25 เมษายน 2553 09:38 น.

จิตสำนึก....

คีตากะ

BE7_%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AAเอาเรื่องจุดมุ่งหมายก่อนเลยละกัน
               ทุกเหตุการณ์และประสบการณ์มีจุดหมายเพื่อสร้างโอกาส สภาวะหรือประสบการณ์ต่างๆ คือโอกาส ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น
                ถือเป็นเรื่องผิดพลาดมากถ้าจะตัดสินเรื่องราวพวกนั้นว่าเป็น ผลงานของปีศาจร้าย การลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า สวรรค์ตกรางวัล หรืออะไรทำนองนี้ เพราะแท้จริงมันเป็นเพียงเหตุการณ์และประสบการณ์...เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
                 ทว่าเราคิดถึงมันในลักษณะไหน ปฏิบัติต่อมันอย่างไร หรือเราเป็นอย่างไร ในการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตรงนี้ต่างหากที่กำหนดว่ามันจะมีความหมายอะไรขึ้นมา
                 เหตุการณ์หรือประสบการณ์ต่างๆ คือโอกาสที่ถูกดึงดูดเข้าสู่ชีวิตเธอ (สร้างขึ้นจากตัวเธอเองทั้งในเชิงปัจเจกหรือรวมหมู่) ผ่านจิตสำนึก จิตสำนึกก่อให้เกิดประสบการณ์ เธอกำลังพยายามยกระดับจิตตัวเองและได้ดึงดูดโอกาสพวกนี้เข้าหาตัว เพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างและมีประสบการณ์ถึงตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่แท้จริงของเธอคือรูปธรรมแห่งจิตสำนึกขั้นสูงกว่าที่แสดงออกมาตอนนี้
                 เพราะเป็นเจตจำนงของฉันว่าเธอควรได้รู้และได้รับประสบการณ์ว่าเธอคือใคร ฉันจึงยอมให้เธอชักนำเอาเหตุการณ์หรือประสบการณ์ใดก็ได้ที่เธอเลือกจะสร้างเข้าสู่ชีวิตตัวเองได้
ผู้เล่นรายอื่นในเกมแห่งเอกภพได้เข้าร่วมกับเธอเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นผู้พบปะเพียงชั่วยาม ผู้ร่วมงานเพียงผิวเผิน เพื่อนร่วมกลุ่มเพียงชั่วคราว ผู้สัมพันธ์ระยะยาว ครอบครัวและเครือญาติ ผู้เป็นที่รัก หรือผู้ร่วมทางชีวิต
                เธอเป็นผู้ดึงดูดดวงวิญญาณเหล่านี้เข้าสู่ชีวิต พวกเขาก็ดึงดูดเธอเข้าสู่ชีวิตตนด้วยเหมือนกัน นี่คือประสบการณ์ร่วมสร้างซึ่งแสดงถึงการเลือกและความปรารถนาของทั้งสองฝ่าย
               ไม่มีใครเข้าสู่ชีวิตเธอโดยบังเอิญ
                ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ
                ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแบบส่งเดช
                 ชีวิตหาใช่ผลพวงจากความบังเอิญ
                
                  เหตุการณ์ก็ไม่ต่างจากผู้คนตรงที่มันจะถูกดึงดูดเข้าสู่ชีวิตเธอโดยตัวเธอ....เพื่อรับใช้จุดหมายของเธอเอง ส่วนประสบการณ์และพัฒนาการในระดับสังคมจะเป็นผลจากจิตสำนึกรวมหมู่หรือจิตสำนึกกลุ่ม อะไรพวกนั้นจะถูกดึงดูดเข้าสู่กลุ่มของเธอ เพราะการเลือกและความปรารถนาของกลุ่ม

