12 สิงหาคม 2553 22:24 น.
คีตากะ
ธรรมวิถีกวนอิม
เป็น กฏเกณฑ์ของจักรวาล
ที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล
ปราศรัยธรรมโดยอนุตราจารย์ชิงไห่
งานฌาน 3 ที่ลอสแอนเจลีส
รัฐคาลิโฟเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2541
(ต้นฉบับเป็นภาษาเอาหลาก) วีดีโอเทป #640
ธรรม วิถีกวนอิมไม่ใช่ฉันเป็นผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นมา ฉันเพียงแต่รู้จักธรรมวิถีนี้เท่านั้น ธรรมวิถีนี้มีมาตั้งแต่จักรวาลนี้เริ่มก่อตัวขึ้นมา และจะอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร ความจริงธรรมวิถีกวนอิมก็ไม่ใช่ธรรมวิถี มันเป็นกรรมวิธีการโคจรของจักรวาล เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วจักรวาล ถ้าพวกเราคิดจะกลับไปจุดต้นกำเนิด กลับสู่ตัวเองที่แท้จริง อาณาจักรสวรรค์หรือจิตพุทธ ก็ต้องปฏิบัติตามมัน ธรรมวิถีกวนอิมเหมือนกับวิทยาศาสตร์ที่มีความแม่นยำ เหมือน 2+2 ต้องเป็น 4 ไม่มีคำตอบอื่น ! ถ้าพวกเราทราบว่า 2+2 ต้องเป็น 4 2+2 ก็ต้องเป็น 4 ไม่ว่าพวกเราจะพูดอย่างไร จะเถียงอย่างไร 2+2 ก็ต้องเป็น 4
ในทำนองเดียวกัน ในจักรวาลก็มีกฎเกณฑ์ที่แม่นยำอย่างนี้เช่นกัน ผู้ที่รู้จักกฎเกณฑ์เหล่านี้ พวกเขาเป็นเพียงผู้ค้นพบเท่านั้น ไม่ใช่ผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นมา ถ้าพวกเราค้นพบกฎเกณฑ์เหล่านี้และปฏิบัติตาม ก็จะได้รับผลที่แม่นยำที่สุด
แน่นอน การทำงานสามารถมีหลายวิธีที่ต่างกัน มีวิธีที่เร็ว วิธีที่ช้า และมีวิธีที่สูงกว่า ธรรมวิถีกวนอิมเป็นวิธีที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ฉันเป็นเพียงผู้ค้นพบเท่านั้น ฉันไม่ได้คิดประดิษฐ์ธรรมวิถีนี้ขึ้นมา ธรรมวิถีนี้เป็นของพระเจ้า และเป็นของทุกคน
ประสิทธิผลของธรรมวิถีกวนอิมเร็วมาก กรรมต่าง ๆของแต่ละภพชาติจะถูกเผาทิ้งจนหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตา พวกเราเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สำเร็จ ผู้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สำเร็จเป็นพุทธ เป็นไปไม่ได้ ! เหมือนกับนำเอาน้ำตาล 2 เม็ดมาวางรวมกับน้ำตาลอีก 2 เม็ด แล้วบอกว่ารวมกันแล้วไม่ใช่ 4 เม็ด มันเป็นไปไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน บำเพ็ญธรรมวิถีแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สำเร็จ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ก้าวหน้า ไม่รู้แจ้ง ! ธรรมวิถีกวนอิมมันยอดเยี่ยมจริง ๆ!
แต่ธรรมวิถีนี้มีจุดที่แปลกประหลาดอยู่จุดหนึ่ง คือ ผู้ที่ไม่เชื่อก็สามารถบำเพ็ญได้ ขอเพียงบำเพ็ญไปให้ดี ทุกวันนั่งสมาธิ 2 ชั่วโมงครึ่ง ปัญญาก็จะพัฒนาเอง ถึงเวลาพวกเราก็จะเข้าใจ ตัวเราเป็นอาจารย์ของตัวเอง ขอเพียงบำเพ็ญธรรมวิถีนี้ก็จะเข้าใจเองอย่างแน่นอน เหมือนกับนำเอาน้ำตาล 2 เม็ดไปวางไว้ข้าง ๆ น้ำตาลอีก 2 เม็ด จะต้องเป็นน้ำตาล 4 เม็ดอย่างแน่นอน ไม่ว่าพวกเราจะเชื่อครูสอนเลขคณิตหรือไม่ แม้เขาจะบอกว่าอย่างนั้น ไม่ว่าพวกเราจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ขอเพียงนำเอาน้ำตาล 2 เม็ดไปวางไว้ข้างน้ำตาลอีก 2 เม็ด รวมขึ้นมาต้องเป็น 4 เม็ดอย่างแน่นอน
หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://magazine.godsdirectcontact.net/thai/178/
12 สิงหาคม 2553 22:12 น.
คีตากะ
อาจารย์กล่าว
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
22 ตุลาคม 2549 ปารีส ฝรั่งเศส(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ และ ฝรั่งเศส)
เราควรปรับตัวในทุก ๆ สถานที่ที่เราอยู่ มิฉะนั้นเธอก็จะไม่รู้ว่าเธออยู่ตรงไหน และไม่รู้ว่าอะไรเธอควรจะทำในขณะที่มีชีวิตอยู่และหลังจากเราจบชีวิตลง ไม่มีข้อแก้ตัว เรามีชีวิตเพื่อติดต่อกับพระเจ้าเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราทำงาน เรากิน เรานอนหลับ แต่นั่นเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา เพราะถ้าเธอยังไม่เข้มแข็ง เธอยังต้องทำงาน กิน และหาเลี้ยงชีพ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมีชีวิตเพื่อการทำสมาธิ สมาธิมีความหมายว่าการภาวนา มันก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้วิธีทำสมาธิ เราก็สวดภาวนา มันเหมือน ๆ กัน หลังจากผู้เป็นอาจารย์ เช่น พระพุทธเจ้า หรือพระเยซู ไปสู่สวรรค์ ผู้คนเลยไม่รู้วิธีการทำสมาธิ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสวดภาวนา แต่พวกเราควรทำอย่างถูกต้อง นั่นหมายถึงการทำสมาธิ นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสวดภาวนา ถ้าเราสวดภาวนาแบบนั้น เราก็จะไม่รู้จักพระเจ้าของเรา ตัวตนของเรา แล้วเธอก็จะหลงทาง เธออาจจะหาเงินได้มากมาย มีลูกหลานมากมาย หรือกิน couscous(แป้งกรอบที่ทำจากแป้งหมี่หยาบ) มากมาย แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หลังจากที่เธอตายไป มันก็จบหมด ทั้ง couscous ลูกหลานทั้งหมด และภรรยาทั้งหมด ไม่มีความหมาย พวกเขาไม่สามารถช่วยเธอได้ในเวลาที่เธอไป เวลาที่เธอจากดาวดวงนี้ หรือจากชีวิตนี้ไป ไม่ช่วยอะไรได้เลย ที่ฉันพูดนี้เป็นพื้นฐานที่สุด ที่ฉันพูดแล้วพูดอีก และเธอก็ยังไม่เข้าใจ
