22 พฤศจิกายน 2566 15:38 น.

วิธีคัดคน

คีตากะ

ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง ผอ.โรงเรียนได้เชิญครูจบใหม่ท่านหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาบรรจุที่โรงเรียนได้ไม่กี่เดือนขึ้นไปพบ
ที่ห้อง ครูบรรจุใหม่สอนอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งมีชื่อว่าครูอิ้งรูปร่างหน้าตาสะสวย โดยภาพรวมแล้วน่าจะไปเป็นดารา
นักแสดงมากกว่าจะมาเป็นครูสอนเด็กปฐมวัยที่พูดจาไม่รู้เรื่องและยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อีกด้วย 
การสนทนาระหว่าง ผอ.กับครูอิ้งเป็นดังนี้
ผอ. : ผอ. ตรวจสมุดประเมินพัฒนาการของครูแล้ว ปรากกฎว่าเด็กอนุบาลหนึ่งทุกคนได้เกรดเท่ากันหมด 
หมายความว่าอย่างไรครับครู?
ครูอิ้ง : หนูคิดว่าเด็กอนุบาลหนึ่งอายุ 3- 4 ขวบเอง เราไม่ควรจะใช้เกรดมาตัดสินเด็กค่ะ เพราะไม่ใช่เด็ก
วัยเรียน แต่นี่คือเด็กวัยเล่นค่ะ ก็เลยให้คะแนนเด็กทุกคนเท่ากัน
ผอ. : ผมเข้าใจครูนะ แต่หลักสูตรและมาตรฐานการศึกษาที่เขากำหนดให้ใช้กันทั่วประเทศ ครูในฐานะที่เรียนมา
ทางด้านนี้ ก็เข้าใจดีอยู่แล้ว ครูจะว่าอย่างไร?
ครูอิ้ง : แม้หลักสูตรและมาตรฐานการศึกษาของเด็กปฐมวัยจะกำหนดมาเป็นแนวทางให้ใช้ในการจัดการเรียน
การสอนก็จริง แต่สำหรับเด็กปฐมวัยการเรียนการสอนไม่จัดเป็นรายวิชาเหมือนระดับประถมหรือมัธยม หลักการ
ก็คือส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญาเป็นพื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการ
บูรณาการผ่านการเล่นทั้งสิ้น หนูเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับเด็กที่วัยนี้ต้องมาวัดกันที่เกรดหรือคะแนนตามหลัก
วิชาการค่ะ
ผอ. : ครูเรียนจบมาทางด้านการศึกษา เรื่องการประเมินผลเด็ก มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไรครับ?
ครูอิ้ง : ตามความเข้าใจหนู ก็เพื่อวัดผลการศึกษาของเด็ก ระดับพัฒนาการของเด็ก ความสามารถในการ
ถ่ายทอดความรู้ของครู บรรยากาศในชั้นเรียน สื่อที่ใช้ในการเรียนการสอน การบริหารจัดการสถานศึกษา 
รวมถึงความใส่ใจของผู้ปกครอง และสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กค่ะ
ผอ. : ครูลืมไปเรื่องหนึ่ง
 
