6 มีนาคม 2551 12:10 น.

เรื่องบ่น ตอนที่สอง

คีตากะ



           และแล้ว ! ก็เป็นเหมือนเก่า..ในที่สุดเราก็ก้าวเข้ามาสู่จุดเริ่มต้น กลับมาสู่ชนบทแดนกันดาร ห่างไกลความเจริญ นี่คือบ้านเกิด ท่ามกลางป่าไพรและท้องทุ่ง มีคนเคยบอกว่า รก ของเราถูกฝังไว้ที่แห่งนี้ เราจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกล ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน สุดท้ายต้องวนกลับมาที่เดิม.....

          ที่นี่คือสถานที่ในการหยุดเพื่อตรวจสอบระบบความคิดของตัวเอง......เพราะชีวิตถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดอันเข้มข้นของตัวเราเอง เราเชื่อเช่นนั้น ความคิดคือสิ่งกำหนดชะตาชีวิต ความคิดเปลี่ยนโลกเปลี่ยนชะตาชีวิต...หลายคนเคยพูดเช่นนั้น เราก็เชื่อเช่นนั้น เพียงแต่ว่า อาจไม่ใช่เพียงแค่ความคิด น่าจะมีเรื่องของกรรม ซึ่งก็คือความคิดในอดีตเช่นกัน ประกอบเป็นองค์รวมอยู่ด้วย สรรพชีวิตล้วนเป็นไปตามกรรม เหมือนกับเวลาตอนเด็กๆที่เล่นลูกบอลลูกเล็กๆ บางครั้งเราเตะมันอัดกับกำแพงแรงเท่าใด มันก็จะกระเด้งกลับมาแรงเท่านั้น....

          ความรู้สึกตอนที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า แปดโมงเพื่อ เร่งรีบเข้าทำงาน และคอยเวลาห้าโมงเย็นเพื่อรอเวลาเลิกงาน มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากจริงๆสำหรับชีวิต ราวกับว่าถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่เวลานี้เราดูเหมือนว่าจะมีอิสระมากขึ้นเหมือนจะมีความสุขดีแต่เรื่องปวดหัวอย่างอื่นก็ยังคงมีใหม่ๆอยู่เสมอ ราวกับว่าวที่สายป่านถูกตัดขาดลอยละลิ่วไปไร้ทิศทาง ทั้งอิสรเสรีและเลื่อนลอย

          ถ้าพิจารณาแล้วคำว่าไร้แก่นสารนั้นไม่สมควรกล่าวในเวลานี้ เพราะชีวิตคือความไร้แก่นสารประการหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้น มีคนบอกเราว่าชีวิตย่อมมีจุดมุ่งหมายของมัน แม้จะจบลงด้วยความตายก็ตาม เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเราไม่เคยตายเลยไม่รู้ว่าจากนั้นจะไปไหนต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อคือคำกล่าวที่ว่าชีวิตแท้ที่จริงต้องการความสุข และการเกิดมาก็เพื่อนเป้าหมายนี้....แต่อะไรเล่าคือความสุข ? แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนบอกดูหนังฟังเพลงเป็นความสุข บางคนบอกมีคนรักเป็นความสุข บางคนบอกการได้ท่องเที่ยวเป็นความสุข บางคนว่าเรื่องกินสิเป็นความสุข บางคนบอกว่าสังคมมีเพื่อนเยอะๆเป็นความสุข บางคนบอกว่าร่ำรวยสิจึงเป็นความสุข บางคนบอกได้ร้องเพลงก็พอแล้ว บางคนบอกว่าการนอนป็นความสุข บางคนชอบทำงานหนักเป็นความสุข บางคนบอกสันโดษเป็นความสุข แต่ละคนก็มีความสุขในมุมมองของตัวเอง และใครก็อย่ามาวิพากษ์วิจารณ์.....

         แต่ถ้าใครถามว่าความสุขที่เป็นสุขที่นิรันดร์ หลายคนที่พอรู้หน่อยก็ต้องบอกว่านิพพาน ซึ่งคำนี้ฟังง่ายแต่แปลยาก บางคนบอกว่าหมายถึง การดับเย็นจากกิเลส หรือการหมดจากทุกข์ ดับจากทุกข์ เรามีความเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเจอความทุกข์มาแล้วทุกคน แต่มีกี่คนที่เจอคำว่านิพพาน และใครจะมีชีวิตที่เป็นนิพพาน ยังมีบางคนพูดถึงนิพพานชั่วคราว นิพพานถาวร เป็นอย่างไรก็ยากเข้าใจ น่าเสียดายที่เราไม่เคยนิพพาน เลยไม่รู้ บางคนถึงกับบอกว่า นิพพานแปลว่าตาย ยิ่งปวดหัวไปใหญ่ ก็คงปล่อยมันไป ว่ากันไป.......แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า นิพพานต้องมีความสุข แล้วแต่ใครจะชอบ จะรักนะกัน....

        กลับมาบ้านก็เจอแต่ข่าวๆๆๆ เพราะปกติไม่ค่อยดูข่าว แต่พ่อเขาชอบดูก็เลยต้องดูเป็นเพื่อนเขา อยู่กันแค่สองคน แม่ก็ไปเลี้ยงหลานให้น้องชาย เราจึงต้องทำงานแทนแม่ ทำกับข้าว ซักผ้า ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน งานของผู้หญิงเราทำหมด เราออกมาทำธุรกิจส่วนตัว และประกาศว่าจะไม่ยอมเป็นลูกจ้างให้ปวดหัวอีก ใครๆก็พูดง่าย แต่ไม่เคยทำได้สักที แม้แต่เราก็พูดมาหลายรอบ แต่สุดท้ายยังคงกลับไปทำงานบริษัทอยู่ดี คราวนี้ก็อีกแหละ ความตั้งใจดี แต่ปัญญาไม่พอ เอาตัวไม่รอด แต่เราล้มลุกคลุกคลานอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้แน่นอนนี่ก็ผ่านงานมาตั้ง 5 บริษัทแล้ว สงสัยจนอายุเกินที่เขาจะรับเข้าทำงานจึงจะหยุดได้กระมัง.....