แต่เธอต้องทำสมาธิ นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต มันสำคัญมากกว่าทุก ๆ สิ่งในชีวิต มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะไม่ทำ เธอคิดว่าเธอใช้เวลาหนึ่งหรือสองชั่วโมงฟังเสียง-ข้างใน หรือข้างนอก (อาจารย์หัวเราะ)ขึ้นกับว่าเธอหลับลึกแค่ไหน แต่ว่ามันก็ไม่พอ นั่นคือเหตุที่ถึงแม้ฉันยกเธอขึ้นไปถึงระดับที่ห้า เธอก็จะหล่นลงไปทันทีเกือบจะเร็วยิ่งกว่าตอนเธอขึ้นไป เมื่อเรามีเพียงใจเดียวและมุ่งที่จุดเดียวเท่านั้นเราจึงจะไปถึงระดับที่ห้า ได้เร็วมาก แต่ถ้าใจของเรากระจัดกระจาย หมายถึงความคิดของเรากระจัดกระจาย แล้วเราก็จะหล่นลงไป-Zip!(เสียงหวิวในอากาศ)อย่างนั้น
เพราะเหตุนี้ พระเยซูกล่าวว่า "ถ้าเราไม่กลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง เธอจะไม่สามารถไปสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้เลย" มันยากมากในการบังคับจิตใจ มันยากมากกว่าช้างนับร้อย ๆ เชือก เมื่อเธอเห็นแสงนิดหน่อยหรือได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อย เธอก็คิดว่ามันดีแล้ว แต่นั่นมันไม่ใช่ เพราะว่าเธอยังอยู่ที่นี่ เธอยังคงรู้สึกมันอยู่-เธอยังรู้สึกทางข้างนอกและเธอก็ยังรู้สึกว่ามันดี เพียงแค่ตรงนั้นตรงนี้นิดหน่อยและเธอก็รู้สึก แต่มันไม่ใช่สิ่งนี้ ถ้าเธอได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ เธอจะถูกดึงขึ้นรวดเร็วมากยิ่งกว่าจานบินหรือจรวดไปดวงจันทร์ และไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถหันเหเธอได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เธอต้องการ เธออาจจะยอมตายด้วยซ้ำถ้ามีใครมาฆ่าเธอ เวลานั้นเธออาจจะพูดว่า "เชิญ ยินดีต้อนรับ" เธอไม่มีความคิดในเรื่องใด ๆ ว่าเธอต้องการอะไรในโลกนี้อีกแล้ว:ไม่มีอะไรอีกแล้ว นั่นคือเวลาที่เธอทำสมาธิจริง ๆ และที่เหลือก็มีเพียงการปฏิบัติ ปฏิบัติ และปฏิบัติ
การพัฒนาทางจิตวิญญาณ เราต้องทำมันด้วยตัวของเราเอง
เพราะ ฉะนั้นทำไมฉันจึงพูดว่า "ได้โปรดปฏิบัติสมาธิ" นั่นคือที่เราเรียกตัวเราเองว่าผู้ปฏิบัติธรรม หมายถึงเราต้องพยายาม พยายามและพยายาม บางครั้งเธอพยายามและเธอก็ไปถึง บางครั้งเธอพยายามและเธอก็ไปไม่ถึง แต่ถ้าเธอไม่มั่นคง แม้ว่าเธอไปถึงเนื่องจากพระกรุณาธิคุณของพระเจ้า เธอก็จะต้องกลับมาอีกโดยเร็ว! แต่ถ้าเธอมั่นคงเธอก็จะไม่หล่นลงมา แม้ว่าเธอทำงานทางโลก แต่ถ้าเธอไม่มั่นคง ถึงแม้เธออยู่ในวัด ถึงแม้เธอไปอยู่ภูเขา ถึงแม้เธอพักอยู่ในศูนย์สมาธิ มันก็ไม่มีประโยชน์ แม้ว่าเธออยู่ตรงหน้าอาจารย์ด้วยซ้ำ อาจารย์ไม่สามารถกินแทนเธอ อย่างเวลานี้ฉันให้ช็อกโกแลตแก่เธอ แต่เธอต้องเป็นคนที่กินมันเอง ฉันกินมันแทนเธอไม่ได้ ฉันซื้อช็อกโกแลตมามากมาย แต่ไม่ใช่เพื่อให้ฉันกินเองทั้งหมด ถ้าฉันกินมันทั้งหมด เธอจะรู้สึกอะไรหรือเปล่า? ถ้าฉันซื้อช็อกโกแลตและกินเองทั้งหมด เธอจะมองดูฉันและพูดว่า "อ้ำ-ม-ม ช็อกโกแลตอร่อยเหลือเกิน!" อย่างนี้หรือเปล่า? (เสียงหัวเราะ) มีเรื่องแบบนั้นหรือ? ไม่ เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นฉันให้ช็อคโกแลตแก่เธอ แต่ถ้าเธอไม่กินมัน เธอก็ไม่สามารถรู้สึกอะไรได้เลย ก็เหมือนกับหากเธออยู่ตรงหน้าอาจารย์แต่เธอไม่รวมความสนใจอยู่ที่อาจารย์ แล้วพระพรยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่สามารถเข้าถึงเธอได้มากนัก อาจจะได้บ้างบางส่วน แต่ไม่มาก อีกกรณีถ้าเธอมีข้อจำกัดให้ตัวเองอย่างเช่น การคาดคิดไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับว่า อาจารย์ควรทำอะไรหรืออาจารย์ควรดูเหมือนอะไรแล้วล่ะก็ เท่ากับเธอสร้างกำแพงกักตัวเองไว้ ซึ่งเป็นการแยกตัวเธอเองออกจากพระพรของอาจารย์ แล้วเธอก็ยิ่งมีมันน้อยลง
การยกระดับเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ต้องทำเอง
เธอ คงจำเรื่องของพระพุทธเจ้าได้: ท่านมีผู้รับใช้ใกล้ชิดคนหนึ่งที่ท่านรักมาก และอยู่กับท่านทั้งวันทั้งคืน เขาชื่อพระอานนท์ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เขาสามารถจำคำพูดของพระพุทธเจ้าได้ทุกถ้อยคำ ดังนั้น พระสูตรทั้งหมดของพระพุทธเจ้าล้วนเขียนขึ้นตามความทรงจำของพระอานนท์ แต่พระอานนท์ไม่ได้บรรลุชั้นสูงนัก:ท่านยังไปไม่ถึงระดับที่สามด้วยซ้ำ นั่นเป็นเหตุที่หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เหล่าพระสงฆ์ทั้งหมดไม่ยินยอมให้เขาเข้าร่วมประชุมในคณะ พวกพระสงฆ์นั้นไม่ให้เขาเข้าร่วมสังคายนากับพระสงฆ์ระดับสูง ดังนั้น ด้วยความละอายเขาจึงไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งและปลีกตัวอยู่ที่นั่นระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเขาบรรลุถึงระดับสูง และแล้วพระสงฆ์เหล่านั้นจึงได้เชิญเขาเข้าการประชุม
แต่ทำไมพระสงฆ์จึงทำเช่นนั้นต่อคนใกล้ชิดที่สุดและรักที่สุดของพระพุทธเจ้า? มันหมายความว่าเหล่าพระสงฆ์นั้นใจร้าย ใจดำและเกรี้ยวกราดต่อพระอานนท์หรือไม่?
ผู้ปฏิบัติคนที่หนึ่ง ฉันคิดว่ามันคือการกระตุ้นและปลุกให้เขาตื่นขึ้น
อ: ใช่
ผู้ปฏิบัติคนที่สอง เพื่อบังคับให้เขาทำงานด้านจิตวิญญาณใช่ไหม?
อ: ใช่ นั่นก็มีส่วนจริง มีใครอีกไหม?
ผู้ปฏิบัติคนที่สาม เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ใช่ไหม?
