24 กุมภาพันธ์ 2564 20:30 น.
คีตากะ
การวิจัยล่าสุดถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
- ตามที่นักวิจัยของสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาทวีปแอนตาร์กติกกาซึ่งเป็นทวีปที่เหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอายุกว่า 30 ล้านปี ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดในโลกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นกว่า 10 องศาฟาเรนไฮห์ตั้งแต่ปี 1950
- การศึกษาโดยศูนย์วิจัยบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ(NCAR) พบว่าข้อมูลการละลายของน้ำแข็งทะเลอาร์กติกในฤดูร้อนล่าสุดขยายไป 1,000 ไมล์เข้าไปในพื้นที่ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(permafrost) ซึ่งปกติจะเยือกแข็งตลอดทั้งปี
- ภาพถ่ายดาวเทียมในเดือนสิงหาคม 2008 แสดงการละลายของธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งของกรีนแลนด์ กำลังเร่งระดับน้ำทะเลให้สูงขึ้นจากการละลายทางด้านทิศใต้ของกรีนแลนด์
- นักวิทยาศาสตร์ดาวเทียมของสหรัฐอเมริกา แจ้งว่าน้ำแข็งอาร์กติกที่หายไปในปี 2008 มากกว่าในปี 2007 พร้อมการคาดการณ์ว่ามันจะหายไปทั้งหมดในอีกไม่ช้า ซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียความสามารถของอาร์กติกในการสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไปสู่ห้วงอวกาศ
- ธารน้ำแข็งของที่ราบสูงทิเบตได้ลดขนาดลง 82% จากการที่ต้องเผชิญกับการร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งอาจจะทำให้รูปแบบของอากาศปั่นป่วนในเอเชียและเป็นอันตรายต่อแหล่งน้ำที่ใช้โดยประชากรราว 1 พันล้านคน
- ความร้อนที่กำลังเพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุทำให้ธารน้ำแข็งละลาย น้ำท่วมและนำไปสู่การปิดตัวลงของส่วนสาธารณะแห่งชาติของแคนนาดาชื่อ “ อุยยุทตัก(AuyuittuqX” ในที่สุด ซึ่งก่อนหน้ารู้จักกันว่าเป็น”ดินแดนที่ไม่เคยละลาย”
- กลุ่มผู้นำนักธารน้ำแข็งวิทยาระดับโลกเตือนอันตรายเรื่องอัตราเร็วในการละลายของธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอนดีสในเปรูที่กำลังละลายหายไป
- ภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุให้แผ่นน้ำแข็งขนาด 8 ตารางไมล์แตกตัวออกจากเกาะวาร์ดฮันท์ (Ward Hunt) ในอาร์กติกของแคนนาดา ขณะที่ก่อนหน้านี้หิ้งน้ำแข็งขนาด 3,500 ตารางไมล์ใกล้กับเกาะเอลเลสเมีย (Ellesmere) หดตัวเป็น 5 ส่วนเล็กๆ มีขนาดรวมเหลือแค่ 400 ตารางไมล์
- นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลของรัสเซียทำการวิจัยทางเรือตลอดแนวชายฝั่งทะเลของไซบีเรียเมื่อเร็วๆ นี้พบพื้นที่มากมายของทะเลกำลังปล่อยมีเทนปริมาณ 100 เท่ากว่าพื้นที่ปกติซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สำคัญในการเร่งภาวะโลกร้อนให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
- นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนพบปริมาณมีเทนเหนือและใต้น้ำนอกชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของไซบีเรียเนื่องจากมีสภาวะร้อนขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุให้มีเทนถูกปลดปล่อยจากช่องรูเล็กๆของชั้นดินเยือกแข็งใต้พื้นทะเล
- นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเบรเมน (Bremen) ในเยอรมัน มีข้อสรุปว่าทั้งทางช่องแคบด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือทางตอนเหนือของแคนนาดาและด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือทางตอนเหนือของรัสเซียมีการละลายของน้ำแข็งทะเล นั่นหมายความว่าการล่องเรือรอบช่องแคบน้ำแข็งอาร์กติกสามารถทำได้ขณะนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 125,000 ปีโดยประมาณ
- นักวิทยาศาสตร์อังกฤษยืนยันว่าน้ำแข็งอาร์กติกขณะนี้กำลังละลายแม้แต่ในฤดูหนาว
- สถาบันวิจัยน้ำและบรรยากาศแห่งชาตินิวซีแลนด์รายงานว่าน้ำแข็งถาวรปริมาณ 2.2 ล้านตันได้หายไปจากธารน้ำแข็งของประเทศระหว่างเดือนเมษายน 2550 และเดือนมีนาคม 2551
- นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจาวาฮาร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) ในกรุงนิวเดลฮี อินเดีย กล่าวว่าภาวะโลกร้อนกำลังเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งแกงโกทริ (Gangotri) หดหายไปประมาณ 850 เมตรและยังละลายต่อเนื่องในอัตรา 17 เมตรต่อปี
- ตามรายงานของบริษัทน้ำที่สำคัญของชิลี ธารน้ำแข็งอีชัวร์เรน (Echaurren) และธารน้ำแข็งรอบๆ กำลังหดหายไปด้วยอัตรา 12 เมตรต่อปี ซึ่งเป็นสาเหตุให้แม่น้ำที่ส่งน้ำ 70% ไปหล่อเลี้ยงประชาชน ในเมืองหลวงชื่อซานติเอโก (Santiago) ต้องเหือดแห้งไป
- การศึกษาโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติและศูนย์บริการตรวจติดตามธารน้ำแข็งโลกพบว่า 35-40% ของพื้นที่ธารน้ำแข็งรวมในเทือกเขาเทียนซาน (Tien Shan) ในช่วงคีร์กีซสถาน (Kyrgyzstan) ได้หายไปเมื่อศตวรรษที่แล้ว
- นักสมุทรศาสตร์ ดร.เดวิด คาริสัน ผู้อำนวยการโครงการปีขั้วโลกสากล กล่าวว่าการสูญเสียน้ำแข็งอาร์กติกไปจนหมดจะมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสภาพภูมิอากาศและรูปแบบของอากาศ การละลายของชั้นดินเยือกแข็งในบริเวณซึ่งจะสังเกตุได้ว่ากำลังทำลายสิ่งก่อสร้างและกำลังต้องการการปรับเปลี่ยนชีวิตของประชากรในท้องถิ่น
- ตามรายงานของผู้แทนด้านสิ่งแวดล้อมของอังกฤษ ประชาชนชาวอังกฤษ 2 ล้านคนไม่ตระหนักเลยว่าบ้านของเขาและสมบัติข้าวของจะหายไปอย่างรวดเร็วจากการเพิ่มสูงขึ้นของแม่น้ำและการสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล ในปี 2550 น้ำท่วมครั้งรุนแรงส่งผลกระทบต่อบ้าน 55,000 หลัง 1,000 ครอบครัวยังคงอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวที่จัดไว้ให้
ทรัพยากรทางธรรมชาติ
- ความต้องการน้ำในนามิเบียถูกคาดการณ์ว่าจะมากเกินกว่าแหล่งผลิตในปี 2558 สำหรับประเทศที่แห้งแล้งที่สุดในส่วนของทะเลทรายซาฮาร่า แอฟริกา
- รายงานใหม่โดยนักวิทยาศาสตร์ระดับสูงของออสเตรเลียทำนายว่าประเทศจำเป็นจะต้องเตรียมเผชิญกับภาวะแห้งแล้งเป็นสองเท่าและการเพิ่มขึ้นของคลื่นความร้อน 10 เท่าตัวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
- ดร.เซมิห์ อีเคอร์ซิน แห่งมหาวิทยาลัยอกาซาเรย์ (Aksaray) เตือนว่าทะเลสาบที่ครั้งหนึ่งเคยใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของตุรกีได้หดลงไป 85% เนื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศซึ่งอาจจะอันตธานหายไปภายในปี 2558
- ผลเก็บเกี่ยวของข้าวสาลีลดลง 40% เทียบกับปี 2550 เนื่องมาจากความแห้งแล้งในเขตตะวันออกเฉียงเหนือเป็นปัญหาต่อการพึ่งพาตนเองทางด้านอาหารของประเทศ
- กองทุนสัตว์ป่าของอังกฤษรายงานว่าระบบแม่น้ำเทมส์จะมีน้ำน้อยลงอีก แต่อันตรายที่ใหญ่กว่ามาจากน้ำท่วมเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
- ต้นไม้โบราณของอังกฤษอย่าง ต้นโอ๊ค ต้นบีช ต้นแอสกำลังถูกทำลาย พวกมันไม่สามารถทนสภาพอากาศที่เข้ามาได้จากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
- ต้นซีดาร์ของเลบานอน บางต้นมีอายุนับพันปีต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์จากภาวะโลกร้อน
- ท่ามกลางปริมาณน้ำฝนที่ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิในรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียอย่างวิคตอเรียและทาสมาเนียได้ขึ้นไปสูงสุด
- นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์มอนท์สหรัฐอเมริกา พบว่าต้นไม้ที่ชอบอากาศเย็นบนภูเขากรีนเมาเท้น(Green Mountains) ของรัฐได้เดินทางสูงขึ้นไปอีก 400 ฟุตในรอบกว่า 40 ปี
- สถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติรายงานว่า ป่าอะเมซอนหายไปเพิ่มขึ้น 69% หรือมากกว่า 3,327 ตารางกิโลเมตรในเวลาเพียงหนึ่งปี สาเหตุสำคัญมาจากความต้องการเนื้อสัตว์และถั่วเหลือง 74% ของป่าถูกใช้ไปเพื่อการเลี้ยงปศุสัตว์
- วารสารธรณีวิทยาทางธรรมชาติได้ตีพิมพ์การค้นพบจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา นักวิทยาศาสตร์ สการ์โบโรชได้ค้นพบว่าภาวะโลกร้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของดิน กำลังเป็นสาเหตุให้มันปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ ระดับ CO2 เพิ่มขึ้นทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เป็นสาเหตุให้ดินปล่อยแก็สเรือนกระจกปริมาณมากขึ้นออกมาและเกิดเป็นวัฏจักรอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
- ปัจจุบันระดับโอโซนเหนือพื้นดินได้เป็นที่น่าสังเกตว่าเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่าในช่วงเวลาเดียวกันจากก่อนยุคอุตสาหกรรม ความเข้มข้นที่สูงขึ้นนี้ เป็นสาเหตุให้ต้นไม้ลดการเจริญเติบโตลง 7% ตั้งแต่ท้ายปี 2343 จากการตีพิมพ์การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อโกลบอล เชง ไบโอโลจี (Global Chang Biology)
- แมนเฟรด แลง ศาสตราจารย์ด้านธรณีฟิสิกส์ แห่งศูนย์วิจัยพลังงาน สิ่งแวดล้อมและน้ำของไซปรัส แถลงว่าประเทศที่เป็นเกาะมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นทะเลทรายเนื่องมาจากความแห้งแล้งจากภาวะโลกร้อน
มหาสมุทร
องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ(FAO) รายงานว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสัมพันธ์กับอุณหภูมิของน้ำทะเลอันเป็นผลไม่ดีกับเมตาโบลิซึมของปลา อัตราการเจริญเติบโต การแพร่พันธุ์ และการมีโอกาสติดเชื้อเป็นโรคได้ง่าย
นักวิจัยจากอินเตอร์เนชั่นแนล โครอล รีเสริร์ซ ซิมโพเซียม (International Coral Research Symposium : ICRS) ในฟอร์ท ลอเดอเดล ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา พบว่าเกือบหนึ่งในสามของสายพันธุ์ปะการังมากกว่า 700 ชนิดทั่วโลกปัจจุบันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเป็นกรดของน้ำทะเล
การศึกษาใหม่โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศของออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาได้รับการเปิดเผยว่ามหาสมุทรโลกร้อนขึ้น 50% ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เร็วกว่าความเข้าใจก่อนหน้าที่เคยรายงานจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ในปี 2550
ศาสตราจารย์ด้านสมุทรศาสตร์ สตีเว้น ติมาร์โค แห่งมหาวิทยาลัยเอ& เอ็ม เท็กซัส สหรัฐอเมริกา แถลงว่าแม่น้ำที่เต็มไปด้วยปุ๋ยไนเตรทที่เพิ่มมากขึ้นไหลออกมาจากการเกิดน้ำท่วมเมื่อเร็วๆ นี้ในสหรัฐอเมริกามีโอกาสเป็นสาเหตุให้เกิดพื้นที่มรณะทางน้ำขนาด 7,900 ตารางไมล์ในอ่างเม็กซิโกขยายใหญ่มากขึ้นอีก
สมาพันธ์แห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ(IUCN) ตั้งอยู่ในประเทศสวิตซ์ รายงานว่าแหล่งหญ้าทะเล ซึ่งมีความสำคัญมากในด้านการเป็นแหล่งที่อาศัยและอาหารสำหรับสัตว์ทะเลหลายสายพันธุ์จำนวนมากกำลังลดลงหายไปเนื่องจากภาวะโลกร้อน
หมู่บ้านทางตอนใต้ของรัฐกูจาราชของอินเดียกำลังถูกคุกคามจากการถูกกัดเซาะชายฝั่งทะเล เนื่องจากภาวะโลกร้อน เชื่อมโยงกับระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น
ตลอดพื้นที่ 25 ตารางกิโลเมตรของเกาะวีซู ในประเทศจีน หาดทราย ชายฝั่ง และป่ากันชนกำลังจมลงไปกับระดับน้ำที่สูงขึ้นระดับเดียวกับหน้าต่างภายนอกของบ้านที่อยู่อาศัย 15,000 หลังคาเรือน
