5 พฤศจิกายน 2551 00:14 น.

วิถีแห่งพญานกอินทรี

คีตากะ

เมื่อผมได้ก้าวถลำลึกเข้าไปสู่ธุรกิจแบบเครือข่ายขายตรง ผมก็เริ่มหลงใหลไปกับมัน สิ่งที่ใครๆมักรังเกลียด แต่ผมจะเห็นโอกาสเสมอ ผมเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ชอบทำงานและไม่ขยันขันแข่งเหมือนคนอื่นๆเขาหรอก แต่ผมชอบไปเข้าร่วมคอร์สการฝึกอบรมที่ทางบริษัทเครือข่ายแบบขายตรงแห่งหนึ่งจัดขึ้น การได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตาที่ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง มันทำให้ผมรู้สึกคึกคักไปด้วยกับพวกเขา การได้พบกับผู้ที่ประสพความสำเร็จในธุรกิจนี้สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผม แม้ผมแสนขี้เกียจที่จะทำตามผู้นำเหล่านั้นก็ตาม ผมก็ยังชมชอบพวกเขา มันน่าสนใจตรงที่บุคคลที่ประสพความสำเร็จเหล่านั้น มาจากหลากหลายชนชั้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะในด้านการศึกษา ภูมิหลัง อาชีพ บุคลิกลักษณะ รูปร่างหน้าตา อายุ เพศ วัย ฯลฯ มีให้เห็นตั้งแต่คนยากจนที่เคยมีหนี้ท่วมหัว ไปจนถึงระดับมหาเศรษฐีมีสกุล มีตั้งแต่คนที่เรียนจบแค่ ป.1 ไปจนถึงด๊อกเตอร์ มีตั้งแต่แม่ค้าขายส้มตำ วินมอเตอร์ไซด์ คนกวาดถนน ไปจนถึงนายแพทย์ วิศวกร ฯลฯ มันยิ่งน่าแปลกใจที่ผู้คนเหล่านั้นขึ้นมายืนเล่าประสบการณ์แห่งความสำเร็จของตัวเองบนเวทีที่มีคนนับพันๆคน และแต่คนมาจากพื้นเพที่แตกต่างกันผ่านความยากลำบากต่างๆนานาจนประสพความสำเร็จในธุรกิจนี้เหมือนกัน ปัญหาและอุปสรรคที่เขาต้องเผชิญและสามารถเอาชนะจนมาถึงเส้นชัยได้นั้น มันให้แง่คิดดีๆมากมาย จากคนที่เคยท้อแท้สิ้นหวัง กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็สำหรับผม ผมรู้สึกรักและนับถือบุคคลเหล่านี้เป็นอย่างมาก  มันยิ่งน่าทึ่งที่คนทุกชนชั้นก็สามารถประสพความสำเร็จได้ในธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายนี้ หลายคนที่มองเป็นงานยาก อาจเพราะเลือกทำบริษัทที่มีแผนการตลาดที่ยากเกินไป และเข้าใจผิด มันไม่ใช่งานขาย แต่เป็นงานสร้างเครือข่ายซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ตัวผมเองจะเป็นแค่พนักงานบริษัทเรียกว่าลูกจ้างก็ได้ หรือจะเรียกให้เต็มยศก็คือ ขี้ข้า มันอาจฟังหนักไปหน่อยแต่ผมว่ามันเป็นความจริง ผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้โดยยังทำเป็นงานเสริม แท้ที่จริงมันเป็นงานสร้างชีวิตได้เลยถ้าเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจากผู้ประสพความสำเร็จเหล่านี้ ผู้ที่สำเร็จบางคนมีรายได้จากธุรกิจนี้หลักล้านต่อเดือน บางคนหลักแสนต่อเดือนทั้งที่ใช้เวลาทำได้ไม่ถึง 1 ปี ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้มากมายอะไรในสายตาของคนหลายคนรวมทั้งผม แต่เมื่อเทียบกับเงินเดือนประจำที่ผมได้รับอันน้อยนิดมันก็ถือว่ามากโขทีเดียว แต่สิ่งที่ผมได้รับจากการคลุกคลีกับผู้ที่ประสพความสำเร็จเหล่านี้คือแง่คิดดีๆในการดำรงชีวิตที่ไม่มีตำราหรือมหาวิทยาลัยแห่งไหนในโลกสอนกันได้ คือประสบการณ์จริงๆตัวตนจริงๆ ดังคำกล่าวอันน่าประทับใจที่ว่า ล้านคำสอน ไม่เท่าหนึ่งแบบอย่าง ผมได้พบปะพูดคุยกับผู้คนที่สำเร็จมากมายจากธุรกิจนี้และผมก็รู้สึกประทับใจในความอ่อนน้อมถ่อมตนแบบไม่ถือตัวของพวกเขา เขายินดีจะแนะนำและตอบคำถามผมทุกคำถามอย่างเป็นมิตร นี่คือโรงเรียนที่ดีมากอีกแห่งหนึ่งของผม มันได้จุดประกายให้ผมมีความหวังและมองโลกในแง่ดี ทุกปัญหามีทางออก ทุกวิกฤติคือโอกาส ทุกประสบการณ์มีคุณค่า มันทำให้ผมมีความสุขเมื่อได้มาฟังผู้คนเหล่านี้เล่าอดีตของตัวเอง เป็นเสมือนตำราเล่มโตที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้ แววตา รอยยิ้ม ร่องรอยแห่งอดีต ความมุ่งมั่น สายตาที่เจิดจ้า น้ำเสียงที่มีพลัง และศรัทธา มันทำให้ผมเข้าใจว่าจิตใจที่ยิ่งใหญ่มาจากจิตใจที่ต่ำต้อย บุคคลที่ยิ่งใหญ่มาจากคนธรรมดาที่ต่ำต้อย ปัญหาและอุปสรรคคือเครื่องมือที่ใช้เจียระไนหัวใจคน ผมได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆมากมายจากผู้คนเหล่านี้ พวกเขาสามารถเอาชนะความยากจนและเดินมาถึงเส้นชัยอย่างภาคภูมิ ความศรัทธาในตัวเองได้เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจอันขลาดเขลาของบุคคลเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง วันนี้เขาได้บินผงาดขึ้นฟ้าราวพญานกอินทรีเหินเวหา มีอิสรภาพทั้งทางด้านการเงินและเวลา ปลดปล่อยตัวเองออกจากความเป็นทาสของความกลัวและความยากจน ในขณะที่วันนี้ผมยังต้องตื่นนอนแต่เช้าเพื่อจะรีบเร่งไปทำงานและเลิกงานตอนเย็นเวลาทั้งชีวิตของผมยังคงทำงานและงานก็ไม่เคยหมดไปจากชีวิตผมซักที แม้ผมจะขี้เกียจลุกไปทำงานแค่ไหนแต่ก็ต้องจำทน ผมบอกกับตัวเองว่า วันหนึ่งผมจะบินขึ้นผงาดฟ้าติดตามพญานกอินทรีเหล่านั้นไปให้จงได้! ................................................				
4 กรกฎาคม 2551 18:04 น.