                 จิตสำนึกกลุ่มเป็นสิ่งซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจมากนัก ทว่ามันมีพลังสูงมาก และหลายต่อหลายครั้งหากไม่ระวังให้ดี จะครอบงำเหนือจิตสำนึกของปัจเจกได้เลย ฉะนั้นเธอต้องพยายามสร้างจิตสำนึกกลุ่มในทุกที่ที่เธอไป (และในทุกสิ่งที่เธอทำ)ไว้เสมอ ถ้าอยากให้ประสบการณ์ของสังคมโลกเป็นไปอย่างปรองดอง
                 หากเธออยู่ในกลุ่มที่มีจิตสำนึกไม่สอดคล้องกับตัวเธอ และตอนนี้ยังไม่อาจเปลี่ยนจิตสำนึกกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะฉลาดกว่าถ้าออกมาจากกลุ่มนั้นเสีย ไม่อย่างนั้นกลุ่มจะนำเธอ แล้วเธอก็ต้องเดินไปตามกลุ่มแทนที่จะไปยังที่ที่ตัวเองต้องการ
                  แต่ถ้าไม่พบกลุ่มที่จิตสำนึกไปกันได้กับของเธอ ก็ให้สร้างกลุ่มขึ้นมาเลย แล้วเธอจะดึงดูดผู้ที่มีจิตสำนึกแบบเดียวกันเข้ามาเอง
                 ถ้าอยากให้โลกใบนี้เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญและมั่นคงถาวรละก็ เหล่าปัจเจกและกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยทั้งหลายจะต้องสร้างผลสะเทือนต่อกลุ่มใหญ่ และส่งผลไปยังกลุ่มใหญ่ที่สุดในบั้นปลายซึ่งก็คือมนุษย์ชาติทั้งมวล
                 โลกของพวกเธอ (และสภาพอย่างที่เห็น) คือกระจกสะท้อนจิตสำนึกรวมหมู่ทั้งหมดของมนุษย์บนโลก
                 ถ้ามองไปรอบๆ ตัว เธอคงเห็นแล้วใช่ไหมว่ายังมีงานให้ต้องทำอีกมากเหลือเกิน เว้นแต่เธอจะพอใจกับโลกที่เป็นอยู่นี้
               ที่น่าประหลาดก็คือ คนส่วนใหญ่พอใจกับโลกแบบนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมโลกถึงไม่เปลี่ยนไปไหนเลย
                คนส่วนใหญ่พอใจกับโลกที่ให้ค่ากับความต่างมากกว่าความคล้าย โลกที่แก้ปัญหาความไม่เห็นพ้องด้วยการต่อสู้และสงคราม
คนส่วนใหญ่พอใจกับโลกที่ผู้เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด โลกที่อำนาจคือธรรม โลกที่การแข่งขันถือเป็นสิ่งจำเป็น และการพิชิตชัยหมายความถึงสิ่งที่ดีที่สุด
                  หากเผอิญว่าระบบเยี่ยงนั้นได้สร้าง ผู้แพ้ ขึ้นมา ก็ช่างหัวมันปะไร ตราบที่เธอยังไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
                  คนส่วนใหญ่ต่างพออกพอใจ แม้โลกใบนั้นจะทำให้ผู้คนต้องโดนเข่นฆ่า เมื่อถูกตัดสินว่า ผิด ต้องอดอยากและไร้ที่พักพิงเมื่อเป็น ผู้แพ้ ต้องถูกกดขี่และขูดรีดเมื่อไม่ได้เป็น ผู้เข้มแข็ง
                   คนส่วนใหญ่นิยามคำว่า ผิด ให้หมายถึงสิ่งซึ่งต่างไปจากของตน ไม่ต้องถือขันติอะไรโดยเฉพาะกับความต่างทางศาสนา เรื่อยไปจนถึงความไม่ลงรอยทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
                   การขูดรีดชนชั้นล่างถือเป็นเรื่องชอบธรรมด้วยประกาศแสนภาคภูมิของคนที่อยู่ข้างบนว่า ปัจจุบันชีวิตเหยื่อพวกนี้ดีขึ้นแค่ไหนแล้วเมื่อเทียบกับสมัยก่อนโดนขูดรีด ด้วยวิธีคิดแบบนี้ทำให้ชนชั้นบนละเลยประเด็นที่ว่า มนุษย์ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรถ้าเราเป็นธรรมกับเขาจริงๆ แทนที่จะเพียงให้ความเป็นอยู่ของคนพวกนั้นดีขึ้นมาสักขี้ปะติ๋ว...แล้วก็ฉกฉวยกำไรในข้อตกลงอย่างน่าชัง
                   คนส่วนใหญ่พากันหัวร่องอหาย เมื่อมีใครสักคนแนะถึงระบบสังคมแบบที่ต่างไปจากปัจจุบัน และพากันร้องบอกว่าพฤติกรรมเช่นการแข่งขัน การเข่นฆ่าและ ผู้ชนะย่อมได้ไป คือสิ่งที่ทำให้อารยธรรมของพวกตนยิ่งใหญ่ ! คนส่วนใหญ่ถึงขั้นคิดว่าไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว คิดว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้องแสดงออกแบบนี้ และการเปลี่ยนแนวพฤติกรรมใหม่จะฆ่าจิตวิญญาณภายใน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนมนุษย์สู่ความสำเร็จ (ไม่เห็นมีใครถามเลยว่า สำเร็จที่แลกมาด้วยอะไร ?) 
                    ยากที่ผู้ตื่นรู้คนใดจะเข้าใจคือ คนบนโลกส่วนใหญ่เชื่อในปรัชญาการใช้ชีวิตแบบนี้ นี่ถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงดูดายต่อมวลชนผู้ทุกข์ยาก การกดขี่ชนกลุ่มน้อย ความขื่นแค้นของชนชั้นล่าง หรือความจำเป็นต่อการอยู่รอดของใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวเองและครอบครัว
                  คนส่วนใหญ่ไม่ได้ลืมตามองเลยว่าตัวเองกำลังทำลายโลกใบนี้อยู่ (โลกที่ให้ชีวิตแก่พวกเขานั่นละ) เพราะมุ่งเพียงแต่จะหาทางยกระดับคุณภาพชีวิต ที่น่าทึ่งคือคนเหล่านี้ไม่ได้มองการณ์ไกลพอจะสังเกตว่า ประโยชน์เฉพาะหน้าอาจก่อความสูญเสียระยะยาวได้ ซึ่งผลก็มักออกมาในรูปนั้น...และต่อไปก็จะเป็นแบบนั้นด้วย
                 คนส่วนใหญ่รู้สึกถูกคุกคามจากเรื่องจิตสำนึกกลุ่ม แนวคิดเรื่องประโยชน์ส่วนรวม ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโลกที่เป็นหนึ่งไม่แบ่งแยก หรือพระเจ้าผู้เป็นเอกภาพกับทุกสรรพสิ่งแทนที่จะแยกจากกัน
                เพราะกลัวไปทุกเรื่องที่จะนำสู่การรวมตัว แต่กลับเห็นดีเห็นงามกับอะไรก็ตามที่จะนำไปสู่การแยกจาก สุดท้ายถึงได้มีแต่การแบ่งแยก ไม่ปรองดอง และบาดหมาง ทว่าดูเหมือนเธอไม่สามารถแม้แต่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเอง ฉะนั้นจึงคงพฤติกรรมแบบเดิมต่อไป...พร้อมผลลัพธ์เดิมๆ
                  การไม่สามารถมีประสบการณ์ถึงความทุกข์ยากของผู้อื่นว่าเป็นของตนนี้เอง ทำให้ทุกข์นั้นยังคงอยู่ต่อไป
                  การแบ่งแยกก่อให้เกิดความดูดายและความรู้สึกเหนือกว่าแบบจอมปลอม ความเป็นหนึ่งจะหล่อเลี้ยงเมตตาธรรมและความเท่าเทียมที่แท้
                  เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกของเธอ (เกิดประจำมาร่วมสามพันปีแล้ว)คือภาพสะท้อนจิตสำนึกรวมหมู่ของ กลุ่มเธอ ....เป็นทั้งกลุ่มบนโลก
                  จิตสำนึกระดับนั้นอาจอธิบายได้ว่า ยังไม่โต




ถ้อยคำของพระเจ้า
จากหนังสือสนทนากับพระเจ้า
การพูดคุยที่ไม่ธรรมดา เล่ม  2
Conversation with God
An uncommon dialogue Book 2
นีล โดนัลด์ วอลซ์  เขียน
อัฐพงศ์   เพลินพฤกษา  แปล
				
16 พฤศจิกายน 2563 15:06 น.

คนไททิ้งแผ่นดิน....

คีตากะ

methane%20plume-jj-001.jpg















               เช้าวันหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงบ ใบไม้ไม่ไหวติง ราวกับว่ากระแสลมจะหยุดพัดกวัดไกวไปตลอดกาลฉะนั้น ความหดหู่ วังเวง เข้าครอบคลุมตัวเมืองที่ผู้คนกำลังเร่งรีบกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง จนลืมมหาภัยที่กำลังรุกคืบเข้ามาอย่างเงียบๆ...

พี่ศร ! พี่ศร ! พี่ดูหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ซิ ! เคน บัณฑิตหนุ่มจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัย วิ่งเข้ามาในร้านอาหารร้องเรียกพี่ชายของเพื่อนซึ่งทำงานเป็นพ่อครัวหนุ่มอยู่ที่ร้านแห่งนี้ ด้วยแววตาตื่นตระหนกราวกับพบพานภูตผีปีศาจมาก็ปาน

พบซากปลาทะเลนับหมื่นตัวนอนตายลอยแพเกลื่อนในทะเลใกล้ชายฝั่ง นักวิทยาศาสตร์คาดกระแสน้ำอุ่นจากทะเลลึกพัดเข้าสู่บริเวณชายฝั่งทะเลน้ำตื้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์จากภาวะโลกร้อน ศร พ่อครัวหนุ่ม อดีตวิศกรมากว่า 10 ปี อ่านเสียงดังๆ พร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ในขณะที่มือยังวุ่นอยู่กับการล้างผักกองเท่าภูเขาที่อยู่ตรงหน้า หลังจากที่เขาเองพึ่งกลับมาจากตลาด เสียงหัวเราะขาดหายไป เขาพลันหันหน้ามาหาเพื่อนของน้องชายและยิ้ม พร้อมกับกล่าวว่า

เดือนที่แล้วปลานอนตายเป็นแพ พวกนักวิทยาศาสตร์บอกว่าสาเหตุเพราะน้ำเย็นเกินไป คราวนี้มาบอกว่าน้ำอุ่นเกินไป สรุปว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือนักประสาทวิทยากันแน่ ฮา ฮา