การศึกษาใหม่โดยทีมของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิ่น สหรัฐอเมริการายงานว่าแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่กำลังละลายเนื่องจากภาวะโลกร้อนอาจเป็นเหตุให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นถึงหนึ่งถึงสามนิ้วต่อปี
รายงานจากกองทุนสัตว์ป่าโลกเปิดเผยว่าทรัพยากรจำนวนมากเช่น น้ำซึ่งเป็นต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมถูกใช้ไปเพื่อผลิตเนื้อสัตว์
หน่วยงานด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ออสเตรเลีย แถลงว่าชาวออสเตรเลียถึง 80% จะได้รับอันตรายจากการท่วมสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเล
มนุษย์
- ประธานาธิปดีอาร์เจนติน่า คริสติน่า เฟอร์นานเดส เดอ เคอชเน่อร์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันที่ 23 สิงหาคม 2551 ใน 5 จังหวัดที่ได้รับความแห้งแล้งยาวนานนับเดือนซึ่งเลวร้ายที่สุดในรอบ 50 ปี
- เกือบ 2 ล้านคนในเมืองโบห์ลา เกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของบังคลาเทศเป็นพวกแรกๆ ที่กำลังได้เห็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในแต่ละชั่วโมงคนบังคลาเทศ 11 คนสูญเสียบ้านของพวกเขาไปกับระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น
- เนื่องจากความแห้งแล้งที่ยาวนานที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ชาวโซมาเลียมากกว่า 15,000 คนจากบริเวณกัลกาดัดได้ละทิ้งบ้านเรือนของตนและย้ายไปอยู่แค้มป์สำหรับคนที่อพยพต่างมีความหวังที่จะพบแหล่งน้ำและการได้รับความช่วยเหลือ
- องค์การสหประชาชาติรายงานว่าธารน้ำแข็งที่หดตัวลงในเทือกเขารเวนโซริของยูกานดาและหิมาลัยของเนปาล ทะเลสาบที่กำลังระเหยเหือดแห้งไปในมาลี ชาด และเอธิโอเปีย และการสึกกร่อนของดินจากการทำลายป่าในเฮติ ทำให้มีผู้ลี้ภัยทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคน
- รายงานการวิจัยของเนเธอร์แลนด์แจ้งว่าการเพิ่มขึ้นของพาหะนำโรคเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะเป็นสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของโรคอย่างเช่นโรคหืดหอบและภูมิแพ้เช่นเดียวกับโรคมะเร็งผิวหนังและเชื้อโรคลีม(Lyme desease)
- ความแห้งแล้งที่เข้าโจมตีจาว่าทางตะวันตก ในเดือนสิงหาคม 2551 มาพร้อมกับการสูญเสียพืชผลทางการเกษตรนาข้าวมากกว่า 4,000 ไร่ ใน 12 ตำบล ชาวนา 12,000 คนต่างได้รับผลกระทบ
- การสำรวจทางภูมิศาสตร์ของอินเดียแจ้งว่าการเกิดแผ่นดินแยกในบาลาซอร์เมื่อเร็วๆนี้ เป็นสาเหตุให้ต้องมีการโยกย้ายอพยพผู้คน ล้วนมีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อน
- การประชุมที่จัดขึ้นสำหรับนักข่าวสมาชิกสื่อมวลชนที่แอฟริกาใต้มุ่งเน้นความสำคัญไปที่ความเชื่อมโยงกันระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับความล้มเหลวในการเพาะปลูกพืช
- นักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกาอ้างถึงเหตุการณ์ที่รัฐมินนิโซต้า สหรัฐอเมริกาว่า ฟาร์มโคนมเป็นสาเหตุให้ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่โดยรอบต้องหนีออกจากบ้านเนื่องมาจากสารไฮโดรเจนซัลไฟด์มีระดับที่สูงขั้นอันตราย ซึ่งแก็สพิษนี้สร้างมาจากกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ขยายใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ
- องค์การสหประชาชาติประกาศในเดือนมิถุนายน 2551 ว่าชาวแอฟริกาตะวันออกมากกว่า 14 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนด้านอาหาร เนื่องมาจากความแห้งแล้งเป็นสาเหตุให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายอย่างหนัก ราคาอาหารและเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- อีหร่านยังคงนำเข้าข้าวสาลีต่อไปอีก จากการที่ผลผลิตภายในประเทศตกลงมา 20% ในปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากปริมาณน้ำฝนประจำปีลดน้อยลง 50%
- รัฐบาลประเทศออสเตรเลียรายงานว่าแหล่งน้ำของประเทศจะไม่เพียงพอใช้ภายหลังปี 2552 เนื่องจากเวลานี้ประเทศตกอยู่ในสภาวะแห้งแล้งขั้นรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี
- ซากพืชในที่ลุ่ม(peat bogs) ของอลาสก้า สหรัฐอเมริกา แห้งไปมากจากสาเหตุสภาพภูมิอากาศร้อนขึ้น กำลังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไฟป่าและกำลังปล่อยมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับความร้อนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
- การทำเหมืองแร่ที่ขาดการควบคุมและกิจกรรมที่ไม่ยั่งยืนอื่นๆ ประกอบกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้หลายเกาะในอินโดนีเซียตกอยู่ในอันตราย ซึ่งเกาะจำนวน 24 แห่งจมหายไปแล้วใต้ท้องทะเลและเกาะอื่นๆอีก 2,000 แห่งกำลังเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน
- รายงานจากองค์การศึกษาและวิจัย สถาบันนโยบายแห่งโลก ในสหรัฐอเมริกาแจ้งว่าปลาขนาดใหญ่ในทะเล 90% หายไปในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากการประมงที่มากเกินไป
- การสำรวจโดยสถาบันวิจัยนโยบายด้านอาหารนานาชาติในเอธิโอเปียและแอฟริกาใต้พบว่าเนื่องจากการขาดแคลนแหล่งทรัพยากรอย่างมาก ชาวนาจำนวนมากกำลังดิ้นรนเพื่อปรับตัวเรื่องการเพาะปลูกพืชท่ามกลางสภาวะโลกร้อน
สัตว์ป่า
- รัฐสภาของออสเตรเลียเร่งการป้องกันเชื้อโรคให้ผึ้งของประเทศเพื่อให้พวกมันดำเนินกิจกรรมการผสมเกสรซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพาะปลูกและการขยายพันธุ์พืชมากมาย
- การวิจัยของสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าสัตว์เลื้อยคลานจำนวน 30 สายพันธุ์และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำกำลังเคลื่อนย้ายไปสู่ที่สูงกว่าเพื่อที่อยู่อาศัยที่เย็นกว่าเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน
- การศึกษาโดยนักนิเวศน์วิทยาของสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์อาจจะสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วมากขึ้น ในบางชนิดอาจจะสูญพันธุ์ถึง 100 เท่าเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ก่อนหน้านี้
- ดร.รัสเซล มิตเตอร์มิเออร์ หัวหน้าสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติรายงานว่าเกือนครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์ลิงเล็กและลิงใหญ่อยู่ภายใต้ภัยการคุกคามจากการสูญพันธุ์เนื่องจากกิจกรรมเช่น การทำลายป่าและการล่าสัตว์เพื่อกินเนื้อ สัญญาณเตือนภัยเพิ่มมากขึ้นเกือบ 10% จากการศึกษารูปแบบแค่เพียง 5 ปีที่ผ่านมา
- นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตุเห็นหมีขั้วโลก 9 ตัวในทะเลชุกชีนอกชายฝั่งอลาสก้า สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะไปที่ช่องน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกซึ่งละลายไปแล้วเป็นระยะทาง 400 ไมล์ ซึ่งไกลเกินกว่าหมีจะมีชีวิตอยู่รอดได้
- ประชากรนกในอเมริกาเหนือลดจำนวนลงอย่างน่าวิตกเกี่ยวโยงกับการสูญเสียที่อยู่อาศัยเนื่องจากการสร้างเมืองพร้อมกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา การศึกษาสองชิ้นแสดงให้เห็นว่าการร้อนขึ้นของดาวเคราะห์โลกทำให้นกจำนวนมากขยายเขตแดนขึ้นไปทางเหนือ พืชและต้นไม้ 90% ได้ย้ายถิ่นสูงขึ้นไปกว่า 200 ฟุต
- สถาบันคุ้มครองพื้นที่และสัตว์ป่าของฟิลิปปินส์กล่าวว่าสายพันธุ์สัตว์ของชาติ 50% ตกอยู่ในอันตราย บางชนิดใกล้สูญพันธุ์ในเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งเป็นพวกที่พบได้ที่นี่เพียงแห่งเดียว
- กองทุนสัตว์ป่าโลกรายงานว่าเหลือเวลาเพียงน้อยนิดที่จะออกจากจุดปลายสุดที่ย้อนกลับไม่ได้เนื่องจากการทำลายป่าและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในเขตป่าฝนอะเมซอน
- สมาพันธ์อนุรักษ์ธรรมชาตินานาชาติ(IUCN) ระบุว่าเกือบหนึ่งในสามของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่รู้จักเกือบ 6,000 ชนิดในปัจจุบัน ได้ถูกคุกคามจากการสูญพันธุ์ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สรุปว่าภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุหนึ่งและอีกสาเหตุมาจากการใช้สารเคมีอะทราซีนที่เป็นอันตรายต่อพืช (ยาปราบศัตรูพืช)
- ภาวะโลกร้อนในแอฟริกาได้ทำลายสัตว์ป่าเมื่อแม่น้ำและทะเลสาบในแอฟริกาแห้งขอดและตาน้ำที่กำลังหายไป
- ภาวะโลกร้อนเป็นอันตรายต่อหนูเลมมิ่งของนอร์เวย์ด้วยหิมะที่เปียกผลจากอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นกำลังทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน
- ด้วยตัวเลขการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตถึง 3 เท่า รัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของบราซิล นายคาร์ลอส มินค์ยืนยันว่าประเทศของเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะหยุดความเสียหายที่จะมีต่อไปโดยการขยายโครงการคุ้มครองออกไป
- สมาคมยูเคส์ รอยัล โซไซตี้เพื่อการคุ้มครองนก ระบุว่านกบางสายพันธุ์ลดจำนวนลงมากกว่า 85% พร้อมกับคู่นกในฟาร์มเลี้ยงลดลงมากกว่า 50% มาตั้งแต่ปี 2503 ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเริ่มพัฒนาใช้ยาปราบศัตรูพืชภายในฟาร์ม
- ดร.แพร์รี่ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(IPCC) ของสหประชาชาติแถลงว่าครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์ต้นไม้ทั้งหมดในอะเมซอนเผชิญกับการสูญพันธุ์เป็นผลมาจากการทำลายป่าและภาวะโลกร้อน
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิการสัตว์ รายงานว่าการลดลงของประชากรหมีขั้วโลกบริเวณอาร์กติกของรัสเซียส่วนใหญ่เนื่องมาจากการละลายของน้ำแข็งจากภาวะโลกร้อน
- อาร์กติก รีพอร์ท คาร์ด แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิในฤดูใบไม้ร่วงที่สูงขึ้น 5 องศาเซลเซียสบริเวณอาร์ติกกำลังนำไปสู่การลดลงของสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์
- ตามรายงานของกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF)เมื่อเร็วๆ นี้ กล่าวว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นในแอนตาร์กติกจากภาวะโลกร้อนกำลังคุกคามการอยู่รอดของพวกนกเพนกวิน
- ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าแสดงความเป็นห่วงต่อการลดลงอย่างรวดเร็วของเต่าทะเลทรายโมเจฟบริเวณตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
- การศึกษาที่นำโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษและจีนแถลงว่าสภาวะ
ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นสาเหตุให้หมีแพนด้ายักษ์ประมาณ 1,600 ตัวที่ยังเหลืออยู่ในป่าต้องย้ายที่แห่งใหม่เพื่อหาต้นไผ่สำหรับกินเป็นอาหาร
- ผู้อำนวยการสัตว์และพืชพันธุ์ไม้ท้องถิ่นนานาชาติฟิลิปปินส์แนะนำให้ปรับปรุงกฎหมายเพื่ออนุรักษ์ป่าในเกาะพาลาวาน
- การศึกษาของเขตพื้นที่ลุ่มนานาชาติแสดงให้เห็นว่าการอพยพของประชากรนกไปยังแอฟริกาและยูเรเชียลดลง 40% เนื่องจากภาวะโลกร้อนและการถูกทำลายที่อยู่อาศัยโดยมนุษย์
Be Veg , Go Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com
2 กันยายน 2553 12:44 น.
