25 เมษายน 2553 09:38 น.
คีตากะ
เอาเรื่องจุดมุ่งหมายก่อนเลยละกัน
ทุกเหตุการณ์และประสบการณ์มีจุดหมายเพื่อสร้างโอกาส สภาวะหรือประสบการณ์ต่างๆ คือโอกาส ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น
ถือเป็นเรื่องผิดพลาดมากถ้าจะตัดสินเรื่องราวพวกนั้นว่าเป็น ผลงานของปีศาจร้าย การลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า สวรรค์ตกรางวัล หรืออะไรทำนองนี้ เพราะแท้จริงมันเป็นเพียงเหตุการณ์และประสบการณ์...เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
ทว่าเราคิดถึงมันในลักษณะไหน ปฏิบัติต่อมันอย่างไร หรือเราเป็นอย่างไร ในการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตรงนี้ต่างหากที่กำหนดว่ามันจะมีความหมายอะไรขึ้นมา
เหตุการณ์หรือประสบการณ์ต่างๆ คือโอกาสที่ถูกดึงดูดเข้าสู่ชีวิตเธอ (สร้างขึ้นจากตัวเธอเองทั้งในเชิงปัจเจกหรือรวมหมู่) ผ่านจิตสำนึก จิตสำนึกก่อให้เกิดประสบการณ์ เธอกำลังพยายามยกระดับจิตตัวเองและได้ดึงดูดโอกาสพวกนี้เข้าหาตัว เพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างและมีประสบการณ์ถึงตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่แท้จริงของเธอคือรูปธรรมแห่งจิตสำนึกขั้นสูงกว่าที่แสดงออกมาตอนนี้
เพราะเป็นเจตจำนงของฉันว่าเธอควรได้รู้และได้รับประสบการณ์ว่าเธอคือใคร ฉันจึงยอมให้เธอชักนำเอาเหตุการณ์หรือประสบการณ์ใดก็ได้ที่เธอเลือกจะสร้างเข้าสู่ชีวิตตัวเองได้
ผู้เล่นรายอื่นในเกมแห่งเอกภพได้เข้าร่วมกับเธอเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นผู้พบปะเพียงชั่วยาม ผู้ร่วมงานเพียงผิวเผิน เพื่อนร่วมกลุ่มเพียงชั่วคราว ผู้สัมพันธ์ระยะยาว ครอบครัวและเครือญาติ ผู้เป็นที่รัก หรือผู้ร่วมทางชีวิต
เธอเป็นผู้ดึงดูดดวงวิญญาณเหล่านี้เข้าสู่ชีวิต พวกเขาก็ดึงดูดเธอเข้าสู่ชีวิตตนด้วยเหมือนกัน นี่คือประสบการณ์ร่วมสร้างซึ่งแสดงถึงการเลือกและความปรารถนาของทั้งสองฝ่าย
ไม่มีใครเข้าสู่ชีวิตเธอโดยบังเอิญ
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแบบส่งเดช
ชีวิตหาใช่ผลพวงจากความบังเอิญ
เหตุการณ์ก็ไม่ต่างจากผู้คนตรงที่มันจะถูกดึงดูดเข้าสู่ชีวิตเธอโดยตัวเธอ....เพื่อรับใช้จุดหมายของเธอเอง ส่วนประสบการณ์และพัฒนาการในระดับสังคมจะเป็นผลจากจิตสำนึกรวมหมู่หรือจิตสำนึกกลุ่ม อะไรพวกนั้นจะถูกดึงดูดเข้าสู่กลุ่มของเธอ เพราะการเลือกและความปรารถนาของกลุ่ม
จิตสำนึกกลุ่มเป็นสิ่งซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจมากนัก ทว่ามันมีพลังสูงมาก และหลายต่อหลายครั้งหากไม่ระวังให้ดี จะครอบงำเหนือจิตสำนึกของปัจเจกได้เลย ฉะนั้นเธอต้องพยายามสร้างจิตสำนึกกลุ่มในทุกที่ที่เธอไป (และในทุกสิ่งที่เธอทำ)ไว้เสมอ ถ้าอยากให้ประสบการณ์ของสังคมโลกเป็นไปอย่างปรองดอง
หากเธออยู่ในกลุ่มที่มีจิตสำนึกไม่สอดคล้องกับตัวเธอ และตอนนี้ยังไม่อาจเปลี่ยนจิตสำนึกกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะฉลาดกว่าถ้าออกมาจากกลุ่มนั้นเสีย ไม่อย่างนั้นกลุ่มจะนำเธอ แล้วเธอก็ต้องเดินไปตามกลุ่มแทนที่จะไปยังที่ที่ตัวเองต้องการ