อ: ใช่ นั่นก็ถูก เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์! นั่นก็ถูกต้อง ถ้าใครที่หัวใจไม่บริสุทธิ์และระดับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณยังไม่สูง เขาก็จะไปปนเปื้อนต่อที่ประชุม นั่นถูกต้องที่สุด และก็ถูกเช่นกันที่ว่าเพื่อกระตุ้นให้เขารู้ว่าเขาต้องทำงาน ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าช่วงเวลาที่เขาอยู่กับพระพุทธเจ้า เขาไม่ได้ปฏิบัติ เขาอยู่ใกล้ชิดเกินไป เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่รับใช้พระพุทธเจ้า นั่นคือเหตุที่เขาไม่พัฒนาระดับของเขา เป็นสาเหตุเดียวเท่านั้น เหตุผลของพี่สาวคนนั้นที่ว่า เขาควรจะทำงานเพื่อการพัฒนาด้านจิตวิญญาณของเขา นั่นก็ถูกเหมือนกัน เพราะว่าตลอดเวลาที่เขาอยู่กับพระพุทธเจ้า เขาภาคภูมิใจตัวเองเกินไปว่าเป็นคนใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า และเขาก็ไม่คิดว่าเขาจำเป็นต้องปฏิบัติอะไร นั่นคือสาเหตุที่เขาไปไม่สูง
อีกอย่างหนึ่ง เขามีความจำที่พิเศษเหนือมนุษย์ เขาสามารถท่องจำทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดได้ทั้งหมดจาก ก-ฮ และยังทวนซ้ำได้อีก เขาจำได้ทั้งหมดคำต่อคำ ไม่ลืมอะไรเลยแม้กระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าพูดผิดไป อย่างเช่นพูดซ้ำบางอย่างหรือขากบ้วนเสลด พระอานนท์ก็จำได้หมด นั่นคือเหตุที่พระสูตรทางพุทธไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีจนถึงปัจจุบันนี้ เพียงแต่เขียนตรง ๆ ทุกคำตามที่พระพุทธเจ้าพูด ดังนั้นบางครั้งเธออ่านแล้วเธอก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายบ้าง เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าเอาแต่พูดซ้ำประโยคเดิม หรืออธิบายในแบบที่มีรายละเอียดมากเพื่อให้ลูกศิษย์เข้าใจตรงตามที่พระองค์ กำลังพูด
ในพระสูตรทางพุทธทั้งหมดจะต้องเริ่มด้วย"ดังนั้น ฉันได้ยินมาว่า..." นั่นเพราะมันถูกเขียนขึ้นตามที่พระอานนท์ได้ยินมา กระทั่งคนสำคัญขนาดพระอานนท์ก็ยังเกือบเหมือนเครื่องบันทึกเทป ความจำของเขาพิเศษจริง ๆ มันเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องบันทึกเทปในปัจจุบัน แต่คนที่สำคัญมากขนาดพระอานนท์ เหล่าคณะสงฆ์ของที่ประชุมหรือพระสงฆ์ของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยอมให้เขาเข้า ร่วมประชุมด้วย เพราะว่าเขายังไม่ได้ยกระดับเพียงพอ ถึงแม้เขาจะเป็นคนสำคัญ มันก็ยังไม่มีประโยชน์
ดังนั้นเธอสามารถเห็นความสำคัญของการยกจิตวิญญาณให้สูงขึ้น ไม่จำเป็นว่าเธอเป็นใคร มันอยู่ที่ว่าเธอเป็นอะไร และไม่ใช่แค่ว่าเธอเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่เธอเป็นอะไรข้างใน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็คือภายในของเธอเป็นอะไร ตอนนี้เธอคงเข้าใจแล้วว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ใช่เนื่องจากพระอานนท์และไม่ใช่เนื่องจากพระพุทธเจ้า แต่เนื่องจากตัวเธอเอง เพราะหลังจากที่เราตาย เราก็ไม่มีอะไร! มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอเพราะเธอก็รู้ทั้งหมดแล้ว แต่เธอไม่ตระหนักรู้มันให้ลึกซึ้ง นั่นคือสาเหตุที่เธอเพิกเฉยต่อภาระหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ
ดังนั้นจากกรณีของพระอานนท์ เราสามารถเรียนรู้บางอย่าง: บทเรียนของการถ่อมตน เราต้องพิจารณาทบทวนทุก ๆ วันว่าเรามีความถ่อมตนพอหรือไม่ เราจึงจะสามารถพัฒนาได้มากขึ้น เพราะมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่เราสามารถใส่อะไรลงไปได้ ถ้าแก้วนั้นว่างเปล่า เธอก็สามารถใส่น้ำเข้าไปได้ แต่ถ้าแก้วนั้นเต็มอยู่ มันก็ใส่อะไรไม่ได้ แก้วนั้นอาจจะมีน้ำอยู่เต็มหรือมีขยะอยู่เต็มก็ได้ ถ้าหากแก้วนั้นมีขยะอยู่เต็มแล้ว เราก็ไม่ใส่น้ำเข้าไปอีก มันน่าจะดีกว่าถ้าหากเรามีสิ่งที่เราต้องการอยู่ในแก้วใบนั้น แทนที่จะเป็นขยะทั้งหมด ทำนองเดียวกันนี้ เราควรเติมชีวิตของเรา ตัวตนของเรา และความเข้าใจของเราด้วยสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ด้วยคุณค่าทางจิตวิญญาณ เพราะว่าเราอาจจะเติมมันด้วยสิ่งไร้สาระก็ได้เหมือนกัน หรือสิ่งที่ไม่จำเป็น สิ่งที่บ่อนทำลายชีวิตของเรา หรือการพัฒนาของเรา
ชีวิตประจำวันก็เป็นการปฏิบัติธรรม
ทุก ๆ วันเราควรมั่นใจว่าเราได้เติมตัวเองด้วยสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็เหมือนเช่นทุก ๆ วันเราพยายามเลือกสรรอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทุกครั้งที่เรากินของดี ๆ เธอควรต้องระลึกว่า "ฉันต้องให้อาหารดี ๆ แก่จิตวิญญาณของฉัน แก่การพัฒนาด้านจิตวิญญาณของฉันด้วย" ดังนั้น แม้ในเวลาที่เธอกำลังกิน เธอก็สามารถปฏิบัติได้ด้วย เวลาที่เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่ดี ๆ เธอก็ควรจดจำว่า "ฉันต้องตกแต่งตัวฉันเองด้วยความงดงามทางจิตวิญญาณเช่นกัน" ทุกครั้งที่เธอเห็นดอกไม้ที่สวยงาม เธอก็บอกว่า "ฉันต้องเพาะปลูกสวนแห่งจิตวิญญาณของฉันด้วย" ให้เตือนตัวเธอเองไว้เสมอด้วยสิ่งที่คล้าย ๆ กัน เวลาที่เราได้ยินเสียงนกร้องเพลงเรารู้สึกมีความสุขและสบายใจ เราก็ต้องระลึกถึงว่าเราไม่ควรลืมเสียงของพระเจ้า และเมื่อเวลาที่เธอดื่มด่ำอยู่ในความรัก ในความสัมพันธ์อันโรแมนติกและเธอก็มีความสุขมาก เธอก็ควรรู้ว่า "ฉันต้องจดจำความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งนิรันดร ซึ่งเป็นความรักแท้จริง" แต่ถ้าเธอไม่สามารถแยกแยะได้ เธอก็ต้องเตือนสติตัวเองว่า "ใช่ ฉันจะพยายามจดจำ ฉันจะทำบางอย่างเพื่อว่าฉันจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างฉันและพระเจ้า ให้เจริญงอกงามขึ้น โรแมนติกมากขึ้น และสนิทสนมมากขึ้น"
ทุกครั้งที่เรารักลูกของเรา เราต้องจำไว้ว่าพระเจ้ารักเราจริง ๆ และลูกของเราเช่นกัน นี่เป็นความรักที่แท้จริงที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับทุก ๆ คน และทุกครั้งที่สัตว์เลี้ยงของเธอรักเธอและเธอรักมัน หรือเธอปลอบประโลมสัตว์เลี้ยงของเธอหรือพวกมันปลอบประโลมเธอ เธอก็ควรเตือนใจตนเองเช่นกันว่านี่คือส่วนหนึ่งของความรักของพระเจ้า และมีแต่ความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จริงแท้และแผ่กระจายอยู่ทั่วไป ดังนั้นเธอก็เห็นแล้วว่าเราสามารถใช้ทุก ๆ สถานการณ์มาเตือนใจตนเองไม่ให้ลืมวิถีทางแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งเราได้เลือกเดิน ด้วยวิธีนี้เราจะเสริมกำลังให้ตัวเองเข้มแข็งอยู่เสมอในขณะที่เราอยู่ในโลก มนุษย์นี้ และเราอยู่ในความทรงจำของพระเจ้าตลอดเวลา มันเป็นอย่างนี้เสมอ
แต่การปฏิบัตินั้น ก็ไม่มีใครกลายเป็นอาจารย์ในชั่วข้ามคืน แม้แต่พระอานนท์ ดังนั้นอย่าเพิ่งรู้สึกหมดกำลังใจ เราเพียงแต่ต้องมีความจริงใจและปฏิบัติตลอดเวลา ในขณะที่มีอาจารย์อยู่ เธออาจจะพัฒนาได้เร็วมากกว่า แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอรับรู้ได้เพียงไร และเธอบริสุทธิ์เพียงไร มันก็เหมือนกับแก้วใบนั้น ถ้ามันเต็มไปด้วยขยะ ก็ไม่มีอะไรสามารถใส่เข้าไปได้ หรืออาจจะใส่ได้นิดหน่อย
หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://magazine.godsdirectcontact.net/thai/179/
12 สิงหาคม 2553 21:37 น.
