อาหารว่างที่ขาดไม่ได้สำหรับผมก็คือ เมล็ดทานตะวันอบ โดยเฉพาะ เมล็ดทานตะวันอบสมุนไพร รสเค็มๆ มันๆ กินแล้วเพลินเป็นที่สุด สำหรับผมอยากจะเรียกว่า ของดีประเทศไทย ซึ่งความจริงก็ไม่รู้หรอกว่าต้นตำหรับมันมาจากประเทศไหนและก็ไม่สนใจด้วย แค่กินแล้วอร่อยก็ใส่ปากมันเข้าไปจะไปคิดมากทำไม ผมไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ที่จะต้องคอยขุดคุ้ยเรื่องราวเชิงลึกอะไรมากมาย โดยเฉพาะเรื่องกินกับเรื่องนอน ครั้งหนึ่งผมเคยไปซื้อเมล็ดทานตะวันที่วางอยู่ในร้านขายของชำแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญฯ ป้าคนขายแกบอกว่าเม็ดทานตะวันแบบเนี้ยเขามีไว้ให้นกกิน ไม่แน่ใจว่านกเขาหรือเปล่า? ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็เลยเข้าใจว่าที่แท้ลูกค้ารายใหญ่ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดของเมล็ดทานตะวันก็คือนก กลับกลายเป็นว่าผมกำลังไปแย่งอาหารของพวกมัน(ผมเข้าใจไปเอง) ข้อแตกต่างอีกอย่างที่ได้พบก็คือว่า เมล็ดทานตะวันที่ขายในร้านของป้านั้นเป็นเมล็ดทานตะวันที่ยังไม่ได้อบ ยังไม่ผ่านกระบวนการการผลิตนั่นเอง ทำให้ผมจินตนาการเลยไปจนถึงเครื่องมืออุปกรณ์และวิธีการผลิต ของมันก่อนที่จะออกมาเป็นเมล็ดทานตะวันอบสมุนไพรเลิศรสให้เราได้กิน คงไม่ถึงขั้นที่ผมจะไปตั้งโรงงานผลิตเมล็ดทานตะวันกินเองหรอกนะ ผมเคยถูกใช้ให้ไปจ่ายตลาดในการจัดงานระดับนานาชาติครั้งหนึ่ง วัตถุดิบส่วนใหญ่คือเต้าหู้ และผมจำต้องไปสืบเสาะหาแหล่งผลิตเต้าหู้รายใหญ่ของประเทศ มีคนแนะนำว่าให้ไปหาที่จังหวัดราชบุรี โดยเฉพาะอำเภอโพธาราม การต้องใช้เต้าหู้พอที่จะเลี้ยงคนกว่า ๕๐,๐๐๐ คนไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับผม ผมมีแค่มอเตอร์ไซด์เก่าๆคันหนึ่งตระเวนไปทั่วอำเภอโพธารามซึ่งก็แทบจะหลับตานึกถึงตรอกซอกซอยต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะมันก็คือบ้านเกิดของผมเอง มีโรงงานผลิตเต้าหู้หลายสิบแห่งในย่านนั้น ผมเลือกเข้าไปติดต่อประมาณ ๕ แห่ง การเข้าไปในบริเวณโรงงานทำให้มองเห็นเครื่องจักรและกระบวนการผลิตเต้าหู้เป็นอย่างดี ไม่ยากถ้าหากใครสักคนจะตั้งโรงงานผลิตเต้าหู้ เงินลงทุนไม่สูงเหมือนโรงงานอื่นๆ และบางโรงงานที่เข้าไปบางแห่งมันดูคล้ายกับบ้านมากกว่าโรงงาน และใช้คนงานแค่เพียงสมาชิกในครอบครัวก็พอแล้วถ้ายอดขายไม่สูงมากนัก....เอาหล่ะเต้าหู้ก็ส่วนเต้าหู้เมล็ดทานตะวันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่เคยไปโรงงานผลิตเมล็ดทานตะวันอบ ก็เลยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากนัก เคยมีเพื่อนเอาเมล็ดทานตะวันแบบปลอกเปลือกแล้วมาให้กิน และก็พบว่ามันไม่ค่อยถูกปากมากนัก มากกว่าเมล็ดทานตะวันที่ยังมีเปลือก ผมสังเกตว่าการเสียเวลาแกะเปลือกเมล็ดทานตะวัน เป็นเรื่องน่าสนุกและท้าทายประการหนึ่ง และความอร่อยก็อยู่ตรงนี้นี่เอง เปลือกที่อบเกลือมาทำให้เกิดรสเค็มบวกกับเมล็ดที่สุกได้ที่ทำให้เกิดรสหวานมัน มันเป็นความลงตัวที่ยอดเยี่ยมสำหรับผม ซึ่งได้ชื่อว่าผู้บริโภคคนหนึ่ง และคิดไปว่าพวกนกคงไม่มีโชคดีเหมือน ผมไม่รู้ว่าจะมีใครกินเปลือกมันด้วยหรือเปล่า แต่ผมไม่กิน ยกเว้นบางครั้งที่รีบร้อนกินจนเกินไปก็อาจจะ มีคนบอกว่า เมล็ดทานตะวันเม็ดเล็กๆ นี้ก็มีสารอาหารมากมาย มีทั้งโปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินอี วิตามินดี วิตามินเค และยังมีวิตามินอีสูงกว่าน้ำมันเมล็ดข้าวโพดและเมล็ดถั่วเหลืองกว่า 3 เท่าเลยทีเดียว ผู้ที่กินมังสวิรัติจะกินเมล็ดทานตะวันเป็นส่วนหนึ่งของอาหารหลักเพื่อช่วยเพิ่มโปรตีน นอกจากนั้นในเมล็ดทานตะวันยังมีกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว (Linoleic Acid) ซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาใช้เองได้ จึงต้องกินเข้าไปเท่านั้น สารอาหารต่างๆ ในเมล็ดทานตะวันนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หากกินเป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจกในตา ช่วยลดคอเลสเตอรอลหรือไขมันในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด รวมทั้งยังช่วยชะลอความแก่และบำรุงผิวพรรณได้ด้วย ผมไม่ค่อยรู้คุณประโยชน์ของมันเท่าไรนักหรอก เพราะแค่เห็นถุงบรรจุของมันก็ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว บางครั้งการต้องเสียเวลาปลอกเปลือกอาจเป็นคุณค่าของมันก็ได้ คนเรามักจะให้คุณค่ากับสิ่งที่ได้มายากๆ และจึงจะคิดถนอมเอาไว้ ความยากลำบากก็มีคุณค่าตรงนี้เอง เพราะฉะนั้นถ้าชีวิตยังตกอยู่ในความยากลำบากมันก็อาจยังมีอะไรที่หอมหวานรอคอยอยู่ก็เป็นได้ เมื่อพูดถึงเมล็ดทานตะวันก็อดคิดถึงดอกทานตะวันไม่ได้ ที่ทำงานเก่าเคยส่งผมไปดูงานเกี่ยวกับเครื่องจักรผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ไอน้ำ ซึ่งจะนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าใช้ภายในโรงงานผลิตน้ำตาลทรายในช่วงฤดูหีบอ้อยนอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนจะผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในช่วงฤดูการผลิตอีกด้วย ผมได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดลพบุรี และเผอิญหน่วยงานราชการที่จะขายเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งนั้นอยู่ใกล้กับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อันเลื่องชื่อ เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสได้เห็นทุ่งดอกทานตะวันที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สีเหลืองอร่ามบนท้องทุ่งริมสองฝั่งถนน ทำให้อดตื่นตะลึงในความงามของมันไม่ได้ แม้จะไม่มีโอกาสได้แวะชมเพราะงานเร่งด่วน แต่ก็รู้สึกว่าเมืองไทยเรานี้ยังมีอะไรดีๆให้ดูอีกเยอะนะ นอกจากที่จะสามารถเห็นได้ในทีวี บรรยากาศของความจริงมันมีอะไรมากกว่าภาพถ่ายหรือภาพในทีวี ถ้าเราไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองก็คงไม่ถึงบางอ้อ สิ่งที่ประทับใจสำหรับของดีเมืองไทยอย่างเมล็ดทานตะวันอบสมุนไพรนี้ เกิดขึ้นที่ ด่านชายแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมาผมมีโอกาศได้ไปเที่ยวและไปพบมันเข้าโดยบังเอิญ เมล็ดทานตะวันอบมีขายกันเกร่อบริเวณชายแดน อ.