ความรัก ธุรกิจและโพธิญาณ

คีตากะ

 กล่าวกันว่า คนจะประสพความสำเร็จในธุรกิจได้ต้องมีทั้ง เก่งบวกเฮง แต่นิยามสำหรับผมแล้วผมอยากจะใช้คำว่ากล้าบวกบ้า มากกว่า เผอิญผมยังไม่ประสพความสำเร็จในธุรกิจเสียด้วย คำพูดอาจไม่มีน้ำหนักสักเท่าไร แต่นี่คือนิยามที่ผมเคยได้ยินคนที่ประสพความสำเร็จเขาพูดให้ฟัง และผมก็อดนิยมชมชอบไม่ได้ จิตใจที่เกินร้อย ความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม และที่สำคัญลูกบ้าไม่เหมือนใคร ในนิยามของความรักผมก็เคยได้ยินได้ฟังมาว่า ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก ซึ่งมันน่าจะหมายถึงความเอาใจใส่ห่วงใยและดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เป็นแบบ POPK ผีเข้าผีออก ผลุบตรงโน้นที โผล่ตรงนี้ที  มันต้องเป็นแบบไม่ขาดไม่ลา ไม่มาสาย มันคุ้นๆคล้ายๆชีวิตลูกจ้างยังไงไม่รู้  แล้วมันก็ไปเข้ากับหลักการในการบำเพ็ญเพียรเพื่อมุ่งสู่โพธิญาณของบรรดานักบุญทั้งหลาย เขาเปรียบเทียบเหมือนการเอาไม้มาสีกันจนเกิดไฟขึ้นมา ถ้าสีเร็วไปก็เหนื่อยล้มเลิกไปก็มี ถ้าสีช้าไปก็นานกว่าจะเห็นผล จนอาจคิดไปว่าไฟคงไม่มีทางเกิดได้ แต่ถ้าสีไปแบบสม่ำเสมอ ไม่หยุดไม่ท้อ ไม่ถอยความร้อนสะสมมากๆมันก็จะกลายเป็นเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาเอง ไฟก็คือโพธิญาณนั่นเอง เพียงแต่มนุษย์เราไม่ค่อยมีความอดทนรอ ใจเร็วด่วนได้ และเบื่ออะไรง่ายๆ คนรวยบางคนที่สร้างชีวิตมาจากสองมือเปล่า บางคนเริ่มจากการติดลบมีหนี้สินล้นพ้น แล้วสามารถพลิกชีวิตขึ้นมาสำเร็จจนได้ เขามักมีแง่คิดที่ดีๆมาสอนใจเสมอ เช่น ทำแบบโง่ๆ ซื่อๆ ทำซ้ำๆซากๆ ยิ่งรวยแล้วรวยอีก อาจเป็นไปได้ว่าคนทั่วไปฉลาดเกินไป รู้มากเกินไป เรียนมากเกินไป ขยะในสมองมันได้ห่อหุ้มปัญญาเอาไว้จนหมดสิ้น ต้องการและพึ่งพาเพียงความมั่นคงในชีวิต ดังนั้นจึงชอบเงินเดือนเป็นที่สุด และไม่ชอบความเสี่ยง แต่คนที่สำเร็จเขาบอกว่า คนจนกลัวความผิดพลาด จึงชอบเป็นลูกจ้างเสียส่วนใหญ่ ส่วนคนรวยชอบเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อความเป็นอิสรภาพทางการเงินและเวลา ไม่ชอบความมั่นคง  กล่าวคือมีเงินเหลือเฟือ เวลาว่างเยอะกว่า จึงชอบเป็นเจ้าของธุรกิจเสียส่วนใหญ่ การทำซ้ำๆซากๆในแนวทางที่ถูกต้องอย่างมุ่งมั่นน่าจะเป็นเคล็ดลับในเรื่องนี้ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างคนรัก การสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและทีมงานหรือเครือข่าย และการบำเพ็ญเพียรอย่างสม่ำเสมอด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น สำหรับผมมันคือสิ่งเดียวกัน หลักการเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันตรงจุดมุ่งหมายเท่านั้น แม้ทั้งสามเรื่องจะมีหลักการเดียวกัน แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกระทำพร้อมกันได้ เพราะจะเข้าตำราจับปลาหลายมือ ย่อมจะขาดความมุ่งมั่นแบบรวมศูนย์ ให้เป็นหนึ่งเดียว เมื่อสมาธิถูกแบ่งแยก ทำการสิ่งใดย่อมยากสำเร็จ วิธีแก้อาจต้องทำทีละเรื่องๆไป หรือลำดับความสำคัญ หรือไม่ก็ให้น้ำหนักในเรื่องที่จำเป็นต่อชีวิตก่อน เป็นเรื่องของการบริหารจัดการเวลาของชีวิตแต่ละคน ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ใครหล่ะใช้มันได้คุ้มค่ามากกว่ากัน ในการสร้างสรรค์เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ตนต้องการ ค้นหาเป้าหมายให้เจอก่อน แล้วมุ่งหน้าเดินอย่าท้อถอย อุปสรรคมีไว้เพื่อแก้ไข ไม่ใช่เพื่อหลบหนี หรือสร้างความรำคาญต่อจิตใจ สรุปรวมแล้วไม่ว่าจะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไรทุกคนก็กำลังฝึกฝนความเชี่ยวชาญต่างๆเก็บเป็นประสบการณ์ซึ่งอยากจะเรียกมันว่า ปัญญา ปัญญามากปัญหาน้อย ปัญญาน้อยปัญหามาก เป็นเรื่องธรรมดา ใช่แล้ว ใครๆก็ไม่อยากดิ้นรน อยากอยู่เฉยๆ อยากสบาย ไม่อยากปวดหัว บางครั้งจึงเพิกเฉยต่อโอกาสดีๆในชีวิตที่เข้ามา แต่ปัญหาก็ยังคงรุมเร้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยากจะอยู่ได้อย่างสงบสุข ก็ใจจะสงบได้อย่างไร ถ้าวันๆเดิน ยืน นั่ง นอนอยู่ในห้องเดียวกันกับงูพิษตั้ง 3 ตัว คือความโลภ ความโกรธและความหลง ถ้าจะให้สงบก็แค่จับมันออกไปทิ้งนอกประตูก็เท่านั้น ชีวิตก็คงผ่อนคลายมากกว่านี้ พูดถึงในส่วนของจิตใจเท่านั้น ส่วนร่างกายจะวุ่นขนาดไหนก็ไม่เกี่ยวกัน แต่ช่วงแรกๆก็คงต้องหาเวลา สถานที่ๆเงียบๆบ้างเพื่อตรวจสอบความคิดจิตใจของตนเอง ว่าถูกว่าควรเป็นอันตรายกับตัวเองและคนรอบข้างหรือไม่ ถ้าทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือนร้อนก็คงไม่สู้ดี เวลาส่วนใหญ่จะหมดเปลืองไปกับการคิดแก้เผ็ดกัน จ้องเอาชนะกันแล้วจะค้นหาความสงบสุขได้จากที่ไหน ทุกคนต้องการอิสรภาพ อิสระเสรีแต่จะเริ่มต้นที่ไหนหล่ะ ถ้าไม่ใช่ใจ ? 
				
