10 พฤษภาคม 2561 22:58 น.

โพธิธรรมคำสอน

คีตากะ

zen25.jpg?w=240
โพธิธรรมคำสอน
(ปรมาจารย์ตั๊กม้อ)
เรียบเรียงโดย พุทธยานันทภิกขุ
หลักการปฏิบัติธรรม
OUTLINE OF PRACTICE
        ถนนหลายสายย่อมนำไปสู่มรรค แต่โดยพื้นฐานแล้ว ย่อมมีเพียง 2 ทางเท่านั้น คือภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ การเข้าถึงทฤษฎี หมายถึงการเข้าใจอย่างชัดเจนถึงเนื้อหาสาระในการสอน และความเชื่อที่ว่าสรรพชีวิตย่อมรวมอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน แต่ความเข้าใจตามหลักทฤษฎีนี้ ไม่เป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจน เพราะเราถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจแห่งเวทนาและความหลง
       สำหรับบุคคลที่ขจัดความหลงออกได้ ย่อมพบความจริง คือบุคคลที่เพ่งพินิจต่อกำแพงธรรม (สุญญตาธรรม) อยู่เสมอ ไม่มีความสำคัญมั่นหมายในตนเองและผู้อื่น ย่อมรวมความเป็นปุถุชนและพุทธะเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นผู้ดำรงจิตไว้อย่างมั่นคงไม่คลอนแคลนหวั่นไหวไปกับอำนาจคัมภีร์ตำรา
       บุคคลเช่นนั้น ย่อมประสบกับความสำเร็จ และไม่ขัดแย้งกับทฤษฎีด้วย การไม่คลอนแคลนหวั่นไหวไปกับหลักทฤษฎี เรากล่าวว่าบุคคลนั้นเข้าสู่กระแสธรรม
      การเข้าสู่กระแสธรรมโดยการปฏิบัติ หมายถึง การปฏิบัติที่ประกอบไปด้วยหลัก 4 ประการ (อริยสัจแบบมหายาน) เหล่านี้คือ
1. การกำหนดรู้ทุกข์
2. การปรับปรุงแก้ไขทุกข์อยู่เสมอ
3. การไม่มีความทะเยอทะยาน
4. การเจริญภาวนาธรรม (อริยมรรค)
ประการที่ 1 การกำหนดรู้ทุกข์ เมื่อแสวงหาอริยมรรค ย่อมเผชิญกับความยากลำบาก ผู้แสวงหาย่อมคิดถึงตัวเอง (ด้วยความท้อถอยว่า) "ในกัปกัลป์ที่ผ่านไปอันกำหนดนับไม่ได้นี้ ฉันได้ใช้ชีวิตสิ้นเปลืองไปกับสิ่งไร้สาระ และเวียนว่ายไปในภพภูมิต่างๆ มากมาย บ่อยครั้งที่เราโกรธอย่างไร้เหตุผล และระเมิดฝ่าฝืนทำสิ่งผิดนับครั้งไม่ถ้วน มาบัดนี้ แม้จะไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่เราก็ต้องถูกลงโทษด้วยอดีตกรรม เมื่อกรรมชั่วให้ผลตอบสนอง ทั้งเทวดาและมนุษย์ก็ไม่อาจมองเห็น ฉันจะก้มหน้ารับผลกรรมอันนี้ด้วยจิตใจที่เปิดเผย และจะไม่คร่ำครวญพร่ำบ่นถึงความไม่เป็นธรรม"
      พระสูตรกล่าวว่า "เมื่อท่านพบกับความทุกข์ยากลำบาก อย่าเสียใจ เพราะมันจะทำให้เกิดอุปทาน" เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ชื่อว่าท่านทำถูกต้องกับทฤษฎี และการกำหนดรู้ทุกข์ย่อมทำให้ท่านเข้าสู่กระแสแห่งอริยมรรค
ประการที่ 2 การปรับปรุงแก้ไขทุกข์อยู่เสมอ ในฐานะเราเป็นสัตว์ที่ต้องตาย เราถูกสังขารธรรมทั้งหลายครอบงำ ไม่ใช่ตัวเราเอง ความทุกข์ความสุขที่เราได้รับล้วนเกิดจากสังขาร (การปรุงแต่งกาย-ใจ) เราจะไม่มีความรู้สึกเป็นสุข
      ถ้าเราประสบโชคอันยิ่งใหญ่ เช่น ชื่อเสียง โภคทรัพย์ เป็นต้น อันเป็นผลของบุญกุศลอันเราได้บำเพ็ญไว้ในอดีตกาล เมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลงโชคลาภก็หมดไป
     ทำไมเราต้องยินดีพอใจในชีวิตเช่นนั้นด้วยเล่า? เมื่อความสำเร็จและความล้มเหลวต่างก็เป็นสังขารธรรมทั้งนั้น จึงไม่ควรปล่อยจิตใจให้ฟู-แฟบไปกับสังขารเหล่านั้น ผู้ดำรงจิตไว้อย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับกระแสแห่งความสุข , ความทุกข์ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามอริยมรรคอย่างเงียบๆ
ประการที่ 3   การไม่มีความทะเยอทะยาน คนในโลกนี้ถูกความหลงครอบงำ พวกเขาจึงมักหมกมุ่นมัวเมาอยู่กับโลกธรรม ด้วยความหลงละเมอทะเยอทะยาน แต่ผู้รู้ (วิญญูชน) ย่อมตื่นตัว ท่านเหล่านั้นย่อมเลือกทำตามเหตุผลมากกว่าความเคยชิน และมีโยนิโสมนสิการ คือทำทุกสิ่งไว้ด้วยใจอันแยบคาย และปล่อยร่างกายให้เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
      ปรากฏการณ์ (รูป-นาม) ทุกอย่างเป็นของว่างเปล่า ไม่มีคุณค่าควรแก่การทะยานอยาก ความเสื่อมกับความเจริญ เกิดขึ้นและดับไปสลับกันอยู่ตลอดเวลา ความยินดีพอใจอยู่ในภพทั้งสาม เป็นเสมือนการอาศัยอยู่ในเรือนที่ไฟกำลังไหม้อยู่ การมีกายนี้จึงเป็นทุกข์
      มีใครบ้างที่อาศัยกายนี้แล้ว พบกับความสงบสุข บรรดาผู้ที่เข้าใจสัจธรรมข้อนี้ ย่อมถ่ายถอนตนเองออกจากภพทั้งปวง และหยุดการปรุงแต่ง หรือทะยานอยากในสิ่งใดๆ 
      พระสูตรกล่าวว่า "การแสวงหาด้วยความทะยานอยากย่อมเป็นทุกข์ , การไม่แสวงหาด้วยความอยากย่อมเป็นสุข" เมื่อไม่ทะยานอยาก ท่านดำรงอยู่ในกระแสแห่งอริยมรรค
ประการที่ 4 การเจริญภาวนาธรรม คำว่า ธรรม หมายถึงปรมัตถสัจจะซึ่งถือว่าธรรมชาติทั้งปวงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ด้วยธรรมสัจจะนี้ ปรากฏการณ์ทั้งปวงจึงเป็นความว่าง กิเลส , ตัณหาและอุปาทาน ทั้งที่เป็นอัตตวิสัยและภาวะวิสัยเป็นภาวะที่ไม่มีอยู่จริง
     พระสูตรกล่าวว่า "ธรรม" เป็นนิชชีวะ คือมิใช่สัตว์บุคคลเพราะว่างเปล่าจากความมั่นหมายจากสัตว์บุคคล และธรรมะเป็นอนัตตาเพราะว่างเปล่าจากความมั่นหมายแห่งความเป็นตัวตน (ที่จะปฏิบัติตาม)
      บุคคลผู้นั้นย่อมอุทิศทั้งกายชีวิต ตลอดถึงทรัพย์สมบัติให้เป็นทานโดยไม่เสียดายและไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากการให้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุข้าวของเงินทองและไม่มีความลำเอียงยึดติดในการให้ทาน และช่วยสั่งสอนให้ผู้อื่นได้ขัดเกลากิเลส โดยไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในรูปแบบ
      ดังนั้น เมื่อตนเองปฏิบัติได้สำเร็จแล้ว ก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่น และทำให้เขาได้เข้าถึงธรรมได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน เพราะการเอื้ออาทรต่อผู้อื่นก็เป็นการบำเพ็ญบารมีธรรมไปด้วย และเมื่อบำเพ็ญบารมีธรรมทั้ง 6 ประการ นั้นก็ช่วยกำจัดความหลงของตนเองไปด้วย ซึ่งไม่ต้องไปบำเพ็ญคุณธรรมอย่างอื่นๆ อีก (นอกจากบารมีธรรม 6 ประการ)
     เมื่อตั้งอยู่ในคุณธรรมเหล่านี้ ก็ไม่ต้องปฏิบัติธรรมอันอื่นอีกก็ได้ นี้คือความหมายของคำว่า
"การปฏิบัติธรรม"
.........................................................................................................
1234544_687819334580252_666954702_n.jpg
11 ธันวาคม 2559 19:44 น.

มงกุฎแห่งสิ่งสร้างที่แท้จริง

คีตากะ

1920786xo6pwya0r3.gif
กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ฌานนานาชาติ 5 วัน
22 กุมภาพันธ์ 2007 (2550) ซีหู เหมียวลี่ ฟอร์โมซา (ดีวีดี# 784)
(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ)
        ฉันหวังว่าวันหนึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์จะตื่น เราจะต้องรู้ว่าสัตว์ก็เหมือนเรา เราเหมือนกันแค่รูปร่างแตกต่างกัน พวกเขาเป็นแค่ดอกไม้ที่แตกต่าง แต่เราทั้งหมดล้วนเป็นดอกไม้ นั่นเรียบง่ายขนาดไหน? แม้กระนั้นมันช่างยากที่จะซึมแผ่เข้าไปในหัวใจใครบางคน ดีล่ะ ฉันดีใจที่คุณเชื่อฉันและฉันดีใจที่คุณเดินตามวิถีชีวิตแห่งความรัก แห่ง "การมีชีวิตและให้ชีวิต" (ปรบมือ)
         ใครก็ตามที่กระทำด้วยความโง่เขลา แน่นอนเราจะไม่ตัดสินพวกเขา แต่ฉันรู้สึกสงสารสัตว์และคนที่ฆ่าสัตว์จริงๆ เพราะกรรมจะอยู่เหนือพวกเขาในเวลาต่อมา แท้จริงแล้วกษัตริย์แห่งสิ่งลวงตาต้องการให้สิ่งสร้างของเขาทุกชิ้นได้รับการชดใช้และหลายเท่าด้วย คุณไม่สามารถจ่ายแค่ค่าสเต็กเนื้อวัว 1 ชิ้นบนโลกที่กินมัน และคิดว่านั่น "เสร็จละ" หรือมันเสมอตัว ไม่ มันไม่ใช่! เจ้าแห่งกรรมไม่ต้องการเงินของคุณ เขาต้องการเนื้อหนังของคุณ นี่คือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในโลกของสิ่งลวงตา
  
         ในโลกแห่งกายภาพ มันเป็นแบบนั้นเท่านั้น - ตาต่อตา และฟันต่อฟัน ไม่มีความเมตตาและไม่มีอะไรที่คุณจะติดสินบนเจ้าแห่งกรรมได้ เขาไม่รับสินบน ไม่เลย แม้ว่าคุณจะให้โลกทั้งโลกแก่เขา เขาก็ไม่สนใจ หรือทั้ง 3 โลก เขาก็ไม่สนใจ เพราะงานของเขาคือ เขาชอบตรวจสอบผู้คน เขาชอบดูว่าใครกำลังทำชั่ว เขาแม้แต่ยั่วยุให้ทำชั่วด้วย เพื่อดูว่าคุณแข็งแกร่งแค่ไหน คุณสูงส่งแค่ไหน และคุณมีพลังอำนาจแค่ไหนในหัวใจคุณที่จะต้านทานสิ่งยั่วยุ
"รักเพื่อนบ้าน" หมายถึงทุกชีวิต
 
           การทำร้ายผู้อื่นเป็นบาปที่เลวร้ายที่สุดที่เราจะสามารถทำได้ ดังนั้นถ้าใครก็ตามที่ฉันกำลังสอนอย่างขยันหมั่นเพียรไม่ให้ฆ่าและไม่ให้ทานเนื้อสัตว์แต่ยังคงออกไปข้างนอกแล้วไปทำสิ่งนั้น ฉันไม่ต้องการรู้เกี่ยวกับคนนั้น ถ้าคุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับมันมาก่อนและคุณทำมัน มันไม่เป็นไร ทุกคนทำมัน โลกทำให้คุณทำอย่างนั้น แม้แต่พ่อแม่ของคุณบังคับให้คุณทำสิ่งต่างๆ เมื่อคุณยังเด็กและคุณไม่รู้อะไรที่ดีกว่า แต่ถ้าคุณรู้แล้วว่ามันไม่ถูกต้องและยังคงทำสิ่งนั้นต่อไป แค่เพราะคุณไม่สามารถลืมความรู้สึกรับรสของคุณ มันเป็นแค่การเสียสละเล็กน้อย เล็กมาก!!! แม้ว่าคุณยังต้องการทานเนื้อสัตว์ มันเป็นการเสียสละที่เล็กน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อเรามีอาหารมังสวิรัติที่งดงามมากๆ ในอาณาจักรพืช แม้แต่ศาสนาใดๆ ก็บอกคุณว่ามันเป็นอาหารที่คุณจะรับประทาน แต่ไม่มีใครต้องการอ่านหน้านั้น ผู้คนไม่มากที่ต้องการฟังสิ่งนั้น "รักเพื่อนบ้านของท่าน" รวมถึงสัตว์ของเรา! ถ้าเราไม่สามารถรักสัตว์ แล้วจะไม่มีเพื่อนบ้านให้เรารักอีกต่อไป เพื่อนบ้านรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง พระเยซูไม่ได้กล่าวว่า "รักเพื่อนบ้านของท่าน ชายและหญิงหรือเด็ก" ท่านกล่าวว่า "รักเพื่อนบ้านของท่าน"
          เพื่อนบ้านของเราคือใคร? ทุกคน! ทุกชีวิต รวมทั้งมนุษย์ สัตว์ สุนัข แมว นก เป็ด และห่าน สัตว์ป่าหรือสัตว์เลี้ยง คุณจินตนาการสักครู่ได้มั๊ยถึงชีวิตแบบที่เรากำหนดให้พวกเขามี? สมมุติว่าเรามนุษย์กำลังอาศัยร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นยักษ์ตนอื่นๆ และตลอดเวลาพวกเขาจะฆ่าเรากิน ทีละคน คุณจะรู้สึกอย่างไร?  ช่วยตัวเองไม่ได้และเป็นทุกข์ ไม่ใช่หรือ?  และเศร้ามาก หวาดกลัวมาก! มันเหมือนกันกับสัตว์ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเรา แต่ในทางตรงกันข้าม เราทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานทุกรูปแบบ พวกเขาจำนวนหนึ่งกำลังช่วยเหลือเราด้วยซ้ำ แล้วเรายังฆ่าพวกเขามากินในที่สุด ไม่มีคำ "ขอบคุณ" ให้พวกเขา ไม่มีเลย! ไม่มีแม้แต่ความตายที่สมศักดิ์ศรีและสงบสุข เราฆ่าและกิน ปราศจากความเมตตา ปราศจากความสำนึกผิด ไม่แม้แต่คิดว่าเราไม่ควรทำแบบนั้นเลย ไม่คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ เราแค่ทำมันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา และเราเรียกตัวเองว่ามนุษย์ เฉลียวฉลาด มงกุฎแห่งสิ่งสร้าง มงกุฎชนิดไหนจะสามารถสวมบนศีรษะของคุณ?
          ในโลกของเรา ถ้าเราฆ่าใครบางคน มันถูกเรียกว่าฆาตกรรม แล้วเราจะต้องเข้าคุกและอื่นๆ แต่เราฆ่าสัตว์เป็นพันล้าน ล้านล้าน นับไม่ถ้วนทุกวัน และไม่มีใครจับเราเข้าคุก นั่นไม่น่าทึ่งหรือ? สัตว์ช่วยตัวเองไม่ได้! พวกเขาอยู่กับเราด้วยความกลัว กลัวทุกวัน เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร โลกแบบนี้?  มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรที่เราทำตัวเราเองให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายน่ากลัวเช่นนี้ที่สรรพสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายต่างกลัวเรา? เรามีอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งปวงในโลกทั้งโลก บางครั้งเราเอาถิ่นที่อยู่ของพวกเขาไปเสียด้วย เราทำให้พวกเขากลัวกับชีวิตของเขาทุกวัน  แม้แต่พี่ชายพี่สาวที่เป็นมนุษย์ของเรา เราทำให้พวกเขากลัวเช่นกัน ด้วยอำนาจ ด้วยปืน ด้วยอาวุธปรมาณู ด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ สิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบบ
          เราใส่ความกลัวให้กันและกันทุกชีวิต เราจะเรียกตัวเองว่ามงกุฎแห่งสิ่งสร้างได้อย่างไร? อันนั้นฉันไม่ทราบ ฉันไม่ทราบว่าเป็นมงกุฎชนิดไหนที่เราสมควรจะสวมบนศีรษะของเรา ฉันไม่ทราบว่าใครจะสวมมงกุฎนั้นให้บนศีรษะของเรา พี่ชายพี่สาวทั้งหมดหวาดกลัวเรา เรากำลังฆ่าพวกเขาทุกวันที่ใดที่หนึ่งบนโลกนี้ด้วยวิธีที่ต่างกัน ไม่ใช่แค่ด้วยปืนหรือมีด แต่ด้วยการรังแก โดยทำให้เกิดการกดขี่ทางจิตวิญญาณ ความกดดันทางอารมณ์ และความทุกข์ทรมานทางกายภาพ เราทำให้เกิดสิ่งนั้นแก่กันและกันทุกๆ วัน เราจะเรียกตัวเองว่ามนุษย์ผู้เจริญแล้วและมงกุฎแห่งสิ่งสร้างได้อย่างไร?
การเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เพียงแค่ไม่ทำร้าย
          ในปีใหม่นี้ ทุกคนในโลกควรคิดโครงการหรือทิศทางใหม่ว่าพวกเขาควรนำพาชีวิตของเขา และเป้าหมายที่สูงส่งแท้จริงที่พวกเขาควรไปให้ถึงในช่วงชีวิตของเขาขณะที่เขายังมีเวลาเพื่อทำให้มันถูกต้อง การเป็นมนุษย์ผู้สูงส่งนั้นเรียบง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องให้นักบุญทำมัน ไม่จำเป็นต้องใช้แม่ชี พระสงฆ์หรือบุคคลศักดิ์สิทธิ์ แค่ปล่อยให้สัตว์อยู่ตามลำพัง นั่นคือทั้งหมดที่เราต้องทำ แล้วเราก็สูงส่งเรียบร้อยแล้วในทันที! สัตว์ทั้งหลายจะสรรเสริญคุณในหัวใจของเขา และจะสวดอธิษฐานให้คุณ ชีวิตของคุณจะยืนยาวขึ้น ความสุขของคุณจะเพิ่มทวี สุขภาพของคุณจะวางใจได้มากขึ้น ความรักของคุณจะแผ่ขยายไปไม่สิ้นสุด และคุณจะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาหาอาจารย์ชิงไห่ ไม่จำเป็นต้องประทับจิต แค่ปล่อยให้สัตว์อยู่ตามลำพัง แล้วคุณจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าได้จริงๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไปถึงระดับที่ 3 (ปรบมือ)
           พระพุทธเจ้าหมายความเพียงแค่นั้น เมื่อท่านกล่าวว่า "วางมีดชำแหละเนื้อสัตว์ลง แล้วท่านจะสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้" มันจริงแท้อย่างนั้น! ถ้าคุณไม่ฆ่าหรือไม่ทานสัตว์ใดๆ คุณสามารถบรรลุระดับที่ 3 ได้ทันที (หลุดพ้นจาก 3 โลก) ชั้นต่ำแต่เป็นระดับที่ 3 นั่นแน่นอน แต่มีไม่กี่คนที่ทำเช่นนั้น? กี่คนที่จะสามารถสละรสชาติเล็กน้อยในปากเพื่อเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่ง เพื่อเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจควรค่าในการเป็นมงกุฎแห่งสิ่งสร้าง? ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องไปสอนด้วยซ้ำ ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก มันจะดีกว่ามาก แล้วสัตว์จะมีความสุข มนุษย์จะได้รับการยกระดับมากขึ้น และโรงพยาบาลจะลดน้อยลง การต่อสู้จะไม่มีอีกต่อไป เพราะถ้าทุกคนทานอาหารมังสวิรัติ จะมีอาหารเพียงพอที่จะค้ำจุนพวกเขา โลกทั้งโลกจะมีอาหารเพียงพอสำหรับทุกๆ คนบนโลก ด้วยการไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ถ้าเราแค่เป็นมังสวิรัติ ความมั่งคั่งของดาวเคราะห์ดวงนี้จะถูกแบ่งปันออกไปอย่างเท่าเทียมโดยอัตโนมัติ ไม่มีความหิวโหยอีกต่อไป แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างนั้น แต่มีกี่คนที่ต้องการจะกระทำสิ่งอันสูงส่งนี้?
ปลุกคุณสมบัติอันสูงส่งภายใน
           ฉันแค่หวังว่าปีใหม่นี้ชาวโลกจะฉลาดมากเช่นกัน คิดไตร่ตรองภายในอย่างลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้น เห็นอย่างแท้จริงว่าภายในของพวกเขาต้องการอะไรจริงๆ ไม่มืดบอดจากสิ่งยั่วยุภายนอกและอิทธิพลจากพลังทางลบ พวกเขาควรเข้มแข็ง สูงส่ง มองเข้าไปภายในของเขาเองเพื่อให้เห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขาและสิ่งที่หัวใจต้องการบอกเขาอย่างแท้จริง เพราะถ้าพวกเขามอง พวกเขาจะพบมัน "จงเคาะแล้วประตูจะเปิด"(มัทธิว 7:7)
  