แม่สาย ที่สำคัญราคาถูกสุดๆ ผมเหมาถุงใหญ่มาหลายถุง เท่าที่กำลังจะหอบหิ้วมาได้ เมล็ดทานตะวันอบเกลือที่แม่สาย น่าจะราคาถูกที่สุด(เดา) ผมเคยคิดว่าแค่เพียงรับมาขายไปก็ทำกำไรได้อย่างงาม แต่เสียตรงไกลไปนิด ๕๐๐-๖๐๐ กิโล จากบ้านผม โดยเฉพาะระยะทางจากเชี่ยงใหม่ไปเชียงรายที่ต้องขึ้นภูขึ้นดอยด้วยแล้วแทบจะเข็ดขยาดที่เดียว ทำเอาเวียนหัว แต่พอไปถึงก็คุ้มค่าจริงๆ ทิวทัศน์ และอากาศที่ดีมากๆ ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ผมตกเครื่องบินก่อนจะไป เพราะเล่นไม่จองล่วงหน้า ไปถึงดอนเมืองเขาบอกว่าทุกเที่ยวเต็ม โทรเช็คเที่ยวบินที่สุวรรณภูมิก็เต็มหมดลืมคิดว่าเป็นเทศกาลสงกรานต์ และไม่เคยมีแผนล่วงหน้า คิดอยากไปก็ไป ระหว่างทางติดฝนจนเกือบถอดใจกลับบ้านแต่ก็ดันทุรังไปจนได้ ตอนนั้นยังไปตกรถแถวเชียงใหม่ เสียเวลาต้องรอรถหลายชั่วโมง เขาบอกว่าไม่มีรถสายยาว ผมก็เลยต่อสายสั้นระหว่างจังหวัด เดิมที่เริ่มจากกรุงเทพฯไปลงนครสวรรค์ ต่อจากนครสวรรค์ไปเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ไปเชียงราย ทรหดสุดๆ แต่ก็คงดีกว่าขี่มอเตอร์ไซด์ไปแน่นอน การได้ตกรถที่เชียงใหม่ สร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิต ซึ่งถ้าไม่ตกรถคงจะเสียดายสุดๆ นั่นคือการได้เล่นสงกรานต์เชียงใหม่ ซึ่งในชีวิตไม่เคยคิดฝันมาก่อน มันเริ่มจากความเซ็งเล็กน้อยเมื่อไม่มีรถไปเชียงรายทันที ความเซ็งทำให้สมองทำงาน เมื่อสมองทำงาน กระเพาะเริ่มร้อง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ต้องแบกพาสังขารเจ้ากรรมนี้ไปหาอะไรกินในเมือง ผมมาถึงเช้าจนเกินไปตอนขาไปเลยไม่เจออะไรผิดสังเกตุ หลังจากกินข้าวแถว ม.เชียงใหม่ สถานบันศึกษาเก่า การเคยเรียนอยู่แถวนี้ทำให้รู้จักบริเวณนั้นเป็นอย่างดี พูดง่ายๆ ถ้าไปเชียงใหม่ต้องไปเริ่มที่ มช.ก่อนเป็นอันดับแรกไม่เช่นนั้นจะหลง อย่าแปลกใจว่าเคยเรียนม.เชียงใหม่ทำไมหลงเชียงใหม่ได้ ที่จริงแล้วชื่อสถาบันจริงๆที่ผมเคยเรียนก็คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ณ สมุทรสาคร เป็นเพียงวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เท่านั้น ตอนเรียนเคยได้ไปเชียงใหม่ไม่เกิน ๕ ครั้ง ตอนแรกที่ไปก็ยังหลงวุ่นไปหมด อย่างไรก็ตามวันนั้นเป็นวันเล่นน้ำกันด้วย ตอนขากลับเวลาสายๆ วัยรุ่นและผู้คนก็เริ่มออกมาเล่นสาดน้ำกันแล้ว รถเมล์สองแถวที่ผมนั่งเผอิญผ่านเข้าไปใจกลางงานพอดี อันที่จริงก็เล่นกันเกือบทั้งเมืองนั่นแหละ รถติดอยู่เป็นชั่วโมง ขณะนั่งอยู่ในรถก็เปียกไปครึ่งตัวแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้ไปสาดกับใครเลย แต่ก็ทำให้ได้เห็นวัฒนธรรมที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่ เล่นสาดน้ำกันน่าสนุกสนาน ผมดูเวลาเห็นท่าว่าจะตกรถไปเชียงรายอีกครั้งเพราะจองตั๋วไว้ล่วงหน้า เนื่องจากรถสองแถวที่นั่งมาไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ก็เลยตัดสินใจลงไปเดินแข่งกับเวลา แต่แปลกที่ลงไปเดินท่ามกลางของวัยรุ่นที่เล่นน้ำกันกลับไม่ทำให้ให้โดนสาดเหมือนที่ทำใจเตรียมเอาไว้ว่าจะต้องเปียกโซกแน่ๆ ในที่สุดผมก็ได้คำตอบหลังจากพบรถตุ๊กๆ สามล้อเข้าตรงบริเวณสี่แยกหลังจากที่เดินหาอยู่นาน นั่นแหละอีกครึ่งตัวก็เปียกอย่างสมบูณณ์ เมื่อรถตุ๊กๆ วิ่งด้วยความเร็วสูงภายหลังจากที่รู้ว่าผมใกล้จะตกรถแล้วในอีก ๑๐ นาที มันก็น่าแปลกที่ยิ่งเราหลบซ่อน มีที่กำบังมากเท่าไรศรัตรูของเราก็มักจะหาเราเจอได้เร็วเท่านั้น คนที่เดินอยู่ข้างล่างไม่ใช่เป้าหมายของคนสาดน้ำอาจเป็นเพราะเรากลายเป็นกลมกลืนหรือเป็นพวกเดียวกับเขา แต่เมื่อเรามีที่กำบังมั่นเหมาะนั่นกลับเป็นคนละเรื่อง คลื่นน้ำมากมายถาโถมกระแทกเข้ารถตุ๊กๆ ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงคันนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทาง ยิ่งมันวิ่งด้วยความเร็วสูงเท่าไร แรงปะทะก็เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย ผมมาถึงสถานีรถปรับอากาศไม่ต่างอะไรกับคนที่เพิ่งตกน้ำมาหมาดๆ แม้น้ำที่ละลายด้วยน้ำแข็งจะไม่ใช่ปัญหากับผมมากนักเพราะอากาศร้อนในตอนกลางวัน และถ้าหากจะไม่ขึ้นไปนั่งบนรถปรับอากาศอีก ๓ ชั่วโมงเพื่อไปเชียงราย และนั่นแหละเป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างแท้จริง....ด่านแม่สายมีผู้คนคับคั่งในวันหยุด ผมเช่ามอเตอร์ไซด์คันหนึ่งในเมืองเชียงรายพร้อมสัมภาระก่อนเช็คอินออกจากโรงแรม บึ่งหน้าไปแม่สาย การขี่มอเตอร์ไซด์ในต่างจังหวัดแบบนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับอากาศดีๆมากขึ้น ซึ่งถือเป็นความสุขประการหนึ่ง ระยะทางนับร้อยกิโลไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมนัก ภาพสวยงามของอารยะธรรมและธรรมชาติน่าตื่นตาตื่นใจกว่าเยอะสำหรับดินแดนแปลกหน้าแห่งนี้ ธรรมชาติของป่าไม้ในเขตเมืองหนาวและภูดอยต่างๆ แม้มันจะมีส่วนคล้ายๆ กับทิวทัศน์จังหวัดกาญฯ แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างคืออากาศที่เย็นกำลังดี ผมเคยอ่านบทความของเพื่อนๆที่บรรยากาศเกี่ยวกับเมืองโบราณอย่างเชียงแสนบ้าง การมาเที่ยวครั้งนี้ทำให้ผมไม่อาจพลาด นั่นเองเป็นเหตุให้ผมได้มีโอกาสไปนั่งริมฝั่งโขงแถวๆ สามเหลี่ยนทองคำ ดูเรือที่กำลังวิ่งรับนักท่องเที่ยวข้ามฟากไปมา เชียงแสนมีมนต์ขลังอย่างที่คนกล่าวขานจริงๆ อารยะธรรมเก่าแก่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ถ้าศึกษาให้ดี ดินแดนแห่งนี้ถือเป็นต้นตระกูลของราชวงศ์ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ทุกอารยะธรรมมีจุดกำเนิดและการล่มสลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างน้อยนักเผชิญโชคอย่างผมก็ได้ค้นพบว่า เมล็ดทานตะวันที่เลิศรสที่สุด ราคาถูกที่สุดอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้นี่เอง ดินแดนเหนือสุดแดนสยาม....