3 กรกฎาคม 2551 09:02 น.

ฉันที่ขี้เกียจและเฉื่อยชา.....

คีตากะ

	ทะเลทรายแห่งความปรารถนาไร้ฟากฝั่ง ถูกหล่ะ! ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดาตามความเข้าใจของฉัน แม้ท่านจะมองเห็นว่าฉันเป็นเหมือนกับท่าน ความคิดและความปรารถนาได้นำพาฉันก้าวเข้าสู่ทะเลทรายอันแห้งแล้ง กว้างไกลและไร้ขอบเขต ใช่แล้วมันไร้จุดมุ่งหมาย ท่านกล่าวว่าฉันมาเพื่อเลือก เลือก และเลือก มิใช่มาเพื่อตัดสิน ซึ่งท่านเองก็สัญญาไว้ว่าจะให้ทุกสิ่งในสิ่งที่ฉันขอ เพียงแต่ต้องขอในนามของท่าน มิใช่ด้วยความอยากหรือความปรารถนา เมื่อใดฉันขอท่านด้วยความอยากและคาดหวัง ท่านไม่เคยปฏิเสธฉันเลย ท่านให้ทุกอย่าง ท่านได้มอบประสบการณ์ความแห่งความขาดแคลนให้กับฉัน เพราะท่านรู้ว่าฉันเป็นเหมือนท่าน เมื่อจิตใจของฉันขาดแคลน ความอยากเข้าครอบงำและคาดหวังในสิ่งต่างๆ ฉันไม่เคยได้รับในสิ่งที่อยากจะได้ ฉันจึงคงขาดแคลนเช่นนี้ตลอดไป ท่านทราบดีว่าฉันควรมีสิ่งใดและไม่ควรมีสิ่งใด ไม่ใช่สิ อันที่จริงฉันมีแล้วทุกสิ่ง และไม่มีความจำเป็นต้องมีสิ่งใดหรือขอสิ่งใด เพราะท่านอยู่กับฉันตลอดเวลา ท่านให้ตั้งแต่ฉันยังไม่เอ่ยปากขอด้วยซ้ำไป ในโลกของท่านไม่มีสิ่งที่เรียกว่า เลว และ ดี ฉันต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน ฉันดิ้นรนเพื่อบรรลุถึงท่าน แต่มันกลับทำให้ฉันห่างไกลจากท่านมากขึ้น เพราะท่านบอกว่าฉันแสดงจิตใจอันขาดแคลนขึ้นมาแล้ว ท่านย่อมให้ในสิ่งที่ฉันขอ นั่นคือ ประสบการณ์แห่งความต้องการเรื่อยไป ฉันกำลังก้าวเข้าสู่ทะเลทรายเหมือนกับมนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกนี้ ที่วิ่งอยู่บนกงล้อแห่งความคิดของจิตใจ อาจเรียกมันได้ว่า คุกแห่งความคิด ที่ไม่มีหนทางจะออกไปได้ จนกว่าจะเป็นนายเหนือความคิด ท่านสอนให้ฉันเลิกที่จะฟังจิตใจของตัวเอง ความคิดเพราะจิตใจที่มุ่งมั่นซ้ำๆ มันจะกลายเป็นจริงขึ้นมาในวันข้างหน้า เหมือนกับวันนี้ ที่ฉันมองย้อนกลับไป สิ่งที่ฉันเป็นในวันนี้คือสิ่งที่ฉันได้เคยเลือกเอาไว้และเคยตั้งใจที่จะเป็นมาก่อนในอดีต ท่านบอกให้ฉันฟังจากความรู้สึก ไม่ใช่จิตใจหรือความคิด ความรู้สึกมาจากจิตวิญญาณ มันคือความจริง ณ ปัจจุบันเท่านั้น เพราะนี้คือสิ่งที่ท่านบอก นี่คือเสียงของท่าน และคือประสงค์ของท่านด้วย ในการทำให้ฉันตระหนักรู้ถึงพลังความสามารถของตัวเองซึ่งก็คือของท่านด้วยเช่นกัน เมื่อใดที่ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับท่านความคิดของฉัน เป็นความคิดของท่านด้วย คำพูดของฉันเป็นคำพูดของท่านด้วย การกระทำของฉันเป็นการกระทำของท่านด้วย ฉันไม่แปลกใจที่ทะเลแดงเคยแยกออกเป็นสองฟากได้ จากการร้องขอของโมเสส คนตายฟื้นคืนชีพได้ด้วยการร้องขอของเยซู พระพุทธเจ้าเดินข้ามแม่น้ำได้อย่างง่ายดาย ฯลฯ ไม่มีสิ่งใดที่ท่านจะทำไม่ได้ ฉันไม่สงสัยข้อนั้น นี่คือวิทยาศาสตร์ขั้นสูงสุดที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์บนโลกก็ยังพัฒนาไปไม่ถึง จุดมุ่งหมายของฉันไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ฉันอาจขี้เกียจและเฉื่อยชาเท่านั้น และฉันยังสนุกกับพลังการสร้างสรรค์จากการเลือกสิ่งต่างๆซึ่งหลายครั้งที่ฉันก็เหน็ดเหนื่อยกับผลลัพธ์ของมัน โลกของท่านซึ่งก็คือโลกที่แท้จริงของฉันไม่มีคำว่าสำเร็จ กับล้มเหลว เหมือนที่มนุษย์เขาสมมุติกัน ฉันพบแล้วว่าฉันไม่มีความจำเป็นต้องร้องขอสิ่งใด ฉันทำเพียงแต่ ขอบคุณและขอบคุณ ในสิ่งที่ท่านได้ให้มาตลอด ท่านไม่เคยปฏิเสธการร้องขอของฉัน แม้บางอย่างมันก็ไร้สาระสิ้นดี และอาจไม่มีประโยชน์อะไรกับฉันเลยในการที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับท่านและมีความรักอันยิ่งใหญ่เหมือนที่ท่านมี.......................				
29 มิถุนายน 2551 18:29 น.

