2 เมษายน 2553 07:28 น.
คีตากะ
จากสมัยโบราณรัฐบาลที่ดีและฉลาดมักจะนำความสุขและความรุ่งเรืองมาสู่ประชาชนเสมอ และในทางตอบแทน ประชาชนก็จะเคารพพวกเขา และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ประเทศชาติมีความสงบสุขและรุ่งเรือง เราไม่จำเป็นต้องใช้ปืน และอำนาจ หรืออะไรเลย เราเพียงแต่ใช้ความรักและความเคารพซึ่งกันและกัน และประเทศชาติก็จะรุ่งเรือง แต่จะต้องมีคนที่ฉลาดปกครองประเทศ และต้องมีคนที่ฉลาดที่จะยอมรับผู้ปกครองซึ่งฉลาด เพื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือซึ่งกันและกัน และนำพาประเทศของพวกเขาให้เป็นหนึ่งในประเทศสุดยอดในโลก
ทุกคนทำผิดในบางครั้ง หรือบางครั้งก็ทำบางอย่างที่เราไม่ชอบ แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็ทำความผิดมากมายเหมือนกัน! แต่เราก็เปลี่ยนแปลง และเราทำมันให้ดีขึ้น โดยการบำเพ็ญสมาธิ โดยการมีคุณธรรม และปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ อีกทั้งโดยการดูแลคุณธรรมของครอบครัวของเราเอง และความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ เราก็ได้ช่วยทำให้มีการพัฒนาและความสงบสุขมากขึ้นๆ ในแต่ละวัน และในกรณีนั้น เราก็ดีขึ้นๆ ในแต่ละวัน เพราะว่าเราได้มีมาตรฐานที่สูงแล้ว และคนที่มีชีวิตอยู่ในมาตรฐานที่สูงของชีวิตและมีวินัย ก็นับว่าเข้าถึงทางด้านจิตวิญญาณมากแล้ว ไม่มากก็น้อย
รัฐบาลก็เช่นกัน ถ้ารัฐบาลฉลาด และมีความเมตตา และมีความรักต่อผู้คน และอุทิศอย่างแท้จริงให้กับประเทศชาติ ก็นับว่าเข้าถึงทางด้านจิตวิญญาณภายในมากแล้ว ไม่มากก็น้อย บางทีบุคคลในระดับปกครองอาจจะมาจากดาวเคราะห์ที่สูงกว่า ดังนั้น พวกเขาจึงมีความรักและปัญญาอยู่แล้วภายในตัวพวกเขา มาที่นี่เพียงแค่ช่วยเหลือผู้คน ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นนักบุญด้วยเช่นกันในระดับหนึ่ง
ถ้าหากเธอเข้าใจเรื่องนี้ด้วย และให้ความร่วมมือและทำให้ประเทศรุ่งเรืองด้วยวินัยและคุณธรรม เธอก็นับว่าเป็นนักบุญด้วยในระดับหนึ่ง หรือเป็นคนที่เข้าถึงทางจิตวิญญาณมาก แม้กระทั่งก่อนที่เธอจะได้พบฉัน แม้กระทั่งก่อนที่เธอจะบำเพ็ญธรรมวิถีแสงและเสียง เธอก็เข้าถึงทางจิตวิญญาณอยู่แล้ว แต่ด้วยการเริ่มต้นจากระดับที่สูงของจิตวิญญาณ ทำให้เราก้าวหน้าได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ หรืออาจจะรวดเร็วกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นๆ ดังนั้นจึงไม่เป็นการเพียงพอ แค่มีเงินและอำนาจ ถ้าเรามีพลังทางจิตวิญญาณด้วยก็จะสมบูรณ์ มันจะให้ความพึ่งพอใจและยั่งยืนมากกว่า
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
สิงคโปร์ 6 มีนาคม 2536
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
1 เมษายน 2553 17:10 น.
คีตากะ
ปฐมาจารย์เซนคือพระมหากัสสปะ ปราศจากพระมหากัสสปะจัดการสังคายนาพระธรรมวินัย ปัจจุบันพวกเราก็ไม่มีศาสนาพุทธ หลังจากที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน พระมหากัสสปะรีบชุมนุมพระอริยสงฆ์ผู้เป็นสากวของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทันที พระอริยะเจ้าผู้ยิ่งใหญ่รวมตัวกันขึ้นมารวบรวมคัมภีร์พระสูตรเข้าด้วยกัน เหลือให้เพื่อนปฏิบัติธรรมทั้งหลายกับชนรุ่นต่อมาได้อ่าน พระมาหากัสสปะกับพระอานนท์มีคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อพวกเรา พวกเราซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างมาก ดังนั้นอาจารย์จึงคิดว่า พวกเราพูดถึงปฐมาจารย์เซนก็เหมาะสมมากนะ !
พระมหากัสสปะกับพระศากยมุนีพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมในเวลาเดียวกัน ท่านอยู่ในวรรณะพราหมณ์ อินเดียมี 4 วรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์หรือนักบุญ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทรหรือจัณฑาล ก็คือพวกที่ไม่มีการศึกษาและตำแหน่งใดๆทางสังคม ในอินเดีย พราหมณ์สมัยนั้นคือวรรณะที่ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด เป็นที่เคารพสูงสุดในสังคม ท่านเกิดในแคว้นมคธ บิดาเรียกว่าอิงเจอ มารดาชื่อเชียงจือ เมื่อท่านเยาว์วัยนั้นน่าดูมาก ทั้งร่างกายเป็นสีทองคำ นี่หมายความว่าเป็นแรงสั่นสะเทือนที่อ้างถึง ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาสามารถมองเห็นได้ ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ออกบวชแสงสีทองของท่านส่องไปไกลมาก มีนักโหราศาสตร์ที่เก่งคนหนึ่งมาทำนายชะตาของท่านตามคำเชิญบิดามารดาของท่านกัสสปะ นักโหราศาสตร์กล่าวว่า เด็กคนนี้มีบุญยิ่งใหญ่ มิอาจหยั่งรู้ได้! ดูออกมามีแนวโน้มว่าออกบวชแน่นอน บิดามารดาของท่านฟังแล้วกลัวมาก! กลัวท่านออกบวชแล้วจะสูญเสียลูก ลูกคนอื่นออกบวชได้ ลูกของฉันไม่ได้! พวกเราล้วนรู้เรื่องเช่นนี้
บิดามาดาของพระมหากัสสปะกล่าวว่า ไม่ได้หรอก! พวกเราต้องหาหญิงที่น่าดูที่สุด สวยงามที่สุด รอเขาเติบโตอีกหน่อยแต่งงานทันที! หลังจากเขาถูกผูกมัดไว้แล้วก็หมดหนทางคิดหลุดพ้นอะไรหรือว่าออกบวช หรือทำเรื่องมหาบุรุษอะไร บิดามารดาของท่านวางแผนดี คิดดีแบบนี้แล้ว ดังนั้นพอพระมหากัสสปะกำลังเติบโต อาจจะอายุ 15 ปี 16 ปี บิดามารดาต้องการให้ท่านต่างงานทันที แต่ละครั้งพระมหากัสสปะล้วนปฏิเสธ ไม่ต้องการแต่งงาน แต่ทว่าบิดามารดาบังคับท่าน ใช้วิธีที่ฉลาดทุกวิถีทาง น้ำตา อ้อนวอนท่านว่า ลูกไม่แต่งงาน เราจะฆ่าตัวตาย.... พระมหากัสสปะปฏิเสธหลายครั้ง ล้วนหมดหนทาง เพราะบิดามารดาใช้ทุกวิถีทางบังคับให้ท่านแต่งงาน ในที่สุดหยุดไม่ได้ พระมหากัสสปะจึงพูดกับบิดามารดาว่า เอาละ ลูกเคารพความคิดเห็นของพ่อแม่ทั้งสอง แต่ทว่าต้องหาหญิงคนหนึ่งที่มีสีเหมือนกับลูก และมีแสงเหมือนกัน และมีร่างกายสีทอง ดูแล้วเหมือนมาก ลูกถึงจะแต่งงาน ถึงจะคู่ควร มิฉะนั้นลูกไม่ต้องการ!
บางครั้งเราเคยเห็นชายหญิงเหมือนกันมาก เคยเห็นหรือไม่ ? พระมหากัสสปะก็ต้องการหาหญิงคนหนึ่งที่เหมือนกับท่าน ท่านจึงจะแต่งงาน ชื่อของพระมหากัสสปะพระคัมภีร์จีนของเราหมายถึงซึมซับแสงทั้งหมด หมายความว่า เพราะรัศมีกายสีทองของท่านใหญ่มาก สว่างมาก เทียบกับแสงอื่นทำให้แสงอื่นหมดหนทางที่จะมองเห็นได้ ดังนั้นมหากัสสปะจึงหมายถึงแสงใหญ่ บิดามารดาของท่านได้ยินว่าพระมหากัสสปะต้องการหาหญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนท่านเพราะกายเนื้อของท่านดูแล้วเหมือนทองคำ มิใช่เพียงแต่แสงดังนั้นบิดามารดาของท่านจึงใช้ทองคำหล่อรูปของพระมหากัสสปะ ประกาศทั่วประเทศ ดูว่ามีหญิงใดที่เหมือนกับรูปหล่อทองคำนั้นหรือไม่ ในที่สุดก็หาพบคนหนึ่ง เวลานั้นพระมหากัสสปะต้องแต่งงาน เพราะสัญญากับบิดามารดาแล้ว
ในเรื่องกล่าวไว้ ทำไมท่านจึงแต่งงานกับคนนี้นะ ? ตอนนี้พวกเราพูดถึงเรื่องของหญิงคนนี้ ทำไมจึงมีหญิงที่เหมือนมากเช่นนั้น ? นานมาแล้ว ก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังมีพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ องค์หนึ่งมีนามว่าวิปัสสิน หลังจากที่พระพุทธเจ้าองค์นี้เสด็จปรินิพพาน เหล่าผู้ศรัทธาได้สร้างวัด วางพระธาตุของท่านไว้ในเจดีย์เพื่อบูชา และหล่อรูปพระวิปัสสินพุทธเจ้า นานมาภายหลัง เพราะพระพุทธรูปองค์นั้นชำรุด ทองที่หุ้มใบหน้าก็แตกร้าว เวลานั้นพระมหากัสสปะเป็นช่างทองคนหนึ่ง ในเวลานั้นมีหญิงที่ยากจนคนหนึ่ง ไม่มีเงิน เวลาที่เธอไปไหว้พระที่วัดหลังนั้น ได้มองเห็นกายทองของพระพุทธรูปเก่าแก่มาก แม้ว่าเธอยากจนมาก สิ่งของทั้งหมดที่มีก็คือทองคำเพียงก้อนเดียวเท่านั้น แต่ทว่าเธอได้นำทองคำของเธอไปยังร้านทองของพระมหากัสสปะ ขอให้เขาหลอมปิดทองบนพระพุทธรูป พระมหากัสสปะเห็นเธอยากจนเช่นนั้น จริงใจเช่นนั้น เขาจึงประทับใจมาก แน่นอนเขาชอบเธอมาก ช่วยเธอทำ สองคนจึงกลายเป็นเพื่อนสนิท ต่อมาเพราะพวกเขาบูรณะพระพุทธรูปด้วยกันและผูกพันเป็นสามีภรรยา เพราะความรู้สึกที่ร่วมใจกัน เข้าใจร่วมกันและความนับถือจึงแต่งงาน ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายหญิง พวกเขายังตั้งจิตอธิษฐานร่วมกันว่าจะเป็นสามีภรรยาทุกภพทุกชาติ
ดังนั้นบัดนี้ยังต้องแต่งงานกับเธอ ถึงแม้ว่าต้องการออกบวชก็หมดหนทาง! เพราะการอธิษฐานนี้ เพราะพระพุทธรูปองค์นี้ เพราะทุกภพทุกชาติต้องเป็นสามีภรรยา และยังเพราะบุญของทองคำก้อนนี้ พวกเขาสนุกสนานเพลิดเพลินจนถึงสมัยของพระศากยมุนีพุทธเจ้า เกิดมาแล้วอีก 91 ชาติ แต่ละครั้งร่างกายของทั้งสองคนล้วนเหมือนกับทองคำ แต่ละครั้งที่พวกเขาตายจากโลกไปล้วนไปจุติยังพรหมโลก หลังจากที่พวกเขาสนุกสนานเพลิดเพลินในสวรรค์ชั้นพรหมจบแล้วมาเป็นคนอีก บัดนี้คือชาติสุดท้าย เติบโตในครอบครัวที่มั่งคั่งมาก 2 ครอบครัว ล้วนเป็นเพราะถวายทองคำก้อนหนึ่งแด่พุทธ บุญของความจริงใจและความศรัทธา บัดนี้พวกเขาแต่งงานเพราะบิดามารดา แต่ทว่าก็เป็นเพราะผลกรรมของพวกเขาด้วย ก่อนนี้อธิษฐานส่งเดชมาก จึงต้องแต่งงาน ดังนั้นบางครั้งเราเห็นคนแต่งงาน ก็ไม่ต้องพูดว่า พวกเขาไม่ดี เป็นเพราะความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายหญิงอาจเป็นไปได้มากที่แต่ก่อนพวกเขาอธิษฐานส่งเดช บัดนี้หนีไม่พ้น ไม่ได้หมายความว่าการแต่งงานล้วนไม่ดี หลังจากที่พระมหากัสสปะแต่งงานกับหญิงคนนั้นแล้ว ทั้งสองเหมือนเพื่อนสนิท แยกกันนอน เป็นเพื่อนปฏิบัติธรรม ไม่มีความสัมพันธ์ทางกาย หลังจากแต่งงานนานมาก พวกเขาทั้งสองขอร้องบิดามารดาของพวกเขาอนุญาตให้พวกเขาออกบวช พูดอยู่นานมากๆ บิดามารดาก็พูดจากก้นบึ้งของหัวใจว่า ดี! ดังนั้นพวกเขาจึงออกบวชพร้อมกัน แยกย้ายกันไปปฏิบัติยังสถานที่ 2 แห่ง
หลังจากที่พระมหากัสสปะปฏิบัติสันโดษในภูเขาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้ยินเสียงพูดในอากาศว่า บัดนี้พระพุทธเจ้าลงมาจุติแล้ว ออกมาสั่งสอนผู้คน ท่านต้องไปหาพระพระพุทธเจ้าให้รับการสั่งสอน ท่านไปถึงวนอุทยานไผ่ของพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจมาก กราบพระพุทธเจ้าให้เป็นอาจารย์ ให้รับเป็นสาวก เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า มาเถิดภิกษุ เธอผู้มีมหาบุญญานิสงส์ เธอต้องปลงผมและหนวดเคราของเธอ
