10 พฤษภาคม 2558 23:10 น.

ออร่า

คีตากะ

667882qt3nk3af05.gif
           ออร่า แตกต่างจากแสง ออร่ามีสีต่างๆ กัน : บางครั้งสีดำ บางครั้งสีกาแฟ และบางครั้งสีเหลืองหรือแดง มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้น แต่เมื่อคุณเห็นคนที่มีออร่าทางจิตวิญญาณที่แรงกล้า คุณจะรู้ว่ามันแตกต่างกัน 
                                                     กล่าวโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ สหประชาชาติ นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
                                                      26 มิถุนายน 2535 (1992) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ดีวีดี #260
        ผู้คนที่รู้แจ้งจะมีแสงที่ยิ่งใหญ่รอบตัวเขา นั่นแตกต่างจากออร่า ทุกคนมีออร่า แต่แสงที่ยิ่งใหญ่ของคนที่รู้แจ้งนั้นแตกต่างกัน มันใหญ่กว่า ชัดกว่า และเจิดจรัส
                                                     กล่าวโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ มิวนิก เยอรมนี 
                                                    1 พฤษภาคม 2536 (1993) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป # 366
         แสงรอบพระพุทธเจ้าและพระเยซูนั้นถูกเรียกว่า รัศมีทรงกลด ซึ่งเป็นสนามแม่เหล็กของผู้รู้แจ้ง ยิ่งบุคคลนั้นรู้แจ้งมากเท่าไร แสงนี้รอบตัวเขาหรือเธอก็จะยิ่งสว่างไสว แต่เพียงเมื่อคุณเปิดตาปัญญาแล้วเท่านั้น คุณจึงจะสามารถเห็นว่าคนๆ หนึ่งมีแสงหรือไม่ คนที่มองเห็นแสงภายในได้เป็นคนที่มีแสงภายนอกเช่นกัน คนที่มองไม่เห็นแสงภายในนั้นมีแสงที่ริบหรี่มากหรือมืดมาก หรือมีแสงภายนอกน้อยมาก เราเรียกสิ่งนี้ว่าออร่า ออร่าของคนที่รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์นั้นเจิดจ้ามากๆ ศิษย์ที่สามารถมองเห็นแสงนี้ เพราะเขาหรือเธอรู้แจ้งแล้ว เป็นศิษย์ที่ตาปัญญาถูกเปิดแล้ว และเขาหรือเธอสามารถมองเห็นว่าพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูมีแสง ดังนั้นพวกเขาจึงวาดภาพเหมือนกับที่พวกเขามองเห็น... บางคนมีพลังจิตอยู่บ้างเช่นกัน พวกเขาไม่ได้บำเพ็ญวิถีกวนอิมด้วยซ้ำ แต่พวกเขามีตาปัญญาที่เปิดออกเล็กน้อย พวกเขาสามารถมองเห็นว่าใครมีแสงวิเศษเช่นกัน ใครมีแสงสีทอง และใครมีแสงสีกาแฟเข้ม แต่ความรู้ที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง คุณคือครู คุณคือพุทธะ และฉันต้องการแสดงให้คุณเห็นถึงปัญญาอันยิ่งใหญ่ของคุณ
                                                    กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ โคลัมโบ ศรีลังกา 
                                                   29 เมษายน 2543 (2000) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#687
     ถ: ท่านสามารถเห็นและวิเคราะห์ออร่าของผู้คนรอบๆ ท่านได้หรือไม่?
     อ: ฉันไม่สนใจ ฉันสนใจเพียงจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งสว่างไสวเสมอ เจิดจ้าเสมอ ชั่วนิรันดร์และมีอยู่ทุกหนแห่งเสมอ
                                                     กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา
                                                   28 มีนาคม 2536 (1993) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#343
         แน่นอนว่าผู้คนที่บำเพ็ญทางจิตวิญญาณสามารถมองเห็นออร่าของคนอื่น แต่นั่นเป็นเพียงออร่าของโลกทิพย์ ตัวตนที่มีวิวัฒนาการระดับสูงจะแค่มองจิตวิญญาณของคนๆนั้น ซึ่งมีหรือไม่มีออร่า จิตวิญญาณนั้นสมบูรณ์แบบเสมอ สว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์เป็นล้านๆ ดวงมารวมกัน บางครั้งมันแค่ถูกปกคลุมไว้
                                                     กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ เอเธนส์ กรีซ
                                                    20 พฤษภาคม 2541 (1999) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#653
         การรักษาโรคโดยการใช้พลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่เป็นธรรมชาติ มันไปยุ่งกับออร่าของผู้คน กับจักระของผู้คน กับจิตวิญญาณและสนามแม่เหล็กของผู้คน มันยากที่จะแก้ไขในภายหลัง มันยังเป็นการวุ่นวายกับจิตและธรรมชาติของผู้คนด้วย
                                                     กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา
                                                   24 กุมภาพันธ์ 2534 (1991)  (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#155
                                                  