คนเหมืองนักบุกเบิก....

คีตากะ

          อะไรมันก็กำลังดีอยู่แล้ว.มารมันก็เสาะหาเราพบจนได้ อุตสาห์มาซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ เป็นเขตป่าติดต่อกับป่าสงวนห้วยขาแข้ง ที่นับว่าเป็นผืนป่าสุดท้ายที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย.....วิศวกรเหมืองแร่...อยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ ใครที่ทนความเหงาไม่ไหวทยอยกันลาออกไปอยู่เรื่อยๆ เลยเป็นจังหวะเหมาะของเราที่ได้มาทำงานแทน หลังจากที่ตกงานอยู่ 2 เดือน ทำอาชีพชาวเกาะอยู่พักนึง( เกาะพ่อเกาะแม่กิน )ดูบรรยากาศโดยรอบชอบมากๆ ธรรมชาติสุดๆ  ถ้าไม่มีช้างออกมาเพ่นพ่านบ่อยๆน่าจะโล่งอกกว่านี้ หลังโรงงานเป็นป่าทึบ ผมเห็นช่องทางเข้าแล้ว ยังเสียวสันหลัง สะเทือนไปถึงก้านสมองไม่หาย ป้าที่ร้านอาหารแกเล่าว่า มียายแก่คนหนึ่งแกเดินหายเข้าไปในป่า 7 วัน 7 คืน ญาติก็ตามหากันวุ่นไปพบแกนอนอยู่ในดงไม้ ลึกเข้าไปในป่า ถามแกๆก็บอกว่ามีคนเรียกแกให้เดินตามเข้าไปพบบ้านหลังนี้ที่แกนอนอยู่ แกก็ชี้ไปที่ดงไม้ที่แกนอนอยู่มา 7 วันนั่นแหละ ใครๆก็เลยคิดว่าแกท่าจะบ้าหรือไม่ก็โดนผีอำเข้าแล้ว ป้าแกยังบอกอีกว่าข้างในป่ามีเมืองลับแล...ไอ้เราก็พวกคนชอบลองดีเสียด้วยว่าจะชวนช่างอ๋อยลูกน้องคนสนิทเข้าป่ากันซะหน่อย ช่างอ๋อยบอกว่า พี่ต้องเข้าเดือนตุลาคม เดี๋ยวผมพาไป ช่วงนั้นจะมีเห็ดโคนงอกเต็มป่าจะได้ไปเก็บมากินด้วย แถวนี้มีมอญพม่าเยอะหาเห็ดกินกันเก่ง พวกคนไทยมัวแต่นอนหลับไม่ค่อยทันเขาหรอก...ก็เลยสรุปว่ายังไม่ได้เข้าป่าอยู่ดี แต่ข่าวออกมาบ่อยๆว่าแถวนี้มีช้างป่าออกมาหาอะไรกินบ่อยๆ ต้องระวังตัวให้ดี..โรงงานล้อมรอบไปด้วยภูเขาเรียงรายสลับซับซ้อน ห่างไปประมาณ 40 กิโล ก็จะถึงน้ำตกเอราวัณ อันขึ้นชื่อของจังหวัดกาญจนบุรี เราเพิ่งสลัดคราบการเป็นหนุ่มกรุงเทพฯ พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ  มากลายเป็นหนุ่มบ้านป่า เมืองเถื่อน น่าสนุกไปอีกแบบ ที่โชคดีเหมือนถูกแจ็คพล็อดโชคสองชั้นก็ไอ้ตรงที่ ที่ๆเรายืนอยู่ตรงนี้เป็นรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ที่เขากำลังพูดถึงกันอยู่พอดิบพอดี เวลาแผ่นดินไหวไม่ต้องวิ่งไปหลบที่ไหน ไม่ต้องเหนื่อยรีบออกจากตึกสูง เพราะคงไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด นั่งสวดภาวนาอย่างเดียว ไม่รู้จะได้ทันยกมือป่าว แล้วเขื่อนศรีนครินทร์เจ้ากรรม ก็ห่างจากโรงงานไปไม่ไกลเท่าไหร่ คนก็พูดกันจัง เขื่อนจะแตกๆ พวกพี่ๆสบายใจกันได้ ถ้าเขื่อนแตก ผมหน่ะไปก่อนเพื่อน ลอยตามน้ำไปถึงบ้านพี่เลย  หยอง! แต่มันก็มีข้อดีเหมือนกันที่ทำให้ข้าราชการพวกชลประทานและการไฟฟ้าตรวจตราเขื่อนบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น หากเกิดรอยร้าวจริงๆจะได้แจ้งให้ประชาชนเขารับทราบกันก่อน เพราะผมก็เล็งภูเขาไว้ลูกหนึ่งแล้ว ข้างๆโรงงานนี่แหละ ไม่รู้ว่าถ้าเขาประกาศเตือนภัยกันจริงๆ จะมีแรงก้าวขาขึ้นเขาลูกนี้ทันป่าว ยังสงสัยอยู่ กลัวจะก้าวขาไม่ออก แต่ไม่เป็นไรมีลูกน้องเป็นมอญพม่าเยอะเดี๋ยวให้เขาช่วยลากเราขึ้นเขาไปด้วยคน เสียทีที่เป็นแช้มนักวิ่งลมกลด กีฬามหาวิทยาลัยไม่เคยพลาดเหรียญ ระยะใกล้ไม่มีพลาด แต่ระยะไกลวิ่งไม่เคยถึงเส้นชัยซักที เพราะขี้เกียจซ้อม ขี่รถเที่ยวสนุกกว่าเยอะ.....มาเห็นสาวพม่าแถวนี้สวยสมคำร่ำลือจริงๆ ผิวพม่า นัยน์ตาแขก แต่น่าเสียดายส่วนใหญ่จะมีครอบครัวกันหมดแล้ว เขาแต่งงานกันตั้งแต่อายุน้อยๆ ยิ่งกว่าคนไทยอีก ไม่ต้องเรียนหนังสือหนังหา เวลาพูดจาทีก็ฟังกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง มีลูกน้องเป็นพม่าน่ากลุ้มตรงนี้ แต่ดีตรงที่พม่าขยันขันแข่งจริงๆ ส่วนลาวพูดไทยชัดเลยแถมนิสัยคล้ายคนไทยอีก มีหลายๆเรื่อง....ในเหมืองจะมีหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน ที่ดินเป็นของบริษัทแต่บ้านพนักงานต้องสร้างเอง บริษัทออกหลังคาสังกะสีให้แค่นั้น มีทั้งหมู่บ้านพม่า หมู่บ้านลาว หมู่บ้านมอญ และคนไทย แต่ผมยังสับสนตัวเองอยู่ เพราะผมทำอะไรไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาหรอก เวลากินข้าวเช้าจะไปกินร้านหมู่บ้านลาว เวลากินข้าวเที่ยวจะแวะไปร้านพม่า เวลาข้าวมื้อเย็นจะไปกินร้านพวกมอญ เวลาออกนอกโรงงานกินร้านคนไทย เท่ากับกินอาหารครบทุกชาติเลย อิอิ....ชมชอบที่สุดยังคงเป็นรสชาติของเห็ดโคนที่อร่อย เป็นเมนูเด็ด มาถึงที่นี่ถ้าไม่ได้เขาป่าเก็บเห็ดด้วยสองมือและสองขาจริงๆ คงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่ เรื่องกินเรื่องใหญ่ ช้างจะอาละวาดไม่กลัว จะเก่งกว่าคนให้มันรู้ไป ขออร่อยไว้ก่อน แถวนี้ระบบสื่อสารมีปัญหาจะโทนคุยกับใครที ต้องเดินหาคลื่นเป็นวันๆ แทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกเลย ทีวีก็ดูได้ช่องเดียว เล่นเนตก็ต้องหาทำเลดีๆ ตอนนี้ผมเจอแล้ว ผมใช้ซิมโทรศัพท์ ใช้คลื่นไร้สาย ที่บริษัทเขาก็มีอยู่ครึ่งเดียว ต่อยังมาไม่ถึงบ้านพัก เลยใช้ไร้สายโน๊ตบุ๊คตัวหนึ่งก็เล่นได้ทุกที่ จ่ายไม่แพงเท่าไหร่ ตามโปรโมชั่นมีให้เลือกตามพอใจ.....บ้านพักโดยรอบไม่ต่างกับรีสอร์ทพักตากอากาศมองไปทางไหนก็เจริญหูเจริญตามีแต่ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ ครบครัน จะหาแบบหลังอิงเขา หน้าหันเข้าหาแม่น้ำ มีให้เลือก รีบจองด่วน !......มารที่ว่าไว้ก็ไม่มีอะไรหรอก เขาบอกว่าที่ไหนมีคนที่นั้นก็มีปัญหา โดยเฉพาะคนพูดจาไม่รู้เรื่อง มีอยู่ทุกที่แม้แต่ในป่า พวกใส่หัวโขน มีอีโก้เยอะ เรียนมากมันก็บ้า อยู่ป่ามันเลยเพี้ยน ยังงี้ต้องชวนไปฝึกวิปัสสนาน่าจะดี....อิอิ ธรรมดาโลกมีสุข มีทุกข์ เหมือนกันหมด จะอยู่ป่าหรืออยู่เมืองก็ไม่อาจหนีพ้นไปได้ ทำใจอย่างเดียว เดี๋ยวมันก็ดีเอง.....				
25 มีนาคม 2551 09:30 น.