คีตากะ
ให้ตัวเราและอนุชนรุ่นต่อไป
ปราศรัยโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ สิงคโปร์ วันที่ 3 มีนาคม 2535
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป #223
หากทุกคนมีชีวิตตามแบบ ที่ไบเบิ้ลกล่าวเอาไว้ และทุกคนเห็นพระเจ้าภายใน เห็นแสงของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้า ได้ยินเสียงพระวจนะของพระเจ้า หรือธรรมชาติแห่งพุทธะ โลกของเราก็จะกลายเป็นสวรรค์ เพราะแสงและเสียงนี้ทำให้เรากลายเป็นนักบุญ ทำให้เรากลายเป็นพุทธะ และโลกที่พุทธะอาศัยอยู่ก็คือนิพพาน โลกที่นักบุญอยู่อาศัยก็คือ สวรรค์หรืออาณาจักรแห่งพระเจ้า
ปรับเข้าหาพลังพระเจ้า
ดาวเคราะห์อื่น ๆ มากมายมีบรรยากาศแบบสวรรค์นี้ เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายบนดาวเคราะห์เหล่านั้นฝึกการปรับเข้าหาพลังพระเจ้า และความปรารถนาของเขาก็สมหวัง มีพลังในมือของพวกเขาและมีความสงบสุขในตัวของพวกเขาภายในหมู่เพื่อนบ้านของ พวกเขา บนดาวเคราะห์เหล่านั้นมีแต่การทำความดีเท่านั้น โดยไม่มีด้านที่เป็นลบเหมือนอย่างบนโลกของเรา บางดวงมีความเจริญมากกว่า ในขณะที่บางดวงล้าหลังกว่า เราไม่มีเวลาที่จะมาคุยกันในเรื่องเหล่านี้ เราพูดเรื่องโลกของเราก่อนได้ นั่นเป็นเรื่องที่เหมาะสมในทางปฏิบัติและจำเป็นที่สุด
ถ้าเธอเข้าใจถึงบรรยากาศ เมื่อสิ่งที่เป็นวัตถุนั้นเบา มันก็จะลอยขึ้น มันขึ้นไปในบรรยากาศที่สูงขึ้น เหมือนความร้อนหรืออะไรแบบนั้น และสิ่งใดที่หนักหรือเย็นจะอยู่ในส่วนที่ต่ำกว่าของบรรยากาศหรืออยู่ต่ำกว่า เนื่องจากแรงโน้มถ่วง
รักษาความถี่ของแรงสั่นสะเทือนที่สูงเอาไว้
ในทำนองเดียวกัน ความดีจะอยู่เหนือความเป็นลบไม่มากก็น้อย ในโลกแห่งความดีและความชั่วของเรา แน่นอน ความดีจะอยู่ข้างบน แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นอิสระจากความเป็นลบ เรามีมันติดอยู่กับเพื่อนบ้านของเรา หรือติดกับสภาพที่ต่ำกว่าของเรา โลกอื่น ๆ มีแต่ความดีเท่านั้น เราเรียกสถานที่เหล่านี้ว่า สวรรค์หรืออาณาจักรพระเจ้า เราสามารถไปถึงดาวเคราะห์เหล่านี้ หรือเราตอนนี้จะไปเยี่ยมก็ได้ ถ้าเรามีคุณสมบัติแบบเดียวกัน หรือมีความถี่ของแรงสั่นสะเทือนเหมือนสรรพสัตว์บนดาวเคราะห์เหล่านี้
ดังนั้น การบำเพ็ญในอาณาจักรของพระเจ้าหรือการบรรลุนิพพาน จึงไม่ใช่เรื่องโกหก แต่มันเป็นวิถีชีวิตที่เห็นได้แจ่มชัดมาก และเป็นวิทยาศาสตร์มาก หากเราต้องการมีชีวิตแบบนั้น มันก็ไม่ยาก มันเป็นเพียงวิถีชีวิตที่เราเลือก
ได้มาซึ่งสวรรค์แบบชั่วคราวทุก ๆ วัน
พระเจ้าไม่ได้ให้ความยากจนแก่ โลกนี้ พระเจ้าไม่ได้สร้างนรก มันเป็นตัวเรา-ด้วยความผิดพลาดของเรา ด้วยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ด้วยการเลือกการกระทำที่ผิดในเวลาที่เด็ดขาด เราจึงได้สร้างนรกขึ้นมา เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราสามารถคิดทบทวนและสร้างสวรรค์ อย่างน้อยก็สวรรค์แบบชั่วคราว เราจะได้พักผ่อนชั่วครู่ แล้วเราก็จะได้เป็นอิสระจากภาระของโลกนี้ชั่วครู่ และเราสามารถคิดว่าเราต้องการทำอะไรต่อไป ว่าเราต้องการกลับไปยังโลกอีกหรือไปสู่ขั้นที่สูงสุดของสวรรค์ เราสามารถตัดสินใจได้ เพราะฉะนั้น สวรรค์ชั่วคราวสามารถได้มาด้วยการกระทำความดี ด้วยการมีศรัทธาในพระเจ้า ด้วยการสวดภาวนา ด้วยการสำนึกผิดอย่างจริงใจในความผิดของเรา ด้วยการพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเสมอสำหรับสังคมและตัวเรา และด้วยการพยายามเป็นมังสวิรัติให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันสามารถเสนอสิ่งทดแทนด้วยก้อนเต้าหู้ในบางครั้งบางคราว มันถูกกว่า ย่อยง่ายกว่า และมีความรู้สึกผิดน้อยกว่า บาปน้อยกว่า และกรรมน้อยกว่า กรรมหมายถึง หว่านพืชอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น หรือก็คือกฎแห่งเหตุและผล เพราะฉะนั้น นี่ก็คือสวรรค์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเธอจะสร้างให้ตัวเธอเองในตอนนี้
การเป็นมังสวิรัติคือการช่วยเหลือโลกจริง ๆ
เราพยายามเป็นมังสวิรัติให้มาก ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การเป็นมังสวิรัติไม่ใช่เป็นวิถีชีวิตตามหลักศาสนาเท่านั้น แต่มันเป็นวิธีที่จะช่วยโลกให้รอดพ้นจากความอดอยากและความยากจน เรามีงานวิจัยมากมายที่จะพิสูจน์ในเรื่องนั้น เราสูญเสียผลิตภัณฑ์ของมนุษย์และของโลก และทรัพยากรไปมากมาย เพื่อจะเลี้ยงวัวและหมูเป็นเวลาหลาย ๆ ปี สูญเสียยา โปรตีน ถั่ว และผักสารพัดชนิดเป็นปริมาณมาก เพื่อจะเลี้ยงหมู 1 ตัว และเรากินมันภายในเวลาอันรวดเร็วมาก 5 นาที ถ้าเธอกินช้าแบบนั้น บางคนอาจกินภายใน 1 นาที!