        ข่าวการบ้านการเมืองยิ่งน่าเวียนหัว ละครไทยดูไปก็น้ำเน่า เน้นการตลาดขายโฆษณาอย่างเดียว คนก็ดูกันจัง ยิ่งละครเรื่องเด็ดๆ ค่าโฆษณา นาทีเป็นแสน เราเคยทำการตลาดมาบริษัทหนึ่ง เคยถามเจ้าของกิจการว่าทำไมสินค้าเราถึงไม่ทำโฆษณาทางทีวี เขาบอกว่าเคยทำมาแล้วแต่ไม่ได้ผล เพราะแบรนด์ของคู่แข่งเข้มแข็งติดตลาดมากกว่า แถมลงทุนทีใช้เงินเป็นล้าน ทุกวันนี้บริษัทนี้เน้นส่งออก 95% ขายในประเทศแค่ 5% เลยไม่ต้องทุ่มงบโฆษณา เน้นขายตรงมากกว่า วางตามโมเดิ้นเทรด ห้างร้านต่างๆไว้ให้แบรนด์ติดตาเท่านั้น เท่ากับเป็นการโฆษณาไปในตัว.....

        ข่าวเรื่อง คนรวยเล่นหุ้น คนจนเล่นหวย ฟังคนโน้นพูดที คนนี้พูดที เราชาวบ้านตาดำๆธรรมดายิ่งปวดเศียรเวียนเกล้าไปใหญ่ พูดมากก็โดนด่า ว่าเป็นพวกไร้การศึกษาซะงั้น บ้างก็ว่าไหนๆจะเล่นกันแล้วก็ทำให้ถูกกฎหมายไปเลยเอาเงินเข้ารัฐช่วยเหลือเด็กยากจนขาดทุนการศึกษา บ้างก็ว่าเป็นการส่งเสริมอบายมุขทำประเทศล่มจม ไม่รู้จะฟังใคร หาโอเลี้ยงกินดีกว่าแก้เซ็ง มันอึดอัดคับข้องใจยังไงชอบกล....

       ต่างคนก็ต่างมุมมอง...ว่ากันไป  อะไรถูกอะไรผิดเดี๋ยวก็รู้เองแหละ บางคนว่าโลกนี้ไม่มีดำกับขาว มีแต่สีเทาๆมัวๆ น่าจะจริงนะ น่าสังเกตว่าสิ่งนี้ได้สะท้อนภาวะจิตใจของคนออกมา ว่าที่จริงยังคงสีเทาๆ ไม่ดำสนิทและขาวบริสุทธิ์ นี่แหละมนุษย์ตัวจริง เป็นๆ ทุกคนก็มีอัตตาทิฐิ ด้วยกันทั้งนั้น ตัวเองต้องถูกต้องเสมอ ไม่ยอมฟังใคร ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กูอยู่เฉยๆดีกว่าประเทศฉิบหายกูก็ฉิบหายไปด้วย..นั่นสิ บ้านหลังเดี๋ยวกันเสาหายไปข้าง หลังคาหลุดไปบ้าง มันก็คงซวยกันอยู่ดี จะหนีไปไหนล่ะ หรือจะเข้าป่า ก็คงอดตายในป่า เพราะเดี๋ยวนี้คนมันทำลายป่ากันจะหมดประเทศแล้ว ดินฟ้าอากาศแปรปรวนไปหมด นี่จะหน้าร้อนแท้ๆ เมื่อเช้าดันหนาวจนเกือบจะเป็นไข้ ดูมันสิธรรมชาติไปกันใหญ่ คงเริ่มเพี้ยนตามคนนั่นแหละ กรรมละคราวนี้ ความฉิบหายมาเยือน...

      พวกคนจนก็บอก...พวกคนรวยมันโกงเขามาใครจะทำเงินได้เยอะๆขนาดนั้นมันต้องโกงชัวร์ ส่วนพวกคนรวยก็บอก....พวกคนจนมันโง่ไม่มีสมอง ทำธุรกิจไม่เป็น ทำงานเพื่ออุดมการณ์ ให้มันกินอุดมการณ์แทนข้าวไปเถอะ ไม่รู้จะฟังใครต่างคนก็ต่างสาดโคลนใส่กัน ถ้าพูดถึงความสุขสบายทางกายรวยก็อาจจะดี แต่ถ้าสบายใจไม่ต้องดิ้นรนมากไม่แน่จนอาจจะดี เพราะยังไงคนรวยตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่างและจะเป็นทุกข์มากเวลาจะตาย พวกนี้กลัวตายเป็นที่สุด เสียดายชีวิตที่สุขสบาย ส่วนคนจนตายก็เอาความยากลำบากติดตัวไปไม่ได้ อาจจะอยากตายเร็วๆเสียด้วยซ้ำ ไม่ค่อยกลัวตาย เพราะอาจคิดว่าชาติหน้าตากูรวยมั่งนะกัน เพราะจริงๆคงไม่มีใครคิดเกิดมาจนหรอก ใครก็ต้องอยากรวย อยากสบายทั้งนั้น แต่ไม่มีปัญญาเท่านั้นเอง....

      คนมีปัญญาเท่านั้นที่สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส และมองเห็นโอกาสในทุกๆที่ๆ ทุกสถานการณ์ หากเป็นนักธุรกิจก็เห็นโอกาสในการทำเงิน การลงทุน หากไม่มีโอกาส ยังสามารถสร้างโอกาสขึ้นมาได้อีก ส่วนคนไม่มีปัญญาอย่าว่าแต่ไม่เคยเห็นโอกาส ยังนอนรอโอกาส ไม่รู้จักโอกาส ที่ซ้ำร้ายยิ่งไปอีกคือมีโอกาสแล้วยังไปทำลายโอกาสอีก เช่นเราเป็นต้น มีโอกาสร่ำรวยตั้งไม่รู้กี่ทีกลับไปทำลายหมดเลย.....กรรมของตู แต่นี่ก็เป็นแค่โลกียปัญญา....