คีตากะ
หากเรายังยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก เช่นนี้แล้วเราก็จะอยู่ในเงาแห่งการสูญเสียทุกขณะ สิ่งที่เราจะพึ่งได้เท่านั้นคือ อาจารย์ภายใน พลังอันยิ่งใหญ่ เช่นนี้แล้วเราก็จะปราศจากความกลัว สบายใจและได้รับการหลุดพ้น
ฉันได้เป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของพระเจ้าอยู่เสมอนับแต่ในวัยเด็ก เพราะว่าด้วยวิธีบางอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ฉันก็ได้เป็นเจ้าของบางสิ่งซึ่งผู้อื่นไม่มี แม้ว่าพวกเขาจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนั้น พวกเขาบางคนก็รู้สึกอิจฉาฉันมาก แต่ฉันไม่ได้รู้สึกภูมิใจในสิ่งเหล่านี้เลย เพราะฉันรู้อยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของฉันว่า สิ่งต่างๆ ทั้งหลายนี้มาจากพระเจ้าไม่ใช่มาจากฉัน ทุกครั้งถ้าฉันยึดติดมากเกินไปในสิ่งเหล่านั้นหรือพึ่งพาอามันมากเกินไป ไม่รู้สึกขอบคุณพระเจ้า หรือลืมความรักของพระองค์ เช่นนี้แล้วพระองค์ก็จะเอามันไปจากฉันเพื่อชำระล้างอุปสรรคทั้งหลายระหว่างพระองค์และฉัน พระองค์ได้สอนฉันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอดทนอันไม่สิ้นสุด แม้ว่าฉันจะร้องไห้และเศร้าโศกเสียใจเพื่อที่จะให้ฉันรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ และทำให้ฉันได้เข้าใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีความคิดคับแคบที่จะต้องการความขอบคุณจากฉัน แต่ถ้าฉันรักสิ่งใดมากกว่าพระองค์ มันก็จะเป็นอุปสรรคระหว่างพระองค์และฉัน ทำให้ฉันเหินห่างจากพระองค์
ดังนั้นทุกครั้งที่พระองค์เอาสิ่งใดๆ ไปจากมือของฉัน จะมีความกรุณาของพระองค์อยู่เสมอ มีความเมตตาและพระพรซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในนั้น คัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ว่า “หากพระเจ้าปิดประตู พระองค์ก็จะเปิดหน้าต่างอีกบานหนึ่งให้เธอ” ท่านอาจารย์ก็ได้เคยเล่าเรื่องให้เราฟังเกี่ยวกับสุภาพสตรีและกษัตริย์ กษัตริย์บอกสุภาพสตรีนั้นว่า หล่อนสามารถเอาอะไรก็ได้ชิ้นหนึ่งจากพระราชวังของพระองค์ไปเป็นของขวัญถ้าหล่อนปรารถนา สุภาพสตรีผู้ชาญฉลาดนั้นได้เลือกที่จะเอาตัวพระราชา เพราะเมื่อหล่อนเป็นเจ้าของพระราชา หล่อนก็จะได้เป็นเจ้าของทั้งอาณาจักร ก็เหมือนกันกับถ้าเราสละทุกสิ่งทุกอย่างและพึ่งพาพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เราก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้สร้างขึ้น
ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราว่า “แม้ว่าเธอบำเพ็ญความดีและความยุติธรรมก็จะมีพลังทางลบที่จะพยายามโจมตีเธออยู่เสมอ ที่จะพยายามทำให้เธอหันเหออกจากจุดมุ่งหมายของเธอ ล่อลวงเธอให้ไปในทิศทางต่างๆ ทำให้เธอไขว้เขว ดังนั้นจึงต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างมากและหลักการที่จะควบคุมตัวเราเอง ที่จะตรวจสอบวิธีการของเรา ที่จะตรวจสอบชีวิตของเรา เพื่อว่าเธอได้เติบโตในทิศทางที่ถูกต้องอยู่เสมอโดยไม่ต้องเสียใจและไม่ต้องมาพร่ำบ่นถ้าเธอไม่ได้รับผลที่ดีจากมัน แต่ทั้งๆ ที่มีอุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้ และความไม่เป็นที่น่ายินดีในรูปแบบใดๆ เราก็ยังคงพัฒนาต่อไป เรายังคงพัฒนาตัวเราต่อไปที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่ามันถูกต้อง เพราะมันเป็นการท้าทายของโลกนี้ที่เราจะพูดในวิถีทางแห่งพระเจ้าอยู่เสมอ ที่เราพูดศีลแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่เสมอ นั่นก็คือวิธีการที่เราจะขึ้นไปให้อยู่เหนือความแตกต่างทั้งหลายและคำสรรเสริญและการติเตียนทั้งหลาย เพื่อที่จะเป็นมนุษย์ผู้สูงส่ง” คัดจาก “กุญแจแห่งการรู้แจ้งในทันที” เล่มห้า ปราศรัยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1993)
ฉันเคยมีความคิดว่า ตราบใดที่เราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เราก็จะปลอดภัย แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่าถ้าเราไม่จริงจังต่อตัวเราเพียงพอในการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีศรัทธาอันแรงกล้าและความจริงใจอย่างแท้จริงในหนทางการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีค่าคู่ควรกับธรรมวิถีที่ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดให้กับเรา เราก็จะไม่สามารถผ่านการทดสอบทั้งหลาย ฉันขอร้องพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “โปรดอย่าได้เข้มงวดมากนักกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เพราะมันน่าเสียดายถ้าผู้นั้นต้องหลุดออกจากหนทางหลังจากประทับจิตแล้ว” แต่ฉันก็ได้รับความรักอันสูงสุดของพระองค์จากบทเรียนอันเข้มงวดและรุนแรงนี้ และด้วยน้ำตาและความโศกเศร้าฉันก็ได้รับความกล้าหาญที่จะเผชิญกับทั้งโลกถ้าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันจะทำมันได้ ท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราหลายครั้งว่ายุคทองกำลังใกล้เข้ามา ฉันได้เรียนรู้จากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ว่า ผู้คนสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้โดยตรงในยุคทอง เมื่อเราพึ่งพาพระองค์เท่านั้นจริงๆ และฟังคำสั่งจากปัญญาสูงสุดโดยตรง และเผชิญหน้ากับโลกอย่างห้าวหาญ เราก็จะอยู่ในยุคทองในขณะนี้ !
บนเส้นทางการบำเพ็ญ
โดยพี่ประทับจิตหญิง มิลินซู ฟอร์โมซา
1 กันยายน 2553 01:10 น.
คีตากะ
ข้อมูลเร่งด่วนจากท่าน Supreme Master Ching Hai
สวัสดี ท่านผู้พิพากษาอันทรงเกียรติที่เคารพ ท่านผู้ช่วยที่นับถือ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่สูงส่ง ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษนี้ สำหรับโครงการใหม่ของท่านที่ชื่อ “Diploma Participation in Environmental Right” ในฐานะพลเมืองของโลกที่ให้ความใส่ใจต่อโลกใบนี้ ฉันขอแสดงความยินดีและขอบคุณสำหรับความเพียรพยายามอย่างจิรงใจนี้ ที่ท่านแสดงออกถึงความใส่ใจระดับสูงในการอุทิศตนต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา ขอให้สิ่งนี้เป็นแรงเสริมสร้างกำลังใจของท่านเพื่อนำความยุติธรรมที่สุดมาให้แก่ทุกชีวิตบนดาวเคาระห์ดวงนี้ วันนี้ ฉันรู้สึกได้รับเกียรติอย่างมาก ด้วยความถ่อมตัวของฉันต่อการปกครองด้วยปัญญาของท่านโดยการแบ่งปันข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสาเหตุอย่างเร่งด่วนที่สุด
ก.ผลกระทบจากภูมิอากาศและภัยคุกคาม
เราได้รับสัญญาณต่างๆ จากวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น ปรากฏหลักฐานให้เห็นได้ทั่วทุกมุมโลก สิ่งแรกคือพายุที่มีความรุนแรงเป็นสองเท่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา อย่างที่เราสามารถเห็นได้ที่เกิดขึ้นในเม็กซิโกเอง เมื่อเร็วๆ นี้ พายุเฮอริเคนและน้ำท่วมที่สร้างความเสียหายให้กับครอบครัว ซึ่งต้องได้รับความเจ็บปวดและเศร้าโศก ขณะเดียวกับที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระดับที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ประเทศที่เป็นเกาะอย่างน้อย 18 แห่ง จมหายไปและบริเวณชายฝั่งที่มากกว่านั้นยังถูกคุกคามต่อไป เมื่อธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มากมายได้ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประชากรมากกว่า 2 พันล้านคนขาดแคลนน้ำและอาหารไปแล้ว ความทุกข์อีกมากมายมาจากการขาดแคลนน้ำและแม่น้ำนับหมื่นๆ แห่งหายไปและเหือดแห้งลง ประเทศเม็กซิโกเองเวลานี้กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 70 ปี เพื่อนมนุษย์มากกว่า 300,000 คน กำลังตายในแต่ละปีเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มากกว่า 20 ล้านคนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานกลายเป็น”ผู้ลี้ภัยทางภูมิอากาศ” นักวิทยาศาสตร์ยังกังวลเกี่ยวกับมีเทนเป็นพันๆ ล้านตันที่เกิดจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัวบริเวณอาร์กติกขั้วโลกเหนือเวลานี้ และมหาสมุทรที่กำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งสามารถปลดปล่อยออกมาก็จะนำไปสู่การสูญพันธุ์อย่างมหาศาล
ข. สาเหตุ
อะไรคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหายเหล่านี้ ? มันไม่ใช่รถยนต์ หรือเครื่องบิน มันไม่ใช่โรงงานถ่านหิน และมันไม่ใช่แม้กระทั่งโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันทั้งหมดในโลกของเรา สาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะโลกร้อนคือการปศุสัตว์ งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้บอกเราว่าการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยแก็สเรือนกระจกของโลก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดของการผลิตมีเทนจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นแก็สเรือนกระจกที่สามารถดักความร้อนอย่างน้อย 72 เท่ามากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ โดยวัดในช่วง 20 ปี ข่าวดีเกี่ยวกับมีเทนดักความร้อนนี้คือว่าแก็สนี้มีอายุสั้นกว่าคาร์บอนไดออกไซด์และสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในบรรยกาศได้นานนับพันๆ ปี ขณะที่อายุของมีเทนในบรรยากาศแค่ประมาณ 12 ปี กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่ามีเทนสร้างความเสียหายมากกว่าในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถ้าเราหยุดมัน เราจะสามารถหันกลับจากภาวะโลกร้อนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการหยุดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วคือการหยุดปล่อยมีเทน เราจะต้องหยุดแหล่งอันดับหนึ่งของมันนั่นคือการทำฟาร์มปศุสัตว์