ครูอิ้ง : เรื่องอะไรค่ะ ผอ.?
ผอ. : การปรับปรุงพัฒนา!
ครูอิ้ง : อ๋อค่ะ
ผอ. : การวัดผล การประเมิน หรือให้คะแนนนั้น เป็นการวัดตามมาตรฐานที่กำหนดมา นั้นคือตามหลักสูตร
เขากำหนดชัดเจนแล้วว่าเด็กวัยนี้ อ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ แต่ครูมีหน้าที่เตรียมความพร้อมเด็กจากวัยเล่น
ไปสู่วัยเรียนไม่ใช่หรือ? การวัดผลเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับปรับปรุงและพัฒนาเด็กจากที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น 
ถ้าครูให้คะแนนเด็กเท่ากันหมด แล้วครูจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนไหนควรปรับควรแก้อย่างไร มีพัฒนาการสมวัย
หรือเปล่า? รวมถึงภาพรวมตามที่ครูบอกมาทั้งหมดนั้นแหละ จะปรับจะแก้อย่างไร? ถ้าทุกคนคะแนนเต็มเท่ากัน?
ครูอิ้ง : ครูผู้สอนก็รู้จักเด็กทุกคนดีอยู่แล้วค่ะ และสนิทกับผู้ปกครองของเด็กด้วย เพราะเด็กวัยนี้มาโรงเรียนเอง
ไม่ได้ จำเป็นต้องมีผู้ปกครองมารับ มาส่งด้วยทุกครั้ง ครูจึงมีโอกาสใกล้ชิดกับผู้ปกครองของเด็กมากกว่าเด็ก
ที่โตแล้ว เรื่องการปรับปรุงแก้ไขครูก็ดำเนินกันอยู่แล้วค่ะ ไหนจะมีโครงการเยี่ยมบ้าน ที่ครูต้องลงพื้นที่
ไปพบผู้ปกครองของเด็กทุกคน ก็เพื่อเก็บข้อมูล และร่วมมือกับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กค่ะ
ผอ. : แต่หลักฐานล่ะ? โอเครในส่วนโครงการเยี่ยมบ้าน ผมก็เห็นรายงานผลโครงการอยู่ แต่โรงเรียนเรา
จัดโครงการนี้ปีหนึ่งไม่เกิน 2 ครั้ง หรือเทอมละครั้ง คงไม่ทันกับการส่งเสริมพัฒนาเด็ก! อีกอย่างตามหลักสูตร
เขาก็กำหนดชัดเจนแล้วว่า คุณลักษณะที่พึงประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์ คือสิ่งที่นักวิชาการทั้งหลายร่วมกัน
คิดมาแล้วว่าต้องการให้เด็กวัย 3 ขวบทำอะไรได้บ้าง เราเรียกมันว่ามาตรฐาน ครูก็แค่ให้คะแนนไปตามนั้น 
เช่น เด็กชาย ก สามารถกระโดดสองขาขึ้นลงอยู่กับที่ได้ ครูก็ให้คะแนนไปซิ ดี พอใช้ หรือปรับปรุง
เกรด 1 2 หรือ 3  ไม่เห็นจะยากเลย? หรือครูเกรงใจผู้ปกครอง?
ครูอิ้ง : เปล่าค่ะ เพียงแต่ครูอาจจะใช้การสังเกตเด็กแต่ละคนเป็นหลัก เห็นว่าพอทำได้ก็ให้คะแนนเต็มไปเลย 
ส่วนใหญ่จะอยู่ในดุลยพินิจของครูเองด้วยล่ะค่ะ แต่หนูก็คิดว่าที่ ผอ.พูดก็มีเหตุผลค่ะ เพียงแต่การวัดผล
เด็กเล็กนี้ไม่สามารถนั่งทดสอบกลางภาคหรือปลายภาคเหมือนเด็กโตได้ เพราะเนื่องจากยังไม่ใช่วัยที่อ่านออก
เขียนได้ จึงต้องใช้การทดสอบแบบส่งเสริมพัฒนาการที่ต้องใช้อุปกรณ์ในแต่ละด้าน เช่น ด้านร่างกาย 
การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ก็ต้องให้เด็กทดลองร้อยลูกปัดให้ดูแล้วจึงจะประเมินได้ ว่าดี พอใช้ หรือปรับปรุง 
ซึ่งก็คงต้องแยกเป็นเรื่องของการประเมินโดยเฉพาะ ถ้ามองว่าเป็นการวัดระดับพัฒนาการของเด็กเพื่อการ
ปรับปรุง พัฒนา หรือฝึกฝนให้ดีขึ้น หนูก็เห็นว่าตามที่ ผอ.พูดก็ถูกต้องค่ะ!
ผอ. : ผอ. ไม่ซีเรียสเรื่องผลการเรียนของเด็กวัยนี้อะไรนักหรอก เพียงแต่การที่เด็กชั้นเดียวกันคะแนนเท่ากัน
หมดทุกคน มันขัดกับความรู้สึกในเรื่องการประเมินผล เรามีมาตรฐานการศึกษา มีหลักสูตร มีกฎ มีระเบียบ 
ก็เพื่อคัดกรองคน วัดระดับสติปัญญา ทักษะ ความรู้ พฤติกรรม เจตนาก็เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการปรับปรุง
พัฒนาให้ดีขึ้น ถ้าเราไม่รู้ว่าปัจจุบันเรายืนอยู่ตรงไหน? แล้วเราจะเดินต่อไปในทิศทางไหน? เราจึงต้องมี
เป้าหมายที่ชัดเจน มีตัวชี้วัดความสำเร็จ เพื่อให้เรารู้จักตัวเอง จะได้แก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนาให้ดีขึ้น 
นี่คือกระบวนการวิเคราะห์ เราไม่ได้ให้เกรดเด็กเพื่อให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกัน หรือใครเก่งกว่าใคร 
บางคนอาจเก่งในการเรียน แต่อาจล้มเหลวในชีวิตครอบครัว หรือชีวิตทำงาน บางคนไม่เก่งในการเรียน
แต่ชีวิตกลับประสบความสำเร็จ สรุปก็คือ วัด ก็เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาหรือแก้ไขให้ดีขึ้นแค่นั้น!
ครูอิ้ง : เข้าใจแล้วค่ะ ผอ. เดี๋ยวหนูจะไปแก้ไขสมุดพัฒนาการเด็กแต่ละคนใหม่ ประเมินตามความเป็นจริง 
และวัดด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแค่การสังเกตค่ะ
ผอ. : เฮ้อ! มันก็คือการคัดกรองเด็ก แยกแยะ วัดระดับ ปรับปรุง แก้ไข พัฒนา โดยมีมาตรฐานเป็นตัวกำหนด
ปริมาณวัดง่าย คุณภาพวัดยาก ในโรงงานการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ทำการผลิตเป็นสิ่งสำคัญมาก 
ตัวเลขทุกตัวสำคัญ ยิ่งถ้าเป็นการผลิตอาหารและยา ถ้าวัดคุณภาพผิดพลาด ผู้บริโภคนำไปบริโภคแล้วเสียชีวิต 
โรงงานก็อาจถูกสั่งปิดได้ง่ายๆ โรงงานก็มีมาตรฐานของโรงงาน บ้านเมืองก็มีกฎหมายควบคุมพฤติกรรม
กี่มาตราล่ะ ใครทำผิดก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายแพ่งหรืออาญา ทุกอย่างเป็นการคัดคน คนดี(ตามกฎหมาย)
ก็ใช้ชีวิตอิสระเสรี คนไม่ดีก็อยู่ในคุก ในเรือนจำ กฎระเบียบก็ล้วนแล้วแต่มีไว้ปราบพวกทะลึ่ง กฎสวรรค์ 
คือกฎแห่งกรรมก็เป็นเหมือนกัน ใช้สำหรับคัดกรองคน พวกคนบาปก็ไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย 
และสัตว์เดรัจฉาน พวกคนดีมีศีลธรรมก็ไปแดนทิพย์แดนธรรม สวรรค์ นิพพาน เป็นต้น ถ้าเป็นปัจจุบันที่เขา
จะคัดคนที่คู่ควรกับโลกนี้เอาไว้ แล้วจัดการกำจัดพวกขยะออกไปล่ะ ใครควรอยู่ใครควรไป?...
1.ห้ามฆ่าและจ้างวานฆ่า 2.ห้ามลักทรัพย์ 3.ห้ามประพฤติผิดในกาม 4.ห้ามพูดเท็จ 5.ห้ามดื่มสุราและ
ของมึนเมา....
ครูอิ้ง : ผอ.ค่ะเป็นอะไรไปค่ะ ?
ผอ.พูดจบก็พล็อยหลับไปคล้ายเมามายไม่ได้สติ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนดึกไปหน่อยไม่ได้นอน 
คงตรวจสมุดพัฒนาการของครูอิ้งจนรุ่งสาง ครูอิ้งเห็นแบบนั้นจึงเก็บสมุดของเด็กทั้งหมด นำกลับไปแก้ไข
ตามคำสั่ง ผอ. โดยค่อยๆ ย่องออกจากห้องแบบเงียบที่สุด เกรงว่า ผอ.จะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง..........
Be Vegan Make Peace
www.supreme MasterTV.com
16 กันยายน 2566 12:50 น.