       โลกุตรปัญญา เป็นอย่างไร? คงต้องไปถามพวกบำเพ็ญเพียรทางจิต วิปัสสนากรรมฐาน พระเจ้าพวกนั้น เราก็ไม่ค่อยรู้เป็นคนไม่มีโลกุตรปัญญา แต่เคยได้ยินได้ฟังมามาก ว่าคนที่มีปัญญาชนิดนี้จะสามารถกลายเป็นยอดคน เช่นในเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งถือได้ว่าเป็นยอดคน หยั่งรู้ดินฟ้าปานเทพยดาประมาณนี้แหละ ถ้าขงเบ้งบำเพ็ญต่อไปในป่าไม่ออกมาทำศึก ก็อาจบรรลุธรรมขั้นสูงก็เป็นได้ การมารบราฆ่าฟัน สร้างเวรกรรม ขงเบ้งอายุสั้นตายแค่อายุประมาณ 40 เท่านั้น จริงเปล่าไม่รู้? มีคนบอกว่าขงเบ้งกับฮิตเลอร์มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้รบกี่ครั้งไม่เคยแพ้ ในแวดวงคนบำเพ็ญบอกว่า แท้ที่จริงพวกนี้ใช้โลกุตรปัญญาไปในทางที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก การบำเพ็ญจิตทางลัทธิเต๋าของขงเบ้งทำให้เขาสามารถถอดจิตได้ และก่อนจะรบเขามักจะถอดจิตออกไปดูข้าศึกวางแผนกันบ่อยๆ จึงสามารถรับมือและซ้อนแผนข้าศึกได้ราวกับตาเห็น ที่มีอยู่ครั้งที่ขงเบ้งสามารถสยบทัพทั้ง 7 ทัพที่ยกมาพร้อมกันจากทุกทิศทาง เพียงนั่งอยู่ในกระโจมวางแผนเท่านั้น ทัพทั้ง 7 ถอยแตกกระจายไม่เป็นขบวน ใครจะคาดคิดว่าขงเบ้งเพียงแค่นั่งถอดจิตไปดูศัตรูจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้วก็อาจเป็นได้.....เหลือเชื่อจริงๆๆๆ...ฮิตเลอร์ก็คงถอดจิตได้เหมือนกัน เดี๋ยวประวัติศาสตร์จะเพี้ยนกันไปใหญ่...กรรมแล้วตู ว่าไปตามเขา......หาเรื่องใส่ตัวและ! ไปนอนดีกว่า.....
				
25 กุมภาพันธ์ 2551 19:26 น.

ปริศนาแห่งหยินหยาง

คีตากะ

 ปราศรัยโดยท่านอนุตตราจารย์ชิงไห่ที่ศูนย์ซีหู หมู่เกาะ ฟอร์โมซา
                                 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม  ค.ศ. 1994
                    



