12 ตุลาคม 2553 01:06 น.

เมนูอาหารมังสวิรัติ(เจ)

คีตากะ

ประเภทผัด
เปรี้ยวหวานมังสวิรัติ
ส่วนผสม
พริกหยวก หรือพริกหวาน    2    ผล
แตงกวา                3    ผล
สัปปะรด            1/4   ผล
กระหล่ำปลีหรือกระหล่ำดอก    1    หัว
มะเขือเทศ            2    ผลใหญ่
เต้นหู้อย่างแข็งตัดพอคำ        1    แผ่น

เครื่องปรุง
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ    น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา    ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ    เกลือ 1 ช้อนชา    งาคั่วบดแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 ล้างแตงกวาผ่าสี่ตัดครึ่ง พริกหยวกผ่าครึ่งเป็นเสี้ยว 1/4 นิ้ว
2 ปอกเปลือกสับปะรดเอาไส้ออก หั่นเป็นชิ้น 1 นิ้ว
3 ใส่งาคั่วผัดให้หอม ใส่เต้าหู้ผัดพอเหลือง ใส่พริกหยวก กระหล่ำผัดพอนุ่มใส่สับประรด ใส่แตงกวา
4 ใส่มะเขือเทศผ่าเป็นเสี้ยว 1/2 นิ้ว ใส่ซีอิ้วขาว เกลือ น้ำตาล พอผักสุกตักออกใส่จาน รับประทานร้อนๆจึงอร่อย

หมายเหตุ    ถ้าชอบน้ำข้น สามารถเติมแป้งมัน 1 ช้อนชา ละลายน้ำ 1/2 ถ้วย ลงไปด้วยก็ได้

ผัดฝักทอง
ส่วนผสม
ฝักทอง                1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง        1 ก้อน(แผ่น)
พริกชี้ฟ้าสุก            1 เม็ด
ใบโหระพา            1 ถ้วย

เครื่องปรุง
งาคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ     ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ    ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ    เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 หั่นฝักทองเป็นชิ้นเป็นคำโตหน่อย พริกชี้ฟ้าสุกหั่นแฉลบ
2 บี้เต้าหู้ขาวให้แหลก
3 เจียวงาในน้ำมันร้อน ใส่เต้าหู้ขาวบี้ลงผัด ตามด้วยฟักทอง เหยาะน้ำ เติมเครื่องปรุง
4 ใส่พริก ใบโหระพา พอเดือดสุกดีแล้วจึงตักไปเสิร์ฟ ข้อสำคัญอย่าคนนานฟักทองจะเละ

ผัดเผ็ดปลาดุกเจ
ส่วนผสม
ใช้เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง            2 ก้อน
ถั่วฝักยาว                1/2 ถ้วย
เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดฟาง            1/2 ถ้วย
พริกชี้ฟ้าสุกสีแดงหรือเหลือง        3 เม็ด
สาหร่ายทะเล(เถ้าแก่น้อย)        1 ซอง
ใบโหระพา                1/2 ถ้วย
งาคั่ว                    1 ช้อนโต๊ะ(ไม่ใส่ก็ได้)
น้ำมันพืช                3 ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ    เกลือป่น 1 ช้อนชา    น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา    ซอสปรุงรสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ(ภูเขาทอง)

วิธีทำ
1 เต้าหู้ขาวหั่นแฉลบชิ้นหนาๆ แทนเนื้อปลา
2 ถั่วฝักยาวหั่นขนาด 1 นิ้ว เห็ดฟางผ่า 4 สาหร่ายทะเลฉีกเป็นชิ้น ไม่ต้องเล็กมาก
3 โขลกพริกสุกและงาให้เข้ากันพอหยาบๆ นำลงผัดในน้ำมัน ใส่เต้าหู้ขาว ถั่วฝักยาว เห็ด สาหร่ายทะเล เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง เหยาะน้ำนิดหน่อย
4 ก่อนยกลงใส่ใบโหระพา คนให้ทั่ว แล้วจึงดับไฟตักเสิร์ฟได้ทันที

ปูผัดผงกะหรี่ (เจ)
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างธรรมดา         2 ก้อนบี้ให้ละเอียด
เห็ดฟาง             1/2 ถ้วย
เห็ดนางฟ้า             1/2 ถ้วย
คึ่นฉ่ายหั่นท่อนยาว        2 ต้น
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเส้นยาว        2-3 เม็ด