แต่ถ้าไม่พบกลุ่มที่จิตสำนึกไปกันได้กับของเธอ ก็ให้สร้างกลุ่มขึ้นมาเลย แล้วเธอจะดึงดูดผู้ที่มีจิตสำนึกแบบเดียวกันเข้ามาเอง
ถ้าอยากให้โลกใบนี้เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญและมั่นคงถาวรละก็ เหล่าปัจเจกและกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยทั้งหลายจะต้องสร้างผลสะเทือนต่อกลุ่มใหญ่ และส่งผลไปยังกลุ่มใหญ่ที่สุดในบั้นปลายซึ่งก็คือมนุษย์ชาติทั้งมวล
โลกของพวกเธอ (และสภาพอย่างที่เห็น) คือกระจกสะท้อนจิตสำนึกรวมหมู่ทั้งหมดของมนุษย์บนโลก
ถ้ามองไปรอบๆ ตัว เธอคงเห็นแล้วใช่ไหมว่ายังมีงานให้ต้องทำอีกมากเหลือเกิน เว้นแต่เธอจะพอใจกับโลกที่เป็นอยู่นี้
ที่น่าประหลาดก็คือ คนส่วนใหญ่พอใจกับโลกแบบนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมโลกถึงไม่เปลี่ยนไปไหนเลย
คนส่วนใหญ่พอใจกับโลกที่ให้ค่ากับความต่างมากกว่าความคล้าย โลกที่แก้ปัญหาความไม่เห็นพ้องด้วยการต่อสู้และสงคราม
คนส่วนใหญ่พอใจกับโลกที่ผู้เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด โลกที่อำนาจคือธรรม โลกที่การแข่งขันถือเป็นสิ่งจำเป็น และการพิชิตชัยหมายความถึงสิ่งที่ดีที่สุด
หากเผอิญว่าระบบเยี่ยงนั้นได้สร้าง ผู้แพ้ ขึ้นมา ก็ช่างหัวมันปะไร ตราบที่เธอยังไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
คนส่วนใหญ่ต่างพออกพอใจ แม้โลกใบนั้นจะทำให้ผู้คนต้องโดนเข่นฆ่า เมื่อถูกตัดสินว่า ผิด ต้องอดอยากและไร้ที่พักพิงเมื่อเป็น ผู้แพ้ ต้องถูกกดขี่และขูดรีดเมื่อไม่ได้เป็น ผู้เข้มแข็ง
คนส่วนใหญ่นิยามคำว่า ผิด ให้หมายถึงสิ่งซึ่งต่างไปจากของตน ไม่ต้องถือขันติอะไรโดยเฉพาะกับความต่างทางศาสนา เรื่อยไปจนถึงความไม่ลงรอยทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
การขูดรีดชนชั้นล่างถือเป็นเรื่องชอบธรรมด้วยประกาศแสนภาคภูมิของคนที่อยู่ข้างบนว่า ปัจจุบันชีวิตเหยื่อพวกนี้ดีขึ้นแค่ไหนแล้วเมื่อเทียบกับสมัยก่อนโดนขูดรีด ด้วยวิธีคิดแบบนี้ทำให้ชนชั้นบนละเลยประเด็นที่ว่า มนุษย์ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรถ้าเราเป็นธรรมกับเขาจริงๆ แทนที่จะเพียงให้ความเป็นอยู่ของคนพวกนั้นดีขึ้นมาสักขี้ปะติ๋ว...แล้วก็ฉกฉวยกำไรในข้อตกลงอย่างน่าชัง
คนส่วนใหญ่พากันหัวร่องอหาย เมื่อมีใครสักคนแนะถึงระบบสังคมแบบที่ต่างไปจากปัจจุบัน และพากันร้องบอกว่าพฤติกรรมเช่นการแข่งขัน การเข่นฆ่าและ ผู้ชนะย่อมได้ไป คือสิ่งที่ทำให้อารยธรรมของพวกตนยิ่งใหญ่ ! คนส่วนใหญ่ถึงขั้นคิดว่าไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว คิดว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้องแสดงออกแบบนี้ และการเปลี่ยนแนวพฤติกรรมใหม่จะฆ่าจิตวิญญาณภายใน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนมนุษย์สู่ความสำเร็จ (ไม่เห็นมีใครถามเลยว่า สำเร็จที่แลกมาด้วยอะไร ?)