          ดังนั้นฉันหวังจริงๆ ว่าพวกเขาจะมองดูจริงๆ! เพราะถ้าพวกเขามอง พวกเขาจะเห็นว่าพวกเขาเป็นคนสูงส่งหรือเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่ง มันไม่ใช่ศักดิ์ศรีของเราที่จะฆ่าและกินสิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสา ซึ่งไม่ได้มีขนาดเดียวกันกับเรา บางชนิดใหญ่กว่าแล้วเราก็ยังรังแกพวกเขา แม้แต่ปลาในทะเล พวกเขาไม่ได้ทำร้ายใคร พวกเขากำลังว่ายน้ำในโลกของเขาเอง แล้วเราตกปลาเอาเขาขึ้นมา ฆ่าเขา และกินเขา หรือสัตว์ในอากาศ พวกเขากำลังบินอยู่ที่นั่น ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วเราก็ยิงเขาให้ตกลงมาและกินเขา สัตว์ในป่าทึบหรือในป่า พวกเขายุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองอยู่ พวกเขาไม่ได้ทำอันตรายใดๆ แม้กระนั้นเราก็ไปที่นั่น ตามล่าพวกเขา ฆ่าพวกเขา และกินเขาเช่นกัน
        
           คุณคิดว่านั่นสูงส่งหรือ? ใครๆ ก็รู้ว่ามันไม่สูงส่ง ใช่มั๊ย? มันจะสูงส่งได้อย่างไร เมื่อคนที่แข็งแรงด้วยพลังอำนาจและความฉลาดทุกอย่างไปฆ่าใครบางคนที่อ่อนแอกว่า ตัวเล็กกว่า และไม่สามารถป้องกันตัวเองได้? นั่นจะสูงส่งได้อย่างไร? แม้แต่ในประเทศจีนและในเอาหลัก(เวียตนาม) กฏของศิลปะการต่อสู้คือ ถ้าคนหนึ่งล้มลงตกจากหลังม้าในสนามรบ คุณจะไม่ทำให้เขาบาดเจ็บหรือจะไม่ฆ่าเขา ถ้าคนนั้นแย่อยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่เราพูดกันว่า อย่าฆ่าเขา ดังนั้นมันจะเป็นอย่างไรต่อสัตว์ที่ตัวเล็กกว่า? พวกเขาตกใจกลัวและเป็นอัมพาตทันทีที่เห็นมนุษย์! เราไม่สามารถรู้สึกเห็นอกเห็นใจ เสียใจหรือสงสาร และปล่อยให้เขามีชีวิตได้อย่างไร? สิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถรู้สึกสงสารใดๆ เลยในหัวใจได้อย่างไร เมื่อสัตว์ตกใจกลัวและวิ่งหนี วิ่ง วิ่ง เพื่อเอาชีวิตรอด และร้องขอชีวิตของพวกเขา? มันเหลือเชื่อ! 
        
         ในวันปีใหม่นี้ บางทีความปรารถนาของเราทุกคนอาจจะเป็นจริง ดังนั้นเรามาหวังกันว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก และมนุษย์ทั้งหมดจะตื่นขึ้นสู่เจตนาอันสูงส่งภายในหัวใจของเขาตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะเกิดหรือเมื่อพวกเขาเพิ่งเกิดมาและพวกเขาเคยสูงส่ง บริสุทธิ์ และเป็นวีรบุรุษ เรามาหวังกันว่า มนุษย์จะถูกปลุกให้ตื่นจากภายในของพวกเขาถึงคุณสมบัติที่เหนือกว่าเหล่านี้ แล้วเราทั้งหมดจะอยู่ในสวรรค์อย่างแท้จริง ถ้าไม่มีการฆ่าอีกต่อไป โลกนี้ก็จะเป็นสวรรค์ (ปรบมือ)...
1417717sogle7xnlh.gif
22 ตุลาคม 2559 22:51 น.

ของขวัญที่สัตว์นำมาให้มนุษย์

คีตากะ

b56821b2b13.jpg
กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ในการประชุมทางไกลวีดิทัศน์
ของการเปิดตัวหนังสือใหม่ นกในชีวิตของฉัน ในฟอร์โมซา
24 สิงหาคม 2550 (2007) (ต้นฉบับภาษาจีน)
            แม้ว่าเราไม่ได้คาดหวังสิ่งตอบแทนจากสัตว์ มีคำกล่าวในเอาหลากว่า "ช่วยสัตว์ให้ปลอดภัยและพวกเขาจะตอบแทนความใจดีของคุณ" นี่เป็นเรื่องจริง บางครั้งสัตว์สามารถนำโชคดีมากมายมาให้คุณ บางทีมันคือความเจริญรุ่งเรืองในธุรกิจของคุณ บางทีเป็นสุขภาพดี หรือความรักและปิติยินดีมากขึ้นในสัมพันธภาพรักของคุณ หรือในชีวิตครอบครัว สัตว์แต่ละตัวนำพาของขวัญที่แตกต่างกัน คุณจะต้องรับรู้มันอย่างเงียบๆ
         ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา มีชายร่ำรวยมากคนหนึ่ง ก่อนนี้เขาสูญเสียความมั่งคั่งทั้งหมดและกลายเป็นคนเร่ร่อนไร้บ้าน วันหนึ่งเขาบังเอิญเจอสุนัขตัวหนึ่งซึ่งต่อมาไปเป็นเพื่อนกับเขาตลอดเวลา หลังจากรับเลี้ยงสุนัขตัวนั้น เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาก อารมณ์ของเขาและสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและทำงานอีกครั้งและในที่สุดก็กลายเป็นชายที่ร่ำรวยมากเป็นเศรษฐีพันล้าน หลังจากเขาเสียชีวิต ทรัพย์สมบัติของเขาทั้งหมดทิ้งไว้ให้สุนัขตัวนั้น บ้านหลังใหญ่มากถูกสร้างเพื่อเป็นที่พักให้สุนัขจรจัดและดูแลพวกเขาอย่างดี คุณส่วนใหญ่อาจได้ยินเรื่องนี้แล้ว สุนัขตัวนั้นได้นำพาความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ให้แก่เขา
         นอกจากนำพาความสุขให้ผู้คนแล้ว สุนัขมากมายก็นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาด้วย สัตว์แต่ละตัวที่มายังบ้านของคุณจะนำของขวัญมาอย่างแน่นอน คุณจะต้องสังเกตอย่างรอบคอบและเงียบๆ ฉันไม่ได้หมายความว่ามันจะนำหนังสือหรือคุกกี้มาให้คุณนะ ไม่! มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่มันจะค่อยๆ นำพาความประหลาดใจทางจิตวิญญาณที่น่าพอใจทุกรูปแบบจากภายในมาให้คุณอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามถ้าคุณไม่สามารถสื่อสารกับมัน คุณอาจจะไม่คิดว่ามันเป็นผู้ที่นำพาสิ่งนั้นมาให้คุณ ตัวอย่างเช่นหลังจากรับเลี้ยงสุนัข ถ้าชีวิตของคุณดีขึ้นโดยพลันและธุรกิจของคุณเฟื่องฟูอย่างแรง ถ้าเช่นนั้นคุณก็ควรเริ่มสงสัยได้ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) บางทีมันเป็นสุนัขตัวนั้นที่นำพาความโชคดีมาให้คุณ ลองสังเกตอย่างรอบคอบดู
          ฉันมีนกตัวหนึ่งซึ่งนำพาเงินจำนวนมากมาให้ฉัน แต่ฉันไม่บอกคุณว่าตัวไหน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)(ปรบมือ) ฉันไม่เคยคิดฝันว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อฉันรับมันมา ฉันเพียงแต่ค้นพบมันทีหลัง มันเป็นเพราะ หลังจากเขามาที่บ้านฉัน เราเริ่มเข้าใจกันและกันอย่างช้าๆ ผ่านการสื่อสารของเรา ฉันตระหนักว่ามันนำพาเงินจำนวนมากมา แต่ฉันใช้เงินทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน และนก สุนัข และสัตว์อื่นๆ ฉันไม่ได้รับเลี้ยงนกเพราะฉันต้องการเงิน ตอนที่ฉันพบมันครั้งแรก ฉันไม่รู้เลยว่าเขาจะนำพาเงินมาให้ โดยปกติสัตว์จะไม่ให้คุณรู้ในทันที พวกเขาจะค้นหาก่อนว่าคุณปฏิบัติดีกับพวกเขาหรือไม่ ก่อนที่จะเปิดเผยของขวัญนั้นแก่คุณ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ยิ่งคุณปฏิบัติดีกับพวกเขามากเท่าไร ของขวัญที่พวกเขามีให้คุณก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น
           สัตว์มาจากสวรรค์ด้วย พวกเขาบางตัวได้รับการพัฒนาทางจิตวิญญาณอย่างสูง สูงยิ่งกว่ามนุษย์บางคนด้วยซ้ำ อย่าคิดว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดา แค่พวกเขาสวมสิ่งที่ปรากฏภายนอกเป็นสุนัขหรือนก คุณได้ยินเรื่องราวของสัตว์ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์บ่อยๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ดูแลที่เป็นมนุษย์ของพวกเขา เรื่องราวเหล่านี้เป็นจริง แต่เราต้องใช้ตาทางจิตวิญญาณของเราเพื่อที่จะเข้าใจมัน โชคไม่ดีที่ผู้คนมากมายไม่สามารถมองเห็นสิ่งนี้
             เราควรจดจำอย่างชัดแจ้งถึงสิ่งที่พระเจ้ากล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "ฉันสร้างสัตว์ทั้งหลายไว้เป็นเพื่อนกับคุณและช่วยเหลือคุณ" พระเจ้าไม่พูดโกหก ดังนั้นฉันไม่ผิดเลยที่ฉันกล่าวว่าสัตว์กำลังนำของขวัญมาให้เรา นอกจากนี้ฉันก็มีประสบการณ์ส่วนตัว ยิ่งกว่านั้นฉันตระหนักว่าสัตว์ของฉันทุกตัวนำพาของขวัญที่แตกต่างกันมาให้ฉัน บางตัวนำเพื่อนที่ดีมาให้ฉัน บางตัวนำผู้ช่วยเหลือที่ดีมาให้ฉัน ฉันไม่ได้หมายถึงพวกเขาโทรศัพท์หาผู้ช่วยและขอให้พวกเขามานะ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มันเป็นแบบนั้น เมื่อสัตว์อาศัยอยู่ในบ้านของฉัน โดยธรรมชาติพวกเขาจะดึงดูดเพื่อนที่ดีเหล่านั้นมา หรือเงิน หรือคนที่โอบอ้อมอารี หรือทันทีทันใดชีวิตของฉันก็กลายเป็นอิสระขึ้นและง่ายขึ้น กรรมกีดขวางก่อนนี้บางอย่าง ความผูกมัดที่เกี่ยวข้องกับบางคน ก็ถูกตัดขาดไปโดยทันที สิ่งดีเหล่านี้ถูกนำมาโดยสัตว์ต่างๆ
              สัตว์เกิดมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์จริงๆ ในภายหลังเมื่อเรามีโอกาสตีพิมพ์หนังสือ "สัตว์ป่าที่สูงส่ง" ฉันอาจเปิดเผยความลับบางอย่างให้แก่คุณ (ปรบมือ) เดิมทีฉันไม่กล้าเปิดเผยในงานเขียน เพราะมันเป็นการสื่อสารภายในของเรา ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าเปิดเผยทั้งหมดจริงๆ ในหนังสือเรื่องสุนัขและนก ฉันแค่เขียนไว้นิดหน่อย ในตอนแรกฉันเพียงต้องการเขียนหนังสือธรรมดาเท่านั้นเกี่ยวกับว่ามนุษย์และนกควรอยู่ด้วยกันอย่างไร ตัวอย่างเช่นทุกๆ วันเพลิดเพลินกับอาหาร เล่นเกมส์ และสนุกด้วยกัน ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะเขียนเกี่ยวกับการสื่อสารจากใจถึงใจ อย่างไรก็ตามบางครั้งฉันก็ไม่มีทางเลือก ดังนั้นฉันจึงต้องเขียนเกี่ยวกับมันเล็กน้อย
              แม้แต่สัตว์ป่าบางตัวก็ช่วยเหลือเราด้วย ตัวอย่างเช่น อาจจะมีสัตว์ป่าบางอย่างใกล้บ้านคุณและคุณให้อาหารพวกเขาเป็นครั้งคราว เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงช่วยเหลือคุณด้วย แม้ว่าคุณไม่สามารถสื่อสารกับพวกเขา พวกเขาก็ยังคงจะช่วยเหลือคุณ แน่นอนมันจะดีกว่าถ้าคุณสามารถสื่อสารได้ พอฉันสื่อสารกับหงส์ตัวหนึ่งและมันได้บอกมากมายหลายสิ่งกับฉันซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่มีเวลาคิดถึง ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้แต่ฉันไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับมัน หลังจากการสื่อสารกับหงส์ตัวนั้น ฉันก็จำสิ่งเหล่านั้นได้และจำได้ว่าฉันต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
             จริงๆ แล้วสัตว์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ คัมภีร์ไบเบิ้ลถูกต้อง! เราควรจดจำว่าพวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือเรา โชคไม่ดีที่บางคนไม่รู้ จงอดทนและทำใจให้สงบ แล้วเราจะสามารถสื่อสารกับสัตว์ได้และเข้าใจได้ว่าพวกเขากำลังมอบความช่วยเหลือชนิดใดให้แก่เรา ช่างน่าอายถ้าพวกเขาช่วยเหลือเราแม้กระนั้นเราก็ยังไม่รู้อีก! ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องช่วยเหลือพวกเขาก่อนแล้วพวกเขาจึงจะตอบแทนเรา ไม่ได้คำนึงว่าเราช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่ ถ้าเรามีปฏิสัมพันธ์และสื่อสารกับพวกเขา พวกเขาก็จะช่วยเหลือเราจริงๆ เช่นนี้ก็จะดีกับเราอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ดีกับพวกเขา แต่ดีกับเราจริงๆ ด้วย...
22 ตุลาคม 2559 23:33 น.