หลังจากรับเป็นภิกษุ พระมหากัสสปะเรียนกับพระพุทธเจ้า ท่านเรียนได้เร็วมาก คำสอนอันลึกซึ้งยอดเยี่ยมของพระพุทธเจ้าท่านก็เข้าใจได้ง่ายมาก พระศากยมุนีพุทธเจ้าโปรดปรานท่านมาก ท่านบำเพ็ญอย่างหนัก บรรลุพระอรหันต์รวดเร็วมาก มีวันหนึ่ง ท่านกลับมาจากที่ห่างไกลมากเพื่อเข้าเฝ้าพระศากยมุนีพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าท่านได้ถือกำเนิดจากครอบครัวที่มั่งคั่งมาก แต่ทว่าท่านปฏิบัติสันโดดไม่สนใจสิ่งภายนอก วันนี้ตอนที่ท่านมา จีวรขาดมาก ร่างกายผอมมาก ดูแล้วไม่น่าดู ไม่สง่างาม อาจเป็นไปได้มากว่าเพราะปฏิบัติสันโดด จำวัดและฉันภัตตาหารไม่มาก และมิใช่ว่าท่านเจตนา เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้ามีภิกษุและสาวกมากมายฟังธรรมอยู่รอบๆ พระองค์ สาวก ภิกษุ ภิกษุณีเหล่านั้นมองเห็นพระมหากัสสปะเป็นแบบนี้ ดูเหมือนไม่เคารพ มองท่านไม่เต็มตา เพราะพวกท่านอยู่เคียงข้างพระศากยมุนีพุทธเจ้า แน่นอน ต้องมีของถวายดีมาก จีวรที่สมบูรณ์ ดูดีมาก สวยงามมาก ในขณะที่พระมหากัสสปะผู้ยากจนบำเพ็ญตบะในภูเขา ไม่มีเงิน ดังนั้นภิกษุ ภิกษุณีและสานุศิษย์จึงดูหมิ่นท่าน
พระศากยมุนีพุทธเจ้าเห็นสถานการณ์ในขณะนั้นพอดี ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่า กัสสปะ เธอมาที่นี่เถิด เราจะให้อาสนะครึ่งหนึ่งของเราแก่เธอ พระมหากัสสปะไม่กล้านั่ง ท่านยังคงนั่งข้างล่าง เวลานี้พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุ ภิกษุณีว่า เรามีใจมหาเมตตา มหากรุณา เรามีความปีติจากการทำสมาธิ เรามีบุญอันสุดหล้าฟ้าดินที่ทำให้ตัวเราเองสง่างาม หมายความว่า ไม่ต้องใช้เสื้อผ้าทำให้สง่างาม แต่ทว่าใช้บุญทำให้ร่างกายสง่างาม ดังนั้นเป็นไปได้ที่บางคนดูภายนอกไม่มีอะไร แต่ทว่าเวลาที่เรามองเห็นพวกเขาเราก็นับถือพวกเขา ตรงนี้พระศากยพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์มีบุญกุศลอันสูงสุดที่ทำให้ตัวพระองค์เองสง่างาม ยังตรัสว่าพระมหากัสสปะภิกษุรูปนี้ก็เช่นเดียวกัน ความหมายก็คือสรรเสริญบุญของพระมหากัสสปะ สรรเสริญปัญญาของท่าน อันดับชั้นสูงเท่าเทียมกับพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงสามารถให้อาสนะครึ่งหนึ่งแก่ท่าน นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เราเหมือนกับเขานะ! เวลานั้นภิกษุ ภิกษุณีได้ยินแล้วก็ตกใจ ในที่สุดก็เข้าใจและเคารพพระมหากัสสปะทันที
วันหนึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้าเทศนาอยู่ในภูเขาคิชฌกูฏ พระหัตถ์ชูดอกบัวดอกหนึ่ง เวลานั้นทุกคนไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร มีเพียงพระมหากัสสปะรูปเดียวที่ยิ้มเข้าใจ พวกชาวจีนกล่าวว่า ชูดอกไม้ยิ้ม เวลานั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า เรามีวิถีที่ลึกซึ้งสำหรับการเปิดตาปัญญาที่สมบูรณ์และการไปถึงนิพพาน ไม่ใช้ภาษา และถูกถ่ายทอดเหนือสั่งสอนทางวาจาของเรา วันนี้ส่งมอบให้เธอ กัสสปะ กัสสปะ เธอต้องปกป้องวิถีนี้อย่างระมัดระวังและรับรองว่า มันจะถูกส่งทอดลงไปชั่วนิรันดรโดยปราศจากการอันตรธานหายไป ภายหลังสามารถส่งมอบให้อานนท์ เวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเรียกพระมหากัสสปะมายังที่ของพระองค์ ให้อาสนะของพระพุทธองค์ครึ่งหนึ่งแก่ท่าน ยังใช้จีวรใหญ่ของพระองค์ เราพูดว่าผ้าสังฆาฏิ พันบนร่างกายของพระมหากัสสปะ ความหมายว่าส่งมอบจีวร เป็นสาวกผู้สืบทอด นี่แสดงให้เห็นว่า บัดนี้ท่านเสมอด้วยพระพุทธเจ้า! นั่งอาสนะครึ่งหนึ่งของพระพุทธเจ้า สวมจีวรที่สง่างามที่สุดของพระพุทธเจ้า ภายหลังตกทอดมาถึงสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ฮุ่ยเหนิง ก็เป็นจีวรเหมือนกัน
เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าท่องบทกวีว่า วิถีเดิมทีไร้วิถี ไร้วิถีก็เป็นวิถี บัดนี้คือเวลาถ่ายทอดวิถีที่ไร้วิถีที่ไร้วิถี แต่ทว่าไร้วิถีก็คือวิถี เพราะพระมหากัสสปะสืบทอดจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า ดังนั้นภายหลังพุทธศาสนิกชนอ้างท่านเป็นปฐมาจารย์ พระศากยมุนีพุทธเจ้าเราอ้างพระองค์เป็นศาสดา มหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่พูดว่า พระองค์เป็นปฐมาจารย์ ปฐมาจารย์เป็นสาวกผู้สืบทอดของพระองค์ ถัดจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าลงมา ดังนั้นจึงพูดว่าปฐมาจารย์
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขัณธปรินิพพาน พระมหากัสสปะได้ยินข่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จปรินพพาน ท่านกับสาวก 500 รูปรีบไปถึงกุสินาราเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ทว่าพระพุทธเจ้าจากไปแล้ว เวลานั้นท่านโศกเศร้ามากได้กระทำประทักษิณเวียนพระพุทธสรีระที่บรรจุไว้ในหีบทอง 3 รอบ พระพุทธเจ้ารับทราบความซาบซึ้งตรึงใจ ถึงแม้ว่าพระองค์จะล่วงลับไปแล้ว แต่ทว่าพระพุทธเจ้ายื่นพระบาทของพระองค์ออกมาให้พระกัสสปะมองเห็น ในเวลานั้นพระมหากัสสปะซาบซึ้งตรึงใจมาก จึงกราบพระบาทของพระพุทธเจ้า เดิมทีกราบพระบาทของพระพุทธเจ้าคือที่มาอย่างนี้ เวลานั้นท่านแตะๆพระบาทพระพุทธเจ้า กราบพระบาทพระพุทธเจ้า ในใจรู้สึกสงบลงนิดหน่อย เพราะท่านกลับมาสายมาก หมดหนทางที่จะเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระพุทธเจ้าเมตตาท่าน ให้ท่านเห็นพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากถวายพระเพลิงพระสรีระทองคำของพระพุทธเจ้า พระมหากัสสปะพูดกับเหล่าภิกษุว่า พระอัฐิของพระพุทธเจ้า เราต้องส่งมอบให้เทพยดาหรือเทวารักษ์บูชาเป็นเนื้อนาบุญ แต่ทว่าเราภิกษุต้องสังคายนาพระธรรมวินัยเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลัง ดังนั้น หลังจากพระศากมุนีพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน 7 วัน ท่านจึงชุมนุมพระอรหันต์ 500 รูปในถ้ำใหญ่ในภูเขาคิชฌกูฏชุมนุมกันสังคายนาพระธรรมวินัย
แต่ทว่ามีคนคนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วม เธอรู้ไหมว่าใคร ? พระอานนท์ ในเวลานั้นพระอานนท์ยังไม่เป็นอรหันต์ ยังคงมี รูรั่ว รูรั่ว ก็คือด้านที่ดำๆมืดๆ ยังไม่ชำระล้างให้สะอาด ยังไม่สำเร็จมรรคผล ยังไม่ได้บรรลุความบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซนต์ ยังมีคุณสมบัติของปุถุชน ยังไม่เป็นนักบุญที่สมบูรณ์ ดังนั้นพระมหากัสสปะจึงไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามาและยังว่าพระอานนท์ว่า ท่านผู้นี้ ยังไม่บริสุทธิ์! อย่ามาที่นี่ทำให้การชุมนุมนักบุญของเราเปรอะเปื้อน อา! ถ้าคนธรรมดารู้เข้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ท่านผู้นี้ ทำไมท่านกล้าพูดอย่างนี้ ? เราจะให้ท่านเห็นดี! เป็นต้น คนธรรมดาจะคัดค้านได้ เกิดปัญหาขึ้นได้ทันที เป็นไปได้มากว่าจะสู้รบกัน เป็นไปได้มากว่าจะทะเลาะ เป็นไปได้มากว่าจะต่อสู้ ขว้างปาถ้วยชาม หรือทำร้ายร่างกาย เป็นไปได้มากว่าจะต่อต้านและกลับบ้านไป เป็นต้น
แต่ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พระอานนท์ก็เป็นนักบุญ ท่านเพียงแต่โศกเศร้า ท่านทราบว่า ท่านยังไม่สะอาด ยังปฏิบัติไม่ดี เพราะพูดมากทุกวัน รักษาศีลก็ไม่เคร่งครัด เพียงแต่พึ่งพาความรักของพระพุทธเจ้าผู้เดียว ท่านเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสอะไร ท่านล้วนจำได้ดีมาก ดังนั้นท่านคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว สมัยพระศากมุนีพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ได้เตือนท่านหลายครั้ง เรียกร้องให้ปฏิบัติมากอีกหน่อย! แต่ทว่าดูเหมือนว่า ท่านค่อนข้างจะรักสบาย สบายมากเกินไปแล้ว ไม่ทนลำบาก บัดนี้ท่านจึงเข้าใจจริงๆ เพราะพระพุทธเจ้าเสด็จไปแล้ว ไม่มีคนรักท่านเกินไปอีก ไม่มีอะไรทำ ไม่มีใครพึ่งพา ไม่มีงานทำ สมัยพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ ท่านเป็นผู้ติดตามของพระพุทธเจ้า เอาใจใส่พระองค์ทุกวัน ยังมีข้ออ้างที่จะพูดว่า เรายุ่งมากนะ! เราไม่ว่างนั่งสมาธิ เรากำลังจะนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าก็เรียกเรา เป็นต้น เราต้องอุทิศตัวเองเพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อผู้คน
พระอานนท์กลับไป ทั้งคืนไม่หลับไม่นอน นั่งสมาธิอย่างจริงใจ ศรัทธามาก แล้วเข้าสู่สมาธิ ข้ามคืนเดียวท่านกลายเป็นอรหันต์ ไม่มีรูรั่ว ฟ้ายังไม่สาง ท่านสำเร็จมรรคผลแล้ว ท่านวิ่งไปยังถ้ำในภูเขาทันทีเพื่อพบพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะเห็นท่านก็รู้แล้วละ! ท่านไม่ปฏิเสธพระอานนท์ และสรรเสริญท่านกับเหล่าภิกษุว่า ท่านทั้งหลาย อานนท์ของพวกเราคือแหล่งข้อมูลดั้งเดิม ฟังเทศนาของพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ พระพุทธเจ้าตรัสสิ่งใดท่านจำได้หมด ไม่ลืมแม้แต่นิดเดียว เปรียบได้ดีเสมือนน้ำที่ใส่ในขวด หยดเดียวก็ไม่รั่ว ดังนั้นพวกเราต้องเชิญท่านมาที่นี่สังคายนาพระธรรมวินัยกับพวกเรา แบบนี้พระธรรมวินัยจึงจะสมบูรณ์! พวกเรายังต้องเชิญภิกษุณีให้สังคายนาศีล เวลานั้นทุกท่านยอมรับอย่างมีความสุข พระมหากัสสปะสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นที่พอใจแล้ว ภารกิจการขนถ่ายสรรพสัตว์น่าพอใจแล้ว ท่านจึงเรียกพระอานนท์มาพูดว่า เมื่อตถาคตกำลังจะเสด็จปรินิพพาน ได้ถ่ายทอดวีธีเปิดตาปัญญาให้เราเพื่อถ่ายทอดให้ท่าน บัดนี้เราจะรีบไปจำศีล นี่คือเวลาที่จะถ่ายทอดวิธีเปิดตาปัญญาให้ท่าน ท่านต้องปกป้องมันอย่างระมัดระวัง อย่าปล่อยให้มันอันตรธานไป
เรื่องราวของพระมหากัสสปะพูดจบแล้วนะ! ไม่มีพระมหากัสสปะ ไม่มีพระอานนท์ พวกเราก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าคือใคร พวกเรารู้สึกขอบคุณพวกท่านมาก ดังนั้นพวกเราจึงเอ่ยถึงเรื่องราวของพวกท่าน ศึกษาเรื่องราวนี้บ้างแล้ว ทำให้พวกเราเกิดแรงดลใจที่จะปฏิบัติในเรื่องนี้ พวกเรามองเห็นว่า พระมหากัสสปะมิใช่คนธรรมดา ท่านเกิดมามีร่างกายสีทอง มีรัศมีเจิดจ้ามาก นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มสูงที่สามารถออกบวชได้ พวกเธอได้ยินว่ามีคนมองเห็นอาจารย์เป็นร่างกายสีทอง ยังไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ออกบวช อาจารย์ของฉันมองเห็นร่างกายสีทองของฉันแล้ว ในหนังสือกุญแจสู่การรู้แจ้งในทันทีเล่มที่ 3 (ความหมายที่แท้จริงของการสวดอมิตาภพุทธ) มีบอก มีคนพูดว่า มองเห็นร่างกายของอาจารย์เหมือนกับแก้ว เปล่งแสงเจิดจ้ามาก มีคนพูดว่า ร่างกายของอาจารย์เปล่งแสงสีขาว มีคนพูดว่า ร่างกายของอาจารย์ยังมีแสงอื่น....เป็นต้น เพราะอันดับชั้นไม่เหมือนกัน มองเห็นแสงไม่เหมือนกัน แต่ทว่าถ้าหากพรุ่งนี้อาจารย์กับพวกเธอออกไปซื้อกับข้าว เธอถามพ่อค้าในตลาดว่า เธอรู้หรือไม่ว่า อาจารย์ของฉันมีแสง ? เขาจะพูดได้ว่า เธอบ้า ! เธอพูดอะไร ? ฉันขายผักอย่างเดียว เธอพูดอย่างนี้เพื่ออะไร ? ฉันก็ไม่รู้ว่า แสง คืออะไร!