เครื่องปรุง    
ผงกะหรี่ 2 ช้อนชา    พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา    น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา    น้ำพริกเผาแม่ประนอมเจ 1 ช้อนโต๊ะ    ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ    น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ    น้ำมันเห็ดหอม 1 ช้อนโต๊ะน้ำมันพืช 2-3 ช้อนโต๊ะ(ไม้ใส่ก็ได้)

วิธีทำ
1 ใส่น้ำมันพืชลงในกะทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่เต้าหู้ผัดให้เหลือง ใส่เห็ดทั้งสองอย่าง
2 ใส่ผงกระหรี่ น้ำพริกเผา น้ำมันเห็ดหอม ผัดให้เข้ากัน
3 ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ้วขาว ผัดให้เข้ากัน ใส่พริกชี้ฟ้าแดง คึ่นฉ่าย ผัดพอทั่วปิดไฟยกลง

ผัดกระเพราะเห็ดข้าวโพดอ่อน
ส่วนผสม
เห็ดฟางเลือกดอกใหญ่ๆ            1 ถ้วย
พริกเหลือง                7 เม็ด
ข้าวโพดอ่อน                1 ถ้วย
ใบกระเพราะเด็ดเป็นใบ            1/2 ถ้วย
พริกชี้ฟ้าเขียวแดง            2 เม็ด
งาขาว                    1 ช้อนโต๊ะ(ไม่ใส่ก็ได้)

เครื่องปรุง
น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย    ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา    น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ    เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 ล้างเห็ดเอาส่วนกินไม่ได้ออก สับเห็ดหรือหั่นหยาบๆ หรือหั่นบางๆ
2 โขลกพริกเหลือง งาและเกลือ เข้าด้วยกัน
3 ใส่น้ำมันลงในกระทะ ใส่น้ำพริกผัดพอหอม ใส่เห็ดผัดพอทั่ว ใส่น้ำผัดพอเห็ดสุก
4 ใส่ใบกะเพรา ใส่พริกที่หั่นแฉลบ ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวและน้ำตาลทราย ผัดให้ทั่วตักใส่จาน

หมายเหตุ 
ถ้าชอบถั่วฝักยาวจะหั่นแฉลบหรือหั่นฝอยตามขวาง ใส่ลงไปด้วยก็ได้

เต้าหู้ลูกเขย
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง            3 แผ่น
น้ำมันพืช                3 ช้อนโต๊ะ
งาคั่วบดแล้ว                1 ช้อนโต๊ะ
พริกแห้งซอย                1 เม็ดเล็ก

เครื่องปรุง
น้ำตาลปีบ 1/4 ถ้วย    น้ำส้มมะขาม 1/4 ถ้วย    ซีอิ้วขาวหรือซอสถั่วเหลือง 1/4 ถ้วย    ผักชี 1 ต้น

วิธีทำ
1 ล้างเต้าหู้ ตัดเป็นแผ่นละ 4 ชิ้น
2 ทอดพริกแห้งให้เหลืองกรอบ อย่าทอดนานจะขม แล้วตักขึ้นพักไว้
3 ทอดเต้าหู้ในน้ำมันพอเหลืองเล็กน้อย ตักขึ้น
4 ใช้น้ำมันที่ติดกระทะผัดน้ำตาล น้ำส้มมะขาม งาคั่วบด(ถ้ามี) และซีอิ้วขาว ผัดจนข้นเหนียวเป็นอย่างมะตูมอ่อน
5 เมื่อจะเสิร์ฟ จัดเต้าหู้ใส่จานราดด้วยน้ำปรุงรส โรยพริกแห้ง เด็ดผักชีโรยหน้านิดหน่อย


 เมนูแนะนำ
ผักบุ้งผัดไฟแดงทำเหมือนทั่วไป ส่วนผสมมี กระเทียม ผักบุ้ง พริกชี้ฟ้าหรือขี้หนู ใช้เครื่องปรุงเพียงเต้าเจี้ยวกับน้ำตาล(ไม่ใส่น้ำปลา น้ำมันหอย)หรือเพิ่มรสชาติด้วยซอสภูเขาทองหรือซอสปรุงรสเห็ดหอมก็ได้(ถ้ามี)