คัมภีร์เหลาจื่อ

คีตากะ

d0f05-taoismlaozi.jpg?w=200&h=350
เหลาจื่อ
คัมภีร์เต้า เต๋อ จิง (เต๋า เต็ก เก็ง)
ถูกเขียนขึ้นในยุคสมัยใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้า
แนะนำ เต๋า เต็ก เก็ง
สุดยอดคัมภีร์อภิปรัชญาแห่งชีวิต ผลงานของท่านเล่าจื้อ ผู้เป็นนักคิดแบบธรรมชาติ 
ผู้ซึ่งขงจื๊อได้กล่าวถึงว่า "การได้เสวนากับท่านเล่าจื้อ ถือว่า
เป็นการศึกษาที่ล้ำลึก และดีเยี่ยมกว่าการอ่านหนังสือในห้องสมุดเสีย อีก"
เชิญ สัมผัสกับความล้ำลึกสุดหยั่งคาดของคัมภีร์โบราณเล่มนี้ ซึ่งเป็นเบื้องหลัง
ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในชีวิตของคนดังในประวัติศาสตร์มานานกว่าสองพันปี 
พร้อมคำอธิบายที่กระชับ และได้ความหมาย...
ปล. ขออนุญาตผู้แปลคือ คุณ พจนา จันทรสันติ เพื่อนำมาลงไว้เป็นวิทยาทาน
แก่บรรดาผู้ใฝ่รู้ทุกคน เพราะสำนานที่ลุ่มลึก และเข้าใจง่าย ตรงตามสไตน์ของเต๋าอย่างแท้จริง
อ่านมาหลายสำนวนแล้ว ไม่ชอบใจเท่าสำนวนของคุณ พจนา 
จึงขออนุญาต คุณ เซโร่ ผู้ให้ข้อมูลด้วย
:http://www.pantown.com/board.php?id=21821&area=3&name=board5&topic=1&action=view
เหลาจื่อ
เกร็ดประวัติชีวิตของเหลาจื่อนั้นยากที่หาข้อพิสูจน์ เรารู้เพียงแต่ว่าเหลาจื่อ แซ่ หลี่ ชื่อตัวว่า เอ๋อร์ มีสมญาว่า ตาน เป็นคนอำเภอขู่ แคว้นฉู่ (ปัจจุบันคือเมืองลู่ในมณฑลเหอหนาน แม้แต่เรื่องที่เหลาจื่ออยู่จนถึงอายุเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีใครบอกได้ชัดเจน บ้างว่า ท่านเป็นปราชญ์ร่วมยุคสมัยกับขงจื่อ ช่วงราวๆสมัยของโจวเหวินหวาง เคยเข้ารับตำแหน่งเป็น “ซีป๋อ” ดูแลแผ่นไม้ไผ่(เปรียบเหมือนหนังสือในสมัยนั้น)ที่มีอยู่ในบ้านเมือง (เท่ากับห้องสมุดแห่งชาติ ) เมื่อโจวอู่หวางขึ้นครองราชย์ เหลาจื่อก็มีหน้าที่จดบันทึกข้อคิดเห็นในการคุยของราชการที่ท้องพระโรง ในขณะนั้นเข้มงวดเรื่องชนชั้นมาก มีเพียงโจวอู่หวางที่สามารถก้มหรือนั่งได้ ส่วนเหล่าขุนนางได้เพียงแต่นั่งกับพื้นไม่มีที่เท้าหรือที่พิง แต่เหลาจื่อกลับถูกแต่งตั้งพิเศษให้เป็น “จู๋เซี่ยลี่” สามารถนั่งพิงเสาบันทึกข้อราชการได้
เมื่อถึงสมัยที่โจวเฉิงหวางปกครองบ้านเมือง เหลาจื่อให้การเผยแพร่ความรู้แก่ผู้คนไปทุกหนทุกแห่ง สรรเสริญคุณงามความดีของราชวงศ์โจว เนื่องจากผู้อาวุโสท่านนี้ เป็นพหูสูตร มีความรู้ลึกซึ้งและกว้าง ผู้คนเคารพและเลื่อมใสศรัทธา ดังนั้นท่านจึงถูกยกย่องให้เป็น “กู่เซียนเซิง” เมื่อถึงสมัยโจวจาวหวาง เรื่องราวของเหลาจื่อก็มีอายุเกือบจะถึง 100 ปี ในสมัยนั้น เหลาจื่อคาดคะเนว่าจะเกิดการสู้รบขึ้นทุกหนทุกแห่ง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งการต่อสู้ที่ใช้กลอุบายครั้งนี้ได้ ดังนั้น ท่านจึงออกจากราชการ ขี่วัวหนุ่ม มุ่งหน้าทางทิศตะวันตกผ่านหานกู่กวาน ไปบำเพ็ญเพียรที่เขาคุนหลุน (คุนลุ้น) เมื่อตอนที่ผ่านด่านหานกู่กวาน หยินสี่หัวหน้าด่าน หานกู่กวานพอรู้ว่าเหลาจื่อจะผ่านมาก็แอบไปพบ และขอให้เหลาจื่อเขียนหนังสือให้เป็นที่ระลึก เหลาจื่อจึงเขียนหนังสือไว้ 5,000 ตัวอักษร ซึ่งก็คือคัมภีร์ “เหลาจื่อ” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” (เต๋าเต็กเก็ง) ซึ่งเป็นผลงานอันลือเลื่องและได้รับการยกย่องทั่วโลก นักปราชญ์ในรุ่นหลังได้แบ่งเต๋าเต็กเก็งเป็น 81 บท
เต๋าตามความหมายศัพท์ที่มักแปลกันคือ หนทางหรือวิถี ทว่าความหมายของเต๋าจริงๆนั้น ยากยิ่งแก่การอธิบาย ดังที่บทที่ 1 ของคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งว่าคือ ‘เต๋าที่อธิบายได้ มิใช่เต๋าที่อมตะ’ ปราชญ์ลัทธิเต๋าพยายามเสนอวิถีทางที่จะนำไปสู่สังคมสันติภาพ โดยเชื่อว่า เต๋านั้นยิ่งใหญ่ครอบคลุมคุณธรรม เมตตาธรรม ความชอบธรรม ดังที่ในคัมภีร์เต๋าเต็งเก็งบทที่ 38 บอกว่า ‘เมื่อรักษาเต๋าไว้ไม่ได้ จึงต้องหันไปสร้างกรอบคุณธรรม เมื่อรักษาคุณธรรมไว้ไม่ได้ จึงต้องหันไปสร้างกรอบเมตตาธรรม เมื่อรักษาเมตตาธรรมไว้ไม่ได้ จึงต้องหันไปสร้างกรอบความชอบธรรม เมื่อรักษาความชอบธรรมไว้ไม่ได้ จึงต้องหันไปสร้างกรอบแบบแผนจารีต...’
คนรุ่นหลังยกย่องให้เหลาจื่อเป็นปฐมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า เปรียบตัวของเหลาจื่อดั่งมังกรในร่างมนุษย์ เป็นผู้ลึกลับ ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ความคิดของเหลาจื่อกว้างขวางและลึกซึ้งมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขงจื่อเดินทางไปพบสนทนากับเหลาจื่อ และกลับสำนักด้วยอาการอ้ำอึ้ง บรรดาศิษย์เห็นอาจารย์นิ่งเงียบไปนานถึงวันสองวัน จึงถามขึ้นว่า เหลาจื่อเป็นอย่างไร ขงจื่อบรรยายถึงเหลาจื่อว่า ‘เปรียบดั่งพญามังกรผู้มีภูมิธรรมลึกซึ้งสุดหยั่ง มักโลดแล่นอยู่ในท้องนภากาศ เหาะเหินเล่นลม ซ่อนกำบังกายในหมู่เมฆ นานๆจึงปรากฏตัวเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว และไม่มีใครเคยจับตัวได้’
แม้ในปัจจุบันซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมาก ก็ยังมีนักวิจัยมากมายที่ทำการศึกษาวิจัยแนวคิดของเหลาจื่ออย่างไม่ขาดสาย ทั้งยังนำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งแพร่หลายมากในโลกตะวันตก มีฉบับแปลภาษาอังกฤษมากกว่า 100 สำนวน สำหรับฉบับแปลภาษาไทยขณะนี้ มีประมาณ 20 สำนวน 
[ส่วนนี้นำข้อมูลมาจาก http://www.sg2527.com/info/know_011_China_kong_gue.htm]
อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=571836#ixzz1zd8hG94L
ตอนที่ ชื่อตอน
บทที่ 1 เต๋าอันสูงสุด 
บทที่ 2 สิ่งต่างๆอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ 
บทที่ 3 การปกครองของปราชญ์ 
บทที่ 4 รูปลักษณ์แห่งเต๋า 
บทที่ 5 ประโยชน์ของสูบลม 
บทที่ 6 มารดาอันมหัศจรรย์ 
บทที่ 7 มิได้อยู่เพื่อตนเอง 
บทที่ 8 ความดีอันสูงสุด 
บทที่ 9 สำรวมชีวิต 
บทที่ 10 สู่สภาวะธรรม 
บทที่ 11 ความว่างเปล่า 
บทที่ 12 เปลือกกับแก่น 
บทที่ 13 การยกย่องและการดูแคลน 
บทที่ 14 ตามรอยเต๋า 
บทที่ 15 ผู้ชาญฉลาดในสมัยโบราณ 
บทที่ 16 สรรพสิ่งล้วนกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม 
บทที่ 17 ผู้ปกครองประเทศที่ดี 
บทที่ 18 เกิดขึ้นเพราะความเสื่อม 
บทที่ 19 ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ 
บทที่ 20 ผู้อื่นกับตัวข้าพเจ้า 
บทที่ 21 พลังแห่งเต๋า 
บทที่ 22 การไม่แก่งแย่งแข่งขัน 
บทที่ 23 เข้าร่วมกับเต๋า 
บทที่ 24 กากเดนของคุณความดี 
บทที่ 25 ความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาล 
บทที่ 26 ความหนักแน่นและความสงบ 
บทที่ 27 ช่วยสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน 
บทที่ 28 แสดงออกด้วยความง่าย 
บทที่ 29 ใครจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลก 
บทที่ 30 สงคราม 
บทที่ 31 ชัยชนะอันน่าโศกเศร้า 
บทที่ 32 มหาสมุทรแห่งสรรพสิ่ง 
บทที่ 33 รู้จักตนเอง 
บทที่ 34 เต๋าอันยิ่งใหญ่ 
บทที่ 35 ลักษณะเด่นคือความสามัญ 
บทที่ 36 ชนะแข็งด้วยอ่อน 
บทที่ 37 ปกครองด้วยความเรียบง่าย 
บทที่ 38 เมื่อเต๋าสูญหายไป 
บทที่ 39 ขอเป็นระฆังหิน 
บทที่ 40 วัฏฏะ 
บทที่ 41 ระดับสูง 
บทที่ 42 คำสอนประจำใจ 
บทที่ 43 การไม่กระทำ 
บทที่ 44 รู้จักพอ 
บทที่ 45 คล้าย 
บทที่ 46 ม้าลากเกวียน 
บทที่ 47 หยั่งรู้ 
บทที่ 48 ความรู้ฝ่ายเต๋า 
บทที่ 49 ปราชญ์ 
บทที่ 50 อาณาจักรแห่งความตาย 
บทที่ 51 คุณความดีอันล้ำลึก 
บทที่ 52 ปิดประตูแห่งตน 
บทที่ 53 ทางใหญ่ 
บทที่ 54 นำเอาไปใช้ 
บทที่ 55 กลับเป็นเด็กทารก 
บทที่ 56 เหนือโลก 
บทที่ 57 การปกครอง 
บทที่ 58 รัฐบาลที่เกียจคร้าน 
บทที่ 59 หลักการสงวนกำลัง 
บทที่ 60 ปกครองประเทศ 
บทที่ 61 ประเทศใหญ่ 
บทที่ 62 สมบัติของโลก 
บทที่ 63 ยากกับง่าย 
บทที่ 64 เริ่มทำเมื่อยังง่าย 
บทที่ 65 รู้ให้น้อย 
บทที่ 66 ที่ต่ำ 
บทที่ 67 แก้วสามประการ 
บทที่ 68 การไม่แข่งขัน 
บทที่ 69 ยุทธธรรม 
บทที่ 70 ใครอาจเข้าใจ 
บทที่ 71 ผู้รู้ 
บทที่ 72 ใช้ความนุ่มนวล 
บทที่ 73 ร่างแหแห่งฟากฟ้า 
บทที่ 74 การลงโทษ 
บทที่ 75 ไม่เข้ายุ่งเกี่ยว 
บทที่ 76 ของสูง 
บทที่ 77 วิถีแห่งเต๋า 
บทที่ 78 ความอ่อนโยนมีชัยต่อทุกสิ่ง 
บทที่ 79 หนทางอันยุติธรรม 
บทที่ 80 ประเทศในฝัน 
บทที่ 81 ถ้อยคำที่แท้ 
บทที่ 1 เต๋าอันสูงสุด
เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ
ชื่อที่ตั้งให้กันได้ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง
เต๋านั้นมิอาจอธิบายและมิอาจตั้งชื่อ
เมื่อไร้ชื่อทำฉันใดจักให้ผู้อื่นรู้
ข้าพเจ้าขอเรียกสิ่งนั้นว่า " เต๋า " ไปพลางๆ
เมื่อไร้นามไร้สภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าและดิน
เมื่อมีนามมีสภาวะจึงเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง
ดำรงตนอยู่ในความไร้สภาวะ
จึงทราบบ่อเกิดแห่งจักรวาล
ดำรงตนอยู่ในสภาวะ
ย่อมแลเห็นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์
ทั้งความมีและความไร้ มีบ่อเกิดแห่งเดียวกัน
แต่แตกต่างกันเมื่อปรากฏออก
บ่อเกิดนั้นสุดแสนล้ำลึก
ความลึกล้ำสุดแสนนั้น
คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต
-2- 
สิ่งต่างๆอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย
ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น
มีกับไม่มี เกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่าย เกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
ยาวกับสั้น เกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
สูงกับต่ำ เกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญ เกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลัง เกิดขึ้นด้วยการนึกคิด
ดังนั้นปราชญ์ย่อม กระทำด้วยการไม่กระทำ
เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง
ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ
ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้
เหตุที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ
เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่สูญสลาย
-3-
การปกครองของปราชญ์
มิได้ยกย่องคนฉลาด
ประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี
มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของที่หายาก
ประชาราษฎร์ก็จะไม่ลักขโมย
ขจัดตัวตนแห่งความอยาก
ดวงใจแห่งประชาราษฎร์ก็จะบริสุทธิ์
ดังนั้นปราชญ์ย่อมปกครองโดย
ทำให้จิตใจของประชาราษฎร์ ว่าง สะอาด
บำรุงเลี้ยงให้อิ่มหนำ ตัดทอนความทะยานอยาก
เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย
ความคิดและความปรารถนาของประชาราษฎร์
ก็จะถูกชะล้างให้บริสุทธิ์
คนฉ้อฉลก็มิอาจหาญ เข้ากระทำการทุจริต
ปราชญ์ย่อมปกครอง โดยการไม่ปกครอง
ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถูกปกครอง
และดำเนินไปอย่างมีระเบียบ
-4-
รูปลักษณ์แห่งเต๋า
เต๋านั้นคือความเวิ้งว้าง แต่คุณประโยชน์ของเต๋า มิรู้สิ้นสุด
คล้ายต้นกำเนิดของน้ำพุ แห่งสรรพสิ่ง
ลึกสุดหยั่งคาด เวียนวน ยุ่งเหยิง ซับซ้อน แผ่วเบา
แจ่มกระจ่างดุจแก้วผลึก ใสสะอาด ดุจน้ำอันสงบนิ่ง
ข้าพเจ้ามิรู้ว่าเต๋ากำเนิดจากแห่งใด คล้ายกับดำรงอยู่ก่อนธรรมชาติ
-5-
ประโยชน์ของสูบลม
ฟ้าดินนั้นไร้เมตตา
ปฏิบัติคล้ายดั่งสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง
ปราชญ์นั้นไร้เมตตา
ปฏิบัติคล้ายดั่งผู้คนเป็นหุ่นฟาง
แท้จริง ฟ้า ดิน และปราชญ์
มิได้ไร้เมตตา เมตตานั้นมีอยู่
เพียงแต่ไม่เข้าไป ก้าวก่ายในสรรพสิ่ง
ทำตนว่างเหมือนสูบลม มีความว่างและความไร้
ครั้นเคลื่อนไหว กลับให้พละกำลัง
ยิ่งพูดมากยิ่งไร้ประโยชน์ พูดมากคำยิ่งเหน็ดเหนื่อย
มิสู้เก็บคุณค่านั้นไว้ แต่เพียงภายใน
-6-
มารดาอันมหัศจรรย์
มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ
เป็นมารดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง
ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน
นานแสนนานสืบมา สิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่
มีคุณประโยชน์มากมาย ใช้ได้มิรู้หมดสิ้น
-7-
มิได้อยู่ด้วยตนเอง
ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน
เหตุเพราะฟ้าและดิน มิได้ดำรงอยู่ เพื่อตนเอง
จึงอาจอยู่ได้คงทน
ดังนั้นปราชญ์ย่อมตั้งตนอยู่รั้งท้าย
และก็จะกลับกลายเป็นหน้าสุด
ละเลยตนเอง แต่กลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี
เพราะปราชญ์มิได้อยู่เพื่อตนเองหรือมิใช่
ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความสมบูรณ์
-8-
ความดีอันสูงสุด
ความดีอันสูงสุดนั้นคล้ายกับน้ำ
น้ำให้คุณแก่สรรพสิ่ง มิได้แย่งชิงสิ่งใด
น้ำตั้งตนอยู่ในที่ต่ำ อันทุกคนรังเกียจเหยียดหยาม
ดังนั้นจึงนับว่าได้เข้าไปใกล้กับเต๋า
ในการอยู่อาศัย ปราชญ์เลือกสถานที่อันควร
ในดวงใจ ท่านถือความสงบงัน
ในความเป็นมิตร ท่านถือคุณความดี
ในวาจา ท่านถือความจริงใจ
ในการปกครอง ท่านถือความสงบเรียบร้อย
ในกิจการงาน ท่านถือความสามารถ
ในการกระทำ ท่านเลือกเวลาที่เหมาะสม