รู้แจ้งฉับพลัน...ชาติเดียวหลุดพ้น

คีตากะ

มีคนมักบอกว่า ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของคนโบราณแล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จ มันก็เกิดข้อโต้แย้งของบางคนขึ้นมาว่า คำสอนของคนโบราณสอนให้ใคร? เราก็มาตอบได้ว่า เขาสอนให้คนโบราณโน้น เดี๋ยวนี้มันยุคไหนแล้ว บางอย่างก็ล้าสมัย อย่างเช่นคำว่า เรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เราว่าปัจจุบันนี้เห็นคนเรียนสูงๆเป็นแต่ลูกจ้าง ไม่เป็นข้าแผ่นดินก็เป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน อาจเป็นได้ว่าสมัยโบราณ คนที่จะได้มีโอกาสร่ำเรียนหนังสือคงจะมีน้อย ก็เลยเหมาไปเลยว่าใครเรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้านาย แต่ทุกวันนี้คนเรียนสูงๆตกงานก็มีให้เห็นกันเกร่อ ปัจจุบันการศึกษาก็เปลี่ยนแปลงไปแยะ พูดมากไปไม่ค่อยได้มีคุณครูที่น่านับถืออยู่มาก แต่อยากยกคำพูดของคนบางคนที่ได้ยินมาเขาบอกว่า ไม่มีสถาบันไหนสอนให้คนเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนใหญ่สอนให้เป็นลูกจ้าง เรามานั่งคิดดูก็เห็นว่ามีส่วนจริง ใครๆก็พูดว่าเรียนสูงๆจะได้มีงานทำดีๆ ความหมายก็คือส่งเสริมให้เป็นลูกจ้างอยู่ดี ไม่เห็นบอกว่าเรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าของกิจการ มันก็น่าคิดเหมือนกัน เคยได้ยินคนรวยบางคนพูดว่า การจะร่ำรวยหรือยากจนอยู่ที่ตรงการเลือกอาชีพ ถ้าเลือกอาชีพที่มีโอกาสรวยก็มีสิทธิรวย ถ้าเลือกอาชีพที่ทั้งชาติไม่มีโอกาสรวยก็ย่อมไม่รวย ฟังแล้วมันก็น่าสนใจ เขาให้สังเกตจากคนที่เคยทำอาชีพนั้นจนปลดเกษียณว่าสุดท้ายส่วนใหญ่เป็นอย่างไร รวยหนี้ รวยทรัพย์ รวยน้ำใจ รวยเพื่อน หรือรวยอะไร ? ก็คิดว่าทุกคนมีมุมมองแตกต่างกันไป...
แม้แต่เรื่องของศาสนาที่เป็นเรื่องอ่อนไหวในสังคม ก็มีความเชื่อแบบคล้ายคลึงกันนี้มาแต่โบราณเหมือนกัน ศาสนาดั้งเดิมได้แตกนิกายออกไปมากมาย และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น จนถึงที่สุดกลายเป็นสงครามศาสนาชนิดอยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ ก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ
มันก็คงวุ่นกันตรงนี้แหละ ที่นำคำสอนของคนโบราณมาใช้ในยุคปัจจุบันโดยไม่มีการพินิจไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่างเช่นศีลบางข้อของพระสงฆ์ที่ห้ามพกพาเงินกับตัว ทราบมาว่าสาเหตุเพราะพระสงฆ์สมัยโบราณมักเดินธุดงค์ไปตามป่าเพื่อการฝึกภาวนาสมาธิ และเงินสมัยโบราณทำจากเหรียญโลหะเสียส่วนใหญ่เวลากระทบกันจะมีเสียงดัง อาจรบกวนการปฏิบัติธรรมได้โดยง่าย พระพุทธเจ้าจึงห้าม บัญญัติเป็นศีล แต่ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน เงินส่วนใหญ่เป็นธนบัตรทำจากกระดาษ เรื่องจะเกิดเสียงรบกวนคงจะยาก แต่ถ้ามายึดเอาตายตัวก็คงเพิ่มความลำบากให้กับชีวิตมากขึ้นและไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าที่ควร แต่พอใครคิดจะมาเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน ถูกตราหน้าว่าพวกนอกรีต นอกธรรม เหมาเอาเลย แต่คงไม่ถึงกับสุดโต่งเหมือนบางคนที่ชอบพูดว่ากฎมีไว้ให้ฝ่า นี่ก็คงเกินไป เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆมีไว้เพื่อรักษาสังคมให้สงบสุขเรียบร้อยมากขึ้น ถ้ามันสมเหตุสมผลพอกับยุคสมัย ไม่เช่นนั้นก็จะล้าหลังมีไว้เพื่อสอนคนโบราณ ใช้ไม่ได้กับคนสมัยนี้ 
	โดยเฉพาะเรื่องที่สูงสุดที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดมากกลัวโดนข้อหาอวดอุตริทางธรรม