ทำไมคนส่วนมากจึงชอบมีเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงกัน? มันก็เป็นเพราะว่าเขาหรือเธอขาดหยิน(ลักษณะของเพศหญิง)
หรือหยาง(ลักษณะของเพศชาย)เราเกิดมาด้วยความปรารถนาที่จะค้นหาพระเจ้าก่อนที่เราจะทำได้สำเร็จ เราก็รับเอาอะไรก็ได้ที่สะดวกง่ายดายที่สุด ดังนั้นเราจึงแสวงหาเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงหรือแต่งงานกัน เป็นต้น  เมื่ออยู่ในช่วงความรัก แต่ละคนก็จะให้หยินหรือหยางแก่อีกคนหนึ่งพวกเขาทั้งสองจึงมีความสุขมาก สบายใจและพึงพอใจมาก ดังนั้นเมื่อเธอกำลังอยู่ในความรักจริงๆละก็ ว้าว! เธอจะมีความสุขมาก เพราะว่าเธอได้ให้อย่างเป็นไปตามธรรมชาติและเธอก็จะมีหยินและหยางตามธรรมชาติ พระเจ้าได้จัดการให้มันเลื่อนไหลถ่ายเทไปมาในระหว่างตัวเธอทั้งสอง อย่างไรก็ตามคนมักจะมีแนวโน้มที่จะลืมในเวลาต่อมา และก็กลายเป็นไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อรักกันไปนานๆขึ้นพวกเขาก็คาดหวังจากกันและกัน! พวกเขามีความสุขรักกันเรื่อยมา เพราะว่าพลังของหยินและหยางได้เสริมเติมซึ่งกันและกันให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกสมบูรณ์เต็มตามธรรมชาติ แล้วพอวันหนึ่ง พวกเขาก็จะเคยชินกับความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมา คิดว่ามันเป็นเพราะอีกคนที่ทำให้พวกเขามีความสุขมาก ไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าต่างหากที่กำลังบรรจุมอบมันให้แก่พวกเขาตามธรรมชาติอยู่ เมื่อเธอไม่ได้คิดอะไร พระเจ้าก็ได้ปล่อยให้พลังงานนี้ไหลผ่านไปสู่พวกเธอทั้งสองพร้อมๆกัน และช่วยเติมให้เธอทั้งสองคนสมบูรณ์อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ นี่เป็นการให้ตามธรรมชาติในเวลาที่เธอไม่ได้กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเธอทั้งสองคนจึงมีความสุข
พอเธอเริ่มคิด เราก็เริ่มจะพูดว่า" คิดถึง" คิดถึงอีกฝ่ายหนึ่ง เราคิดว่าเรามีความสุขเพราะคนนั้น แล้วเราก็เริ่มมีการยึดติด และต้องการที่จะผูกมัดเขาให้ติดอยู่ข้างเราตลอด อยากจะเก็บรักษาความสุขนี้ตลอดไปให้เหมือนตอนที่เธอกำลังรักกันใหม่ๆ พอเราเริ่มคิดอย่างนี้พลังงานนั้นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานที่จำกัด เราคิดว่ามันมาจากอีกฝ่ายหนึ่งแทนที่จะคิดว่ามันมาจากพระเจ้า ดังนั้นพลังงานที่มาจากพระเจ้านี้จึงถูกตัดขาดไปทันที เข้าใจไหม? พลังของความคิดของเรามีกำลังแรงมาก จนไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็จะกลายเป็นจริงขึ้นมาตามนั้น ดังนั้นขณะที่ความคิดของเธอผุดขึ้น ระบบนี้ก็จะถูกตัดขาดจากกันแล้วทั้งสองคนก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพราะว่าพวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังขาดอะไรไปบางอย่าง ! พวกเขาก็จะเฝ้าแสวงหา เมื่อไม่ได้รับความพอใจ พวกเขาก็จะยึดจับ ผูกมัดและเกาะติดซึ่งกันและกันและก็จมลึกลงไปในความทุกข์ทรมานมากขึ้นด้วยกัน
แรกเริ่มพวกเขาเป็นคน 2 คน แต่ตอนนี้พวกเขาเกาะติดกันราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ยังคงมีอัตตา 2 ตัว ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พวกเธอเข้าใจไหม? พลังงานมาติดกัน แต่อัตตาไม่ติดกัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วปัญหาก็เริ่มขึ้นตรงนี้เอง ดั้งเดิมพวกเราแต่ละคนก็มีพลังงานและอัตตาเป็นของตัวเอง ควบคุมชีวิตของเราเองและเป็นอาจารย์ของพวกเราเอง ก่อนที่จะรู้จักอีกคน เราเป็นอาจารย์ของตัวเราเองเสมอ ! วันนี้ฉันจะดูทีวี ทานอาหารมังสวิรัติอย่างหนึ่ง และตัวฉันเองที่อยากจะทานมัน โดยไม่สนใจใคร พอคนสองคนเข้ามาอยู่ด้วยกัน และต่อมากลายเป็นหนึ่งเดียวพวกเขาก็มาช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้แก่กันและกันและก็มีความสุขด้วยกัน อย่างไรก็ตาม อัตตาของพวกเขาไม่ต้องการข้าอีกต่อไปแล้ว ! ก็ลาก่อน ! นี่เป็นระบบที่อัตโนมัติ และเป็นธรรมชาติ เข้าใจไหม? เธอจะได้รับในสิ่งที่เธอขอ ดังนั้นคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงกล่าวว่า ถ้าเธออธิษฐานต่อพระเจ้า และแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าภายในแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกมอบมาให้เธอ ถ้าทั้งหมดที่เธอขอนั้นคือแค่หยดเล็กๆ เธอก็จะได้รับเพียงแค่นั้น อันนี้เป็นไปตามระบบอัตโนมัติ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนในโลกจึงหาพระเจ้าไม่พบ พวกเขาสวดคัมภีร์มากมายหลายอย่างในแต่ละวัน แต่ก็ไม่ได้เห็นใครเลย ไม่ว่าพวกเขาจะอธิษฐานขออะไรก็จะไม่ได้รับคำตอบ เข้าใจไหม? พวกเขามัวพึ่งพาคนด้วยกันเองหรือไม่ก็พึ่งพาถ้อยคำที่พิมพ์หรือจารึกเอาไว้และพระเจ้าจะทำอะไรได้?