เหตุว่าท่านมิได้แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด
คำติเตียนว่าร้ายจึงมิได้แผ้วพานท่าน
-9-
สำรวมชีวิต
โก่งคันศรจนสุดล้า ย่อมมีเวลาที่มันจะคืนกลับ
ลับดาบจนแหลมคม ย่อมมีเวลาที่มันจะทื่อ
เมื่อท่านมีทองและหยกอยู่เต็มห้อง
ย่อมไม่อาจรักษาไว้ได้โดยปลอดภัย
ภาคภูมิใจกับเกียรติยศและความมั่งคั่ง
ย่อมโศกเศร้าเมื่อความตกต่ำมาถึง
ถอนตัวออก เมื่อกิจการงานได้เสร็จสิ้นลง
นี่คือวิถีทางแห่งสรวงสวรรค์
-10-
สู่สภาวะธรรม
รักษาดวงวิญญาณให้พ้นจากความมัวหมอง
ทำจิตใจให้แน่วนิ่งเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่
หายใจอย่างละเอียดอ่อนแผ่วเบา
เหมือนลมหายใจของเด็กอ่อนได้หรือไม่
ชำระล้างญาณทัศนะให้หายมืดมัว
จนอาจแลเห็นกระจ่างชัดได้หรือไม่
มีความรักและปกครองอาณาจักร
โดยไม่เข้าไปบังคับบัญชาได้หรือไม่
ติดต่อรับรู้ และเผชิญทุกข์สุข
ด้วยความสงบนิ่ง ไม่ทุกข์ร้อน ได้หรือไม่
แสวงหาความรู้แจ้ง เพื่อละทิ้งอวิชชาได้หรือไม่
ให้กำเนิด ให้การบำรุงเลี้ยง
ให้กำเนิด แต่มิได้ถือตนเป็นเจ้าของ
กระทำกิจ แต่มิได้ยกย่องตนเอง
เป็นผู้นำในหมู่คน แต่มิได้เข้าไปบงการ
เหล่านี้คือ คุณความดี อันลึกล้ำยิ่ง
-11-
ความว่างเปล่า
ล้อรถนั้นประกอบด้วยไม้สามสิบซี่
รวมกันอยู่ที่แกน
วงรอบนอกของล้อและไม้ทั้งสามสิบซี่นั้น
คือ ความ " มี "
ดุมล้อนั้นกลับกลวง คือ ความ " ว่าง "
จากความว่างนี้เอง คุณประโยชน์ของล้อก็เกิดขึ้น
ปั้นดินเหนียวขึ้นเป็นภาชนะ
จากความว่างเปล่าของภาชนะนี้เอง
คุณประโยชน์ของภาชนะก็เกิดขึ้น
เราได้ใช้ประโยชน์จากความมี
และได้รับคุณประโยชน์จากความว่าง
12-
เปลือกกับแก่น
สีทั้งห้า ทำให้ดวงตาพร่ามัว
เสียงทั้งห้า ทำให้โสตประสาทเลอะเลือน
รสทั้งห้า ทำให้ลิ้นชาด้าน
การพนันและการล่าสัตว์
ทำให้จิตใจของคนขุ่นหมอง
ของมีราคาและหายาก
ทำให้เกิดอันตรายแก่ความประพฤติของผู้คน
ดังนั้นปราชญ์จึงกระทำการ
เพียงเพื่อให้ท้องอิ่มเท่านั้น
มิใช่เพื่อความสำราญของ ตา หู และลิ้น
ท่านละเลยในรูปแบบอันเป็นเปลือก
หันมาเอาใจใส่ในแก่นแท้
-13-
การยกย่องและการดูแคลน
" เมื่อได้รับการยกย่องและการดูแคลน
ย่อมทำให้ผู้คนหวาดผวา
สิ่งที่เราชมชอบและสิ่งที่เรากลัวเกรง
ย่อมอยู่ภายในตัวของเราเอง "
" เมื่อได้รับการยกย่องและเมื่อได้รับการดูแคลน
ย่อมทำให้ผู้คนหวาดผวา "
นี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า
ผู้ที่ได้รับการยกย่องจากเบื้องบน
ย่อมตื่นเต้นเมื่อได้รับ และย่อมหวาดผวาเมื่อสูญเสีย
" สิ่งที่เราชมชอบและสิ่งที่เรากลัวเกรง
ย่อมอยู่ภายในตัวของเราเอง "
นี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า
เมื่อเราไม่นำพาต่อตัวตน
มีอะไรที่เราจะต้องเกรงกลัวอีก
ดังนั้นผู้ที่ให้คุณค่าแก่โลกเทียบเท่ากับตน
ย่อมได้รับความไว้วางใจให้ปกครองโลก
และผู้ที่รักโลกเทียบเท่าตน
ย่อมได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลโลก
-14-
ตามรอยเต๋า
จ้องมอง แต่มิอาจเห็น นี่เรียกว่า ไร้รูป
สดับฟัง แต่มิอาจได้ยิน นี่เรียกว่า ไร้เสียง
ไขว่คว้า แต่มิอาจจับต้อง นี่เรียกว่า ไร้ตัวตน
สิ่งทั้งสามนี้ อยู่เหนือ คำอธิบายใดๆ
ทั้งหมดนี้ประสานกลมกลืนกัน และกลายเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อปรากฏขึ้น ก็ปราศจากแสงสว่าง
เมื่อจางหายไป ก็ปราศจากความมืด
เป็นรูปที่ไร้รูป เป็นตัวตนที่ว่าง
มีความต่อเนื่อง และไม่แปรผัน
สิ่งนี้มิอาจตั้ง นิยาม ให้ได้
หวนกลับไปสู่อาณาจักรแห่งความว่างเปล่า
จึงเรียกว่า ความไร้
มีภาพพจน์แห่งความว่างเปล่า
จึงเรียกว่า ความว่าง
ตามติดไปเบื้องหน้า แต่มิอาจเห็นหน้า
ติดตามไปเบื้องหลัง แต่มิอาจเห็นหลัง
ผู้ที่ปฏิบัติภารกิจในปัจจุบัน
โดยยึดมั่นในหลักการแห่งเต๋า แต่โบราณกาล
ย่อมสามารถ หยั่งรู้ ถึงต้นกำเนิดเดิม
นี่คือ วิถีแห่งเต๋า
-15-
ผู้ชาญฉลาดในสมัยโบราณ
บุคคลผู้ชาญฉลาดแต่โบราณกาล
เปี่ยมล้น ไปด้วยปรีชาญาณ
ล้ำลึก ไปด้วยความรอบรู้
ลึกซึ้ง จนมิอาจหยั่งถึง
และด้วย มิอาจหยั่งถึง นี้เอง
จึงจำเป็นจะต้องบรรยายลักษณะดังนี้
มีความรอบคอบ
คล้ายกับกำลังข้ามแม่น้ำที่แข็งตัวในฤดูหนาว
มีความระมัดระวัง
คล้ายกับกำลังป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในทุกที่
มีความสำรวม คล้ายกำลังปฏิบัติตนเป็นอาคันตุกะ
มีความอ่อนน้อม คล้ายกับหิมะที่เริ่มจะละลาย
มีความเปิดเผยซื่อตรง คล้ายกับไม้ที่ยังไม่ได้แกะสลัก
มีความว่าง คล้ายกับหุบเขา
และโง่งม คล้ายกับสายน้ำอันขุ่นข้น
ใครจะสามารถสงบอยู่ได้
ภายในโลกอันสับสนคล้ายโคลนตม
ด้วยอาศัยความสงบนิ่ง ก็กลับกระจ่างชัดขึ้น
ใครจะสามารถสงบอยู่ได้นาน
จนอาจ นำไปสู่ การกลับฟื้นคืนชีวิต
ผู้ที่ยึดมั่นในหนทางแห่งเต๋า
ย่อมหลีกเลี่ยงความเปี่ยมล้น
และเพราะการหลีกเลี่ยงจากความเปี่ยมล้นนี้เอง
ย่อมทำให้รักษาตนไว้ได้
พ้นจากความเสื่อมโทรม
และมิต้องแสวงหาสิ่งทดแทน
-16-
สรรพสิ่งล้วนกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม
ครอบครองความเป็นสุญญตาไว้ รักษารากฐานแห่งความสงบไว้
สรรพสิ่งมากมายล้วนกำเนิดขึ้น และดำเนินไปตามวิถี
ข้าพเจ้าได้คอยเฝ้ามองสรรพสิ่ง กลับไปสู่ต้นกำเนิดเดิม
เพื่อพักผ่อนอย่างสงบ เหมือนกับพืชพันธุ์
ที่เติบโตผลิดอกออกผล แตกกิ่งและช่อใบมากมาย
ที่สุดก็ต้องกลับไปสู่รากฐานเดิม คือปฐพีที่ให้กำเนิด
การกลับไปสู่รากฐานเดิมที่ให้กำเนิด
คือ ความสงบ เรียกว่ากลับไปสู่ธรรมชาติเดิมของตน
กลับไปสู่ธรรมชาติเดิมของตน
ย่อมค้นพบกฎเกณฑ์อันไม่แปรเปลี่ยน จึงเรียกได้ว่า เป็นผู้รู้แจ้ง
หากไม่รู้กฎเกณฑ์อันไม่แปรเปลี่ยนนี้ ย่อมนำความเสื่อมสลายมาสู่ตน
ผู้ซึ่งรู้กฎเกณฑ์อันไม่แปรเปลี่ยนนี้ย่อมมีความใจกว้าง
เมื่อมีความใจกว้าง ย่อมมีความยุติธรรม
เมื่อมีความยุติธรรม ย่อมเป็นสากล
เมื่อเป็นสากล ย่อมกลมกลืนกับธรรมชาติโดยไม่ขัดแย้ง
เมื่อกลมกลืนกับธรรมชาติ ย่อมกลมกลืนกับเต๋าด้วย
เมื่อกลมกลืนกับเต๋า ผู้นั้นก็เป็นอมตะ
ตลอดชีวิตของท่านจะไม่มีภัยใดๆ มาแผ้วพานได้
-17-
ผู้ปกครองประเทศที่ดี
ผู้ปกครองที่ดีที่สุดนั้น ราษฎรเพียงแต่รู้ว่ามีเขาอยู่
ที่ดีรองลงมา ราษฎรรักและยกย่อง
ที่ดีรองลงมา ราษฎรกลัวเกรง
รองลงมาเป็นอันดับสุดท้าย ราษฎรชิงชัง
เมื่อนักปกครองขาดศรัทธาในเต๋า
ก็มักต้องการให้ประชาชนมาศรัทธาในตน
แต่สำหรับนักปกครองที่ยอดเยี่ยมนั้น
เมื่อภารกิจได้สำเร็จลงแล้ว การงานได้ลุล่วงลงแล้ว
ราษฎรต่างพากันภาคภูมิใจและกู่ก้องว่า
" การงานนั้นล้วนสำเร็จลงด้วยความสามารถของเรา "
-18-
เกิดขึ้นเพราะความเสื่อม
เมื่อสัจธรรมแห่งเต๋าเสื่อมโทรมลง
ความถูกต้องและความดีงามก็เกิดขึ้น
เมื่อความรอบรู้และความเฉลียวฉลาดเกิดขึ้น
ความหน้าไหว้หลังหลอกก็ติดตามมา
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติทั้งหก
ไม่เป็นไปโดยปรกติสุข
ก็เกิด " บิดาใจดี " และ " บุตรกตัญญู "
เมื่อประเทศชาติตกอยู่ในความยุ่งเหยิง
คุณค่าของขุนนางผู้ภักดีก็เกิดขึ้น
-19-
ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์
ละทิ้งความเฉียบแหลม ละเลยความรอบรู้
ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์อีกร้อยเท่า
ละทิ้งความถูกต้อง ละเลยความยุติธรรม
ประชาชนก็จะปรองดองกันดุจเครือญาติ
ละทิ้งเล่ห์เหลี่ยม ละเลยผลประโยชน์ หัวขโมยก็จะหมดสิ้นไป
สิ่งทั้งสามนี้ คือกิริยาอาการภายนอก ที่เสแสร้งขึ้นอย่างไร้ประโยชน์
ราษฎรต้องการพึ่งพาใน การเป็นตัวของตัวเองอย่างง่ายๆ
สอดคล้องกับธรรมชาติดั้งเดิม
เพื่อขจัดความเห็นแก่ตัว เพื่อตัดรากเหง้าแห่งความโลภ
-20-
ผู้อื่นกับตัวข้าพเจ้า
เลิกการศึกษาเล่าเรียนเสีย ปัญหามากมายก็จะสิ้นสุดลง
ระหว่าง " ใช่ " กับ " ไม่ใช่ " นั้น แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
ระหว่าง " ดี " กับ " ชั่ว " นั้น แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
สิ่งที่ผู้อื่นกลัวนั้น ก็มักทำให้เราต้องกลัวด้วย นี่เรียกว่าเป็น ความหลับในความตื่น
ผู้คนในโลกพากันยิ้มแย้มเริงร่า
คล้ายกับกำลังร่วมอยู่ในงานเลี้ยงฉลอง
คล้ายกับกำลังนั่งอยู่บนหอสูง เพื่อชมความงามในฤดูใบไม้ผลิ
มีแต่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่สงบเสงี่ยม
คล้ายกับผู้ตัดขาดจากความยินดียินร้ายทั้งปวง
คล้ายกับทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถแม้แต่จะยิ้ม
ไม่ผูกพันอยู่กับสิ่งใด คล้ายผู้พเนจรที่ไร้บ้านเรือน
ผู้คนในโลกแม้เมื่อมีทรัพย์มากพอแล้ว ก็ยังเก็บงำสั่งสม
มีแต่ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้สละละโดยสิ้นเชิง
ดวงใจข้าพเจ้าคล้ายกับผู้โง่งม ขุ่นมัวเคลือบคลุม
ผู้อื่นเป็นผู้รู้ เฉียบแหลม ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่งมงายสับสน
ผู้อื่นฉลาด มั่นใจในตน ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ต่ำต้อย
อดทนเหมือนท้องทะเล ล่องลอยไร้จุดหมาย
ผู้คนในโลกล้วนมีจุดมุ่งหมาย ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ดื้อดึงเซ่อซ่า
ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่แตกต่างจากคนอื่น
เพราะได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วย คุณค่าอันสูงส่ง จากมารดาแห่งสรรพสิ่ง
21-
พลังแห่งเต๋า
รูปรอยแห่งคุณความดีอันยิ่งใหญ่ 
ล้วนถูกชักนำมาจากเต๋า
สิ่งที่เรียกว่าเต๋านี้ เห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้
เห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ สิ่งที่แฝงเร้นภายในคือ รูปที่ไร้รูป
เห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้
สิ่งที่แฝงเร้นภายในคือ แก่นที่ไร้แก่น มืดมัว สลัวราง
สิ่งที่แฝงเร้นภายในคือ พลังแห่งชีวิต พลังแห่งชีวิตนี้มีอยู่จริง
สิ่งที่แฝงเร้นนี้ปรากฏอยู่อย่างชัดแจ้ง
ตั้งแต่โบราณกาลจวบปัจจุบัน นามที่ไร้สำเนียงของเต๋ามิเคยถูกลบล้าง
จากสิ่งนี้เองเราก็อาจรู้แจ้งในต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง
เหตุใดข้าพเจ้าจึงรู้ซึ้งถึงต้นกำเนิดเดิม โดยอาศัยเต๋า
-22-
การไม่แก่งแย่งแข่งขัน
ยอมเป็นผู้ต่ำต้อยจึงรักษาตนไว้ได้ ยอมงอจึงกลับตรงได้
ยอมว่างเปล่าจึงเต็มได้ ยอมเก่าจึงกลับใหม่
ผู้มีน้อยก็จะได้รับ ผู้มีมากจะถูกลดทอน
ดังนั้นปราชญ์ย่อมรักษาความเป็น หนึ่งเดียว ไว้
ท่านจึงกลายเป็นแบบอย่างของโลก
ท่านมิได้แสดงตนให้ปรากฏ ความรุ่งโรจน์ของท่านกลับปรากฏขึ้น
ท่านมิได้ผยองลำพอง ชื่อเสียงของท่านกลับลือเลื่อง
ท่านมิได้โอ้อวดตน ประชาชนกลับไว้วางใจ
ท่านมิได้ภาคภูมิใจ แต่กลับได้เป็นผู้นำของประชาชน
ด้วยเหตุว่าท่านมิได้แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด
จึงไม่มีใครในโลกมาแข่งขันกับท่าน
ตามที่โบราณได้กล่าวไว้ว่า
" ยอมเป็นผู้ต่ำต้อยจึงรักษาตนไว้ได้ "
นี้มิอาจนับได้ว่าเป็นความจริงหรือ ดังนั้นปราชญ์จึงดำรงตนไว้ได้
และโลกทั้งโลกก็ให้ความเคารพ
-23-
เข้าร่วมกับเต๋า
การพูดมากนั้นขัดกับธรรมชาติ แม้แต่พายุจัดยังพัดไม่ถึงเช้า
แม้แต่พายุฝนยังตกไม่ถึงวัน ใครเล่าทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้
คือ ธรรมชาติ แม้แต่ธรรมชาติยังไม่อาจทำสิ่งใดได้ยาวนาน
แล้วคนเล่าจะทำได้น้อยกว่า ธรรมชาติ อีกสักเพียงใด
ดังนั้นผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งเต๋า ก็จะได้ร่วมกับเต๋า
ผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งคุณความดีก็จะได้ร่วมกับคุณความดี
ผู้ที่ละทิ้งหนทางแห่งเต๋า ก็จะหลงทางอยู่กับการละทิ้ง
ผู้ที่เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า เต๋าก็ตอบสนอง
ผู้ที่เข้าร่วมกับคุณความดี คุณความดีก็ตอบสนอง
ผู้ที่เข้าร่วมกับการละทิ้ง การถูกละทิ้งก็ตอบสนอง
ผู้ที่ขาดศรัทธา จะสามารถ..
ทำให้ผู้อื่นเกิดความศรัทธาเชื่อถือในตนได้อย่างไร
-24-
กากเดนของคุณความดี
ผู้ที่ยืนเขย่งบนปลายเท้าจะยืนได้ไม่มั่นคง
ผู้ที่เดินเร็วเกินไปจะเดินไม่ได้ดี
ผู้ที่แสดงตนให้ปรากฏจะไม่เป็นที่รู้จัก
ผู้ที่ยกย่องตนเองจะไม่มีใครเชื่อถือ
ผู้ที่ลำพองจะไม่ได้เป็นหัวหน้าในหมู่คน
สิ่งเหล่านี้ในทัศนะของเต๋าแล้ว ย่อมเรียกได้ว่า
กากเดนและเนื้อร้ายของคุณความดี
อันเป็นสิ่งที่พึงเหยียดหยาม
ดังนั้นบุคคลผู้ยึดมั่นในหนทางแห่งเต๋า พึงหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้
-25-
ความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาล
ก่อนการดำรงอยู่ของฟ้าและดิน มีบางสิ่งบางอย่างมืดมัวเคลือบคลุม
เงียบงัน โดดเดี่ยว อยู่เพียงลำพัง ไม่แปรเปลี่ยน 
เป็นอมตะหมุนเวียนไม่หยุดยั้ง มีค่าควรแก่การเป็นมารดาของสรรพสิ่ง
ข้าพเจ้าไม่ทราบชื่อสิ่งนั้น
แต่ถ้าถูกบังคับให้เรียก ก็จะเรียกว่า " เต๋า " และจะให้ชื่อว่า " ยิ่งใหญ่ "
ยิ่งใหญ่หมายถึงความต่อเนื่อง ความต่อเนื่องหมายถึงความยาวไกล
ความยาวไกลหมายถึงการกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม
ดังนั้นเต๋าจึงยิ่งใหญ่ ฟ้าจึงยิ่งใหญ่ ดินจึงยิ่งใหญ่
ปราชญ์จึงยิ่งใหญ่ นี่คือความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาล
และปราชญ์ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น
คนทำตามกฎแห่งดิน ดินทำตามกฎแห่งฟ้า