ยากที่ผู้ตื่นรู้คนใดจะเข้าใจคือ คนบนโลกส่วนใหญ่เชื่อในปรัชญาการใช้ชีวิตแบบนี้ นี่ถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงดูดายต่อมวลชนผู้ทุกข์ยาก การกดขี่ชนกลุ่มน้อย ความขื่นแค้นของชนชั้นล่าง หรือความจำเป็นต่อการอยู่รอดของใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวเองและครอบครัว
คนส่วนใหญ่ไม่ได้ลืมตามองเลยว่าตัวเองกำลังทำลายโลกใบนี้อยู่ (โลกที่ให้ชีวิตแก่พวกเขานั่นละ) เพราะมุ่งเพียงแต่จะหาทางยกระดับคุณภาพชีวิต ที่น่าทึ่งคือคนเหล่านี้ไม่ได้มองการณ์ไกลพอจะสังเกตว่า ประโยชน์เฉพาะหน้าอาจก่อความสูญเสียระยะยาวได้ ซึ่งผลก็มักออกมาในรูปนั้น...และต่อไปก็จะเป็นแบบนั้นด้วย
คนส่วนใหญ่รู้สึกถูกคุกคามจากเรื่องจิตสำนึกกลุ่ม แนวคิดเรื่องประโยชน์ส่วนรวม ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโลกที่เป็นหนึ่งไม่แบ่งแยก หรือพระเจ้าผู้เป็นเอกภาพกับทุกสรรพสิ่งแทนที่จะแยกจากกัน
เพราะกลัวไปทุกเรื่องที่จะนำสู่การรวมตัว แต่กลับเห็นดีเห็นงามกับอะไรก็ตามที่จะนำไปสู่การแยกจาก สุดท้ายถึงได้มีแต่การแบ่งแยก ไม่ปรองดอง และบาดหมาง ทว่าดูเหมือนเธอไม่สามารถแม้แต่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเอง ฉะนั้นจึงคงพฤติกรรมแบบเดิมต่อไป...พร้อมผลลัพธ์เดิมๆ
การไม่สามารถมีประสบการณ์ถึงความทุกข์ยากของผู้อื่นว่าเป็นของตนนี้เอง ทำให้ทุกข์นั้นยังคงอยู่ต่อไป
การแบ่งแยกก่อให้เกิดความดูดายและความรู้สึกเหนือกว่าแบบจอมปลอม ความเป็นหนึ่งจะหล่อเลี้ยงเมตตาธรรมและความเท่าเทียมที่แท้
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกของเธอ (เกิดประจำมาร่วมสามพันปีแล้ว)คือภาพสะท้อนจิตสำนึกรวมหมู่ของ กลุ่มเธอ ....เป็นทั้งกลุ่มบนโลก
จิตสำนึกระดับนั้นอาจอธิบายได้ว่า ยังไม่โต
ถ้อยคำของพระเจ้า
จากหนังสือสนทนากับพระเจ้า
การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา เล่ม 2
Conversation with God
An uncommon dialogue Book 2
นีล โดนัลด์ วอลซ์ เขียน
อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา แปล
10 เมษายน 2553 03:28 น.