อย่างเช่น นิพพาน คนที่ควรจะมีสิทธิพูดจะต้องเคยนิพพานมาแล้ว คนไม่เคยไม่ควรพูด เพราะมันจะกลายเป็นเพียงแค่ความรู้ไม่ใช่มาจากประสบการณ์ และเสี่ยงกับการสร้างวจีกรรม ฟังดูแล้วมันก็น่ากลัวจนเกินไป เปรียบไปแล้วมันก็คล้ายกับบุรุษไปรษณีย์ ที่ไม่ใช่เป็นคนเขียนจดหมายเองแต่มีหน้าที่ส่งจดหมาย ถ้าถามว่าข้อความในจดหมายคืออะไร หรือในกล่องพัสดุนี้มีอะไร เขาก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะเขามีหน้าที่ในการส่งอย่างเดียว แค่รักษาสิ่งของหรือจดหมายจนถึงมือผู้รับในสภาพที่เรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น บางครั้งเคยพบว่าคนที่พูดบางคนมีความคิดที่ดีมากๆแต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติเลยสักครั้ง ถ้าเราเพียงแต่เปิดใจให้กว้างนำเอาความคิดของเขาลองไปปฏิบัติจนเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาก็ถือว่าการฟังได้ประโยชน์อย่างมาก คนพูดอาจไม่เคยปฏิบัติมา แต่เขาอาจเคยได้ยินได้ฟังคนที่เขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วจำมาพูด นั่นก็เป็นประโยชน์ต่อคนฟังเช่นกัน คนฟังจึงควรมีวิจารณญาณให้มากในการเลือกที่จะกลั่นกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาของแต่ละคน เฉกเช่นการจะเข้าถึงนิพพาน อันเป็นเรื่องที่สำหรับบางคนมันอาจจะไกลเกินเอื้อม แต่สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องง่ายๆ ถึงกับมีบางคนเปรียบเทียบว่าง่ายกว่าการยืนเข้าแถวซื้อของเสียอีก เรื่องราวทำนองนี้เราก็เคยได้ยินได้ฟังมามากแม้เราจะไม่รู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร แต่ก็อยากเสนอแนวความคิดเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบางคนที่สนใจ สิ่งแรกต้องเกริ่นตั้งแต่สมัยพุทธกาลว่า แม้พุทธศาสนาเองก็ยังแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่ายมากมาย แต่ที่เห็นชัดๆคือนิกายมหายานกับเถรวาทหรือหินยาน แค่สองนิกายนี้ก็ถกเถียงกันไม่รู้จักจบจักสิ้นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เราก็ฟังเขาเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ความที่เราเคยศึกษาทั้งสองนิกายมาบ้างพอสมควรและเห็นข้อดีข้อเสียของแต่ละฝ่ายก็รู้สึกเศร้าใจที่แม้ธรรมะจะมีหนึ่งเดียว แต่ความที่จิตใจคนแตกต่างกันไป จึงทำให้เกิดข้อโต้แย้งมากมายในข้อทฤษฎีและข้อปฏิบัติ เราไม่พูดถึงนิพพานคืออะไร? แต่พยายามหาวิถีทางในการก้าวไปสู่สิ่งนี้ หนทางใดที่เหมาะกับอุปนิสัยของใครก็ควรเดินไปตามเส้นทางนั้น เพราะเราเชื่อว่าแม้จะมีวิถีทางที่ดีที่สุดแต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถกระทำได้ เพราะคำว่าอัตตา ตัวเดียว ทุกคนก็มี ตัวกู ของกู ด้วยกันทั้งนั้น มีความคิด มีนิสัย ความชอบแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน แต่เราอยากจะมากล่าวด้วยเหตุด้วยผลมากกว่า เราเข้าใจว่าพระพุทธองค์สามารถที่จะหยั่งรู้และแยกแยะภาวะจิตของสรรพสัตว์ได้อย่างกระจ่างแจ้ง ดูได้จาก ทศพลญาณ  พระองค์สามารถจะสั่งสอนอบรมสรรพสัตว์ตามระดับสติปัญญาของแต่ละบุคคลได้ จึงได้เกิดเรื่อง ดอกบัวสี่เหล่าขึ้น ใครที่หนาแน่นด้วยความหลงผิดก็ต้องฝึกฝนกันหนักหน่อย ใครมีปัญญาสูงก็สอนแบบเบาหน่อย เปรียบเสมือนนักเรียนที่มีระดับสติปัญญา หรือไอคิวแตกต่างกันนั่นเอง คนฉลาดย่อมเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าคนไม่ฉลาด ย่อมเป็นสัจธรรม หลักธรรมจึงมีถึง แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ก็เพื่อให้เหมาะกับอุปนิสัยของสรรพสัตว์ที่แตกต่างกัน บางคนเหมาะกับเถรวาท บางคนเหมาะกับมหายาน แต่เป้าหมายหลักก็เพื่อเข้าถึงธรรมอันสูงสุด อะไรเรียกว่า หลักธรรมสูงสุด พระพุทธองค์เองย่อมเป็นตัวอย่างของการเป็นผู้เข้าถึงหลักธรรมสูงสุด ซึ้งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตล้วนๆไม่เกี่ยวกับรูปธรรมใดๆ แต่ข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี ผู้นำทางหรือคนชี้แนะ บางคนบอกว่าก็หลักธรรมในคัมภีร์ต่างๆที่จารึกไว้นั่นไง แต่อย่าลืมว่า คัมภีร์เหล่านั้นใช้สอนคนสมัยโบราณ และเรื่องส่วนใหญ่ก็เป็นการที่พุทธองค์ชี้แนะสั่งสอนพุทธบริษัทกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อยู่ที่ว่าสอนใคร? ระดับภูมิธรรมขั้นไหน? เหมือนกับระบบการศึกษา