เมื่อเรากำลังอยู่ในความรักกับใครสักคน ความมีชีวิตชีวาของเราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฝ่ายนั้น แยกจากกันไม่ได้ แยกจากกันไม่ได้แต่ว่ามีสองหัว เมื่อสองหัวนั้นมุ่งหน้าไปคนละทิศคนละทาง มันก็จะมีปัญหายุ่งยากลำบากมาก ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทโต้เถียงกัน เข้าใจไหม? ตอนนี้พวกเธอเข้าใจแล้วนะว่าทำไมถึงมีการทะเลาะวิวาทกัน? คิดดูให้ดีแล้วพวกเธอก็จะเข้าใจได้ ทั้งคู่อยากจะเป็นเจ้านาย บางครั้งไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนา เป็นเพียงนิสัยอย่างหนึ่ง เราเคยชินกับการอยู่คนเดียวเป็นโสดตั้งแต่เกิดจนกระทั้งบัดนี้ 20 หรือ 30 ปี เราเดินคนเดียว ตัดสินใจเองเสมอว่าเมื่อไรเราจะกินและเมื่อไรเราจะเข้าห้องน้ำ (หัวเราะ) อ้อ! นั่นยังพอเจรจาต่อรองกันได้ ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ส่วนมากการเจรจาต่อรองจะไม่ค่อยได้ผล แต่ละคนยังคงความเห็นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายถูกต้องอย่างแข็งขัน บางทีอาจจะไม่ได้เจตนา เป็นเพียงนิสัยเท่านั้น ไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขาควรจะคำนึงถึงอีกฝ่ายหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น การแต่งงานและความรักเป็นส่วนมากมักจะพังทลายลงเมื่อถึงระยะหนึ่ง เราไม่สามารถจะไปตำหนิพวกคนข้างนอกนั้นได้จริงๆ หรอก ที่วันนี้รักกันแต่พอวันพรุ่งนี้ก็ไม่รักแล้ว แต่งงานกันวันนี้และหย่ากันปีหน้า..พวกเขาเพียงแต่ไม่เข้าใจถึงสภาพทางจิตใจและระบบอย่างนี้
เมื่อคนสองคนกำลังอยู่ในความรักกัน พวกเขาก็เสริมเติมความสมบูรณ์ให้แก่กันและกันฝ่ายหนึ่งให้พลังหยินและอีกฝ่ายหนึ่งให้พลังหยาง(ถอนหายใจ ! ) มันช่วยรักษาเราได้ดีเหลือเกิน(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) น่ารื่นรมย์มาก แล้วพวกเธอก็จะติดมัน เข้าใจไหม ? เพราะว่ามนุษย์ก็เป็นตัวแทนของพระเจ้าเช่นกัน พวกเขาถูกประกอบติดมาด้วยเครื่องกำเนิดพลังงานอย่างหนึ่ง ที่คล้ายคลึงกับเครื่องกำเนิดพลังงานของพระเจ้า! ดังนั้นเมื่อคนคนนั้นรักกัน มันก็คล้ายกับพระเจ้ากำลังรักเธอ เธอจึงมีความสุขมาก ถ้าเธอสองคนรักกันล่ะก็ เธอทั้งคู่ก็จะถูกชาร์จพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม ใช่ไหม? เธออาจสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังอยู่ในความรักดูเหมือนคนโง่ ๆ ที่ไม่สนใจอะไรเลย(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เวลาที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ เมื่อพวกเขาถูกละทิ้งไป หรือเมื่อความรักนั้นถูกตัดขาดสะบั้นราวกับว่าความมีชีวิตชีวาได้สูญหายไป กระแสไฟฟ้าถูกตัดขาดจากกันอย่างฉับพลัน ดังนั้นมันจึงเจ็บปวดมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจึงชอบที่จะอยู่ในความรัก ก็เนื่องจากความสุขนั่นเอง ที่จริงแล้วความสุขไม่ได้เนื่องมาจากคนคนนั้น แต่เนื่องมาจากความจริงที่ว่า พลังงานที่ทำให้มีชีวิตนั้นถูกเติมให้สมบูรณ์เต็มที่
เราจะไม่ผิดหวังเลย ถ้าหากว่าเราแสวงหาเครื่องกำเนิดพลังที่มีอานุภาพสูงสุดตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งคงทนถาวรให้เราใช้ได้ตลอดไป มันไม่เป็นไรหรอกที่จะมีคู่ ฉันเพียงแต่เกรงว่า เราอาจจะไม่ต้องการมีใครเลยในเวลานั้น มันไม่เป็นไรหรอกที่จะมีใครสักคนหรือไม่มีใครเลย เพียงแต่มันจะยุ่งยากมากขึ้น ถ้าหากว่าเธอมีอัตตาเพิ่มขึ้นอีกตัว(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มิฉะนั้นเธอก็มีอัตตาเพียงตัวเดียว ป้องกันความยุ่งยากของอัตตา 2 ตัว เวลานอนตอนกลางคืนคนหนึ่งอยากจะเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ อีกคนอยากจะปิด คนหนึ่งชอบให้เปิดไฟไว้ อีกคนต้องการให้ปิด แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทได้ ใช่ไหม? แล้วมันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีกหลังจากที่พวกเธอมีลูกออกมาคนหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งก็อยากให้ลูกทำตัวอย่างนี้ อีกฝ่ายก็ต้องการอีกวิธี ฝ่ายหนึ่งสอนลูกอย่างนี้ อีกฝ่ายก็สอนอีกอย่าง ไม่มีใครยอมแพ้ และทั้งคู่ก็คิดว่าตัวเองถูก เพราะว่าพวกเขาก็เป็นพระเจ้าทั้งคู่ ขอโทษที ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ที่จริงแล้ว วิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของพวกเราจะไม่พบในโลกนี้ ต่อเมื่อเราได้ค้นพบตัวตนอันแท้จริงของเราแล้ว เราก็จะได้พบอีกครึ่งหนึ่งของวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น ถึงแม้เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงาน ความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์ในสิ่งใดๆ ในโลกนี้ เราก็จะยังมีความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังขาดอะไรไปบางอย่าง ! เป็นเพราะว่าคนเพียงคนเดียวไม่มีพลังเพียงพอที่จะให้อีกคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะเข้าใจว่าความมีชีวิตชีวาของทั้งสองฝ่ายจริงๆ แล้วมาจากไหน แล้วเราก็ไม่ต้องกังวลว่าพลังของเราจะถูกตัดขาด มันอาจจะพูดง่ายแต่เข้าใจยาก อย่างน้อยที่สุดพวกเธอควรจะมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็จงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งในแต่ละวัน กำลังใจของเราก็จะเข้มแข็งขึ้นและสิ่งใดที่เราปรารถนาก็จะกลายเป็นความจริงได้ นั่นคือเวลาที่เราได้ครอบครองมหาพลานุภาพ พลังอำนาจปาฏิหารย์ซึ่งไม่สามารถจะมองเห็นได้ จากนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องท่องมนตร์คาถาใดๆ เพียงแต่คิดถึงมันแล้วพวกเธอก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง..