          อันที่จริง อะไรก็ตามที่เราได้ทำไปแล้วหรือที่เราทำ แม้ว่าไม่มีใครรู้ แม้ว่าไม่มีใครเคยเห็นว่าเราทำสิ่งเหล่านี้มาก่อนหรือไม่เคยพบเราด้วยซ้ำ พวกเขาจะยังคงตรวจพบบางอย่างจากออร่าของเรา จากสนามพลังงานของเรา สนามแม่เหล็กของเรา และก็ตอบสนองตามนั้น นั่นคือเหตุที่เราจะต้องระวังตลอดเวลาที่จะรักษาตัวเราให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์และสะอาดอย่างไม่มีที่ติ และพยายามรักษามันอย่างมีสติเช่นนี้อยู่เสมอ มิฉะนั้นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่สามารถโทษใครอื่นได้
                                                   กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา
                                                 19 กุมภาพันธ์ 2539 (1996) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วิดีโอเทป # 527
            มีอีกประเด็นเกี่ยวกับว่า ทำไมเราต้องรักษาตัวเราเองให้สูงส่งและบริสุทธิ์ เพราะผู้คนสามารถมองเห็นเรา --- ผู้ที่มองเห็น นักปราชญ์ และความบริสุทธิ์ในหัวใจ --- สามารถมองเห็นออร่าของเรา ถ้าเราทำบางอย่างถูกต้อง ถ้าเราตระหนักถึงพระเจ้า เรารักพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ออร่าของเราจะเป็นสีทอง โชติช่วง ถ้าเราทำบางอย่างผิดพลาด - ถ้าเราทำร้ายผู้อื่นทางอารมณ์ ทางกาย ทางจิตใจ หรือทางจิตวิญญาณ -- ออร่าของเราจะมืด ผู้คนสามารถมองเห็นเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถหลอกลวงได้ นั่นคือเหตุที่เราจะต้องรักษาตัวเราเองให้งดงาม
                                                    กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ปูเน่ อินเดีย
                                           23 พฤศจิกายน 2540 (1997) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ธรรมสาร ฉบับ 91,ดีวีดี #600
                                                      
15 มีนาคม 2558 01:21 น.