ตรงนี้เขียนไว้ว่า พระมหากัสสปะมีแสง เพราะคนที่เขียนเรื่อง แน่นอนเป็นศิษย์เอกของท่าน สามารถมองเห็นร่างกายสีทองของท่านได้มาก ทำไมอาจารย์จึงพูดแบบนี้นะ ? เพราะในหนังสือเขียนเอาไว้ แสงสีทองของท่านเปล่งไปไกลมาก ผู้ที่ไม่ปฏิบัติ ไม่ได้เปิดมหาตาปัญญา มองไม่เห็นหรอก! ท่านเองเป็นศิษย์เอก ท่านมองเห็อาจารย์ของท่านเป็อย่างไร ท่านเขียนออกมาค่อนข้างใกล้เคียงความจริง ศิษย์ธรรมดาก็สามารถเขียนว่า อาจารย์มีความรู้สูงอย่างไร กำเนิดมากจากไหน อายุเท่าไร สอนธรรมวิถีอะไรแก่คน ไม่ว่าจะมีปัญญาหรือไม่ ขยันทำงานหรือไม่ มีศิษย์เท่าไร ทุกวันนอนหลับกี่ชั่วโมง กินข้าวกี่ครั้ง เป็นต้น ดังนั้นฉันจึงแน่ใจว่าเรื่องนี้นักปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้เขียน เขียนออกมาให้พวกเราได้อ่าน ให้พวกเราได้ดู
อนึ่ง พวกเราล้วนทราบว่าประเทศใด ศาสนาใดล้วนเคารพผู้ที่ออกบวชมาก คนประเภทหนึ่งชอบไปวัดไหว้สัมผัสอาจารย์ สัมผัสนักบวชที่มีชื่อเสียง และถวายของเคารพมาก เทิดทูนนักบวชมาก แต่ทว่าลูกตัวเองต้องการออกบวชก็หาเรื่องยุ่งยาก พวกเราก็สามารถเข้าใจพวกท่านได้ ยุคใดก็เช่นนั้น พ่อแม่เคารพนักบวช แต่ทว่าลูกชาวบ้านสามารถไปออกบวชได้ ลูกของฉันไม่ได้! เขาต้องแต่งงาน สืบทอดตระกูล ต้องจบปริญญาเอก เป็นทนายความ เป็นต้น หาเงิน และแต่งงานกับเด็กสาวที่สวยที่สุด เป็นผู้ดีที่สุด และกลายเป็นบิดาสืบสกุลต่อไป
พวกเราเห็นเรื่องในสมัยโบราณ ล้วนทราบว่า ชีวิตของนักบวชสูงส่งที่สุด ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงปล่อยวางทั้งโลก ทั้งอาณาจักร ทั้งที่ราหุล โอรสของพระองค์มีพระชนมายุ 9 ชันษาเท่านั้นซึ่งเดิมทีต้องเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็พาไปออกบวชกับพระองค์ด้วย เดิมทีพระอานนท์สามารถเป็นรัชทายาทกษัตริย์ พระองค์ก็พาไป ยังมีพระมเหสีของพระองค์ พระองค์ก็อนุญาตให้พระนางออกบวช ทุกๆพระองค์ล้วนกลายเป็นนักบวช นี่แสดงให้เห็นว่า เป็นพระยังดีกว่าเป็นกษัตริย์ สิ่งของทั้งหมดในโลกนี้ พรุ่งนี้เกิดอุบัติเหตุ ก็ต้องทิ้งไว้ให้คนเบื้องหลัง! ตอนลงนรก ยมบาลจะไม่ถามเธอว่า เรียนจบสูงแค่ไหน ไปแดนปัจฉิม พระอมิตาภพุทธะจะไม่ถามเธอว่า เธอเรียนจบหรือไม่ เธอมีศีลธรรม เธอก็สามารถไปได้ เธอไม่มีศีลธรรม แม้แต่เรียนจบ 10 สาขาก็ไม่มีประโยชน์! ดังนั้นมิใช่ว่า นักบวชจะปล่อยวางได้ คนในโลกถึงจะเป็นผู้ที่ ปล่อยวางได้ จริงๆพวกเขาปล่อยวางนิพพาน ปล่อยวางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่อิสระ ปล่อยวางชีวิตนิรันดร เพื่อสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้นเอง
อนึ่ง ฉันเห็นพะคัมภีร์มากมายล้วนเขียนว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาเถิดภิกษุ ! ผมของคนคนนั้นก็หล่นลงมาเอง นี่คือครั้งแรกที่ฉันอ่านพบว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า เธอไปปลงผมเถิด เป็นไปได้มากว่า นี่ค่อนข้างมีเหตุผล เพราะพระศากยมุนีพุทธเจ้าไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ สิ่งนี้ฉันรู้ชัดเจนมาก เพราะอะไรต้องใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้ผมของคนหลุดลงมาล่ะ? ไม่ต้องหรอก! เรื่องเล็กน้อย ไปซื้อมีดโกนใบหนึ่งก็ดีแล้ว แม้ในทางที่ดี พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ไม่เอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมายไปใช้ ทำไมแต่ละครั้งล้วนเอาอิทธิฤทธิ์ปลงผมไปใช้เพื่ออะไร ? นี่คือเด็กเล่น ฉันไม่เชื่อว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าจะทำเช่นนี้ แน่นอน พระองค์สามารถทำได้ แต่ทว่าพระองค์ไม่ทำ พระพุทธเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ดึงดูดคนได้อย่างไร ? ถ้าหากว่า พระองค์ทำเช่นนี้ ฉันคิดว่า ทั้งประเทศล้วนมาปลงผมกับพระองค์ สะดวกใช่ไหม ? ดังนั้น ฉันเชื่อว่า พระคัมภีร์เล่นนี้ถูกต้องที่สุด พระคัมภีร์เล่มอื่นล้วนค่อนข้างเกินความจริง (หรือเป็นเพียงแต่สัญลักษณ์) เพราะพวกเราเคารพใคร พวกเราจึงพูดเกินความจริง เขาทำเช่นนี้ พวกเราจึงพูดว่า เขาทำเช่นนั้น
ยกตัวอย่างเช่น คนมากมายพูดว่า พระผู้เฒ่าก่วงจินรักษาโรคอย่างไรๆ ฉันไม่เชื่อ! ท่านไม่เจตนาทำเพราะท่านปฏิบัติสูงมาก ดังนั้นคนจึงเข้ามา มีบุญสัมพันธ์กับท่านก็จะรู้สึกสบายทันที ยกตัวอย่างเช่น พวกเธอได้ยินว่าอาจารย์รักษาโรคของคนมากมาย นี่คือการรักษาที่ไร้รูป ฉันไม่ได้ฮูลาๆ ทำให้โรคของคนหายทันทีแบบนี้ ไม่ใช่! ฉันไม่มีเจตนาทำอะไร อาจารย์เพียงแต่ปฏิบัติจนกลายเป็นเสมือนพลังยาชนิดหนึ่ง พลังที่สบายชนิดหนึ่ง ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์เข้าใกล้ สามารถรู้สึกสบายได้ โรคหายทันที ในไถหนันมีแม่เฒ่าผู้หนึ่ง เพื่อนปฏิบัติธรรมล้วนไปนั่งสมาธิที่บ้านของเธอทุกสัปดาห์ เดิมทีเธอเดินไม่ได้ ทุกวันอยู่แต่ในห้อง แต่ทว่าตอนที่อาจารย์อยู่ที่นั่น เธอดีทันทีเลย สามารถลุกขึ้นมาพูดได้ ดีใจมากพูดปาวๆทั้งวัน บัดนี้ก็สามารถเดินได้ สามารถเฝ้าบ้านได้แล้ว มิใช่ว่า อาจารย์เจตนาทำอะไร เพราะผู้ปฏิบัติมีพลังช่วยเหลือ ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์มา โรคหายทันที อาจารย์ไม่ได้เจตนาแสดงอิทธิฤทธิ์รักษาโรคของเธอ ดึงเธอมาประทับจิต ฉันไม่ทำเรื่องเช่นนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นในพระคัมภีร์เล่มนี้จึงกล่าวว่า มาเถิดภิกษุ ! ดี เธอไปปลงผม ปลงผมของเธอกับหนวดเคราของเธอ ฉันดีใจมากในที่สุดก็ค้นพบพระคัมภีร์เล่มหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นจริง ค่อนข้างมีปัญญา ไม่ใช่แบบอภินิหาร พูดเกินความจริง พระศากยมุนีพุทธเจ้าเกลียดคนที่ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงดูดคนที่สุด อาจารย์ก็ไม่อนุญาตให้พวกเธอใช้อิทธิฤทธิ์ อาจารย์เพียงแต่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งแบบนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ใช้อิทธิฤทธิ์ได้อย่างไร อวดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน ทำให้ผมของคนหลุดลงมา
ในที่สุดตอนที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าถ่ายทอดความเป็นอาจารย์ ถ่ายทอดวิถีที่ถูกต้องให้พระมหากัสสปะ ท่านท่องบทกวีว่า วิถีไม่มีวิถี วิถีไร้รูปแบบ วิถีไร้รูปก็เป็นวิถี ไม่มีวิถีเป็นวิถี ก็เหมือนที่อาจารย์พูดบ่อยๆว่า ตอนที่อาจารย์ถ่ายทอดวิถี แท้จริงฉันไม่มีวิถีที่จะถ่ายทอด แต่ทว่าฉันไม่ได้ถ่ายทอด พวกเธอไม่ได้บรรลุวิถี ดังนั้นเพราะพยายามโอนอ่อนผ่อนตามภาษาทางโลกของพวกเรา ต้องพูดว่า ฉันถ่ายทอดธรรมวิถีให้เธอ แต่ทว่าฉันถ่ายทอดธรรมวิถีที่ไร้รูป เดิมทีวิถีใดๆล้วนไม่มีวิถี ไม่มีอะไรหรอก! ใต้ฟ้าไม่มีเรื่องอะไร แต่ทว่าเดิมทีโพธิ์ไม่มีต้นก็คือความหมายเดียวกัน
บัดนี้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิม หลังจากสามารถถ่ายทอดได้แล้ว ฉันจึงเข้าใจ ไร้วิถี คำนี้ว่า หลังจากประทับจิตฝึกธรรมวิถีกวนอิม ฉันยังไม่เข้าใจ แต่ทว่าไม่มีอาจารย์ที่ถ่ายทอด และก็หมดหนทางบรรลุไร้วิถีนี้, ธรรมวิถีที่ว่างเปล่า พูดเช่นนี้ใครจะเข้าใจล่ะ ? มีเพียงแต่พวกเธอที่เข้าใจ ผู้ที่ไม่ประทับจิตหมดหนทางที่จะเข้าใจ ผู้ที่ถ่ายทอดเข้าใจได้ดีที่สุด เพราะท่านรู้ว่า สิ่งที่ท่านถ่ายทอดนั้นคือวิถีไร้รูป คือวิถีที่ว่างเปล่า แต่ทว่าไม่มีเขาเป็นผู้ถ่ายทอด และไม่มีวิถี ดังนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระองค์ถ่ายทอดวิถีที่ว่างเปล่านี้ให้พระมหากัสสปะ และไม่ใช่วิถีใหม่อะไร เพราะเดิมทีวิถีใดๆล้วนเป็นวิถีที่ว่างเปล่า ล้วนเป็นวิถีที่ไร้รูป......
ปราศรัยโดยอนุตตราจารย์ชิงไห่
ซินเตี้ยน, ฟอร์โมซา
5 กรกฎาคม 2530 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)
8 มีนาคม 2558 00:23 น.