ค.การปศุสัตว์
เวลานี้ เรากล่าวเกี่ยวกับการปศุสัตว์ การทำฟาร์มปศุสัตว์เป็นสาเหตุของผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามที่องค์การสหประชาชาติและการศึกษาอื่นๆ กล่าวไว้ว่า การเลี้ยงฟาร์มปศุสัตว์เป็นที่รู้กันว่าเป็นสาเหตุผลกระทบสร้างความเสียหายดังต่อไปนี้
1. การทำลายป่า
การเลี้ยงฟาร์มปศุสัตว์เป็นตัวการเดียวที่มนุษย์ใช้ที่ดินมากที่สุดและเป็นสาเหตุหลักของการทำลายป่า ตั้งแต่ปี 2513 การผลิตปศุสัตว์ได้เป็นสาเหตุของการทำลายป่าในอะเมซอน 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการถางป่าเพื่อใช้เป็นทุ่งหญ้าปลูกพืชอาหารเลี้ยงสัตว์ให้เจริญเติบโต บริเวณป่าเขตร้อนขนาดเท่าสนามฟุตบอลถูกทำลายไปทุกๆ หนึ่งวินาทีเพื่อผลิตแฮมเบอร์เกอร์แค่ 250 ชิ้น นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าถ้าเรายังคงเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการทำลายนี้ ป่าของโลกจะหยุดดูดซับแก็สเรือนกระจกในไม่ช้า และจะเริ่มปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลออกมาแทน มากไปกว่านั้นการทำลายป่าเพื่อกิจกรรมการทำฟาร์มปศุสัตว์ก็ยังผลิตคาร์บอนดำ(Black Carbon) คาร์บอนดำเป็นส่วนหนึ่งของแก็สเรือนกระจกที่สามารถดักความร้อนได้ 680 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นสาเหตุให้แผ่นน้ำแข็งและธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายรวดเร็วยิ่งขึ้น การปล่อยคาร์บอนดำถึง 40 เปอร์เซ็นต์มาจากการเผาป่าเพื่อการทำฟาร์มปศุสัตว์
2. การกัดเซาะดินและกลายเป็นทะเลทราย
มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของการกัดเซาะหน้าดินรอบโลกมีสาเหตุมาจากการปศุสัตว์ซึ่งเกิดขึ้นมายาวนานพร้อมกับการทำลายป่า นำไปสู่การกลายเป็นทะเลทราย
3. การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
การทำฟาร์มปศุสัตว์เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของสัตว์และพืช เนื่องจากการเสื่อมสภาพของดิน และผลกระทบที่ทำลายที่อยู่อาศัยอื่นๆ อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์กำลังฆ่าชีวิตป่าที่สวยงามของเราให้หมดไป รวมทั้งในเม็กซิโก
4. มลภาวะเป็นพิษ
ทุกๆ ส่วนของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของมลภาวะทางน้ำ ของเสียจากสัตว์ที่มากเกินไปที่ไม่มีการจัดการที่ดี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาปฏิชีวนะ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์กีดขวางทางน้ำของเราและสร้างพื้นที่มรณะทางทะเล (Dead Zone) อย่างเช่น บริเวณที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในอ่าวเม็กซิโก
5. เชื้อโรค
โรคติดต่อในมนุษย์มากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ทราบกันมาจากสัตว์ ความสกปรกและสภาพไร้มนุษยธรรมของฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นที่อาศัยของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น ไข้หวัดนก และไข้หวัดหมู ที่เราทั้งหมดทราบว่ามีการระบาดอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นสาเหตุการตายของคนจำนวนมากทั่วโลก
6. สูญเสียอาหาร
การทำฟาร์มปศุสัตว์ใช้เมล็ดข้าวปริมาณมากถึง 12 เท่า เพื่อผลิตโปรตีนที่เท่ากับผักในปริมาณที่เท่ากัน เมล็ดข้าวในโลกปริมาณ 730 ล้านตันที่ถูกเก็บเกี่ยวถูกใช้ไปกับการผลิตโปรตีนเนื้อสัตว์ ปริมาณนี้สามารถเลี้ยงประชากรที่หิวโหยทั้งหมดจำนวน 1 พันล้านคนของโลกหรือจำนวนหลายเท่ากว่านั้น
7. สูญเสียน้ำ
ต้องใช้น้ำมากกว่า 1,200 แกลลอนเพื่อผลิตเนื้อวัว 1 จาน แต่ใช้น้ำเพียง 98 แกลลอนเพื่อผลิตอาหารจากผักที่มีคุณค่า 1 มื้อ ขณะที่ประชากร 1.1 พันล้านคนขาดแคลนน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัย เราสูญเสียน้ำสะอาดมีคุณค่าปริมาณ 3.8 ล้านล้านตันในแต่ละปีเพื่อการผลิตปศุสัตว์
8. สูญเสียพลังงานและทรัพยากร
การผลิตเนื้อสัตว์ต้องการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 8 เท่าในการผลิต เมื่อเทียบกับการผลิตพืชผัก จากการศึกษาพบว่าการผลิตเนื้อและนมในเม็กซิโกใช้พืชผลทางการเกษตรและทรัพยากรมากที่สุดในประเทศและมันสะท้อนให้เห็นทุกๆที่รอบโลกล้วนเป็นเช่นเดียวกันด้วย หลักฐานทั้งหมดกล่าวด้วยเสียงอันดังและชัดเจน ถ้าทรัพยากรเหล่านี้ ที่ดิน น้ำ และเมล็ดข้าวถูกเปลี่ยนไปเพื่อค้ำจุนมนุษย์แทนการปศุสัตว์ โลกจะแตกต่างออกไปอย่างที่ควรจะเป็น นักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศที่น่านับถือ ประกอบด้วย ดร.เจมส์ เฮนเซนจากนาซ่า ดร.คาร์ลอส โนบริของบราซิลจากสถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติ และดร.ราเจนดรา ปาเชารี ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ ทั้งหมดได้กล่าวว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์หรือการเป็นมังสวิรัติคือวิธีการที่มีประสิทธิผลในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน นั่นคือเราต้องมีวิถีชีวิตที่ปลอดเนื้อสัตว์ มีวิถีชีวิตแบบเมตตา เวลานี้ฉันจะนำเสนอบางส่วนของประโยชน์หลายอย่างของการทานอาหารจากผักปลอดสารพิษ
ง. ประโยชน์ของผัก
อย่างแรก ที่ดินเพื่อการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชเลี้ยงสัตว์สามารถเปลี่ยนมาเป็นป่าที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน นอกจากนั้นผืนดินยังสามารถนำไปใช้ในการทำไร่ปลูกผักปลอดสารพิษ(เกษตรอินทรีย์) ไม่เพียงประชากรจะมีอาหารกินอย่างเต็มที่ แต่แก็สเรือนกระจกมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในชั้นบรรยากาศสามารถถูกดูดซับ นอกจากนั้นยังเป็นการกำจัดของเสียมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นสาเหตุมาจากการทำฟาร์มปศุสัตว์อีกด้วย ดังนั้น โดยภาพรวมเรากำจัดแก็สเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างเกือบทั้งหมดด้วยการนำวิถีอย่างเรียบง่ายจากการปลอดเนื้อสัตว์มาใช้วิถีการปลูกพืชผักแบบเกษตรอินทรีย์ นี่ยังนำไปสู่การพยายามประหยัดเงินจำนวนมากให้กับรัฐบาลในโลก จากคำนวณเมื่อเปลี่ยนไปทานอาหารจากผัก รัฐบาลในโลกจะประหยัดเงินได้ถึง 32 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (992 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2593 หรือคิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาด้านภูมิอากาศ ท้ายที่สุด แน่นอนว่ามันมีประโยชน์อย่างดีเลิศต่อสุขภาพในการทานอาหารจากผัก ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันและรักษาโรคหัวใจและเบาหวาน เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย อายุยืนยาว และรักษาสุขภาพ สร้างความเฉลียวฉลาด และความสงบให้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
ในท้ายที่สุด ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีของประเทศที่ดีอย่างเม็กซิโกที่ค้นหาความเจริญก้าวหน้าทางด้านกิจกรรมสิ่งแวดล้อม และกำลังวางแผนเพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องโลก รัฐธรรมนูญของเม็กซิโกได้ระบุว่า”ทุกคนมีสิทธิ์อย่างเหมาะสมต่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและการอยู่ดีกินดี ” ไชโย ในช่วงเวลาที่เร่งด่วนที่สุดนี้สำหรับดาวเคราะห์โลก ฉันขอวิงวอนต่อความปราณีอย่างมีเกียรติของท่าน ได้โปรดกรุณาช่วนเหลือประเทศของท่านและสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราจากหายนะเนื่องจากภาวะโลกร้อนที่กำลังจะมาถึง ถ้าท่านไม่กระทำ ก็จะมีหายนะที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป ความทุกข์ทรมาณมากเกินไปต่อประชาชน ครอบครัว และเด็กๆ ซึ่งจิตสำนึกของเราอาจจะไม่มีวันแบกรับได้ ฉันให้เกียรติท่านในการพูดความจริงซึ่งเราต้องกลายมาเป็นผู้ทานผัก(Vegan) เพื่อช่วยรักษาโลกของเรา เราไม่สามารถรอคอยพลังงานแบบยั่งยืนและเทคโนโลยี่เขียวเพื่อให้เกิดขึ้นมาและให้ทุกคนได้ใช้ มันอาจจะสายเกินไป ฉันเรียกร้องความกล้าหาญของผู้ให้การปรึกษาที่มีอยู่ทั้งหมด ผู้มีอำนาจและพลังอำนาจในตัวท่าน จงนำประชาชนของท่านไปสู่วิถีชีวิตที่สูงส่ง มีคุณธรรม รักษาชีวิต และหนทางที่ยั่งยืนบนโลก ขอบคุณสำหรับความสนใจของท่าน พระเจ้าอวยพรทุกท่าน พระเจ้าอวยพรเม็กซิโก ขอบคุณ
24 สิงหาคม 2553 20:01 น.
คีตากะ
“ พลังจิตวิญญาณเป็นของฟ้า ร่างกายเป็นของดิน เมื่อพลังจิตวิญญาณกลับบ้านและร่างกายคืนสู่แหล่งกำเนิด ตัวตนอยู่ที่ไหน ?”.....
หนุ่มน้อยหน้าตาผ่องใสคนหนึ่ง รูปร่างสันทัด บุคลิกลักษณะของเขาไม่คล้ายคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ เขาสะพายกระเป๋าเป้สัมภาระอยู่บนหลัง ราวกับว่าไม่อาจปล่อยวางมันลงมาได้ตลอดชีวิตก็ปาน เขาเดินทางมาจากภาคตะวันตกของประเทศ และกำลังเดินวนเวียนด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นอย่างหนักอยู่ภายในบริเวณสถานีรถของจังหวัดรอยต่อระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้เป็นวัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบน....
เขาใส่เสื้อผ้าธรรมดา สีพื้นๆ สวมกางเกงยีนเก่าๆ ท่าทางซอมซ่อ ไม่เป็นที่สะดุดตามากนักสำหรับคนผ่านทางที่ได้พบเห็น สีหน้าของเขาฉายแววความกังวลอยู่หลายส่วน คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันเป็นปมยุ่งอยู่ตลอดเวลา คล้ายมีปัญหายิ่งใหญ่อันใดที่ไม่อาจคลี่คลายได้ แต่ความวิตกกังวลเหล่านั้นก็ไม่อาจทำลายเค้าลางความงามตามธรรมชาติของเขาลงได้แม้แต่น้อย จิตใจของเขากำลังดิ้นรนเพื่อเสาะแสวงหาบางสิ่งบางอย่างนั่นคือ “การพ้นทุกข์”....