คนเรียนดอกเตอร์จะมานั่งเรียนในโรงเรียนประถมไม่ได้ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราบอกว่าดอกเตอร์สูงสุด การเรียนการสอนระดับนี้ต้องไม่เหมือนกับการเรียนชั้นประถมแน่นอน แล้วมันจะยิ่งละเอียดอ่อนขนาดไหนถ้ามันไม่ใช่การเรียนรู้แค่ระดับสมองแต่มันลึกถึงระดับวิญญาณ ที่ยากพิสูจน์จับต้องและแยกแยะระดับชั้นหรือภูมิธรรมได้ง่ายๆ เราไม่เปรียบเทียบว่านิกายไหนดีกว่ากัน ให้เป็นไปตามความชอบส่วนบุคคลน่าจะเหมาะกว่า แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การจะเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไป เช่น ไปต่างจังหวัดหรือไปต่างประเทศ ถ้าเราไปด้วยตนเองมันก็จะมีผลเพียงสองอย่างคือ ไปถึงจุดหมายกับไปไม่ถึงจุดหมาย แต่ถ้าเรามีผู้นำทางหรือเรียกว่าไกด์ซึ่งเขาเป็นผู้ชำนาญทางและเคยไปที่แห่งนั้นมาแล้ว ผลมันก็จะรับประกันได้แน่นอนกว่าว่าจะไปถึงจุดหมายและไม่เกิดการหลงทาง โดยเฉพาะเสียเวลาจากการหลงทิศหลงทางไป จนถึงกับแย่ที่สุดคือหาไม่พบจุดหมายปลายทางเลย เสียเงิน เสียเวลา เสียพลังงาน โดยเฉพาะเสียความรู้สึก และในที่สุดเราก็พบว่าตัวเราล้มเหลว พระพุทธองค์เป็นตัวอย่างของไกด์ที่ดี ผลก็คือในสมัยพุทธกาลมีผู้เข้าถึงธรรมขั้นสูงได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างกับปัจจุบัน ที่มีแต่นักพูดและหานักปฏิบัติได้ยาก และในบรรดานักปฏิบัติส่วนใหญ่ก็หลงทาง มีส่วนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ชี้แนะ แม้พระพุทธองค์เองตั้งแต่เล็กจนโตก็มีอาจารย์คอยชี้แนะมาตลอด ล้วนเป็นอาจารย์ระดับประเทศทั้งสิ้น อาจารย์ดังแห่งยุค ซึ่งในอินเดียและเนปาลสมัยก่อนเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญ จนปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นกันอยู่มากมาย วิถีทางแตกต่างกันไปแต่จุดหมายเดียวกัน โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ล้วนเป็นที่ชุมนุมของเหล่านักบุญ และพระพุทธองค์ก็เคยจาริกไป การจะค้นหาไกด์นำทางที่ดีเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะคนที่จิตใจคับแคบย่อมยากที่จะฟังใครง่ายๆ แต่เรามีคัมภีร์โบราณมากมายมีนิกายมากมาย ศาสนามากมาย ถ้าเรานำมาศึกษาเปรียบเทียบให้ดี เปิดใจให้กว้าง ไม่ยึดติดจนเกินไปกับความเชื่อเดิมๆ ที่บางครั้งก็ล้าสมัย แล้วนำมาเปรียบเทียบกับอาจารย์ดีอาจารย์ดังในปัจจุบัน คิดว่าคงไม่สุดวิสัยเกินไปที่จะหาพบอาจารย์ดีสักคนหนึ่ง มีคำกล่าวว่า ทุกยุคทุกสมัยจะมีนักบุญหรือพุทธะมาเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์เสมอ แต่ถ้าเราไม่มีบุญสัมพันธ์หรือไม่คิดจะค้นหาก็ย่อมยากยิ่งที่จะได้พบเจอ อีกอย่างสังคมที่ต้องดิ้นรนแบบปากกัดตีนถีบ ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เวลาของชีวิตก็เหลือน้อยลงจนไม่เหลือเวลาเพื่อเป้าหมายสูงสุดของชีวิตนี้ นั่นคือ การหลุดพ้น เป็นอิสระจาก โลภ โกรธ หลง คำสอนต่างๆก็มีมากมายจนเกินไปแล้ว แต่มีสักกี่คนที่มีประสบการณ์จริงๆ รู้แจ้งจริงๆ เพียงแค่รู้ต่างกับรู้แจ้ง การรู้ต้องอาศัยตำรา ครูอาจารย์ช่วยสอน แต่การรู้แจ้งมาจากประสบการณ์จากภายใน สิ่งแรกหาได้จากภายนอก แต่สิ่งหลังหาได้จากภายในจิตใจ และถ้ามีอาจารย์คอยชี้แนะก็ย่อมไปได้เร็วกว่ามาก โดยเฉพาะในปัจจุบันยิ่งจำเป็นต้องมีอาจารย์ เพราะมายาที่จะล่อลวงจิตใจให้หลงทางได้มีมากมายกว่าอดีตนัก ไม่มีอะไรตายตัวและต้องยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสโลก เหมือนโรคภัยไข้เจ็บที่กำเนิดขึ้นมากมาย บ้างก็กลายพันธุ์จากเดิม บ้างก็เกิดขึ้นมาใหม่ มีให้เห็นอยู่ การบำบัดรักษาก็ต้องเท่าทันโรคภัยต่างๆเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็ถูกเรียกว่าล้าหลัง ไม่ทันโลก ถ้าเป็นรถก็เรียกว่า ตกรุ่น อะไรประมาณนั้น