แม้จนเกือบถึงวันสุดท้ายแห่งการประชุมว่าด้วยเรื่อง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก คงยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับจีนยังคงเกี่ยงกันรับผิดชอบในประเด็นการลดก๊าซเรือนกระจกโดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจ ประเทศจีนซึ่งถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ ๑ ของโลกแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯเมื่อปีที่ผ่านมา จากการที่สหรัฐฯเคยครองแชมป์โลกในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและทำให้โลกร้อนมายาวนานโดยต้องตกมาเป็นรองแชมป์ แต่สองยักษ์ใหญ่ก็ยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปเพื่อจะลงเอยกันได้ ที่ผ่านมาในพิธีสารเกียวโต ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ละประเทศได้ให้สัตยาบันที่จะลดก๊าซเรือนกระจกลง และมีเพียง ๒ ประเทศที่ไม่ยอมร่วมลงสัตยาบันซึ่งก็คือ สหรัฐฯและออสเตรเลีย ( ซึ่งภายหลังออสเตรเลียก็ยอมร่วมลงนามในเวลาต่อมา) ในสมัยรัฐบาลของบุช ที่มุ่งเน้นการปราบปรามผู้ก่อการร้ายสากลและก่อสงครามมากกว่าจะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ผู้คนต่างคิดกันไปว่าที่รัฐบาลของบุชไม่ยอมร่วมลงนามนั้นใช่มาจากธุรกิจของเขาที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะน้ำมันหรือไม่? มันก็อดคิดไม่ได้ว่า น้ำมัน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่นักวิทยาศาสตร์ยืนยันกันว่าเป็นสาเหตุของการทำให้โลกร้อน เช่น เดียวกับถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ในขณะที่โลกยังมีความหวังจากประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯคนปัจจุบันซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปหมาดๆ จะมีท่าดีที่เด่นชัดมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพราะในขณะที่หลายประเทศที่เป็นเกาะและอาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลกำลังจะจมน้ำตาย การประชุมที่เมืองโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ถือเป็นความหวังสุดท้ายสำหรับชะตากรรมของพวกเขา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไรเลย แต่ต้องมารับเคราะห์จากประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างจีน สหรัฐฯและยุโรป และทำได้แค่การส่งเสียงและยกมือขอความช่วยเหลือขณะที่กำลังจะจมน้ำในอีกไม่ช้า การประท้วงเริ่มมีขึ้นจากผู้ที่มาร่วมชุมนุมเพื่อลดภาวะโลกร้อนที่เมืองโคเปนเฮเกน และมันดุเดือดขึ้นทุกที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสลายการชุมนุม เหมือนกับว่าโลกกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง? ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอก ! แม้โลกจะพินาศวันพรุ่งนี้ก็ตาม แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือความ อวิชชา ต่างหาก ความไม่รู้หรือรู้ผิดนำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด นำไปสู่ความทุกข์ ความกลัว ความวิตก กังวลโดยไม่จำเป็น ศาสนาทุกศาสนาล้วนสอนไว้เช่นนั้น พระพุทธเจ้าเรียกคนที่มีความทุกข์ว่าคนโง่ ถ้าสรุปกันง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน ไม่ใช่คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ คนชั้นต่ำหรือว่าอะไร โลกเดินผิดทางมายาวนานมากระหว่างคำว่า โง่ กับ ฉลาด ระหว่างคำว่า ปัญญา กับคำว่า อวิชชา มันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะไปโทษผู้นำประเทศหรือนักวิทยาศาสตร์คนไหน ความเข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์ และความเพิกเฉยของผู้นำประเทศในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเทียบเท่ากับ ความเข้าใจธรรมชาติผิดของตัวเราเอง ยกตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนและแหล่งผลิตอันดับหนึ่งของมันมาจากภาคอุตสาหกรรม นี่เป็นความเขลาประการที่หนึ่ง ความเข้าใจผิดอันนี้นำไปสู่ทิศทางและกลยุทธุ์ในการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาดไปด้วย ผลก็คือมนุษย์ พืช และสัตว์ เกือบ ๙๐% สูญพันธุ์ตามมาในอีกไม่ช้า เหมือนการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อ ๖๐๐ ,๑๔๐,๒๕๐ และ ๕๕ ล้านปีก่อน(ค่าประมาณ) พวกมันล้วนพบจุดจบเดียวกันคือภาวะโลกร้อน ถ้าในแง่ศาสนามันคือเรื่องของ กรรม ซึ่งก็มีพวกรู้มากบางคนบอกว่าสิ่งนี้แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำได้อย่างเดียวคือ รอวันตาย นี่คือความเขลาประการต่อมา คุณเชื่อไหมหล่ะว่าถ้าทุกคนบนโลกนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ หายนะวันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าในอดีตหรือในอนาคตโลกจะถึงจุดจบก็ต่อเมื่อมนุษย์ถึงจุดจบแห่งความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกไม่ว่าต่อมนุษย์ด้วยกันเอง พืชหรือสัตว์............. นักวิทยาสาสตร์บอกว่าการเป็นมังสวิรัติไม่มีทางหยุดภาวะโลกร้อนได้ ซึ่งปัจจุบันเสียงก็เริ่มอ่อยลง เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องศาสนาหรือพลังจิตอะไรหรอก มีพวกอุตริธรรมอยู่เยอะ แต่ท้ายที่สุดก็ทำเพื่อลาภยศชื่อเสียงศรัทธาของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนหรอกที่เข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนผิดพลาด ดร.