์แรก การเปลี่ยนโดยส่วนใหญ่ ความไม่สบายตัวหรือในบางครั้งความเจ็บปวดเป็นผลจากการทำความสะอาดร่างกายของพิษต่างๆ ที่สะสมมาหลายปีจากการกินอาหารทางกาย มันน่าสนใจที่ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงสำหรับอิสซาเบล เกิดขึ้นในภายหลังและมันเป็นการดิ้นรนทางจิตใจมากกว่า
อิสซาเบล: เมื่อกลับไปนึกดู ฉันเห็นว่าในช่วงชีวิตของฉัน ตั้งแต่ฉันได้หล่อเลี้ยงตนเองด้วยพลังงานชีวิตนี้ มันเกิดขึ้นเป็นขั้นตอน เมื่อนึกกลับไป ฉันสังเกตว่ามีช่วงทุกๆ สองเดือนและเดือนแรกหลังจากสองเดือนเป็นเวลาสามคืนที่ฉันคิดว่าฉันกำลังจะตาย ในคืนแรกหลังจากสองเดือน ฉันรู้สึกว่าหัวใจของฉันจะหยุดเต้นเกือบโดยสิ้นเชิง และฉันรู้สึกว่าตนเองช้าลงโดยสมบูรณ์และมันเหมือนว่าร่างกายของฉันกำลังสลายตัวเล็กน้อย แม้ว่า...มันแปลกที่ฉันรู้สึกราวกับว่าฉันกำลังถูก “ทำให้ละลาย” กับจักรวาล บนเตียงของฉัน ฉันกลัวจริงๆ ฉันถามตนเองจริงๆ หลังจากสองเดือน...สำหรับฉันประโยชน์ของการหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยแสงนั้นชัดเจนแล้ว แต่แล้วความกลัวก็มาและฉันถามตนเองว่า “ฉันกำลังทำถูกหรือไม่? มันถูกไหมในสิ่งที่ฉันกำลังทำ เพราะว่า จริงๆ แล้วฉันเชื่อในมันอย่างลึกซึ้งแต่สิ่งนี้นำฉันสู่อันตรายหรือไม่?” ดังนั้นด้วยความกลัวนี้ก็เกิดความสงสัยและการต่อต้าน ซึ่งทำให้คืนนั้นไม่มีความสุขนัก ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน วันนั้นผ่านไป และค่ำวันต่อมา มันก็เริ่มขึ้นใหม่
ถ: คุณกลัวตายหรือ?
อิสซาเบล: ใช่แล้วค่ะ ที่จริงแล้วคืนที่สองฉันเริ่มรู้ถึงความกลัวตายนี้ และฉันพบว่าตนเองอยู่ในสภาวะเดียวกันเหมือน “การหลอมละลาย” ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าด้วย และตรงนั้น เสียงเล็กๆ ของฉันบอกฉันว่า “ปล่อยให้มันเป็นไป” แล้วฉันบอกตัวเองว่า “เสียงเล็กๆ นั้นบอกฉันว่าปล่อยให้มันเป็นไป” มันยังบอกฉันอีกว่า “คุณเสี่ยงอะไร? คุณกลัวอะไร?” และนั่นคือตอนที่คำตอบของฉัน จริงๆ แล้วก็คือ “ก็ใช่! ฉันกลัวตาย!” แล้วเสียงเล็กๆ ของฉันบอกฉันว่า “แล้วยังไง?” และแล้วฉันก็ตระหนักรู้ว่า ที่จริงแล้วสภาวะซึ่งฉันสามารถค้นพบตนเองว่าถูกหลอมละลายมากขึ้นกับทุกสิ่งในจักรวาลได้นำพาฉันสู่สภาวะที่น่ายินดียิ่ง ฉันจึงบอกตัวเองว่า “ที่จริงแล้ว ถ้านั่นคือการตาย ฉันก็ไม่กลัว มันยิ่งน่ายินดี!” และตอนที่ฉันเดินหน้าต่อไป ฉันรู้สึกว่า ถ้าฉันตายตอนนี้ฉันจะตายอย่างอิสระ และที่นั่นฉันได้สร้างสัมพันธ์กับความกลัว ความกลัวปิด ความกลัวจำกัด ความกลัวสร้างขีดจำกัด ความกลัวยิ่งนำพาความทุกข์ เพราะว่ามันนำพาการต่อต้าน และในเวลานั้นฉันไม่ได้ถูกปกคลุมในมันอีกแล้ว ดังนั้นฉันปล่อยมันไปโดยสมบูรณ์ ฉันไม่กลัวอีกแล้ว และฉันคิดว่านั่นเป็นหนึ่งในขั้นตอนซึ่งทำให้การลบโปรแกรมของความกลัวเหล่านั้น และหลังจากสองเดือนนั้น และเพราะขั้นตอนนี้ฉันเชื่อว่าฉันไม่มีความกลัวอีกแล้ว และสิ่งนี้ทำให้ฉันมีชีวิตอย่างสมบูรณ์อยู่กับปัจจุบัน ดังนั้นการมีชีวิตในปัจจุบันราวกับว่าไม่มีอดีตอีกแล้ว และไม่จำเป็นต้องมีอนาคต ณ ปัจจุบัน ความสุขนั้นมหาศาล
นอกจากการดิ้นรนทางจิตใจกับความกลัวตายหลังจากสองเดือนแรก อิสซาเบลไม่ได้ดูเหมือนว่ามีอาการจากการเปลี่ยนแปลงอย่างปกติที่ผู้กินอากาศท่านอื่นๆ หรือผู้ไม่กินอาหารต้องเดินผ่าน
ถ: คุณไม่ได้ทำขั้นตอน 21 วันซึ่งจาสมูฮีนได้กล่าวถึง?