แม้แต่อาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ก็เคารพกฎของโลกนี้

คีตากะ

1414276gsynml8eug.gif
กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ แซนโฮเซ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 16 กรกฏาคม 2537 (1994)
(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป #438
          คุณถามฉันเสมอ : ทำไมฉันไม่ทำทำแค่ตีปีศาจ และเตะพวกเขาออกไป แล้วทำให้ทั้งโลกเป็นอิสระ หรือทำให้ลูกศิษย์เป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้กรรมของพวกเขาทั้งหมดหายไปเหมือนกับข้าวราดแกง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้น ทำไมยังมีกรรมเหลือค้างสำหรับชาตินี้ ซึ่งบางครั้งลูกศิษย์มีประสบการณ์ที่ทุกข์ทรมานและเจ็บป่วยด้วย แต่มันก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว เพราะนั่นคือคุณกำลังทำความสะอาดบ้านของคุณทุกๆวันด้วยการทำสมาธิและ "ไม้กวาด" มังสวิรัติ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ผู้คนทำความสะอาดบ้านกันด้วยไม้กวาดด้ามยาว มันทำมาจากต้นไม้ หรือเมื่อคุณกินกะหล่ำปลีหรืออะไรทำนองนั้น คุณจะได้รับเส้นใยมากมายซึ่งเป็นการทำความสะอาดระบบร่างกายของคุณด้วย นั่นทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นในแต่ละวัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคุณยังคงดูอ่อนเยาว์มากกว่าก่อนการประทับจิตไม่ต้องการร้านเสริมสวยถูกไหม ไม่ ไม่ต้องการเลยจริงๆ
          ดังนั้นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ไม่สามารถลบล้างกรรมของลูกศิษย์ได้อย่างสมบูรณ์หรือกรรมร่วมของโลก หรือแทรกแซงสถานการณ์ที่ไม่น่าชื่นชอบชนิดใดๆ ก็เป็นเพราะทั้งคู่ต้องเคารพกฎของโลกนี้ มันก็เหมือนกับสนามฟุตบอลที่ผู้เล่นต้องเคารพกฎเดียวกัน เราสามารถพูดคุยกันได้ แต่ไม่สามารถทำลายพวกเขาเพียงเพราะมีบางคนอยู่ภายในกลุ่มของเรา เมื่อเขาเตะคนอื่นที่เขาไม่ควรเตะ เราไม่สามารถทำอะไรได้ เขาต้องถูกไล่ออกไป ไม่ได้หมายความว่าเพียงเพราะเขาเป็นเพื่อนของเรา เราจะสามารถปกป้องเขาได้ เช่นเดียวกันเมื่อกลุ่มตรงข้ามเป็นฝ่ายชนะหรือทำบางสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ไม่สามารถเตะพวกเขาหรือทำลายพวกเขาได้แค่เพียงเพราะพวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้าม
          คล้ายกันกับโลกใบนี้ที่มีสองฝ่ายกำลังเล่นเกมกัน หนึ่งคือบวก - ด้านพวกเรา - และอีกอันคือลบ หรือที่เรียกว่าด้านศัตรู มันสร้างปัญหาให้กับพวกเราเสมอ สร้างอุปสรรคและทุกๆสิ่ง แต่พวกเราเป็นหนี้พวกเขาในบางสิ่งบางอย่างมาก่อน พวกเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ พวกเรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันกับพวกเขาในช่วงชีวิตมากมาย ดังนั้นในตอนนี้เราไม่สามารถลืมสิ่งที่เราเคยทำต่อพวกเขา หรือบางสิ่งที่เพื่อนๆของเราได้กระทำต่อพวกเขาในอดีต แล้วเราจะทำเพียงแค่ปกป้องเพื่อนของเราโดยจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรม หรือในแบบที่ไม่ยุติธรรม