เจมส์ ฮันเซ่นน์ สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศแห่งนาซ่าเป็นหนึ่งในหลายคนที่รู้จริง ท่านกล่าวว่า การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาซึ่งทำให้โลกร้อน ขณะเดียวกันมันก็ได้ควันของละอองลอยซัลเฟต (Aerosols) ซึ่งมีผลทำให้โลกเย็นลง ผลของการหักล้างอุณหภมิของก๊าซทั้งสองตัวอุณหภูมิที่ได้เกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ใช่มาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เป็นก๊าซมีเทน ซึ่งแหล่งผลิตรายใหญ่ที่สุดมาจากฟาร์มปศุสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู ฯลฯ ซึ่งการค้นพบที่สำคัญนี้สอดคล้องกับนักฟิสิกซ์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐฯ นาย Noam Mohr ซึ่งพบว่าในช่วงระยะเวลา ๒๐ ปี คาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้โลกร้อน ๔๐% ส่วนอีก ๖๐% มาจากก๊าซหลักที่สำคัญคือมีเทน นั่นหมายความว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๔๐% นั้นมาจากไหน? คำตอบนี้ยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจน ทุกคนก็เหมาเอาว่าจากโรงงาน การขนส่ง การเกษตร บ้านเรือน การเผาขยะ เป็นต้น ซึ่งก็อาจจะจริงแต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น แม้แต่องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) ยังกล่าวว่าการเลี้ยงสัตว์และผลิตภัณฑ์นมทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเพียงร้อยละ ๑๘ มากกว่าการขนส่งทั่วโลกรวมกัน อย่างไรก็ตามมันชัดเจนมากขึ้นต่อนักวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมาว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ มีบทบาทสำคัญมากกว่านั้นและเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในการผลิตก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึงร้อยละ ๕๑ ดร.ที คอเลน จากมหาวิทยาลัยคอเนล สหรัฐอเมริกากล่าวว่า ผมแค่มีข้อมูลบางอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีโครงสร้างใหม่ตอนนี้ ระบุว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก ที่อยู่ที่นั่นไม่ใช่แค่ ๑๕ หรือ ๒๐% แต่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งและบางทีมากพอใช้ ซึ่งเนื่องมาจากการปศุสัตว์ คำตอบนี้พอคาดเดาได้หรือไม่ว่า ถ้าสิ่งที่ค้นพบโดย ๓ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก (ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย) ข้างต้นนั้นเป็นความจริง คาร์บอนไดออกไซด์ที่มีเพิ่มมากขึ้นในชั้นบรรยากาศและทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ตามกราฟที่อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายอัล กอร์ แสดงไว้ในหนังสืออันโด่งดังชื่อ โลกร้อน ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง( An Inconvenient Truth) ที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้นมาจากที่ใด? เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้ทำให้โลกร้อน การเผาผลาญน้ำมันจากการขนส่ง รถ เรือ เป็นต้นก็ย่อมได้ผลแบบเดียวกันคือจะเกิดละลองลอยที่ทำให้โลกเย็นด้วย หรือแม้แต่การเผาก๊าซธรรมชาติ NGV LPG ต่างๆ เหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน คำตอบที่น่าสนใจก็คือว่า ฟาร์มปศุสัตว์ อย่างไรหรือ? ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าฟาร์มปศุสัตว์นั้นผลิตก๊าซเรือนกระจกถึง ๓ ก๊าซคือ ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนตรัสออกไซด์ พูดถึงความรุนแรงที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนก๊าซไนตรัสออกไ.ซด์รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๒๙๖ เท่าแต่มันมีปริมาณน้อยมากจึงส่งผลน้อยกว่า ส่วนฆาตรกรตัวจริงอย่างก๊าซมีเทนทำให้โลกร้อนกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๗๒ เท่า (วัดในช่วง ๒๐ ปี) และมีปริมาณมากกว่า ๓๗% มาจากการปศุสัตว์ แต่มันมีอายุสั้นกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ กล่าวคือมันมีอายุแค่ ๑๑ ปีก็จะสลายตัวเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์มีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่วัดค่าก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศในช่วงเวลา ๑๐๐ ปี ทำให้พบปริมาณก๊าซมีเทนน้อยมาก พวกเขาเลยสรุปผลง่ายๆ ว่าตัวการทำให้โลกร้อนคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตได้เลย เพราะอะไรหรือ? เพราะเพียงแค่ ๑๑ ปี ก๊าซมีเทนก็อันตธานล่องหนหายไปไม่เหลือซากแล้ว มันถูกออกซิไดซ์เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สุภาษิตจีนกล่าวว่า อาวุธที่อันตรายที่สุดในโลก หาใช่อาวุธที่มองเห็นได้ง่าย อาวุธในมือศรัตรูที่สามารถมองเห็นได้ ท่านยังมีโอกาสหลบหนีได้ทัน แต่ท่านจะไม่มีทางมองเห็นอาวุธลับ ของศรัตรูที่ซ่อนอยู่ รอจนอาวุธนั้นปรากฏ ท่านจึงสามารถมองเห็นว่ามันมีลักษณะเยี่ยงไร พร้อมกับ เลือดที่หลั่งรินและ ชีวิตของท่านที่หลุดลอย ก๊าซแอบแฝงลำดับที่ ๒ อย่างมีเทนกำลังเป็นประเด็นร้อนที่เมืองโคเปนเฮเกน ถ้าผู้นำทุกประเทศกลับไปรณรงค์ให้ลดการทานเนื้อสัตว์ลงเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกที่อันตรายนี้ลงได้ก่อนที่จะสายเกิน หากทั่วโลกสามารถจัดการกับมีเทนได้ เวลาที่เหลือนับร้อยปียังมีเวลาจัดการกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทัน( แน่นอนเราต้องจัดการทั้ง ๒ ตัว) ด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีหรือการใช้พลังงานแบบยั่งยืนแทน เป็นต้น แต่ถ้าหากผู้นำก้าวเดินผิดทางย่อมนำประเทศและโลกไปสู่หายนะอย่างแน่นอน ผู้นำสามารถใช้อำนาจทางการเมืองแก้ปัญหาโลกร้อนได้หากตระหนักรู้ว่ามันคือหายนะตัวจริง คำถามคือว่า คุณจะยอมเว้นอาหารเลิศรสจากเนื้อสัตว์ แล้วมาอดทนกินแต่พืชผักผลไม้ แลกกับการสูญพันธุ์ของตัวคุณเองและลูกหลานไหม? หากคำตอบคือไม่สิ่งเหล่านี้จะอุบัติขึ้น....... อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นจาก ๑-๖ องศาเซลเซียส ถ้าถึง ๖ องศาโลกนี้จะไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์ สัตว์และพืชอีกต่อไป ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ๑ องศาเซลเซียส - บริเวณอาร์ติกขั้วโลกเหนือจะปลอดน้ำแข็งเป็นเวลาครึ่งปี แอตแลนด์ติกตอนใต้ ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีพายุเฮอร์ริเคน (พายุร้อยปี) จะพบกับพายุเฮอร์ริเคนชายฝั่ง และตะวันตกของสหรัฐ จะเกิดความแห้งแล้งรุนแรง จนกลายเป็นทะเลทราย ๒ องศาเซลเซียส - มหานครหลายแห่งทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำ หนึ่งในนั้นคือ กรุงเทพมหานคร น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น หมีที่อาศัยอยู่ขั้วโลกเหนือจะตกอยู่ในภาวะคับขัน แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสหรัฐฯ จะละลายเกือบหมด ในขณะที่ปะการังชายฝั่งจะหายไป ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้น ๗ เมตร ๓ องศาเซลเซียส - ป่าฝนอะเมซอนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกและผลิตออกซิเจนมากที่สุดจะเหือดแห้ง ภาวะอากาศที่รุนแรงอย่างเอล นิโญ (ก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง และภัยแล้งขั้นรุนแรงคนละฝั่งของทวีป)จะกลายเป็นเรื่องปกติ ยุโรปจะพบกับคลื่นความร้อนในฤดูร้อนขั้นรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน(ปี ๒๕๔๖ คลื่นความร้อนคร่าชีวิตชาวยุโรปจำนวน ๓๕,๐๐๐ คนในฤดูร้อน) คนนับล้านหรือพันล้านคนจะถูกย้ายถิ่นจากพื้นที่เขตร้อน ไปยังแลตติจูดตอนกลาง ๔ องศาเซลเซียส - น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เมืองที่อยู่ชายฝั่งจมลง ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยจะแห้งหมดไป ทำให้ประชาชน ๓.