ผมว่านี่จะต้องเป็นจอมวายร้าย มีเทน อย่างที่พี่เคยบอกผมแน่ๆ เคน ยังมีสีหน้าตื่นตระหนก พร้อมกับกล่าวต่อว่า

หลังจากที่พี่บอกผมเกี่ยวกับเรื่องก๊าซมีเทน ผมได้ทำการค้นคว้าศึกษาหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากมายจนเข้าใจ ผมว่ามีไม่กี่คนในประเทศหรอกที่จะเข้าใจเหมือนพวกเรา

ศร ตบไหล่น้องชายเบาๆ โดยไม่พูดจา เคนจึงถามขึ้นว่า
แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปกันดีหล่ะ ผมบอกพ่อกับแม่แต่ไม่มีใครเชื่อสักคน ไม่มีใครรู้เรื่องมีเทน ทุกคนเพิกเฉย

มี 2 ทางให้เลือก หนึ่ง รอความตายอยู่ที่นี่และสวดมนต์ สอง หนีไปผจญภัยข้างหน้าแบบเสี่ยงโชคตายเอาดาบหน้า ศร กล่าวขึ้นในที่สุด

พี่ไปทางไหน ผมก็ไปด้วย ถ้าแม้แต่เราทั้งคู่ยังไม่รอด ทั้งประเทศนี้คงไม่มีใครรอด จะมีใครรู้เรื่องก๊าซมีเทนได้มากกว่าเราอีก ผมค้นคว้าข้อมูลมานาน อย่างน้อยๆ เวลาตายไป ยมบาลถามว่า เจ้าเป็นอะไรตาย? ผมยังสามารถตอบได้ว่า สูดก๊าซมีเทนเข้าไปครับ! แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่แน่ว่าจะตอบได้เหมือนผม  เคน กล่าวด้วยท่าทีภาคภูมิใจ 

ความคิดไม่เลว ฮา ฮา ศร อดหัวร่อออกมาไม่ได้ พร้อมกับกล่าวเสริมว่า

อย่างน้อยรู้ว่าตายเพราะอะไร ยังดีว่าตายแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ฮา ฮา

ผมเริ่มสงสัยตั้งแต่ แม่น้ำโขงแห้งแล้วแหล่ะ โลกร้อนทำพิษ น้ำระเหยเร็วผิดปกติ ฝนไม่ตกต่อเนื่อง น้ำแข็งละลายไวที่แหล่งต้นน้ำคือภูเขาหิมาลัย ไหนจะการแก่งแย่งน้ำกันจากการสร้างเขื่นของประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ทำให้โขงตอนปลายไม่เหลือน้ำ ประชาชนเดือดร้อนกันทั่วหน้า เคน สาธายายต่อ เนื่องจากยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก จึงยังไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้าน ทำให้ทั้งคู่มีเวลาพูดจากันตามประสาพี่น้องมากกว่าปกติ ถ้าเวลาสายหน่อยเริ่มมีคนเดินทางไปทำงาน ศรก็มักจะง่วนอยู่แต่ในครัวจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน จะว่างอีกทีก็ตอนที่คนเดินทางไปทำงานกันหมดแล้ว จะมีขาจรบ้างปละปลาย และจะยุ่งอีกครั้งก็ตอนพักเที่ยงและเย็นหลังเลิกงาน ที่พยาธิในท้องของผู้คนเริ่มหิวกระหายขึ้นมาอีกนั่นแหละ

ปีนี้ภัยแล้งเห็นได้ชัดเจนมาก ชาวนาบางรายไม่สามารถทำนาปรังได้ถึงกับฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้สินที่ท่วมตัว นับวันโลกร้อนจะรุนแรงมากขึ้น ช่วงนี้ผมพยายามทำบุญให้มากที่สุด กลัวว่าเวลาตายไปจะไม่มีอะไรติดตัวไปปรโลก เคน สาธายายต่อตามประสาวัยรุ่นที่มีจินตนาการกับความจริงผสมปนเปกันราวกับเป็นเรื่องเดียวกัน 

พี่ ศร แต่ผมสงสัยว่าก๊าซมีเทนที่เกิดจากการสะสมของซากพืชซากสัตว์นับล้านปี ทั่วแผ่นดินและทะเล เวลามันผุดขึ้นมาพร้อมกัน จะมีความรุนแรงขนาดไหนและมันจะแพร่อยู่ในอากาศได้กี่ปีครับ ในที่สุด เคน ก็ตั้งคำถามออกมา

อันนี้ต้องสอบถามจากพวกไดโนเสาร์ น่าจะรู้ดี ศร ตอบแบบติดตลกก่อนจะอธิบายต่อ

ในประเทศเรา บริเวณอ่าวไทยมีก๊าซธรรมชาติมากมายมหาศาล เขากล่าวว่ามีให้ผลาญได้อีกหลายสิบปีจนอาจถึง 100 ปีเลยทีเดียว ก๊าซธรรมชาติพวกนี้แหละที่สามารถแยกออกมาเป็นก๊าซมีเทน ที่รู้จักกันในชื่อ NGV และก๊าซหุงต้มที่สกัดเอามีเทนออกแล้วเรียกว่า LPG ซึ่งใช้ในครัวนี่ไง ทำไมประเทศเราราคา NGV ถึงถูกกว่าน้ำมันหล่ะ ก็เพราะเรามีแหล่งวัตถุดิบมากมายมหาศาลเพียงพอที่จะใช้ไปได้อีกนาน ในขณะที่เราแทบไม่มีบ่อน้ำมันเลย ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก น้ำมันเลยแพงกว่ามาก ก๊าซมีเทนมีประโยชน์มากในแง่อุตสาหกรรม แต่มันก็เป็นก๊าซเรือนกระจกที่อันตรายที่สุดในการทำให้โลกร้อนขึ้น เช่นจากฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทนจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุด ตามเหมืองแร่บางแห่งที่เกิดการระเบิดก็ล้วนมาจากคุณสมบัติการจุดติดไฟได้ง่ายของก๊าซมีเทนที่เกิดการรั่วซึมจากชั้นใต้ดิน เหมืองแร่หลายแห่งในประเทศจีนเกิดการระเบิด คนงานเสียชีวิต ส่วนใหญ่มาจากก๊าซไร้สี ไร้กลิ่น อย่างก๊าซมีเทนนี่เอง นอกจากนั้นน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมมีเทนก้อนที่อยู่ภายใต้ชั้นดินเยือกแข็งที่เรียกว่า permafrost  กำลังละลายและปลดปล่อยก๊าซมีเทนปริมาณมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศ เร่งภาวะโลกร้อนให้รุนแรงยิ่งขึ้น สร้างความหวาดผวาให้กับนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ขณะนี้ทั่วทุกหนทุกแห่งกำลังปลดปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ แต่ไม่มีใครู้ ใครเห็น ใครเข้าใจ นี่คือมหาภัยเงียบ เนื่องเพราะมันไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รูปลักษณ์ ไร้ชีวิต ! ยากแก่การตรวจสอบ
ศร กล่าวเสียยืดยาวตามความรู้ที่เขามีเท่าที่สมองของเขาจะเค้นออกมาได้ ในขณะที่มือก็ยังวุ่นอยู่กับการจัดการผัก เขาหั่นผักเพื่อเตรียมใช้ในการประกอบอาหารตามเมนูประจำวันที่กำหนดไว้ คงไม่มีใครเชื่อว่าพ่อครัวลักษณะมอซอแบบนี้จะเคยมีอดีตอันโชกโชนผ่านงานมาหลายบริษัทเคยเป็นตั้งแต่ระดับวิศวกรจนถึงผู้จัดการโรงงานมาแล้ว บางทีนี่อาจเป็นงานท้าทายใหม่สำหรับคนแปลกประหลาดแบบเขาก็เป็นได้ เขาผิวปากฮำเพลงเบาๆ ก่อนที่จะกล่าวสืบต่อว่า

เมื่อกี้ถามว่าอะไรน่ะ?