                               .GOOD   LUCK.
				
15 กุมภาพันธ์ 2551 00:59 น.

เหตุใดคนเราจึงต้องบำเพ็ญ

คีตากะ

 
"ชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากที่เราได้ใช้พลังอันแท้จริงและปัญญาของเราแล้ว  ซึ่งเป็นสติปัญญาเดิมแท้ของเรา ทุกอย่างจะมา  ความสามารถพิเศษทุกอย่างจะปรากฏขึ้น  ธรรมชาติแห่งความรักและธรรมชาติที่ซ่อนเร้นของเราจะปรากฏขึ้น  ความสามารถพิเศษทุกอย่างของเราจะมา โดยที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"เมื่อเราบรรลุถึงความสงบสุขภายใน  เราก็จะบรรลุทุกสิ่งทุกอย่าง ความพอใจและความสมปรารถนาทุกอย่างทั้งทางโลกและสวรรค์ ล้วนมาจากอาณาจักรของพระเจ้า  การตระหนักรู้ภายในถึงความสอดคล้องกลมกลืนชั่วนิรันดรของเรา  ถึงปัญญานิรันดร์ของเรา และถึงมหาพลานุภาพของเรา  หากเราไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้  เราก็จะไม่มีวันพอใจ ไม่ว่าเราจะมีเงินหรือมีอำนาจขนาดไหน  หรือไม่ว่าจะมียศตำแหน่งสูงสักเพียงไรก็ตาม"

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"จงค้นหาทรัพย์สมบัติชัวนิรันดร์ของเธอ  และเธอจะสามารถนำสมบัติเหล่านั้นออกมาจากแหล่งซึ่งไม่มีวันใช้ได้หมด  นี่คือพระพรอันไม่มีที่สิ้นสุด!  ฉันไม่มีคำพูดที่จะโฆษณาสิ่งนี้ได้  ฉันได้แต่กล่าวสุดดี และหวังว่าเธอคงจะเชื่อคำกล่าวของฉัน   หวังว่าพลังของฉันจะสามารถส่งผลกระทบถึงหัวใจเธอ  และช่วยยกเธอขึ้นสู่ความรู้สึกที่มีปิติสุข  แล้วเธอก็จะเชื่อ  หลังจากการประทับจิตแล้วเธอจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่ฉันพูดนี้ได้อย่างถ่องแท้  ฉันไม่มีวิธีที่จะอธิบายถึงพระพรอันยิ่งใหญ่นี้  ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่ฉัน  และให้ฉันมีสิทธิที่จะแจกจ่ายออกไปแก่ผู้อื่นฟรีๆ  โดยไม่คิดค่าตอบแทนหรือมีข้อแม้ใดๆ "