๒ พันล้านคน(ครึ่งโลก) ขาดแคลนน้ำจืด แม่น้ำ ๘ สายหลักของเอเชียจะแห้งขอดรวมทั้งแม่น้ำโขง แม่น้ำคงคา แม่น้ำแยงซี เป็นต้น ธารน้ำแข็งส่วนหนึ่งของแอนตาร์กติกาบริเวณขั้วโลกใต้ ซึ่งมีน้ำแข็ง ๙๐% ของโลกและเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดจะพังทลายลง ทำให้ระดับน้ำทะเลยิ่งสูงขึ้นอีก อุณหภูมิอากาศในฤดูร้อนของลอนดอนจะสูงถึง ๔๕ องศาเซลเซียส ๕ องศาเซลเซียส บริเวณที่อาศัยอยู่ไม่ได้จะแผ่ขยายกว้าง หิมะและธารน้ำแข็งที่เป็นแหล่งน้ำจืดให้กับเมืองใหญ่จะเหือดแห้ง จะมีผู้อพยพลี้ภัยจากความรุนแรงของภาวะอากาศนับล้านคน อารยะธรรมของมนุษย์จะเริ่มพังทลายไปพร้อมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนี้ คนยากจนจะเป็นผู้ที่ทุกข์ยากที่สุด จะไม่มีน้ำแข็งที่ขั้วโลกอีกต่อไป และจะเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสัตว์และพืชในมหาสมุทร รวมทั้งสึนามิขนาดยักษ์จะทำลายแนวชายฝั่งจนราบคาบ ๖ องศาเซลเซียส จะเกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ถึง ๙๕% สิ่งมีชีวิตจะทุกข์ทรมานจากพายุรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทะเลทรายจะครองโลก การผุดขึ้นมาของก๊าซพิษไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า(ก๊าซชนิดเดียวกับที่รั่วไหลจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) และก๊าซมีเทนซึ่งติดไฟได้จากท้องทะเลและทุกแห่งทั่วโลกจะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมันคือระเบิดอะตอมที่มีศักยภาพสูง (ในอดีตเคยทำให้ดาวทั้งดวงระเบิดกลายเป็นฝุ่นธุลี) และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่รอดได้ ยกเว้นแบคทีเรีย (เหมือนครั้งกำเนิดโลก) และนี่อาจจะเป็น สถานการณ์วันล้างโลก ยามเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็อบอุ่น มวลหมู่บุปผาชาติก็เบ่งบานสวยสล้าง เหล่าสกุณาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว สุภาพชนเมื่อมีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก กินอิ่มสวมอุ่นไม่ทุกข์ร้อน กลับไม่คิดที่จะเผยแพร่ความรู้และกระทำความดีแล้วไซร้ แม้จะมีอายุยืนถึงร้อยปี ก็เหมือนยังมิได้ถือกำเนิดเกิดมาแม้สักวันเดียว วันเวลานั้นยาวนาน แต่คนวุ่นอยู่กับงานเห็นว่าสั้น ฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่ แต่คนใจคอคับแคบเห็นว่าเล็ก บุปผามาลี แสงจันทร์วันเพ็ญ เป็นสิ่งจรุงจรรโลงใจ แต่คนชอบความอึกทึกจอแจกลับเห็นว่าไร้สาระ ใต้ฟ้าแจ่มเดือนกระจ่าง เหินหาวได้ไร้ขอบเขต แต่แมลงเม่ากลับบินเข้าหาเปลวเทียน ลำธารใสหญ้าเขียวขจี ดื่มกินได้ตามใจชอบ แต่นกเค้าแมวกลับชอบรสหนูเน่า เออหนอ คนที่ไม่เป็นแมลงเม่าและนกเค้าแมวในโลก จะมีสักกี่คน? ศิลปินต่างผัดหน้าทาแป้ง ประชันโฉมไม่ลดราวาศอก เมื่อปิดฉากลง สวยไม่สวยอยู่หนใด? เล่นหมากรุกหน้าดำคร่ำเครียด เอาเป็นเอาตายกันที่ตัวหมาก เมื่อจบกระดาน แพ้ชนะอยู่แห่งไหน? จากสุภาษิตรากผัก ของหงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง เขียน
โลกกำเนิดมาได้ 4,600 ล้านปี โลกเริ่มจากโลกที่ร้อนจัดและเริ่มเย็นตัวลงเรื่อยมาจนกลายเป็นโลกยุคน้ำแข็ง ในช่างเวลาประมาณ 800,000 ปีก่อน เกิดยุคน้ำแข็งมาแล้ว 8 ครั้ง ยุคโลกร้อน กับ ยุคน้ำแข็งสลับหมุนเวียนกันไปเป็วัฏจักร ไดโนเสาร์กำเนิดเมื่อ 251 ล้านปีมาแล้วพวกมันสาปสูญไปจากโลกหรือสูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีก่อนรวมเวลาแล้วเผ่าพันธุ์ของพวกมันมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 186 ล้านปีนักวิทยาศาสตร์บอกว่าพวกมันสูญพันธุ์เพราะ เมื่อ 65 ล้านปีก่อนเกิดเหตุการณ์อุกาบาตขนาดยักษ์ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 15 กิโลเมตรพุ่งชนโลก ทำให้เกิดเปลวไฟ เขม่า และฝุ่นละอองปริมาณมหาศาลปกคลุมชั้นบรรยากาศไว้และเกิดภาวะเรือนกระจกนำไปสู่ภาวะโลกร้อนและเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนที่เรียกว่า มีเทนไฮเดรทหรือมีเทนก้อน ซึ่งเป็นเสมือนระเบิดเวลาขึ้นจากก้นมหาสมุทร รวมทั้งก๊าซพิษอื่นๆ เข้าแทนที่ก๊าซออกซิเจนที่พวกมันใช้หายใจ พวกมันจึงสูญพันธุ์ทันที(แบบไม่ทันตั้งตัว) แต่อย่างไรเสียนี่ก็ถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่พวกมันไม่ได้ก่อ.....