มหัศจรรย์แห่งน้ำ

คีตากะ

ความดีอันสูงสุดนั้นคล้ายกับน้ำ
น้ำให้คุณแก่สรรพสิ่ง มิแย่งชิงสิ่งใด
น้ำตั้งตนอยู่ในที่ต่ำ อันทุกคนรังเกียจเหยียดหยาม
ดังนั้นจึงนับว่าได้เข้าไปใกล้กับเต๋า
เหลาจื่อ...
ในท่ามกลางฤดูหนาววันหนึ่ง อากาศรายรอบเหน็บหนาวเย็นยะเยือก หิมะกำลังตกโปรยปราย นับเป็นภาพ
ที่งดงามตราตรึงเพียงใด ขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหล ดร.มาซารุ เอโมโตะ นักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่กำลังเหม่อมอง
หิมะที่ส่องประกายแวววาวด้วยความเพลิดเพลินอยู่นั้น พลันบังเกิดความคิดขึ้นว่า เกล็ดหิมะส่องประกาย 
ไม่มีเกล็ดใดที่เหมือนกัน 
ถึงแม้หิมะจะร่วงหล่นบนพื้นโลกมานับพันนับหมื่นปี แต่ละเกล็ดนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน 
ถ้าเป็นอย่างนี้ หากนำน้ำมาทำให้แข็งตัวและศึกษาผลึกของมัน บางทีอาจจะพบโฉมหน้าที่แตกต่างกัน
ของน้ำก็ได้ เขารำพึงรำพันกับตัวเอง โดยนิสัยของเขา เขาเป็นคนที่คิดแล้วต้องลงมือทำเลย และได้เริ่ม
การทดลองที่ไม่เคยมีมาก่อน 
เขาเริ่มต้นด้วยการเช่ากล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูง จากนั้นก็นำน้ำไปแช่แข็งในตู้เย็นเพื่อให้แข็งตัว
เป็นน้ำแข็ง แต่เพราะต้องถ่ายรูปกันในอุณหภูมิห้อง น้ำแข็งจึงละลายเร็วมาก ผลก็คือเขาไม่สามารถถ่ายภาพ
ผลึกน้ำได้เลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงหมั่นเชิญเพื่อนนักวิจัยมาทานข้าวที่บ้านทุกวันปลุกเร้าไม่ให้ท้อ ไม่ว่าอย่างไร
เขาก็จะต้องทำให้สำเร็จ หลังจากพยายามอยู่สองเดือน ในที่สุดก็สามารถถ่ายภาพผลึกน้ำภาพแรกได้ 
มันเป็นผลึกน้ำหกแฉกที่สวยงามมาก ทั้งตัวเขาและเพื่อนนักวิจัยต่างตื่นเต้น 
คราวนี้เพื่อความสะดวกในการสังเกตผล เขาจึงทำห้องเย็นขนาดใหญ่ไว้ในห้องทดลอง ตั้งอุณหภูมิไว้ที่
ลบ 5 องศาเซลเซียส มีอุปกรณ์ติดตั้งพร้อมทุกอย่างสืบเนื่องมาจากผลสำเร็จครั้งแรกโดยแท้ ความพยายาม
นำมาซึ่งผลสำเร็จ ทุกอย่างล้วนขึ้นกับความตั้งใจของเขาและเพื่อนๆ หลังจากนั้นการถ่ายภาพผลึกน้ำ 
ไม่เพียงแต่อธิบายความเป็นไปของโลกทั้งมวล แต่ยังแฝงด้วยปรัชญาอันลึกซึ้ง ผลึกน้ำที่คงรูป เมื่อพบกับ
อุณหภูมิที่สูงขึ้น มันจะละลายไปภายในไม่กี่สิบวินาที ภายในห้วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง สัจธรรมของจักรวาล
ที่ปรากฏให้เห็นกับตา ก็ค่อยๆ เลือนหายไปด้วย ในชั่วพริบตา เราจะได้เห็นโลกที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน 
วิธีการถ่ายภาพผลึกน้ำของเขามีขั้นตอนดังนี้ เริ่มแรกนำตัวอย่างน้ำประเภทเดียวกันมาหยดแบ่งใส่จานแก้ว
ที่มีฝาปิด 50 ใบ จากนั้นก็เอาไปแช่ในห้องแช่แข็งอุณหภูมิลบ 20 องศาเซลเซียสเป็นอย่างน้อย 
ใช้เวลา 3 ชั่วโมง หยดน้ำในจานแก้วจะเกิดแรงตึงผิว เห็นเป็นแผ่นน้ำแข็งกลมๆขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
ราว 1 เซนติเมตร เมื่อใช้แสงส่องไปที่ผลึกน้ำแข็งแล้วใช้กล้องจุลทรรศน์ขยายภาพดู ก็จะเห็นภาพผลึกน้ำ
แน่นอนว่า น้ำในจานทั้ง 50 ใบไม่เกิดผลึกแบบเดียวกันทั้งหมด ในบางตัวอย่างก็ไม่พบผลึกเลย เมื่อทำสถิติ
ไว้ว่า มีกี่ใบที่เกิดผลึกได้ กี่ใบที่ไม่สามารถเกิดผลึก และมีกี่ใบที่ให้ผลึกไม่สมบูรณ์ แล้วนำมาสรุปเป็นกราฟ 
ก็จะทำให้เข้าใจคุณสมบัติของน้ำมากขึ้น 
ตอนแรกเขานำน้ำประปาจากเมืองใหญ่มาทดลอง ปรากฏว่าน้ำประปาจากโตเกียวนั้นแย่ที่สุด แทบจะถ่ายภาพ
ผลึกน้ำสวยๆ ไม่ได้เลย นั่นอาจเป็นเพราะน้ำในญี่ปุ่นใช้คลอรีนฆ่าเชื้อ ทำให้ไม่สามารถเกิดผลึกสวยงาม
ตามธรรมชาติได้ ตรงกันข้าม ขอเพียงเป็นน้ำจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดผลึกของน้ำจะออกมา
สวยงามแปลกตา เช่น น้ำพุ น้ำบาดาน ธารน้ำแข็ง แม่น้ำช่วงต้นน้ำ (แม่น้ำช่วงปลายซึ่งเป็นน้ำเสียที่ชาวบ้าน
ปล่อยออกมา มักจะไม่เห็นผลึกน้ำ) ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากส่วนใดของโลก ขอเพียงให้เป็นน้ำตามธรรมชาติ
ที่ไม่มีการเจือปน ก็จะสามารถเห็นผลึกได้ ด้วยเหตุนี้เอง การถ่ายรูปและการวิจัยผลึกน้ำจึงเริ่มต้นขึ้น
อย่างเป็นเรื่องเป็นราว นำไปสู่การถ่ายภาพผลึกน้ำที่ได้ฟังเพลงประเภทต่างๆ 
หลังจากลองผิดลองถูกหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ใช้วิธีวางขวดที่มีน้ำไว้ตรงกลางระหว่างลำโพง
สองตัว และเปิดเพลงให้น้ำฟัง เสียงดังเท่ากับที่คนฟังโดยปกติ และน้ำที่นำมาใช้ในการทดลองแต่ละครั้ง
ต้องเป็นน้ำจากแหล่งเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจใช้น้ำกลั่นที่ขายตามร้านขายยามาทดลอง
ให้ฟังเพลงผลที่ได้นั้นน่าอัศจรรย์มาก น้ำที่ได้ฟังเพลง Pastoral ของบีโธเฟ่นผลึกจะใสเป็นประกาย
สวยงามและสมบูรณ์มาก ส่วนน้ำที่ได้ฟังซิมโฟนีหมายเลข 40 ของโมสาร์ท จะได้ผลึกที่งดงามอย่างวิจิตร
ที่สวยที่สุดคือเพลง Farewell Song (เพลงลาจาก) ของโชแปงผลึกที่ได้จะเล็กๆ น่ารัก เผยให้เห็นความรู้สึก
ของการลาจาก (ซึ่งต่อมาภายหลัง เขาเพิ่งทราบว่าที่จริงแล้ว Farewell Song ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม
ดูเหมือนว่าสิ่งที่น้ำรับรู้จากท่วงทำนองเพลงนั้นจะตรงกับความรู้สึกของคนที่ตั้งชื่อเพลงนี้) น้ำที่ได้ฟังเพลง
คลาสสิคที่ไพเราะจะให้ผลึกออกมาสวยงามมีรูปลักษณ์แตกต่างกันออกไป ตรงกันข้าม หากให้น้ำฟังเพลง
เฮฟวี่เมทัล ที่เต็มไปด้วยความความกราดเกรี้ยว อีกทึก ผลึกที่ได้จะออกมาขาดๆ เกินๆ ไม่สมบูรณ์ 
ต่อมาเขาก็เกิดความคิดแผลงๆ ขึ้นอีกว่า น่าจะลองให้น้ำอ่านตัวหนังสือดูบ้าง เขาเริ่มทดลองโดยเทน้ำ