        ไม่ใช่ว่าเราไม่มีพลัง ไม่ใช่ว่าอาจารย์ทำสิ่งใดไม่ได้ อาจารย์สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลทั้งจักรวาลได้ แต่พวกเราต้องยุติธรรม มิฉะนั้นเราจะไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะเป็นนักบุญหรือเป็นผู้บำเพ็ญอย่างนักบุญ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมบางครั้งคุณจึงเห็นอาจารย์มากมายต้องอดทนมาก เช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ท่านสามารถไปดินแดนพุทธะ(พุทธเกษตร)ใดๆหรือทำสิ่งใดก็ได้ที่ท่านต้องการ ท่านสามารถดูแลกรรมของเหล่าลูกศิษย์ได้ ท่านสามารถทำให้ผู้คนกลายเป็นอรหันต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนกรรมของสถานที่เกิดของท่านเองได้ เมื่อเกิดสงครามความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องเพราะท่านไม่อยากปฏิบัติต่อผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไม่ยุติธรรม นั่นทำให้ท่านต้องเสียชื่อเสียง ผู้คนมากมายรวมถึงลูกศิษย์ในเวลานั้นเสียความศรัทธาในตัวท่านและคิดว่าท่านไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ถึงแม้สมาชิกในตระกูลตัวเองถูกทำร้าย พวกเขากำลังถูกฆ่าฟันซึ่งท่านทำสิ่งใดไม่ได้เลย ท่านเพียงไปที่นั่นและพูดกับพวกเขาเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ท่านกระทำ ท่านพยามยามทำให้พวกเขาเชื่อผลกระทบที่เต็มไปด้วยอันตรายของสงครามและผลแห่งกรรม แต่พวกเขาไม่ฟัง พลังกรรมที่ดึงดูดพวกเขาเข้าด้วยกันกล้าแข็งเกินไป พวกเขายึดติดด้วยกันและตายด้วยกัน
         พระพุทธเจ้าไม่สามารถแทรกแซงได้เพราะท่านเป็นผู้เล่นที่ยุติธรรม เช่นเดียวกับพระเยซูคริสซ์ ท่านมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์มากมายตามตำนาน ดังนั้นท่านต้องกระทำได้หรือสามารถรักษาตัวท่านเองได้ แต่ท่านไม่ทำ ท่านปล่อยให้มันเป็นไป มิลาเรปาแห่งธิเบตท่านหยั่งรู้ว่าท่านกำลังจะตายจากยาพิษ ท่านได้บอกกับผู้หญิงคนที่จะวางยาพิษว่า "เธอจงไปรับเงินค่าจ้างที่วางยาพิษฉันจากคนนั้นก่อน แล้วฉันจะดื่มมันลงไป มิฉะนั้นถ้าฉันดื่มมันแล้วและตาย เขาอาจจะไม่ให้เงินเธอ"
          ดังนั้นพวกท่านหยั่งรู้ล่วงหน้าก่อนที่ท่านจะตาย พระศากยมุนีพุทธเจ้าหยั่งรู้ด้วยว่าท่านกำลังจะตาย ท่านพูดแล้วว่า "ฉันจะเข้าสู่มหาปรินิพพานในอีกสามเดือน" นั่นหมายความว่าจากโลกนี้ไป ซึ่งท่านยังหวังว่าพระอานนท์จะบอกท่าน "โปรดอย่าตาย" แต่บางทีพระอานนท์อาจกำลังคิดมากเกินไป หรือคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เขาอาจหิวคิดถึงจาปาติ ทำให้เขาไม่ได้ยินพระพุทธเจ้าพูดในเวลานั้น พระพุทธเจ้าพูดเป็นนัยๆถึงสามครั้ง แต่พระอานนท์กลับไม่พูดอะไร เขาน่าจะกำลังคิดถึงจาปาติมากกว่า การที่เธอออกไปบิณฑบาตรเพียงวันละครั้งเท่านั้น มันยากที่จะเฝ้ารักษาจิตให้เพ่งศูนย์ห่างจากจาปาติได้ ดังนั้นเขาไม่ได้ขอให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อไปในโลกนี้ หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าผิดหวัง พระองค์พูดว่า "ตกลงสามเดือนต่อจากนี้เราจะไปจากโลกนี้" แต่แล้วพระอานนท์ตื่นจากฝันจาปาติ และเขาร้องไห้ "โอ้ได้โปรดอย่าไป!" แต่มันสายไปแล้ว พระพุทธเจ้าถามถึงสามครั้งแล้วเธอไม่ตอบ นั่นถูกกำหนดแล้ว และพญามาร ราชาแห่งมายาอยู่รอบๆพระพุทธเจ้าเสมอ เมื่อพระอานนท์ไม่ตอบ พญามารจึงพูดว่า "เห็นไหม ไม่มีใครต้องการท่าน! ดังนั้นท่านต้องไป"
           พระพุทธเจ้าพูดว่า "ดีแล้ว" ท่านรู้แล้ว แต่ท่านยังคงทำ ท่านสามารถรอเวลาอื่นเมื่อพระอานนท์กินอิ่มเต็มที่และทำสมาธิดี มีจิตใจที่แจ่มชัดแล้วค่อยถามคำถามนี้ ซึ่งพระอานนท์ควรจะรู้ว่าจะพูดอะไร "โอ้ได้โปรดอาจารย์ อย่าไป!" แต่ท่านเลือกพูดผิดเวลา บางทีท่านควรจะไปไม่ว่ากรณีใดก็ตาม แค่เหมือนกับมิลาเรปาหรือเหมือนกับพระเยซูคริสซ์ ท่านรู้ก่อนที่ท่านจะไป ท่านพูดว่า "นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะเห็นฉัน หลังจากพรุ่งนี้ หรืออีกเดี๋ยวเดียวเธอจะไม่เห็นฉันอีกต่อไป " ท่านรู้สิ่งนั้น ท่านยังบอกลูกศิษย์ว่าคนที่จุ่มขนมปังในซอสนั้นแบบนั้นแบบนี้ เป็นคนที่ขายท่านอาจจะเพื่อเงินสองร้อยดอลลาร์