ความรุนแรงของก๊าซมีเทนที่จะทำลายโลกครับและเวลาที่มันคงอยู่ในชั้นบรรยากาศ?

รับรองได้ว่าในช่วงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติต้องไม่เคยพบเจอแน่นอน แต่ไดโนเสาร์กลับรู้ดี และเสียดายที่มันไม่มีเวลาแม้แต่จะบันทึกเอาไว้ให้เรา มันคงอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ มิหนำซ้ำ มันสูญพันธุ์ทั้งที่หญ้าอาจยังคาอยู่ในปาก กำลังผสมพันธุ์ กำลังเล่นสนุก กำลังต่อสู้กัน กำลังหากิน หรือแม้กระทั่งกำลังนอนหลับ พวกมันไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาเพื่อบอกอะไรอีก ถึงมันจะพูดไม่ได้ตอนเป็นๆ แต่ซากศพของมันกลับพูดได้ !

ยังไงครับพี่ ผมชักเริ่มงงๆ เคน เริ่มทำหน้ามึนงง กับคำพูดของพี่ชายแปลกประหลาดคนนี้

ซากศพของพวกมันกลายเป็นซากฟอสซิลสะสมอยู่ในชั้นหิน ทำให้นักธรณีวิทยาค้นพบคำตอบ อย่างน้อยก็บางส่วน พวกเขานำซากของมันในชั้นหินมาคำนวณระยะเวลาย้อนหลังไปนับล้านปีและพบว่าพวกมันต่างล้มตายพร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกันกองเป็นซากศพดุจขุนเขา เป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะโลกร้อนพอดิบพอดี กระแสน้ำในมหาสมุทรหยุดไหล ชีวิตหยุดนิ่ง !

แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าพวกมันตายเพราะอะไร เคน ตั้งคำถาม

พวกเขาไม่รู้ แต่สันนิฐานเอาว่าเกิดการปลดปล่อยก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่าซึ่งรุนแรงพอๆกับไซยาไนด์กับก๊าซมีเทนจากท้องทะเล ศร ตอบ พร้อมกล่าวต่อไปว่า

แต่พวกเขาไม่พบอะไรเกี่ยวกับก๊าซมีเทนที่จะยืนยัน จากแท่งน้ำแข็งที่พวกเขาขุดเจาะมาได้จากบริเวณขั้วโลกเอามาศึกษา พวกเขาพบเพียงว่าในช่วงเวลานั้นมีเพียงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศสูงผิดปกติ

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นละครับ? เคน ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสา

พวกเขาพบว่าถ้าคาร์บอนไดออกไซด์มีมาก อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกก็จะสูงตามไปด้วย โดยเก็บข้อมูลในช่วงเวลา 600,000 ปีย้อนหลัง แต่กลับละเลยจอมวายร้ายอย่างมีเทนที่มันใช้เวลาดำรงอยู่ในชั้นบรรยากาศเพียงไม่เกิน 11 ปีก็จะสลายกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์สะสมในบรรยากาศแทน ส่วนใหญ่พวกเขาเก็บข้อมูลในช่วงเวลา 100 ปี ทำให้พวกเขาขาดเบาะแสของฆาตรกรตัวจริงไป ยิ่งการเก็บข้อมูลย้อนหลังไปถึงยุคไดโนเสาร์นับเวลากว่าร้อยล้านปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาย่อมยากจะพูดได้อย่างเต็มปากว่าพวกมันสูญพันธุ์เพราะสาเหตุอะไร จึงมีความขัดแย้งทางความคิดมากมายที่ผ่านมาในวงการวิทยาศาสตร์ บ้างก็ว่าเกิดโรคระบาด บ้างก็ว่าเกิดกระแสลมสุริยะจากดวงอาทิตย์พัดใส่ บ้างก็ว่าอุกาบาตพุ่งชนโลก บ้างก็ว่าน้ำท่วมโลก ก็ว่ากันไป แต่นั่นก็เป็นเรื่องของไดโนเสาร์ หาเกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างพวกเราไม่ ถ้าจะให้ดีพวกเขาควรกลับไปเกิดเป็นไดโนเสาร์และอยู่ในยุคนั้น น่าจะรู้คำตอบได้ดีที่สุด! 

ผมดูหนังเรื่อง 2012 วันสิ้นโลก และยังอ่านหนังสือเกี่ยวกับปี 2012 อีกหลายเล่มที่ออกมาเกร่อตลาดตอนนี้ แต่ไม่มีใครพูดถึงก๊าซมีเทนเลย พวกเขามักบอกว่าจะเกิดดวงดาวเรียงตัวกัน อะไรก็ไม่รู้ ผมว่าน้ำท่วมโลก แผ่นดินไหว สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด พายุเฮอริเคน จะกลายเป็นเรื่องเล็กกระจ้อยร่อยไปเลยถ้าเทียบกับก๊าซมีเทน จนกระทั่งผมพบเรื่องราวของปลาตายจำนวนมากในทะเลอ่าวไทยจากหนังสือพิมพ์ ผมจึงเริ่มเข้าใจว่าก๊าซมีเทนคืออะไร นี่แค่ปี 2010 มีเทนแผลงฤทธิ์ได้ขนาดนี้ แล้วปี 2012 จะขนาดไหน ตอนนั้นโลกคงร้อนกว่านี้มาก อุณหภูมิโลกแค่เฉลี่ยสูงขึ้นอีก 5-6 องศาเซลเซียสก็ถึงจุดหายนะล้างโลกแล้ว เวลานี้เฉลี่ยเริ่มแตะที่ 2 องศาแล้ว  ไม่ช้าพวกเราคงจบเห่กันหมด เคน แสดงความคิดเห็น

วิกกฤติทางภูมิอากาศ วิกฤติการขาดแคลนน้ำ วิกกฤติด้านอาหาร กำลังตามมา ประชาชนผู้เดือนร้อนกำลังลุกขึ้นมาเพราะพวกเขาไม่มีอะไรให้หวังได้อีกนอกจากรัฐบาล แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่รัฐบาล ภาวะโลกร้อนจะยังคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หากยังแก้ไขไม่ถูกจุดและเพิกเฉยต่อปัญหานี้กันอยู่ มนุษย์คงจะมีชะตากรรมเหมือนไดโนเสาร์เป็นแน่ ฮา ฮา ศร อธิบาย

ผมว่าโลกร้อนมันถึงจุดที่หวนกลับไม่ได้อีกแล้ว แก้อะไรไม่ได้อีกแล้ว เคน แสดงความเห็นด้วยอาการซึมเศร้า อย่างหมดอาลัยตายอยาก