ผัดถั่วงอกเต้าหู้ทำเหมือนทั่วไป ส่วนผสมมี กระเทียม ถั่วงอก เต้าหู้แผ่นขาวหั่นเป็นชิ้น ต้นหอมหรือผักชี เครื่องปรุงใช้ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทองแทนน้ำปลา ใส่เกลือเล็กน้อย น้ำตาล เพิ่มรสชาติด้วยซอสปรุงรสเห็ดหอม(ถ้ามี)

ชะอมผัดเต้าหู้ทำเหมือนชะอมผัดไข่ เพียงแทนไข่ด้วยเต้าหู้แผ่นขาวบี้ละเอียด เครื่องปรุงใช้ซอสถั่วเหลืองหรือซีอิ้วขาวและน้ำตาล การทำเหมือนกัน



ประเภทต้ม
พะโล้
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง            3 แผ่น
เห็ดฟางดอกบาน            1 ถ้วย
หมี่กึนทำเลียนแบบไส้หมู(ถ้ามี)        1 เส้น(ไม่ใส่ก็ได้)
น้ำตาลปีบ                2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                3 ช้อนโต๊ะ
งาคั่วบด(ถ้ามี)                1 ช้อนโต๊ะ(ไม่ใส่ก็ได้)
พริกไทยเม็ด                1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชี                    3-4 ราก

เครื่องปรุง
ซีอิ้วหวานดำ 1 ช้อนโต๊ะ    เกลือป่น 1 ช้อนชา    ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ    ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 หั่นเต้าหู้ขาวเป็นรูปสามเหลี่ยมชิ้นโตๆ ลงทอดให้เหลือง ตักขึ้นพักไว้ เห็ดฟางผ่าครึ่งหมี่กึนตัดเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 2 นิ้ว
2 โขลกรากผักชีกับพริกไทยเม็ด แล้วนำลงเจียวในน้ำมันพร้อมกับงาคั่ว ใส่เห็ดฟางหมี่กึนเต้าหู้ทอดลงผัด ใส่ผงพะโล้ และน้ำตาลปีบ
3 เติมน้ำ 4 ถ้วย และเครื่องปรุง พอเดือดเคี่ยวต่อสัก 20 นาที ก่อนตักเสิร์ฟโรยผักชีเล็กน้อยรับประทานร้อนๆ ถ้าชอบรสหวานให้เพิ่มน้ำตาลปีบขณะปรุง

ต้มยำเห็ด
ส่วนผสม
เห็ดฟาง                2 ถ้วย
ตะไคร้หั่นเป็นท่อน        1 ต้น
ข่าหั่นเป็นแว่น            2-3 แว่น
ใบมะกรูด            3 ใบ
พริกขี้หนูแห้งทอดกรอบหรือสด    10 เม็ด
ผักชีหั่น                1 ต้น
    
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ    น้ำมะนาว 3 ช้อนชา    เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1 ปอกเห็ดเอาเปลือกดำหรือดินออกให้หมด ล้างให้สะอาด ถ้าดอกใหญ่ผ่าครึ่ง
2 ต้มน้ำ 3 ถ้วย ให้เดือด ใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดฉีก ใส่เห็ดพอสุก ใส่ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทอง ยกลงปรุงด้วยมะนาว ชิมรส เปรี้ยว เค็ม ใส่พริกทอดหรือพริกขี้หนูบุบ โรยผักชี เสิร์ฟร้อนๆ
เกร็ดความรู้    อาหารที่ต้องปรุงรสด้วยมะนาว จะต้องบีบมะนาวก่อนเสิร์ฟ แล้วรับประทานทันที และไม่ควรนำไปตั้งไฟอีก เพราะจะทำให้มีรสขม

ต้มข่า
ส่วนผสม
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า            1 ถ้วย
เต้าหู้เหลือง                1 ก้อน
ข่าอ่อนปอกเปลือกหั่นบางๆ        1 ถ้วย
กะทิ(มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม คั้นด้วยน้ำ 7 ถ้วยหรือกะทิกล่องชาวเกาะ)
                    8 ถ้วย
พริกป่น                    2 ช้อนชา
ซีอิ้วขาว                    1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว                3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล                    1 ช้อนโต๊ะ
ใบผักชีหั่น                1 ช้อนชา

วิธีทำ
นำเต้าหู้เหลืองตัดชิ้นพอคำ เห็ดหั่นแล้วลงต้มกะทิพอเดือด ใส่ข่าและพริกป่น ปิดฝา เคี่ยวไฟอ่อนๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง ยกลง ปรุงด้วยซีอิ้ว น้ำมะนาว น้ำตาล เสิร์ฟโรยผักชี ถ้าชอบเผ็ดใส่พริกขี้หนูหั่น