คีตากะ
จากนิตยสาร Yoga International ฉบับที่ 36
กรกฎาคม 1997 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
Yoga International เป็นนิตยสารรายสองปักษ์ทางด้านจิตวิญญาณ พิมพ์โดย Himalayan International อันเป็นองค์กรที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไรซึ่งส่งเสริมสันติภาพของโลกและความกลมเกลียวในระหว่างศาสนาต่างๆ นิตยสารนี้ตีพิมพ์ขึ้นในสหรัฐอเมริกาและจำหน่ายไปทั่วโลก เนื้อหาครอบคลุมทุกแง่มุมของเรื่องที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญทางด้านจิตวิญญาณของทางตะวันออก รวมถึงการนั่งสมาธิ ในฉบับมิถุนายน/กรกฎาคมในบทความที่ชื่อ เสียงอันไร้เสียง ได้เสนอเรื่องราวของท่าน Suma Ching Hai และธรรมวิถีกวนอิม
ท่าน Suma Ching Hai ได้กล่าวย้ำว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ค้นพบธรรมวิถีกวนอิมขึ้นมา ท่านได้กล่าวว่าอันที่จริงมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในอดีตได้บำเพ็ญสมาธิแสงและเสียงภายใน ตลอดทุกยุคสมัยที่ผ่านมาวิถีนี้ได้ถูกขนานนามต่างๆกันมากมายทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่ สุรัตชาบด์โยคะเป็นชื่อหนึ่งซึ่งอาจารย์อินเดียเรียก เป็นการยากที่จะตั้งคำถามไม่เพียงแต่ความแพร่หลายที่มีมาแต่โบราณของวิถีนี้ แต่รวมไปถึงเนื้อหาทางด้านวิทยาศาสตร์ตามที่บทความต่อไปนี้พยายามที่จะแสดงให้ทราบ
เสียงอันไร้เสียง....เสียงซึ่งมีอยู่เต็มจักรวาล
ผู้ที่รู้ความลี้ลับแห่งเสียงทราบถึงความลี้ลับของทั้งจักรวาล
Hazrat Inayat Khan
ผู้อ่านส่วนใหญ่ต่างทราบกันดีถึงโยคะที่มีชื่อเสียงต่างๆ กันอันได้แก่ หัตถะโยคะ จันนะโยคะ ปักตีโยคะ คาร์มาโยคะ ราชาโยคะ มันตราโยคะ และลายาโยคะ ทุกโยคะควรมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงการเน้นที่ต่างออกไปของโยคะหนึ่งจากอีกโยคะหนึ่ง จุดมุ่งหมายนั้นพูดกันแบบง่ายๆ ก็คือเป็นการแยกดวงวิญญาณของบุคคลออกจากจิตใจและวัตถุ และรวมเข้าด้วยกันกับวิญญาณของจักรวาล (พระเจ้าหรือพระพรหม) อย่างไรก็ตามมีโยคะโบราณอีกชนิดหนึ่ง (บางคนอาจพูดว่าเป็นโยคะชนิดโบราณที่สุด) ซึ่งกล่าวโดยทั่วไปแล้วเป็นที่รู้จักกันน้อยกว่า แต่โยคะชนิดนี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่สูงส่งน้อยกว่าเลย โยคะนี้มีชื่อว่า สุรัตชาบด์โยคะหรือโยคะแห่งกระแสเสียงแห่งสวรรค์
สรรพสัตว์อันสูงค่าพวกนั้นซึ่งรอบรู้โยคะชนิดนี้อ้างว่าวิญญาณแห่งจักรวาลนั้นแสดงตัวของมันออกมาเป็นองค์ประกอบสำคัญ 2 ชนิดคือแสงอันไร้แสงและเสียงอันไร้เสียง แม้ว่าส่วนประกอบทางด้านจิตวิญญาณ 2 ส่วนหนี้เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแสงและเสียงทางโลกก็ตาม ทั้งที่แสงนั้นคือเสียงซึ่งมีความถี่ของการสั่นสะเทือนที่สูงมาก แต่ทั้งสองก็ไม่เหมือนกัน เพราะแสงและเสียงเป็นส่วนหนึ่งขององค์เอกภาพที่ต่อเนื่องกันแบบสั่นสะเทือนของจักรวาล หากผู้ใดสามารถติดต่อกับกระแสเสียงได้ ผู้นั้นก็นับว่าได้อยู่บนถนนแห่งแสงอย่างแน่นอนซึ่งบรรดามหาอาจารย์ทั้งหลายในอดีตได้กล่าวถึง
อันที่จริงในประวัติศาสตร์บุคคลผู้ยิ่งใหญ่มากมายได้แยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างเสียงทางโลกและเสียงแห่งสวรรค์ ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่าเมื่ออยู่ในระดับความถี่แห่งการสั่นสะเทือนที่สูงขึ้นไปจะมีคุณสมบัติของดนตรีอันน่าหลงใหล ยกตัวอย่าง โพลตินุสชาวอียิปต์โบราณผู้ซึ่งได้รับการถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งลัทธินีโอพลาโตได้กล่าวไว้ว่า ดนตรีทั้งหลายอันตั้งอยู่บนฐานแห่งท่วงทำนองเพลงและจังหวะเป็นสิ่งที่แสดงออกในทางโลกถึงดนตรีแห่งสวรรค์ ไพธากอรัสเชื่อว่าเราติดต่ออยู่ตลอดเวลากับ ดนตรีแห่งสวรรค์ ซึ่งมีอยู่เต็มในหูภายในของเรานับตั้งแต่เราเกิดขึ้นมา และคาบีร์ซึ่งเป็นจินตกวีและนักลัทธิลี้ลับชาวอินเดียที่มีชื่อเสียงแห่งศตวรรษที่ 15 ได้เขียนไว้อย่างมากมายเกี่ยวกับ ดนตรีที่ไม่ได้บรรเลง อันลี้ลับซึ่งส่งดวงวิญญาณให้เข้าสู่สภาพ
แห่งความเคลิบเคลิ้มใหลหลงอันน่าดึงดูดใจ :
มีเสียงเคาะเป็นจังหวะแห่งชีวิตและความตาย
ความเคลิบเคลิ้มใหลหลงปรากฏออกมาและทุกแห่งคือประกายรัศมีของแสง
ณ ที่นั้นดนตรีที่ไม่ได้บรรเลงได้ดังขึ้น มันเป็นดนตรีแห่งความรักของไตรภูมิ
ณ ที่นั้นดวงโคมไฟแห่งสุริยันและจันทรานับล้านดวงกำลังลุกไหม้
ณ ที่นั้นกลองบรรเลงเพลงและคู่รักเล่นแกว่งไกว
ณ ที่นั้นเพลงรักดังสะท้านและแสงตกลงมาเหมือนสายฝน
และผู้บูชาเคลิบเคลิ้มอยู่ในรสชาติของน้ำอมฤตแห่งสวรรค์
แม้ว่าคัมภีร์สำคัญๆ ทางศาสนามักจะถูกเรียบเรียงอย่างไม่ระมัดระวังอยู่เสมอหรือถูกเข้าใจผิดๆ โดยผู้แปลที่มีความตั้งใจดีก็ตาม คัมภีร์สำคัญทางศาสนานี้ก็ยังมีเนื้อหาอ้างอิงถึงเสียงแห่งสวรรค์นี้ ยกตัวอย่างใน Gospel of Saint John ได้พูดถึงเสียงแห่งสวรรค์ว่าเป็นคำพูด (word) : ในตอนเริ่มต้นมีคำพูดและคำพูดนั้นอยู่กับพระเจ้าและคำพูดคือพระเจ้า (John 1:1) เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์เมื่อ ดร.Edmond Bordeaux Szekely นักปราชญา นักโบราณคดีและผู้ร่วมก่อตั้ง International Biogenic Society ผู้ล่วงลับไปแล้วได้พบหนังสือลับ Aramaic ในกรุงวาติกันเข้าโดยบังเอิญ ซึ่งย้อนหลังไปสู่ศตวรรษที่ 3 หลังการตายของพระเยซู ดร.Szekely ได้แปลเอกสารซึ่งมีเนื้อหาเปิดเผยชื่อ Essene Gospel of Peace อันมีข้อความดังต่อไปนี้ : ในตอนริ่มต้นมีเสียง และเสียงอยู่กับพระเจ้า และเสียงคือพระเจ้า
เป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษแห่งการค้นคว้าอันพิถีพิถันได้ทำให้ ดร.Szekely เชื่อแน่ว่าพระเยซูเป็นสมาชิกชุมชนทางจิตวิญญาณกลุ่ม Essene อันเป็นที่เคารพอย่างสูง และเพราะฉะนั้นพระองค์จะต้องมีความรู้ทางจิตวิญญาณของกลุ่มนี้อย่างช่ำชอง ตามที่ ดร.Szekely ได้กล่าวถึงในหนังสือ The Essene Jesus ว่า มีพี่น้องชาว Essene ที่ทะเลตาย (Dead Sea) ซึ่งได้ปลูกต้นไม้แห่งชีวิตของชาว Essene อันมีพระเยซูเป็นตัวแทนของกิ่งที่สูงที่สุด
มีข้ออ้างอิงอื่นๆ มากมายเกี่ยวกับเสียงแห่งสวรรค์ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ยกตัวอย่างจากหนังสือ The Book of Revelation 14:2: และฉันได้ยินเสียงจากสวรรค์เหมือนเสียงของน้ำมากมายและเหมือนเสียงอันดังสนั่นของฟ้าร้อง เสียงที่ฉันได้ยินเหมือนเสียงของคนดีดพิณกำลังดีดพิณของพวกเขาอยู่
ในศูรางคมสูตรทางศาสนาพุทธ พระศากยมุนีพุทธเจ้าเห็นพ้องกับมัญชูศรีลูกศิษย์ผู้รู้แจ้งสมบูรณ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ลงความเห็นว่าการบำเพ็ญสมาธิด้วยเสียงแห่งสวรรค์เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสู่นิพพาน : พี่ชายทั้งหลายในที่ประชุมอันยิ่งใหญ่นี้รวมทั้งเธอด้วย อานนท์ ควรที่จะเปลี่ยนการรับรู้ในการฟังที่มุ่งสู่ภายนอกของเธอและฟังเข้าสู่ภายในเพื่อเสียงที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์และเป็นเสียงอันแท้จริงของแก่นแท้ทางจิตใจของเธอเอง เพราะทันทีที่เธอได้บรรลุถึงความสอดคล้องอย่างสมบูรณ์ เธอจะได้รับการรู้แจ้งสูงสุด
นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสู่นิพพาน และตถาคต (นักบุญ) ในอดีตทั้งหลายได้ปฏิบัติตาม
Upanishads : ซึ่งเป็นสนธิสัญญาปรัชญาโบราณของอินเดียอันกว้างขวางได้ใช้คำ Sabda Brahman, Akash Bani Nad และ Sacred Word ในหมู่คำอื่นๆ ในการอ้างอิงถึงเสียงแรกเริ่ม ยกตัวอย่าง Naad Upanishad ของชาวฮันซ่าได้กล่าวว่า การบำเพ็ญสมาธิด้วย Nad หรือด้วยหลักการทางเสียงคือถนนหลวงที่นำไปสู่การช่วยเหลือดวงวิญญาณ
มูฮัมหมัดได้ยินเสียงแห่งสวรรค์ในถ้ำที่ Gare-Hira และ Sufis ดั้งเดิมได้เรียกเสียงแห่งสวรรค์ว่า Saute Surmad ซึ่งหมายถึงเสียงซึ่งมีอยู่เต็มจักรวาล
เล่าจื้อบรรยายเต๋าหรือทางว่าเป็น ความกลมกลืนที่ไม่อาจขัดขวางได้ และเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่ง เขาได้เขียนเรื่องเสียงอันยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน ซึ่งอยู่เหนือการจินตนาการปกติทั้งหลาย จวงจื้อซึ่งมีชีวิตอยู่หลังเล่าจื้อล่วงลับไปแล้ว 300 ปี ก็ได้อธิบายเช่นกันถึงบุญญานิสงส์จากการติดต่อกับเสียงทางด้านจิตวิญญาณเมื่อเขากล่าวว่า ....ฟังด้วยจิตใจแทนที่จะฟังด้วยหู ฟังด้วยพลังงานแทนที่จะฟังด้วยจิตใจ การฟังหยุดที่หู จิตใจหยุดที่การสัมผัส แต่พลังงานคือสิ่งที่ว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือการงดอาหารทางด้านจิตใจ
ถ้าเธอมีหูและตาแทงเข้าสู่ภายในและไม่ยึดติดกับการรับรู้ทางเหตุผล เช่นนี้แล้วแม้ถ้าผีและจิตวิญญาณตามหลังเธอมามันก็จะหยุด.....
ในศรีกูรูรานซ์ซาฮิบซึ่งเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของชาวสิกขิมและอาจเป็นคัมภีร์ที่สมบูรณ์ที่สุดที่หาได้ในทุกวันนี้ คำว่า ท่วงทำนองเพลงอันไม่ถูกดีด และ คำพูด มักใช้เสมอๆ เพื่ออ้างอิงถึงเสียงแห่งสวรรค์
ได้รับพระพร ฉันได้รับพระพร พระเจ้าของฉันคือคู่สมรสของฉัน
ท่วงทำนองเพลงอันไม่ถูกดีด (ของคำพูด) ได้ดังขึ้นในราชสำนักของพระองค์ วันและคืน ฉันอาศัยอยู่ในความหฤหรรษ์ ฟังดนตรีแห่งความสุข : ใช่แล้ว ในสภาพนี้ไม่มีความเจ็บปวดหรือความโศกเศร้าอีกต่อไป ไม่มีการเกิดหรือการตาย
นอกเหนือไปจากนี้ วัฒนธรรมโบราณมากมายรวมถึงของชาวเผ่าแอสเต็ก เอสกิโม มาลายันและเปอร์เซียน ก็ได้สนับสนุนเช่นกันในความคิดที่ว่าจักรวาลกำเนิดมาจากเสียง ชาวอะบอริจินในออสเตรเลียเชื่อเช่นกันใน วิถีทางของกฏ ซึ่งขับร้องให้โลกและทุกสิ่งทุกอย่างมีชีวิตขึ้นมา นักฟิสิกส์สมัยใหม่จะใช้คำว่า Big Bang ในการบรรยายสิ่งที่เป็นที่แน่นอนตามแก่นแท้ว่าจะต้องเป็นปรากฏการณ์แบบเดียวกัน
หลักฐานทางคัมภีร์มากมายของเสียงแรกเริ่มหรือแรงสั่นสะเทือนได้รับการสนับสนุนโดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งยอมรับว่าพื้นฐานของทุกสิ่งคือแรงสั่นสะเทือน ธรรมชาติทั้งหลายดำรงอยู่ในรูปขอบเขตอันกว้างใหญ่ที่สั่นสะเทือน... เรื่องที่ว่าเสียงก่อวัตถุให้เป็นรูปร่างและโครงสร้างก็ได้รับการพิสูจน์อย่างไม่มีข้อโต้แย้งโดย Hans Jenny นักวิทยาศาสตร์ชาวสวิสในปี 1960 Jenny ได้ใช้เครื่องสั่นสะเทือนเสียงทางไฟฟ้าและอุปกรณ์ถ่ายภาพอันซับซ้อนแสดงหลักฐานให้เห็นถึงความจริงแห่งปรากฏการณ์ของคลื่นซึ่งอยู่ภายใต้เรื่องนี้ (เขาได้เรียกสาขาใหม่นี้ว่า Cymatics) โดยการถ่ายภาพผลแห่งการก่อเป็นรูปร่างอย่างฉับพลันของเสียงสูงต่ำดนตรีและเสียงจากลำคอบนวัตถุต่างๆกัน.... แผ่ไปบนแผ่นโลหะ เขาได้เรียบเรียงอย่างพิถีพิถันในโครงสร้างอันสมบูรณ์ซึ่งสมมาตรและมีรูปร่างทรงเรขาคณิต ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมความถี่ที่แตกต่างจำนวนมากมายและการผสมผสานของจังหวะจากเสียงเสียงเดียวและช่วงเสียงไปจนกระทั่งถึงการประสานเสียงทางดนตรีอันซับซ้อนโดยผ่านแผ่นโลหะ
แม้กระทั่งการพัฒนาเมื่อเร็วๆนี้ในด้านบำบัดด้วยแรงสั่นสะเทือนที่มีต่อสิ่งมีชีวิต ตามที่นักประพันธ์ LarryvDossey ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อเร็วๆนี้นักจิตวิทยาเด็ได้รายงานประสบการณ์ของเขากับเด็กชายอายุ 11 ขวบซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตประเภทลืมตัวที่มีความเครียด (Catatonic Schizophrenia) เด็กคนนี้ไม่ได้พูดเลยในระยะเวลา 7 ปี ในการรักษาครั้งหนึ่ง ผู้บำบัดได้เล่นเพลงของ BachJesy, Joy of Mans Desiring เด็กชายคนนี้ได้เริ่มต้นร้องไห้ เมื่อเพลงจบลง เขาก็ได้พูดออกมาทั้งน้ำตาว่า นั่นเป็นดนตรีซึ่งมีพลังมากที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา ตอนนี้ผมพูดได้แล้ว!
