2 มกราคม 2551 15:53 น.
คีตากะ
ทำไมคนตายจึงทุกข์ทรมานมาก? เป็นเพราะพวกเขาส่วนใหญ่ถูกตัดขาดจากกระแสเสียงตลอดกาล มีสายสีเงินในตัวเราแต่ละคนขณะที่เรามีชีวิตอยู่ มันตามเราไปทุกหนแห่ง มันหดและขยายโดยอัตโนมัติขณะที่เราท่องเที่ยวไปมาระหว่างมิติอื่นๆ ถ้าเรารู้จักวิธีการบรรเลงสายสีเงิน เราจะสามารถทำให้มันเกิดเสียงที่ไพเราะเพื่อทำให้เรามีความสุขเพื่อหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเรา และพาเรากลับไปยังบ้านอันแท้จริงของเรา สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักวิธีการใช้สายสีเงิน มันจะถูกใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในตอนที่พวกเขาตายซึ่งมันจะถูกตัดขาดอย่างที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก
ด้วยเหตุผลนี้คนเป็นจำนวนมากที่ตายไปจึงไม่มีความสุข เมื่อตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้วิธีการบรรเลงสายสีเงินก็ตาม พวกเขาก็มีมันอยู่ดีและดวงวิญญาณของพวกเขารู้ว่ายังคงมีความหวัง ยกตัวอย่าง ฉันมีแมนโดลิน แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยมีเวลามากนักที่จะเล่นมัน แต่การที่รู้ว่าฉันมีมันก็ช่วยปลอบใจฉันได้ และฉันสามารถที่จะเล่นมันได้ทันทีที่ฉันมีเวลา ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันยังไม่มีมัน ฉันเคยคิด "โอ มันจะดีมากเลยถ้าฉันมีสักเครื่องหนึ่ง !" ตอนนี้ฉันก็มีมันแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่มีเวลาพอที่จะเล่นมัน ฉันก็รู้ว่ามันมีอยู่ มันก็นับว่าดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เมื่อเรามีชีวิตอยู่ สายสีเงินนั้นก็ดำรงอยู่ แม้ว่าเราจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมและไม่ได้ใช้สายสีเงินเส้นนี้ มันก็ยังคงมีอยู่และยังคงมีความหวัง พอเราตายไป มันก็หายไป เราไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจึงจะมีบุญพอเพียงที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์และมีสายสีเงินนี้อีก สัตว์ไม่มีเส้นสายแบบนี้ ดังนั้นมันจึงไม่มีเสียงภายใน เออ มันมีเส้นสายแบบนี้ แต่ของมันนั้นเล็กเกินไปที่จะบรรเลงเป็นเพลง มันไม่ดีพอที่จะถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
คนส่วนใหญ่ประสบกับความทุกข์ยากมากมายหลังจากที่พวกเขาตายไป เป็นเพราะไม่มีเสียงจากเส้นสายสีเงินนี้และไม่มีความหวัง พวกที่ประทับจิตจะต่างออกไป เส้นสายสีเงินของพวกเขามีอยู่ตลอดกาล พาพวกเขาไปๆมาๆระหว่างโลกที่สูงขึ้นไป ดังนั้นพวกเขาจึงอิสระเสมอ และไม่มีวันหลงทางหรือถูกพรากจากมิติทางจิตวิญญาณที่สูงที่สุด เส้นสายสีเงินที่ทำหน้าที่ได้ถูกต้องไม่ผิดพลาดทำให้พวกเขามีชีวิตจริงๆ มิฉะนั้นแล้วเส้นสายก็จะหายไปเมื่อพวกเขาตายและจะไม่มีความหวังใดๆ และหากพวกเขาบางคนได้กลายเป็นสัตว์ ตามกฎแห่งกรรมตามศาสนาพุทธ ก็จะยังคงมีความหวังน้อยลงไปอีกสำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้คนที่ตายจึงทุกข์ทรมานมาน ไม่สามารถได้ยินเสียงภายในและภายนอก
ผู้บำเพ็ญกวนอิมมีความสุขมากในเวลาตาย โดยที่รู้ล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อใด เส้นสายสีเงินจะยังคงไม่ถูกตัดขาดจะยังคงบรรเลงเสียงที่ไพเราะและหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง พาพวกเขาไปทุกหนแห่งและพาพวกเขากลับมา มันสามารถยืดไปจนสุดเขตแดนของจักรวาลและไปยังก้นลึกสุดของนรก ดังนั้นพวกเขาจึงอิสระที่จะไปทุกหนแห่ง นี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและผู้ที่ประทับจิต เมื่อร่างกายของพวกเขาตายไป จริงๆ แล้ว ผู้ที่ประทับจิตไม่มีวันตาย เฉพาะผู้ที่เส้นสายถูกตัดขาดเท่านั้นที่ตาย
คนที่มีชีวิตอยู่ที่ไม่สามารถได้ยินหรือเห็นสิ่งภายนอกจะไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก คนตาบอดและคนหูหนวกไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนักเพราะพวกเขาไม่มีเสียงและภาพภายนอกเพื่อให้ความบันเทิงแก่พวกเขา ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับคนตาย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีความสุข ถ้าเราเพาะเลี้ยงเส้นสายสีเงินนี้ และรักษามันไว้ไม่ให้ตาย เราก็จะเป็นอมตะและจะมีเสียงและแสงมาหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเรา ปลอบใจเรา และทำให้เราร่าเริงตลอดเวลา ตอนนี้เรามีมันวันละ 24 ชั่วโมง ดังนั้นเราจึงมีความสุขตลอดทั้งวัน......