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
" คำสอนของเราก็คือ อะไรก็ตามที่เธอจำเป็นต้องทำในโลกนี้  ก็จงทำไป ทำจนสุดความสามารถ จงมีความรับผิดชอบ และก็นั่งสมาธิทุกๆ วันด้วย  แล้วเธอก็จะได้รับความรู้มากขึ้น  ได้รับปัญญามากขึ้น  และได้รับความสงบสุขมากขึ้น  เพื่อที่เธอจะได้รับใช้ตนเองและรับใช้โลกนี้  อย่าลืมว่าเธอมีความดีของตัวเธอเองอยู่ภายใน  อย่าลืมว่าเธอมีพระจ้าอยู่ภายในตัวเธอ  อย่าลืมว่าเธอมีพุทธะอยู่ภายในใจของเธอ" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"ผู้ที่ประเสริฐบริบูรณ์ก็คือ  ผู้ที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์เต็มตัว  ผู้ที่เป็นมนุษย์เต็มตัวจะประเสริฐบริบูรณ์  ขณะนี้  เราเป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียว  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความลังเลใจ  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยอัตรา  เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่จัดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนี้  เพื่อความเพลิดเพลิน  และเพื่อประสบการณ์ของเรา  เราแบ่งแยกบาปและบุญ เราถือทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โต แล้วก็ตัดสินตัวเองและคนอื่นไปตามนั้น  เราทุกข์ทรมาณจากการตั้งข้อจำกัดของตัวเอง  ว่าพระเจ้าควรจะทำอะไร  เข้าใจไหม?  ที่จริงแล้ว พระเจ้าอยู่ภายในตัวเราและเราจำกัดพระองค์ไว้ เราอยากเล่น อยากจะสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร  เราจึงได้แต่พูดกับคนอื่นว่า "อา!  เธอไม่ควรจะทำอย่างนั้นนะ "  และก็พูดกับตัวเองว่า "ฉันไม่ควรจะทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนี้  แล้วฉันควรจะเป็นมังสวิรัติไปทำไมกัน ? นั่นแหละ ! ฉันก็รู้อย่างนั้น  แต่ฉันเป็นมังสวิรัติเพราะว่า  พระเจ้าภายในตัวฉันต้องการแบบนั้น" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"เราถูกแยกออกจากพระเจ้าก็เพราะว่าเรามีธุระวุ่นวายมากเกินไป  ถ้ามีคนกำลังพูดคุยกับเธออยู่  แล้วเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังอยู่ตลอดเวลา  แต่เธอกลับวุ่นวายอยู่กับการทำครัว หรือพูดคุยกับคนอื่นอยู่  ก็ไม่มีใครจะติดต่อกับเธอได้  พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  ท่านกำลังเรียกเราอยู่ทุกวัน  แต่เราไม่มีเวลาให้ท่านเลย และคอยแต่จะวางหูโทรศัพท์ใส่ท่าน" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
				
15 กุมภาพันธ์ 2551 00:42 น.

ความอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้เข้าถึงสัจธรรม

คีตากะ

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา 
13  สิงหาคม 2532  
  
บุคคลที่อ่อนน้อมถ่อมตนจะเข้าถึงพุทธโพธิสัตว์ได้ง่ายมาก จิตใจที่บริสุทธิ์จะเข้าถึงสัจธรรม เรายิ่งยโสโอหังก็ยิ่งห่างไกลจากสัจธรรม  เหตุใดจึงห่างไกลจากสัจธรรมเป็นเพราะเราพึ่งพิงอาศัยทางโลก  หากเราไม่ได้พึ่งพิงอาศัยทางโลกเราจะไม่ยโสโอหัง  เราอาศัยเงินทอง อำนาจ ความฉลาดและฐานะซึ่งเป็นการอาศัยทางโลก  อาศัยพึ่งพิงในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ สัจธรรมไม่ใช่โลกมนุษย์และไม่ใช่สิ่งของที่ไม่เที่ยงแท้ทั้งหลาย  ฉะนั้น เรายิ่งพึ่งพิงทางนี้ เราก็จะยิ่งห่างไกลอีกทางหนึ่งที่เป็นทางตรงกันข้าม ตามทฤษฎีเชิงตรรกศาสตร์ได้อธิบายไว้เช่นนี้ ซึ่งไม่มีอะไรยากแก่การเข้าใจ

ไม่มีเงินทอง ไม่มีอำนาจ ยามแก่เฒ่าก็ไม่มีใครดูแล ซึ่งคนแบบนี้จะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนค่อนข้างมาก ฉะนั้น บ่อยครั้งพวกเธอจึงเห็นว่าอาจารย์ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี หรือปฏิบัติต่อนักโทษในเรือนจำอย่างดี  แต่สำหรับพวกเธอแล้วบางครั้งกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่อาจารย์ต้องขออภัยด้วย แต่ธรรมชาติมันแสดงออกมาเป็นแบบนี้ อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจดีกับพวกเขา และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ดีกับพวกเธอ  อาจารย์เป็นเพียงกระจกบานหนึ่งเท่านั้นพวกเธอส่องมาอย่างไรก็สะท้อนกลับอย่างนั้น  อย่าโทษอาจารย์เลยนะว่าทำไมต้องทำกับพวกเธออย่างนั้น  และอย่าเปรียบเทียบว่า "ทำไมอาจารย์ดีกับคนนั้นเหลือเกิน แต่ไม่ดีกับฉันเลย"  ถ้าอาจารย์ดีกับใครบางคนเธอลองสังเกตดูเขาก็ทราบแล้วว่าเขาต้องมีอะไรดีที่ทำให้อาจารย์ดีกับเขามาก เขาอาจจะไม่ได้สวยกว่าเธอก็ได้ ไม่แน่  บางทีอาจจะอยู่ในสภาพฟันหลุดหมดแล้วก็ได้ แถมอาจารย์ยังต้องเอาเงินให้เขาอีกด้วย แต่อาจารย์ก็ดีกับเขามากเหลือเกินเพราะใจเขาบริสุทธิ์มาก ถ่อมตนมาก ไม่มีมลทินใดๆ ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีอัตตาใดๆ และไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว ใจเขาจะเปิดกว้างสุดประมาณเกือบรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล

หากเรายังมีอะไรไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวตัวเราก็จะกลายเป็นมีขีดจำกัด -- ฉันคือขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ ฉันคือคนที่มีคุณธรรม ฉันคือคนที่เข้าถึงสัจธรรม เราจะยังมีพรมแดนและมีช่องว่างมุมหนึ่งที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออกมา บุคคลที่บริสุทธิ์ถ่อมตนทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่การที่ไม่มีอะไรเลยคือการที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง
 
  
				
14 กุมภาพันธ์ 2551 08:12 น.