ใส่ในขวด เขียนตัวอักษรที่ต้องการลงบนกระดาษและนำด้านที่มีตัวอักษรปะติดแนบกับขวด สิ่งที่เขาต้องการ
รู้ก็คือ หากน้ำได้เห็นคำว่า “ขอบคุณ” กับ “ไอ้บ้า” ผลึกน้ำจะออกมาแตกต่างกันอย่างไร การให้น้ำอ่านตัว
หนังสือ โดยเชื่อว่าน้ำจะเข้าใจความหมายและเปลี่ยนรูปผลึกได้ หากพูดกันโดยตรรกะแล้ว เรื่องนี้อาจฟังดู
เพ้อเจ้อไร้เหตุผลสิ้นดี แต่หลังจากที่ทดลองให้น้ำฟังเพลงแล้ว เขาไม่สงสัยในความคิดนี้ของเขาเลย
แม้แต่น้อย เขารีบทำการทดลองทันที การทดลองครั้งนี้เหมือนการเดินหลงเข้าไปในป่าลึก เขารอคอยผล
การทดลองอย่างใจจดใจจ่อ ผลที่ออกมานั้นเหนือความคาดหมายอย่างมาก น้ำที่อ่านคำว่า “ขอบคุณ” 
จะปรากฏเป็นผลึก 6 แฉกที่งดงามแปลกตา ตรงกันข้าม น้ำที่อ่านคำว่า “ไอ้บ้า” จะให้ผลึกคล้ายกับน้ำ
ที่ฟังเพลงเฮฟวี่เมทัล คือเป็นผลึกที่ไม่สมบูรณ์ ผิดรูปผิดร่าง เช่นเดียวกัน เมื่อน้ำอ่านคำว่า
“พวกเรามาร่วมมือกันนะ!” ผลึกน้ำจะออกมาสดใสและสมบูรณ์ แต่เมื่ออ่านคำว่า “อย่ามายุ่ง!” 
กลับไม่เกิดผลึกใดๆ เลย
การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า คำพูดที่เราพูดๆ กันในชีวิตประจำวันนั้นมีความสำคัญมากเพียงใด 
คำพูดดีๆ จะมีพลัง ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี หากเป็นคำที่เลวร้าย ก็จะนำทุกสิ่งไปสู่
ความเลวร้ายเช่นกัน การศึกษาเรื่องน้ำให้ลึกซึ้งเป็นการท้าทายพอๆ กับการตามหาที่มาของจักรวาล 
ผลึกน้ำนำทางไปสู่ข้อมูลที่ไม่เคยมีมาก่อน จากการได้ถ่ายรูปผลึกน้ำออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า หลายครั้งที่
ทำให้เขาได้ก้าวเข้าไกล้สัจธรรมที่ลึกลับของจักรวาลโดยไม่รู้ตัว มีภาพผลึกน้ำภาพหนึ่งที่ทำให้เขา
ถึงกับตะลึง เพราะเขาไม่เคยพบอะไรที่สวยงามเท่านี้มาก่อน นั่นคือผลึกของน้ำที่ได้อ่านคำว่า
 “รักและขอบคุณ” ที่ให้ความรู้สึกราวกับว่า น้ำมีความสุขเบิกบานอย่างเต็มที่และเผยตนออกมาเป็นผลึก
ที่งดงามราวกับดอกไม้ผลิบาน งามมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาทั้งชีวิต จากผลึกน้ำที่อ่านคำว่า
 “รักและขอบคุณ” น้ำบอกเราว่า ใจของคนเรานั้นมีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลกได้
ตั้งแต่โบราณ ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า ภาษามีวิญญาณสิงสถิตอยู่ กล่าวคือ ภาษาโดยตัวมันเองมีพลัง
สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ภาษามีอิทธิพลต่อความรู้สึก ดังนั้นเราจึงควรจะพยายามสื่อภาษา
ที่มีความหมายดีๆ ออกมา เพื่อเรื่องราวทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยดี จิตใจก็จะเบิกบาน 
ดังมีคำกล่าวว่า “จิตใจดีจะทำให้ร่างกายดีไปด้วย” ภาษาคือการแสดงออกของจิตใจ และความรู้สึก
ในจิตใจสามารถเปลี่ยนน้ำที่มีอยู่ 70% ในร่างกายคนได้ (ร่างกายประกอบด้วยน้ำ 70%) และมีผลโดยตรง
ต่อร่างกาย คนที่มีร่างกายแข็งแรงแสดงว่าจิตใจต้องแข็งแรงด้วย 
ตอนที่เริ่มวิจัยเรื่องน้ำช่วงแรกๆ เขามีแรงบันดานใจที่ต้องการหาวิธีทำให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี จากการวินิจฉัย
โรคให้กับหลายๆ คนที่ประสบโรคภัยที่ร้ายแรง เขาเริ่มเชื่อว่าโรคภัยต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะบุคคล
แต่เกิดจากสังคมที่บิดเบี้ยว เขามีความเชื่อว่า หากเราไม่เปลี่ยนแปลงโลกที่บิดเบี้ยวนี้ ไม่เพียงแต่คนที่พบ
โรคภัยไข้เจ็บจะไม่ลดน้อยลง คนที่เจ็บป่วยทางใจก็จะมากขึ้นด้วย โลกที่บิดเบี้ยวเกิดจากอะไร? คำตอบก็คือ
เกิดจากใจคนเรานี่เอง จิตใจที่บิดเบี้ยวมีผลต่อทั้งจักรวาล เช่นเดียวกันน้ำเพียงหยดเดียวที่หยดลงบนผิวน้ำ
ย่อมทำให้เกิดระลอกคลื่นแผ่ขยายออกไปอย่างไมจำกัด เพียงจิตใจคนๆ เดียวที่บิดเบี้ยว ก็จะทำให้สิ่งรอบข้าง
ทั้งหลายทั้งปวงบิดเบี้ยวไปด้วย และจะส่งผลต่อโลกทั้งโลก แต่ขอให้ทุกคนจงวางใจ สิ่งที่เป็นไปเหล่านี้
มีทางแก้ไข ด้วยคำว่า “รักและขอบคุณ” โลกของเรากำลังรอคอย เพื่อจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นโลกที่สวยงาม
เฝ้ารอคอยวันที่งดงามที่สุด 
ขอให้เรากลับไปคิดที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า คนเราเกิดมาจากน้ำ เมื่อได้เห็นผลึกของน้ำ น้ำในร่างกาย
จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงที่งดงามที่สุดนั้น เกิดขึ้นเมื่อเราเห็นผลึกน้ำที่รับรู้คำว่า
“รักและขอบคุณ” นี่กระมังที่เป็นที่มาของศาสนาทุกศาสนา หากสามารถมี “ความรักและขอบคุณ” 
ในใจทุกคนได้ กฎหมายก็จะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ตอนนี้เราคงรู้คำตอบแล้วว่า “ความรักและขอบคุณ” 
จะเป็นหัวใจสำคัญที่จะชี้นำโลกแห่งอนาคต น้ำนำทางชีวิตเรา ตำนานทุกบทที่พรรณนาถึงน้ำล้วนแต่
เป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกันกับจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด...
ขอบคุณผู้แปล ดาดา สำนักพิมพ์โลกสวย และผู้เขียน ดร.มาซารุ เอโมโตะ 
มาซารุ เอโมโตะ เกิดที่โยโกฮาม่าในปี ค.ศ. 1943 จบการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์
จากมหาวิทยาลัยโยโกฮาม่า ในปี ค.ศ. 1986 ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัย IHM ขึ้นที่กรุงโตเกียว
และในปี ค.ศ. 1992 ได้รับประกาศนียบัตรแพทย์ทางเลือกจาก Open International University 
ผลงานวิจัยเรื่องน้ำในระดับอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม นำไปสู่ความเข้าใจน้ำในมิติใหม่ 
ทำให้รู้ว่าที่จริงน้ำมีพลังชีวิตที่สามารถรักษาโรคได้....
10 มีนาคม 2566 13:46 น.