ที่สำคัญมนุษย์กลับไปโทษคนอื่นว่าเป็นต้นตอของปัญหา แทนที่จะหันมามองตัวเองก่อนเป็นลำดับแรก ความขัดแย้งจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้นอย่างที่เห็นกันอยู่ ถ้าประชาชนอยู่ดีกินดีพวกเขาคงไม่อยากเหนื่อยออกมาเรียกร้องอะไร นอกจากนั้นมันยังขึ้นอยู่กับวินัยการจับจ่ายเงินของพวกเขาด้วย พวกเขามีทางเลือกน้อยมากและน่าเห็นใจจริงๆ ความบาดหมางกันของชนในชาตินับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากโลกร้อน อารมณ์เลยร้อนด้วย ศร กล่าวเสริมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน

แต่ภาพความขัดแย้งของมนุษย์ ได้กลบกระแสโลกร้อนในทีวีทุกช่อง สื่อทุกสื่อ ดึงความสนใจให้คนหันเหออกไปและสร้างความขัดแย้งต่อกันมากยิ่งขึ้นไปอีกทั่วทุกหย่อมหญ้า ทุกคนทำเพื่อประชาธิปไตย แต่ไม่ทำอะไรเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเอง น่าตลกจริงๆ  เคน แสดงความคิดเห็นด้วยอาการผิดหวังต่อเพื่อนร่วมชะตากรรม

ลิทธิบริโภคนิยม และทุนนิยมทำให้ก่อเกิดฟาร์มเลี้ยงวัว ฟาร์มเลี้ยงไก่ ฟาร์มเลี้ยงหมู ฟาร์มเลียงเป็ด ฟาร์มเลี้ยงปลา ฟาร์มเลี้ยงสัตว์จำนวนมหาศาลเพื่อใช้ทำอาหารและเสื้อผ้าเครื่องประดับ และยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน ป่าและทะเลถูกทำลายเพื่อการเพิ่มก๊าซเรือนกระจกอย่างมีเทนให้แก่ชั้นบรรยากาศในขณะที่ลดความสามารถในการดูดซับคาร์บอนลงจากการทำลายป่าจำนวนกว่าค่อนโลก ศร กล่าวเสริม

บางครั้งมนุษยชาติอาจถึงเวลาพักผ่อนแล้วในที่สุด เคน กล่าวสรุปในที่สุด

เราเคยเห็นระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิมากับนางาซากิ แบบเกาะทั้งเกาะจมหายในพริบตา แต่นั่นยังเทียบไม่ได้กับการปลดปล่อยก๊าซมีเทนพร้อมกัน หากมันจุดติดไฟในอากาศ ซึ่งแน่นอนมันง่ายมาก มันจะรุนแรงเทียบเท่าระเบิดนิวเคลียร์นับล้านลูกในเวลาเดียวกัน ในอดีตดวงดาวทั้งดวงกลับกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาจากอำนาจการทำลายล้างของมีเทนที่ถูกปลดปล่อยออกมา ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์ไม่เคยรับรู้ด้วยซ้ำ แต่ก็น่าแปลกที่เรารู้ได้อย่างไร อาจเป็นเพราะมีแต่คนแปลกๆ มักจะรู้เรื่องราวอะไรที่แปลกๆ ฮา ฮา ฮา ไอสน์ไตล์เคยบอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่ไอสน์ไตล์ไยไม่บ้าเช่นกันที่รู้และเข้าใจเรื่องราวที่คนทั้งโลกไม่มีใครรู้ กล่าวไปแล้วเขาควรจะนับว่าเป็นคนแปลกประหลาดที่สุดในโลกจึงจะถูก ไม่สมควรได้รับรางวัลโนเบล ฮา ฮา ศร อธิบายแบบติดตลก

แรกๆ เขาก็ถูกมองว่าเพี้ยน เช่นกัน แต่เวลาผ่านไปคำพูดอันเลื่อนลอยของเขาได้รับการพิสูจน์ด้วยสมการคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ว่ามันเป็นความจริง จากคนเพี้ยนเลยกลายเป็นวีรบุรุษในชั่วข้ามคืน เคน ให้ความเห็น

อาจจะจริง ! ศร สรุปในที่สุด
ประมาณ 1 สัปดาห์ต่อมา เคนขับรถมารับศรตอนเลิกงานและพากันไปนั่งคุยกันที่สวนสาธรณะใกล้ๆกับร้านอาหารที่ศรทำงานอยู่และไม่ไกลจากบ้านของเคนเท่าไร โดยเคนเป็นคนเริ่มต้นเปิดประเด็นก่อน

องค์การนาซ่าสรุปให้ฟังว่า โลกร้อนที่สุดในช่วง10 ปีที่ผ่านมานี้ โดยปีที่ร้อนที่สุดคือ 2548 รองลงมาคือปีที่แล้ว 2552 แต่ผมเดาว่าปีนี้ 2553 จะทุบสถิติโลกใหม่แน่นอน !  เคน หยุดเล็กน้อยก่อนจะแสดงความคิดเห็นต่อไปอีกว่า

ทุกอย่างมันกำลังเกิดขึ้นอย่างช้าๆและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ร่างกายคนก็พยายามปรับตัว หน้าหนาวที่แทบหายสาบสูญไปจากฤดูกาล ความผิดปกติของการตกของฝน อย่างล่าสุดที่เกิดหมอกควันที่ภาคเหนือ เขาพยายามทำฝนเทียมแต่กว่าจะสำเร็จได้ต้องทำตั้งหลายรอบเพราะความชื้นในอากาศมีน้อยมาก เมฆก็น้อย ภาระกิจเกือบล้มเหลวดีที่ยังตกมาหน่อยหนึ่งพอบรรเทาหมอกควันไปบ้างแต่ก็เปลืองสารเคมีไปเยอะ ไม่รู้คุ้มเปล่า

เมื่อขาดน้ำ จะขาดอาหารตามมา เพราะพืชผลการเกษตรเสียหายยับเยิน  ศร กล่าวเสริม

ข้าวยากหมากแพง เงินอาจไม่มีความหมายอีกต่อไป สินค้าแพง เงินจะเฟ้อแน่ๆ เคน แสดงทัศนะตามภูมิความรู้ของบัณฑิตจบใหม่ สาขาบริหารธุรกิจ

นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับ เราไม่มีแผ่นดินจะอยู่! ศร พูดขึ้นมาลอยๆ

ยังไงครับ? เคนถามด้วยความสงสัย

เคยได้ยินเรื่องคนไททิ้งแผ่นดินไหม? ศร ตั้งคำถาม

รู้สึกว่าจะเป็นหนังออกใหม่นี่ครับ ! เคน ตอบ

คนไทยเคยทิ้งแผ่นดินเพราะถูกรุกรานจากต่างชาติจนถอยร่นลงมาดินแดนขวานทองปัจจุบัน ศร อธิบาย

แต่ใครจะรู้ว่า โลกร้อนจะทำให้คนไทยต้องทิ้งแผ่นดินกลับขึ้นไป ย้อนรอยประวัติศาสตร์อีกครั้งก็เป็นได้ ศร พูดพร้อมกับทำตาแวววาวเหมือนมีเลศนัย