	ถ้าเราพบอาจารย์ดีแล้วมันก็ง่ายขึ้นเยอะ เราก็เพียงแต่ทำตามที่อาจารย์ชี้แนะ และเดินตามท่านโดยไม่ท้อถอยกลับหลัง ไม่ยอมแพ้กลางทางเชื่อว่าจุดหมายปลายทางย่อมเป็นที่หวังได้ เพราะอาจารย์ดีที่แท้จริงนั้นหาใช่สามัญชนคนธรรมดาไม่ แม้ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านก็จะยังคงสามารถช่วยเหลือศิษย์ไปจนตลอดรอดฝั่งได้ในที่สุด จึงมีคำกล่าวว่าการได้เพียงพบหน้าอาจารย์ดีสักครั้งก็ถือว่าหลุดพ้นแล้วทันที แม้คนผู้นั้นจะไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นอาจารย์ดีก็ตาม หรือแม้กระทั่งเกลียดชังก็ตาม ในที่สุดอาจารย์ดีก็ยังคงช่วยเหลือคนผู้นั้นได้อยู่ดี ก็ขึ้นชื่อว่าอาจารย์ดีย่อมกระทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว คนธรรมดาสามัญย่อมไม่สามารถกระทำได้ ย่อมเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน มิเช่นนั้นก็ไม่คู่ควรกับคำว่า อาจารย์ดี อาจเป็นได้แค่อาจารย์ดังเท่านั้น ซึ้งล้วนมีให้เกร่อเต็มบ้านเต็มเมือง......อีกเรื่องหนึ่งที่ล่อแหลมเป็นอย่างมากที่จะกล่าวถึง คือเรื่องของ  กรรม การที่นักปฏิบัติส่วนใหญ่ล้มเหลวกลางทางเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากกรรมนี่เอง กรรมคือนิสัยหรือความคิดที่ฝั่งแน่นมาจากอดีต จนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้คิดแบบเดิม พูดแบบเดิม และกระทำแบบเดิม ชีวิตก็เลยเป็นแบบเดิมๆ มีคนกล่าวว่า ความคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยน น่าจะใช้ได้ดี แม้พุทธองค์จะห้ามมิให้คิดถึงเรื่อง กรรม เพราะเป็นเรื่องซับซ้อน ละเอียดอ่อน แต่พระองค์ก็กลับมีวิธีที่จะพิชิตกรรมนี้ได้ การที่ทรงหยั่งทราบว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน กล่าวคือ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง กรรมก็เช่นเดียวกัน สามารถแก้ไขได้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องเหนือความเข้าใจของมนุษย์ เรามักได้ยินบ่อยๆว่าใครทำกรรมอะไรตัวเองก็ต้องชดใช้ ถูกต้องถ้านั่นเป็นปุถุชน แต่ถ้าเป็นอาจารย์ดีหรือพุทธะท่านเหล่านั้นจะมีวิธีรับมือได้เสมอ เพราะไม่มีอะไรที่อาจารย์ดีทำไม่ได้ แม้กระทั้งในพุทธประวัติยังสามารถทำให้นรกว่างได้แม้เพียงชั่วขณะก็เคยมีมาแล้ว ท่านเข้าใจระบบการทำงานของมัน ที่ปัจจุบันเรียกว่า อินพุท เอ๊าพุท รู้ความเป็นมาเป็นไป จึงสามารถแก้ไขได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า พุทธานุภาพ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่ปัจจุบันยังไปไม่ถึง เป็นวิทยาศาสตร์ขั้นสูง แท้ที่จริงโลกนี้ล้าหลังอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดที่อาจารย์ดีทำไม่ได้ เพราะท่านมีปัญญามากกว่าคนธรรมดา มากกว่านักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก ท่านคือยอดนักวิทยาศาสตร์ และเยี่ยมยอดในทุกศาสตร์สาขาวิชา เพราะท่านคือต้นกำเนิดของศาสตร์ต่างๆนั่นเอง เพราะท่านเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ อะไรที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ล้วนอยู่ในความสามารถของท่าน แม้แต่โลกใบนี้ แม้แต่จักรวาลทั้งจักรวาล มีดาวเคราะห์ต่างๆเป็นต้น ท่านย่อมรู้จักหมด ไม่มีอะไรที่ท่านไม่รู้เพราะท่านได้ชื่อว่าสัพพัญญู ท่านจึงสามารถแก้ไขกรรมต่างๆของศิษย์ได้และทำให้เขาเหล่านั้นเข้าถึงธรรมได้อย่างปลอดภัยและใช้เวลาเพียงสั้นๆ ท่านไม่ได้สอนอะไรเพียงทำให้ทุกคนเป็นเหมือนกับตัวท่าน เพราะท่านรู้ว่าสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน และรวมทั้งท่านด้วย ท่านไม่ได้สอนอะไรใหม่ เพราะนี่คือธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ก่อนมีโลกและจักรวาล ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีสิ่งเดียวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือสิ่งนี้นี่เอง สิ่งที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ หรือหน้าตาดั้งเดิมหรือธรรมชาติพุทธะหรือเต๋า หรือพระเจ้า นี่คือความจริงของชีวิตข้อเดียว นี่คือสัจธรรมสูงสุด ผู้ที่เข้าถึงสิ่งเหล่านี้เรียกว่านิพพาน นั่นเอง มิใช่ตาย เพราะคนที่นิพพานต้องนิพพานเวลาเป็นๆถ้าคนที่นิพพานแล้วตายเรียกว่า ดับขันธปรินิพพาน ไม่รู้ศัพท์ถูกต้องหรือเปล่า ไม่เคยเรียนมาเสียด้วย การอธิบายมีมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องค้นหาอาจารย์ดีและปฏิบัติมันด้วยใจ จนเกิดมรรคเกิดผลเห็นแจ้งขึ้นมาจริงๆนั่นแหละจึงเรียกว่ายอดคน ตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคนก็แล้วกัน........สาธุ


				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