ดังนั้นถ้าเราเป็นมังสวิรัติ ไม่เพียงแต่เพราะว่าเราเป็นคนธรรมะธรรมโมเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือโลกจริง ๆ โลกของเราตกอยู่ในความยากจน ในบางส่วนของโลก และมีความอดอยาก เพราะเราไม่ทำงานร่วมกันที่จะช่วยเหลือกันและกัน มีงานการกุศลและงานบรรเทาทุกข์มากมาย ไม่ต้องสงสัย แต่นั่นไม่ใช่รากเหง้าของปัญหา การขาดแคลนอาหาร ไม่ได้มีต้นตออยู่ในแอฟริกาเท่านั้น หรืออยู่ในประเทศเอเชียบางประเทศ มันมีต้นตอมาจากอาหารที่มีการกินเนื้อสัตว์ จากพลังงานทั้งหลาย จากเทคโนโลยีทั้งหลาย และกิจกรรมที่มีไหวพริบอื่น ๆ มากมาย ซึ่งทุ่มให้กับการเลี้ยงเนื้อสัตว์ แทนที่จะนำไปวิเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชากรโลกให้ดีกว่านี้ หรือเพื่อโภชนาการที่ดีกว่านี้ สำหรับผู้คนทั้งมวล
ตามที่เธอรู้กันดีในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า อาหารมังสวิรัตินั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก โรงพยาบาลทั้งหลายถูกสร้างให้ใครกัน? คนกินเนื้อสัตว์ไงล่ะ! คนส่วนใหญ่ที่นั่นเป็นคนที่ไม่ใช่มังสวิรัติ เพราะฉะนั้น ถ้าเราให้อาหารตัวเราด้วยยาพิษ เราก็จะต้องรักษาตัวเราด้วยอุปกรณ์ของโรงพยาบาล เราสร้างความเดือดร้อนเป็น 2 เท่าให้ตัวเรา
สร้างยุคทองด้วยการใช้ชีวิตแบบนักบุญ
เราจะต้องรักษาที่รากเหง้าไม่ ใช่ที่กิ่ง การช่วยเหลืองานบรรเทาทุกข์หรือบริจาคอาหารให้คนยากจน ไม่ใช่ทางแก้ของปัญหาความอดอยากของโลก รากเหง้าอยู่ที่ตัวเราแต่ละคน ซึ่งเราจะต้องช่วยเหลือ เราจะต้องประหยัดพลังงานบางอย่างของเรา และทรัพยากรของโลกเพื่อพี่ ๆ น้อง ๆ ของเรา ยกตัวอย่าง ประเทศด้อยพัฒนาอาจจะขายผลิตภัณฑ์ของเขาให้แก่ประเทศที่พัฒนาแล้วเพื่อเป็น อาหารของวัว แต่แล้วประเทศด้อยพัฒนากลับอดอยาก เราจะต้องแก้ด้วยการแบ่งปัน เราจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แน่นอน ฉันไม่ใช่นักการเมือง ฉันพยายามได้แค่บอกให้เธอช่วยด้วยวิธีการของฉัน ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของฉัน ผู้นำของโลกจะต้องทำงานร่วมกัน หากพวกเขาสนใจในความผาสุกของทุกชาติ ไม่เพียงแค่ชาติของเราเท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นการดีพอแล้วที่เราเอาใจใส่ประเทศของเรากันอยู่แล้ว ฉันรู้สึกขอบคุณและสุขใจ เมื่อได้เห็นชาติใด ๆ มีความเจริญรุ่งเรือง ใช้ชีวิตในความสะอาด มีความเป็นนักบุญ และสามัคคีกัน ยกตัวอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์
เราสามารถทำให้มันเป็นยุคทองได้อีกครั้งหนึ่ง โดยการใช้ชีวิตแบบชาวคริสต์ ใช้ชีวิตแบบชาวพุทธ หรือชาวฮินดูที่แท้จริง ฯลฯ เอาใจใส่ดูแลในความรับผิดชอบทางคุณธรรมของเรา ช่วยเหลือเพื่อนบ้านของเราเท่าที่เราสามารถทำได้ สละทรัพย์ของเราบ้าง และความอยากในรสชาติบางอย่างของเรา เพื่อช่วยในการพัฒนาโลกให้ก้าวหน้า และช่วยเหลือพี่ชายพี่สาวคนอื่น ๆ ที่ยากไร้
การสร้างเพื่ออนุชนรุ่นหลัง
ในลักษณะนี้ เราได้ใช้ความพยายามของเราช่วยสร้างชาติให้ดีขึ้นสำหรับอนุชนรุ่นหลัง มันไม่ถือว่าสูญเปล่า มันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานเหลนของเรา มันจะไม่สูญเปล่า เราไม่จำเป็นต้องดูแลอนุชนในปัจจุบันอย่างเดียว และเราไม่จำเป็นต้องคิดว่า “โลกดีขึ้น แต่เราจะตายไป และเราจะไม่ได้รับประโยชน์จากมัน” ลูก ๆ ของเราจะได้รับประโยชน์ แม้ถ้าเราไม่มีลูก เราก็ไม่ควรคิดแคบ ๆ เช่นนี้ แต่ขอให้คิดถึงความสุขของผู้อื่นซึ่งเกิดหลังเรา ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขสมานฉันท์ และอยู่ในโลกที่อุดมสมบูรณ์ สิ่งนั้นควรทำให้เราดีใจเพียงพอแล้ว โดยปราศจากการได้มาซึ่งวัตถุใด ๆ และนี่คือหนทางของสุภาพบุรุษ! นี่คือวิธีการที่เล่าจื้อ ขงจื้อ พระพุทธเจ้า และพระเยซูคริสต์ได้เพียรพยายามที่จะสั่งสอนมนุษย์เมื่อหลายพันปีมาแล้ว
สิ่งที่ฉันบอกเธอไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราได้ลืมไป และพวกเราบางคนไม่ได้พยายามที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น เราจึงไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนนี้เราสามารถลองดูได้แล้ว เราสามารถทดลองดูในวันพรุ่งนี้ และดูว่ามันเป็นอย่างไร ดูว่าเรารู้สึกดีขึ้นแค่ไหน ดูว่ามันให้ประโยชน์แก่ประเทศของเราและแก่โลกโดยรวมอย่างไร
หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://magazine.godsdirectcontact.net/thai/174/
10 สิงหาคม 2553 05:50 น.