อย่างไงครับ? เคน ถามอีกครั้ง

3 ล้านปีก่อน เมื่อทวีปอเมริกาเหนือกับใต้เลื่อนมาชนกัน ทำให้กระแสน้ำอุ่นเดินทางเปลี่ยนทิศโดยเดินทางขึ้นเหนือไปถึงบริเวณขั้วโลกเหนือทำให้เกิดหิมะตกมากมายจนก่อเป็นก้อนน้ำแข็งปกคลุมทั้งทวีป นั่นแหละมันได้เริ่มต้นยุคน้ำแข็ง น้ำแข็งมาพร้อมกับการกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และการสิ้นสุดลงของสัตว์ยุคดึกดำบรรพพวกไดโนเสาร์ น้ำแข็งรักษาอุณหภูมิของโลกให้พอเหมาะกับสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน มันทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ออกสู่บรรยากาศ ทำให้โลกไม่ร้อนเกินไป ในขณะที่ก๊าซเรือนกระจกกลับรักษาความอบอุ่นให้แก่โลกโดยการกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในโลก ถ้าไม่มีมันโลกจะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งใบ ชีวิตอยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามันเข้มข้นมีมากเกินไปโลกก็จะร้อนเกินไปจนอยู่ไม่ได้เหมือนกัน สิ่งนั้นกำลังเกิดขึ้น
ในปัจจุบัน ! ศร อธิบายเสียยืดยาว และกล่าวต่อว่า

เมื่อโลกเย็นจัดน้ำในมหาสมุทรจะหายไปกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ถ้าโลกร้อนจัดน้ำแข็งขั้วโลกจะละลาย น้ำทะเลจะมีมากขึ้น เพิ่มสูงขึ้น นั่นคือน้ำแข็งกลายเป็นน้ำในมหาสมุทร ในอดีตแผ่นดินของประเทศไทยเคยจมอยู่ใต้ทะเลกว่าค่อนประเทศ สังเกตได้ว่าภาคอีสานมีแต่ทราย และเป็นทรายจากทะเลเสียด้วย ภาคกลางของประเทศทั้งหมดก็เคยอยู่ใต้ทะเลมาแล้ว มีการพบสุสานหอยหลายแห่ง เช่น ปทุมธานี ลำปาง ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้น้ำแข็งกำลังละลายอย่างรวดเร็ว ทะเลกำลังคืนถิ่นกลับสู่บ้านของมันเหมือนครั้งโบราณ ! คนไทยก็คงต้องกลับคืนถิ่นเช่นกัน !

คิดแล้วก็รู้สึกสยิวยังไงพิกล นะครับพี่ เคน รู้สึกขนลุก หนาวสั่นแปลกๆ เมื่อคิดว่าต้องถึงเวลาอพยพ ย้ายถิ่นฐานเหมือนในประวัติศาสตร์ มันไม่น่าสนุกเท่าไรถ้ามีชีวิตเป็นเดิมพันแบบนี้

ถ้าโลกไม่มีน้ำแข็งแล้ว มันคงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับมนุษย์ในยุคนี้แน่ๆ น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 100 เมตรเลยทีเดียว ประเทศไทยจะจมอยู่ใต้น้ำเกือบหมดไปจนถึงชายขอบจังหวัดอุตรดิตรเลยทีเดียว จะเหลือก็แต่ภาคอีสาน เพราะเป็นที่ราบสูง ศร กล่าวสรุป โดยอ้างอิงจากแผนที่ที่เขาเคยศึกษามา

แต่นักวิทยาศาสตร์เคยบอกว่า ถ้าโลกไม่มีน้ำแข็งเลย นั่นคือหายนะของคนทั้งโลกเลยทีเดียว! เคน แสดงความคิดเห็นตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา

กลียุคมาถึงแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ย่อมรอดพ้น แต่เผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวไม่ได้ หรือปรับไม่ทัน แน่นอน คงต้องถึงกาลอวสาน  เคน กล่าวสรุปบ้าง  พร้อมกับตั้งคำถามต่อไปอีกว่า

เป็นไปได้หรือไม่ว่าโลกจะกลับสู่ยุคน้ำแข็งเร็วขึ้น เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์เขาคาดการณ์กัน

อันนี้ไม่แน่ใจนะว่า ชีวิตจะรอดจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทันด่วนนี้ เพื่อไปสูญพันธุ์ในยุคน้ำแข็งได้หรือเปล่า ฮา ฮา ศร พูดติดตลก

ถ้าผมสูดมีเทนเข้าไปแล้วตายทันทีไม่ต้องทรมานก็คงดี ตายแบบสบาย เคน ตั้งแง่คิด

แต่จากประวัติศาสตร์ การสูดมีเทนเข้าไปจะทำให้สมองเกิดภาวะขาดออกซิเจน อย่างช้า 4 วันถึงจะตาย ศร กล่าว

โคตรทรมานเลย ! เคน แสดงความคิดเห็น

ตอนนี้เรามีเวลาไม่มากแล้ว ต้องเตรียมพร้อม เตรียมกระเป๋ายังชีพพวกของใช้จำเป็นเหมือนการไปค้างพักแรมลูกเสือ ถึงเวลา เห็นท่าไม่ดีก็รีบเผ่นกันก่อน ดีกว่ารอวันตาย อ้ออย่าลืมตุนอาหารแห้งไปด้วย พวกมาม่า เผือจะรอดได้อีกสัก 2-3 วัน ก่อนอดอาหารตาย อิอิอิ ศร กล่าวในที่สุด..............................................................................................................











ignite-methane-greenhouse-gas.jpg



katey_lakeMethaneFirePlume.jpg


methane%20spike-jj-001.jpg



methane_fire.jpg

ภาพนักวิทยาศาสตร์ขุดพื้นน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกพบก๊าซมีเทนลอยขึ้นมาสามารถจุดติดไฟได้




Oceanic%20Methane%20Ignited%20Our%20Atmo

ภาพการระเบิดของก๊าซมีเทนที่ผุดขึ้นมาจากท้องมหาสมุทรเมื่อเกิดการจุดติดไฟ (Oceanic Methane)




methyl-sulfonyl-methane-250x250.jpg

ภาพมีเทนก้อนหรือมีเทนแข็งที่สะสมอยู่ตามชั้นน้ำแข็งและแนวตะกอนใต้มหาสมุทร




bdfd6fca-e4de-4a9f-bcd6-2030ccfb2cb8.wid


methane_213181gm-a.jpg


methane.jpg

ภาพก๊าซมีเทนที่กำลังผุดขึ้นมาจากแหล่งน้ำเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้นบริเวณขั้วโลกเหนือ




gashydrate_thumb.jpg


methane_hydrate.jpg


GeoffMethaneMamba2.jpg


flaming_hydrate.jpg


MagsMethaneMamba.jpg


methane-mamba-3-6-09.jpg

ภาพการลุกติดไฟของมีเทนแข็งหรือมีเทนก้อนในห้องทดลอง





methane-cows.jpg

ภาพแสดงวัวซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถผลิตก๊าซมีเทน คาร์บอนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ถึง 51 %




carbon-emissions-agriculture-cow-methane

ภาพฟาร์มปศุสัตว์ซึ่งผลิตก๊าซมีเทนมากที่สุดจากกิจกรรมของมนุษย์มายาวนาน





flaming_cow.jpg


fire%20fart.gif

ภาพตลกของมีเทนที่ผลิตจากร่างกายมนุษย์





Image49.gif

กราฟแสดงปริมาณก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกพบว่ามันแปรผันโดยตรงต่อกัน





The%20Earth%20Burning%20off%20it's%20Met

ภาพจำลองเหตุการณ์ที่โลกเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนปริมาณมหาศาลและเกิดการระเบิดขึ้น				
10 เมษายน 2553 03:28 น.