การเตรียมพร้อมในภาวะสงคราม

คีตากะ

        โลกเพิ่งผ่านการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทำให้ประชากรของโลกจำนวนหลายล้านคนต้องเสียชีวิต
และอีกหลายล้านต้องมีสุขภาพแย่ลงเนื่องจากผลจากการติดเชื้อดังกล่าว (long covid) การอุบัติใหม่
ของโรคที่ยังไม่มียารักษาและการป้องกันที่ด้อยประสิทธิภาพจากภาวะฉุกเฉิน ส่งผลให้วัคซีนที่นำมาใช้
ยังไม่ผ่านกระบวนการทางการค้นคว้าวิจัยตามช่วงเวลาที่ควรจะเป็น ทำให้ไม่เพียงการสูญเสียชีวิตจากการ
ติดเชื้อลงปอด สุขภาพที่ย่ำแย่ลงจากการติดเชื้อ มนุษย์ยังต้องมาเผชิญกับภัยร้ายจากผลกระทบจากการ
ใช้วัคซีนในภาวะฉุกเฉิน แม้หน่วยงานทางด้านสาธารณสุขจะได้พยายามปฏิบัติงานอย่างเต็มที่
ในช่วงเวลาที่จำกัดนี้ สำหรับโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก แต่ผลกระทบในระยะยาวก็ยังคงอยู่ 
ยังไม่มีผลวิจัยยืนยันอย่างแน่ชัดสำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อว่าจะมีผลอย่างไรต่อสุขภาพต่อจากนี้ไป 
โควิดจะกลับมาแพร่ระบาดหนักอีกเมื่อไหร่ยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างแน่ชัด ขณะที่
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คอยเป็นภัยซ้ำเติมชีวิต ทรัพย์สิน เศรษฐกิจ 
และกระทบต่อความมั่นคงในการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และเมื่อทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด 
และสูญเสียไปจากผลกระทบดังกล่าว ในที่สุดมนุษย์ก็ใช้วิธีการแย่งชิงทรัพยากรจากเพื่อนร่วมโลก
ความขัดแย้ง ความรุนแรงต่างๆ จึงตามมา ซึ่งก็อาจลุกลามบานปลายเป็นสงครามโลกได้ในที่สุด
       ในฐานะพลเมืองตัวเล็กๆ คนหนึ่งต่อจากนี้ไปจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ในโลกที่ดำรงชีวิตอยู่ยากขึ้นทุกที
เราคงไม่หวังจะให้ผู้นำ นักการเมืองคนใดมาช่วยเหลือได้ในช่วงเวลานี้ เพราะนี่คือปัญหาระดับโลก 
แม้ผู้นำมหาอำนาจยังไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมในการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ เหล่านี้ 
นอกจากวางดอกไม้ท่ามกลางหลุมฝังศพ และยืนรำลึกเสียใจชั่วขณะเพื่อไว้อาลัยให้กับพลเมือง
ของตนเท่านั้น ภาพชินตาเหล่านี้ทำให้เรา ควรมาทบทวนให้มากขึ้นในเรื่องของการพึ่งพาตัวเอง
ให้มากที่สุด ทันที่อาวุธนิวเคลียร์ถูกนำมาใช้ในสงครามผลกระทบที่ตามมาคืออะไร หรืออาวุธเคมี 
อาวุธชีวภาพ เราควรจะรับมืออย่างไร ถ้าเรายังอยากรอดชีวิต ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ให้แนวทาง
ผ่านทางสถานีโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ด้วยภูมิปัญญาอันสูงส่งของท่านพอสรุปได้คร่าวๆ ดังนี้
1. ไฟฟ้าอาจดับ จึงจำเป็นต้องมีพลังงานทางเลือกอย่างโซล่าเซลล์เตรียมพร้อมเช่น 
ติดตั้งระบบแผงโซล่าเซลล์ อุปกรณ์ที่ใช้กับระบบโซล่าเซลล์ เช่น ไฟฉายพลังงานแสงอาทิตย์ 
หลอดไฟแสงสว่าง หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า DC หรือถ้าใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า AC ก็ต้องใช้เครื่องแปลงไฟ
/เครื่องชาร์ตไฟ Power bank เป็นต้น
2. สำรองอาหารแห้งและน้ำดื่ม/น้ำใช้ กรณีน้ำและพืชผักปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสี 
ไม่สามารถรับประทานได้ เช่น พวกข้าวสาร ถั่ว งา ธัญพืช เกลือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง
เส้นก๋วยเตี๋ยวแห้ง อาหารสัตว์ นม ฯลฯ
3. เครื่องกรองน้ำ ในกรณีน้ำประปาเกิดการปนเปื้อน
4. กรณีที่มีการแพร่ของสารกัมมันตภาพรังสี ถ้าร่างกายไปสัมผัสเข้าให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที
ถอดเสื้อผ้าทั้งชุดทิ้งไม่นำกลับมาใช้อีก และควรอาศัยอยู่ในสถานที่หลบภัย ห้องใต้ดิน หรือในบ้าน
ไม่ออกไปข้างนอก เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกสารกัมมันตภาพรังสี โดยเฉพาะบริเวณที่มีระเบิดนิวเคลียร์
ตกในบริเวณใกล้เคียง
5. ควรปลูกผักสวนครัวเอาไว้บริเวณบ้านหรือห้องว่างเล็กๆ ในกรณีที่ไม่สามารถออกไปซื้อผัก      
นอกบ้านหรือร้านค้าต่างๆ ปิดตัวลง 
6. กรณีไฟฟ้าใช้งานไม่ได้อาจจำเป็นต้องใช้เตาถ่าน เชื้อเพลิงจากไม้ น้ำมัน และอื่นๆ 
เพื่อประกอบอาหารหรือต้มน้ำ
7. ควรเก็บเมล็ดพันธุ์ที่จำเป็นในการบริโภค ในกรณีที่ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถหาซื้อได้    
เพื่อป้องกันการขาดแคลนอาหารในภาวะสงคราม เช่น ถั่วเขียวใช้เพาะถั่วงอก คะน้า ผักบุ้ง 
กะหล่ำปลี ผักกาด ฯลฯ 
8. อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ จึงต้องสำรองแบตเตอรี่เอาไว้เวลาฉุกเฉินด้วย
9. จัดเตรียมยาเวชภัณฑ์ที่จำเป็น โดยเฉพาะยาต้านรังสี ติดบ้านเอาไว้
10. ติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด ปริมาณในการสำรองสิ่งต่างๆ ดังกล่าวขึ้นอยู่กับผลกระทบ
ที่ได้รับจากสงครามว่ายาวนานแค่ไหน อาจเป็น 1 เดือน หรือ 1 ปี แล้วแต่พื้นที่ที่อาศัยอยู่ว่าเป็นพื้นที่
เสี่ยงแค่ไหน
วีแก้น = เรือโนอาห์
www.suprememastertv.com
2 ธันวาคม 2565 17:33 น.

รหัสลับดับตะวัน...