หากเสียงทางโลกสามารถก่อให้เกิดผลอันลึกล้ำเช่นนี้ต่อสภาพจิตสำนึกของเราแล้วละก็ ก็ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยถึงพลังและความสำคัญทางด้านจิตวิญญาณแห่งเสียงสวรรค์
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของผม ผมเชื่อว่าท่าน Suma Ching Hai ได้จบหลักสูตรศิลปะโบราณแห่งสุรัตชาบด์โยคะหลังจากที่ได้ค้นพบอาจารย์ของท่านในที่สุดในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งท่านได้รับการถ่ายทอดความเป็นอาจารย์ การค้นหาอาจารย์อันเหลือเชื่อของท่านซึ่งแผ่กว้างไปยังหลายประเทศซึ่งท่านได้รับการถ่ายทอดเป็นเวลาหลายปีได้ถูกขัดจังหวะด้วยอุปสรรคต่างๆ ที่ดูภายนอกแล้วเหมือนอุปสรรคที่มิอาจฝ่าฟันได้ บททดสอบต่างๆ ที่ท่านได้อดทนทำให้ท่านตกลงใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำให้โยคะโบราณนี้เข้าถึงผู้ใฝ่หาสัจธรรมที่มีความจริงใจทั้งหลายได้ง่ายขึ้น ในขณะที่หลายคนอาจพบว่ายากที่จะเข้าใจในเรื่องเสียงเหนือธรรมชาติและยิ่งไปกว่านั้นคุณค่าของความสำคัญทางด้านจิตวิญญาณของเสียงนี้ ท่าน Suma Ching Hai ได้อธิบายไว้อย่างเหมาะเจาะด้วยคำพูดเรียบง่ายว่า :
เสียงทางโลกมีความสำคัญมากต่อความสุขทางโลกีย์และจิตใจของเรา แต่เสียงเหนือโลกดึงเรากลับไปสู่พระเจ้า
เสียงภายในนี้เป็นแรงสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ของจักรวาล มันเป็นแรงสั่นสะเทือนซึ่งค้ำจุนและหล่อเลี้ยงทุกสิ่ง ในโลกภายนอกเราจะสามารถได้ยินมันในรูปเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงลม น้ำ นก แมลง ฯลฯ มีเสียงซึ่งละเอียดอ่อนและสูงยิ่งขึ้น ซึ่งประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่สามารถได้ยินได้เพราะมันสั่นสะเทือนในระดับชั้นที่สูงกว่า การที่จะจับเสียงในระดับสูงขึ้นไปนี้เราจะต้องยกระดับของเราไปสู่โลกที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสของเรา
กุญแจที่จะยกระดับจิตสำนึกของบุคคลหนึ่งเพื่อให้ได้ยินเสียงสวรรค์ก็คือการค้นหาอาจารย์ทางด้านจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่ซึ่งสามารถประทับจิตผู้แสวงหาทางด้านจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง การประทับจิตมีความจำเป็นเพื่อปลุกธรรมชาติของพระเจ้าหรืออาจารย์ภายในให้ตื่นขึ้น หลังประทับจิตแล้วผู้นั้นจำเป็นที่จะต้องนั่งสมาธิแสงและเสียงในแต่ละวันตามคำสอนของอาจารย์เพื่อทำความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณให้ต่อเนื่อง
บทบาทข้อที่สองและมีความสำคัญเท่าๆกันกับของอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่ก็คือ การรับกรรมในอดีตของลูกศิษย์ด้วยเหตุนี้อาจารย์จึงต้องมีกายเนื้อเพื่อแบกรับกรรม ซึ่งปกติจะเกิดขึ้นกับลูกศิษย์ของท่าน หากปราศจากการเสียสละอย่างเหลือเชื่อจากอาจารย์แล้ว กรรมของลูกศิษย์จะหนักเกินไปที่จะหลีกหนีจากการเวียนว่ายตายเกิดอันมิรู้จบสิ้น ตามที่ท่าน Suma Ching Hai ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ขณะที่อาจารย์ที่มีชีวิตอยู่ในโลก ท่านจะรับกรรมของคนโดยเฉพาะผู้ที่ศรัทธาในอาจารย์ และมากยิ่งไปกว่านั้นจากผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ดังนั้นอาจารย์จึงรับทุกข์เพื่อลูกศิษย์และเพื่อมวลมนุษย์โดยส่วนรวมในชีวิตของท่าน.... ท่านอาจเจ็บป่วย ท่านอาจถูกทรมาน ท่านอาจถูกตรึงกางเขนหรืออาจถูกใส่ร้ายป้ายสี
นอกเหนือไปจากนั้น คุณสมบัติที่รอบรู้ทุกสิ่ง มีตัวตนทุกหนแห่ง มีพลังสุดประมาณของอาจารย์จะปกป้องผู้ประทับจิตตลอดเวลา เพราะทันทีที่ได้รับการประทับจิตสายสัมพันธ์อันนิจนิรันดร์ทางด้านจิตวิญญาณก็จะเกิดขึ้นระหว่างอาจารย์กับผู้ประทับจิตตราบจนกระทั่งได้บรรลุความเป็นอาจารย์ สิ่งนี้ทำให้แน่ใจได้ว่าหลุมพรางจำนวนมากมายตลอดการเดินทางทางจิตวิญญาณจะถูกหลีกเลี่ยงไปได้ ใน Gospel of Matthew พระเยซูได้พูดถึงลักษณะอันอันตรายของการเดินทางทางจิตวิญญาณที่พระองค์กล่าวว่า ประตูนั้นแคบและหนทางที่นำไปสู่ชีวิตนั้นยากลำบาก และผู้ที่ค้นพบมันมีน้อย (Matthew 7:14)
แม้ว่าจะไม่เป็นที่รู้จักกันดีเหมือนโยคะอื่นๆ บางคนก็ถือว่าโยคะแห่งกระแสเสียงสวรรค์นี้เป็นสิ่งที่สูงสุด หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากนักปราชญ์โบราณผู้ชาญฉลาดและอาจารย์ทางจิตวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตได้สนับสนุนทรรศนะนี้อย่างแน่นอน ในขณะที่นักบำบัดเพียงแต่เพิ่งค้นพบเมื่อเร็วๆนี้ถึงผลในทางการรักษาของความถี่แห่งแรงสั่นสะเทือนทางโลกเท่านั้น เป็นเวลาหลายพันปี มหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตได้ถ่ายทอดสัจธรรมที่รวมเป็นหนึ่งเดียวและหนทางเดียวแห่งเสียงและแสงแห่งสวรรค์ซึ่งเป็นหนทางที่จะรับเอาสัจธรรมนี้เข้าไว้ ความเป็นเอกภาพอันสำคัญของข่าวสารของพวกเขาได้เย้ยหยันการแบ่งแยกที่ผิวเผินซึ่งได้ฝังรกรากอยู่ในสมองของผู้คลั่งศาสนาซึ่งมีอิทธิพลแต่ถูกชักนำไปในทางที่ผิดอย่างน่าเศร้าใจมาตลอดทุกยุคสมัย เนื่องจากอาจารย์ในอดีตไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไป อาจารย์ที่มีชีวิตอยู่จึงเป็นกุญแจที่จะให้ได้รับประสบการณ์ของสัจธรรมนี้ และติดต่อกับเสียงสวรรค์ซึ่งแทรกชั้นอันมืดมนของจิตสำนึกเพื่อยกระดับดวงวิญญาณไปสู่ความเป็นจริงทางด้านจิตวิญญาณอันเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างยิ่งภายในพวกเราทุกคน ณ ที่ซึ่งพวกเราได้รับการบอกว่าแสงแห่งโคมไฟแห่งสุริยันและจันทรานับล้านดวงลุกไหม้ชั่วนิจนิรันดร์
ท่าน Suma Ching Hai เป็นอาจารย์ผู้หญิงทางการบำเพ็ญสมาธิซึ่งสามารถรวมเอาแก่นแท้ของทุกศาสนาเข้าเป็นหนึ่งเดียว และประทับจิตผู้เสาะแสวงหาทางจิตวิญญาณที่จริงใจเข้าสู่การบำเพ็ญสมาธิแสงและเสียงทางจิตวิญญาณโบราณโดยให้เปล่า ท่านเรียกการบำเพ็ญว่าธรรมวิถีกวนอิม เพราะท่านได้บรรยายธรรมครั้งแรกในไต้หวันเกือบ 10 ปีที่แล้ว (กวนอิมเป็นคำภาษาจีนซึ่งหมายถึงการเพ่งแรงสั่นสะเทือน) ผู้ประทับจิตของท่าน Suma Ching Hai ยินยอมประพฤติปฏิบัติตามกฎระเบียบของศีลขั้นพื้นฐานตลอดชีวิต รวมทั้งการรับประทานมังสวิรัติด้วย ท่านมีศูนย์ปฏิบัติสมาธิในประเทศต่างๆมากกว่า 40 ประเทศ
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
Berendt,J.E., The world is Sound: Nada Brahma (USA: Destiny Book, 1983), pp. 38, 171 and 174.
Chtwin. Brue, Ghe Songliness (London: Pan Books Ltd., 1988), p. 2.
Ching Hai, Suma, The Key of Immediate Enlightenment (Book 1), (Taiwan: Suma Ching Hai International Assoc., 1991), p. 85.
Chuang Tzu, see Cleary, p. 87.
Cleary, Thomas, The Essential Tao (USA: Harper&Row, 1991).
Dossey, Larry, Meaning and Medicine: A Doctors Tales of Breakthrough and Healing, (USA: Bantam Books, 1991), pp. 143 and 145.
Hansa Naad Upanishad, see K. Singh, p. 40.
Hans Jenny, see Leviton, p. 44.
Hazrat Inayat Khan, see Berendt. P. 38.
Leviton, Rechard, Rhythm, Harmony and Healing (Sydney: Australian Wellbeing, 1994 annual edition no. 54).
Singh, K., Naam or Word (USA: Ruhani Satsang, 1994).
Sufis, see Berendt, p. 38.
Surangama Sutra, see K. Sungh, p. 62.
Szekely, Edmond Bordeaux, The Essene Jesus, (USA: International Biogenic Society, 1977), p. 5.
Szekely, Edmond Bordeaux, Essene Communions with the Infinite, (USA: International Biogenic Society, 1979), pp. 26 and 27.
Tagore, Rabindranath, trans., Songs of Kabir, (Canada: International Biogenic Society, 1989), p. 22.
15 มีนาคม 2553 00:20 น.
คีตากะ
มกราคม ปี ค.ศ. 2010 เวลา 10.30 น. วันหนึ่ง ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในชั่วโมงเรียนวิชาธรณีวิทยา.....
นักธรณีวิทยาได้ทำการขุดเจาะแท่งน้ำแข็งบริเวณทวีปแอนตาร์กติกา ที่ขั้วโลกใต้ พบว่า ช่วงเวลากว่า 650,000 ปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นนั้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตรวจพบในชั้นบรรยากาศซึ่งสะสมอยู่ในแท่งน้ำแข็งมีค่าสูงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ พวกเขาเลยสรุปง่ายๆว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนนั้นมาจากการสะสมตัวของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด ต่อเรื่องภาวะโลกร้อน................... ศาสตราจารย์ผู้สอนกำลังอธิบายเกี่ยวกับเรื่องธรณีวิทยา นักศึกษาคนหนึ่งพลันยกมือขึ้นถามว่า
อดีตรองประธานาธิปดีแห่งสหรัฐก็กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ An Inconvenient Truth และยังสรุปอีกว่าสาเหตุหลักของคาร์บอนไดออกไซด์ 80% มาจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ที่ใช้ในรถยนต์ บ้าน โรงงาน โรงไฟฟ้า และการตัดไม้ทำลายป่า จนเป็นผลให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลในปีต่อมา หรือว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับชั้นนำของโลกจะเข้าใจผิดพลาด แล้วความจริงคืออะไรครับอาจารย์
ความร้อนจากคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเพียง 40% ส่วนอีก 60% มาจากมีเทน ซึ่งแหล่งผลิตรายใหญ่ที่สุดมาจากฟาร์มปศุสัตว์................ ศาสตราจารย์ตอบ
เมษายนปีเดียวกัน เวลา 13.00 น. วันหนึ่ง สำนักข่าวในประเทศรายงานว่า
ปัญหาโลกร้อนกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น นักวิชาการออกมาเตือนว่าปรากฏการณ์เอลนิโญ จะส่งผลกระทบต่อบ้านเราโดยตรง กระแสน้ำอุ่นไหลเปลี่ยนทิศทาง กล่าวคือไหลจากแปซิฟิกตะวันตกไปสู่แปซิฟิกตะวันออก ผลก็คือบริเวณแถวอเมริกาใต้ ประเทศเปรู ชิลี อาร์เจนตินา บราซิล จะเกิด ฝนตกหนัก จนอาจเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ เนื่องจากกระแสน้ำอุ่นจะนำพาความชื้นไปด้วย ส่วนในทางตรงข้ามแถวเอเชียใต้ ประเทศออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมทั้งบ้านเราจะเกิดความแห้งแล้งขั้นรุนแรงตามมา แม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสาขาเริ่มทยอยพากันแห้งขอดลง จนรัฐบาลต้องเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรอย่างเร่งด่วน.....................
ธันวาคมปีเดียวกัน เวลา 18.30 น. วันหนึ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนประชาชนออกทางทีวีและคลื่นวิทยุว่า
เนื่องจากอุณหภูมิภายในประเทศเพิ่มสูงทะลุ 40 องศาเซลเซียสแล้ว ขอให้ประชาชนระวังพายุรุนแรงที่อาจพัดผ่านประเทศในช่วงเวลานี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 3 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิท้องทะเลสูงขึ้นกว่า 2.5 องศาเซลเซียส คาดว่าจะก่อให้เกิดภาวะน้ำทะเลหนุนเนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกละลายและคลื่นลมมีกำลังแรง โดยมีความสูงของคลื่น 3-4 เมตร ชาวเรือควรงดออกจากฝั่งและประชาชนตามแนวชายฝั่งทะเลรวมทั้งพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1 เมตรควรรีบอพยพขึ้นที่สูงโดยด่วน ได้แก่พื้นที่จังหวัด.......................
มิถุนายน ปี 2011 เช้าวันหนึ่ง หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ลงพาดหัวข่าวว่า
โลกตะลึง! องค์การนาซ่าเผยน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายหมดไม่เกินหน้าร้อนปี 2012 หวั่นน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีก 10 เมตรขอให้รัฐบาลของประเทศตามแนวชายฝั่งรีบอพยพประชาชนขึ้นสู่ที่สูงด่วน
ตุลาคม ปีเดียวกัน ข่าวต่างประเทศในข่าวภาคค่ำ เย็นวันหนึ่ง รายงานว่า
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่านักวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้ออกสำรวจพบการผุดขึ้นมาของก๊าซมีเทนและก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตส่งผลให้สัตว์ทะเลจำนวนมากตายลอยแพเกลื่อนในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก โดยพบมากบริเวณชายฝั่งประเทศนามิเบีย แถวแอฟริกา มหาสมุทรอินเดีย ทะเลจีนใต้ และตามแนวชายฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิค โดยเฉพาะญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย.............