คีตากะ
ป่าเขตร้อนประเทศบราซิลในรัฐ มาโต กรอสโซ แผ่กว้างเป็นรูปร่างคล้ายร่มขนาดยักษ์ที่มีคุณค่าและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ป่าจำนวนมากและต้นไม้นานานพันธุ์ ได้ถูกคุกคามอย่างหนักจากปี 2544 ถึง 2547 บริเวณป่ามากกว่าหนึ่งล้านเอเคอร์ต้องสูญหายไป
ตามรายงานข้อมูลที่เก็บเรียบเรียงเมื่อเร็วๆ นี้โดยนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ความผิดอันใหญ่หลวง ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการทำลายป่าคือการทำปศุสัตว์เลี้ยงวัว นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาผู้เป็นนักเขียน เจอเรมี่ ริฟคิน กล่าวว่าแม้แต่ในปี 2523 แฮมเบอร์เกอร์ต่อหนึ่งชิ้นที่กินกันในอเมริกา ทำให้พื้นที่ป่า 6 ตารางเมตรกลายไปเป็นทุ่งหญ้า ขณะที่ต้นไม้ส่วนมากถูกตัดไปทำเป็นทุ่งหญ้า ป่าก็ถูกทำลายไปเพราะการปลูกถั่วเหลืองเพื่อส่งออกให้กับวัวในยุโรปด้วย
ตามข้อมูลที่ให้มาโดย เอฟเอโอ การทำลายป่าเพื่อทำให้เป็นทุ่งหญ้าและท้องนาสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ 5,291 พันล้านปอนด์ต่อปี เป็นตัวการหนึ่งที่มีผลมากที่สุดต่อก๊าซเรือนกระจก ในประเทศบราซิลและโบลิเวีย มีโครงการที่จะทำให้ป่าเกือบเจ็ดล้านครึ่งเอเคอร์สูญหายไปภายในปี 2553
หนึ่งในสามของผิวโลกที่ไม่มีน้ำแข็งปัจจุบันได้ถูกปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงวัว ขณะที่ 33 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่โลกที่เหมาะแก่การเพราะปลูกถูกนำไปใช้ปลูกพืชอาหารสำหรับสัตว์ การทำปศุสัตว์พื่อที่จะเลี้ยงประชากรที่เพิ่มขึ้นของโลกเราเป็นหนทางที่ขาดประสิทธิภาพมากที่สุด การที่จะให้ได้ผลผลิตเนื้อสัตว์ยอดรวม 127,868 ล้านปอนด์ต่อปี ปริมาณอาหาร 169,756 ล้านปอนด์ต่อปีจะต้องถูกใช้ไปในการเลี้ยงสัตว์
ปริมาณอาหาร(ส่วนต่าง)จำนวน 41,888 ล้านปอนด์ที่สูญเสียไปด้วยวิธีนี้สามารถเลี้ยงคนเป็นล้านล้านแทน และยังจะช่วยชีวิตสัตว์เป็นล้านล้านอีกด้วย จากการศึกษาอีกงานหนึ่ง พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายมีส่วนสำคัญมากในการทำให้โลกร้อน อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 3 องศาฟาเรนไฮ ที่ดินเพาะปลูกก็มีแนวโน้มสำคัญทำให้สิ่งแวดล้อมร้อนขึ้น ตามด้วยทุ่งหญ้า ในทางตรงกันข้ามป่าระเหยน้ำออกทางใบและราก มีผลสร้างความเย็นตามธรรมชาติ ปอดสีเขียวเหล่านี้ของโลกเรายังสามารถดูดซึมคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากและปล่อยออกซิเจนออกมาแทน ป่าแถบร้อนอะเมซอนเป็นตัวอย่างที่ผลิตออกซิเจนให้กับโลกมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่ค้นพบเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนมากว่า การที่จะป้องกันโลกร้อนและเกิดเป็นผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ อาหารมังสวิรัติเป็นทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลมากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยชีวิต....
2 เมษายน 2553 20:59 น.
คีตากะ
จากสาวสวยคนนึงเขียนถึงผู้ชายในเน็ท/ขอบอกว่าสุดยอด
ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล ส่วนสัด 34-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบา ทอัพต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณสองแสนเนี้ยแค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหมคะ มีใครในพันทิพ ห้องสินธร นี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพวกคุณ พวกที่ดิฉันคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆรายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะอุตริไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ
1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปต่อที่ไหนกันคะ ( ชื่อร้าน , ผับ , fitness, ฯลฯ)
2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ
3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ
4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ '
------------------------
หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มีเมล จากชายหนุ่มคนนึงส่งมาถึงเจ้าหล่อนว่า :
ถึงคุณสุดสวยครับ...
หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ
รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณห้าแสนบาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผม น่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ
จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลา ด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามตรง จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ ' ความสวย ' เพื่อแลกกับ ' เงิน ' เมื่อคุณมีความสวย และผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้นจืดจางลงทุกวัน ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามปี และมีแนวโน้มที่จะลดลงๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน
ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร ?
นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุกๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการ อาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะ ใช้วิธีการ ' ให้เช่าซื้อ ' แทน
แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ
ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่าคุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทแทนซะเอง ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง ( รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย) หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยคุณได้บ้าง อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสนใจ option ในบริการ ! ' เช่าซื้อ ' กรุณาติดต่อผม..... เพื่อทำ Bid offer ในโอกาสต่อไป ***** *********
2 เมษายน 2553 20:35 น.