“ทางที่พูดถึงได้มิใช่ทางอมตะ นามที่บัญญัติได้มิใช่นามยั่งยืน สิ่งที่ถูกจดจารหรือถ่ายทอดแก่ผู้อื่นได้ก็คือกาก”…..
เขายังตามระลึกได้ว่าชีวิตช่วงที่ผ่านมาของเขานั้นทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด แท้ที่จริงแล้วเขาไม่มีความปรารถนาที่อยากจะอยู่บนโลกอันมีแต่ความทุกข์แบบนี้อีกต่อไปเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ว่าการทำร้ายตัวเองเป็นบาปมหันต์ ภาพความเลวร้ายต่างๆที่เขาได้ประสพมาโดยเฉพาะในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมามันทำให้เขาเบื่อหน่ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและสิ้นสูญความศรัทธาต่อความดีงามในจิตใจของปัจเจกชนเสียแล้ว เขาไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังมีเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่บนศีรษะและกำลังวิ่งไปอย่างสุดชีวิตเพื่อหาทางดับความร้อนจากมันอย่างเร่งด่วนที่สุด มันคงจะง่ายดายกว่าถ้าความร้อนนั้นมาจากเปลวไฟจริงๆ เขาก็ทำเพียงแค่หาแหล่งน้ำเย็นๆ สักแห่งแล้วกระโจนลงไปเท่านั้น ปัญหาก็คงจบสิ้น แต่น่าเสียดายที่ความร้อนอันนี้มันเกิดขึ้นที่จิตใจของเขาเอง มันเกิดจากเพลิงโทษะ ความโกรธได้ครอบงำจิตใจของเขาจนแทบหมดสิ้น จิตใจของเขาจึงจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน ต่อให้เขากระโจนลงทะเลก็ยังคงไม่อาจดับไฟแห่งทุกข์อันนี้ได้ ทั้งจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน และลูกน้องในบริษัทที่เขาทำงานอยู่ ผู้คนแวดล้อมรอบข้างต่างล้วนแล้วแต่ทำให้เขาผิดหวังและโกรธเกรี้ยวจนไม่อยากจะพบหน้าคนเหล่านี้อีกตลอดกาล เขาถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกประนาม จากคนรอบข้างมายาวนานมาพอสมควรแล้ว ไม่มีใครให้เกียรติแก่เขา แม้แต่ลูกน้องของเขาเอง ก็มองเห็นเขาเป็นเพียงแค่ตัวตลกตัวหนึ่ง เป็นคนไม่ได้เรื่อง คนไม่เอาความ คนที่มีแต่ความล้มเหลว สมองของเขาท่องแต่คำว่า “เบื่อเพื่อนร่วมงาน รำคาญตัวเอง เซ็งเจ้านาย” เขาอยากจะกำจัดคนเหล่านี้ออกไปจากโลกและจากชีวิตของเขาเสียจริง แบบไม่ต้องให้เหลือเศษซากรกหูรกตาอีกต่อไป แต่เขาไม่สามารถกระทำได้พราะเขามีอาจารย์ ท่านเคยสอนสั่งให้เขารู้จักควบคุมตัวเอง ให้อภัยและมีความรักต่อเพื่อนร่วมโลก แต่เขาก็ยังไม่อาจให้อภัยใครได้ และเกิดความขัดแย้งในจิตใจอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง มันก่อให้เกิดเพลิงความแค้นสุมแน่นอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา นาที เนื่องจากอาจารย์ของเขาต้องเดินทางไปเผยแผ่ธรรมะต่างประเทศจึงไม่มีใครช่วยเขาได้ในเวลาที่เร่งด่วนเช่นนี้ นั่นอาจมีแต่เพียงพระวัดป่าที่เคร่งครัดทางวิปัสนากรรมฐานเท่านั้นที่อาจช่วยคลายความทุกข์ให้เขาได้บ้างไม่มากก็น้อย นี่คือความเห็นส่วนตัวของเขาเอง ผนวกกับเป็นช่วงเวลาที่ทางบริษัทที่เขาทำงานอยู่กำหนดให้พนักงานหยุดพักเป็นเวลา 1 เดือนตอนสิ้นฤดูการผลิตของทุกปีพอดิบพอดี เวลานี้จึงเป็นเวลาอันประเสริฐยิ่งที่เขาจะใช้มันให้คุ้มค่ากับชีวิต เพื่อค้นหาคำตอบบางอย่างและดับไฟที่กำลังเผาลนจิตใจของเขาอยู่ รวมทั้งตัดสินอนาคตของเขาด้วย
“สำหรับตะวันและจันทรา ความสว่างเป็นที่น่าปรารถนา แต่หมู่เมฆมาบดบัง สำหรับนทีในลำน้ำ ความใสเป็นที่น่าปรารถนา แต่ทรายทำให้มันขุ่น สำหรับธรรมชาติของมนุษย์ ดุลยภาพเป็นที่น่าปรารถนา แต่นิสัยทะยานอยากกลับทำลายมัน มีแต่ปราชญ์เท่านั้นที่สามารถวางสิ่งทั้งปวงและหวนคืนสู่ตัวตนได้”......
เขาเลือกวัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสาน และเดินทางอย่างเร่งรีบไม่ได้บอกใครจนเพื่อนพ้องและญาติพี่น้องใกล้ชิดไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเขา เขาคล้ายอันตธานหายไป ไปจากโลกที่มีแต่ความสับสนวุ่นวาย เขาปิดโทรศัพท์มือถือ เพื่อไม่ให้ใครรบกวนเขาได้ เพราะอาจทำลายความมุ่งมั่นของเขาลง ก่อนที่ไฟแห่งความทุกข์จะเผามอดไหม้ทั้งจิตใจและร่างกายของเขาจนวอดวายลงไปกลายเป็นจุล เขากำลังจะตายทั้งเป็น เขาจำเป็นต้องได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วที่สุด “เขาคือใคร มาทำอะไรที่นี่?”
มนุษย์ปุถุชนธรรมดาย่อมไม่อาจตอบคำถามเหล่านี้ได้ ยกเว้นเพียงพระเกจิอาจารย์ผู้มีญาณวิเศษหรือไม่ก็อาจารย์ของเขาเองเท่านั้น ตอนแรกที่เขามอบตัวเป็นศิษย์อาจารย์ของเขานานมาแล้ว ภายหลังจากที่เขาตั้งจิตอธิษฐานต่อสวรรค์ว่า “ขอให้ได้พบกับพระพุทธเจ้าที่มีชีวิต” ไม่นานจากนั้นอาจารย์ของเขาก็ปรากฏตัว ต่อมาเขาก็ขออาจารย์ออกบวชตลอดชีวิต แต่น่าเสียดาย อาจารย์ของเขาปฏิเสธและกล่าวแก่เขาว่า “เธอสามารถเรียนหนังสือหรือทำงานพร้อมกับดูแลครอบครัวของเธอไปด้วยพร้อมการปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องออกบวช” เขาเชื่อคำของอาจารย์ของเขา หลังจากเรียนหนังสือจบก็เข้าทำงานหลายต่อหลายแห่ง แต่แทบทุกแห่งก็มักจะมีจุดจบแบบเดียวกัน นั่นคือความโกรธแค้นในทุกองค์การที่เขาเคยทำงานมาแล้วแทบทั้งสิ้น สุดท้ายเขากลายเป็นสุนัขหัวเน่าและล้มเหลวทุกอย่าง ชีวิตล้มเหลวไม่เป็นท่า ปัจจุบันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง บางทีนี่อาจไม่ต่างอะไรกับชีวิตนักบวชที่เขาเคยเลือกอยากจะเป็นนั่นคือ “ชีวิตไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง” แต่ชีวิตนักบวชล้วนต่างเป็นผู้สละโลกแล้ว ความกังวลมีน้อย เป็นผู้ควรบูชา บางทีสิ่งที่อาจเป็นชิ้นเป็นอันที่สุดในชีวิตของเขาก็คือเศษกระดาษเก่าๆ ในกระเป๋าที่เขามักจะนำติดตัวไปด้วยเสมอๆ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นบทกวีเพียงไม่กี่บรรทัด แต่สำหรับเขาแล้วมันกลับเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต เพราะมันบอกเรื่องราวของเขา และใช้เป็นที่ระบายความคับข้องใจของเขาตลอดเวลายาวนานนับสิบปี...
“โกรธมาจากไม่โกรธ กระทำมาจากไม่กระทำ หากท่านมองเมื่อไร้รูป ท่านจะพบสิ่งที่ถูกเห็นได้ หากท่านฟังเมื่อไร้เสียง ท่านจะพบสิ่งที่ถูกยินได้”
“หลวงพี่ครับ ผมมาขออาศัยวัดอยู่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ได้หรือเปล่าครับ” เขายกมือไหว้พระหนุ่มรูปหนึ่งที่ได้เจอกันทันทีที่เดินทางมาถึงวัดป่าแห่งหนึ่ง สภาพของเขาเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางข้ามคืนข้ามวัน ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่แววตายังฉายแววแห่งความหวัง
“โยมเป็นใครมาจากไหนหล่ะ ต้องการมาพักที่วัดเพื่ออะไร?” พระหนุ่มตั้งคำถามด้วยท่าทีอันสงบ
“ผมมาจากภาคตะวันตกครับ เป็นพนักงานบริษัท ช่วงนี้บริษัทหยุดพักร้อนให้กับพนักงานครับ ก็เลยอยากมาศึกษาธรรมะที่วัดนี้” เขาตอบคำถามตามความเป็นจริง พร้อมกับหอบหายใจถี่
“ใครแนะนำโยมมาหรือ รู้ได้อย่างไรว่าวัดเรามีสถานที่ปฏิบัติธรรม?” พระหนุ่มสอบถามรายละเอียด ด้วยท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น
“เพื่อนคนหนึ่งของผมครับ เคยเรียนหนังสือมาด้วยกัน เขาเคยมานั่งสมาธิที่นี่สัปดาห์หนึ่ง บอกว่าเงียบสงบดีมากเหมาะแก่การศึกษาธรรมะ” ชายหนุ่มตอบ
“ดีนะ ยุคนี้ยังมีหนุ่มๆสาวๆ มาปฏิบัติธรรมกัน หายากยิ่ง” พระหนุ่มออกความเห็น ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“จริงๆ แล้วผมอยากจะสนทนาธรรมกับท่านเจ้าอาวาสด้วยครับ เผื่อท่านจะมีอะไรแนะนำผมได้บ้าง” ชายหนุ่มแจ้งความจำนงอีกประการหนึ่งออกมา
“หลวงตาเป็นพระอริยะเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเป็นเสมือนแพทย์รักษาโรคทางจิตวิญญาณ ธรรมะของท่านก็คือธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเสมือนโอสถทิพย์บำบัดความทุกข์ให้แก่มวลมนุษย์ได้ แต่น่าเสียดายนะ โยมมาช้าไปหน่อย ช่วงนี้หลวงตาไม่อยู่วัดหรอก คงอีกหลายเดือนกว่าท่านจะกลับ” พระหนุ่มสาธยาย