ฟ้าทำตามกฎแห่งเต๋า เต๋าคงอยู่และเป็นไปด้วยตนเอง
-26-
ความหนักแน่นและความสงบ
ความหนักแน่นเป็นรากฐานแห่งความไม่มั่นคง
ความสงบเป็นนายของความรีบเร่งลนลาน
ดังนั้นปราชญ์จึงเดินทางไปตลอดวัน
โดยไม่เคยละทิ้งรถเสบียง
อันบรรจุความหนักแน่นและความสงบอยู่จนเปี่ยมล้น
ในท่ามกลางเกียรติศักดิ์และความรุ่งโรจน์
ท่านก็สามารถอยู่อย่างสงบโดยไม่ถูกรบกวน
ทำอย่างไรจึงจะทำให้จักรพรรดิผู้ปกครองประเทศ
หันมาใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งปราชญ์นี้
ในท่ามกลางความไม่มั่นคง
ความหนักแน่นก็สูญสลายไป
ในท่ามกลางความรีบเร่ง ความสงบก็สูญสลายไป
-27-
ช่วยสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
นักเดินทางที่ดีไม่ทิ้งร่องรอย
นักพูดที่ดีไม่มีข้อผิดพลาด
นักคำนวณที่ดีไม่ต้องใช้ไม้ติ้ว
บานประตูที่ดีไม่ต้องใช้สลักใช้กลอน
แม้กระนั้นก็ไม่สามารถเปิดออก
เงื่อนปมที่ดีไม่ต้องใช้เชือกมาผูก
แม้กระนั้นก็ไม่สามารถแก้ออก
ดังนั้นปราชญ์จึงมีความดีในการช่วยเหลือผู้คน
ไม่มีใครเลยที่ถูกท่านปฏิเสธ
ท่านมีความดีในการบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่ง
ไม่มีสรรพสิ่งใดเลยที่ถูกท่านปฏิเสธ
นี่จึงเรียกว่าท่านเป็นผู้รู้แจ้ง
ดังนั้นคนดีจึงเป็นครูของคนชั่ว
คนชั่วจึงเป็นอุทธาหรณ์ของคนดี
คนใดไม่เคารพนอบน้อมต่อผู้ที่เป็นครู
หรือคนใดไม่มีความรักต่อผู้ที่เป็นอุทธาหรณ์
ถึงแม้จะมีความรอบรู้สักเพียงใด ก็ยังได้ชื่อว่า
เป็นผู้หลงทางผิด นี่คือความจริงอันล้ำลึกยิ่ง
-28-
แสดงออกด้วยความง่าย
ผู้มีความเข้มแข็ง
แต่แสดงออกด้วยความอ่อนโยน
ก็จะกลายเป็นลำธารของโลก
การเป็นลำธารของโลก
ก็จะได้รับทิพยอำนาจอันไม่มีสิ้นสุด
และกลับไปสู่สภาวะทารกอันไร้เดียงสา
ผู้มีความรู้กระจ่างดั่งสีขาว
แต่แสดงออกด้วยความคลุมเครือดั่งสีดำ
ก็จะกลายเป็นแบบอย่างของโลก
การเป็นแบบอย่างของโลก
ก็จะได้รับทิพยอำนาจอันไม่มีสิ้นสุด
และกลับไปสู่สภาวะอันสูงเยี่ยม
ผู้มีเกียรติและความรุ่งเรือง
แต่แสดงออกด้วยความถ่อมตน
ก็จะกลายเป็นหุบเขาของโลก
การเป็นหุบเขาของโลก
ก็จะได้รับทิพยอำนาจอันไม่มีสิ้นสุด
และกลับไปสู่ความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ดังอดีต
ความง่ายนั้นเหมือนกับไม้ที่ยังมิได้แกะสลัก
เมื่อนำมาสลักเสลาก็จะกลายเป็นภาชนะอันมีประโยชน์
เมื่อปราชญ์รับอาสาเข้าปฏิบัติภารกิจ
ท่านจะเป็นเอกในหมู่เสนาบดี
มหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่จะไม่มีวันถูกโค่นล้ม
-29-
ใครจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลก
มีบางคนที่จะคิดยึดครองโลก
และจัดการเปลี่ยนแปลงไปตามที่ตนปรารถนา
ข้าพเจ้าทราบดีว่าเขาคงทำไม่สำเร็จเป็นแน่
ด้วยโลกนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์
มนุษย์ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวบิดเบือน
ผู้ที่พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่ากับทำลายมัน
ผู้ที่พยายามเข้าครอบครองจะต้องสูญเสีย
ดังนั้นปราชญ์ย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ท่านจึงมิได้ทำลายมัน ไม่เข้าไปครอบครอง
จึงมิได้สูญเสีย
มีบ้างบางคนชอบไปข้างหน้า
บางคนติดตามมาข้างหลัง
บ้างชอบร้อน บ้างชอบหนาว
บ้างแข็งแรง บ้างอ่อนแอ
บ้างเฟื่องฟู บ้างตกต่ำ
ดังนั้นปราชญ์ย่อมละทิ้งความเกินเลย
ละทิ้งความฟุ่มเฟือย
ละทิ้งความผยองลำพอง
-30-
สงคราม
ผู้ที่รู้เต๋าและประสงค์จะเข้ามาช่วยเหลือกิจการบ้านเมือง
จะต้องคัดค้านการพิชิตด้วยกำลังทหาร
เพราะสิ่งนี้จะได้รับการตอบแทน
ยกทัพไปรุกรานผู้อื่นก็จะถูกผู้อื่นยกทัพมากระทำตอบ
เมื่อกองทัพยกไปถึงที่ใด
ดินแดนนั้นก็จะเต็มไปด้วยหญ้าและพงหนาม
เมื่อยกทัพใหญ่ไป
สิ่งที่จะตามมาก็คือช่วงเวลาแห่งความขาดแคลน
ความยากแค้น และความอดอยาก
ดังนั้นเมื่อขุนพลทำการรบสำเร็จผลก็หยุดยั้ง
มิกล้าที่จะพึ่งพาความเข้มแข็งของกำลังทัพ
สำเร็จผลแล้วไม่ถือว่ารุ่งโรจน์
สำเร็จผลแล้วไม่โอ้อวด
สำเร็จผลแล้วไม่ลำพอง
ความสำเร็จผลนั้นถือว่าเป็นความจำเป็นอันน่าโศกเศร้า
ความสำเร็จผลนั้นเกิดขึ้นมิใช่ด้วยนิยมในความรุนแรง
เมื่อมีเวลารุ่งโรจน์ก็มีเวลาตกต่ำ
ด้วยความรุนแรงนี้ขัดกับเต๋า
ผู้ที่ขัดกับเต๋าจะจบสิ้นไปโดยเร็ว
-31-
ชัยชนะอันน่าโศกเศร้า
ศัตราวุธนั้นแม้จะมีลวดลายสวยงาม
แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่สุด
ผู้คนต่างเกลียดชังมัน
ดังนั้นผู้มีศาสนธรรมย่อมหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธ
บุคคลผู้เจริญนิยมด้านซ้ายว่าเป็นด้านแห่งสวัสดิมงคล
แต่ในพิธีการทางการทหารนิยมทางด้านขวา
อาวุธนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย
หาใช่เป็นสิ่งที่บุคคลผู้เจริญสมควรใช้ไม่
เมื่อมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ทางออกที่ดีที่สุดคือตั้งตนอยู่ในความสงบ
แม้ชัยชนะในการรบก็มิอาจนับว่าเป็นสิ่งดีงาม
และผู้ที่คิดว่ามันเป็นสิ่งดีงาม
คือผู้ที่ชื่นชอบในการฆ่าฟัน
ผู้ที่ชื่นชอบในการฆ่าฟัน
จะไม่ได้รับความสมปรารถนาใดๆ เลยภายใต้แผ่นฟ้า
ถือกันว่าสวัสดิมงคลนั้นอยู่ข้างซ้าย
ถือกันว่าอัปมงคลนั้นอยู่ข้างขวา
รองแม่ทัพจึงยืนอยู่ด้านซ้าย แม่ทัพจึงยืนอยู่ด้านขวา
นี่อาจกล่าวได้ว่าการรบเป็นพิธีของงานศพ
การล้างผลาญคนเป็นจำนวนมากมาย
ย่อมนำมาซึ่งการคร่ำครวญและโศกสลด
แม้ชัยชนะนั้นก็ต้องเฉลิมฉลองด้วยพิธีศพ
-32-
มหาสมุทรแห่งสรรพสิ่ง
เต๋าอันสูงสุดนั้นไร้ชื่อ
ท่อนไม้อันยังมิได้สลักเสลา
ก็จะไม่มีใครนำเอาไปใช้เป็นภาชนะได้
หากกษัตริย์และขุนนาง
สามารถรักษาความเป็นธรรมชาติอย่างง่ายๆนี้ไว้ได้
โลกทั้งโลกก็จะมานอบน้อมต่อท่าน
เมื่อฟ้าและดินเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
สายฝนอันชื่นฉ่ำก็ตกลงมา
อยู่เหนือการบังคับบัญชาของทุกสิ่ง
เมื่ออารยธรรมของมนุษย์เกิดขึ้น
ชื่อสำหรับใช้เรียกสิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นด้วย
และมีมาตั้งแต่นั้น
พึงรู้ว่าเมื่อใดถึงเวลาควรหยุด หยุดอะไรเล่า
หยุดความวุ่นวายความสับสน
หยุดความยุ่งยากซับซ้อน
หยุดความเปรื่องปราด
หยุดความเจริญในทางโลก
ผู้ที่รู้ว่าเมื่อใดควรหยุด ก็จะรอดพ้นจากภัยทั้งสิ้น
เต๋านั้นอาจเปรียบได้กับแม่น้ำทั้งหลาย
อันไหลไปรวมกัน ณ ท้องมหาสมุทร
-33-
รู้จักตนเอง
ผู้ที่เข้าใจผู้อื่นคือผู้รอบรู้ ผู้ที่เข้าใจตนเองคือผู้รู้แจ้ง
ผู้ที่มีชัยต่อคนอื่นคือผู้มีกำลัง
ผู้ที่มีชัยต่อตนเองคือผู้เข้มแข็ง
ผู้ที่มักน้อยคือผู้ร่ำรวย ผู้ที่มานะพยายามคือผู้มีความหวัง
ผู้ที่อยู่ในสถานะอันเหมาะสมของตน 
ย่อมอยู่ได้ยาวนาน
ถึงแม้ผู้นั้นจะสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่คุณความดียังคงอยู่สืบไป
-34-
เต๋าอันยิ่งใหญ่
เต๋าอันยิ่งใหญ่นั้นไหลบ่าท่วมท้นไปทุกแห่งหน
เหมือนกับสายน้ำอาจไหลไปทางซ้ายหรือทางขวา
สรรพสิ่งอุบัติขึ้นจากเต๋า จึงไม่มีสิ่งใดอาจฝ่าฝืนเต๋าได้
เมื่องานของเต๋าสำเร็จลุล่วงลง
ก็มิได้เข้าครอบครอง
เต๋าถนอมและบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่ง แต่มิได้ตั้งตนเป็นเจ้าของ
การดูแลของเต๋าปราศจากกิเลสตัณหา
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเต๋าเป็นสิ่งเล็ก
และจากการเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสิ่ง
ก็อาจกล่าวได้อีกว่าเต๋าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ด้วยเหตุที่เต๋าไม่เคยประกาศความยิ่งใหญ่
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบั้นปลาย
ความยิ่งใหญ่ของเต๋าจึงปรากฏขึ้นและคงอยู่
-35-
ลักษณะเด่นคือความสามัญ
ยึดมั่นในหนทางอันยิ่งใหญ่ (เต๋า)
และโลกทั้งโลกก็จะดำเนินรอยตาม
ตามรอยนี้ก็จะนิราศจากภัย
มีชีวิตอยู่ด้วยความรุ่งเรือง สันติสุข และมั่นคง
ดนตรีเสนาะ อาหารโอชะ 
มักทำให้ผู้เดินทางต้องหยุดยั้ง
แต่เต๋านั้น จืดชืด จนไร้รสชาติ มองหาก็ไม่อาจเห็น
ฟังดูก็ไม่ได้ยิน แต่เมื่อนำมาใช้
คุณประโยชน์นั้นจะไม่มีวันหมดสิ้น
-36-
ชนะแข็งด้วยอ่อน
ผู้ที่ถูกลดทอน จะต้องมีมากมาก่อน
ผู้ที่อ่อนแอ จะต้องเข้มแข็งมาก่อน
ผู้ที่ตกต่ำ จะต้องยิ่งใหญ่มาก่อน
ผู้ที่ได้รับ จะต้องให้มาก่อน
เหล่านี้คือ นัยที่แสดงออก ให้ปรากฏ
ความอ่อนละมุนมีชัยเหนือความแข็งกร้าว
ควรปล่อยให้มัจฉาอยู่ในสระลึกจะดีกว่า
เหมือนดั่งเก็บงำศัตราวุธทั้งมวล
ของบ้านเมืองไว้มิให้ใครแลเห็น
-37-
ปกครองด้วยความเรียบง่าย
เต๋าไม่เคยกระทำ แม้กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงลง
หากกษัตริย์และเจ้านครสามารถรักษาเต๋าไว้ได้
โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยความต่อเนื่อง
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปและเกิดการกระทำต่างๆขึ้น
จงปล่อยให้ความเรียบง่าย แต่บรรพกาล เป็นผู้ควบคุมการกระทำ
ความเรียบง่ายแต่บรรพกาลนี้ไร้ชื่อ
มันช่วย ขจัดความอยาก ทั้งปวง
เมื่อขจัดความอยากได้ ความสงบย่อมเกิดขึ้น
ดังนั้นโลกย่อมถึงซึ่งสันติสุข
-38-
เมื่อเต๋าสูญหายไป
บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรมสูงส่ง
มิได้รู้ว่าตนเองมีคุณธรรม
ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้มีคุณธรรม
บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรมเพียงเล็กน้อย
พยายามดิ้นรนรักษาคุณธรรมของตนไว้
กลับต้องสูญเสียมันไป
ผู้สูงส่งด้วยคุณธรรมดูคล้ายกลับเฉื่อยชา
แม้กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อยลง
ผู้ต่ำต้อยด้วยคุณธรรมทำแล้วทำเล่า
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่สำเร็จผล
ผู้มีเมตตายิ่งนั้นกระทำโดยปราศจากการกระตุ้นเตือน
ผู้มีความยุติธรรมยิ่งนั้นกระทำโดยการกระตุ้นเตือน
ผู้ยึดถือประเพณีอันเคร่งครัดกระทำโดยการกระตุ้นเตือน
ผู้ยึดถือประเพณีอันเคร่งครัดกระทำลงไป
เมื่อมิได้รับการตอบสนองต่อผู้ใด
ก็หันมาใช้วิธีการบังคับ
เนิ่นนานต่อมาผู้คนจึงค่อยๆ เชื่อถือตามอย่างประเพณี
ดังนั้นเมื่อเต๋าสาบสูญไป
คุณธรรมก็เข้ามาแทนที่
เมื่อคุณธรรมสูญหายไป
ความเมตตาก็เข้ามาแทนที่
เมื่อความเมตตาสูญหายไป
ความยุติธรรมก็เข้ามาแทนที่
เมื่อความยุติธรรมสูญหายไป
ประเพณีก็เข้ามาแทนที่
ประเพณีนั้นคือความภักดีและความสัตย์ซื่อ
ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในดวงใจ
และเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย
ความหยั่งรู้อย่างกระท่อนกระแท่น
เป็นเพียงภาพลวงของเต๋า
และเป็นจุดเริ่มต้นของความงมงาย
ดังนั้นมหาบุรุษย่อมธำรงความหนักแน่นไว้
มิกล้าเลินเล่อประมาท
อยู่ในความจริง ละทิ้งสิ่งมายา
ท่านปฏิเสธสิ่งหลังและยอมรับในสิ่งแรก
-39-
ขอเป็นระฆังหิน
ในอดีตกาลสิ่งเหล่านี้ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
จากความเป็นหนึ่งเดียวฟ้าก็กระจ่างแจ้ง
จากความเป็นหนึ่งเดียวพื้นดินก็มั่นคง
จากความเป็นหนึ่งเดียวดวงจิตก็ศักดิ์สิทธิ์
จากความเป็นหนึ่งเดียวแหล่งน้ำก็เปี่ยมล้น
จากความเป็นหนึ่งเดียวสรรพสิ่งก็ดำเนินไปและเติบโต
จากความเป็นหนึ่งเดียวกษัตริย์จึงได้ปกครองไพร่ฟ้า
นี่คือสาเหตุของความเป็นไป
หากฟ้าไม่กระจ่างแจ้งก็จะพังทลาย
หากพื้นดินไม่มั่นคงก็จะแตกร้าว
หากดวงจิตไร้ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะดับสูญ
หากแหล่งน้ำไม่เปี่ยมล้นก็จะเหือดแห้ง
หากสรรพสัตว์ไร้พลังแห่งชีวิตก็จะแตกดับ
หากกษัตริย์ไร้อำนาจก็จะถูกโค่นล้ม
ดังนั้นการเป็นผู้สูงส่งต้องพึ่งพาคนสามัญช่วยสนับสนุน
ความรุ่งโรจน์ต้องอาศัยความต่ำต้อยเป็นพื้นฐาน
นี่คือเหตุผลที่อธิบายว่า
ทำไมกษัตริย์และผู้ปกครองจึงเรียกตัวเองว่า
ผู้กำพร้า ผู้โดดเดี่ยว ผู้ไร้คุณค่า
นี่มิได้หมายความว่า
ท่านถือเอาความต่ำต้อยเป็นรากฐานหรอกหรือ
สิ่งที่ผู้คนรังเกียจมิใช่
ความกำพร้า ความโดดเดี่ยว และความไร้คุณค่าหรอกหรือ
แม้กระนั้นกษัตริย์และผู้ปกครองก็ยังนำมันมาตั้งเป็นฉายาแห่งตน
เกียรติสูงคือความไร้เกียรติ
เพิ่มพูนด้วยการลดทอน
ลดทอนแต่กลับได้เพิ่มพูน
มิอาจทำตัวให้มีเสียงก้องกังวานเหมือนระฆังหยก
ในขณะที่ผู้อื่นมีเสียงเหมือนระฆังหิน
-40-
วัฏฏะ
การ ย้อนกลับ คือการ กระทำ ของเต๋า
ความนุ่มนวลคือส่วนประกอบของเต๋า
สรรพสิ่งในโลก กำเนิด มาจากความมี
และความมี กำเนิดมาจาก ความว่าง
-41-
ระดับสูง
เมื่อคนในระดับสูงได้รับฟังเต๋า
ก็ปฏิบัติตามอย่างมานะ
เมื่อคนในระดับปานกลางได้รับฟังเต๋า
บางครั้งก็เข้าใจบางครั้งก็ไม่เข้าใจ
เมื่อคนในระดับต่ำสุดได้รับฟังเต๋า
ก็หัวเราะเยาะด้วยเสียงอันดัง
หากมิถูกหัวเราะเยาะก็คงจะมิใช่เต๋าแล้ว
ดังนั้นจึงมีคำกล่าวไว้ว่า
เต๋าอันกระจ่างแจ้งคล้ายดั่งมืดมน
เต๋าอันรุดหน้าคล้ายดั่งถดถอย
เต๋าอันราบรื่นคล้ายดั่งขรุขระ
สีขาวบริสุทธิ์คล้ายดั่งมืดดำ
คุณความดีอันสูงสุดคล้ายดั่งต่ำต้อย
คุณความดีอันเลอเลิศคล้ายบกพร่อง
คุณความดีอันหนักแน่นคล้ายเลื่อนลอย
ธรรมชาติอันง่ายๆคล้ายแปรเปลี่ยน
รูปจัตุรัสที่ใหญ่สุดนั้นไม่มีมุม
ภาชนะที่ใหญ่สุดนั้นไม่เคยสร้างสำเร็จ
เสียงดนตรีอันยิ่งใหญ่นั้นยากที่จะได้ยิน
ภาพอันยิ่งใหญ่นั้นไม่อาจมองเห็น
เต๋าอันเคลือบคลุมซ่อนเร้นนั้นไร้ชื่อ
มีเพียงเต๋าเท่านั้นที่เสริมสร้างบำรุงเลี้ยง
และให้ความสมบูรณ์แก่สรรพสิ่ง