คีตากะ
ในประเทศอินเดีย มีพระราชาองค์หนึ่งเดินทางไปพบอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม และสามารถอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งในจักรวาลเพราะมีหลายคนได้เคยกราบทูลท่านว่า หากได้เห็นหน้ามหาอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีชีวิตอยุ่จะได้บุญกุศลมากสามารถเปลี่ยนแปลงกรรมของเราทั้งหมดรวมถึงกรรมที่เราสร้างมาทุกภพทุกชาติ ได้ประโยชน์มากมายมหาศาล ดังนั้นพระราชาจึงเสด็จไปพบพระองค์ ได้ถามมหาอาจารย์ท่านนั้นว่า ข้าได้ยินมาว่าหากเห็นหน้ามหาอาจารย์ท่านหนึ่งกรรมจะถูกล้างได้เร็วมาก เรื่องนี้จริงเท็จเพียวใด ข้าเห็นท่านแล้ว ข้าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง มหาอาจารย์ท่านนี้ได้ตอบไปว่า ท่านสร้างเหตุอะไรไว้ก็จะได้ผลอย่างนั้น เมื่อพูดจบได้ส่งเสด็จพระราชากลับพระราชวัง
พระราชารู้สึกผิดหวังมาก ได้ยินมาว่าเห็นหน้ามหาอาจารย์ (หรือพุทธะที่มีชีวิตอยู่) จะได้บุญมาก มีประโยชน์มาก แต่ท่านกลับบอกข้าเพียงคำว่า ท่านสร้างเหตุอะไรไว้ก็จะได้ผลอย่างนั้น ซึ่งข้อนี้ข้าก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว หากเป็นเช่นนี้ข้าไม่เห็นท่านมีอะไรดี พระองค์ทรงกลุ้มพระทัยอย่างมาก เพราะว่าในตอนนั้นชื่อเสียงของบ้านเมืองไม่ดี หวังว่าหลังจากได้เห็นหน้ามหาอาจารย์แล้วจะช่วยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าท่านกลับพูดเช่นนั้น พระราชากลับพระราชวังแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายมาก จึงได้เสด็จไปล่าสัตว์ ในที่สุดต้องหลงทางเพราะไปตามล่ากระต่ายตัวหนึ่งโดยเดินเข้าไปในที่ลึกของป่า พระองค์รู้สึกเหนื่อยมากจึงได้นอนพักผ่อน
ในระหว่างที่นอนหลับพระราชาได้ฝันว่าตนกลายเป็นชาวนาคนหนึ่งยากจนมาก และกำลังเจอกับความอดอยาก ทั้งหมู่บ้านไม่มีของกิน ในบ้านของเขายังมีลูกอีก 10 กว่าคน มีภรรยาคนหนึ่ง มีพ่อแม่ และจนมากถึงขนาดที่ว่าของกินชิ้นหนึ่งก็ไม่มี เขาหิวมาก จึงวิ่งออกไปข้างนอก เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งบนต้นมีผลไม้รสเปรี้ยวชนิดหนึ่งจึงได้รีบปีนขึ้นไปเก็บผลไม้กิน แต่ร่างกายเขาอ่อนแอมาก ยังเด็ดผลไม้ไม่ได้ก็ตกลงมาเสียก่อน ตกลงมาแล้วเขาก็ตื่นจากความฝันและเห็นตัวเองนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ เสื้อผ้าเปื้อนด้วยฝุ่น เวลานั้นเขารู้สึกทุกข์ใจมาก เขาได้รำพึงในใจว่า วันนี้เห็นมหาอาจารย์ท่านนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่กลับมีฝันที่แปลกๆเช่นนี้ ต่อไปจะไม่ไปหาท่านอีกแล้วดีกว่า
เป็นเพราะว่าเขาหลงทาง เพราะฉะนั้นผู้ติดตามก็หายไปด้วย เหลือแต่ตัวคนเดียว หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมารู้สึกหิวมาก จึงได้ขี่ม้าไปหาของกิน เขาได้เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พอเขามาเห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาและบอกเขาว่า เป็นเธอนี่เอง พวกเราเพิ่งหาเธอพบ เธอกลับไปหลบที่ไหนก็ไม่รู้ และไม่ได้นำเอาของกินอะไรมาให้เลย แต่กลับไปขโมยเสื้อผ้าเขามาใส่และแต่งตัวสวยแบบนี้ แล้วเธอไปขโมยม้าเขามาอีก ทำไมเธอถึงกลายเป็นคนเลวในชั่วพริบตาได้