“อ้อ เหรอครับ น่าเสียดาย ผมมาผิดจังหวะไปหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับแสดงอาการผิดหวังทางสีหน้า
“มีกุฏิของนายแพทย์ชื่อ.........ยังว่างอยู่ ช่วงนี้ท่านยังไม่มีเวลามาปฏิบัติธรรม เนื่องจากติดภารกิจต้องดูแลคนไข้ โยมก็อาศัยไปก่อนละกัน ส่วนอาหารทางวัดเราฉันเพียงหนึ่งมื้อเวลาเช้า จะมีญาติโยมนำมาทำบุญถวายที่วัดทุกวัน โยมก็ลงมาทานร่วมกับลูกศิษย์วัดตอนเช้านะกัน ทางวัดเราไม่มีไฟฟ้าและน้ำปะปาใช้ น้ำที่ใช้ล้วนรองมาจากน้ำฝนทั้งสิ้น แต่ละกุฏิจะมีห้องน้ำอยู่ด้วย แต่ต้องระมัดระวังให้ดีพื้นที่ป่าบางแห่งห้ามเข้าเพราะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระ แม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งต้องใช้ความสงบสำรวม ถ้าโยมหิวกระหายน้ำ ทางวัดเราก็มีชากาแฟเตรียมเอาไว้แล้วทางด้านโน้น เดี๋ยวอาตมาจะให้ลูกศิษย์วัดพาไปยังกุฏิที่ว่านั้น” พระหนุ่มอธิบายเสียยืดยาว จากนั้นท่านก็เรียกลูกศิษย์วัดมาคนหนึ่ง เดินนำทางชายหนุ่มไป
“จิตวิญญาณข้ามทิวเขาโดยไม่พบอุปสรรค ชำแรกมหาสมุทรและลำน้ำโดยไม่เปียก ไม่อึดอัดสำลักในที่แคบๆ และแม้จะแผ่ไปทั่วผืนฟ้าและแผ่นดินก็ไม่เต็ม”
ลักษณะกุฏิแต่ละหลังสร้างจากไม้ทั้งหลังแม้แต่หลังคา กุฏิเป็นห้องเดี่ยวมีนอกชานยื่นออกมา ปกติกุฏิหลังหนึ่งสามารถใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมได้ 2 คน คนหนึ่งอยู่ภายในห้อง อีกคนอยู่นอกชาน แต่ละกุฏิอยู่ห่างกันจนแทบมองไม่เห็นกันและกัน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแนวป่าบดบังเอาไว้ บางบริเวณมีป้ายเขียนเอาไว้ว่าห้ามคนภายนอกเข้า และกั้นเอาไว้ด้วยเชือก คาดว่าข้างในเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพระ ชี และผู้ปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัดเท่านั้น ซึ่งคนนอกห้ามเข้าเด็ดขาด ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อน ชายหนุ่มก็เช่นเดียวกันไม่มีข้อยกเว้น แม้เขาจะอยากพบกับผู้บำเพ็ญระดับชั้นสูงทางธรรมเหล่านั้นภายในเขตต้องห้ามก็ตาม แต่กฎก็ต้องเป็นกฎไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาบริเวณวัดก็ต้องรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด จริงๆ แล้วก็เพื่อประโยชน์ของตัวผู้นั้นเอง การไปรบกวนพระสงฆ์องค์เจ้าขณะปฎิบัติธรรมถือเป็นกรรมหนัก ตายไปอาจเข้าถึงนรกภูมิได้เลยทีเดียว เรื่องราวเหล่านี้ชายหนุ่มย่อมทราบกระจ่าง เพราะเขาเคยศึกษามาบ้างในตำราทางศาสนาเขาล้วนทราบกฎเกณฑ์หรือศีล ข้อบัญญัติต่างๆ เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนั้นเอง ภายหลังจากที่เด็กวัดนำเขามายังกุฏิหลังหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้นั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่มีใครมาปฏิบัติธรรมที่กุฏิหลังนี้พอดี ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่เพียงลำพังผู้เดียว สำหรับเขาก็นับว่าเป็นโชคดี เพราะเขารักสันโดษมากกว่า พอมาถึงเขาก็เอาแต่นั่งสมาธิ กำหนดจิตเป็นหนึ่งเดียว และไม่ก้าวย่างออกจากกุฏิหลังนั้นเลยแม้แต่ก้าวเดียว
“ความเรียบง่ายอันยิ่งใหญ่นั้นไร้รูป มรรคที่มีผลไพศาลที่สุดก็มิอาจวัดได้ ด้วยเหตุนี้ ฟ้าจึงกลมโดยไม่ถูกกำหนดด้วยเข็มทิศ และดินจึงตรงโดยไม่ถูกกำหนดด้วยไม้บรรทัด”
“ความสุขเป็นเสมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ” ภาพในอดีตอันเลวร้ายมากมายได้ผ่านเข้ามาในห้วงสมาธิของเขา ราวดั่งคลื่นน้ำถาโถมกระแทกเข้าใส่จิตใจของเขา ระลอกแล้วระลอกเล่า ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน สมาธิของเขาปั่นป่วน แม้เขาจะพยายามควบคุมบังคับขัดขืนมันอย่างไรก็ตาม แต่มันก็กลับกลายเป็นเพิ่มกำลังให้มันรุกจู่โจมหนักยิ่งขึ้น หลายต่อหลายครั้งเขาพ่ายแพ้ และล้มตัวลงนอนแผ่ราบกับพื้นกุฏิหลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่พอเขากลับได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็จะรีบลุกขึ้นมาเพื่อนั่งสมาธิต่อในทันที เขาจดจำคำสอนของอาจารย์ของเขาได้ว่า การนั่นสมาธิจะต้องผ่อนคลาย อย่าบังคับ แข็งขืน พยายามทำใจให้มีความสุข ความทุกข์จะทำให้เรานั่งสมาธิไม่ได้ เขาจึงพยายามกำหนดจิตเป็นหนึ่งเดียวและไม่สนใจกับภาพในอดีตต่างๆ เหล่านั้นอีกต่อไป อารมณ์ต่างๆ ที่จู่โจมเข้ามาเป็นระยะๆ ก็เริ่มอ่อนกำลังลงไปเอง ในที่สุดมันก็พ่ายแพ้ จิตของเขาจึงเข้าสู่สมาธิ สงบระงับ สมองที่เคยตึงเครียดก็เริ่มคลายความเครียดลง ความวิตกวิจารณ์ต่างๆ เริ่มทยอยกันหายลับดับสูญจนไร้ร่องรอย จิตจึงรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ความสุขจากความสงบเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดในใจว่านี่เองที่เรียกว่า “ความปิติสุข” เมื่อปราศจากวิตกวิจารณ์ ความสุขก็บังเกิดจากภายในจิตใจเอง เมื่อพลังสมาธิมีมากขึ้นตามติดทยอยต่อเนื่องไม่ขาดสายแล้ว เขาจึงคิดในใจว่านี่เองที่เรียกว่า “เอกกัคตา” จิตใจเริ่มเข้าสู่ความละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนจิตใจเข้าสู่”ความว่างเปล่า”กลายเป็น “อุเบกขา” เขาพบว่าแม้จะใช้สมองคิดอะไรยามนี้ก็หาได้ทำให้พลังสมาธิลดน้อยถอยลงไปไม่ จิตใจเริ่มบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ พลังสมาธิก็เริ่มแก่กล้ามากขึ้น ตามลำดับ....
“ผู้บรรลุถึงจุดที่ไม่หลงเพลินพึงใจในสิ่งใด ย่อมพบว่าบัดนี้เขาสามารถยินดีกับทุกสิ่ง เนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่ยินดี ความสุขของเขาจึงสูงสุด”
เวลาล่วงเลยไป 3 วัน โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาออกจากสมาธิในวันหนึ่ง ด้วยร่างกายและจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความสงบสุข ความทุกข์ต่างๆ ปลาสนาการไปสิ้น เขาพบว่าเวลาผ่านล่วงเลยไปโดยที่เขายังไม่ได้กินอะไรเลย เช้าวันนั้นเขาจึงลงจากกุฏิไปช่วยเด็กวัดกวาดลานวัด ทำความสะอาดศาลาที่พระฉันอาหารและโรงธรรม เขาพบว่าพระที่วัดแห่งนี้มีทั้งคนในประเทศและชาวต่างประเทศมากมายที่มาบวช บางส่วนอาจเป็นพระหรือแม่ชีจากวัดอื่นที่เดินทางมาเพื่อปฏิบัติธรรมเหมือนกับเขา แต่เขาไม่พบแม่ชี แสดงว่าแม่ชีคงจะอยู่คนละส่วนกับพระกระมัง รอจนพระฉันอาหารเช้าเสร็จ เขาและพวกเด็กวัดก็ร่วมกันกินข้าวที่เหลือจากก้นบาตร จากนั้นก็ช่วยกันเก็บกวาดอาสนะ ทำความสะอาดอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างก็ทำงานของตนไปโดยแทบไม่ได้ปริปากพูดคุยกันเลยแม้แต่สักคำเดียว....
“เห็นชัดเจนมิใช่เห็นผู้อื่น เพียงเห็นตนเองเท่านั้น หูไวมิใช่ยินผู้อื่น เพียงได้ยินตนเองเท่านั้น เข้าใจมิใช่รู้ผู้อื่น เพียงรู้ตนเองเท่านั้น”