อิสซาเบล: ฉันอาจจะทำมันโดยไม่รู้? จริงค่ะโดยไม่รู้ ที่จริงแล้วการอดอาหารเป็นเวลาหลายปีและหยุดพักในระหว่างนั้น ฉันคิดว่าขั้นตอนนั้นเกิดขึ้นอย่างราบรื่นโดยที่ฉันไม่ได้สังเกต การทำความสะอาดทั้งหมดต้องเกิดขึ้นเหมือนขั้นตอน 21 วัน ในช่วงที่การทำความสะอาดเกิดขึ้นสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า ฉันคิดว่าของฉันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ใช่ในสามสัปดาห์ แต่อาจจะหลายปี และมันเกิดขึ้นอย่างราบรื่นและฉันยินดีกับมันจริงๆ สำหรับผู้ที่อยากจะทำขั้นตอน 21 วันทั้งหมดในครั้งเดียวมันจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เหมือนการถือศีลอด เพื่อให้ตนเองเป็นอิสระจากอคติต่างๆ และอะไรอื่นที่อาจเป็นอุปสรรคต่อร่างกาย ดังนั้นสำหรับผู้ที่อยากจะทำฉันก็ยินดีให้พวกเขาทำ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตด้วยแสง หลังจากนั้น เพราะมันจะทิ้งร่องรอยกับพวกเขา เซลล์ต่างๆ จะจดบันทึกว่ามันเป็นไปได้และสิ่งนี้ทำให้เกิดสภาวะของการเป็นอยู่ที่ดีและจะลบโปรแกรม และความเชื่อทั้งหมดที่จำกัดเรา
พออิสซาเบลมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง กับความสุข จากการมีชีวิตด้วยแสง ไม่มีการกลับไปทานอาหารทางกายอีก
ถ: คุณเคยถูกยั่วยวนให้ทานอาหารอีกในช่วงหลายเดือนนั้นหรือไม่ ตั้งแต่เดือนกันยายน?