คีตากะ

ณ กองช่างของ อบต. แห่งหนึ่ง
“ผอ.ค่ะ งวดนี้ออกอะไรค่ะ” หญิงสาวแรกรุ่นหน้าตาสะสวยคนหนึ่งถามขึ้นวันหนึ่งซึ่งเป็นวันหวยออก
เธอเป็นลูกจ้างของ อบต. ตำแหน่งพนักงานธุรการประจำกองช่าง ทั้งกองช่างมีเพียง 2 คน คือเธอกับ ผอ.
เธอชื่อมิ้น โต๊ะทำงานของเธออยู่หน้าห้องของ ผอ. ส่วนพนักงานกองช่างจริงๆ มีประมาณ 10 กว่าคน 
ส่วนใหญ่ก็ตระเวนทำงานไปทั่ว ทั้งในส่วนของ อบต. และในเขตชุมชน หลักๆ ก็มีตัดหญ้า ตัดกิ่งไม้ 
และให้บริการซ่อมแซมทั่วไปตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย...
“เลขเขาบอกกันไม่ได้ มันจะเคลื่อน” ผอ.ทำท่าเอานิ้วชี้ปิดที่ปากตัวเอง เป็นสัญญาณบอกให้เงียบ 
ก่อนจะเขียนตัวเลขใส่กระดาษและยื่นส่งให้ลูกน้องคนสนิทไป และจะกำชับว่า...
“เล่นเฉพาะสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้นนะ ช่วยอุดหนุนรัฐ จะได้เอาเงินไปช่วยเหลือคนจน”
“รับทราบค่ะ ผอ. ขอบคุณค่ะ” มิ้นรับกระดาษมา ในขณะที่ดวงตากลอกกลิ้งไปมา มีพิรุธ 
มิ้นถูกหวยมาหลายงวดแล้ว ก็เพราะได้อานิสงค์จาก ผอ. คนนี้แหละ คนทั้งตำบลเรียกแกว่า “เซียน”
ตั้งแต่ ผอ.ย้ายมาที่ อบต. แห่งนี้ มิ้นก็รู้สึกว่าชีวิตมีความหวังมากขึ้น และถูกหวยเกือบจะแทบทุกงวด 
จะผิดบ้างก็ตรงแทงบนออกล่าง แทงล่างออกบนเท่านั้น แต่ยังไงตัวเลขก็ไม่เคยพลาดมาก่อน 
นี่ก็เจ็ดงวดติดต่อกันแล้วที่เธอยังไม่พลาดเลย เธอไม่รู้ว่า ผอ.เล่นหวยหรือเปล่า เธอรู้แต่เพียงว่า 
ผอ.เป็นนักคำนวณ และชอบตัวเลขเป็นชีวิตจิตใจ...
ในสายตาของ มิ้น ผอ.เป็นคนตรงฉิน แกทำงานเป๊ะมาก เป็นคนละเอียด ทำให้แกมักจะมีปัญหากับผู้รับจ้าง
ทำถนนบ่อยๆ เพราะผู้รับจ้างก็มักจะทำงานลวกๆ ให้งานเสร็จๆไป คุณภาพงานไม่ค่อยได้ พอทำถนนเสร็จ
ไม่นาน ยังไม่ทันไรก็ชำรุดอีกแล้ว ผอ.จะเข้าไปจำจี้จ้ำไชกับผู้รับเหมาให้ทำตามแบบที่ได้ตกลงกันไว้
ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม ชาวบ้านไม่ร้องเรียน ซึ่งในมุมมองของผู้รับจ้างก็จะไม่ชอบเป็นธรรมดา....
ภาพ ผอ.ในสายตาของมิ้น จะเป็นคนเรียบง่าย ดูติดดิน คนภายนอก อบต.ที่ไม่รู้จักจะไม่มีทางคิดว่า 
แกเป็น ผอ.กองช่าง แกอาจจะเป็นคนแปลกๆ ยากแกการเข้าใจ แกจะผ่อนคลายกับทุกเรื่องยกเว้น
เรื่องงานเท่านั้นที่แกค่อนข้างจะซีเรียส เอาจริงเอาจัง บางทีก็มากจนเกินไป และก็ทำให้ลูกน้องกดดันไปด้วย..
บ้าน ผอ.อยู่ไม่ไกลกับ อบต. แกเช่าบ้านอยู่ สมัยก่อนแกขี่จักรยานมาทำงานทุกวัน 
แต่ปัจจุบันแกขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบที่แม่บ้านใช้ไปจ่ายตลาดกันนั่นแหละ วันแรกที่มิ้นเห็นรถคันใหม่
ของ ผอ.ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ออก แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ กลัว ผอ.จะเสียใจ มิ้นเคยถาม ผอ.ว่า
เงินเดือน ผอ.ก็สูง ทำงานมาก็นานทำไมไม่ขับรถเก๋งมาทำงานเหมือน ผอ.คนอื่นๆ บ้าง
เธอได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า “ผอ.ขับรถยนต์ไม่เป็น” เธอก็ได้แต่ทำหน้างงๆ ผอ.เคยเล่าถึงรถคันนี้ให้ฟังว่า
ครั้งหนึ่ง แกขี่มอเตอร์ไซค์แม่บ้านคันนี้ อยู่ดีๆ บนถนน พอมาถึงไฟแดง ขณะที่ติดไฟแดงอยู่นั้น
ก็มีรถมอเตอร์ไซค์วัยรุ่น 2 คน ตามาทัน ร้องถามแกว่า…
“ พี่ๆ ทำไม่รถพี่เร็วจัง ผมขับตามมาความเร็วเกือบร้อยยังตามไม่ทัน พี่ไปซื้อที่ไหนมา ผมจะไปซื้อมั่ง”
“ อ๋อ รถผมแต่งมาครับ” ผอ.ร้องบอกไป เพราะต้องสู้กับเสียงมอเตอร์ของวัยรุ่น 2 คนนั้น
“วิ่งได้เร็ว เท่าไหร่ครับเนี่ย” วัยรุ่นคนขับถามต่อ
“ น่าจะประมาณ 120 ครับ” ผอ.ตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ โอ้โห้พี่ รถรุ่นนี้วิ่ง 60 ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว พี่ไปแต่งยังไงครับ ผมจะไปทำมั่ง”
“ก็แค่เปลี่ยนฮับมอเตอร์ใหม่ แผงควบคุมใหม่ และเพิ่มแบตครับ ถ้าให้ดีมอเตอร์สักประมาณ 5 พันวัตต์
ขึ้นไปกำลังดี”
 ผอ.ตอบกลับไป ยังไม่ทันที่วัยรุ่นจะถามต่อให้หายสงสัย เพราะไม่เคยเจอรถแม่บ้านราคาไม่กี่พัน
จะวิ่งเร็วขนาดนี้ ที่สำคัญไม่มีเสียงดังอีกด้วย รวมทั้งไม่ใช้น้ำมัน พอไฟเขียว รถแม่บ้านสีชมพูคันนั้น
ก็วิ่งหายจนลับตาไปแล้ว....  สร้างความตื่นตระหนกให้กับวัยรุ่นจนตาค้าง เหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง 
ดังราวถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ ก็ปาน…
ถึงแม้ ผอ.จะได้ชื่อว่า “เซียนหวย” และรักตัวเลขเป็นชีวิตจิตใจ ที่ผ่านมาสูตรคำนวณของแก
ไม่เคนพลาดมาก่อน เมื่อก่อน ผอ.ไม่เคยสนใจเรื่องหวย แกเคยเล่าว่า ตอนสมัยเรียนอยู่มัธยม 
แกมีอาจารย์ที่เคารพมากอยู่คนหนึ่ง เป็นครูสอนคณิตศาสตร์ ที่เคยอบรมสั่งสอนแกมา 