เขาค้นพบว่ามนุษย์เราเป็นทุกข์ก็เพราะความคิดปรุงแต่งของตัวเองนี่เอง ถ้าดับความคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งที่พระท่านมักเรียกว่า “กิเลส” ลงเสียได้ ความทุกข์ก็ย่อมดับไปเองโดยปริยาย ความคิดปรุงแต่งก่อให้เกิดอัตตาตัวตน หลงว่านี่เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นชีวิต นี่เป็นตัวเรา นั่นเป็นของเรา แล้วปัญหาต่างๆมากมาย ก็เริ่มเกิดขึ้นตามมาไม่ขาดสาย ปัญหาก็คือความคิดปรุงแต่งอันเป็นความเคยชินนี้ติดตัวมาจากอดีตชาตินับครั้งไม่ถ้วน มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปล่อยวางมันลงได้ในคราวเดียว จำเป็นต้องใช้เวลา วิธีเดียวที่จะแก้ได้ก็คือ “เอาความเคยชินมาแก้ความเคยชิน”หรือเรียกว่า”เกลือจิ้มเกลือ” เมื่อจิตใจมีความเคยชินชอบคิดปรุงแต่ง การแก้ก็ต้องกำหนดจิตให้มันอยู่เคยชินกับการไม่ปรุงแต่งที่พระเขาเรียกว่า “สุญตา” หรือ “ความว่าง” หรือ “จิตว่าง” ทำงานด้วยจิตว่าง เดิน ยืน นั่ง นอน ด้วยจิตว่าง กุศโลบายที่มักใช้กันก็คือการท่องคำพระในใจ จดจ่ออยู่กับคำใดคำหนึ่งด้วยสติตลอดเวลา จนเกิดสมาธิ ปัญญาก็จะเกิดตามมา ความทุกข์ก็ลดน้อยบางเบาลงไปเอง การไม่ไปสนใจมันทำให้มันอ่อนกำลังลงไปเอง เพราะแท้ที่จริงแล้วมันก็ไม่มีอยู่จริง เป็นภาพลวงตาที่จิตใจสร้างขึ้นมาเองด้วยความหลงผิด แต่ถ้าจะถึงขั้นรู้แจ้งสมบูรณ์คงต้องใช้พลังสมาธิมากกว่านี้ กาย วาจา ใจ จะต้องสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ยิ่งกว่า อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งจะต้องใช้การฝึกฝนอย่างช่ำชอง ทุกครั้งที่เขาเริ่มนั่งสมาธิความคิดปรุงแต่งเก่าๆ ต่างก็ทยอยกันตามมาเหมือนเช่นเคย ต่างกันตรงที่เขาจะใช้เวลาน้อยกว่าในการข้ามผ่านมันไปเพื่อเข้าถึงจิตอันสงบระงับ เขายังคงตั้งคำถามว่าอีกเมื่อไรหนอเขาจะสามารถรู้แจ้งแทงทะลุถึงขั้นสูงสุด เขาพบนิพพานก็จริงแต่มันเป็นเพียงนิพพานชั่วคราวเท่านั้น จึงยังไม่รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ได้รับเท่าไรนัก เขาต้องการ”นิพพานแบบถาวร” โดยเฉพาะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ความเคยชินเก่าๆ ยังคงติดตามหลอกหลอนเขาในยามที่เขาไม่มีเวลานั่งสมาธิและหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับงานทางโลกที่บริษัท สมาธิของเขายังคงเข้า-ออก ซึ่งความจริงเขาก็รู้ว่า “สมาธิที่แท้จริงไม่มีการเข้าและออก”
“จิตไม่โศกเศร้าหรือยินดี คือการบรรลุคุณธรรมอันสูงสุด ประสบผลสำเร็จโดยไม่เปลี่ยนแปลง คือการบรรลุความสงบอันสูงสุด ไม่ถูกนิสัยอยากเทียมแอกเอา คือการบรรลุความว่างอย่างสูงสุด ไม่มีชอบไม่มีชัง คือการบรรลุอุเบกขาอันสูงสุด ไม่ติดข้องกับสรรพสิ่ง คือการบรรลุความบริสุทธิ์อย่างสูงสุด”
วันหนึ่งมีฝนตกลงมาอย่างหนักภายในวัด อากาศในหน้าร้อนก็กลับกลายเป็นเย็นลงทันที ป่าเขียวขจีสดชื่นขึ้นมาทันตา บรรยากาศภายในวัดท่ามกลางแมกไม้แห่งนี้กลับกลายเป็นสรวงสวรรค์ในทันที เขาสัมผัสความรู้สึกแห่งดินแดนสวรรค์นี้ได้ ใต้กุฏิของเขามักมีกระต่ายป่าขนสีขาวปุย 2-3 ตัวกระโดดไปมา พวกมันมักพากันมานอนซุกตัวตรงใต้ราวบันไดของกุฏิที่เขาอยู่ ไก่หลายตัวขันประชันเสียงยามเช้ามืด นกแปลกๆมากมายบินว่อนไปมา บ้างก็ส่งเสียงทักทายกัน สัตว์ในวัดเหล่านี้คงมีความสุขในที่อาศัยดุจแดนสวรรค์แห่งนี้ แม้ชายหนุ่มเพิ่งจะมาอาศัยอยู่ได้เพียง 4 วันยังพบกับความสุขถึงขนาดนี้ แล้วสัตว์และบุคคลผู้สละโลกแล้วเหล่านี้จะมีความสุขขนาดไหนกันหนอ บางทีเขาเองก็นึกอิจฉาชีวิตอันสงบสุขเรียบง่ายของบุคคลเหล่านี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาก็เคยปารถนาวิถีชีวิตแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาแทบไม่เคยออกไปไหนเลย จนกระทั่งมีพระชรารูปหนึ่งเดินทางมาถึงกุฏิที่ชายหนุ่มปฏิบัติธรรมอยู่ ท่านเป็นพระชาวต่างชาติ ใบหน้าเหี่ยวย่น ท่านกวักมือเรียกเขาให้ลงมาจากกุฎิและเริ่มต้นสนทนา
“สิ่งที่ทำให้เงาโค้งงอก็คือรูปอันเป็นต้นเงา สิ่งที่ทำให้เสียงสะท้อนไม่ชัดก็คือต้นเสียง ผู้ที่ความรู้สึกรั่วไหลออกมาภายนอก ย่อมง่ายที่จะถูกหยั่งถึงภายใน”
“เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจะไปโกรธเคืองคนอื่นเขาไม่ได้ คนส่วนใหญ่เป็นพวกทุศีล พวกเขามักชอบหาเรื่องเรา เราจะต้องอดทนอดกลั้น ให้อภัย ถ้าเราไปโกรธเขาเราจะมีบาปหนัก เขาโกรธเราได้ แต่เราโกรธเขาไม่ได้ เข้าใจไหม ” พระชราเริ่มต้นเทศนา
“ครับ” ชายหนุ่มรู้สึกตกตะลึงกับถ้อยคำแรกของพระชราต่างชาติรูปนี้ เขาได้แต่ก้มศีรษะรับคำ ในใจเขาครุ่นคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องรอพบเจ้าอาวาสแล้ว เพราะพระชรารูปนี้สามารถหยั่งรู้เรื่องราวของเขาเป็นอย่างดีโดยที่เขายังไม่ได้แนะนำตัวเลยด้วยซ้ำ ท่านต้องเป็นพระอริยะเจ้าอย่างแน่นอน โดยที่เขาไม่ต้องเสียแรงออกไปเพื่อเสาะหาให้เหนื่อยเปล่า ท่านกลับล่วงรู้ความประสงค์ของเขาอย่างกระจ่าง ท่านจึงเดินทางมาเยือนถึงกุฏิของเขาเอง แน่นอนท่านคงรู้จากญาณภายในของท่าน อีกอย่างต่อให้เขาออกไปเสาะหาก็ยังคงไม่รู้ว่าใครคือพระอริยะเจ้าที่แท้จริง ทางที่ดีรอให้ท่านมาเองแบบนี้จะง่ายกว่า เขารอคอยอยู่หลายวัน ในที่สุดท่านก็ปรากฏตัว ชายหนุ่มย่อมทราบกระจ่างว่าสถานที่เขามาอยู่แห่งนี้เป็น”แหล่งชุมนุมมังกร ซ่อนพยัคฆ์” มียอดคนแอบแฝงเร้นกายอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เพียงแต่เขาไม่มีปัญญาจำแนกได้ว่าคือผู้ใดเท่านั้น พระชรายังกล่าวสืบต่ออีกว่า
“กามราคะทั้งหลายเป็นทุกข์ อย่าไปหลงพลอยยินดีกับมัน จงปล่อยวางมันให้ได้ แท้ที่จริงร่างกายมนุษย์มีแต่ของน่าเกลียดน่ากลัว มีแต่ของเน่าเสีย ต้องอาบน้ำทุกวันจึงจะหายเหม็น เส้นผมก็ต้องสระบ่อยๆ เสื้อผ้าสะอาดพอคนเอามาใส่ก็กลายเป็นสกปรกต้องซัก ฟันก็ต้องแปรงทุกวัน เห็นไหม ถ้าลองลอกหนังคนเราออกมาก็จะพบแต่เลือดและเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้พุง น่าขยะแขยงยิ่งนัก ต้องหมักน้ำหอมเครื่องสำอางค์เท่าไรจึงจะกลบกลิ่นตัวคนเราได้ ไม่ว่าร่างกายเขาหรือร่างกายเราก็เหมือนกันสกปรกเหมือนกันหมด ทั้งโลกนั่นแหละ เราจึงไม่ควรเห็นร่างกายเป็นของน่ารักน่าใคร่ น่าทนุถนอม และหลงในรูปลักษณ์ทั้งหลาย อย่าหลงพลอยยินดีในกามตัณหาทั้งหลายทั้งปวง” พระชราหยุดหอบหายใจเล็กน้อย แววตาแฝงความเมตตาของท่าน ทำให้ชายหนุ่มแทบพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“อดีตชาติโยมเคยเกิดเป็นพญานาคมาก่อน ดังนั้นจึงมีความเกรี้ยวโกรธติดเป็นนิสัยมาจนถึงชาตินี้ ความมีฤทธิ์มากทำให้ไม่เคยเกรงกลัวใคร ศัตรูต่างพ่ายแพ้ไม่อาจเอาชนะได้ ในชาติที่ผ่านมาโยมเกิดเป็นเจ้าเมืองที่ยิ่งใหญ่มากมีข้าทาสบริพานมากมาย ทำให้โยมยากที่จะละทิฏฐิลงได้ง่ายๆ โยมจึงเป็นคนดื้อรั้นไม่ฟังใคร เพราะความเคยเป็นเจ้านายคนมาก่อน แต่ชาตินี้โยนหันหน้าปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความดี จำต้องละตัวตนลงบ้าง ปล่อยวางลงบ้าง และโยมกำลังเข้าสู่กระแสแห่งการหลุดพ้น นี่อาจเป็นชาติสุดท้ายของโยม เพราะชาตินี้โยมเกิดมาก็เพื่อปฏิบัติธรรมบำเพ็ญ โยมจึงต้องพบกับศัตรูเก่ามากมาย เจ้ากรรมนายเวรต่างรีบมาทวงหนี้กรรม เขาอาจมาใส่ร้าย ป้ายสี ด่าประนาม ทำให้เสียชื่อเสียง ทำให้ได้รับความลำบากต่างๆนาๆ โยมจึงต้องอดทนให้มากและไม่ตอบโต้ มิเช่นนั้นจะเป็นการสร้างกรรมสืบต่อภพชาติต่อไปอีก.......................” พระชราเทศนาต่อไป ตั้งแต่ท่านเรียกเขาลงมา เขายังไม่มีโอกาสถามคำถามสักคำ และท่านก็ไม่เว้นช่องให้เขาพูดด้วย เขานั่งฟังท่านเทศนาเสียยืดยาว ท่านยังคงยืนพูดอยู่อย่างนั้น เหมือนท่านยังมีเรื่องรีบร้อนจะไปไหน ชายหนุ่มยังคงพยักหน้ารับคำ เขามองหน้าพระชราด้วยแววตาเป็นประกายและยิ้มออกมา พระชราก็หัวเราะ ในมือของท่านถือวัตถุสิ่งหนึ่งลักษณะยาวๆ ห่อด้วยพลาสติก ขณะที่ท่านหัวเราะท่านก็พลันยกวัตถุท่อนยาวๆนั้นฟาดลงกลางศีรษะของชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยแต่แล้วเขาก็พลันหัวเราะออกมา เพราะวัตถุที่ท่านฟาดลงมานั้นมันนุ่มนิ่มคล้ายกับหมอนข้างใบใหญ่ใบหนึ่ง เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พระชรารูปนั้นก็จากไปจนไร้ร่องรอยแล้ว....
“ปราชญ์ส่งจิตวิญญาณไปยังต้นเค้าของความตะหนักรู้ และคืนสู่จุดเริ่มของสิ่งนับหมื่น พวกท่านมองสิ่งที่ไร้รูปและฟังสิ่งที่ไร้เสียง ในท่ามกลางอันธการอันมืดมิด พวกท่านเท่านั้นที่เห็นแสง ในท่ามกลางความไพศาลอันเงียบกริบ พวกท่านเท่านั้นที่มีความแจ่มกระจ่าง”
ภายหลังจากที่ชายหนุ่มได้สนทนากับพระชราลึกลับรูปนั้นแล้ว เขาก็กลับไปเก็บเสื้อผ้าทันที เขาเดินทางมาพบพระหนุ่มเพื่อจะบริจาคเงินให้ทางวัดและเพื่อขอลากลับ พระหนุ่มทำท่าตกใจถามว่า
“อ้าว โยมจะกลับแล้วเหรอ? ไหนบอกว่าจะอยู่สัก 2-3 อาทิตย์ไม่ใช่เหรอ?”