อิสซาเบล: ยั่วยวนให้กินอาหาร? ไม่นะ! ตอนที่ฉันรู้สึกถึงความสุข มันมากกว่าความสุข การใช้ชีวิตด้วยแสงนี้นำพาฉัน เติมเต็มฉัน จนถึงจุดที่ฉันไม่สามารถจินตนาการได้เอง และมันอยู่เหนือความสุขของการหล่อเลี้ยงตนเองด้วยอาหารทางโลก สำหรับฉันอาหารทางโลกให้ความสุขสำหรับเวลานั้น แล้วมันก็หยุด และเราต้องกินมันอีก เพื่อค้นหาสิ่งที่เราพูดว่าเป็นรูปแบบความสุขบางอย่าง ขณะที่การหล่อเลี้ยงด้วยแสงนั้นอยู่ตลอดถาวร ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีขีดจำกัด และมันเลี้ยงดูด้วยความรักที่อยู่เหนือที่ฉันจะจินตนาการได้
อิสซาเบลเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนสามารถค้นพบกับความสามารถในการมีชีวิตด้วยปราณได้อีกครั้ง เธอยังส่งเสริมการทานอาหารปลอดเนื้อสัตว์ ที่มีเมตตา ฉันคิดว่ามนุษย์เคยมีชีวิตด้วยแสงมาก่อน ฉันคิดว่านานมาแล้ว เราหล่อเลี้ยงตนเองด้วยพลังชีวิตนี้ เพราะตอนที่ฉันพูดว่ามันชัดเจนมากที่ฉันจะเลี้ยงดูตนเองอย่างนั้น มันเกิดขึ้นราวกับว่าฉันระลึกถึงบางสิ่งได้ และมันเป็นความสุขจริงๆ และการระลึกที่มีความสุขที่ฉันได้เชื่อมต่อด้วย ฉันจึงคิดว่าเราทุกคนมีสิ่งนี้ประทับในตัวเรา ตอนนี้ฉันจะไม่แนะนำให้ทุกคนหล่อเลี้ยงตนเองด้วยแสงนี้ แต่ฉันจะเชิญทุกคนที่ฉันพบให้มีทัศนะใหม่เกี่ยวกับอาหารและคิดถึงสิ่งที่พวกเขาทาน และพิจารณาอาหารและน้ำที่พวกเขาดื่ม และคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับมัน ตอนที่เราหล่อเลี้ยงตนเอง “เรากำลังทานอะไร? อะไรอยู่บนจานข้าวของเรา?” และสิ่งที่สำคัญก็คือความรักที่คนหนึ่งมีให้กับตนเองเกี่ยวกับอาหาร สิ่งที่อยู่บนจานข้าวของเราบ่งบอกถึงความรักที่เรามีให้กับตัวเราเอง ต่อผู้อื่นและธรรมชาติอีกด้วย
ถ: ใช่ค่ะ เพราะเราบริโภคเนื้อสัตว์ สิ่งนี้หมายถึงเราไม่ได้รักตัวเราเองจริงๆ
อิสซาเบลซ : ใช่ค่ะ สำหรับฉัน ความรักตนเองก็คือสิ่งนั้น ตั้งแต่ฉันได้หล่อเลี้ยงตนเองด้วยแสงนั้น ฉันรู้สึกเชื่อมต่อกับทุกสิ่ง และมันเป็นความจริงที่มันเกินกว่าที่จะคิดได้สำหรับฉันที่จะบริโภคเนื้อสัตว์ สัตว์เป็นส่วนหนึ่งของเรา และพวกเขาสำคัญเท่ากับมนุษย์ และฉันรู้สึกเคารพธรรมชาติจริงๆ ซึ่งสัตว์ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น มนุษย์ชาติกำลังจะผ่านประสบการณ์นี้ และฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะตระหนักรู้ และตื่นสู่บางสิ่งซึ่งกลมเกลียวมากกว่า มีความรักมากกว่า และหยุดการฆ่าสัตว์ เพราะฉันคิดว่าการฆ่าสัตว์ก็เป็นการฆ่าส่วนหนึ่งของตัวเราเองเพราะ เราทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะยิ่งคนเป็นมังสวิรัติมากเท่าใด อย่างน้อย และยิ่งผู้คนตระหนักรู้มากเท่าใด ฉันยิ่งมีความหวังว่า เราจะทำให้มันเป็นความรักต่อทุกสรรพสิ่ง
คล้ายกับผู้กินอากาศท่านอื่นๆ การค้นพบใหม่ในความสามารถของเธอที่จะหล่อเลี้ยงตนเองด้วยพลังจักรวาลนี้ก็คือเพื่อเชื่อมต่อกับความรักสากลที่ครอบคลุม
อิสซาเบลซ : ตอนที่ฉันเริ่มตระหนักถึงพลังงานนั้นและพลังงานนั้นก็คือพลังของชีวิตและมันไหลผ่านเราทุกคน และฉันค้นพบบางสิ่งซึ่งวิเศษที่ทำให้มันชัดเจนสำหรับฉันที่จะหล่อเลี้ยงตนเองด้วยมัน เพราะฉันเชื่อในมันอย่างแท้จริง และฉันคิดว่ามันไร้ที่ติ มันทรงพลังมาก ไม่มีขีดจำกัด และมีความรักมากมาย – การใช้ชีวิตด้วยสิ่งนี้ คำพูดไม่สามารถบรรยายสิ่งที่ฉันรู้สึกได้ ฉันพูดได้ว่าพลังงานชนิดนี้คือสิ่งที่มันเป็น – มันเป็นตัวแทนทุกสิ่งในชีวิต ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นด้วยพลังงานชีวิตนี้ และขึ้นอยู่กับใคร หรืออะไรที่มันสั่นสะเทือนอยู่ข้างใน มันแปลงเป็นสสารในรูปของวัตถุ สัตว์ มนุษย์ สี พืชผัก ธรรมชาติ ฉันคิดว่านี่เป็นเพราะการสั่นสะเทือนนี้ แต่ฉันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ฉันแค่พยายามอธิบายมันอย่างดีที่สุดที่ฉันจะทำได้ เพราะคำพูดไม่สามารถอธิบายสิ่งนี้ได้จริง แต่ฉันจะพูดว่าฉันโชคดีที่ได้ทราบสิ่งนี้ ในชาตินี้