เรื่องบ่น ตอนที่หนึ่ง.....

คีตากะ

  รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ คำเหล่านี้เหมาะกับบุคลิกของตัวผมเป็นที่สุด พิจารณาดูแล้วชีวิตผมหาความแน่นอนอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ความรัก การงาน หรือจะเรื่องไหนๆก็ตามแต่ คงไม่พ้นฉายาเหล่านี้ไปได้ โลเลเหลาะแหละเป็นไม้หลักปักขี้เลน .เป็นไปตามอารมณ์ครับ!.....เหตุผลไม่ค่อยจะมี สมองไม่ค่อยจำ มันว่างๆกลวงๆ ยังไงพิกล จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร มันเลยผิดเพี้ยนไปหมด ก็มันดันไปสวนทางกับชาวบ้านเขาน่ะสิ  จ้องคอยหาเรื่องใส่ตัวอยู่เรื่อย เงียบๆไว้นั่นแหละปลอดภัยที่สุด เวรกรรม ! ปกติเป็นคนเชื่อคนง่ายครับ ใครชวนไปไหนก็ไป แต่พอหลวมตัวไปกับเขาทีไรก็มักโดนปล่อยเกาะทุกทียิ่งหาทางกลับบ้านไม่ค่อยจะถูกเสียด้วย ทุกวันนี้ก็เลยสบาย การที่ต้องหลงทางบ่อยๆกลับกลายเป็นผลดีกับตัวเรา ได้เรียนรู้อะไรแปลกๆใหม่ๆมากมาย เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนสบายครับ ! อาจมีหลงทางบ้างถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียแล้ว คำว่ากลัวหลงทางหมดไปแล้วจากความทรงจำ เพราะถือคติว่า ถามทาง ดีกว่าวิ่งเร็ว มีปากครับ ใช้ให้เป็นประโยชน์ ไกด์มีทั่วโลก ด้านเข้าไว้ เพิ่มความหนาของใบหน้าอีกนิดหน่อยก็ดีเอง.ไม่รู้ก็ถาม มีหลายคนบอกว่าผมเป็นพวกเร้นลับ แปลกประหลาด อันธพาล ผมว่าก็มีส่วนถูกนะ  ถ้าเทียบกับคนส่วนใหญ่ในสังคม ผมไม่รู้สึกว่าผมแปลกประหลาด เพียงแต่แตกต่างจากชาวบ้านเขาเท่านั้น ถ้าเรื่องความแตกต่างผมจัดได้ว่าเป็นตัวประหลาดอันดับหนึ่ง  ผมมีเพื่อนน้อยมาก เพราะความประหลาดของผมนี่แหละ ทำให้ทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดเริ่มหวาดระแวงวิตกกันไปต่างๆนาๆตามระยะเวลาที่ยิ่งนานยิ่งมีมาก ส่วนใหญ่จะคิดว่า  วันนี้มันจะมาไม้ไหนหว่า?  อุณหภูมิความร้อนในตัวเขาจะเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆใกล้จุดเดือด ไม่ผิดกับกบที่กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ดีๆในหม้อต้มที่กำลังร้อนขึ้นๆบนเตาไฟ.สุดท้ายก็มีทางเลือกสองทางให้มันเลือกคือจะกระโดดหนี หรือจะกลายเป็นกบต้มความจริงคงไม่ถึงขนาดนั้น ผมว่าทุกคนคิดกันไปเอาเองต่างๆนาๆมากกว่า ทั้งๆที่สมองผมค่อนข้างว่างเปล่าไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งควรจะทำอะไรต่อไปในบางครั้งบางทีผมอาจจำเป็นต้องไปเช็คประสาทที่โรงพยาบาลบ้างน่าจะดีการที่สมองไม่ค่อยทำงานเป็นปัญหาใหญ่เหมือนกันในการทำงาน ผมมักถูกผู้หลักผู้ใหญ่ตำหนิบ่อยๆเรื่องทิศทางของชีวิตคุณต้องมีแผน คุณต้องมีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์ มีนโยบายชัดเจนในการทำงานและการดำเนินชีวิต เป้าหมายของคุณต้องวัดเป็นตัวเลขได้เวลาผมได้ยินประโยคเหล่านี้ทีไรก็มักเกิดอาการเซ็งอย่างบอกไม่ถูกผมอยากจะมีแต่ก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง เป็นเรื่องยากสำหรับผมในการวางแผนชีวิต มันขัดกับนิสัยโดยสิ้นเชิง ผมกำลังดิ้นรนอยู่ระหว่างอารมณ์ที่พลิ้วไหวเหมือนสายลมกับเหตุผลที่ล้อมกรอบเหมือนกำแพงอิฐบ่อยครั้งที่ผมจมอยู่กับช่องว่างนั้น แม้มันจะดูเหมือนสงบแต่มันก็คงยังไม่ใช่ในสิ่งที่ใจปรารถนาซึ่งผมก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอกว่าแท้ที่จริงตัวเองปรารถนาสิ่งใดกันแน่ ? แม้ผมจะเรียนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์(Engineer)และต่อทางด้านบริหารธุรกิจ(MBA) แต่ดูเหมือนว่าทฤษฎีเหล่านี้ที่ร่ำเรียนมาจะใช้ไม่ค่อยได้กับความเป็นจริงในชีวิตที่ออกแบบไม่ได้ของผม.วิทยาศาสตร์สอนให้ผมเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ มีการตั้งสมมุติฐาน มีการทดลอง มีข้อสรุป แต่เท่าที่ผ่านมาหลายครั้งหลายคราวที่ผมต้องประสบกับเรื่องราวที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยๆเสียด้วยกับผม หากจะเล่าไปก็คงจะยาวเป็นรามเกียรติ์และมันก็น่าหัวเราะเยาะคงไม่มีใครเชื่อ เพราะมันเหลือเชื่อ ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ(ไม่รู้เข้าใจป่าว) ส่วนเรื่องของธุรกิจที่ไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆ เรื่องของตลาดก็สอนให้ผมเข้าใจสภาวะจิตใจของคนที่เรียกภาษาทางการตลาดว่าผู้บริโภค ลูกค้า อะไรพวกนี้ แต่ผมก็ยังเอาวิชาพวกนี้มาใช้ไม่ค่อยได้อยู่ดี จนเดี๋ยวนี้ผมยังไม่เข้าใจแม้แต่ความต้องการของตัวเอง แล้วผมจะไปหยั่งรู้ความพึงพอใจของผู้บริโภคได้ออย่างไร มันเป็นเรื่องซับซ้อนมาก และมันก็มากไปสำหรับผม สรุปแล้ววิชาการส่วนใหญ่ได้คืนอาจารย์ที่น่าเคารพไปเกือบหมดสิ้นแล้ว กรรม! ผมรู้สึกได้ว่าคนอื่นๆยิ่งเรียนมากยิ่งฉลาดมาก แต่ผมกลับตรงกันข้าม คิดเอาเองนะกันว่าเป็นแบบไหน ? ผมเคยทำงานบริษัทมา 3-4 แห่งเข้า-ออก และก็ออก-เข้า อยู่อย่างนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผม แต่สำหรับคนอื่นไม่ใช่ ! ทุกคนยึดขาเก้าอี้แน่น ลากพาตัวออกมาได้แล้ว แต่แขนยังหลุดเกาะขาเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย.ไหนจะผ่อนบ้าน รถ ครอบครัว หนี้สิน แบกอยู่บนบ่าจะปล่อยออกมาได้ไง ผมตัวคนเดียว(โฆษณาซะ) ก็คงเป็นแบบนี้แหละเรื่อยเปื่อยอะไรก็ได้ ง่ายๆชิวๆ สำหรับคนอื่นเขาก็เรียกไอ้พวกทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่ผมก็มักอดโต้แย้งไม่ได้ว่า ก็ความไม่เป็นชิ้นเป็นอันของผมนี่แหละคือความเป็นชิ้นเป็นอัน.เถียงข้างๆคูๆไปงั้นแหละสะใจดี ! สรุปได้ว่าไม่มีสักชิ้นสักอันเลยจะดีกว่า เข้าใจง่ายดี ผมรู้สึกว่าอายุเริ่มมากขึ้นแต่มันสมองกลับตรงกันข้ามไม่ค่อยรู้เท่าทันโลกเขาเท่าไร ทีวีก็ไม่ค่อยดู เพลงก็ไม่ค่อยฟัง ชอบเก็บตัวเงียบ ไปไหนมาไหนคนเดียวไม่มีเพื่อน ไม่เรียกว่าตัวประหลาดจะเรียกว่าอะไร? บอกตรงๆเลยว่าผมชอบอยู่เฉยๆมากกว่า  ไม่ชอบความวุ่นวาย คนแถวบ้านผมเขาเรียกคนขี้เกียจสันหลังยาว  ผมไม่รู้ว่าทำไมสันหลังต้องยาว ? แต่ช่างมันเถอะ ! ยังไงผมก็คงไม่สามารถหนีพ้นข้อกล่าวหานี้อยู่ดี ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วย  ขอเพียงเรามีความสุขในสิ่งที่ทำก็พอ ทำไมต้องสนใจขี้ปากชาวบ้าน มีหลายต่อหลายคนแนะนำให้ผมบวชตลอดชีวิต ซึ่งมันก็เข้าทางผมพอดี ผมหน่ะอารามบอยเก่า เรื่องวัดวาพอรู้ลู่ทางดี ไอ้เรื่องก่อกวนพระในวัดนี่ถนัดนัก พอมาคิดไปคิดมา ผมว่าคงอยู่ได้ไม่นาน ผมชอบตรงที่มีที่พักฟรี อาหารพร้อม เผอิญผมมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ปัจจุบันเป็นรองเจ้าอาวาสแล้ว จบนักธรรมเอก เจอกันทีไรต้องเปิดเวทีโต้วาทีกันประจำ ดึกๆดื่นๆยังโทรมาถกพระไตรปิฎกเป็นเล่มๆ สนุกไปอีกแบบ มีเพื่อนแบบนี้ นานๆผมจะได้ไปนอนค้างวัดสงบจิตสงบใจสักที ผมไปทีไรพระในวัดก็ปั่นป่วนทุกที ก็เล่นจับคู่กับรองเจ้าอาวาสปิดโบสถ์นอนซะเลย พระอื่นไม่ต้องใช้ กรรม ! ช่วยไม่ได้หลวงพี่ผมเป็นรองเจ้าอาวาสถือกุญแจทุกห้อง ใครจะกล้าแหยม ผมก็กลายเป็นเด็กเส้นไปโดยปริยายเส้นใหญ่เสียด้วย รอให้หลวงพี่ผมเป็นเจ้าอาวาสเมื่อไร วัดทั้งวัดเสร็จแน่ กรรม!....จะลงมั๊ยเนี๊ย !.....โบราณว่า สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก คนลองมีนิสัยเป็นอย่างไร จะอยู่ที่ไหนมันก็ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่การแก้ไขตัวเองถึงจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน แต่คงยังจะง่ายกว่าไปเที่ยวตามว่าคนนี้ทีว่าคนโน้นที คิดจะแก้ไขคนอื่น เขา ซึ่งโคตะระยากยิ่งกว่าหลายเท่านัก  เรื่องง่ายๆเลยกลายเป็นยาก ส่วนเรื่องยากๆก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ .กรรม !...ก็บ่นๆไปงั้นๆแหล่ะตามประสาคนแก่.ขอบคุณที่ยอมมาเป็นที่รองรับอารมณ์..คนขี้บ่น...............................


cartoon_shark_scooter_lunch_md_wht.gif				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