42 
คำสอนประจำใจ
เต๋าให้กำเนิดแก่หนึ่ง จากหนึ่งเป็นสอง
จากสองเป็นสาม
จากสามเป็นสรรพสิ่งในจักรวาล
จักรวาลที่ถูกสร้างสรรค์
ประกอบด้วย " หยัง " อยู่ด้านหน้า
" หยิน " อยู่ด้านหลัง
สิ่งหนึ่งขาวสิ่งหนึ่งดำ
สิ่งหนึ่งบวกสิ่งหนึ่งลบ
ทั้งสองสิ่งผสมผสานกัน จนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
การเป็นผู้กำพร้า ผู้โดดเดี่ยว ผู้ไร้คุณค่า
เป็นสิ่งที่ผู้คนหลีกเลี่ยงมากที่สุด
แม้กระนั้นบรรดากษัตริย์และเจ้าครองนคร
กลับเรียกตนเองด้วยชื่อเหล่านั้น
ในบางครั้ง
มีบางสิ่งบางอย่างที่ได้รับคุณประโยชน์
เมื่อตัดทอนออกไป
และได้รับทุกข์ภัยเมื่อเพิ่มพูนเข้ามา
" บุคคลผู้ชมชอบในความรุนแรง
จะสิ้นชีวิตลงด้วยความรุนแรง "
มีบางคนได้สอนความจริงข้อนี้ไว้
ข้าพเจ้าก็ขอสอนเช่นนี้ด้วย
และจะถือเอาเป็นคำสอนประจำใจ
43
การไม่กระทำ
สิ่งที่อ่อนที่สุดในโลกนี้ สามารถเจาะผ่านสิ่งที่แข็งที่สุด
นั่นคือสิ่งที่ ไร้รูป ย่อมผ่านทะลุ สิ่งที่ไร้ ช่องว่าง
นี่เองข้าพเจ้าจึงทราบถึงคุณประโยชน์ของการไม่กระทำ
และการสอนโดยไม่ใช้คำพูด
คุณประโยชน์ของการไม่กระทำนั้น
ย่อมไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ในจักรวาล
44
รู้จักพอ
ชื่อเสียงกับตัวเอง อย่างไหนน่าหวงแหนมากกว่ากัน
ตัวเองกับทรัพย์สมบัติ
อย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน
รักษาชีวิตไว้ได้แต่สูญเสียทุกสิ่ง
รักษาทุกสิ่งไว้ได้แต่สิ้นชีวิต
อย่างไหนน่าเศร้าและเจ็บปวดมากกว่ากัน
ความจริงมีอยู่ว่า ผู้พึงใจในชื่อเสียง
ย่อมไม่ใยดีกับความยิ่งใหญ่
ผู้พึงใจจะมีมาก ย่อมละทิ้งความร่ำรวย
ผู้ที่รู้จักเพียงพอ จะไม่พบกับความอัปยศ
ผู้ที่รู้จักหยุดในเวลาที่เหมาะสม
จะไม่ตกอยู่ในภยันตราย เขาจึงมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน
45 
คล้าย 
สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด คล้ายดังมีความบกพร่องอยู่
แต่คุณประโยชน์ของมันไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งที่เต็มเปี่ยมที่สุด
คล้ายดังมีความว่างเปล่าอยู่
แต่คุณประโยชน์ของมันไม่มีที่สิ้นสุด
ที่ตรงที่สุดคล้ายดังคดงอ
ที่ชาญฉลาดที่สุดคล้ายดังโง่เขลา
ที่เปี่ยมด้วยโวหารคล้ายดังขัดข้องติดอ่าง
เมื่อเคลื่อนไหวทำให้หายหนาว
เมื่อหยุดนิ่งทำให้หายร้อน
ผู้มีความนิ่งมีความสงบ
จึงเป็นแบบอย่างอันเลอเลิศของจักรวาล
46
ม้าลากเกวียน
เมื่อโลกดำเนินไปตามหนทางแห่งเต๋า
ม้าฝีเท้าจัดก็ถูกนำมาใช้ลากเกวียน
เมื่อโลกมิได้ดำเนินไปตามหนทางแห่งเต๋า
ม้าศึกก็ถูกขับขี่ลาดตระเวนอยู่นอกเมือง
ไม่มีหายนะใดยิ่งใหญ่กว่าความไม่รู้จักพอ
ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่กว่าความโลภ
ดังนั้นสำหรับผู้ที่รู้จักพอ
ความพอนั้นจะทำให้มีพอไปตลอดชีวิต
47 
หยั่งรู้
โดยมิได้ย่างก้าวออกนอกประตู
ก็อาจรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก
โดยมิได้มองออกนอกหน้าต่าง
ก็อาจเห็นเต๋าแห่งสรวงสวรรค์
ยิ่งเดินทางแสวงหาไกลออกไปเท่าใด
ยิ่งรู้น้อยลงเท่านั้น
ดังนั้นปราชญ์อาจรู้โดยมิต้องเดินทาง
อาจเข้าใจโดยมิต้องมองเห็น
อาจสัมฤทธิ์ผลโดยมิต้องกระทำ
48
ความรู้ฝ่ายเต๋า
ผู้ศึกษาความรู้ฝ่ายโลก
ก็จะได้เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
ผู้ศึกษาความรู้ฝ่ายเต๋า
ก็จะสูญหายลดน้อยลงทุกวัน
ลดหายไป ลดหายไป
จนถึงภาวะแห่งการไม่กระทำ
และโดยภาวะแห่งการไม่กระทำนี้เอง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ถูกทำขึ้น
และสำเร็จเรียบร้อยลง
ผู้เป็นหลักแห่งโลก
ประกอบกรณียะโดยการไม่กระทำ
แต่หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ก็จะไม่มีการใดสำเร็จผลลงได้เลย
49 
ปราชญ์
ปราชญ์มิได้ใส่ใจในตน
ท่านถือเอาผู้อื่นเปรียบประดุจตัวท่าน
กับคนดีข้าพเจ้าก็ทำดีด้วย
กับคนชั่วข้าพเจ้าก็ทำดีด้วย
ทั้งนี้เพื่อให้เขาเปลี่ยนเป็นคนดี
กับคนมีสัจจะข้าพเจ้าก็เชื่อถือ
กับคนไร้สัจจะข้าพเจ้าก็ยังเชื่อถือ
ทั้งนี้เพื่อให้เขาเปลี่ยนเป็นคนมีสัจจะ
ปราชญ์อยู่ในโลกอย่างสงบกลมกลืน
มีใจกรุณาต่อทุกผู้คน
คนในโลกก็จะมีน้ำใจดีงาม
ท่านดูแลประชาชนเหมือนดังบุตรของตน 
50
อาณาจักรแห่งความตาย
เมื่อมนุษย์ก้าวผ่านพ้นชีวิต
เขาก็ย่างก้าวไปสู่ความตาย
อวัยวะแห่งชีวิตมีอยู่สิบสาม
อวัยวะแห่งความตายก็มีอยู่สิบสามเช่นกัน
และสิ่งที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้
ก็คืออวัยวะทั้งสิบสามนี้
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะความพยายามอย่างแรงกล้า
ที่จะรักษาชีวิตไว้นั่นเอง
มีคำกล่าวว่าผู้ที่รู้จักรักษาชีวิตของตนนั้น
เมื่อเดินทางอยู่บนแผ่นดินจะไม่พบแรดหรือเสือ
เมื่ออยู่ในสนามรบจะไม่บาดเจ็บด้วยอาวุธร้าย
นอของแรด เล็บของเสือ คมของอาวุธ
ไม่อาจแผ้วพานเขาได้
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
เหตุว่าเขาได้หลุดพ้น
จากอาณาจักรแห่งความตายแล้ว
51 
คุณความดีอันล้ำลึก
เต๋าให้กำเนิดแก่สรรพสิ่ง
คุณธรรมให้การบำรุงเลี้ยง
วัตถุธาตุให้รูปทรง
สิ่งแวดล้อมช่วยทำให้สมบูรณ์
ดังนั้นสรรพสิ่งในสกลจักรวาล
จึงเทิดทูนเต๋าและยกย่องคุณธรรม
เต๋าได้รับการเทิดทูนและคุณธรรมได้รับการยกย่อง
มิใช่ด้วยการบังคับขู่เข็ญของผู้ใด
แต่เป็นไปด้วยตนเอง
เต๋าให้กำเนิด
คุณธรรมให้การบำรุงเลี้ยง
ทำให้สรรพสิ่งเติบโตแผ่ขยาย
ให้สถานที่พักอาศัย เลี้ยงดู และปกปักรักษา
ให้กำเนิดแต่มิได้ครอบครอง
บำรุงเลี้ยงแต่มิได้ถือเป็นความดี
มีความยิ่งใหญ่แต่มิได้เข้าบังคับบัญชา
นี่คือคุณความดีอันล้ำลึก
52
ปิดประตูแห่งตน
มีต้นกำเนิดแห่งจักรวาล
อันอาจถือได้ว่าเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง
จากต้นกำเนิดนี้เราก็อาจรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น
เมื่อรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็สามารถสงวนรักษาต้นกำเนิดไว้ได้
ดังนั้นตลอดชีวิตของผู้ที่ปฏิบัติดังนี้
ย่อมรอดพ้นจากภัยทั้งปวง
กั้นช่องว่างรอยโหว่แห่งตน
ปิดประตูแห่งตน
ตลอดชีวิตจะไม่พบกับความยุ่งยาก
เปิดช่องว่างแห่งตน
วุ่นวายอยู่กับกิจธุระการงาน
ตลอดชีวิตไม่มีทางรื้อฟื้นคืนดี
ผู้ที่อาจแลเห็นสิ่งเล็กน้อยได้
เรียกว่ามีสายตาแหลมคม
ผู้ที่รักษาความอ่อนโยนไว้ได้
เรียกว่ามีความแข็งแกร่ง
ใช้แสงสว่างภายนอก
สาดส่องเข้าไปจนถึงความเห็นแจ้งภายใน
นี่จึงช่วยให้พ้นจากหายนะ
และนี่จึงอาจเรียกว่า
" การดำเนินตามวิถีแห่งเต๋าอันอมตะ "
53
ทางใหญ่
หากข้าพเจ้ารู้จักการไม่ฟุ่มเฟือยเห่อเหิม
นับว่าเป็นการเดินอยู่บนหนทางใหญ่
ข้าพเจ้าจะหลีกเลี่ยงไม่เดินบนทางเล็กทางน้อย
ทางใหญ่นั้นง่ายและเดินสะดวก
แต่ผู้คนกลับชอบเดินในตรอกซอกซอย
เหล่าผู้ปกครองนั้นได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี
ในขณะที่ไร่นารกร้าง
ยุ้งฉางว่างเปล่า
เขาสวมเสื้อผ้ามีลวดลายปัก
สะพายดาบงดงาม
ดื่มกินอย่างฟุ่มเฟือย
มีความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติมากจนเกินการ
เราอาจเรียกเหล่าผู้ปกครองนั้นได้ว่ามหาโจร
สิ่งเหล่านี้ล้วนนำโลกไปสู่ความฉ้อฉล
นี่มิใช่การละทิ้งเต๋าอันเป็นทางใหญ่หรอกหรือ
54 
นำเอาไปใช้
ผู้ที่มั่นคงไม่หวั่นไหวง่าย
ผู้ที่จับไว้แน่นไม่พลัดหลุดง่าย
จากชั่วอายุคนหนึ่งสืบทอดไปยังลูกหลาน
พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษจะไม่สิ้นสุดลง
นำไปใช้กับบุคคล คุณความดีก็มีจริงแท้
นำไปใช้กับครอบครัว คุณความดีก็มากล้น
นำไปใช้กับหมู่บ้าน คุณความดีก็เพิ่มทวี
นำไปใช้กับประเทศ คุณความดีก็รุ่งเรือง
นำไปใช้กับโลก คุณความดีก็แผ่ขยายครอบคลุม
ดังนั้นตนจึงพิจารณาถึงตัวตน
คนในครอบครัวพึงพิจารณาถึงครอบครัว
คนในหมู่บ้านพึงพิจารณาถึงหมู่บ้าน
คนในประเทศพึงพิจารณาถึงประเทศ
คนในโลกพึงพิจารณาถึงโลก
เหตุใดข้าพเจ้าจึงทราบว่าโลกเป็นเช่นนี้
ก็ด้วยเต๋า
55 
กลับเป็นเด็กทารก
ผู้เต็มเปี่ยมด้วยคุณความดี
คล้ายกับเด็กทารก
แมลงมีพิษไม่ต่อยกัด
สัตว์ร้ายไม่จู่จับ
นกร้ายไม่จิกตี
กระดูกของทารกนั้นอ่อน
กล้ามเนื้อนุ่มนิ่ม
แต่ถ้าจับฉวยสิ่งใด
ก็ยึดไว้แน่น
ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ทางเพศ
ระหว่างชายหญิง
แต่อวัยวะเพศของเด็กก็สมบูรณ์
นี่แสดงว่ากำลังของเด็กไม่เสื่อมถอย
ร้องไห้อยู่ตลอดวัน
น้ำเสียงก็ไม่แหบแห้ง
นี่แสดงว่าร่างกายของเด็ก
มีความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์
สามารถล่วงรู้ถึงความกลมกลืนนั้น
ก็อาจถึงความยั่งยืน
เมื่อถึงความยั่งยืน
ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้รู้แจ้ง
พยายามจะยืดชีวิตของตน
ออกไปให้ยาวนาน
เป็นการใฝ่หาความทุกข์ยาก
ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์
เป็นการแส่หาเรื่องราว
ด้วยสรรพสิ่งย่อมสิ้นสุดลง
เมื่อถึงอายุขัย
การไม่รู้จักยับยั้งความต้องการ
เป็นสิ่งที่ขัดกับเต๋า
และผู้ที่ขัดกับเต๋า
จะต้องดับสูญไปโดยเร็ว
56
เหนือโลก
ผู้ที่รู้ไม่พูด ผู้ที่พูดไม่รู้
ถมช่องว่าง
ปิดประตู ที่คมทำให้ทื่อ
ที่ยุ่งแก้ให้หลุด
ที่กระจ่างเกินไป ก็ลดลงเสียบ้าง
ที่วุ่นวายหลีกให้พ้น
นี่คือเอกภาพอันล้ำลึก
เมื่อทำได้ดังนี้
ทั้งความรักและความเกลียด
ก็ไม่อาจแผ้วพาน
การได้หรือการสูญเสีย
ก็ไร้ความหมาย
มีเกียรติหรือต่ำต้อย ก็มีผลเท่ากัน
ผู้ที่ทำได้ดังนั้นจึงเป็นผู้มีเกียรติสูงสุด
อย่างแท้จริงในโลกนี้
57 
การปกครอง
ปกครองอาณาจักรด้วยธรรม
ทำศึกด้วยเพทุบาย
มีชัยต่อโลกโดยการไม่กระทำ
เหตุใดข้าพเจ้าจึงทราบดังนี้
จากสิ่งเหล่านี้คือ
ข้อห้ามยิ่งมาก
ประชาราษฎร์ยิ่งยากจน
อาวุธยิ่งแหลมคม
ประเทศยิ่งวุ่นวายสับสน
วิทยาการยิ่งมีมาก
สิ่งประดิษฐ์ยิ่งแปลกประหลาด
กฎหมายยิ่งมีมาก
โจรผู้ร้ายยิ่งชุกชุม
ดังนั้นปราชญ์จึงกล่าวไว้ว่า
"ข้าพเจ้ามิได้กระทำ ราษฎรก็ปรับปรุงตนเอง
ข้าพเจ้าตั้งตนในความสงบ ราษฎรก็ประพฤติตนถูกต้อง
ข้าพเจ้าไม่เข้ายุ่งเกี่ยว ราษฎรก็ร่ำรวย
ข้าพเจ้าไร้ความทะยานอยาก ราษฎรก็มีความสามัญและซื่อสัตย์"
58
รัฐบาลที่เกียจคร้าน
เมื่อรัฐบาลเกียจคร้านและโง่เขลา
ราษฎรก็มีความสุขและรุ่งเรือง
เมื่อรัฐบาลฉลาดและเข้มงวด
ราษฎรจะไม่ได้รับความพอใจ
และความสงบสุข
หายนะคือหนทางของโชคลาภ
โชคลาภคือสิ่งปกปิดของหายนะ
ใครจะรู้ผลในบั้นปลายของมัน
เพราะมันไม่เคยมีหลักที่แน่นอน
ใครจะรู้ถึงคุณลักษณะของรัฐบาลที่ดี
อาจเป็นได้ด้วยการไม่เข้ายุ่งเกี่ยวขัดขวาง
มิฉะนั้นธรรมะก็จะกลายเป็นเล่ห์ลวง
ความดีก็จะกลายเป็นความชั่ว
ผู้คนโง่งมในสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว
ถึงแม้ปราชญ์จะมีหลักการที่มั่นคง
ท่านก็มิได้เที่ยวฟาดฟันผู้อื่น
มีความถูกต้องดีงาม
แต่ก็มิได้ข่มผู้อื่น
มีความชาญฉลาด
แต่ก็มิได้ต้อนผู้อื่นให้อับจน
59
หลักการสงวนกำลัง
ในการบริหารกิจการบ้านเมือง
ไม่มีหลักการบริหารใดดีไปกว่าการสงวนกำลัง
สงวนกำลังไว้เท่ากับเตรียมตัวพร้อมก่อน
เตรียมตัวพร้อมก่อนเท่ากับเพิ่มพูนความเข้มแข็ง
เพิ่มพูนความเข้าแข็งเท่ากับได้ชัยตลอดกาล
ได้ชัยตลอดกาลจึงมีความสามารถอันสุดหยั่งคาด
มีความสามารถสุดหยั่งคาดจึงเหมาะที่จะปกครองประเทศ
และหลักแห่งการบริหารประเทศนี้ย่อมยืนนาน
นี่คือรากฐานอันมั่นคง
เป็นพละกำลังอันกล้าแข็ง
เป็นหนทางไปสู่ความยั่งยืนและอมตะ
60 
ปกครองประเทศ
ปกครองประเทศใหญ่เหมือนทอดปลาตัวน้อย
พิถีพิถันระมัดระวังแต่ไม่จำเป็นต้องนาน
ไม่จำเป็นต้องทอดนานปลาก็สุกได้ที่
ทอดปลาตัวน้อยจึงเป็นหลักในการปกครองประเทศใหญ่
ปกครองอาณาจักรด้วยหลักแห่งเต๋า
สิ่งชั่วร้ายจะไม่สำแดงอิทธิฤทธิ์
มิใช่ว่าอำนาจของสิ่งชั่วร้ายนั้นหมดสูญ
แต่เป็นด้วยอำนาจนั้นไม่อาจทำร้ายผู้คนได้อีก
ปราชญ์ก็เช่นกันมิได้ทำร้ายผู้คน
ไม่มีใครทำร้ายใคร
กระแสธารแห่งคุณความดีก็ไหลหลั่งท่วมท้น
61 
ประเทศใหญ่
ประเทศใหญ่ควรเป็นเหมือน
ตอนปลายของแม่น้ำใหญ่
อันตั้งอยู่ในที่ต่ำ
ที่ซึ่งสายน้ำเล็กๆไหลมารวมกัน
เป็นที่รวมของหมู่ชนในโลก
เป็นสตรีเพศของโลก
สตรีมีชัยเหนือบุรุษด้วยอาศัยความสงบ
และบรรลุผลด้วยความสงบและความต่ำต้อย
ดังนั้นถ้าประเทศใหญ่ถ่อมตนต่อประเทศเล็ก
การถ่อมตนนั่นเองจึงทำให้เหนือกว่า
ผู้วางตนต่ำจึงอาจเข้าครอบครอง
ถ้าประเทศเล็กถ่อมตนต่อประเทศใหญ่
ประเทศเล็กก็อาจเข้าครอบครอง
มีบ้างเพื่อวางตนต่ำกว่าเพื่อจะได้เข้าครอบครอง
มีบ้างที่ต่ำอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
และก็ได้ครอบครองโดยธรรมชาติ
สิ่งที่ประเทศใหญ่ต้องการ
คือการเข้าปกป้องประเทศอื่น
สิ่งที่ประเทศเล็กต้องการ คือการเข้าอยู่ภายใต้การปกป้อง
พิจารณาดูแล้วทั้งสองก็ได้ตามที่ตนปรารถนา
มีลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน
อันเกิดจากความต้องการภายใน
มิได้ใช้กำลังบังคับข่มขืน
เป็นผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ดังนั้นประเทศใหญ่จึงควรตั้งตนไว้ในที่ต่ำ
62 
สมบัติของโลก
เต๋าเป็นความลึกลับยิ่งของจักรวาล
เป็นสมบัติของคนดี
เป็นที่พักพิงของคนชั่ว
ถ้อยคำของกวีอาจขายได้ที่ตลาด
ความประพฤติอันสูงส่งอาจให้เป็นกำนัล
แม้จะมีคนชั่วอยู่บ้าง
เหตุใดต้องไปขับไล่ไสส่ง
ในพิธีขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิ
ในพิธีแต่งตั้งเสนาบดีทั้งสามตำแหน่ง
แทนที่จะส่งหยก
และรถเทียมม้าสี่ไปให้เป็นบรรณาการ
ส่งเต๋าไปให้เป็นบรรณาการจะดีกว่า
เพราะเป็นสิ่งที่โบราณพากันภาคภูมิใจ
มีคำโบราณได้กล่าวไว้ว่า
" พยายามค้นหาคนชั่วและให้อภัย "
ดังนั้นเต๋าจึงอาจนับได้ว่าเป็นสมบัติของโลก
63 
ยากกับง่าย
ทำด้วยการไม่กระทำ ดูแลด้วยการไม่ดูแล
ลิ้มรสด้วยการไม่ลิ้มรส
ถือที่เล็กเสมือนใหญ่ ถือที่น้อยเสมือนมาก
ตอบแทนความชั่วด้วยความดี
จัดการกับสิ่งที่ยุ่งยากขณะที่ยังง่าย
จัดการกับสิ่งที่ใหญ่ขณะที่ยังเล็ก
ปัญหาที่แก้ยากของโลก จะต้องแก้ไขขณะที่ยังง่ายอยู่
ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของโลก
จะต้องแก้ไขขณะที่ยังเล็กอยู่
ดังนั้นการที่ปราชญ์ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานใหญ่
งานอันยิ่งใหญ่ก็สำเร็จลง
ผู้ให้คำสัตย์สาบานง่ายดายเกินไป
ยากนักที่จะรักษาคำมั่นสัญญานั้น
ผู้ที่มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างว่าง่าย
จะพบความยากลำบากเมื่อภายหลัง
ดังนั้นปราชญ์จึงพิเคราะห์สิ่งต่างๆ ว่ายากลำบาก
และด้วยเหตุนั้นท่านจึงมิได้รับ ความยากลำบากใดๆ เลย
64 
เริ่มทำเมื่อยังง่าย
สิ่งที่อยู่นิ่ง ง่ายที่จะเก็บรักษาไว้
สิ่งที่ยังไม่เกิด ง่ายที่จะป้องกัน
สิ่งที่อ่อนนุ่ม ง่ายที่จะฉีกขาด
สิ่งที่บางเบา ง่ายที่จะปลิวฟุ้ง
จัดการก่อนที่เหตุจะเกิด จัดระเบียบก่อนที่จะยุ่งเหยิง
ไม้ใหญ่เต็มโอบเริ่มจากหน่อเล็ก
เก๋งสูงเก้าชั้น เริ่มจากก้อนดิน
ทางไกลพันลี้ เริ่มจากการเดินหนึ่งก้าว
ผู้ที่ทำจะล้มเหลว
ผู้ที่จับยึด จะลื่นหลุด
ด้วยปราชญ์มิได้กระทำ จึงไม่ล้มเหลว
มิได้จับยึด จึงไม่ลื่นหลุด
กิจการงานของผู้คนมักจะล้มเหลวเมื่อใกล้สำเร็จ
ด้วยการใช้ความระมัดระวังในตอนท้ายให้เท่ากับเริ่มแรก
ความล้มเหลวย่อมจะไม่เกิดขึ้น
ดังนั้นปราชญ์ย่อมปรารถนาในสิ่งที่คนอื่นไม่พึงปรารถนา
และไม่ให้คุณค่าแก่จุดหมายที่บรรลุได้ยาก
เรียนรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นมิได้รู้
รื้อฟื้นในสิ่งที่คนมากมายได้หลงลืม
ท่านได้ช่วยทำให้ทุกสิ่งเติบโตและเป็นไปตามธรรมชาติ
แต่มิได้หาญเข้ายุ่งเกี่ยวกับกฎธรรมชาติ
65
รู้ให้น้อย
แต่โบราณมา ผู้ที่หยั่งรู้เต๋า
มิได้มุ่งหมายที่จะส่งเสริมคนให้รู้มาก
แต่ปล่อยให้จมอยู่กับความโง่งม
รู้อยู่แต่สิ่งพื้นๆ และสามัญ
หากประชาราษฎร์รู้มากเกินไปก็ปกครองยาก
ผู้ที่พยายามจะปกครองประเทศด้วยความรอบรู้
มีแต่จะนำความหายนะมาสู่
ผู้ที่ไม่พยายามจะปกครองประเทศด้วยความรอบรู้
มีแต่จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่
ผู้ใดรู้หลักทั้งสองนี้ ย่อมรู้ถึงหลักการแต่โบราณ
รักษาหลักการนี้ไว้ในใจ
ย่อมได้รับ คุณความดีอันใหญ่หลวง
คุณความดีนั้น สุดที่จะกว้าง และลึก ใสสะอาด
และยากที่จะไปถึง
มันวกกลับไปสู่ ต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง
ก่อให้เกิด ความประสานกลมกลืน
อันไม่มีสิ้นสุด
66 
ที่ต่ำ
เต๋านั้นคล้ายกับแม่น้ำใหญ่และทะเลกว้าง
แม่น้ำและทะเลเป็นใหญ่เหนือห้วงน้ำทั้งหลาย
ด้วยมันวางตนอยู่ในที่ต่ำ
สายน้ำใหญ่น้อยจึงไหลมาสู่
ดังนั้นในการขึ้นเป็นใหญ่ในหมู่คน
ปราชญ์ย่อมพูดจาถ่อมตน
เพื่อที่จะอยู่หน้าสุดในหมู่คน
ท่านต้องกลับไปอยู่ข้างหลัง
นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมเมื่อปราชญ์อยู่เบื้องบน
ประชาชนอยู่เบื้องล่างจึงไม่รู้สึกเป็นภาระหนัก
เมื่อปราชญ์อยู่หน้า
ประชาชนก็มิทำร้าย
ดังนั้นประชาชนทั้งมวลต่างยินดี
ที่จะยกปราชญ์ไว้ในที่สูง
เคารพยกย่อง ให้เกียรติ
และไม่มีวันถอดถอนท่าน
ด้วยเหตุว่าท่านมิได้ไปแข่งขันชิงดีกับผู้ใด
จึงไม่มีใครมาแข่งขันชิงดีกับท่าน
67 
แก้วสามประการ
คนทั่วโลกพากันกล่าวว่า
" คำสอนเกี่ยวกับเต๋านั้นคล้ายกับสิ่งโง่ๆ มากนัก "
ด้วยเต๋ายิ่งใหญ่แท้เชียว
จึงคล้ายกับสิ่งโง่ๆ
ถ้าไม่คล้ายกับสิ่งโง่ๆ
เต๋าก็คงหมดความยิ่งใหญ่ไปนานแล้ว
ข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่สามประการ
ซึ่งข้าพเจ้ายึดถือและสงวนรักษาไว้
ประการแรกคือ ความรัก
ประการที่สองคือ กระทำแต่พอควร
ประการที่สามคือ การไม่เป็นเอกในโลก
ด้วยความรักจึงไร้ความกลัว
ด้วยกระทำแต่พอควร จึงมีความกว้างขวาง
ด้วยการไม่เป็นเอกในโลก
จึงอาจเป็นเอกในบรรดาผู้ปกครอง
หากใครละทิ้งความรัก ถือเอาแต่ความกล้า
ละทิ้งความพอควร ถือเอาแต่อำนาจ
ละทิ้งการอยู่หลัง ถือเอาแต่การอยู่หน้า
ชีวิตของเขาจะต้องดับสูญลง
ด้วยอาศัยความรัก
จึงมีชัยในการจู่โจม
และปลอดภัยในการป้องกัน
อาวุธของสวรรค์คือความรัก
ผู้ใช้อาวุธแห่งสวรรค์จะไม่มีวันพินาศ
68 
การไม่แข่งขัน
ทหารที่กล้าหาญไม่ดุร้าย
นักสู้ที่ดีไม่โกรธง่าย
ผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่
ไม่สู้ในเรื่องเล็กน้อย
ผู้รู้จักเลือกใช้คนได้ดี ย่อมตั้งตนต่ำกว่าผู้อื่น
นี่คือคุณความดีของการ
ไม่แข่งขันช่วงชิง
นี่คือความสามารถในการ
ช่วงใช้คน
นำไปสู่สถานะอันสูงส่ง
เคียงคู่กับฟ้า
อันมีมาแต่เก่าก่อน
69 
ยุทธธรรม
มีหลักความจริงแห่งยุทธศาสตร์อยู่ว่า
ข้าพเจ้ามิกล้าจะเป็นผู้เริ่มรุก
ยอมแต่จะเป็นผู้ตั้งรับ
มิกล้าคืบหน้าแม้สักนิ้ว
แต่ยอมถอยเป็นก้าว
นั่นคือการเดินทัพโดยไม่จัดรูปขบวน
ไม่โบกแขนเสื้อสั่งให้รบ
ไม่จู่โจมไปเบื้องหน้า
รบคล้ายดั่งไร้ศัตรู
ไม่มีภัยใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการดูแคลนข้าศึก
การดูแคลนข้าศึกทำให้สูญเสียทรัพย์ทั้งสาม
ดังนั้นเมื่อกองทัพอันมีแสนยานุภาพ
เท่าเทียมกันมาประจัญหน้ากัน
กองทัพที่ได้ชัย
คือกองทัพที่รู้จักโศกศัลย์
70 
ใครอาจเข้าใจ
คำสั่งสอนของข้าพเจ้า
ง่ายที่จะเข้าใจและง่ายที่จะปฏิบัติ
แต่ไม่มีใครสามารถข้าใจ
และสามารถปฏิบัติ
ถ้อยคำของข้าพเจ้าย่อมมีหลักเกณฑ์อยู่
ความประพฤติของข้าพเจ้าย่อมมีหลักการอยู่
ด้วยไม่มีใครรู้สิ่งเหล่านี้
จึงไม่มีใครเข้าใจข้าพเจ้า
มีคนเข้าใจข้าพเจ้าน้อยแสนน้อย
และข้าพเจ้าก็อยู่เหนือคุณค่าที่อาจให้
ด้วยปราชญ์มักสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบอยู่ภายนอก
และประดับหยกเนื้อดีไว้ภายใน
71
ผู้รู้
ผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่รู้นั้นคือผู้สูงสุด
ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้นั้นเต็มไปด้วยอวิชชา
ผู้ที่รู้ว่าอวิชชาคืออวิชชา
ย่อมหลีกเลี่ยงจากอวิชชาพ้น
ปราชญ์นั้นปราศจากอวิชชา
เพราะท่านรู้ว่าอวิชชาคืออวิชชา
ดังนั้นอวิชชา
จึงไม่อาจเข้าครอบงำดวงจิตของท่าน
72
ใช้ความนุ่มนวล
เมื่อประชาราษฎร์ไม่เกรงกลัวการข่มเหง
ด้วยกำลังอำนาจ
อำนาจอันยิ่งใหญ่ก็ตกอยู่
กับพวกเขาแล้ว
อย่าได้เหยียดหยามชีวิตความเป็นอยู่
ของไพร่ฟ้า
อย่าได้รังเกียจเผ่าพันธุ์เชื้อสาย
ของไพร่ฟ้า
ด้วยท่านมิได้เกลียดชังเขา
ท่านก็จะไม่ถูกเกลียดชังด้วย
ดังนั้นปราชญ์ย่อมรู้ในตน
แต่ท่านก็มิได้แสดงออก
รักในตน
แต่ก็มิได้สร้างเสริมตัวตนให้สูงขึ้น
ปราชญ์ย่อมคัดค้านการข่มเหง
ด้วยกำลังอำนาจ
และสนับสนุนการใช้ความนุ่มนวล
73
ร่างแหแห่งฟากฟ้า
ผู้กล้าหาญที่มุทะลุดุดันจะต้องตาย
ผู้กล้าหาญที่ไม่บ้าบิ่นจะคงชีวิตอยู่
ในระหว่างสิ่งทั้งสองนี้
บางครั้งเกิดประโยชน์บางครั้งเกิดโทษ
หากสวรรค์ชิงชังคนบางคน
ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
แม้แต่ปราชญ์ยังถือว่าเป็นปัญหาที่ยากยิ่ง
ทางแห่งเต๋านั้นมีความดีเด่น
ในการได้ชัยโดยมิได้ต่อสู้
ได้รับโดยมิต้องพูด
มาหาโดยมิต้องเรียก
สำเร็จผลโดยมิต้องวางแผนกระทำ
ร่างแหแห่งฟากฟ้านั้นกว้างใหญ่ไพศาล
ถึงแม้แหจะมีตาห่าง
แต่เมื่อครอบคลุมสรรพสิ่งอยู่แล้ว
ก็ไม่มีอะไรสามารถเล็ดลอดออกไปได้
74
การลงโทษ
ประชาราษฎร์ไม่พรั่นพรึง
ต่อความตาย
เหตุใดจึงพยายามเอาโทษประหาร
ไปสยบ
หากราษฎรกลัวความตายจริง
เมื่อจับผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยการประหาร
เหตุใดจึงมีผู้กระทำผิดต่อไปอีก
มักจะมีผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการ
ทำหน้าที่ตัดสินลงโทษ
อยู่เหนือความเป็นความตายของผู้คน
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งตุลาการ
เปรียบได้กับ
สามัญชนผู้ถือขวานไปตัดต้นไม้
แทนช่างไม้ผู้ยิ่งยง
ผู้ที่ถือขวานแทนช่างไม้
ยากนักที่จะหนีพ้น
บาดแผลจากคมขวาน
75
ไม่เข้ายุ่งเกี่ยว
เมื่อราษฎรอดอยากยากแค้น
เพราะผู้ปกครองเก็บภาษีมากเกินไป
ราษฎรที่หิวโหย
ย่อมไม่อาจปกครองได้
นี่เกิดจากผู้ปกครอง
เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป
ทำให้ปกครองพลเมืองไม่ได้
พลเมืองต่างไม่กลัวความตาย
เพราะความกระวนกระวายที่จะหาเลี้ยงชีวิต
นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่กลัวตาย
ผู้ที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของประชาราษฎร์
เท่ากับช่วยยกระดับชีวิตของราษฎรให้สูงขึ้น
76 
ของสูง
เมื่อคนเกิดมาใหม่ๆ นั้นร่างกายมักอ่อนนุ่ม
เมื่อตายกลับแข็งกระด้าง
เมื่อสัตว์และพืชมีชีวิตอยู่มันจะอ่อนหยุ่น
เมื่อตายมันกลับแข็งและแห้ง
ความแข็งกระด้างเป็นคุณลักษณะของความตาย
ความอ่อนนุ่มเป็นคุณลักษณะของความมีชีวิต
ดังนั้นเมื่อกองทัพแข็งแกร่งเกินไป
ก็จะพ่ายในสมรภูมิ
ถ้าต้นไม้แข็งแกร่งเกินไป
ก็จะถูกตัดโค่นลง
ความแข็งความกระด้างเป็นของต่ำ
ความอ่อนความนุ่มเป็นของสูง
77 
วิถีแห่งเต๋า 
วิถีแห่งเต๋านั้น
ไม่คล้ายกับคันธนูที่โก่งเตรียมจะยิงหรอกหรือ
ปลายทั้งสองลดต่ำลงมาและตรงกลางพองขึ้น
ความยาวอันมีพลังนั้นหดสั้น
ความยาวอันไร้พลังนั้นขยายยาว
ด้วยหนทางแห่งฟากฟ้าเท่านั้น
ที่นำเอาส่วนเกินจากผู้ที่มีมาก
ไปให้กับผู้ที่มีไม่เพียงพอ
แต่หนทางของคนธรรมดาหาเป็นเช่นนั้นไม่
คนสามัญมักจะชิงเอาจากผู้มีน้อย
ไปเพิ่มพูนให้แก่ผู้มีมาก
ผู้ใดเล่าที่มีพอเพียง
และแบ่งปันแจกจ่ายให้แก่โลกทั้งโลก
มีเพียงแต่บุคคลผู้ดำเนินตามวิถีแห่งเต๋าเท่านั้น
ดังนั้นปราชญ์ย่อมกระทำกิจแต่ไม่เข้าครอบครอง
ก่อเกิดผลสำเร็จแต่ไม่ต้องการความเชื่อถือ
ด้วยท่านไม่ปรารถนาเป็นผู้เด่นยิ่งกว่าใครๆ
78 
ความอ่อนโยนมีชัยต่อทุกสิ่ง
ไม่มีสิ่งใดจะอ่อนนุ่มไปกว่าน้ำ
แต่ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งไปกว่าน้ำ
ในการมีชัยเหนือสิ่งที่แข็ง
นับว่าไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบ
ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทน
ความอ่อนแอมีชัยต่อความแข็งแรง
ความอ่อนโยนมีชัยต่อความแข็งกระด้าง
ไม่มีใครที่ไม่รู้
แต่ไม่มีใครที่ปฏิบัติ
ดังนั้นปราชญ์จึงกล่าวไว้ว่า
ผู้ที่สามารถทนรับการใส่ร้ายของโลกได้
สมควรที่จะเป็นผู้ดูแลรักษาอาณาจักร
ผู้ที่ทนแบกรับบาปโทษของโลกไว้ได้
สมควรเป็นกษัตริย์ปกครองโลก
คำพูดที่ตรงไปตรงมานั้น
ดูคล้ายเป็นคำที่บิดเบี้ยวและเป็นคำเท็จ
79 
หนทางอันยุติธรรม
เมื่อความโกรธขึ้งถูกไกล่เกลี่ยลงได้
แน่ใจได้ว่ายังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่
ดังนี้จะนับได้ว่ามันจบสิ้นลงด้วยความดีได้อย่างไร
ดังนั้นปราชญ์ย่อมเป็นผู้อ่อนข้อให้
ในการเจรจาทำความตกลง
และจะไม่ยอมเป็นผู้เอาเปรียบในการทำสัญญา
หนทางของผู้มีคุณความดีคือการเจรจาตกลง
หนทางของผู้ไร้คุณความดีคือการบังคับขู่เข็ญ
หนทางแห่งเต๋านั้นยุติธรรมยิ่ง
มันจะอยู่เคียงข้างของผู้ที่มีความดีงาม
80 
ประเทศในฝัน
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อย
มีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมือง
มากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่า
ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิต
และไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกล
ถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถ
ก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่
ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธ
ก็ไม่มีโอกาสจะใช้
ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราว
ด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือ
ให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆ นั้นโอชะ
เสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงาม
บ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบาย
ประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชม
ในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
จนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้าน
และตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต
จะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย
81 
ถ้อยคำที่แท้
คำจริงนั้นฟังดูไม่ไพเราะ
คำที่ไพเราะไม่มีความจริง
คนดีไม่ได้พิสูจน์โดยการถกเถียง
คนที่ถกเถียงเก่งไม่ใช่คนดี
คนฉลาดไม่รู้มาก
คนที่รู้มากไม่ฉลาด
ปราชญ์ย่อมไม่สะสมเพิ่มพูนเพื่อตนเอง
ชีวิตของท่านมีอยู่เพื่อผู้อื่น
แต่ท่านกลับยิ่งร่ำรวยขึ้น
ท่านให้บริจาคแก่ผู้อื่น
แต่ท่านยิ่งมีขึ้นทับทวี
วิถีแห่งเต๋านั้น
มีแต่คุณไม่เคยให้โทษ
วิถีแห่งปราชญ์นั้น
มีแต่กอปรกิจให้สำเร็จ
โดยไม่แก่งแย่งแข่งขัน
.
.
.
จาก... คัมภีร์เต้า เต๋อ จิง (เต๋า เต็ก เก็ง) บทที่ ๑ - ๘๑
พจนา จันทรสันติ ...ผู้แปล
3 กรกฎาคม 2562 10:44 น.