เมษายน ปี 2012 เช้าวันหนึ่ง คลื่นวิทยุสถานีหนึ่งรายงานข่าวว่า
ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดเป็นรายวันกำลังสร้างผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลก ผู้คนต้องอพยพไร้ถิ่นฐานนับพันล้าน บ้านเมืองพังทลายเพราะแผ่นดินไหวและพายุกระหน่ำ หลายประเทศกลายเป็นเมืองบาดาล ซ้ำร้าย การสูญเสียพื้นที่ทางการเกษตรไปจำนวนมหาศาลทำให้ประชาชนอดอยากและเกิดการแย่งชิงกันเอง ดูทีท่าว่าสถานการณ์จะเพิ่มความตรึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประเทศมหาอำนาจเริ่มส่อเค้าว่าจะก่อสงความกันเพื่อช่วงชิงแหล่งทรัพยากรของประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาที่ยังเหลืออยู่อย่างจำกัด การจราจลเกิดขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้าทั่วโลก ความขัดแย้งเริ่มรุนแรงจนถึงขั้นวิกฤติ หลายประเทศประกาศใช้กฏหมาย......
มิถุนายน ปี 2012 เวลา 08.00 น. ประธานาธิปดีซึ่งอาศัยศาลาที่ว่าการอำเภอ ประกาศทางสถานีวิทยุแห่งหนึ่งว่า
ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นต่อประเทศของเรา และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียญาติมิตรพี่น้องอันเป็นที่รักของท่านทั้งหลายที่ต้องประสพหายนะภัยในครั้งนี้ รัฐบาลจะทำการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเต็มที่เท่าที่จะสามารถกระทำได้ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจงได้โปรดสบายใจเพราะผมเชื่อว่าเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจงเชื่อมั่นในรัฐบาลที่จะสามารถดูแลพี่น้องได้เป็นอย่างดี ขอให้พี่น้องตั้งสติอย่าได้หลงเชื่อกลุ่มคนใดก็ตามที่ไม่ใช่รัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ และพยายามติดตามศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติและกรมอุตุนิยมวิทยาต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่เสมอ ณ สถานีวิทยุแห่งนี้..............................
ขณะที่สงครามของเหล่าประเทศมหาอำนาจกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาต่างได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า เพราะเหล่าประเทศมหาอำนาจต่างก็นำอาวุธร้ายแรงของตนที่ไม่เคยนำออกมาใช้ในสงครามที่ใดมาก่อนในประวัติศาสตร์โลกออกมาใช้เพื่อประกาศแสนยานุภาพหมายเพียงห้ำหั่นฝ่ายตรงข้ามให้แหลกลาญย่อยยับไปเท่านั้น เป็นไปตามคำกล่าวของ โรเบิร์ต ไอสไตน์ที่กล่าวว่า ผมไม่ทราบหรอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นเมื่อใดใช้อาวุธอะไรต่อสู้กัน แต่เชื่อแน่ว่าในสงครามโลกครั้งที่ 4 มนุษย์จะใช้เพียงกระบองเท่านั้นเป็นอาวุธในการต่อสู้กัน เพราะคงไม่เหลือหรออะไรอีกแล้วเวลานั้น
วันที่ 1 มกราคม ปี 2013 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า
21 ธันวาคม 2012 วันโลกาวินาศแหกตาคนทั้งโลก ! แม้จะมีสงครามอยู่บ้าง แต่โลกก็เดินทางรอดมาจนถึงปี 2013 เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่ได้อย่างปลอดภัย
ปลายเดือนมกราคม ปีเดียวกัน ในบ่ายวันหนึ่ง
เขาสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อมีเสียงบางอย่างปลุกเขาขึ้นมา เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นเสียงโทรศัพท์หรือไม่ก็นาฟิกาปลุก แต่เขาจำได้ว่าปกติเขาจะปิดโทรศัพท์ทุกครั้งก่อนนอนและในบ้านของเขาก็ไม่เคยมีนาฬิกาปลุก เพราะเขาเป็นคนขี้ตกใจก็เลยไม่ชอบใช้เครื่องมือเหล่านี้ แม้นาฬิกาจะมีอยู่หลายเรือน แต่มันไม่มีถ่านใส่สักเรือน แล้วมันคือเสียงของอะไร?...........
เขาพักอาศัยอยู่กับน้องสาวเพียงแค่ 2 คน บ้านหลังนี้เป็นบ้านของพี่สาวที่ซื้อเอาไว้ในเมือง เนื่องจากพี่เขยตกงาน พี่สาวก็เลยต้องลาออกจากงานซึ่งอยู่กันคนละบริษัท แล้วพากันย้ายไปทำธุรกิจคาร์แคร์ ที่ภาคเหนือ ส่วนพ่อและแม่รวมทั้งพี่น้องคนอื่นๆต่างก็อยู่กันคนละเมือง เป็นเวลาปีๆกว่าจะได้พบหน้าค่าตากันสักครั้งนึง
เขาเดินหาเจ้าวัตถุต้นเสียงที่เป็นต้นเหตุสร้างความรำคาญให้กับตัวเขา เพราะมันรบกวนเวลานอนกลางวันของเขา เดินหาอยู่สักพัก แล้วเขาก็พบมัน....
มันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่น้องสาวของเขากลับมากินข้าวที่บ้านเวลานี้ เธอทำงานอยู่โรงงานผลิตเครื่องสำอางใกล้บ้าน เธอปั่นจักรยานไปทำงานทุกวันเว้นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุด ใช้เวลาเพียงแค่ไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้นก็ถึงโรงงาน เธอบังเอิญมาพบเห็นพี่ชายของเธอกำลังอารมณ์เสียอยู่พอดี แต่แล้วภายหลังจากที่พี่ชายของเธอหยิบวัตถุประหลาดอันหนึ่งขึ้นมา กลับมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงเข้าไปสอบถามด้วยความสงสัยว่า
นั่นอะไรนะพี่ เขานิ่งอึ้งไปนานเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จนไม่ได้สนใจกับคำถามของน้องสาวของเขา เขายื่นวัตถุประหลาดสีดำลักษณะคล้ายปากกาด้ามหนึ่งให้เธอก่อนจะตอบว่า
เครื่องมือวัดค่าก๊าซมีเทน
มันมีประโยชน์ยังไง วัดก๊าซมีเทนไปทำไม? เธอถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาวัยรุ่น
เครื่องนี้จะส่งเสียงดังทันที ถ้าค่าความเข้มข้นของก๊าซมีเทนในอากาศเกินค่ามาตรฐาน
ตอนนี้มันก็ดังแล้วนี่ เกินค่ามาตรฐานหมายความว่าอะไร
เกินค่ามาตรฐานหมายถึง ก๊าซมีเทนในอากาศมีมากเกินไปจนอาจถึงระดับที่อันตรายต่อระบบการหายใจของมนุษย์
หมายความว่าเราจะตายถ้าก๊าซมีเทนในอากาศมีมากเกินไป
ยังหรอก นี่แค่ระดับที่เตือนเท่านั้น แต่ถ้ามันขึ้นไปสูงกว่านี้ ก๊าซออกซิเจนจะลดต่ำลง เพราะมีเทนจะแทนที่ เราจะหายใจไม่ออกและอาจตายได้ทุกเวลาหรืออย่างเบาก็แค่เป็นเจ้าหญิงนิทราเนื่องจากสมองขาดออกซิเจน เสียงเตือนนี้แค่บอกเราว่าให้เรารีบออกจากพื้นที่นี้โดยด่วน
น้องสาวแสดงอาการตกใจ เธอขมวดคิ้วเข้าหากันจนหน้ายุ่ง และเริ่มรับรู้สึกถึงอากาศที่เบาบางลงจนเธอเริ่มจะหายใจไม่ออก พร้อมกับถามพี่ชายของเธอว่า แล้วเราจะทำอะไรต่อไป ในตอนนี้
จัดเตรียมกระเป๋ายังชีพด่วน และเริ่มออกเดินทางทันที! เขากล่าวอย่างรีบเร่ง เธอถึงกับชะงักค้างแต่ก็รีบไปจัดการตามที่พี่ชายของเธอสั่งแม้จะยังงุนงงว่าที่แท้จริงมันเป็นเรื่องราวใดกันแน่ ภายหลังจากเธอจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางเสร็จ เธอก็อดถามพี่ชายของเธอไม่ได้ จึงโพล่งถามไปว่า
บ้านเราไม่มีก๊าซมีเทน มันมาจากไหนเหรอ?
ทะเล เขาตอบให้น้องสาวอย่างห้วนๆ
มันขึ้นมาได้อย่างไร?
อุณหภูมิท้องทะเลสูงขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส มันจะละลายขึ้นมาจากชั้นตะกอนก้นมหาสมุทรทั่วโลก
ทำไมอุณหภูมิจึงสูงขึ้นได้?
โลกร้อน ทำให้น้ำแข็งละลาย โลกขาดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์จากน้ำแข็งขั้วโลก โลกจึงยิ่งร้อนขึ้น ทะเลก็ยิ่งอุ่นขึ้นจนถึง 6 องศาเซลเซียส จึงเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากบริเวณที่น้ำแข็งละลาย บริเวณทะเลสาบ บนบกบางแห่ง รวมทั้งแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของมันคือใต้ท้องทะเล
น้องสาวทำหน้ามึนงงกับเรื่องราวที่ได้ยิน เธอไม่ค่อยเข้าใจวิทยาศาสตร์ซักเท่าไร เวลาเรียนเธอได้เกรดศูนย์ตลอดเกือบทุกวิชาที่เป็นวิทยาศาสตร์ สอบซ่อมแล้วซ่อมอีกจนเข็ดขยาด โดยเฉพาะวิชาฟิสิกซ์และพวกวิชาคำนวณ เธอจึงเลือกเรียนทางสายศิลป์ เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็เลยสมัครทำงานโรงงานทำเครื่องสำอางค์ใกล้บ้านและอาศัยอยู่กับพี่ชายที่บ้านของพี่สาว
ภายหลังจากที่เขาโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวแก่ญาติมิตรทั้งหลายของเขา แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะไม่มีใครสักคนที่จะเชื่อคำกล่าวของเขาที่จะให้อพยพด่วน ที่ผ่านมาภัยพิบัติทางธรรมชาติก็ทำร้ายพวกเขามามากพอแล้ว ไหนยังจะมีเรื่องสงครามอีก มิจฉาชีพมีเกลื่อนเมือง พร้อมที่จะทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้ทุกเมื่อ เจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอด ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้การหลบอยู่ในบ้านปลอดภัยที่สุด หลายคนขายที่ดิน ทรัพย์สินและนำเงินไปฝากไว้กับธนาคาร โดยหวังว่ามันเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด
เขาและน้องสาวต่างช่วยกันกางเต้นคนละหลัง ที่นี่เป็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งพวกเขาเดินทางมาถึง ลึกเข้าไปเป็นป่าที่เป็นวนอุทยานแห่งชาติข้างในยังมีสิงห์สาราสัตว์มากมาย โดยเฉพาะช้างป่าที่พร้อมจะเล่นงานนักท่องเที่ยวได้ตลอดเวลา ถ้าเฉียดเข้าไปใกล้ถิ่นของมัน หลังจากกางเต้นเสร็จ เขาชวนน้องสาวเดินทางสำรวจบริเวณโดยรอบๆ บนเขาลูกนี้ไม่ใช่มีเพียงเขาเท่านั้น ยังมีนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่ขึ้นมากางเต้นนอนข้างบนนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่รู้เรื่องภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ระหว่างที่เดินสำรวจบริเวณภูเขาอยู่นั้น น้องสาวก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่ เธอจึงโพล่งถามพี่ชายของเธอว่า
นี่เราไม่ได้กำลังบ้ากันอยู่ใช่มั๊ย ที่ทิ้งบ้าน ลาออกจากงาน เพื่อมานอนตามเขาตามป่าแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่ช่วยบอกหน่อยซิ!