คีตากะ
ก า ร กิ น เ จ อาหารธรรมชาติของมนุษย์
อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์
________________________________________
จากการสำรวจอายุเฉลี่ยและสุขถาพอนา มัยของประชากรในแต่ละส่วยของโลกพบว่า ในกลุ่มประชากรที่กินเนื้อเป็นอาหารหลัก ไม่พบผักเลยหรือกินแต่น้อย จะมีอายุสั้นมากแก่เร็วและเต็มไปด้วยโรคภัยร้ายแรงคุกคามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับกลุ่มประชากรที่กินแต่อาหารพืชผักเป็นหลัก พบว่ามีอายุยืนร่างกายแข็งแรง และปราศจากโรคภัยร้ายแรงใดๆ ฉะนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า " การกินเนื้อสัตว์เป็นเหตุบั่นทอนอายุให้สั้นลง ทำลายสุขภาพให้เสื่อมโทรม และก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆขึ้น " จากผลการวิเคราะห์เนื้อสัตว์ของสถาบันโภชนาการพบอันตรายที่สำคัญยิ่ง 5 ประการดังนี้คือ
1. เลือดและเนื้อของสัตว์เป็นพิษ ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ๆ ซึ่งมีจิตสำนึกค่อนข้างสูงเช่น วัว ควาย หมู สัตว์เหล่านี้จะเกิดความกลัวสุดขีดและพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ในช่วงเวลานั้นชีวะเคมีในตัวสัตว์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้น ฮอร์โมนที่เป็นพิษจำนวนมากจะถูกขับออกมาโดยเฉพาะ สารแอดรีนาลิน พิษของฮอร์โมนนี้จะแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดและเนื้อทุกส่วน แม้ว่าสัตว์นั้นจะตายไปแล้ว แต่ว่าพิษนั้นยังคงอยู่ต่อไป สารแอดรีนาลินนี้สามารถพบได้ในร่างกายของคนเราด้วยเช่นกัน มันจะหลั่งออกมามากในขณะที่บุคคลผู้นั้นเกิดอารมณ์โกรธเกลียด เครียดแค้น หรือตกใจกลัวสุดขีด เพราะฉะนั้นคนที่อารมณ์รุนแรงและตึงเครียด โมโหร้าย เจ้าอารมณ์ มักมีสุขภาพร่างกายไม่ดี ใบหน้าหมองคล้ำ ป่วยเป็นโรคต่างๆเสมอ แก่เกินวัยและตายเร็ว ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจดี อารมณ์ดี จะมีใบหน้าสดใส ร่าเริง แก่ช้า อายุยืน และสุขภาพอนามัยดี สถาบันโภชนาการประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า " เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆมากมาย " พบว่าหลังจากที่สัตว์ตายไป 2 - 3 ชั่วโมงเนื้อสัตว์จะเป็นกรดมากขึ้นทุกขณะ กรดนี้คือน้ำเนื้อซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทรับรสอยู่ที่บนลิ้น ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเนื้อมีรสชาดอร่อย ฉะนั้นผู้ที่ปรุงอาหารเนื้อจึงไม่นิยมนำเนื้อไปล้างน้ำ เพราะจะทำให้มีรสจืด แต่กรดในน้ำเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นจิตใจ และอารมณ์ ให้มีความรุนแรงฉะนั้นชนชาติที่ นิยมกินแต่เนื้อสัตว์จะมีความก้าวร้าวรุนแรง จ้องประหัตประหารล้างผลาญ คิดสร้างสรรอาวุธขึ้นมาทำลายล้างซึ่งกันและกัน นับวันยิ่งทวีความโหดร้ายรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้วิจัยพบว่าในเนื้อสัน 1 กิโลกรัมจะมีกรดยูริคอยู่ถึง 30 กรัม กรดยูริคในเนื้อมีสารยูเรียซึ่งเข้าไปสะสมในร่างกาย สารนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยากแก่การขับถ่ายและไม่สามารถสลายตัวได้ง่าย ส่วนที่ตกค้างก็ถูกส่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยจับเป็นผลึกอยู่ตามกล้ามเนื้อไขข้อและกระดูกทำให้เป็นโรคไต โรคเก๊า โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ แพทย์พบว่าไตของคนกินเนื้อ ต้องทำงานมากกว่าคนกินผักถึง 3 เท่า เพื่อขับสิ่งสกปรกและสารพิษในเนื้อที่กินเข้าไป แม้ว่าขณะอยู่ในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่พออายุมากขึ้น ไตที่ต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานานๆย่อมไม่อาจจะทนไหว อาการเจ็บป่วยจึงเริ่มปรากฏให้เห็น เช่น โรคไตพิการ ไตวาย นิ่วในไต โรคเก๊า และโรคไขข้อ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการจับเป็นผลึกของกรดยูริค ภายในส่วนต่างๆของร่างกายนั่นเอง ทุกวันนี้คนเราตกอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารดัดแปลงต่างๆ เมื่อร่างกายสะสมพิษเข้าไว้มากๆในที่สุดก็ต้องเจ็บป่วย ครั้นแล้วก็กลับพากันกินยาซึ่งสกัดจากสารเคมีเข้าไปรักษาความเจ็บป่วยนั้น บางครั้งยาที่คิดว่าจะช่วยรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น กลับให้ผลแทรกซ้อนข้างเคียง ทำให้อาการของโรคย่ำแย่ลงไปอีก บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาปฎิบัติตนกันใหม่ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย เกินไป
2. สารเคมีในเนื้อสัตว์ นับตั้งแต่สัตว์ถูกฆ่า ตัดชำแหละเป็นชิ้นๆ แยกประเภทนำบรรจุเข้าตู้แช่แล้วขนส่งไปยังตลาดจำหน่าย เนื้อสัตว์ต้องตกค้างอยู่เป็นเวลาหลายวัน เพื่อรอผู้บริโภคมาซื้อไป กว่าจะถูกปรุงเสร็จเป็นอาหารก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ตามธรรมดาเนื้อสัตว์จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะแปรสภาพ สีจะกลายเป็นสีเทาอมเขียว ดังนั้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเน่าเสีย และเจือสารรักษาสีให้เนื้อมีสีแดงดูสดนาน สารเคมีเหล่านี้ทางการแพทย์พบว่าเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้ ปัจจุบัน ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้สารเคมีและฮอร์โมนผสมลงในอาหารสัตว์เพื่อเร่งการเจริญ เติบโต ทำให้สัตว์อ้วนท้วนโตเร็ว เนื้อสัตว์ที่ได้จะมีสีสรรน่าซื้อแต่การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคได้รับ สารพิษต่างๆมากมาย เมื่อบริโภคเนื้อนั้นเข้าไปเป็นประจำ มีการฉีดเซรุ่มและยาปฎิชีวนะต่างๆ เพื่อป้องกันโรคระบาดสัตว์ ผู้ที่รับประทานเนื้อเป็นประจำร่างกายมักมีการต้านยา เมื่อเจ็บป่วยยาที่กินจึงไม่ค่อยได้ผล เช่นเดียวกับการใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชมากๆ แมลงเหล่านั้นก็จะมีความต้านยามากขึ้นเรื่อยๆ ยาที่มีความรุนแรงในขนาดเดิมจะใช้ไม่ได้ผล แมลงกลับจะทวีจำนวนมากขึ้นๆ ปัจจุบันได้พบข้อผิดพลาดนี้จึงมีการเสนอให้ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช โดยวิธีการรักษาสมดุลย์ของสัตว์ที่กินแมลงศัตรูพืชนั้นๆ เป็นอาหาร นักวิทยาศาสตร์อังกฤษและอเมริกาพบว่า คนกินเนื้อเป็นประจำทำให้แบคทีเรียในลำไส้เล็กจะทำปฎิกริยากับน้ำย่อยของ ร่างกายทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในลำไส้ โรคนี้พบมากในกลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ เช่นแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก แต่แพทย์ไม่พบเลยในกลุ่มคนที่รับประทานแต่อาหารพืชผักผลไม้ หรืออาหารมังสวิรัติ เช่น ในประเทศอินเดีย เป็นต้น ในอเมริกาคนเป็นมะเร็งลำไส้มาก เพราะต่างนิยมบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก ส่วนคนใน สก๊อตแลนด์กินเนื้อมากกว่าคนประเทศอังกฤษ 20 % สถิติการป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ของคนในสก๊อตแลนด์ก็มากกว่าคนในอังกฤษเป็น อัตราส่วน 20% เช่นกัน แม้แต่น้ำมันจากสัตว์ เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดสารแมททิลคอลเรนทีน สารนี้ทำให้เกิดโรคมะเร็งในคน แต่ไม่พบสารนี้ในน้ำมันพืชเลย ปัจจุบันจึงไม่นิยมเอาน้ำมันจากสัตว์มาปรุงอาหารรับประทาน ในเนื้อย่าง 1 กิโลกรัมจะมีสารโซไพรินเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 600 มวน ซึ่งทำให้คนเป็นมะเร็งได้เช่นเดียวกัน มีการพิสูจน์พบว่าในเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าที่ฉีดพ่นด้วย ดี.ดี.ที ก็จะพบสาร ดี.ดี.ที อยู่ด้วยในเนื้อวัวนั้นเป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งสาร ดี.ดี.ที นี้สามารถทำให้เป็นหมัน มะเร็ง และโรคตับ จากการทดลองของมหาวิทยาลัยไอโอวายืนยันว่า "สาร ดี.ดี.ที ในร่างกายของคนส่วนใหญ่ได้รับมาจากเนื้อสัตว์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อสัตว์สามารถเก็บกักสาร ดี.ดี.ที ไว้ได้ในปริมาณมากกว่าพืชผักผลไม้ ใบหญ้าถึง 13 เท่า" ปัจจุบันเกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มาก ฉะนั้นผักที่มีใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น ผักกาดขาว ผู้ปรุงควรดึงเปลือกชั้นนอกออกทิ้งไปสัก 2 - 3 ใบ ส่วนกระหล่ำปลีดอกควรนำไปล้างในน้ำที่ละลายด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ผักที่เก็บกักปริมาณยาฆ่าแมลงไว้มาก ควรล้างให้นาน โดยปล่อยน้ำให้ไหลตลอดเวลา เพื่อล้างยาฆ่าแมลงออกให้หมดก่อนนำไปปรุงอาหาร ขอแนะนำว่าควรเลือกซื้อผักที่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติและปลอดสารพิษมาปรุงอาหาร (Organized Grown And Non-Pesticide) หนังสือพิมพ์ชิคาโคทรีบูน (Chicago Tribune) ได้ตีพิมพ์เรื่องการเลี้ยงดูอย่งผิดธรรมชาติใน อุตสาหกรรมปศุสัตว์ว่า "เป็นการทำทำลายสมดุลย์ชีวเคมีในร่างกายของสัตว์ เช่นอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่ ลูกไก่ที่เกิดใหม่จะถูกฉีดกระตุ้นด้วยยาอาหารและสารเคมีต่างๆ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต สัตว์จำนวนนับหมื่นๆ ชีวิตถูกจำกัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบ ชีวิตที่น่าสงสารทั้งหมดอยู่ในกรงขนาดจิ๋ว เป็นการเลี้ยงในระบบขั้นบันได เมื่อสัตว์มีขนาดโตขึ้นก็จะเลื่อนลงมาตามชั้นที่จัดวาง สัตว์ถูกเลี้ยงให้อยู่ในพื้นที่จำกัด เพื่อให้ตัวโตไขมันมากมีเนื้อเยอะ ทุกชีวิตไม่มีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์แสงจันทร์ ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์หรือการออกกำลังกายเลย ไก่จึงขาดความแข็งแรงตามธรรมชาติ จะพบว่าไก่จำนวนมากที่เลี้ยงโดยวิธีดังกล่าวมีรูปร่างวิปริตผิดธรรมดามี เนื้องอกขั้นร้ายแรงเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ การเลี้ยงสัตว์ในลักษณะเช่นนี้เป็นการเลี้ยงดูที่ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง เนื้อสัตว์ที่ได้จึงเต็มไปด้วย สารเคมีที่เป็นพิษเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค"
3. โรคจากสัตว์ มนุษย์มีความรู้เรื่องสุขอนามัย แต่ยังคงเจ็บป่วยเป็นโรคได้ สัตว์เลี้ยงต่างๆ หากินคลุกคลีอยู่กับพื้นดินกินอาหารไม่เลือกจึงมักติดเชื้อและโรคต่างๆ เสมอ ในชนบทเมื่อหมู ไก่ วัว สัตว์เลี้ยงตายลงก็ยังนำไปปรุงอาหารโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าสัตว์นั้นตายด้วย โรคอะไร เชื้อโรคบางชนิดไม่อาจถูกทำลายด้วยความร้อน ผู้บริโภคจึงได้รับเชื้อโรคจากสัตว์ที่ป่วยนั้นเข้าไปโดยตรง ในโรงงานอุสาหกรรมชำแหละเนื้อสัตว์ จะพบสัตว์ที่มีเนื้องอกผิดรูปร่างอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อสัตว์สำเร็จรูปบางประเภททำมาจากส่วนต่างๆของสัตว์ โดยนำมาบดรวมกันแล้วผสมสีเจือกลิ่นเครื่องเทศแล้วบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ปรากฎว่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเอาตับของสัตว์ที่เป็นโรคไปเลี้ยงปลา ปลาเหล่านั้นก็เกิดเป็นโรคเช่นกัน ชาวอเมริกาบริโภคเนื้อสัตว์มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก พบว่าประชากร 1 คนในจำนวนทุกๆ 2 คนจะต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจและที่สำคัญไขมันคลอเลสเตอรอลจากสัตว์ ไม่สามารถสลายตัวในร่างกายของมนุษย์ เมื่อสะสมมากขึ้นจะจับเป็นก้อนแข็งตัวในหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแคบลง เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบ หัวใจจึงทำงานหนักในการสูบฉีดโลหิต หากมีไขมันอุดตันในเส้นเลือดเมื่อเส้นเลือดสูบฉีดแรงจะทำให้เส้นเลือดในสมอง แตก และเป็นอัมพาต ในปี พ.