ต้มจืดผักกาดขาวรวมมิตร
เครื่องปรุง
ผักกาดขาว                4 ถ้วย
เห็ดฟาง                    1/2 ถ้วย
เต้าหู้ขาวชนิดอ่อน            1 แผ่น
ข้าวโพดอ่อน                1/2 ถ้วย
ฟักทองหั่นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำ        1/4 ถ้วย
ซีอิ้วขาว                    1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                    1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย                1/2 ช้อนชา
งาคั่วเจียวน้ำมัน                1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น                1/4 ช้อนชา

วิธีทำ
1 ล้างเห็ด ข้าวโพดอ่อน ตักข้าวโพดเป็นท่อนสั้นๆ ตัดเต้าหู้เป็นก้อนสี่เหลี่ยม ผักกาดขาว สับ
2 ใส่น้ำในหม้อ ตั้งพอเดือด ใส่ฟักทอง พอฟักทองสุกจึงใส่ข้าวโพดอ่อน เต้าหู้ เห็ด ผักกาดขาว
3 ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ้ว น้ำตาลทราย โรยด้วยพริกไทย
4 ก่อนเสิร์ฟใส่งาคั่วเจียวน้ำมัน โรยผักชีนิดหน่อย

ต้มจับฉ่าย
เครื่องปรุง
กะหล่ำปลี                    1 ถ้วย
ชุงฉ่าย(คล้ายกวางตุง แต่ต้นโตใบใหญ่กว่า)    1 ถ้วย
คะน้า                        1 ถ้วย
ขึ้นฉ่าย                        1 ถ้วย
ผักกวางตุ้ง                    1 ถ้วย
หัวไชเท้า                    1 หัว
เห็ดบาน                    1 ถ้วย
รากผักชี                        3 ราก
เต้าหู้(ทอดก่อน)                    2 ก้อน
น้ำตาลปีบ                    1 ช้อนโต๊ะ
งาคั่ว                        2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                        2 ช้อนชา
ซีอิ้ว                        2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                    2 ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลืองปรุงรส                1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วดำ                        1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 ผ่ากระหล่ำปลีเป็น 8 ซีก และผักทุกอย่างหั่นชิ้นโตๆ
2 โขลกงาคั่ว รากผักชีรวมกัน เจียวกับน้ำมันพืชจนหอม ใส่ต้นชุงฉ่ายลงผัด แล้วจึงตามด้วยผักอื่นๆ ใส่น้ำ ใส่เกลือ ซีอิ้วขาว น้ำตาลปีบ ใส่ซอสปรุงรส แล้วตักลงหม้อ ใส่เห็ดและเต้าหู้ที่ทอดไว้ ใส่ซีอิ้วดำ เติมน้ำต้มให้เปื่อยยกลง

หมายเหตุ
ถ้าเป็นผัดจับฉ่าย ก็ไม่ต้องเติมน้ำ แต่ใส่วุ้นเส้น ดอกไม้จีนและเห็ดหอมลงไปผัดด้วย

ต้มจืดวุ้นเส้น
ส่วนผสม
วุ้นเส้นแช่น้ำแล้ว                    1 ถ้วย
เห็ดฟาง                        1 ถ้วย
โปรตีนเกษตร                    1/2 ถ้วย
คึ่นฉ่าย                        2 ต้น
งาคั่วบด                    1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                    2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 เห็ดฟางผ่า 4 ส่วน วุ้นเส้นตัดให้พอดี โปรตีนเกษตรสับละเอียด
2 เจียวงาคั่วกับน้ำมันพอร้อน ใส่โปรตีนเกษตรลงผัดให้หอมนำขึ้นพักไว้
3 ต้มน้ำ 4 ถ้วย ให้เดือด ใส่เห็ดฟาง วุ้นเส้น เติมเครื่องปรุงทั้งหมด โรยด้วยใบคึ่นฉ่ายหั่นแล้ว ยกลงทันที ก่อนเสิร์ฟราดด้วยโปรตีนเกษตรที่เจียวงาไว้ เหยาะพริกไทยนิดหน่อย รับประทานร้อนๆ

หมายเหตุ
คึ่นฉ่าย มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงควรรับประทานให้มาก ส่วนผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำไม่ควรรับประทานบ่อย