กษัตริย์องค์นี้ฟังแล้วรู้สึกแปลกใจมาก และกล่าวว่า น่าแปลกจัง พวกเธอเข้าใจผิดหรือเปล่า ฉันเป็นพระราชานะ พวกเขาไม่เชื่อ โดยกล่าวว่า ทำไมเธอพูดอย่างนี้ เรียกตัวเองว่าเป็นพระราชาได้อย่างไร จากนั้นพวกเขาก็ดึงเขาไป โดยคนหนึ่งดึงข้างหนึ่ง อีกคนหนึ่งดึงอีกข้างหนึ่ง ดึงไปด้วยบอกเขาไปด้วยว่า ภรรยาเธออยู่นี่ ลูกๆก็มีเยอะมาก พ่อแม่ไม่มีใครเลี้ยงดู และยังมาบอกว่าตนยังเป็นพระราชาอีก เหลวไหลสิ้นดี พวกเขาคิดว่าพระราชาคนนี้กำลังฝัน ก็เลยดีเขาและยังเล่าเรื่องอีกมากให้ฟังด้วย จนพระราชาไม่สามารถอธิบายอะไรได้อีกเลย
ในขณะนี้ผู้ติดตามก็มาถึงพอดีและมหาอาจารย์ก็ปรากฏ พระราชาจึงรีบพูดว่า อาจารย์นี่มันอะไรกัน พวกเขาบอกฉันเป็นสามีของเธอและเด็กๆพวกนี้คือลูกของฉัน พระราชาเห็นเด็กมากมายเขารู้สึกกลัว มหาอาจารย์ได้บอกกับเขาว่า ฉันเคยบอกเธอแล้วไงว่า สร้างเหตุอะไรก็จะได้ผลอย่างนั้น พระราชายังคงไม่เข้าใจ เขาได้ขอให้มหาอาจารย์อธิบาย มหาอาจารย์ได้กล่าวว่า ชีวิตของเธอถูกลิขิตไว้แล้วว่า จะต้องเป็นชาวนาที่อดอยาก 60 กว่าปี และมีลูกๆมากมาย มีพ่อแม่และภรรยาต้องดูแล แต่เป็นเพราะว่าเมื่อวานเธอมาหาฉัน ฉันจึงได้เอากรรมลิขิตของเธอมาเปลี่ยนแปลงเป็นความฝันแค่ 5 นาที หรือ 10 นาที เท่านั้น ก็เป็นเช่นนี้แหละ พอถึงตอนนี้กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างทั้งหลายก็เข้าใจแล้วด้วย จึงได้ปลอบใจครอบครัวชาวนานี้ว่า เดิมทีเขาต้องมาเป็นสามีของเธอ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาคือพระราชาที่แท้จริง เพียงแต่ว่าลักษณะภายนอกเขาดูเหมือนชาวนาสามีของเธอมากเท่านั้น
พระโพธิสัตว์สามารถเปลี่ยนแปลงปรับปรุงทั้งจักรวาลได้และสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเธออ่านคัมภีร์จะรู้ว่าข้างในจะมีกล่าวไว้ว่า พระโพธิสัตว์สามารถย่อส่วนของจักรวาลให้เล็กลง และเอาไปไว้ในรูขนของท่าน เคยได้ยินหรือเปล่า พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ ท่านสามารถที่จะย่อส่วนของประเทศ 2 ประเทศให้เล็กลง และใส่ไว้ในบาตรของท่าน พระโพธิสัตว์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ทุกอย่าง จักรวาลทั้งจักรวาลนำไปไว้ในใจของท่านก็ไม่เป็นไร แต่ว่าไม่มีใครทราบว่าจักรวาลอยู่ในใจของท่าน สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล ต่างก็ไม่ทราบว่าพวกเขาอยู่ในรูขนของท่าน นี่แสดงให้รู้ว่าพลังของพระโพธิสัตว์ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์จริง
ปราศรัยโดยท่านอาจารย์ชิงไห่
ผิงตง ฟอร์โมซา
30 มกราคม 2531
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)