น้องคงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกร้อนมาบ้าง ตอนนี้ภาวะโลกร้อนเดินทางมาถึงจุดวิกฤติแล้ว อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นมาอีก 5-6 องศา อย่างที่เห็นว่าน้ำทะเลได้กลืนประเทศที่เป็นเกาะและเมืองตามชายฝั่งไปเป็นจำนวนมาก นาข้าวและพืชผลทางการเกษตรเสียหายยับเยิน ไหนจะการที่น้ำเค็มรุกเข้ามาทำลายส่วนหนึ่ง และยังภัยแล้งยาวนาน ฝนทิ้งช่วง พายุรุนแรง และตอนกลางของประเทศที่จมอยู่ใต้บาดาลซึ่งเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำมานาน ยังจะแผ่นดินไหวที่เกิดถี่ ถล่มเมืองไปหลายเมืองจนราบคาบ ความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกำลังทำลายทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ สงครามความขัดแย้งเพื่อแย่งทรัพยากรอันมีอยู่จำกัดกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก คนอดอยากมีสุดคณานับ คนพเนจร ไร้ที่อยู่อาศัย ล้วนเป็นผลจากโลกร้อน ไม่เพียงความร้อนจะทำให้โลกกลายเป็นทะเลทรายเท่านั้น มันยังสร้างสงครามและกำลังล้างโลก
มีเทนในอากาศมาจากไหน มันเพิ่มขึ้นได้อย่างไร? เธอถามต่ออย่าง ตรงประเด็น
มีเทนเป็นสารไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ่ง มีทั้งเป็นสภาพของแข็ง ของเหลว และก๊าซ มีมีเทนอยู่ทุกที่ทั่วโลก และสะสมมากที่สุดคือในใต้ท้องมหาสมุทรนั่นคือมีเทนตามธรรมชาติ
ย้อนไปเมื่อประมาณ 630 ล้านปี 250 ล้านปี 55 ล้านปี สัตว์ดึกดำบรรพ์ในยุคนั้นต่างสูญพันธุ์หายสาบสูญไปจากโลก ก็ล้วนเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่ไปกระตุ้นให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทน ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์และก๊าซพิษอื่นๆ ที่สะสมอยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในมหาสมุทรที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันแค่เพียงอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นอีก 5-6 องศาเซลเซียสก็เพียงพอให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซพิษเหล่านั้นแล้ว และมันก็มาถึงเราแล้วตอนนี้
ภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นได้อย่างไร? น้องสาวถาม
เดิมที่ตามวัฏจักรของโลก โลกกำลังจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง โลกมียุคน้ำแข็งและมียุคโลกร้อนหรือยุคน้ำแข็งละลาย สลับกันไปเป็นคาบเวลาที่แน่นอน แต่การเกิดขึ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ธรรมชาติเกิดการเสียสมดุล ระบบนิเวศน์เสียไปสาเหตุล้วนแล้วแต่มาจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ก่อให้เกิดการตั้งถิ่นฐาน การทำการเกษตร นั่นจึงทำให้มนุษย์ต้องการที่ดินมากขึ้น จนต้องไปแผ้วถางรุกรานป่าไม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ การเผาป่าเพื่อทำพื้นที่ทางการเกษตร เช่น การปลูกพืช ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สิ่งที่เป็นปัญหาที่แท้จริงคือการทำลายป่าเพื่อการทำฟาร์มปศุสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ แพะ แกะ เป็นต้น การปลูกพืชเพื่อการเกษตรสำหรับเลี้ยงมนุษย์ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่การปลูกพืชเพื่อการเลี้ยงสัตว์ซึ่งต้องการอาหารปริมาณมากกว่านั้นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องใช้ที่ดินจำนวนมหาศาล ปัจจุบัน การปศุสัตว์ใช้พื้นที่ของโลกถึง 30% นอกจากนี้ ที่ดินและน้ำในจำนวนที่มากกว่า ต้องใช้ไปกับการปลูกพืชเพื่อใช้เป็นอาหารให้กับสัตว์เหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ประมาณ 70% ของพื้นที่ป่าอเมซอนเดิม ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายต่อ
การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดเพียงแหล่งเดียวอีกด้วย ซึ่งก๊าซเหล่านี้เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยมันจะไปสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศและทำตัวเสมือนกระจกกักเก็บความร้อนไว้ในโลก ยิ่งเข้มข้นมากเท่าใด ความร้อนก็จะมีมากเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มุ่งความสนใจไปที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีอายุอยู่ได้นานหลายร้อยปีและละเลยก๊าซอันตรายอย่างมีเทนที่อายุสั้นเพียง 11 ปีแต่มีความรุนแรงกว่า 72 เท่าวัดในช่วงเวลา 20 ปี ในฐานะก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ พวกเขาจึงแก้ปัญหาพลาดเป้าจากความเป็นจริง แทนที่จะไปลดการทำปศุสัตว์เพื่อลดก๊าซมีเทนที่กำลังส่งผลในขณะนี้ กลับไปเสียเวลามากมายกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล พวก น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน หรือไม่ก็เพิกเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรเลยเหมือนการประชุมเรื่องโลกร้อนที่ประเทศเดนมาร์กซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า
ก๊าซมีเทนจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ทั่วโลกเป็นผลก่อให้เกิดโลกร้อนมากกว่าครึ่งหนึ่งของก๊าซเรือนกระจกที่สะสมในบรรยากาศโลก แต่สาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์หามันไม่พบในช่วงเวลากว่า 100 ปีหรือกว่าศัตวรรษเพราะอายุมันสั้นกว่ามาก เพียง 11 ปีตัวมันก็จะสลายกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ พวกเขาจึงพบแต่คาร์บอนไดออกไซด์ที่นั่นและสรุปเอาง่ายๆ แบบฟันธงว่ามันเป็นต้นตอของปัญหาโลกร้อน
แต่คาร์บอนไดอกไซด์ก็มีส่วนทำให้โลกร้อนถึง 40% ไม่ใช่เหรอ? น้องสาวถามจากที่เคยศึกษามาบ้างพอสมควร
แน่นอน เพียงแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาโลกร้อนเป็นผลมาจากมีเทนเสียส่วนใหญ่ มันเป็นก๊าซแอบแฝง เหมือนศัตรูในที่ลับ ยากจะหาตัวมันพบ เขาอธิบาย และกล่าวเสริมอีกว่า
อย่าลืมว่าในชั้นบรรยากาศมีก๊าซมีเทนมากเท่าไร ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็มีมากเท่านั้น เพราะมันมาจากตัวเดียวกัน โอเค แม้ว่าการเผาป่าก็เป็นสาเหตุของการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยเช่นกัน แต่ต้องไม่ใช่มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะนักวิทยาศาสตร์บางคนพบว่าการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน จะได้คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นผลก็ตาม แน่นอนคาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้โลกร้อน แต่การเผาไหม้ดังกล่าวยังก่อให้เกิดมลพิษที่ชื่อว่าละอองลอยซัลเฟตซึ่งทำให้โลกเย็น ผลก็คือพวกมันหักล้างกันจนอุณหภูมิออกมาเกือบเป็นศูนย์กล่าวคือไม่มีผลต่อภาวะโลกร้อน ดังนั้นคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้นในชั้นบรรยากาศอันเป็นผลทำให้โลกร้อนจึงมาจากแหล่งอื่น และแหล่งที่ใหญ่และสำคัญที่สุดก็คือฟาร์มปศุสัตว์
เราจะเป็นเหมือนกบในสารคดีของนายอัล กอร์หรือเปล่า ที่มันจะกระโดนหนีทันทีถ้ามันบังเอิญกระโดดลงไปในหม้อน้ำร้อน แต่มันจะนิ่งเฉยและตายถ้ามันนั่งอยู่ในหม้อน้ำเย็นที่น้ำเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ น้องสาวถามเมื่อจำได้ว่าพี่ชายเคยชวนเธอดูสารคดีเรื่องนี้เมื่อปีก่อน
กบอยู่ในน้ำร้อนเหมือนกันกับที่อยู่ในน้ำเคยเย็น แล้วอุณหภูมิค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะร่างกายของมันค่อยๆ ปรับตัวตามอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในที่สุดมันจะสุกเสียก่อนถ้าไม่มีใครจับมันขึ้นมา เช่นเดียวกับมนุษย์ ร่างกายมนุษย์จะปรับตัวเรื่อยๆ จนกระทั่งทนไม่ได้และตาย โดยไม่คิดจะหนีด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่าจะสามารถรับมือกับมันได้ แต่ปัญหานี้ใหญ่เกินไปกว่าสิ่งมีชีวิตเกือบทุกสายพันธุ์บนโลกจนทนทานรับได้ เขาอธิบาย
พี่บอกว่าเกือบทุกสายพันธุ์ หรือว่ามีบางสายพันธุ์ที่อยู่รอดได้ เธอถามด้วยดวงตามีประกายแห่งความหวัง
นี่แหละเป็นเหตุผลที่เรามาที่นี่ และกำลังสำรวจกันอยู่นี่ไง เขาพูดเป็นปริศนาเหมือนกับมีความลับซ่อนอยู่
ว่าแต่เรากำลัง ค้นหาอะไรกันอยู่ ยังไม่รู้เลย? น้องสาวสงสัยขึ้นมาทันใด
ถ้ำ เขาตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา ไม่ทันขาดคำ เบื้องหลังต้นไม้ใหญ่ลึกลงไปมีช่องทางเข้าเล็กๆทอดยาวลงไปยังเบื้องล่าง มันเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่มีปากทางเล็กๆ ทอดยาวลึกลงไป ถ้าสังเกตไม่ดีจะไม่สามารถมองหาปากทางเข้าถ้ำแห่งนี้พบ เพราะมันมีต้นไม้ใหญ่บดบังสายตาอยู่ ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวของเมืองลับแลในนิยายปรัมปราที่เคยอ่านในอดีต ปากทางเข้าถ้ำกว้างแค่พอให้คน 2 คนเดินผ่านได้เท่านั้น แต่พอก้าวผ่านเข้าไปพวกเขากลับต้องตะลึงกับภาพอันวิจิตรบรรจงตระการตาของหินย้อย โขดหินต่างๆ ที่ประดับประดาราวเฟอร์นิเจอร์ภายในถ้ำ ขับเน้นให้ภายในให้งดงามราวทิพยสถานก็ปาน ยิ่งเดินลึกเข้าไปภายในก็ยิ่งกว้างขยายอกไปเรื่อยๆ ราวห้องโถงขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีซอกซอยต่างๆมากมายคล้ายห้องเล็กๆอีกนับร้อยเรียงรายตลอดเส้นทาง ภายในทั้งกว้างใหญ่และทอดยาวนับกิโล อากาศข้างในชื้นอับแต่ก็ไม่ทำให้หายใจขัดข้องเลย ถ้ำแห่งนี้อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินราวๆ 7 เมตร เดินไปประมาณ 500 เมตรก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธารเล็กๆ ที่ตัดผ่านตัวถ้ำ ละอองลอยที่ปลิวว่อนสร้างความชุ่มชื่นให้กับพวกเขาจนลืมวันเวลา.....
ยุคล่าสุดเมื่อประมาณ 55 ล้านปีก่อน ไดโนเสาร์เคยครอบครองโลกใบนี้อยู่ จู่ๆ อุกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 15 กิโลเมตรก็พุ่งเข้าชนโลกอย่างจัง ก่อเกิดเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เกิดไฟไหม้ไปทั่วราวป่าบริเวณรอบข้างในรัศมีหลายกิโลเมตร ลูกไฟที่ตกลงมาสร้างความเสียหายต่อชีวิตของสัตว์เหล่านั้นจำนวนมาก แต่นั่นก็ยังไม่ใช่หายนะที่แท้จริง ฝุ่นละอองจากการพุ่งชนของอุกาบาตที่ลอยขึ้นไปเต็มท้องฟ้าต่างหากที่ไปบดบังดวงอาทิตย์โลกทั้งโลกตกอยู่ในความมืดสนิทนานหลายเดือน ก๊าซและฝุ่นละอองจำนวนมหาศาลปกคลุมชั้นบรรยากาศเอาไว้อย่างหนาแน่นอย่างฉับพลันก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น อุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส ทะเลแทบจะเดือด นั่นก็เพียงพอที่จะเร่งการปลดปล่อยก๊าซมีเทนที่เกิดจากการสะสมจากซากพืชซากสัตว์ตามธรรมชาตินับล้านๆปีใต้ท้องมหาสมุทรให้ผุดลอยขึ้นผ่านตะกอนและชั้นน้ำขึ้นสู่บรรยากาศ แทนที่ออกซิเจนอย่างรวดเร็ว ผลก็คือไดโนเสาร์สูญพันธุ์ทันที แต่ไม่น่าเชื่อยังมีสัตว์บางสายพันธุ์กลับรอดมาได้ ให้เราเห็นจนถึงปัจจุบัน
อะไรเหรอ?
สัตว์จำพวกหนู และพวกที่อาศัยอยู่ใต้ดิน!
นั่นเป็นสาเหตุที่เราต้องมาที่นี่เพื่ออาศัยอยู่ใต้ดิน นั่นก็คือถ้ำนั่นเอง?
เข้าใจถูกแล้ว
เราจะอาศัยอยู่นานเท่าไร?
อย่างต่ำ 11 ปี
เพราะอะไร?
เพราะมีเทนจะอยู่ในอากาศเพียง 11 ปี
เราจะกินอะไร ที่จะรอดได้นานถึง 11 ปี?
อากาศ
อากาศ? นี่เป็นเหตุผลที่พี่พยามฝึกให้พวกเรากินอากาศมายาวนานนับหลายปีมานี้ เพื่อวันนี้
ถูกต้อง
ทำไมเราไม่ยอมสูญพันธุ์เหมือนพวกไดโนเสาร์ และตายไปพร้อมกับคนส่วนมาก แบบนี้พวกเราจะเหลือเพื่อนบ้านที่จะคุยด้วยสักกี่คน?
ประการแรกพวกเราไม่ใช่ไดโนเสาร์ ประการต่อมาพวกเราเป็นมนุษย์กินอากาศ หาใช่พวกงมงาย ประการสุดท้ายอาจไม่เหลือเพื่อนบ้านหรืออาจจะมีก็ได้ ทุกคนมีวิถีทางเป็นของตนเอง ทางรอดเป็นของตนเอง
หลังจากนั้นเล่า?
ถ้าโชคเข้าข้าง วันหนึ่งเราคงได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์อีกครั้ง เริ่มต้นกันใหม่
เราคงเป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่รอด และกลายเป็นสิ่งที่ต้องอนุรักษ์เอาไว้ เพราะใกล้สูญพันธุ์เต็มที น้องสาวกล่าวสรุปในที่สุด
อีก 8 วันหลังจากนั้น หลังจากที่พวกเขาเดินสำรวจถ้ำที่ภูเขาแห่งนี้กว่า 10 แห่ง เขาก็เลือกถ้ำที่มีลักษณะตรงตามที่ต้องการ นั่นคืออากาศจากภายนอกยากที่จะซึมผ่านเขาไปได้ หรือเข้าได้น้อยมาก มีแหล่งน้ำพอเพียง มีทำเลที่ดีต่อการอยู่อาศัยอย่างปลอดภัย แต่แล้วเครื่องวัดก๊าซมีเทนของเขาก็พลันส่งเสียงดังเตือนอีกครั้งในระดับอันตรายต่อชีวิต เขาพลันรีบเก็บเต้นเข้าสู่ภายในถ้ำทันทีหลังจากที่นอนอยู่บริเวณถ้ำแห่งนี้มาระยะนึงแล้ว เขาไม่ทันได้สังเกตบุคคลอื่นด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจเรื่องราวที่เขาและน้องสาวพยายามบอกอกไปในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวไปตามป่าเขาโดยไม่รู้เพทภัยร้ายแรงที่กำลังตามมา ทั้งเขาและน้องสาวยังถูกมองว่าเป็นพวกสติไม่ดี ชอบพูดจาเพ้อเจ้ออีกด้วย.....................................
11 ปีผ่านไป ในเช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางทะเลทรายที่ปกคลุมโลกอันเวิ้งว้างกว้างไกล ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวใดๆ ปราศจากต้นไม้ มีเพียงต้นกระบองเพชรและหญ้าทะเลทรายที่ปรากฏอยู่เพียงปละปลาย น้ำทะเลสีฟ้าใสปราศจากสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ สภาพอากาศที่ร้อนจัดราวเปลวไฟ ตึกรามบ้านช่องต่างๆล้วนถูกกลืนหายไปกับสายน้ำในมหาสมุทรที่รุกเข้ามาในแผ่นดินและบางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลทรายในตอนกลางของทวีปที่เหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่แล้วพลันปรากฏเงาร่าง 2 สายเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างไกลบริเวณตรงเส้นขอบฟ้า ลิบลับสุดสายตา.....
28 กุมภาพันธ์ 2553 09:44 น.
คีตากะ
คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ที่ที่ท่านได้ทำการก่อสร้างสะพาน ท่านก็ได้เกิดนิมิตประหลาด ท่านนิมิตไปว่า มีชีปะขาว หน้าตามีบุญ มีแสงสว่างออกจากตัว คล้ายมีแสงไฟกระจายอยู่ด้านหลัง ชีปะขาวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วกล่าวกับท่านว่า
เมื่อสะพานเสร็จแล้ว ท่านพึงจะละทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อน ออกธุดงค์ไปยังโคราชก่อน แล้วตัดทางออกไปอุบลราชธานี อย่าพึงรีบร้อนและลังเล เมื่อพักผ่อนอิริยาบถพอสมควรแล้ว ท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวเลย....