“เคลียร์แล้วครับหลวงพี่ ผมได้ยาแล้วครับ อาการทุเลาลงมาก ผมจะบริจาคเงินได้ที่ไหนครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับคำถาม
“ เอ้อ ก็ดีแล้ว เอาเงินไปหยอดที่ตู้ตรงโน้น” พระหนุ่มชี้มือไปที่ตู้รับบริจาคของวัดที่ตั้งอยู่ติดกับศาลาโรงธรรม ท่านยิ้มอย่างสงบคล้ายเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เขาหยอดเงินลงตู้รับบริจาคพร้อมกับยกมือไหว้ลาพระหนุ่มรูปนั้นและจากไปอย่างเงียบๆ ขณะที่ครุ่นคิดในใจว่านี่เราต้องไปเผชิญกับความทุกข์อีกแล้วเหรอ? เขาต้องกลับไปที่บริษัทเพื่อทำงานต่อ ขณะที่ในใจเขาก็นึกถึงคำสอนของอาจารย์ของเขาที่กล่าวว่า “ถ้าเธอไม่เคยมีความทุกข์ ไม่เคยรู้จักทุกข์ และไม่เคยหลุดพ้นจากทุกข์ แล้วเธอจะช่วยสรรพสัตว์ที่กำลังตกทุกข์ได้อย่างไร” เขาก็พลันมีกำลังใจขึ้นมาอีกหน่อย พร้อมจะเผชิญปัญหาทุกอย่างที่เข้ามา “ผู้ใดไม่เห็นทุกข์ ผู้นั้นย่อมไม่เห็นธรรม”
“เมื่อคนเราถูกซัดไปในกระแสโลก เขาถูกผูกมัดทางวัตถุและถูกสูบจนแห้งทางจิตวิญญาณ เหตุฉะนั้น จึงต้องทนทุกข์เพราะความพร่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“หากท่านรู้ความไพศาลของจักรวาล ความตายกับชีวิตย่อมมิอาจข่มขี่ท่าน หากท่านรู้ความบรรสานสอดคล้องของชีวิตที่เอื้ออาทร ท่านจะไม่ไยดีกับการครองโลก หากท่านรู้จักความสุขของภาวะไม่เกิด ความตายก็ไม่อาจทำให้ท่านกลัว”
“จิตวิญญาณคือต้นธารแห่งการรู้ เมื่อจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ความรู้ก็แจ่มชัด การรู้คือหลักสำคัญของหัวใจ เมื่อรู้ตามความจริงอย่างไร้อคติ หัวใจก็สงบ”
“สิ่งที่ให้ชีวิตแก่สรรพชีพไม่มีวันตาย แม้ชีพที่มันสร้างขึ่นจะมีวันตาย สิ่งที่แปรเปลี่ยนสรรพสิ่งไปไม่เคยเปลี่ยน แม้สิ่งที่มันแปรเปลี่ยนจะมีการเปลี่ยนแปลง”
“คุณธรรมบริสุทธิ์ดำรงอยู่ตามลำพัง แจกจ่ายออกโดยไม่รู้จักหมด ถูกใช้ไปโดยมิรู้เหือดแห้ง ดังนั้น เมื่อท่านมองจึงไม่เห็นรูปของสิ่งนี้ เมื่อฟังจึงไม่ได้ยินเสียง เมื่อติดตามจึงไม่พบตัว มันไร้รูปแต่เป็นบ่อเกิดแห่งรูป ไร้เสียงแต่เป็นบ่อเกิดแห่งเสียง ไร้กลิ่นรสแต่เป็นบ่อเกิดแห่งกลิ่นรส ไร้สีแต่เป็นบ่อเกิดแห่งสี เหตุฉะนี้ ภาวะจึงเกิดขึ้นจากอภาวะ การบรรลุผลจึงผุดขึ้นจากความว่าง”
“เมื่อผู้คนชี้ข้อบกพร่องของท่าน ท่านขุ่นเคืองเขา แต่เมื่อกระจกเงาสะท้อนความอัปลักษณ์ของท่าน ท่านว่ามันเป็นกระจกดี หากคนเราสามารถเกี่ยวข้องกับผู้อื่นโดยไม่เอาอัตตามายุ่งด้วย เขาย่อมเลี่ยงการถูกลากลงต่ำได้”
“เมื่อการรับของท่านเล็ก การรับรู้ของท่านก็ตื้น เมื่อการรับของท่านยิ่งใหญ่ ความตระหนักรู้ของท่านก็กว้าง”
“ภายนอกเคลื่อนคล้อยไปตามกระแส ส่วนภายในธำรงธรรมชาติแท้ของตนไว้ แล้วตากับหูของท่านจะไม่พร่าแปร่ง ความคิดจะไม่สับสน ทั้งจิตวิญญาณภายในก็จะแผ่ขยายอย่างใหญ่หลวง เพื่อท่องไปในแดนแห่งความบริสุทธิ์สมบูรณ์”
“เมื่อการรับรู้แจ่มชัด กอปรด้วยการหยั่งเห็นอย่างลึกซึ้งพ้นจากความปรารถนาอันเย้ายวน ทั้งพลังงานและเจตจำนงก็เปิดกว้างสงบเย็น เบิกบานอย่างแจ่มใสพ้นจากนิสัยอยาก เมื่อนั้นอวัยวะภายในย่อมสงบระงับและเต็มด้วยพลังงานที่มิรั่วไหล พลังจิตวิญญาณย่อมถนอมกายอยู่ภายในและไม่ออกไปภายนอก ดังนี้แล้ว ย่อมไม่ยากที่จะเห็นเหตุแต่อดีตและผลในอนาคต”
“เมื่อแสงแห่งจิตวิญญาณถูกสะสมไว้ในความไร้รูป พลังชีวิตและพลังงานก็คืนสู่ความเป็นจริงอันสมบูรณ์ เมื่อนั้นนัยน์ตาจะแจ่มใสแต่ไม่ถูกใช้มอง หูจะว่องไวแต่ไม่ถูกใช้ฟัง จิตใจจะแผ่ขยายแต่ไม่ถูกใช้คิด เมื่อพลังชีวิตผ่านเข้าสู่นัยน์ตา การเห็นก็กระจ่าง เมื่อมันอยู่ในหู การได้ยินก็คมชัด เมื่อมันอยู่ในปาก คำพูดก็ถูกต้องเที่ยงตรง เมื่อมันรวมอยู่ในจิต ความคิดก็ทะลุปรุโปร่ง”
“เมื่อคนเรามีความอยากมากย่อมส่งผลเสียต่อสำนึกในความยุติธรรม มีความกังวลมากย่อมส่งผลเสียต่อปัญญา มีความกลัวมากย่อมส่งผลเสียต่อความกล้าหาญ”
“ความสงบอันกระจ่างคือสุดยอดของคุณธรรม ความนุ่มนวลอย่างยืดหยุ่นคือกุญแจแห่งมรรค ความไม่เห็นแก่ตัวอย่างเปิดกว้าง และความร่างเริงอย่างแจ่มใส ย่อมช่วยให้บุคคลใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งได้”
“พลังแห่งฟ้าคือวิญญาณส่วนบน พลังแห่งดินคือวิญญาณส่วนล่าง พึงส่งมันกลับสู่ห้องลี้ลับ เพื่อแต่ละอย่างจักอยู่ในที่ของมัน คอยเฝ้าไว้อย่าสูญเสียมันไป ท่านจะได้เชื่อมโยงกับเอกภาพอันสมบูรณ์เบื้องบน พลังชีวิตของเอกภาพอันสมบูรณ์นั้นเชื่อมโยงกับสวรรค์”
“ทางอันยิ่งใหญ่นั้นไร้รูป ความอารีที่ยิ่งใหญ่ไร้ความคุ้นเคย คำจับใจที่ยิ่งใหญ่ไม่มีเสียง ความถ่อมที่ยิ่งใหญ่ไม่ประจบ ความกล้าที่ยิ่งใหญ่ไม่อวดดี หากท่านไม่ละเลยสิ่งทั้งห้านี้ ท่านกำลังเข้าใกล้มรรค”
“ผู้เชื่อมั่นในตนเองย่อมไม่หวั่นไหวกับคำติชม ผู้สันโดษย่อมไม่ถูกเย้ายวนด้วยอำนาจหรือผลกำไร เหตุฉะนั้น ผู้แจ้งใจในสภาวะแท้จริงของแก่นแท้จึงไม่ตะเกียกตะกายในสิ่งที่แก่นแท้ช่วยอะไรไม่ได้ ผู้แจ้งใจในสภาวะแท้จริงของชะตากรรม จึงไม่กังวลกับสิ่งที่ชะตากรรมช่วยอะไรไม่ได้ ผู้แจ้งใจในมรรค จึงไม่ปล่อยให้ความกลมกลืนของตนวิกลไปด้วยสิ่งใดๆ”
“ฟ้าสงบและกระจ่าง ดินมั่นคงและสันติ ผู้สูญเสียคุณสมบัติเหล่านี้ย่อมวอดวาย ผู้เอาอย่างมันย่อมมีชีวิต ความไพศาลอันสงบคือบ้านของแสงแห่งจิตวิญญาณ ความไม่เห็นแก่ตัวอย่างเปิดกว้างคือที่พำนักของเต๋า เหตุฉะนี้ จึงมีผู้แสวงหามันจากภายนอกแต่กลับสูญเสียมันอยู่ภายในและมีผู้ที่รักษามันไว้ภายในแล้วยังได้มันมาจากภายนอก มันเหมือนรากกับกิ่ง ดึงที่ราก แล้วทั้งกิ่งและใบก็จะตามมาเอง”
“ผู้มีวาจาไม่แน่นอนและการกระทำไม่คงที่ จัดเป็นคนกระจอก
ผู้สังเกตสิ่งหนึ่งและเข้าใจศิลปะอย่างหนึ่ง จัดเป็นคนปานกลาง
ผู้เห็นกว้างขวางอย่างเข้าใจและยึดกุมสิ่งทั้งหลายได้ทั่วถึง
ผู้ซึ่งประเมินความสามารถและใช้มันได้อย่างเหมาะเจาะ จัดเป็นปราชญ์”
“ปราชญ์ไม่ถูกควบคุมด้วยชื่อ ไม่ถูกบังคับด้วยแผน ไม่ถูกเทียมแอกด้วยกิจ และไม่ถูกปกครองด้วยปัญญา ท่านซ่อนอยู่ในความไร้รูป กระทำอย่างไร้ร่องรอย และจรจาริกไปโดยไม่เหลือรอยทาง ท่านไม่เสาะหาโชคลาภหรือแส่นำหายนะ คงความไม่เห็นแก่ตัวอย่างเปิดกว้าง และกระทำเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วเท่านั้น”
“ชอบกับชังคือความเกินพอดีของชีวิต ความอยากจนเป็นนิสัยคือแอกแห่งธรรมชาติของมนุษย์”
“คนเราเปลี่ยนไปไม่สิ้นสุดในทุกทาง ท่านสึกหรอลง แล้วก็คือคงขึ้นมาใหม่ ความเบิกบานเป็นไปได้ในสภาวะที่มิอาจคิดคำนวณ ตัวอย่างเช่น ท่านฝันว่าท่านเป็นนกเหินไปในเวหา ท่านฝันว่าท่านเป็นปลาดำดิ่งสู่ห้วงลึก ขณะที่ฝันนั้นท่านไม่รู้ว่ามันคือความฝัน ครั้นตื่นขึ้นจึงตระหนักว่าตนฝันไป มีการตื่นที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง ซึ่งเมื่อตื่นแล้วท่านจะรู้ว่าชีวิตคือความฝัน เมื่อเรายังไม่เกิด เราจะรู้ความน่าพึงใจของชีวิตได้อย่างไร หากเรายังไม่ตาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความตายไม่น่าพึงใจ”
“มรรคมีสายโยงใยเป็นเอกภาพ เมื่อท่านบรรลุถึงรากเดียว มันจะเชื่อมโยงถึงกิ่งก้านนับพันและใบนับหมื่น นี้ช่วยให้ท่านสามารถเชิดชูระเบียบเมื่ออยู่ในตำแหน่งสูง ลืมความต่ำต้อยเมื่ออยู่ในตำแหน่งต่ำ เบิกบานกับงานเมื่อยากจนและเผชิญอันตรายได้เมื่อพบทางตัน เมื่อมีเหมันต์อันหนาวจัด มีทั้งน้ำคางแข็งและหิมะ เมื่อนั้นท่านจึงรู้ถึงความเข้มแข็งของไม้อันชอุ่มเขียวอยู่ตลอดทั้งปี เมื่อสถานการณ์คับขันอันตราย ได้กับเสียวางอยู่ตรงหน้า เมื่อนั้นท่านจึงรู้ว่าปราชญ์คือผู้ที่ไม่ไถลออกไปนอกมรรค”
“ท่านอาจเห็นปลายผมเส้นหนึ่งขณะที่มิได้ยินกัมปนาทจากฟ้าร้อง หรือได้ยินทำนองเพลงขณะที่ไม่เห็นขุนเขา ทำไม? นี้ก็เพราะการจดจ่อเล็กๆ ย่อมยังผลเป็นความไม่ใส่ใจอันมหาศาล”
“การโอ้อวดและหลอกลวงเกิดจากความทะนงตน ผู้ถึงความจริงอยู่ภายในย่อมเป็นสุขและไม่รีบร้อน ย่อมยังกิจที่ต้องทำอย่างเป็นธรรมชาติประดุจนกขับขานหรือหมีบิดขี้เกียจ ใครจะทะนงกับสิ่งนี้เล่า”
“ถือโลกเบาๆ แล้วจิตวิญญาณของท่านจะไม่แบกภาระหนัก มองทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก แล้วจิตใจของท่านจะไม่สับสน เห็นความตายกับชีวิตเสมอกันแล้วหัวใจท่านจะไม่หวั่นหวาด”
“นิสัยอยากตามความเคยชินบั่นทอนพลังงนของคนเรา ชอบกับชังทำให้ดวงจิตอ่อนล้า หากท่านไม่รีบกำจัดมัน เจตจำนงและพลังงานของท่านจะอ่อนแรงลงทุกวัน”
“ความสูงส่งอันสมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องมีบรรดาศักดิ์ ความมั่งคั่งอันสมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สมบัติ”
“เมื่อพลังชีวิตกับจิตวิญญาณถูกใช้เกินกำลัง ย่อมพร่าไป เมื่อหูกับตาไม่สำรวม ย่อมหมดกำลัง ดังนั้น ผู้นำที่อบรมตนในมรรคจึงหยุดความฟุ้งฝันและกำจัดความดึงดัน คงดำรงอยู่ในความรู้ชัดและเปิดกว้าง”