www.SupremeMasterTV.com/BMD
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
4 ตุลาคม 2556 22:32 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน อนุตราจารย์ชิงไห่
ซีหู ฟอร์โมซา
10 มิถุนายน 1990 (เดิมเป็นภาษาจีน)
ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกเป็นพวกที่เชื่อในพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ ประเภทที่สองเป็นพวกที่ทำงานเพื่อพระเจ้า ประเภทที่สาม หรือประเภทที่สูงที่สุด เป็นพวกที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พวกที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้าเองนั้น จะเป็นไปโดยตนเองและไม่คาดหวัง ท่านผู้นั้นจะปรากฎเกิดมาจากความจริงใจ มิใช่ความโลภ “ความจริงใจ” นี้ต่างจากความคาดหวังในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจารย์เองก็ไม่ทราบว่าจะแยกความแตกต่างให้เธอเห็นได้อย่างไร มันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติและยากที่จะอธิบาย บางครั้งเราอาจสับสนระหว่างความคาดหวังกับความจริงใจ แต่แท้จริงแล้วมันแตกต่างกัน
บุคคลประเภทแรกชอบที่จะบูชาพระเจ้าและเชื่อฟังพระเจ้า เขาจะพอใจมาก เป็นสุขมากเมื่อคิดว่ามีพระเจ้าที่เขาเทิดทูนบูชา และสวดมนต์ภาวนาถึงพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งกว่าเขาและทรงปกปักรักษาเขา เขาจะไม่ขอสิ่งอื่นใดนอกจากนี้
บุคคลประเภทที่สองจะสำนึกถึงพระเจ้าและชอบทำงานเพื่อพระองค์ ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็จะทำเพื่อพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเขาก็กลายมาติดใจงานมากกว่าพระเจ้า เขาก็จะเริ่มพบว่าตนเองมีงานที่จะต้องทำมากขึ้นๆ จนกระทั่งลืมนึกถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดคือพระเจ้า คนประเภทนี้จะมีคุณงามความดีมาก เขาจะทำสิ่งดีๆมากมาย เช่นช่วยเหลือปลดปล่อยสรรพสัตว์ บรรยายธรรม สร้างวัดวาอาราม และบวชพระ เป็นต้น แต่หลังจากปฏิบัติเช่นนี้เป็นเวลานาน ผู้คนก็เริ่มยกย่องเชิดชูเขา บูชาเขา ผู้คนจะคิดว่าเขาเป็นผู้มีบุญ แล้วก็สรรเสริญเขาไปเรื่อยๆ ยิ่งสรรเสริญมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหลงระเริงกับการทำงานมากขึ้น เขาก็เลยค่อยๆ ยึดติดกับการทำสิ่งดีๆ แบบนั้น แล้วก็ไม่สามารถเป็นหนึ่งกับพระเจ้าได้เลย บุคคลสองประเภทที่ว่านี้ไม่อาจบรรลุถึงระดับชั้นที่สูงได้ พวกเขายึดติดกับการบูชาพระเจ้า และอีกพวกหนึ่งยึดติดกับการทำงานให้พระเจ้าพอพระทัย
บุคคลประเภทที่สามอาจบูชาพระเจ้าและทำสิ่งดีเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยด้วย แต่เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องรอง เขาประงค์ที่จะสำนึกรู้ว่า “พระเจ้าคือใคร!” เขาจะไม่ต้องการเพียงบูชาพระเจ้าหรือทำงานเอาใจพระเจ้าเท่านั้น เขาอยากรู้ว่าพระเจ้าคือใคร เขาต้องการ “จับ” พระองค์ไว้ บุคคลประเภทนี้ในที่สุดจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า น้อยคนนักจะบรรลุระดับนี้ได้
Be Veg, Go Green 2 Save the Planet