            ดังนั้นคนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เหล่านี้ของโลก พวกท่านรู้ทุกสิ่ง พวกท่านรู้ถึงสิ่งที่ท่านสามารถกระทำ แต่บางครั้งพวกท่านเล่นไปตามที่มันเป็น เพราะโลกนี้กำเนิดขึ้นมาจนมีสิ่งมีชีวิตแล้ว พวกท่านไม่สามารถทำลายมันได้ เนื่องจากมีผู้คนมากมายอยากจะอาศัยอยู่ ประชากรโลกทั้งหมดยึดติดกับโลกนี้และไม่อยากปล่อยไป ดังนั้นแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ทำลายมัน พระเจ้าจะไม่ทำลายมัน ถ้าหากกรรมไม่หนักจนเกินไป ถ้าหากมันยังคงสมดุลย์ แล้วโลกนี้ยังคงดำรงอยู่ แต่ถ้าโลกยังอยู่ก็ย่อมมีการให้และรับกรรมซึ่งมันจะไม่เคยจบ วันนี้พวกเขาฆ่าเขา แล้ววันอื่นลูกๆของเขาจะฆ่าพวกเขา และลูกๆของพวกเขาจะฆ่าลูกๆของเขาและอื่นๆ จนกระทั่งผู้คนกลุ่มนี้จะตื่นขึ้นด้วยตัวเองแล้วตระหนักถึงความเปล่าประโยชน์ของวงจรชั่วร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้นชั่วนิจนิรันดร์ แล้วพวกเขาหยุดแก้แค้นและอยู่นิ่งๆ ทุกๆสิ่งก็จะให้ผลแตกต่างออกไป
              ผู้คนบนโลกนี้เอาแต่เล่นและเล่นตลอดเวลาไม่เคยหยุด พระพุทธเจ้าจึงต้องมาที่นี่ ท่านต้องเคารพกฎกติกาการเล่นของที่นี่ด้วย มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็จะไม่สามารถมาในสถานที่แห่งนี้ได้ตั้งแต่แรก ยกตัวอย่าง ถ้ามีประธานาธิบดีคนใดอยากจะเข้าร่วมทีมฟุตบอล ถึงเขาจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและได้รับการเคารพทั่วทั้งโลก เขาจะสามารถเข้าร่วมได้โดยปราศจากการผ่านกฎใดๆ ของทีมฟุตบอลไหม คำตอบคือไม่! ผู้ร่วมทีมจะปฏิเสธเขา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นประธานาธิบดีแล้วจะสามารถไปที่สนามฟุตบอลแล้วเตะบอลไปรอบๆได้เลย
               เช่นเดียวกับโลกนี้ ที่เป็นเหมือนสนามเล่นเกมของสรรพสัตว์ ระดับจิตสำนึกแบบนี้ โลกนี้จึงเป็นสนามเล่นของผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกเช่นมนุษย์ สัตว์ ภูตผีและปีศาจ คนเหล่านี้อยู่รอบๆโลกที่มองไม่เห็น ดังนั้นแม้ว่าพระเจ้าอยากจะมาที่นี่และชวนลูกๆของพระองค์บางคนมาที่บ้านหรือลองหาคนเหล่านั้นที่อยากจะมาบ้านกับพระองค์ พระองค์ก็ต้องเคารพกฎของที่นี่
                ยกตัวอย่างเช่น หากประธานาธิบดีเกิดชอบผู้เล่นฟุตบอลบางคน บางทีเขาอยากเป็นเพื่อนกับดาราฟุตบอล ทางเดียวที่จะไปที่สนามและเป็นเพื่อนกับคนๆนั้นก็คือการเป็นผู้เล่นเสียเองด้วย อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเพียงครั้งคราวหรืออย่างเสแสร้ง ดังนั้นเขาต้องเรียนรู้กฎและเคารพพวกเขา แล้วสุดท้ายหรืออย่างช้าๆ ทีละน้อยเขาสามารถเป็นเพื่อนกับดาราฟุตบอล แล้วเขาจึงสามารถพูดคุยกับเขา ช่วยเขา หรือรักเขาได้ ให้ความสนใจต่อเขาหรือให้ความรักแก่เขาได้ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ เพราะเขาเป็นประธานาธิบดี แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของสนามฟุตบอลทั้งหมด เขาก็จะไม่สามารถเข้ามาข้างในสนามได้ เพราะแม้แต่เจ้าของสนามก็ไม่สามารถมาข้างในได้ หรือแม้แต่คนที่รวยที่สุดในโลกก็ไม่สามารถเข้ามาในสนามฟุตบอลเพื่อเล่นและวนไปเวียนมาได้...
16 มิถุนายน 2558 20:28 น.