มนุษย์ยุคแรกเกิดเมื่อประมาณ 2 ล้านปีก่อนและวิวัฒนาการเรื่อยมา ด้วยความที่มีขนาดของสมองโตกว่าสัตว์ประเภทอื่นๆ ทำให้เราคิดค้นอุปกรณ์เครื่องมือและพัฒนามันจนมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือเผ่าพันธุ์ใดๆ ยุคอุตสาหกรรมเป็นยุคเริ่มต้นอารยธรรมของมนุษย์ที่มีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ที่สุดไม่เคยมีเผ่าพันธุ์ใดในประวัติศาสตร์โลกจะกระทำได้มาก่อน เราบินไปในอากาศได้เหมือนนกจากเครื่องบินเราเคลื่อนที่ไปในน้ำได้เหมือนปลาโดยเรือ เราเดินทางไปบนบกได้โดยรถ เราสามารถไปได้ทั่วโลกแม้กระทั่งดวงจันทร์ เราติดต่อถึงกันแม้จะอยู่ห่างกันคนละทวีปและยังสามารถเห็นหน้ากันได้(3G,internet) เราเปลี่ยนแปลงธรรมชาติให้เป็นไปตามที่เราต้องการแม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมของพืช สัตว์ หรือแม้กระทั้งตัวเราเองทำให้มันมีสีสัน รูปแบบ ลักษณะอย่างที่เราต้องการ และเราก็ใช้ทรัพยากรของโลกปริมาณมหาศาล เราขนย้ายดินและหิน(ทำเหมืองแร่) มากมายมหาศาลยิ่งกว่ากระบวนการทางธรรมชาติใดๆจะกระทำได้ เราตัดไม้ทำลายป่าจนแทบไม่เหลือหรอ เพื่อทำการเกษตร อุตสาหกรรม ปศุสัตว์ และทำที่อยู่อาศัย เราปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศ ขยะของเสียลงแหล่งน้ำ และทำให้ดินเค็ม สมดุลธรรมชาติและระบบนิเวศน์วิทยาเสียไปจนกระทั่งเราทำให้เกิดภาวะโลกร้อนแบบสุดขั้ว ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาวะโลกร้อน 8-9 ครั้งในอดีตที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ในขณะที่โลกเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคน้ำแข็งในอนาคต แต่เรากลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็วน้ำทะเลหนุนขึ้นสูง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงพายุแรงขึ้นและบ่อยขึ้น น้ำท่วมแบบฉับพลัน บางที่ก็แล้งจนกลายเป็นทะเลทราย ฤดูกาลเปลี่ยนไปจนยากคาดเดา เกิดเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ อีกไม่นานโลกนี้จะร้อนจัดจนอาศัยอยู่ไม่ได้ พืชและสัตว์มากมายสูญพันธุ์เพราะเรา น้ำทะเลกลายเป็นกรด ฯลฯ และในที่สุดเราก็จะมีชะตากรรมเหมือนกับไดโนเสาร์เมื่อเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากมหาสมุทร แต่กว่าจะถึงตรงนั้นเราอาจจะเข่นฆ่ากันเองด้วยความอดอยากและเพื่อเอาตัวรอดด้วยอาวุธนิวเคลียร์ล้างโลกที่เราใช้มันสมองอันปราดเปรื่องของเราเองสร้างมันขึ้นมา เราเคยกล่าวกันว่า เราจะช่วยกันรักษาโลกใบนี้เอาไว้ หากแต่ว่าไม่ใช่โลกหรอกที่จะพบหายนะ....มนุษย์ต่างหาก....ไดโนเสาร์สามารถครองโลกอยู่ได้ 186 ล้านปี แต่มนุษย์ครองโลกมาได้แค่ 2 ล้านปีกลับจะต้องพบกับการสูญพันธุ์แล้วเช่นนั้นหรือ?........Be Veg Go Green Save World Stop Global Warming !
จากภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ที่เพิ่งออกฉายเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2552 ที่ผ่านมาของค่ายโคลัมเบียพิกเจอร์ เรื่อง 2012 ...วันสิ้นโลก ได้เป็นเหตุให้เกิดกระแสเกี่ยวกับมหันตภัยล้างโลกในอีก 3 ปีข้างหน้านี้แตกต่างกันไป ในเวปต่างๆ เชื่อว่ารายได้จากหนังเรื่องนี้คงจะทะลุเป้าของค่ายผลิตหนังเรื่องนี้แน่นอน เพราะแค่เพียงหนังฉายวันแรกข่าวว่ามียอดรายได้ทะลุถึง 300 ล้านบาทไปแล้ว ผมก็เป็นคอหนังคนหนึ่งที่อุตสาห์เสียกะตังค์(ซึ่งมีน้อย)ไปดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉาย การได้นั่งแถวหน้าสุดเป็นอะไรที่ระทึกขวัญตื่นเต้นสำหรับหนังเรื่องนี้ เหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงในหนัง ต้องมีการลุ้นอยู่ตลอดเวลา ฉากการทำลายล้างอันแสนหฤโหดต่อเพื่อนร่วมโลก เป็นอะไรที่สยดสยอง(ไม่ได้โฆษณาหนังนะ) และหดหู่ สุดสุด........ ผมคาดเดาไปว่าหนังเรื่องนี้คงสร้างมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ลเรื่องเรือโนอาร์ และมีบางกระแสบอกว่าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวด้วย(เขาบอกกว่าเรื่องราวนี้ได้จากคำบอกกล่าวของมนุษย์ต่างดาวที่มาเตือนเกี่ยวกับภัยพิบัติล้างโลกในอีก 3 ปีข้างหน้า และส่วนหนึ่งนำมาจากคำทำนายของชนเผ่ามายาที่ทำนายวันสิ้นโลกตรงกับวันที่ 23 ธ.ค. ค.ศ. 2012 บ้างก็ว่าวันที่ 21 หรือไม่ก็ 22) นอกจากนั้นยังผสมกับแนวคิดเรื่องภาวะโลกร้อนเข้าไว้ด้วยโดยท้าวความมาจากผลของการปะทุของดวงอาทิตย์ที่ส่งผ่านรังสีความร้อนมหาศาลมาสู่โลก (น่าจะเป็นตอนต่อจากหนังเรื่อง Knowing ที่นิโคลัส เคส แสดงนำ)และนำไปสู่ภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆบนโลกรวมถึงสึนามิยักษ์ที่สามารถยกน้ำทะเลได้ถึงยอดเขาเอลเวอร์เรสซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในโลก มุมมองจากหลายๆศาสนา ศาสดาได้พยากรณ์ไว้ว่าประมาณปี ค.ศ. 2012 โลกจะโดนทำลายล้างจากธาตุไฟ(ลองไปค้นหาดูได้) ซึ่งจากอดีตโดยเฉพาะในคัมภีร์ไบเบิ้ลการล้างโลกที่ผ่านมาถูกทำลายด้วยน้ำท่วม (ธาตุน้ำ) โลกอ้างอิงจากเรื่องเรือโนอาร์ ที่วันหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสสั่งให้ อับราฮัม ซึ่งเป็นคนเชื่อในพระเจ้าให้จัดสร้างเรือขนาดใหญ่ขึ้นไว้บนจุดที่สูงสุดของยอดเขา แล้วนำครอบครัวรวมทั้งสัตว์เลี้ยงอย่างละคู่บรรทุกไปกับเรือด้วยตามวันและเวลาที่พระเจ้ารับสั่ง......ในส่วนของพุทธศาสนาก็มีคำทำนายที่คล้ายกันนี้ในยุคกึ่งพุทธกาล(ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป) พวกคลั่งศาสนามักจะนำประเด็นเหล่านี้มาโจมตีกันบ่อยๆทางเวป บ้างว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้ถึง 5000 ปี(ศาสนานะไม่ใช่มนุษย์) บ้างก็ว่าพระเจ้าจะกลับมา.(พระเจ้านะไม่ใช่คน) ในขณะที่ผมกำลังสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ภาวะโลกร้อน หนังเรื่องนี้ก็สามารถปลุกกระแสได้ดี (ให้ตื่นตระหนก) ซึ่งในหนังก็ได้สะท้อนความคิดจิตใจของมนุษย์ได้ค่อนข้างดีในเรื่องความเห็นแก่ตัว ที่พยายามเอาตัวรอดไว้ก่อน โดยไม่สนใจเพื่อนร่วมชะตากรรม มันยิ่งสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างในตัวมนุษย์ซึ่งมันเป็นความจริงมากๆ และคำถามต่อมาก็คือว่า(ถ้าใครดูหนังแล้ว)....คนที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้หรือควรจะเป็นผู้อยู่รอด และกลายเป็นต้นแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคต่อไป? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงมันคงน่าเศร้ามาก สังคมโลกจะออกมาเป็นลักษณะแบบใด? คงเป็นสังคมแห่งการแก่งแย่งชิงดี (แล้วจะหาความสงบสุขได้จากที่ไหน) จากการที่มีนักข่าวทางทีวีได้ถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการสร้างหนังเรื่องนี้จากผู้สร้างก็ได้รับคำตอบว่าหนังสร้างขึ้นมาก็เพื่อให้มนุษย์จินตนาการว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง พวกเขาควรจะทำอะไร เตรียมพร้อมอย่างไร? ช่วงเวลาที่หนังเข้าฉายในโรงภาพยนต์ ก่อนหน้านั้นไม่นานองค์การนาซ่าได้ส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์และมีกระแสข่าวว่าอนาคตอาจต้องมีการอพยพมนุษย์โลกไปอยู่บนดวงจันทร์ ซึ่งคนที่ได้ไปคงเป็นพวกเศรษฐีเท่านั้น(เหมือนในหนังที่ต้องจ่ายค่าตั๋วนับหมื่นล้านบาท) เหตุการณ์ในหนังก็สรุปได้ว่า ความร้อนจากดวงอาทิตย์(จากการปะทุ) ทำให้ใจกลางแกนโลก(ซึ่งเป็นชั้นหินหลอมเหลวร้อนจัด) มีอุณหภูมิและความดันสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดจนแผ่นดินแยก ตามมาด้วยคลื่นยักษ์สึนามิทั่วโลก น้ำท่วมโลกจนถึงยอดเขาหิมาลัย................. มันก็อาจเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์แต่ไม่น่าจะรุนแรงขนาดนั้น หลายคนอ้างการสลับขั้วของดวงอาทิตย์และโลก และการที่โลกถูกชนจากอุกาบาตนอกโลก(ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) นักวิทยาศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าถ้าโลกจะเกิดภัยพิบัติควรจะมาจากภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดอยู่นี้และเห็นได้ชัดเจนมากกว่า แต่ไม่มีใครพูดเรื่องของการปะทุขึ้นมาของก๊าซมีเทนอย่างฉับพลันจากภาวะโลกร้อน...ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ผมศึกษาและเชื่อว่า มันจะเป็นต้นเหตุของการณ์ทำลายล้างสรรพชีวิตบนโลกนี้อย่างแท้จริง....เรื่องมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก ผมเชื่อว่าอาจมีจริง มันยากที่จะเชื่อว่า โลกเป็นดาวดวงเดียวที่มีชีวิตแห่งเดียวในจักรวาล มันคงจะโดดเดี่ยวเกินไป และก็เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาว(ถ้ามีจริง) คงจะไม่มาแทรกแซงเรื่องราวบนโลกมากนัก (ไม่เช่นนั้นคงไม่หลบจากเรามาเป็นเวลายาวนาน)สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมใครจะช่วยเราได้ถ้าไม่ใช่ความดีของเราเองซึ่งจะปกป้องตัวเราจากภัยพิบัติต่างๆ และผมยังเชื่อว่า ถ้ามีเหตุแห่งภัยพิบัติล้างโลกจริง นั่นย่อมมาจากเหตุแห่งการฆ่าสิ่งมีชีวิต ผลจึงได้เกิดกับมนุษย์ในแบบเดียวกัน ถ้าคุณเชื่อ กฎแห่งกรรม และถ้าจะเกิดกับมวลมนุษย์หมู่มาก เหมือนกันกับที่เคยเกิดกับสรรพสัตว์ส่วนใหญ่ นั่นคงหนีไม่พ้นเรื่องการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร คุณไม่ได้ฆ่าเอง แต่คุณเป็นคนจ้างฆ่า (เพราะไม่มีคนกิน ย่อมไม่มีคนฆ่า) และผมยังเชื่อว่านี่เองเป็นสาเหตุแห่งภัยพิบัติทั้งมวลที่จะเกิดขึ้น(ถ้ามันจะเกิด) การละเว้นเนื้อสัตว์เท่านั้นคือทางรอด ทางเดียว น้อยคนนักที่จะเชื่อทฤษฎีนี้ และนี่อาจเป็นน้อยคนนักที่จะรอดด้วยเช่นกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันต้องเกิดอยู่ดี แค่เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตตั้งแต่วันนี้ยังไม่สายจนเกินไป หากใช้เหตุและผลวิเคราะห์ดูก็จะทราบเรื่องราวแจ่มแจ้ง ไม่ต้องเสียเวลาฟังคำทำนาย พยากรณ์ ของใครที่ไหน คุณคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวคุณเอง ไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ อนาคตโลกอยู่ในมือคุณ...
หลายเดือนที่ผ่านมา เสียงจากสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งปกติแล้ว จะเป็นแนวอนุรักษ์นิยม ได้แสดงความแตกตื่นที่ต่างกันไปเมื่อมาถึงเรื่องภาวะโลกร้อน เราเปลี่ยนจากการถกเถียงเรื่อง ความไม่แน่นอน ที่อยู่เบื้องหลังวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ ไปสู่การเตือนที่เกือบถึงระดับหวาดผวาได้อย่างไร จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ปกติแล้วเป็นคนเคร่งขรึมในเรื่องผลกระทบระดับหายนะที่แก้ไขไม่ได้ มีสองเหตุผล ประการแรก ยังไม่มีความไม่แน่นอนอย่างแท้จริงในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มามากกว่าหนึ่งทศวรรษ พันธมิตรที่ชั่วร้ายระหว่างบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล และนักการเมืองอนุรักษ์นิยม ได้รณรงค์อ้างเหตุผลที่ผิดๆ และได้รับงบประมาณอย่างดี แต่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อสร้างความสงสัยและข้อโต้แย้ง ในมติที่เกือบเป็นเอกฉันท์จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ ในเรื่องนี้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือ และช่วยให้รอดพ้นโดยสื่อ ซึ่งชอบเรื่องโต้เถียงมากกว่าความจริง และโดยคณะบริหารของบุช ซึ่งได้พยายามบิดเบือนวิทยาศาสตร์ และสั่งให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่พยายามพูดถึงเรื่องภาวะโลกร้อนเก็บเงียบ ในบทบรรณาธิการหนึ่งของหนังสือพิมพ์ บัลติมอร์ ซัน ฉบับวันที่15 ธันวาคม 2547 ผู้เขียนได้กล่าวถึง จุดเปลี่ยนหนึ่งวงจรสะท้อนกลับที่เพิ่มกำลังด้วยตนเอง ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้เกิดมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนอันทรงพลัง ให้หลุดจากโครงสร้างที่คล้ายกับน้ำแข็ง ที่เรียกว่า คลาเทรท ซึ่งยกอุณหภูมิ และทำให้เกิดมีเทนถูกปลดปล่อยมากขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า กระบวนการนี้ ได้ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขั้นรุนแรงสองครั้งในอดีต ชุมชนวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้พุ่งประเด็นไปที่ น้ำแข็งมีเทน ในปี 2547 แม้แต่ในกลุ่มของผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายบางคน ผู้ที่เราเคยเชื่อถือ คาดว่า เราเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งทศวรรษ ก่อนที่อะไรเช่นนี้ จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เราคิดผิด ในเดือนสิงหาคม 2548 ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด และมหาวิทยาลัยทอมส์ที่รัสเซีย ได้ประกาศว่า ถ่านหินเลนไซบีเรียขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดเท่ากับประเทศเยอรมันและฝรั่งเศสรวมกันกำลังละลาย และปล่อยก๊าซมีเทนนับพันล้านตัน อย่างที่มันเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต ครั้งล่าสุดที่มันอุ่นเพียงพอที่จะทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับนี้ คือเมื่อ 55ล้านปีที่แล้ว ในช่วงพาลีโอซีน-อีโอซีน เทอร์มอลแม็กซิมัม หรือ พีอีทีเอ็ม