มักจะเน้นย้ำเสมอว่า “นักคณิตศาสตร์จะไม่เล่นหวย เพราะเรื่องความน่าจะเป็นสอนว่าโอกาส
ที่จะถูกรางวัลน้อยมากจนแทบเป็นไปไม่ได้ เช่น รางวัลที่ 1 โอกาสมีเพียง 1 ในล้านเท่านั้นที่จะถูก 
หรือ เลขรางวัล 2 ตัว ก็มีโอกาสที่จะถูกแค่ 1 ในร้อยเท่านั้น” คำสอนอันนี้ถูกปลูกฝังอยู่ในสมอง
ของ ผอ.มาจนปัจจุบัน ทำให้ ผอ. ไม่เคยเล่นหวยเลย จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงที่ แม้ ผอ.จะไม่เล่นหวย
และไม่ชอบการเสี่ยงโชค ซึ่งแกก็รู้ตัวดีว่า แกไม่มีโชคทางนี้ แต่เพื่อนร่วมงานรอบๆ ตัวแกไม่เหมือนกัน 
พอถึงวันที่หวยจะออก มันคือความหวังของมนุษย์เงินเดือนเลยทีเดียว ผอ.มาสนใจตัวเลขหวย 
ก็เพราะมิ้นนี่แหละ มักจะมาบ่นว่าไม่ถูกหวยให้ฟังบ่อยๆ เวลาหวยออก ทำให้ ผอ.เริ่มสนใจตัวเลข
พวกนี้มาอีกครั้ง แกศึกษากับเซียนหวยหลายๆ คน ทดลองสูตรนี้ สูตรโน้น จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
กันเลยทีเดียว เคยมีข่าวมาว่า ผอ.ถูกหวย 9 งวดติดต่อกัน ตั้งแต่แกเริ่มสนใจเรื่องพวกนี้ จริงหรือเปล่า 
ก็ไม่ทราบได้ อาจจะเป็นแค่ข่าวลือ ผอ.เคยพูดเปรยๆ กับมิ้นว่า....
“ สำหรับคนมีโชค เลขจะมาหาเอง สำหรับคนไม่มีโชค เอารางวัลที่หนึ่งมาให้ก็ยังไม่เอา”
“เลขเหล่านี้ เป็นเลขเร้นลับ และไม่ใช่คณิตศาสตร์จะอธิบายได้” ผอ.ใช้คำว่าเลข “ลาภะ”
ไม่ใช่ได้มาโดยง่าย เพราะอาจทำให้คนธรรมดากลายเป็นเศรษฐีได้ในชั่วข้ามคืน ที่สำคัญ 
เมื่อเลขอาจไม่มีที่มาที่ไป เวลาได้เงินมาก็อาจละลายไปโดยไม่มีที่มาที่ไปด้วยเช่นกัน 
ไม่เหมือนการทำธุรกิจ ที่รู้ที่มาที่ไปของเงิน จึงง่ายในการควบคุม เวลาเล่นหวยจึงต้องใช้สติและปัญญา
ให้มาก อาจหมดตัวได้ง่ายๆ ถ้าผีพนันเข้าสิง...
และในท้ายที่สุดหลังจากที่มิ้นถูกหวยมาหลายงวดติดต่อกันจากเลขที่ ผอ.ให้ วันหนึ่งมิ้นก็เดินเข้าห้อง
มาหา ผอ.และบ่นว่า..
“ ผอ.ค่ะ ตัวเลขที่ ผอ.ให้งวดนี้ไม่เข้าเลยค่ะ หนูถูกกินไปเยอะทีเดียว” ผอ.ทำหน้างุนงง ราวกับว่า
จะเชื่อมั่นในเลขตัวเอง ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ น่าจะมีอะไรผิดพลาดนะ เดี๋ยว ผอ.ขอทบทวนสูตรก่อน” 
แม้ตัวเลขจะมีเข้ามีออก ผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคอหวย แต่สำหรับ ผอ. กลับไม่ใช่ 
ผอ.ใช้เวลาอยู่หลายวันถึงตัวเลขที่ให้กับลูกน้องไป และพบว่า นี่ไม่ใช่ตัวเลขหวย แต่เป็น 
“รหัสวันสิ้นโลก” ในตัวเลขนั้นได้แจ้งถึงวันพิพากษามนุษย์ในอีก 2 เดือนข้างหน้า 
เนื่องจาก ผอ.เป็นคนที่รักตัวเลขเป็นชีวิต จึงศึกษาทางด้านโหราพยากรณ์จากตัวเลข 
และรู้ถึงที่มาที่ไปของตัวเลข แม้ในสูตรการคำนวณหวยขั้นพื้นฐานจะต้องเริ่มที่เลขกำลังวัน 
รวมถึงห้วงเวลาในวันที่หวยออก วันอะไรและข้างขึ้นหรือข้างแรมประกอบด้วยก็ตาม 
แต่ตัวเลขในงวดนี้ได้บ่งบอกความลับบางอย่างออกมา หลังจากที่ ผอ.ได้รู้ถึงข้อมูลเหล่านี้ 
ทำให้ ผอ.นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง “รหัสลับวินาศโลก” ที่ นิโครัส เคส เป็นผู้แสดงนำ 
ผอ.เก็บความตื่นตระหนกเอาไว้อยู่คนเดียว และคิดว่า จะต้องหาพระผู้มีอภิญญา ล่วงรู้อนาคต
มาช่วยยืนยัน ผอ.นึกถึงหลวงพ่อเขียน ที่เล่าลือว่าท่านทำนายหวยไว้ล่วงหน้า 20 งวด 
และเลขก็ออกตามนั้น จนท่านมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ปัจจุบันท่านได้มรณะภาพไปแล้ว 
จนกระทั่ง ผอ.ได้พบกับพระผู้ทรงอภิญญา ท่านหนึ่งที่ล่วงรู้วาระจิตของ ผอ.ได้ 
โดยที่ยังไม่ได้กล่าวอะไร พระชราท่านนั้นก็เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า...
“อย่างที่โยมเข้าใจ นั่นแหละ ถูกแล้ว ไม่ใช่เลขหวย”
“แล้วผมจะทำยังไงต่อไปดีครับหลวงตา” ผอ.ถามด้วยความตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม
“ทำใจ โยม ทุกคนก็ต้องตาย มรณะสติไง” โยมก็เข้าใจดีนี่
“ไม่มีทางรอดอื่นอีกเหรอครับหลวงตา” ผอ.ยกมือพนมขอความคิดเห็นจากพระชรา
“ไม่มี โลกนี้ไม่ใช่ที่อยู่แล้ว” พระชราส่ายหน้าตอบ พร้อมกับหลับตาเข้าสมาธิ
“ตายกันหมดเลยหรือครับ” ผอ.ยังอยากได้คำตอบจากพระที่ฟังสบายใจกว่านี้
“มีทางเดียว” พระชราพึมพำตอบ คล้ายกำลังสวดมนตร์
“ทางไหนครับ” ผอ.รีบถามก่อนที่ท่านจะเข้าณาญไปจริงๆ
“ไปอยู่ดาวดวงอื่น! “ พระชราตอบเสียงแผ่วเบา เสมือนหนึ่งได้ยินมาจากที่ไกลโพ้น 
ก่อนที่ท่านจะเงียบไปและไม่พูดอะไรอีกเลย...
ผอ.กลับมาจากวัดพร้อมกับแผนการในสมองเป็นขั้นเป็นตอน ก่อนจะกลับไปดูหนัง
เรื่องรหัสลับวินาศโลกอีก 3 รอบ เผื่อว่าครอบครัวของแกจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้รอด
ในภัยพิบัติครั้งนี้ เหมือนในหนัง ซึ่งก็ได้แต่ภาวนา...
.............................................................................
14 สิงหาคม 2565 22:58 น.