ปฏิรูปสังคม

คีตากะ

ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า...
                   คำกล่าวที่ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" ด้วยการปฏิสัมพันธ์กันของคนในสังคม จึงมีการถ่ายทอดความเชื่อ ค่านิยมต่างๆ ทางความคิด ทางถ้อยคำ ทางการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ กัน ตามแต่จารีต วัฒนธรรม การศึกษา หรือพื้นเพปูมหลังของคนเหล่านั้น ได้ก่อให้เกิดค่านิยม ทัศนคติ แนวความคิดหรือมุมมองต่างๆ ในรูปแบบองค์รวม จนถูกหล่อหลอมให้เกิดเป็น "สังคม" โดยรวมที่มีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละมุมโลก
          ไม่น่าแปลกที่คนในสังคมเดียวกันจะมีแนวความคิดในมุมมองต่างๆ ที่ใกล้เคียงกันและแตกต่างจากสังคมอื่นๆ แม้ระบบโซเชี่ยลจะมีอิทธิพลสูงมากขึ้นในปัจจุบันที่ดูเหมือนจะหล่อหลอมให้ไปสู่สิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสังคมเดียว ในทางตรงกันข้ามกลับมีผลกระทบยิ่งทำให้สังคมเพิ่มความขัดแย้งกันมากขึ้นไปอีก เมื่อพบว่าความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ ต่างๆ เหล่านี้ของสังคมหนึ่ง แตกต่างไปกับอีกสังคมหนึ่ง นั่นเกิดจากสาเหตุใด? แน่นอนถ้าพิจารณาระดับปัจเจกชน แล้วพบว่าปัจเจกชนเป็นพวกที่ไม่รู้หรือรู้ผิดเกี่ยวกับความจริงแท้แห่งเป้าหมายที่คนในสังคมคาดหวังจะให้เป็นไป จริงๆแล้วคนในสังคมต้องการสิ่งใดกันแน่? ความอยู่ดีกินดี ความสุข หรือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน? ปัจเจกชนเหล่านี้ก็ย่อมจะสร้างสถาบันครอบครัวจนถึงสังคม ประเทศชาติในแบบเดียวกัน นั่นคือสังคมแห่งอวิชชา สังคมแห่งความมืดบอด
          สิ่งที่ปรากฏให้เห็นสะท้อนในสังคมมาจากหน่อยย่อยเหล่านี้ หากรากฐานของตึกไม่แข็งแรง ทั้งตัวตึกก็ตกอยู่ในอันตราย พร้อมจะเสื่อสลายลงได้ในทุกเวลานาที ผู้รู้กล่าวว่าปัญญานั้นมีอยู่แล้วเต็มเปี่ยมในแต่ละปัจเจกชน แม้เขาเหล่านั้นจะไม่เคยผ่านระบบการศึกษาใดๆ เลยจากสังคม การตระหนักรู้ในตนเองจะทำให้เขาได้รับปัญญากลับคืนมา และเข้าใจจุดมุ่งหมายของการได้ถือกำเนิดเกิดมาอีกครั้ง สังคมก็มีจุดมุ่งหมายดุจเดียวกัน สังคมแห่งปัญญาจึงเป็นสังคมแห่งความสุขโดยแท้ เนื่องเพราะปัญหาทั้งหลายเกิดจากการด้อยซึ่งปัญญา และความทุกข์ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน
         การตลาดในยุคปัจจุบันมุ่งเน้นให้มองหาความต้องการของคนในสังคมและพยายามตอบสนองต่อความต้องการนั้น มากกว่าจะรับผิดชอบความเสื่อมทรามของสังคมที่ตามมา การผลิตสินค้าและบริการจึงมีทิศทางไปสู่ทางนั้น นั่นคือตอบสนองความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของคนในสังคม จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า "มุ่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า"หรือไม่ก็ "ลูกค้าคือพระเจ้า" การแข่งขันกันแบบรุนแรงดุเดือดทางธุรกิจจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือใครจะเป็นผู้มารับผิดชอบความเสื่อมทรามของสังคม? เมื่อผู้ชนะได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้สำเร็จ ส่วนผู้พ่ายแพ้พบแต่ความทุกข์ ในเมื่อการผลิตและบริการยังคงพยายามตอบสนองความต้องการของปัจเจกชนที่ขาดปัญญา ผลที่ตามมาก็คือความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความยากจน ภาระหนี้สิน อาชญากรรม ยาเสพติด คอรัปชั่น และความไม่ยุติธรรมต่างๆ มากมายในสังคม แล้วท้ายที่สุดสังคมจะมีสภาพเป็นเช่นใด?
        การตลาดที่แท้จริงจึงควรมุ่งไปในเรื่องความเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ มากกว่าเปลือกภายนอก หรือทำเพียงแสวงหาผลกำไรเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นเท่านั้น โดยหลงลืมเป้าหมายสูงสุดของการสร้างสังคนตลอดจนสร้างโลกใบนี้ เมื่อทุกคนเอาแต่กอบโกยก็ย่อมไม่มีใครจะแบ่งปัน รัฐจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการรักษาสมดุจ และเข้าใจถึงเป้าหมายของการสร้างสังคมอย่างแท้จริง...
          