ศ. 2504 วารสารทางการแพทย์อเมริการายงานว่า อาหารธัญญพืชทั้งหมดสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ 90 ถึง 97% นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการกล่าวว่ากากและเส้นใยของอาหารพืช ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดลงได้ ด๊อกเตอร์ยูดี รีจีสเตอร์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยโรมาลินดา ในรัฐแคลิฟอเนียร์ได้ทดลองให้ผู้ป่วยรับประทานแต่อาหารประเภทถั่วและธัญญพืช ต่างๆ ปรากฏว่าระดับไขมันคลอเรสเตอรอลลดลงทั้งๆที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังกินเนยใน ปริมาณมากอยู่ก็ตาม การบริโภคเนื้อซึ่งไขมันสูงก็มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นด้วย นักวิจัยท่านหนึ่งได้พบว่า หากจำนวนคลอเรสเตอรอลในเนื้อสัตว์ลดลง 1 % อัตราการเป็นโรคหัวใจในประชากรจะลดลงถึง 2 % คลอเรสเตอรอลในไขมันสัตว์ไม่สามารถละลายได้ง่ายในร่างกายของมนุษย์ มันจะสะสมอยู่ตามผนังของเส้นเลือดนานๆเข้าจะทำให้ภายในเส้รเลือดเล็กแคบ เป็นเหตุให้เลือดไหลผ่านได้น้อย ภาวะอันตรายคือ เส้นโลหิตอุดตัน หรือ เส้นโลหิตเกิดแข็งตัว หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดเป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูง ป่วยเป็นโรคหัวใจ และหัวใจวายได้ อาหารและไขมันจากพืชไม่มีสารคลอเรสเตอรอลอยู่เลย ปัจจุบันจึงนิยมประกอบอาหารด้วยน้ำมันพืชเทานั้น ในเนื้อสัตว์ยังมีธาตุโซเดียมสูง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจ โรคหมดกำลังวังชา โรคกระเพาะ โรคเบาหวาน ผัก ผลไม้สดๆ ซึ่งเก็บมาใหม่ๆ เป็นอาวุธที่มีอานุภาพ จะต่อสู้โรคต่างๆได้หลายชนิด การออกกำลังกายประกอบกับการหายใจ การนอนหลับพักผ่อน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ดื่มน้ำสะอาดและรับแสงแดดดีๆ สิ่งเหล่านี้ประกอบกันทั้งหมดจะทำให้สุขภาพดีขึ้นได้
4. การเน่าเสียเร็ว ในทันทีที่สัตว์ตายลง ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย สารโปรตีนในตัวสัตว์จะจับกันเป็นก้อนพร้อมกับปล่อยเอ็มไซม์ที่มีพิษออกมาทำ ให้เนื้อเน่าเสียอย่างรวดเร็ว ต่างไปจากพวกพืชผักซึ่งมีโครงสร้างของผนังเซลล์ ไม่สลับซับซ้อนมีความมั่นคงทำให้ขบวนการเน่าเสียเป็นไปอย่างช้ามาก หากนำเนื้อสัตว์มา 1 จานและผักสด 1 ต้น นำมาตั้งวางไว้ ภายในวันเดียวเนื้อจะเริ่มบูดเน่า แต่ผักแม้จะทิ้งเป็นเวลาหลายวันก็จะเพียงเฉาลง ผักเหล่านี้เมื่อนำไปแช่น้ำก็จะกลับฟื้นสดขึ้นดังเดิม เนื้อสัตว์ใหญ่หากทิ้งไว้จะพบตัวพยาธิและมันจะโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนพร้อมกับแพร่พันธุ์ทวีจำนวนมากขึ้นจนน่ากลัว เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ พยาธิตัวจี๊ด พยาธิปากขอ ฯลฯ ส่วนผักผลไม้เราจะพบตัวหนอนที่เป็นศัตรูพืชบ้าง แต่ตัวหนอนเหล่านี้เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ก็จะกลายเป็นผีเสื้อ แมลงวันทองหรือแมลงอื่นๆ ไม่ใช่พยาธิอย่างในเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ต้องผ่านขั้นตอนที่ยาวนานเริ่มจากสัตว์ถูกฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วนำไปชำแหละแยกประเภทส่วนต่างๆ นำเข้าแช่ในห้องเย็นเพื่อจัดลำเลียงส่งไปยังตลาด ตามห้างร้าน ขณะที่วางขายก็จะต้องอยู่ในตู้แช่แข็งตลอดเวลาเพื่อยืดอายุการเน่าเสียให้ นานที่สุด เมื่อแม่บ้านซื้อไปแล้วใช้ไม่หมดก็ต้องเก็บเข้าตู้เย็นไว้อีก ลองนึกดูว่าเนื้อสัตว์ที่ปรุงอาหารให้เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อจะอยู่ ในสภาพเช่นไร แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากที่เรารับประทานอาหารเข้าไปแล้ว แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว เนื้อก็จะเริ่มบูดเน่าอยู่ภายในร่างกายของเรา ร่างกายต้องใช้เวลา 3 - 5 วันเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปจึงจะถูกขับถ่ายออกมาได้หมด ซึ่งต่างจากกากใยของพืชที่จะถูกขับออกจากร่างกายได้ภายในเวลาครึ่งวัน ในระหว่างที่เนื้อสัตว์ตกค้างในลำไส้ เนื้อซึ่งกำลังบูดเน่าได้สัมผัสกับอวัยวะย่อยอาหารของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กทำงานผิดปกติเป็นสาเหตุให้เกิดโรคลำไส้และโรค อื่นๆติดตามมา นายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับอาหารเนื้อสัตว์ว่า " เป็นการดีที่จะรับประทานอาหารผักด้วยความโล่งใจ สบายใจ โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าอาหารนั้น ปรุงมาจากเนื้อสัตว์ประเภทไหน "
5. การขับถ่ายไม่สะดวก เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีกากหรือเส้นใย ทำให้เคลื่อนตัวไปตามทางเดินอาหารได้ช้ากว่าอาหารประเภทพืชผักถึง 4 เท่า อาหารเนื้อใช้เวลายาวนานมากกว่าจะถึงระบบขับถ่าย ในระหว่างการย่อยที่ยาวนาน กากอาหารจะถูกดูดเอาน้ำไปมากทำให้ผู้ที่นิยมรับประทานแต่อาหารเนื้อมี อุจจาระแข็ง แห้ง ถ่ายลำบาก มักป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายหลายอย่างเช่น โรคท้องผูกเรื้อรัง โรคริดสีดวงทวารเป็นต้น ดังกล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่าเนื้อสัตว์เป็นบ่อเกิดของโรคในทุกระบบของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินอาหารรวมไปถึงระบบขับถ่าย ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆมากมาย เมื่อกินเนื้อทุกๆวัน ก็เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ทุกๆวัน อาหารพืชผักผลไม้มีกากและเส้นใยมาก เมื่อรับประทานเป็นประจำก็จะช่วยป้องกัน และยับยั้งโรคริดสีดวง โรคมะเร็งลำไส้ โรคไส้ติ่ง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ไม่ให้เกิดขึ้น จากการสำรวจเราจะไม่เจอโรคเหล่านี้ในประชากรที่รับประทานอาหารที่มีกากใยกัน มากๆเลย ในปัจจุบันนี้ชาวตะวันตกทั้งหลาย หันมารับประทานอาหารพืชผักผลไม้กันมาก ก็เพราะเหตุผลของสุขภาพอนามัยร่างกายมากกว่าเรื่องศีลธรรมความเชื่อและจิตใจ ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์แพทย์พบวิธีรักษาที่เป็นธรรมชาติที่สุดในการรักษาโรค ทั้งหลายคือ เลิกกินเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด ท่านเคยคิดบ้างไหมว่า การรักษาเมื่อเจ็บป่วยแล้วเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เป็นการสูญเสียเงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน เพราะสิ่งเหล่านี้เงินทองซื้อไม่ได้ คนเราทุกคนสร้างบ้านเรือนของเราด้วยไม้ ด้วยวัสดุอย่างดี ก็เพื่อให้มีความคงทนแข็งแรง จะได้อาศัยอยู่อย่างมีความสุข ฉะนั้นเราก็ควรสร้างร่างกายของเราด้วยอาหารที่เป็นธรรมชาติอันแท้จริงของ มนุษย์ เพื่อให้ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเช่นเดียวกัน