ป่าผู้ปกป้องโลก....

คีตากะ

view43.jpg               ป่าเขตร้อนประเทศบราซิลในรัฐ มาโต กรอสโซ แผ่กว้างเป็นรูปร่างคล้ายร่มขนาดยักษ์ที่มีคุณค่าและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ป่าจำนวนมากและต้นไม้นานานพันธุ์ ได้ถูกคุกคามอย่างหนักจากปี 2544 ถึง 2547 บริเวณป่ามากกว่าหนึ่งล้านเอเคอร์ต้องสูญหายไป
	                ตามรายงานข้อมูลที่เก็บเรียบเรียงเมื่อเร็วๆ นี้โดยนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ความผิดอันใหญ่หลวง ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการทำลายป่าคือการทำปศุสัตว์เลี้ยงวัว นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาผู้เป็นนักเขียน เจอเรมี่ ริฟคิน กล่าวว่าแม้แต่ในปี 2523 แฮมเบอร์เกอร์ต่อหนึ่งชิ้นที่กินกันในอเมริกา ทำให้พื้นที่ป่า 6 ตารางเมตรกลายไปเป็นทุ่งหญ้า ขณะที่ต้นไม้ส่วนมากถูกตัดไปทำเป็นทุ่งหญ้า ป่าก็ถูกทำลายไปเพราะการปลูกถั่วเหลืองเพื่อส่งออกให้กับวัวในยุโรปด้วย
	                 ตามข้อมูลที่ให้มาโดย เอฟเอโอ การทำลายป่าเพื่อทำให้เป็นทุ่งหญ้าและท้องนาสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ 5,291 พันล้านปอนด์ต่อปี เป็นตัวการหนึ่งที่มีผลมากที่สุดต่อก๊าซเรือนกระจก ในประเทศบราซิลและโบลิเวีย มีโครงการที่จะทำให้ป่าเกือบเจ็ดล้านครึ่งเอเคอร์สูญหายไปภายในปี 2553
	                 หนึ่งในสามของผิวโลกที่ไม่มีน้ำแข็งปัจจุบันได้ถูกปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงวัว ขณะที่ 33 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่โลกที่เหมาะแก่การเพราะปลูกถูกนำไปใช้ปลูกพืชอาหารสำหรับสัตว์ การทำปศุสัตว์พื่อที่จะเลี้ยงประชากรที่เพิ่มขึ้นของโลกเราเป็นหนทางที่ขาดประสิทธิภาพมากที่สุด การที่จะให้ได้ผลผลิตเนื้อสัตว์ยอดรวม 127,868 ล้านปอนด์ต่อปี ปริมาณอาหาร 169,756 ล้านปอนด์ต่อปีจะต้องถูกใช้ไปในการเลี้ยงสัตว์
	                 ปริมาณอาหาร(ส่วนต่าง)จำนวน 41,888 ล้านปอนด์ที่สูญเสียไปด้วยวิธีนี้สามารถเลี้ยงคนเป็นล้านล้านแทน และยังจะช่วยชีวิตสัตว์เป็นล้านล้านอีกด้วย จากการศึกษาอีกงานหนึ่ง พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายมีส่วนสำคัญมากในการทำให้โลกร้อน อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 3 องศาฟาเรนไฮ ที่ดินเพาะปลูกก็มีแนวโน้มสำคัญทำให้สิ่งแวดล้อมร้อนขึ้น ตามด้วยทุ่งหญ้า ในทางตรงกันข้ามป่าระเหยน้ำออกทางใบและราก มีผลสร้างความเย็นตามธรรมชาติ ปอดสีเขียวเหล่านี้ของโลกเรายังสามารถดูดซึมคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากและปล่อยออกซิเจนออกมาแทน ป่าแถบร้อนอะเมซอนเป็นตัวอย่างที่ผลิตออกซิเจนให้กับโลกมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่ค้นพบเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนมากว่า การที่จะป้องกันโลกร้อนและเกิดเป็นผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ อาหารมังสวิรัติเป็นทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลมากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยชีวิต....
				
2 เมษายน 2553 20:59 น.

จาก Fwd ใน board pantip .....

คีตากะ

จากสาวสวยคนนึงเขียนถึงผู้ชายในเน็ท/ขอบอกว่าสุดยอด


             ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล ส่วนสัด 34-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบา ทอัพต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณสองแสนเนี้ยแค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหมคะ มีใครในพันทิพ ห้องสินธร นี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพวกคุณ พวกที่ดิฉันคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆรายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะอุตริไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ 

1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปต่อที่ไหนกันคะ ( ชื่อร้าน , ผับ , fitness, ฯลฯ) 
2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ 
3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ   
4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ ' 
------------------------ 
หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มีเมล จากชายหนุ่มคนนึงส่งมาถึงเจ้าหล่อนว่า :   

ถึงคุณสุดสวยครับ... 

                หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ 
รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณห้าแสนบาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผม น่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ 
จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลา ด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามตรง จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ ' ความสวย ' เพื่อแลกกับ ' เงิน ' เมื่อคุณมีความสวย และผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้นจืดจางลงทุกวัน ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามปี และมีแนวโน้มที่จะลดลงๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน 
               ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร ?
                นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุกๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการ อาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะ ใช้วิธีการ ' ให้เช่าซื้อ ' แทน 
แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ 
                ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่าคุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทแทนซะเอง ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง ( รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย) หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยคุณได้บ้าง อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสนใจ option ในบริการ ! ' เช่าซื้อ ' กรุณาติดต่อผม..... เพื่อทำ Bid offer ในโอกาสต่อไป ***** ********* 
  
  
				
2 เมษายน 2553 20:35 น.

พระราชากลายมาเป็นชาวนา.....