เส้นทางที่ชีปะขาวบอก คือข้ามจากอุบลราชธานีทางช่องเม็ก สู่แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดินตามเส้นทางป่าที่เชื่อมจำปาศักดิ์กับเมืองปากเซ ด้วยเป็นเส้นทางที่วิเวกและสามารถหลีกพ้นการรบกวนของผู้คนที่อาจจะทำให้หลวงปู่ต้องพักช่วยชาวบ้านเป็นระยะ ๆ หมดโอกาสจะไปยังสถานที่ที่ต้องการจะไปได้ หลวงปู่สุภาเดินทางพร้อมเครื่องบริขารธุดงค์ ตรงไปยังปากเซ สอบถามเส้นทางไปยังเมืองเซโปน ซึ่งได้ใช้เส้นทางป่าเหมือนที่มาจากนครจำปาศักดิ์ ผจญความยากลำบากและเภทภัยต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง
เพราะตอนนั้น ป่าแถบนั้นชุกชุมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ จากเซโปน สอบถามเส้นทางไปยังเมืองวัง เส้นทางช่วงนี้วิบากยิ่ง แต่หลวงปู่สุภาก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีชีปะขาวมานิมิตของเหตุอยู่เสมอตลอดทางชีปะขาวมาปรากฏในนิมิตอยู่เสมอว่า ถ้ำจุงจิง คือสถานที่ที่ท่านจะต้องเดินทางไปให้ถึง ไปให้ตลอด ที่นั่นคือจุดหมายปลายทาง
หลวงปู่สุภาจึงมีพลังใจและรุดหน้าเดินทางไปยังเมืองวัง และเดินทางต่อไปยังเมืองอ่างคำ อันป่าแถบนั้นยากที่จะมีผู้ใดบุกเข้าไปได้ ชาวบ้านบอกชัดเจนว่า พระธุดงค์หลายต่อหลายรูป ถามหาทางแล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลย และหลายคนห้ามหลวงปู่สุภาด้วยคำชาวบ้านง่าย ๆ ว่าอย่าเอาร่างกายไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายและไข้ป่า ตลอดจนภูตผีปีศาจเลย แม้พรานที่ว่าแก่วิชา ก็ยังต้องตามไปเอาศพกลับมาเผาเพื่อส่งวิญญาณ เมื่อไปพบสภาพศพดูทุเรศเป็นที่สุด
จากเมืองวังไปยังเมืองอ่างคำ หลวงปู่สุภาต้องผจญกับอาถรรพ์ต่าง ๆ นานาประการ หากแต่ได้วิชาที่เล่าเรียนมาแต่ต้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และธุดงควัตรอันบริสุทธิ์ของท่าน แก้ไขสถานการณ์จนรอดออกมาจากป่า บรรลุถึงเมืองอัตปือแสนปาง ที่นั่นหลวงปู่สุภามิอาจหาเส้นทางที่เข้าไปยังจุดที่จะถึงถ้ำจุงจิงได้ ที่สุดชีปะขาวต้องมานิมิตบอกท่านว่า มีคนพวกเดียวเท่านั้นที่จะพาหลวงปู่สุภาไปได้คือ พวกข่า
พวก ข่า เป็นพวกพรานป่าที่ชำนาญไพร และชำนาญด้านเส้นทางที่จะไปยังถ้ำจุงจิง หลวงปู่สุภาเดินทางมาจนถึงบ้านหนองไก่โห่ อันเป็นชุมชนของชาวข่าที่น้อยคนนักจะมาถึงได้ พวกข่าพบหลวงปู่สุภาแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามว่ารอดชีวิตจากป่าดงดิบ ดงดิบดำได้อย่างไร หลวงปู่สุภาจึงบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปถ้ำจุงจิงแก่ชาวข่า เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวข่าก็บอกกับท่านว่า
ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำอาถรรพ์ ไม่มีใครอยู่ได้ แม้แต่เฉียดเข้าไป ก็ถูกอาถรรพ์เล่นงานเอาจนตาย หรือเฉียดตาย แต่หากว่าท่านจะไป ก็จะนำทางให้ จะนำทางเพียงขึ้นไปที่ปากถ้ำเท่านั้น หลัวจากนั้น ให้หลวงปู่ให้ค่าจ้างเขาด้วยหน่อทองคำหลวงปู่สุภาจึงบอกกับพวกข่า
เราเป็นพระธุดงค์ ไม่มีทองคำหรือหน่อไม้ทองแต่ประการใดที่จะให้เป็นค่าแรง บอกทางด้วยปากเปล่าก็ได้ จะเดินไปเอง
พวกข่าจึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า
สะพานที่ทอดข้ามจากหนองไก่โห่ ไปยังเส้นทางเขาจุงจิง มีต้นไม้สีทองอุไรขึ้นอยู่มากมาย หากมีวิชาอาคมเด็ดยอดให้ขาดลงมา ทันทีที่ขาดใส่มือ ก็จะกลายสภาพเป็นหน่อทองคำทันที ขอหน่อนั้นให้พวกกระผม จะได้รอจนท่านกลับมา
หลวงปู่สุภาจึงรับปาก เขาจุงจิงนั้นเป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่าพระราชอาณาจักรลาวกับดินแดนของเวียดนาม หลวงปู่สุภาจึงข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจึงพบต้นไม้ที่ชาวข่าบอกให้ฟัง ความจริงนั้นหลวงปู่สุภาเล่าว่า
ไม่ใช่ต้นไม้ต้นไร่อะไรหรอก เป็นหน่องอกจากดิน สูงคืบหนึ่งบ้าง หนึ่งศอกบ้าง สองศอกบ้าง มีสีเหลืองเหมือนทอง เวลาต้องแสงแดดก็จะเปล่งประกายงดงามจับตายิ่งนัก พวกข่าต้องการมากทีเดียว
เมื่อเดินผ่านเข้าไป ท่านได้ระลึกอยู่ ๒ อย่าง คือ
-ประการแรก ได้รับปากกับชาวข่าไว้แล้วเรื่องให้หน่อไม้ทองเป็นรางวัล
-ประการที่สอง การจะหักหน่อทองคำเป็นอาบัติ ธุดงควัตรจะขาด และจะเกิดอันตราย จะต้องรักษาสองอย่างนี้ไว้ในเวลาเดียวกันหลวงปู่เล่าว่าเพ่งมองดูด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา ไม่มีความโลภอยากได้ เมื่อจิตเป็นเอกคตาแล้ว จึงนึกอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ขอเทพยดาอารักษ์ที่รักษาสถานที่นี้อยู่ ด้วย
อาตมาเดินทางมาด้วยนิมิตจิต ต้องการเพียงเล่าเรียนศึกษาแสวงหาทางนิพพาน แต่ได้รับปากชาวบ้านว่าจะให้หน่อไม้ทอง หากมิมีของให้พวกเขา ธุดงควัตรของอาตมาก็จะบกพร่องและเกิดอันตราย ขอเทพยดาได้เมตตาให้หน่อทองแก่อาตมาด้วยเถิดทันใดนั้นก็มีเสียงซู่ซ่า ต้นไม้ทองคำก็สั่นไหวไปมา และหลายต้นโน้มยอดเข้ามาทางที่ท่านเดินไปและหักกระเด็นออกมาเรี่ยรายอยู่กับพื้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเด็ดหรือทำการอย่างใดให้ต้องอาบัติ และเมื่อยอดตกหักถึงพื้น ก็กลายเป็นหน่อทองคำจริง ๆ เหมือนที่พวกข่าเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าได้หน่อทองคำพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุภาจึงบอกกับชาวข่าว่า บัดนี้เราได้หน่อทองแล้ว ขอให้พากันไปเก็บ แต่ต้องนำท่านไปส่งที่ถ้ำจุงจิงก่อน หาไม่แล้ว อาจไม่ได้ทอง เพราะเป็นจิตอธิษฐานของท่านเอง พวกข่าจึงตามท่านไปเก็บหน่อทอง และจึงช่วยกันนำหลวงปู่สุภาไปส่งยังถ้ำจุงจิง และลากลับไปหมู่บ้านของเขา หลวงปู่สุภาปักกลดอยู่ทางขึ้นถ้ำ ชีปะขาวก็มานิมิตอีก คราวนี้มาบอกชัดเจนเลยว่า
บนถ้ำจุงจิง มีพระอรหันต์หลายรูป แต่ละรูปเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ดำรงสังขารมานับเป็นพันปี และจะดำรงต่อไปจนกว่าจะพบพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ และเมื่อได้รับฟังพระธรรมจากท่านพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วจึงจะละสังขารไป ท่านจะได้พบด้วยตัวของท่านเองนั่นแหละ
หลวงปู่สุภาได้ขึ้นไปจำวัดอยู่บนถ้ำจุงจิงเป็นคืนแรก การขึ้นสู่ถ้ำจุงจิงนั้นยากลำบาก ต้องป่ายปีนไปตามซอกหิน จนได้ขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งมีแต่หมอกควันปกคลุมอยู่ แสงสว่างจากภายในไม่มี จากภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยเทียนนำทาง เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนตนเองอยู่ในเมืองลับแล คือไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เข้าวันใหม่ หลวงปู่สุภาจึงออกมานอกถ้ำ ที่หน้าถ้ำ หมอกได้สลายไปหมดแล้ว เห็นภูมิทัศน์ได้ถนัดตา มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นมียอดเขาและถ้ำอีกมากมาย แต่ไร้เส้นทางขึ้น เป็นหน้าผาล้วน ๆ ไม่มีก้อนหินและทางขึ้นไปได้ จึงได้แต่คิดว่า เราจะได้พบพระอาจารย์หรือพระอรหันต์ได้อย่างไร พอคิดแวบขึ้นมา มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสีเหลืองคล้ายจีวร เลื่อนลงมาจากปากถ้ำด้านบน รวดเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสีเหลือง ๆ นั้น มายืนอยู่ตรงหน้า เป็นพระภิกษุที่มีผิวพรรณวรรณะผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ครองผ้าแปลกไปกว่าที่หลวงปู่สุภาครองอยู่ แต่มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ให้สังเกตได้หลายประการ แล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็กล่าวขึ้นว่า
ไม่ต้องแปลกใจหรอก การลงมาเมื่อกี้นี้เป็นเพียงการอธิษฐานจิตเท่านั้นแหละ เอาเป็นว่า มาได้อย่างไร และทำไมจึงต้องมาที่นี่ บอกมาให้ละเอียด
หลวงปู่สุภาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอรหันต์จริง ๆ จะไม่กล่าวพาดพิงถึงการสำแดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่จะพูดเลี่ยงไปมา ด้วยพระอรหันต์นั้น หากแม้แสดงตัวหรืออะไรก็ตามที่ให้บุคคลที่สองรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ ต้องปาราชิก ฐานอวดอุตริมนุสธรรม แม้จะมีภูมิธรรมก็ตามที หลวงปู่สุภาจึงได้ตอบไปว่า
กระผมมาตามนิมิตที่ได้จากชีปะขาว จึงเดินทางมาจนถึงที่นี่ด้วยต้องการจะเล่าเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานที่สูงขึ้นกว่าที่ได้เรียนมา หากท่านมีเมตตาแล้ว ก็ช่วยสอนให้กับกระผมด้วยเถิด
พระรูปนั้นจึงกล่าวว่า ไม่ยากหรอก แต่ต้องเริ่มกันที่ การกำจัดสิ่งปฏิกูลออกจากตัวท่านก่อน อย่าลืมว่าท่านฉันภัตตาหารที่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่ สิ่งเหล่านั้นปะปนอยู่ในตัวท่านมากมาย ต้องนอนลงบนใบตอง ทำจิตให้มั่นคง และต่อไปเราจะสวดเพื่อขับไล่สิ่งที่เป็นคาวออกจากตัวท่านให้หมด เมื่อน้ำคาวออกหมดแล้วจึงจะสวมจีวรได้อีกครั้ง ระหว่างที่สวด จะต้องสวมแต่สบงเท่านั้น จีวรและอังสะต้องแยกออกไป ชำระล้างตัวแล้วจึงไปเรียนกับชีปะขาวหรือฤๅษีที่ไปนิมิตบอกท่านนั่นแหละ เรียนกับเขาด้านสมถะและด้านญาณโลกียะ ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญา แต่นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะสามารถแสดงฤทธิ์ขึ้นไปข้างบนที่เห็นอยู่ได้ เพื่อพบพวกเรา พวกเราอยู่กันบนนั้น มีอายุวัฒนะด้วยอิทธิบาท ๔ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสำแดงว่า จะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานตามที่ต้องการ เราจะอยู่จนพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาตรัสรู้ และได้ฟังธรรมะจากท่านแล้วจึงจะละสังขารไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข แต่ เอ๊ะ...
คุณยังมีภาระอยู่นี่ ยังทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับไปทำให้สำเร็จก่อนจะมาศึกษาเล่าเรียนได้ มันเป็นห่วงที่คอยขัดขวางการเล่าเรียนของคุณ กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน
หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า สะพานผมสร้างสำเร็จแล้ว ศาลาการเปรียญก็สำเร็จแล้ว ผมยังมีอะไรเป็นห่วงอีก พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า
สำเร็จแล้ว แต่คุณยังค้างชาวบ้านเขา ก็คุณบอกว่า จะทำการฉลองไง แล้วคุณไม่กลับไปฉลอง ก็เท่ากับคุณไม่ทำตามปากพูด เป็นมุสาวาท คุณกลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกันพอสิ้นคำพูดนั้น ร่างของภิกษุรูปนั้นก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนตอนที่ลงมาไม่มีผิด ท่านจึงต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม มาทำพิธีฉลองสะพานและสิ่งก่อสร้างในวัดเกาะสีคิ้ว ครั้นเตรียมตัวกลับไปใหม่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีพระมหาสมาน อยู่คณะ ๕ วัดหงส์รัตนาราม นิมนต์ให้ไปช่วยเป็นประธานปฏิสังขรณ์หมู่กุฏิและเสนาสนะในคณะ ๕ กว่าจะเสร็จกินเวลานาน และชีปะขาวก็มิได้มานิมิตอีกเลย เป็นอันว่าท่านไม่ได้กลับไปถ้ำจุงจิงอีกเลย ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็บอกกับศิษย์ว่าจำไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่วาสนาบารมีแต่ละคน สำหรับท่าน ไม่มีวาสนาบารมีจะได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ถ้ำจุงจิงเป็นแน่ จึงได้กลับไป