วิถีแห่งการบรรลุความเป็นอมตะ

คีตากะ

2757665mlqhvwehdo.gif
                                                                        กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ไถหนาน ฟอร์โมซา
                                                                              7 กรกฎาคม 2531 (1988) (ต้นฉบับภาษาจีน)
               ในบางดินแดน ไม่มีการเกิด ความตาย ความเสื่อม หรือการทำลาย แต่บนโลกของเรา เรามีปรากฏการณ์เหล่านี้ทั้งหมด มีดินแดนมากมายที่มไม่มีการเกิด ไม่มีการทำลาย ไม่มีการปนเปื้อน และไม่มีความไม่บริสุทธิ์ พวกเขาคงอยู่ตลอดไป เพียงหลังจากที่เราไปถึงมิติเหล่านี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถบรรลุความเป็นอมตะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในโลกใบนี้ ผู้คนมากมายถามว่า ทำไมเราไม่บำเพ็ญเพื่อยกระดับทางกายภาพ พวกเขาคิดว่าแทนที่จะบำเพ็ญเพื่อยกระดับจิตใจ เราควรจะบำเพ็ญเพื่อให้ร่างกายเนื้อบรรลุการมีอายุยืนก่อน พวกเขาเข้าใจวิถีของเล่าจื้อแห่งลัทธิเต๋าผิด พวกเขาได้ยินว่า ผู้บำเพ็ญชาวเต๋าสามารถบรรลุความเป็นอมตะได้ อย่างไรก็ตาม เราก็รู้ว่าผู้บำเพ็ญชาวเต๋าในโบราณกาลทั้งหมดได้จากเราไป ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ถ้าพวกเขาเป็นอมตะ แล้วพวกเขาไปอยู่ที่ไหน? หยุดฝันได้แล้ว
              เราต้องการจากโลกที่มีอายุสั้นมากใบนี้ อยู่เหนือ 3 โลกและบรรลุชีวิตอมตะ ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรบำเพ็ญวิถีแห่งความเป็นอมตะ เพียงเมื่อเราค้นพบและมาถึงโลกที่เป็นอมตะแล้วเท่านั้น ความฝันของเราจึงจะเป็นจริงได้ เรารู้ว่าโลกเช่นนี้มีอยู่จริง เพราะผู้คนมากมายได้ไปที่นั่นมาก่อน และได้บอกเราเกี่ยวกับโลกเหล่านั้น พระเยซูคริสต์ พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระมูฮัมหมัด และอื่นๆ ได้บอกเราเกี่ยวกับการมีอยู่ของโลกต่างๆ ที่เป็นนิรันดร์ มีความสุขกว่า และรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าโลกใบนี้
                                                                วิถีลับเพื่อบรรลุความเป็นอมตะ
                                                                        กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ เผิงหู ฟอร์โมซา
                                                                             26 มกราคม 2532 (1989) (ต้นฉบับภาษาจีน)
                ความเป็นอมตะของกายทางจิตวิญญาณสามารถบรรลุได้โดยการบำเพ็ญวิถีแห่งพระพุทธเจ้า แห่งนักบุญ มันคือความเป็นอมตะที่ถูกกล่าวถึงโดยเล่าจื้อตอนที่เขาพูดว่า คนที่บรรลุถึงเต๋า (สัจธรรม) จะกลายเป็นอมตะ หรือคนที่บรรลุ "เต๋า ซึ่งยากจะบรรยาย" จะกลายเป็นอมตะ อย่างไรก็ตามถ้าเราต้องการเป็นอมตะ เราควรจะไปยังดินแดนอมตะ แม้ว่าเราสามารถอาศัยในโลกนี้อย่างอมตะ.... สมมุติเราสามารถมีชีวิตยืนยาว ยาวเท่าๆ กับโลก เราก็จะต้องตายในวันหนึ่ง เพราะโลกจะถูกทำลายในวันหนึ่ง นี่คือโลกชั่วคราว มันไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป ดังนั้นเพื่อจะบรรลุความเป็นอมตะอย่างแท้จริง เราจะต้องไปยังดินแดนของพระพุทธเจ้า(พุทธเกษตร) หรืออาณาจักรของพระเจ้า วิธีที่สุดยอดหรือวิถีสูงสุดที่จะนำไปสู่อาณาจักรของพระเจ้าก้คือ ธรรมวิถีกวนอิม เราจะต้องพึ่งพาการสั่นสะเทือนภายใน หรือพลังแห่งพระพุทธเจ้า(พุทธานุภาพ) หรือ "ถ้อยคำของพระเจ้า" (Word or Sound)) เพื่อยกระดับกายทางจิตวิญญาณของเรา
                                                   แสงและเสียงภายในสำคัญยิ่งต่อการบรรลุชีวิตนิรันดร์
                                                                   กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ปารีส ฝรั่งเศส
                                                                      24 เมษายน 2536 (1993) (ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส)วิดีโอเทป #359
               เพื่อบรรลุชีวิตนิรันดร์ เราต้องอาศัยแสงและเสียงภายใน ถ้าปราศจากมัน จะไม่มีความสุขไม่ว่าบนโลกหรือบนสวรรค์ เราจะไม่เคยไปถึงภาวะแห่งความสมบูรณ์แบบทั้งๆ ที่เราได้พยายาม เป็นคนที่สง่างาม หรือมีคุณธรรมมากแค่ไหนก็ตาม คุณสมบัติเหล่านี้เป็นของภายในโลกเท่านั้น ทั้งหมดที่เรียกกันว่า ความงาม สัจธรรม หรือคุณธรรมที่แสดงให้เห็นในโลกวัตถุนี้ เป็นของเลียนแบบที่ด้อยกว่า
               
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