คีตากะ

               ในประเทศอินเดีย มีพระราชาองค์หนึ่งเดินทางไปพบอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม และสามารถอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งในจักรวาลเพราะมีหลายคนได้เคยกราบทูลท่านว่า หากได้เห็นหน้ามหาอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีชีวิตอยุ่จะได้บุญกุศลมากสามารถเปลี่ยนแปลงกรรมของเราทั้งหมดรวมถึงกรรมที่เราสร้างมาทุกภพทุกชาติ ได้ประโยชน์มากมายมหาศาล ดังนั้นพระราชาจึงเสด็จไปพบพระองค์ ได้ถามมหาอาจารย์ท่านนั้นว่า ข้าได้ยินมาว่าหากเห็นหน้ามหาอาจารย์ท่านหนึ่งกรรมจะถูกล้างได้เร็วมาก เรื่องนี้จริงเท็จเพียวใด ข้าเห็นท่านแล้ว ข้าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง มหาอาจารย์ท่านนี้ได้ตอบไปว่า ท่านสร้างเหตุอะไรไว้ก็จะได้ผลอย่างนั้น เมื่อพูดจบได้ส่งเสด็จพระราชากลับพระราชวัง
	               พระราชารู้สึกผิดหวังมาก ได้ยินมาว่าเห็นหน้ามหาอาจารย์ (หรือพุทธะที่มีชีวิตอยู่) จะได้บุญมาก มีประโยชน์มาก แต่ท่านกลับบอกข้าเพียงคำว่า ท่านสร้างเหตุอะไรไว้ก็จะได้ผลอย่างนั้น ซึ่งข้อนี้ข้าก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว หากเป็นเช่นนี้ข้าไม่เห็นท่านมีอะไรดี พระองค์ทรงกลุ้มพระทัยอย่างมาก เพราะว่าในตอนนั้นชื่อเสียงของบ้านเมืองไม่ดี หวังว่าหลังจากได้เห็นหน้ามหาอาจารย์แล้วจะช่วยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าท่านกลับพูดเช่นนั้น พระราชากลับพระราชวังแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายมาก จึงได้เสด็จไปล่าสัตว์ ในที่สุดต้องหลงทางเพราะไปตามล่ากระต่ายตัวหนึ่งโดยเดินเข้าไปในที่ลึกของป่า พระองค์รู้สึกเหนื่อยมากจึงได้นอนพักผ่อน
	               ในระหว่างที่นอนหลับพระราชาได้ฝันว่าตนกลายเป็นชาวนาคนหนึ่งยากจนมาก และกำลังเจอกับความอดอยาก ทั้งหมู่บ้านไม่มีของกิน ในบ้านของเขายังมีลูกอีก 10 กว่าคน มีภรรยาคนหนึ่ง มีพ่อแม่ และจนมากถึงขนาดที่ว่าของกินชิ้นหนึ่งก็ไม่มี เขาหิวมาก จึงวิ่งออกไปข้างนอก เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งบนต้นมีผลไม้รสเปรี้ยวชนิดหนึ่งจึงได้รีบปีนขึ้นไปเก็บผลไม้กิน แต่ร่างกายเขาอ่อนแอมาก ยังเด็ดผลไม้ไม่ได้ก็ตกลงมาเสียก่อน ตกลงมาแล้วเขาก็ตื่นจากความฝันและเห็นตัวเองนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ เสื้อผ้าเปื้อนด้วยฝุ่น เวลานั้นเขารู้สึกทุกข์ใจมาก เขาได้รำพึงในใจว่า วันนี้เห็นมหาอาจารย์ท่านนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่กลับมีฝันที่แปลกๆเช่นนี้ ต่อไปจะไม่ไปหาท่านอีกแล้วดีกว่า
	               เป็นเพราะว่าเขาหลงทาง เพราะฉะนั้นผู้ติดตามก็หายไปด้วย เหลือแต่ตัวคนเดียว หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมารู้สึกหิวมาก จึงได้ขี่ม้าไปหาของกิน เขาได้เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พอเขามาเห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาและบอกเขาว่า เป็นเธอนี่เอง พวกเราเพิ่งหาเธอพบ เธอกลับไปหลบที่ไหนก็ไม่รู้ และไม่ได้นำเอาของกินอะไรมาให้เลย แต่กลับไปขโมยเสื้อผ้าเขามาใส่และแต่งตัวสวยแบบนี้ แล้วเธอไปขโมยม้าเขามาอีก ทำไมเธอถึงกลายเป็นคนเลวในชั่วพริบตาได้
	              กษัตริย์องค์นี้ฟังแล้วรู้สึกแปลกใจมาก และกล่าวว่า น่าแปลกจัง พวกเธอเข้าใจผิดหรือเปล่า ฉันเป็นพระราชานะ พวกเขาไม่เชื่อ โดยกล่าวว่า ทำไมเธอพูดอย่างนี้ เรียกตัวเองว่าเป็นพระราชาได้อย่างไร จากนั้นพวกเขาก็ดึงเขาไป โดยคนหนึ่งดึงข้างหนึ่ง อีกคนหนึ่งดึงอีกข้างหนึ่ง ดึงไปด้วยบอกเขาไปด้วยว่า ภรรยาเธออยู่นี่ ลูกๆก็มีเยอะมาก พ่อแม่ไม่มีใครเลี้ยงดู และยังมาบอกว่าตนยังเป็นพระราชาอีก เหลวไหลสิ้นดี พวกเขาคิดว่าพระราชาคนนี้กำลังฝัน ก็เลยดีเขาและยังเล่าเรื่องอีกมากให้ฟังด้วย จนพระราชาไม่สามารถอธิบายอะไรได้อีกเลย
	              ในขณะนี้ผู้ติดตามก็มาถึงพอดีและมหาอาจารย์ก็ปรากฏ พระราชาจึงรีบพูดว่า อาจารย์นี่มันอะไรกัน พวกเขาบอกฉันเป็นสามีของเธอและเด็กๆพวกนี้คือลูกของฉัน พระราชาเห็นเด็กมากมายเขารู้สึกกลัว มหาอาจารย์ได้บอกกับเขาว่า ฉันเคยบอกเธอแล้วไงว่า สร้างเหตุอะไรก็จะได้ผลอย่างนั้น พระราชายังคงไม่เข้าใจ เขาได้ขอให้มหาอาจารย์อธิบาย มหาอาจารย์ได้กล่าวว่า ชีวิตของเธอถูกลิขิตไว้แล้วว่า จะต้องเป็นชาวนาที่อดอยาก 60 กว่าปี และมีลูกๆมากมาย มีพ่อแม่และภรรยาต้องดูแล แต่เป็นเพราะว่าเมื่อวานเธอมาหาฉัน ฉันจึงได้เอากรรมลิขิตของเธอมาเปลี่ยนแปลงเป็นความฝันแค่ 5 นาที หรือ 10 นาที เท่านั้น ก็เป็นเช่นนี้แหละ  พอถึงตอนนี้กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างทั้งหลายก็เข้าใจแล้วด้วย จึงได้ปลอบใจครอบครัวชาวนานี้ว่า เดิมทีเขาต้องมาเป็นสามีของเธอ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาคือพระราชาที่แท้จริง เพียงแต่ว่าลักษณะภายนอกเขาดูเหมือนชาวนาสามีของเธอมากเท่านั้น
	               พระโพธิสัตว์สามารถเปลี่ยนแปลงปรับปรุงทั้งจักรวาลได้และสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเธออ่านคัมภีร์จะรู้ว่าข้างในจะมีกล่าวไว้ว่า พระโพธิสัตว์สามารถย่อส่วนของจักรวาลให้เล็กลง และเอาไปไว้ในรูขนของท่าน เคยได้ยินหรือเปล่า พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ ท่านสามารถที่จะย่อส่วนของประเทศ 2 ประเทศให้เล็กลง และใส่ไว้ในบาตรของท่าน พระโพธิสัตว์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ทุกอย่าง จักรวาลทั้งจักรวาลนำไปไว้ในใจของท่านก็ไม่เป็นไร แต่ว่าไม่มีใครทราบว่าจักรวาลอยู่ในใจของท่าน สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล ต่างก็ไม่ทราบว่าพวกเขาอยู่ในรูขนของท่าน นี่แสดงให้รู้ว่าพลังของพระโพธิสัตว์ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์จริง


ปราศรัยโดยท่านอาจารย์ชิงไห่ 
ผิงตง ฟอร์โมซา
30 มกราคม 2531
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