ประเภทแกง
น้ำพริกแกงเผ็ด
ส่วนผสม
พริกแห้ง            7-10 เม็ด
กระเทียม            7-8 กลีบ
หอมซอย            2-3 ช้อนโต๊ะ
ข่าซอย                1-2 ช้อนชา
ตะไคร้ซอย            4-5 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูด            1 ช้อนชา
ลูกผักชี                1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชี                1 ช้อนชา
พริกไทยเม็ด            1 ช้อนชา
ลูกยี่หร่า(ถ้ามี)            1 ช้อนโต๊ะ
งาขาวคั่วสุก(ถ้ามี)        1 ถ้วย
กะปิเจหรือใช้เต้าหู้ยี้แทน        2 ช้อนโต๊ะ(ถ้ามี)
เกลือ                1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
พริกแห้งกรีดตามยาวแกะเม็ดทิ้งแล้วล้างน้ำ บิดขึ้นโขลกกับส่วนผสมทุกอย่างจนละเอียดยิบ

น้ำพริกแกงเขียวหวาน
ส่วนผสม
พริกขี้หนูสดหรือพริกชี้ฟ้าสดอย่างเขียวเด็ดก้าน        1 ถ้วย
ส่วนผสมอย่างอื่นเหมือนกับน้ำพริกแกงเผ็ด

วิธีทำ
แกงเขียวหวานเปลี่ยนจากพริกแห้งเป็นพริกขี้หนูสด ถ้าไม่ชอบเผ็ดก็ใช้พริกชี้ฟ้าสดอย่างเขียวแทนก็ได้ เครื่องปรุงทุกอย่างโขลกรวมกันให้ละเอียด แต่ควรโขลกพริกแห้ง ข่า ผิวมะกรูด และเกลือก่อน เพื่อจะได้ละเอียดง่าย และไม่กระเด็ดเข้าตา การทำเช่นเดียวกับน้ำพริกแกงเผ็ด

น้ำพริกแกงคั่ว
ส่วนผสม
พริกแห้งเม็ดงามๆ            9 เม็ด
งาขาวคั่วสุก(ถ้ามี)            1 ถ้วย
ข่าหั่นฝอยหยาบๆ            2 ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้หั่นบางๆ                1/4 ถ้วย
ผิวมะกรูดหั่นฝอย            1 ช้อนโต๊ะ
กะปิเจหรือเต้าหู้ยี้แทน            2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                    2 ช้อนชา

วิธีทำ
เช่นเดียวกับน้ำพริกแกงเผ็ด

น้ำพริกพะแนง
ส่วนผสม
ทุกอย่างเหมือนน้ำพริกแกงคั่ว แต่เพิ่มถั่วลิสงคั่วปอกเปลือก 1 ถ้วย

วิธีทำ
เมื่อโขลกส่วนผสมอย่างอื่นละเอียดแล้ว ใส่ถั่วลิสงคั่วลงโขลกให้ละเอียด

น้ำพริกแกงมัสมั่น
ส่วนผสม
พริกแห้งเม็ดงามๆ เผาหรือคั่ว        11 เม็ด
งาขาวคั่วสุก                1 ถ้วย
ข่าเผาหั่นฝอยหยาบๆ            1/4 ถ้วย
ตะไคร้หั่นบางๆคั่ว            1/2 ถ้วย
ผิวมะกรูดหั่นฝอย            1 ช้อนโต๊ะ
ลูกผักชีคั่ว                1/4 ถ้วย
ลูกยี่หร่าคั่ว                2 ช้อนโต๊ะ
อบเชยป่น                2 ช้อนโต๊ะ
ลูกจันทร์ป่น                2 ช้อนโต๊ะ
กานพลูป่น                1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
พริกแห้งเผาแกะเมล็ดทิ้ง แล้วโขลกรวมกันกับส่วนผสมทุกอย่างจนละเอียดยิบ

หมายเหตุ    หากทำในปริมาณมาก ก็เพิ่มส่วนผสมทุกอย่างตามอัตราส่วน

น้ำพริกแกงส้ม
เครื่องปรุง
หอมแดง                5-7 หัว
พริกแห้ง                7-10 เม็ด
กระชาย                    3-4 ราก
กะปิเจ                    1 ขีด
เกลือ                    1 ช้อนชา