31 ธันวาคม 2550 14:09 น.
คีตากะ
ณ ห้องประชุมอันกว้างขวางใหญ่โตที่จุคนนับพัน แถวหน้าสุดนั่งไว้ด้วยคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติจำนวนหลายท่าน สถานการณ์เต็มไปด้วยความตึงเครียด เนื่องจากเวทีแห่งนี้กำลังมีการแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์ของนักพูดที่ผ่านการคัดเลือกมาจนถึงรอบสุดท้ายจำนวน 40 คน เพื่อสรรหานักพูดที่มีคะแนนรวมสูงสุดและนักพูดยอดเยี่ยม โดยเก็บคะแนนจากการพูดในแบบต่างๆ มาแล้วเป็นเวลาถึง 3 วัน เช่นการพูดในโอกาสต่างๆ การพูดแบบเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ เป็นต้น และวันนี้เป็นวันสุดท้าย นี่คือรอบชิงชนะเลิศ เพื่อตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขา เหล่านักพูดที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพและหลากหลายองค์กร ผู้คว้าเงินรางวัลพร้อมโล่เกียรติยศซึ่งเป็นรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาอมโรคคล้ายกำลังป่วยไข้หนักคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาคล้ายเบื่อหน่ายต่อโลกนี้เต็มทน ราวกับว่าแม้เพียงสายลมก็อาจทำให้เขาล้มลงได้ทุกเวลา ทุกขณะ สถานที่ที่เขาควรอยู่เวลานี้ควรจะเป็นห้อง ICU ของโรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นเวทีแห่งนี้ ! แต่ภายหลังเขากลับคว้ารางวัลนักพูดคะแนนรวมสูงสุดและนักพูดยอดเยี่ยมได้คนเดียวทั้งสองรางวัลโดยไม่มีทีท่าดีใจแม้แต่น้อย คล้ายว่าเขาถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นสะกดให้ขึ้นเวทีด้วยความจำใจก็ปาน เขาเดินขึ้นเวทีอย่างเชื่องช้า ในสภาพอิดโรย คงมีแต่แววตาเท่านั้นที่ยังเปล่งแสงประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวัน เขาเหม่อมองขึ้นสู่ท้องฟ้าและได้พูดถ้อยคำดั่งต่อไปนี้....
ท่านคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติและท่านผู้มีเกียรติที่รักทุกท่าน..มีผู้รู้ท่านหนึ่งได้เคยกล่าวไว้ว่า การจะทำงานให้ประสพความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้นั้นจะใช้แต่คุณธรรมอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ต้องอาศัยความรอบรู้เจนจบในทุกๆด้านที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ ด้วย จึงจะสำเร็จได้ กระผมมีความคิดเห็นว่าผู้รู้ท่านนั้นกำลังกล่าวถึงคำว่า ปัญญา ปัญญาคือสิ่งใด ? ปัญญามีอยู่แล้วในตัวของคนทุกคนในปริมาณที่เต็มเปี่ยมและสมบูรณ์เท่ากัน ปัญญาไม่สามารถได้รับมาจากการศึกษาเรียนรู้ หรือจากตำราใดๆ ปัญญาไม่สามารถได้รับจากประสบการณ์ใดๆ ปัญญาไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้และไม่สามารถได้รับมาจากการฝึกฝนด้วยระบบใดๆ ในโลก ปัญญาคือมหาพลังอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ คือขุมทรัพย์อันมหาศาล คือความสามารถในการหยั่งรู้ทุกเรื่องราวในจักรวาล คือห้องสมุดของจักรวาลอันเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของศาสตร์ทุกแขนงและก็มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์ทุกคน เพียงแต่กำลังนอนหลับอยู่เท่านั้น การจะได้รับปัญญานั้นต้องมาจากการนำปัญญาที่มีอยู่แล้วนั้นออกมาใช้บ่อยๆ ในแต่ละสถานการณ์ของชีวิต คล้ายการเรียนรู้จากสัญชาตญาณภายในขณะที่จิตใจอยู่ในภาวะเงียบสงบ เมื่อปัญญาถูกใช้บ่อยๆก็จะทราบว่าตัวเองมีปัญญามากน้อยแค่ไหนและเกิดการพัฒนาให้มากขึ้นได้ .......ท่านที่รักทั้งหลายนักวิทยาศาสตร์ได้เคยทำวิจัยพบว่ามนุษย์ได้ใช้ระดับสติปัญญาที่มีอยู่โดยเฉลี่ยไม่เกิน 10 % เท่านั้น ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกบางท่านที่อาจจะมีมากกว่านี้บ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วการนำปัญญาหรือศักยภาพจากภายในออกมาใช้ยังคงอยู่ในระดับต่ำซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลวของมนุษยชาติอย่างมากมาย
สุดท้ายนี้กระผมจึงอยากจะกล่าวว่าการได้ค้นพบปัญญานั้นท่านจะได้พบกับความสุขที่แท้จริงด้วยเช่นกัน ท่านจะสามารถทำสิ่งอันพิศวงต่างๆได้มากมายและมีความรอบรู้ในสิ่งต่างๆมากมายที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นกระผมจึงหวังว่าการดำเนินชีวิต การทำงาน ต่อจากนี้ไปของท่านจะเป็นการทำงานเพื่อที่จะเรียนรู้จักปัญญาให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อทุกท่านจะพบกับความสุข และรู้จักตัวตนของท่านเองได้มากขึ้น สวัสดีครับ