ตอนที่ภูเขาไฟปะทุได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงพอที่จะกระตุ้นการผุดมีเทนขึ้นมาเองอย่างเป็นอนุกรม ความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการสูญเสียมากมาย และมันใช้เวลานานกว่า 100,000ปีที่โลกจะฟื้นกลับมา มันดูเหมือนว่า เรากำลังปริ่มอยู่ที่จุดกระตุ้นเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นมาก ในการประชุมที่อเมริกัน อคาเดมี่ เพื่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่เมืองเซนต์หลุยส์ เมื่อไม่นานมานี้ คุณเจมส์ ซาโชส ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านพีอีทีเอ็ม รายงานว่า ก๊าซเรือนกระจกกำลังสะสมในชั้นบรรยากาศ ในอัตราเร็วสามสิบเท่าที่เคยเป็นในช่วง พีอีทีเอ็ม เราอาจจะเพิ่งได้เห็นการจู่โจมครั้งแรกในสิ่งที่อาจเป็นการเดินทางสู่นรกบนโลก ที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้ มีวงจรสะท้อนกลับอื่นๆที่เราไม่ได้คาดคิดไว้ ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนที่ยุโรป ที่ทำให้ประชาชน 35,000คนที่เสียชีวิตในปี 2546 และยังทำลายพื้นที่ป่าในยุโรป ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ มากกว่าที่พวกเขาประเมิณไว้ ซึ่งตรงข้ามกับสมมุติฐานที่เรากำหนดไว้ในโมเดล ที่ใช้ป่าไม้เป็นฟองดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับระบบนิเวศอื่นๆ อีกมากมาย ที่โมเดลของเราและนักวิทยาศาสตร์ ใช้เป็นตัวดูดซับคาร์บอน ป่าอเมซอน ป่าบอรีล (หนึ่งในป่าที่ดูดซับคาร์บอนได้มากที่สุด) และดินในที่ที่มีอุณหภูมิปานกลางกำลังปล่อยคาร์บอนมากกว่าที่มันดูดซับ เนื่องจากความแห้งแล้ง โรคภัย แมลงรบกวน และการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับกระบวนการสันดาปที่เกิดจากภาวะโลกร้อน โดยสรุปแล้ว สิ่งต่างๆมากมาย ที่เราได้คิดว่าเป็นตัวดูดซับคาร์บอนในโมเดลของเรา ไม่ได้ดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน แต่มันกำลังถูกคั้นออกมาและปล่อยคาร์บอนส่วนเกินแทน น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายอย่างรวดเร็วกว่าที่โมเดลทำนายไว้ ทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับอีกวงจร การมีน้ำแข็งน้อยลงหมายถึง พื้นที่ที่เป็นน้ำมากขึ้น ซึ่งจะดูดซับความร้อนมากขึ้น ซึ่งหมายถึงน้ำแข็งที่น้อยลง เช่นนี้เรื่อยๆ ที่แย่ไปกว่านั้น เราได้คาดการณ์ต่ำเกินไปอย่างยิ่ง ในเรื่องของอัตราความเร็วซึ่งน้ำแข็งบนภูเขากำลังละลาย โมเดลอากาศเปลี่ยนแปลงได้ทำนายว่ามันใช้เวลานานกว่า1,000ปี ที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์จะละลาย แต่ในที่ประชุมเอเอเอเอส ที่เซนต์หลุยส์ นายอีริค ริกนอท ของนาซ่าได้นำเสนอผลการศึกษาที่แสดงว่า แผ่นน้ำแข็งกรีนด์แลนด์กำลังแยกเป็นส่วนๆและไหลสู่ทะเล ในอัตราเร็วเกินกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คนใดได้ทำนายไว้ และมันกำลังเร่งขึ้นทุกปี ถ้าแผ่นน้ำแข็งกรีนด์แลนด์ละลาย มันจะยกระดับน้ำทะเล ให้สูงขึ้น 21ฟุต เพียงพอที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมทุกท่าเรือที่อเมริกา ที่ทะเลแอนตาร์กติกมีวงแหวนสะท้อนกลับอันตรายอีกวงจรที่อาจเป็นไปได้ ประชากรของตัวเคยได้ลดดิ่งลง80% ในเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการสูญเสียแนวปะการัง เนื่องจากสูยเสียทะเลน้ำแข็ง ตัวเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในห่วงโซ่อาหารทางทะเล และมันยังแยกคาร์บอนจำนวนมากออกจากชั้นบรรยากาศ ไม่มีใครคาดการณ์การลดจำนวนลงของพวกเขา แต่ผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนและความเป็นอยู่ของระบบนิเวศทางทะเลนั้นรุนแรง สิ่งนี้จะเป็นวงจรสะท้อนกลับด้วยเช่นกัน การมีตัวเคยน้อยลง หมายถึงการมีคาร์บอนอยู่ในบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งหมายถึงทะเลที่อุ่นขึ้น ซึ่งหมายถึงน้ำแข็งน้อยลง ซึ่งหมายถึงปริมาณตัวเคยที่น้อยลงในวัฐจักรทางลบขนาดใหญ่นี้ เจมส์ เลิฟลอค นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญระดับโลกคนหนึ่งเชื่อว่า อีกไม่นานนัก ในอนาคตของมนุษย์จะเหลือเพียงคนไม่กี่คู่ในแอนตาร์กติก มันจะเป็นเรื่องง่ายๆที่จะเพิกเฉยศาสตราจารย์เลิฟลอคว่า เป็นคนบ้าคลั่ง แต่อย่างนั้นจะเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เมื่อปีที่แล้ว ในการสัมนาภาวะโลกร้อนที่เมือง เอ็กซีเดอร์ ประเทศอังกฤษ เรื่องหลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนว่า ถ้าเราให้ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกเกิน400ppm เราอาจกระตุ้นให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงและหวนคืนกลับไม่ได้ เราได้ผ่านจุดสำคัญในปี2548 มาแล้ว แต่ได้รับความสนใจเล็กน้อยและไม่มีการกล่าวถึง ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องภาวะโลกร้อนไม่ใช่ว่า มันกำลังเกิด หรือว่า มันเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือแม้แต่ว่ามันจะทำให้เราสูญเสีย เงิน มากเกินไปที่จะจัดการกับมันในตอนนี้หรือไม่ เรื่องนั้นเป็นที่เข้าใจแล้ว และในตอนนี้ นักวิทยาสาสตร์กำลังถกเถียงกันว่า มันสายเกินไปหรือยัง ที่จะปกป้องหายนะระดับโลก หรือว่า เรายังมีโอกาสเล็กๆ ที่จะป้องกันผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของภาวะโลกร้อน ลูกๆของเราอาจให้อภัยเรา หนี้ที่เรามอบให้กับพวกเขา พวกเขาอาจให้อภัยเรา ถ้าการก่อการร้ายยังคงอยู่ พวกเขาอาจให้อภัยเรา ที่ได้สร้างสงคราม แทนที่จะสร้างสันติสุข พวกเขาอาจให้อภัยเรา ที่ทำลายโอกาศในการหยุดยั้งเรื่องนิวเคลียร์ แต่พวกเขาอาจถ่มน้ำลายรดกระดูกของเรา และสบถสาบานชื่อของเรา ถ้าเรามอบโลกที่แทบจะอยู่อาศัยไม่ได้ให้พวกเขา ตอนที่เรามีอำนาจในการรักษามันไว้ ตอนที่เรามีอำนาจรักษามันไว้ และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น แหล่งที่มะ: www.commondreams.org งานเขียนของ จอร์น แอทเชสัน ปรากฏใน the Washington Post, the Baltimore Sun, the San Jose Mercury News, the Memphis Commercial Appeal, และวารสารราชการอีกมากมาย