วิธีทำ
นำทุกอย่างโขลกรวมกัน เพื่อกันการแฉะและกระเด็น ควรโขลกพริกแห้งก่อน ตามด้วยกะปิเจ เกลือ ส่วนหอม และกระชายควรโขลกทีหลังสุดเพื่อไม่ให้กระเด็นเข้าตา

แกงเผ็ด
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างแข็งทอดพอเหลือง            3 แผ่น
ถั่วฝักยาว                    1 ถ้วย
กะทิ(มะพร้าว 1 กิโลกรัม คั้นด้วยน้ำ 5 ถ้วย)    6 ถ้วย
น้ำมันพืช                    1/2 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด                    1/2 ถ้วย
มะเขือพวง                    2 ถ้วย
ใบมะกรูดฉีกใบละ 4 ชิ้น                5-6 ใบ
พริกชี้ฟ้าเขียว แดง หั่นแฉลบ            10 เม็ด
ใบโหระพาเด็ด                    2 ถ้วย

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทอง 1/4 ถ้วย    น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ    เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 เทน้ำมันใส่หม้อตั้งไฟพอร้อนจัด ใส่น้ำพริกแกงลงผัดให้หอม แล้วใส่กะทิคนให้ทั่ว ใส่เต้าหู้ทอดที่หั่นแล้ว และถั่วฝักยาวปิดฝาเคี่ยวไฟอ่อนๆ
2 ใส่มะเขือพวง พอสุกใส่พริก ซีอิ้ว น้ำตาล ใบโหระพา คนให้ทั่ว พอเดือดยกลง ผักที่ใส่จะใช้มะเขืออ่อน มะเขือเขียว หน่อไม้สดหั่นหยาบๆต้มสุกก็ได้

แกงเขียวหวาน
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างแข็งทอดพอเหลือง    หรือ        4 แผ่น
โปรตีนเกษตร(ถ้ามี)                2 ถ้วย
มะพร้าวขูด                    1/2 กิโลกรัม
มะเขือพวงหรือ                    1 ถ้วย
มะเขือเปราะ                    1/2 กิโลกรัม
เห็ดฟาง    (ถ้ามี)                    3 ขีด
ฝักทอง(ถ้ามี)                    5 ขีด
กระชายหั่นฝอย                    1 ขีด
พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ                1 ถ้วย                    
หน่อไม้ไผ่ตงต้ม(ถ้ามี)                1 ถ้วย
ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทอง            3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปีบ                    1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น                    1 ช้อนชา
ใบโหระพา                    1 ถ้วย
ใบมะกรูด                    3 ใบ
เครื่องแกงเขียวหวาน                2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 หั่นเต้าหู้ชิ้นสี่เหลี่ยม 1/2 นิ้ว หรือแช่โปรตีนเกษตรด้วยน้ำเดือดให้นิ่ม หั่นให้ชิ้นพอเหมาะ
2 คั้นมะพร้าว ใส่น้ำอุ่น 3 ถ้วย คั้นให้ได้ 2 1/2 ถ้วย(หรือกะทิกล่อง 1 กล่อง)
3 เด็ดมะเขือพวงหรือหั่นมะเขือเปราะ หั่นหน่อไม้สี่เหลี่ยมขนาด 1/2 นิ้วและผักอื่นๆถ้ามี
4 เด็ดใบโหระพา ใบมะกรูด
5 ตักหัวกะทิใส่กระทะ เคี่ยวให้แตกมัน ใส่น้ำพริกแกงลงผัดให้หอม ใส่เต้าหู้หรือโปรตีนเกษตรลงผัดให้เข้าเนื้อ ค่อยๆ เติมกะทิ เติมเกลือ ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทอง น้ำตาลเล็กน้อย เติมกะทิให้พอเหมาะ พอเดือดใส่เห็ดฟางก่อน แล้วใส่มะเขือ ฟักทอง กระชายพร้อมกันและผักอื่นๆถ้ามี พอสุกใส่ใบมะกรูด ใบโหระพา พริกชี้ฟ้า ยกลง

แกงเทโพ
ส่วนผสม
ผักบุ้ง                    2 กำ
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า            1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง            1 แผ่น
ลูกมะกรูด                1 ลูก
น้ำมะขามเปียก                1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช                1/2 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด                2 ช้อนโต๊ะ
กะทิ                    1/2 กิโลกรัม