9 มกราคม 2558 23:51 น.

การบำเพ็ญทางจิตวิญญาณฟื้นฟูปัญญาอันสมบูรณ์ของจิตวิญญาณ

คีตากะ

646701lg2mi8omg1.gif
กล่าวโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ลิสบอน โปรตุเกส
7 พฤษภาคม 2542 (1999)(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ดีวีดี#645
     ไม่ใช่ว่าหลังจากทำสมาธิแล้ว ร้อยทั้งร้อยเราจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการเสมอไป เพราะมันไม่ใช่แบบนั้น ประเด็นก็คือไม่ว่าเราจะได้สิ่งที่เราต้องการหรือไม่ แต่เราก็ยังคงมีความสุข แล้วเราก็จะพบหนทางที่จะให้ได้
บางสิ่งบางอย่างมาแทน แทนที่จะยืนกระทืบเท้าอยู่ตรงนั้นและรู้สึกเป็นทุกข์เกี่ยวกับสิ่งที่เราสูญเสียไป
 หรือสิ่งที่เราไม่สามารถได้มา เราจะกลายเป็นคนที่ฉลาดขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น และแล้วเราก็จะลองวิธีต่างๆ มากมาย
เพื่อให้ได้สิ่งอื่น และก็เพลิดเพลินกับกระบวนการนั้น นั่นคือสิ่งที่ดีเกี่ยวกับการทำสมาธิ เราจะมีความสุขเกือบตลอดเวลา
       
      ฉันแค่ไม่อยากให้คุณมีภาพลวงตาที่ว่า เมื่อคุณทำสมาธิแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาหาคุณ แต่บางครั้งสิ่งต่างๆก็ไม่ได้ดีมาก ซึ่งพวกมันจะไม่มา และบางครั้งพระเจ้ามอบสถานการณ์ที่ไม่ปกตินักให้กับคุณ และถ้าเราไม่ทำสมาธิ 
เราก็จะไม่เข้าใจสถานการณ์นั้น เราจะเริ่มรู้สึกเป็นทุกข์ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ ดังนั้นมันไม่ใช่ว่า ถ้าเราทำสมาธิทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นเสมอ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป แต่เราจะสามารถหัวเราะกับเหตุการณ์นั้นได้แทนที่จะร้องไห้เกี่ยวกับมันมีบางอย่างที่เราสามารถทำได้เสมอถ้าเราเผชิญกับอุปสรรคเมื่อเรามีปัญญาที่เก็บสำรองไว้อยู่ภายในหลังจากที่เราได้รับมันมาผ่านการรู้แจ้ง
      นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่บูชานักบุญ ผู้ที่สละแล้ว นักบวช และพระ และอื่นๆ ผู้คนบูชาคนเหล่านั้นผู้ซึ่งเป็นพระหรือนักบวชจริงๆ ผู้ซึ่งได้รับการรู้แจ้งภายในจริงๆ เนื่องจากความสุข ความพอใจ และความเชื่อถือได้อันคงเส้นคงวาของพวกเขา และผู้คนจำนวนมากติดตามพวกเขา แม้ว่าบางครั้งคนเหล่านั้นไม่ได้เสาะหาชื่อเสียงหรือโชคลาภหรือผู้ติดตามเลย แต่ผู้คนก็ชอบที่จะมาและผูกมิตรกับพวกเขา กับคนที่เป็นนักบุญเหล่านี้และส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านั้นที่บำเพ็ญทางจิตวิญญาณมักจะโชคดีเสมอ
      กล่าวโดยทั่วไป นักเรียนของอาจารย์ต่างๆเพลิดเพลินกับความสุข โชค และการทำให้ความปรารถนาใดๆที่พวกเขาเคยมีในชีวิตให้สำเร็จ เป็นอย่างนั้นทางกาย ทางจิตใจหรืออารมณ์ และแน่นอนทางจิตวิญญาณด้วย และในวันที่พวกเขาจากร่างกายเนื้อไป พวกเขาก็ตรงไปยังสวรรค์ ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้น ดังนั้นเพื่อที่จะให้มีความสุขแม้
แต่ในชีวิตทางกายภาพนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงสวรรค์ เพื่อที่จะให้มีความสุขที่นี่ ให้ใช้ชีวิตอย่างน่าพอใจที่นี่ และให้เป็นคนที่ฉลาดมากขึ้นที่นี่ เราจึงควรจะทำสมาธิ ฉันหวังว่าฉันไม่ได้ทำให้คุณขุ่นเคือง เราอาจจะฉลาดมากอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ใช้พลังสมองของเราเพียงพอ เราใช้เพียงแค่ 5% หรือ 10% เท่านั้น และเราก็ฉลาดมากแล้ว! เราประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มากมายนัก ดังนั้นสมมุติว่าคุณทำสมาธิและใช้พลังสมองของคุณมากขึ้น แน่นอนว่าคุณจะฉลาดยิ่งขึ้น
       คนทั่วไปใช้พลังสมองของเขาหรือเธอเพียงไม่เกิน 10% เท่านั้น นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่พวกเรารู้กันทุกคน ซึ่งมันเป็นข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเราเอา 80% หรือ 90% ไปวางไว้ที่ไหน? มันสูญเปล่า นั่นคือเหตุที่เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ เราไม่รู้สึกสมบูรณ์ เรารู้สึกท้อแท้ผิดหวังและเรารู้สึกอ่อนแอ เพราะเราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพลังอันสมบูรณ์ของเรา ดั้งนั้นการทำสมาธิ เราสามารถพูดถึงมันอีกแบบหนึ่ง คือ เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากพลังอันสมบูรณ์ได้ นั่นคือวัตถุประสงค์ของการทำสมาธิ นั่นก็คือความหมายชองการทำสมาธิ ก็คือเพื่อใช้พลังอำนาจอันสมบูรณ์ของเรา
ให้ได้เพื่อว่าเราจะได้กลายเป็นผู้มีความสามารถรอบด้านเหมือนกับพระเจ้า หรืออย่างน้อยที่สุดก็เหมือนกับลูกๆ ของพระเจ้า มิฉะนั้นเราจะไม่มีพลังเพียงพอที่จะดูแลปัญหาเล็กๆหรือเรื่องเล็กๆ ในบางครั้ง และเราก็จะทำเรื่องต่างๆ ได้ไม่สมบูรณ์พอใจเรา เพราะเราขาดพลังหรือขาดปัญญา ดังนั้นการรู้จักพระเจ้าก็คือการรู้จักตัวเราเองโดยบริบูรณ์ และเมื่อเรารู้จักตัวเราเองโดยบริบูรณ์แล้ว เราก็จะรู้จักพระเจ้า ดังนั้นเพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราจึงเป็นเหมือนพระองค์ในแบบที่พระองค์สร้างเรามา เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นดั่งภาพเหมือนของพระองค์เอง...
www.suprememastertv.com
31 สิงหาคม 2557 00:48 น.

ศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง

คีตากะ

images?q=tbn:ANd9GcRaXCtbLNQ4i0GP0vSqb8r
ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
21 กุมภาพันธ์ 1993 (เดิมเป็นภาษาจีน)
        ถึงแม้ว่าการรู้แจ้งของเรานั้นยังมีขีดจำกัด การนำมาใช้ก็ยังดีกว่าที่จะรอเต๋า สัจธรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นขอให้นำมาใช้ในอะไรก็ตามที่เธอเข้าใจ อย่ารีบเร่งที่จะทำเรื่องปาฏิหาริย์ ที่จะดูเรื่องปาฏิหาริย์และเข้าใจโลกปาฏิหาริย์ ให้ทำเป็นขั้นตอน ไม่ต้องรีบเร่ง ตอนเป็นเด็กเมื่อเธอเรียน เอ บี ซี เธอก็เพียงแต่เรียนรู้มันให้ดี แล้วครูก็สอนประโยคให้กับเธอ  แล้วเธอก็เข้าใจประโยคเหล่านี้ไม่ใช่รึ ตอนนี้เธอก็รู้ว่าจะเรียนและอ่านอย่างไร เพราะฉะนั้นขอให้ใช้เวลา จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอเพียงแต่อยู่ในชั้นอนุบาล แล้วเธอจะสามารถอ่าน "สามก๊ก" แล้วเธอก็โทษคุณครูของเธอที่ไม่ยอมให้อ่านมัน เธอจะไปคาดหวังไม่ได้หรอกที่จะอ่านหนังสือหรือพระสูตรเมื่อเธอไปโรงเรียนเป็นครั้งแรกหรือหลังจากที่ไปโรงเรียนแค่ 2-3 วัน เธอจะมีความคาดหวังและโทษคุณครูไม่ได้หรอก ในเมื่อเธอไม่ได้เรียนสักนิดในสิ่งที่เธอได้รับการสอนมา
มีหนังอยู่เรื่องหนึ่ง เธออาจจะได้ดูมันมาแล้วชื่อว่า "คาราเต้ คิด" เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายอเมริกาที่ได้เรียนคาราเต้ หลังจากที่เขาได้ถูกทุบตีเขาถึงได้ไปหาชายชรา ชายผู้นั้นได้รับเขาไว้เนื่องจากเด็กชายคนนี้ได้เคยถูกทุบตีหลายครั้งหลายหน
โดยกลุ่มคาราเต้กลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามก่อนที่จะสอนเด็กชายคนนี้ เขาได้ให้เด็กชายคนนี้สัญญาว่าเขาจะเชื่อฟังไม่ว่าเขาจะพูดอะไร จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะสอนให้ทำอะไร และจะเรียนรู้ให้ดี เด็กชายให้สัญญา เด็กชายถูกให้ทำอะไร? ล้างและขัดรถและพื้น ทำความสะอาดและทาสีกำแพงเป็นเวลาหลายวัน แม้ว่าเขาจะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเขาก็หยุดพักไม่ได้ ในที่สุดเด็กชายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วก็บ่นว่า "ฉันมาเรียนคาราเต้ แต่ท่านไม่ได้สอนอะไรให้ฉันเลย! "
เขาใฝ่กระหายมากที่จะเรียนคาราเต้เพื่อแก้แค้นและปกป้องตัวเขา  จนเขาคิดว่าครูของเขาไม่ได้สอนอะไรเขาเลย มันดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เรียนคาราเต้ เขาบ่นว่าเขาถูกใช้และถูกกระทำเยี่ยงคนงานและทาส เขารู้สึกว่าเขาถูกหลอก และวิจารณ์ครูของเขามากมาย ดังนั้นครูจึงถามเขาว่า "เธอเช็ดรถเป็นอย่างไรบ้าง? " เขาบอกให้เด็กแกล้งทำเป็นเช็ดรถ แล้วเด็กชายนั้นก็ก้มลงและเริ่มต้นเช็ดรถในอากาศ ครูพูดว่า "ไม่ใช่ ยืนเช็ดก็ได้ ให้ทำท่านั้นไปเรื่อยๆ " แล้วครูก็โจมตีเขา  แล้วเด็กชายก็ใช้การเคลื่อนไหวอันนั้นสกัดกั้นเขาไว้ เขาทำมันได้ แล้วครูก็บอกเขาให้ "เช็ดกำแพงด้วยมือทั้งสอง" แล้วครูก็โจมตีเขาอีก เด็กชายสกัดกั้นกำปั้นอีกครั้งขณะที่เขากำลัง "เช็ดกำแพง" ครูโจมตีเขาไปเรื่อยๆ เด็กชายก็สกัดกั้นการโจมตีได้เรื่อยๆ โดยการเคลื่อนไหวแบบเดียวกับที่เขาทำงานประจำวันของเขา สิ่งที่ครูบอกให้เขาทำ ไม่ใช่เป็นงานธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นท่าเคลื่อนไหวของกังฟู ยกตัวอย่าง ถ้าเราเช็ดแบบส่งเดช มันก็จะแตกต่างออกไป การเคลื่อนไหวของเขาเป็นเทคนิค เขาบอกให้เช็ดจากตรงนี้ไปตรงนั้น จากตรงนั้นเช็ดลง แล้วก็ไปทางซ้าย แล้วไปทางขวาแบบนี้ทั้งหมดเป็นท่าเคลื่อนไหวของกังฟู
ปกติเราจะฝึกท่าแบบเดียวกันในสตูดิโอ จะเป็นการดีกว่าที่จะใช้มันตลอดเวลา เขาได้สอนเด็กแค่สองเดือนเท่านั้น แล้วเขาก็มีความแคล่วคล่องในกังฟู ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เทคนิคของเขาในงานเล็กๆน้อยๆ ประจำวันของเขา มิฉะนั้นแล้วเพียงแค่ฝึกวันละสองชั่วโมงครึ่งเป็นเวลาสองเดือน เราจะไปเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้ฝึกมาหลายๆ ปีไม่ได้ -- โดยเฉพาะเมื่อเด็กชายนั้นไม่เคยฝึกกังฟูมาก่อน เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาๆ และภายในสองเดือนเขาก็ได้รับการฝึกฝนและกลายเป็นเด็กที่เก่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา นี่ก็เป็นเพราะครูของเขาบอกให้เขาใช้ท่าการเคลื่อนไหวในงานประจำวันของเขา อย่างเช่น การขัดพื้น ดังนั้นทุกอย่างที่เขาทำจึงกลายเป็นการฝึกกังฟู ด้วยวิธีนี้เขาก็ได้เรียนรู้เทคนิคทุกอย่างเป็นอย่างดีมากในเวลาแค่สองเดือน
ในทำนองเดียวกัน บางครั้งอาจารย์สอนเราบางอย่างและไม่ให้เรารู้ว่าเรากำลังถูกสอน ถ้าหากอาจารย์ประกาศออกมาว่า "ฉันกำลังสอนเธอ" มันก็จะแย่เกินไป ชีวิตของเขาก็คือคำสอนของเขา คำพูดและการกระทำของเขามีไว้เพื่อสอนเรา เขามีคุณสมบัตินี้อย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นถ้าเรารอ คาดหวังให้เวทมนต์หรือสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เราก็จะห่างไกลไปจากเป้าหมายของเรามากยิ่งขึ้น เราจะมองไปข้างหน้าไกลเกินไป ดังนั้นฉันจึงได้บอกเธอว่า เธอจะสังเกตเห็นได้และจะได้รับการรู้แจ้งจากแง่มุมต่างๆ กันในงานประจำวันของเธอ..
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