อธิษฐานเพื่อความสงบสุข ในไต้หวัน (ฟอร์โมซา)

คีตากะ

การพูดคุยระหว่างอนุตราจารย์ชิงไห่กับทีมสมาชิก SMTV (วีแก้น)
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2022
จากรายการข่าวสดของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวี
ในวันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2022 ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ผู้เมตตาที่สุดของเรา ได้โทรหาสมาชิก 
ในทีมโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ และกล่าวอย่างเอาใจใส่ถึง สถานการณ์ของไต้หวัน (ฟอร์โมซา) 
และความตึงเครียด ระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่อาจารย์แบ่งปันข้อมูลเชิงลึก ของท่านเกี่ยวกับ
การมาเยือน ของประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่ง สหรัฐอเมริกาที่ไทเป ท่านยังกรุณา ตอบคำถามเกี่ยวกับ
การโทรศัพท์ ครั้งก่อนของท่าน ซึ่งท่านได้ กล่าวถึงขีดจำกัดเวลาที่สวรรค์ให้ไว้ เพื่อให้มนุษย์หันมาเป็นวีแกน 
และสำนึกต่อบาปอย่างจริงใจ
(ก็ เราเพียงสงสัย ว่าหลังจากผ่านไปหกเดือน โลกจะเร่งไปสู่การทำลายล้าง มากขึ้นหรือไม่?)
(ท่านอาจารย์ครับ มีวิธีอื่น อีกไหมที่จะช่วยโลก?) นั่นคือสิ่งที่ฉันหวังว่าจะมี แต่ฉันได้ยินมาว่ามีโลก 
ที่เรียกว่า "โลกแห่งการลงโทษ” ซึ่งสวรรค์ได้มอบหมาย ให้ทำการตัดสิน ตามกรรมที่เลวร้ายและโหดร้าย
ทั้งหมดของโลกของเรา และพวกเขาต้องการทำลาย ดาวเคราะห์ทั้งดวง และทันทีทันใดด้วย (ว้าว!) 
พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะนั่นคืองานของพวกเขา […]
และคนที่ประทับจิต โดยฉันแน่นอนว่า พวกเขาจะไปสวรรค์ – สวรรค์ระดับต่ำหรือสวรรค์ระดับสูง 
ตามที่พวกเขาเป็น แต่แน่นอนว่าพวกเขาเอง ก็ต้องการมันอย่างจริงใจ และยังคงเป็นวีแกนอย่างต่อเนื่อง 
(ค่ะ/ครับ อาจารย์) มิฉะนั้นมันก็ไม่ได้ผล (ครับ เข้าใจ) ไม่ใช่เพียงเพราะคุณ ประทับจิตแล้ว แล้วมันจะ
การันตี มันการันตี ถ้าคุณปฏิบัติ ตามคำแนะนำและทำตามนั้น (ครับ อาจารย์) สวดอธิษฐานทุกครั้ง 
ที่คุณมีเวลาสักหน่อย และทุกครั้ง ที่นั่งสมาธิด้วย ไม่ใช่แค่สำหรับวีแกนแต่เพื่อ ความสงบสุขของ
ไต้หวัน (ฟอร์โมซา) ไม่ใช่แค่สำหรับยูเครนเท่านั้น (ค่ะ/ครับ อาจารย์) ฉันแค่บอกให้คุณอธิษฐาน
 เพื่อสันติภาพ แค่นั้น (ค่ะ/ครับ อาจารย์) และฉันหวังว่ารัฐบาลจีน จะยังคงรักษา ความสัมพันธ์อย่างสันติ 
กับไต้หวัน (ฟอร์โมซา) กับโลกและอเมริกาต่อไป และไม่โทษคนอื่นสำหรับการแสดง อัตตาของผู้หญิง
ชั่วร้ายคนนี้ (ครับ อาจารย์) เธอแค่อยากจะมีชื่อเสียงมากขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น แค่นั้น และฉันหวังว่า
รัฐบาลจีน จะไม่หลงกล (ครับ อาจารย์) ไม่จำเป็นต้องทำ ให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อให้เธอดูใหญ่ขึ้น 
เธอไม่ใช่คนเดียว เธอจึงไม่ใช่ประธานสภาผู้แทนราษฎร คนแรกที่มาไต้หวัน (ถูกต้องครับ) 
เคยมีมาก่อน นิวท์ กิงริช แล้วมีปัญหาอะไรไหม? และไต้หวัน (ฟอร์โมซา) ก็เป็นที่เคารพนับถือ
และเป็นที่ชื่นชอบ จากหลายประเทศทั่วโลก […] ใครจะสน ถ้าผู้คนจะพูดว่า ประเทศของคุณได้รับ 
การยอมรับอย่างเป็นทางการหรือไม่ หลายประเทศได้รับการยอมรับ อย่างเป็นทางการแต่ไม่สงบสุข 
และมีปัญหามากมาย เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหามาตรฐานชีวิต สงคราม และ ภัยพิบัติอื่น ๆ มากมาย 
เช่น ความอดอยาก ทุกสิ่งทุกอย่าง ไต้หวัน (ฟอร์โมซา) มีบุญ มาก ๆ อยู่แล้ว (ใช่ ถูกต้อง) […] 
ดังนั้นจริง ๆ แล้ว รัฐบาลไต้หวันก็ ควรสงบสติอารมณ์ด้วย และเพียงดำเนินต่อไป ตามปกติเช่นเคย 
ทำไมพวกเขาต้อง แข่งขันกับจีน? หรือให้ข้ออ้างกับพวกเขา? แม้ว่าคุณจะสามารถต่อสู้กับศัตรู 
หรือฝ่ายตรงข้ามได้ คุณไม่จำเป็นต้องเลือก การต่อสู้เสมอไป (ถูกต้องครับ) ถ้าจีนปกป้อง ไต้หวัน
(ฟอร์โมซา) และไม่กดขี่ โดยช่วยให้พวกเขายืนหยัดในโลก อย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยความมั่นคง 
ความปลอดภัย สันติภาพ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องไป กับอเมริกาหรือใครเลย คุณไม่คิดหรือ? 
(ถูกต้องครับ อาจารย์) ฉันไม่มีอะไรกับจีน และไม่มีอะไรกับไต้หวัน (ฟอร์โมซา) (ครับ อาจารย์) 
ไม่มีอะไรในหัวใจของฉัน ฉันแค่อยากให้ทั้งคู่มีสันติสุข ต่อกันและกัน และช่วยเหลือ หรือเติบโต
เคียงข้างกันเพื่อช่วย ให้โลกกลายเป็นที่ที่มีความสุข มากขึ้น เป็นที่ที่อุดมสมบูรณ์ และสงบสุขมากขึ้น
สำหรับทุกคน เพื่อให้ทุกคนอยู่ในโลก เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ ฉันหวังแค่นั้น (ครับ อาจารย์) 
สงครามไม่เคย ชนะ-ชนะ สำหรับใครเลย ไม่เคย (ไม่ครับ) ดังนั้น ฉันแค่หวังว่าพวกเขาทั้งหมด จะตื่นขึ้น 
และช่วยตัวเองให้รอด แทนที่จะฆ่าคนอื่น พวกเขาต้องช่วยตัวเอง (ใช่ค่ะ/ครับ) ทุกคนตาย
โดยไม่มีอะไรเลย นั่นคือข้อความของ อเล็กซานเดอร์มหาราช ถึง มนุษยชาติทั้งหมด สำหรับคนที่ชอบ 
ก่อสงครามทุกคนในโลก (ค่ะ) ฉันแค่หวังว่าพวกเขาจะจำได้
จาก www.suprememastertv.com/รายการข่าวเด่นหรือระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