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ    น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ    เกลือป่น 2 ช้อนชา    ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 ผักบุ้งหั่นเป็นท่อนยาว 2 นิ้ว เห็ดฟางผ่า 4 ซีก เตาหู้ขาวหั่นเป็นท่อนสี่เหลี่ยมพอคำ ลูกมะกรูดปอกเปลือกผ่าครึ่ง
2 ตั้งกระทะคั่วน้ำพริกเครื่องแกงในน้ำมันพืชพอหอม ใส่น้ำกะทิคั้นรอจนเดือดใส่เห็ด ผักบุ้ง เต้าหู้ ตามด้วยน้ำมะขาม เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง ชิมรสตามต้องการ ให้ออกเปรี้ยว หวานนิดหน่อย

แกงส้ม
ส่วนผสม
ผักกาดขาว                1 ต้น
กระหล่ำดอก                1 หัว
หัวไชเท้า                1 หัว
แครอท                    1 หัว
เห็ดฟาง                    1 ถ้วย

เครื่องปรุง
น้ำส้มมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ    น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ    ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ    เกลือ 1 ช้อนชา
เครื่องแกงส้ม
งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ พริกแห้ง 10 เม็ด กะปิเจ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด
2 ละลายเครื่องแกงในน้ำยกตั้งไฟ ใส่เห็ดฟาง ผักต่างๆ น้ำส้มมะขามเปียก น้ำตาลปีบ ซีอิ้วขาว เกลือ ชิมรสตามชอบ
3 พอเดือด ยกลงรับประทานได้

แกงขี้เหล็ก
ส่วนผสม
ผักขี้เหล็กต้มแล้ว เอาทั้งดอกและใบ     1/2 กิโลกรัม
มะพร้าว                1/2 กิโลกรัม
ใบย่านาง                1 กำ
โปรตีนเกษตร(ถ้ามี)หรือ            1/2 ถ้วย
เห็ดเป๋าฮื้อ                1 ถ้วย

เครื่องปรุง
เกลือ 1 ช้อนชา    น้ำตาลปีบ 1 ช้อนชา    ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ    น้ำพริกแกงเผ็ดใส่กระชาย 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 คั้นกะทิ แยกหัว แยกหาง
2 ใช้หางกะทิปั่นกับใบย่านาง คั้นเอาน้ำแล้วปั่นกับกระชายหรือ ใบย่านางฉีกค้นน้ำพอประมาณ
3 ฟองเต้าหู้(ถ้ามี) หักเป็นท่อนสั้นๆ พอคำ แช่น้ำไว้ นิ่มแล้วหั่นเป็นฝอย
4 เห็ดเป๋าฮื้อ(ถ้ามี) ย่างไฟให้สุก แล้วเอามาฉีก หรือหั่นเป็นชิ้นๆ
5 โขลกเครื่องแกงกับเต้าหู้ให้เข้ากัน
6 เคี่ยวหัวกะทิให้แตกมัน ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม
7 ใส่โปรตีนเกษตรที่แช่น้ำให้นิ่มแล้วลงผัดให้น้ำพริกเข้าเนื้อ เติมเกลือ ซีอิ้ว น้ำตาลเล็กน้อย ใส่น้ำกระชายหรือน้ำคั้นใบย่านาง ใส่เห็ด ใบขี้เหล็ก เติมหางกะทิ ชิมรสตามต้องการ เดือดใช้ได้แล้วใส่หัวกะทิที่เหลือ เดือดอีกยกลง

แกงกะหรี่
ส่วนผสม
เห็ดฟาง                    1 ถ้วย
เต้าหู้เหลือง                3 แผ่นใหญ่
มะพร้าวขูด                1/2 กิโลกรัม
มันฝรั่งหัวเล็กต้ม            3 หัว
งาคั่วบด(ถ้ามี)                2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                    2 ช้อนชา
น้ำพริกแกงเผ็ด                3 ช้อนโต๊ะ
ผงกะหรี่                    2 ช้อนชา

วิธีทำ
1 หั่นเต้าหู้แผ่นละ 6 ชิ้น เห็ดฟางผ่า 4 ส่วน
2 คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 2 ถ้วยคั้นให้ได้ 3 ถ้วย ช้อนหัวกะทิ 1 ถ้วย
3 โขลกน้ำพริกให้ละเอียด ผัดกับน้ำมันที่ใช้เจียวงาคั่วแล้ว จึงเติมหัวกะทิผัดจนหอม ใส่เต้าหู้ และเห็ดผัดแล้วตักใส่หม้อ เติมหางกะทิปรุงรสเค็ม เคี่ยวไฟอ่อน ใส่มันฝรั่งปอกเปลือก ผ่าสี่ พอน้ำข้นเล็กน้อยยกลง ถ้าอ่อนเค็มเติมเกลือเล็กน้อย
4 จัดเสิร์ฟรับประทานกับแตงดอง ขิงดอง หรือ ยำผักสด




ประเภททอด
เห็ดนางฟ้าชุบแป้งทอด
ส่วนผสม
เห็ดนางฟ้า            8 ดอกใหญ่
งาขาวคั่วสุก(ถ้ามี)        1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด

เครื่องปรุงแป้งชุบทอด
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย    แป้งสาลี 1/2 ถ้วย        เกลือป่น 1/2 ช้อนชา    น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา    พริกไทย 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1 เห็ดนางฟ้าฉีกเป็นชิ้นโตๆ
2 ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งสาลีลงในน้ำ 1 1/2 ถ้วย เติมเกลือ น้ำตาล พริกไทย คนให้เข้ากันแล้วโรยงาคั่วลงไป
3 นำเห็ดลงชุบ ทอดในน้ำมันร้อนปานกลาง จนเหลืองกรอบ ตัดขึ้นไว้บนกระดาษซับน้ำมัน รับประทานโดยจิ้มกับน้ำจิ้มของผักทอดเทมปูระหรือน้ำจิ้มบ๊วยก็ได้หรือซอสมะเขือเทศหรือซอสพริก

น้ำจิ้มผักทอดแบบญี่ปุ่น
ใช้ซอสปรุงรสถั่วเหลือง 3 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย เทผสมรวมกันแล้วนำไปตั้งไฟร้อนจรน้ำตาลละลาย ยกลงเมื่อเย็นแล้ว ใส่หัวไช่เท้าที่ขูดหรือปั่นละเอียดลงคนให้ทั่ว ใช้จิ้มผักทอด แต่ถ้าชอบรสเปรี้ยวและเผ็ดให้ใช้ น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วย น้ำตาล 1/2 ถ้วย น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ผสมรวมกันตั้งไฟ เมื่อเย็นแล้วโรยด้วยพริกป่นสัก 1 ช้อนชา จะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง

หมายเหตุ 
ผักที่จะนำมาชุบทอด ใช้ได้หลายชนิด เช่น ฟักทอง มันเทศ ถั่วฝักยาว ข้าวโพดอ่อน มะเขือยาวนำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ หรือกระหล่ำปลีหั่นเป็นฝอย คลุกแป้งทอดเป็นคำๆ ก็ได้ แป้งที่ใช้ชุบผัก ใช้แป้งชุบทอดสำเร็จรูปก็สะดวกดี

ลูกชิ้นกุ้ง
ส่วนผสม
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า            1 ถ้วย
หัวไชเท้า                1 หัว
แครอท                    1 หัว
สาหร่ายทะเลชนิดแผ่น            1 แผ่น

เครื่องปรุง
แป้งผสมเช่นเดียวกับแป้งชุบทอด หรือใช้แป้งชุบทอดสำเร็จก็ได้

วิธีทำ
 1 สับเห็ดให้ละเอียด หัวไชเท้าและแครอทปลอกเปลือกแล้วขูดด้วยเครื่องขูดมะละกอให้เป็นเส้นฝอยๆ สาหร่ายตัดเป็นเส้นๆ
2 นำส่วนผสมทุกอย่าง ใส่ลงในแป้งที่ผสมไว้แล้วคนให้เข้ากัน
3 ใช้ช้อนตักทอดในน้ำมันร้อนปานกลาง จนสุกเหลือง เสิร์ฟพร้อมกับผักสดต่างๆ และน้ำจิ้มหรือซอสพริกตามชอบใจ

หมายเหตุ
ลูกชิ้นกุ้งสามารถนำไปใส่ผัดเปรี้ยวหวาน หรือผัดผักต่างๆ ก็ได้

หมูหมักซอส
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรชนิดเม็ดใหญ่แช่น้ำให้พอง 2 ถ้วย

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 1/2 ช้อนชา พริกป่น 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 1 ถ้วย

วิธีทำ
1 นำเครื่องปรุงทั้งหมด ผสมลงในชามเติมด้วยน้ำเปล่าแล้วเทราดลงในโปรตีนเกษตรคนกลับไปกลับมา ปิดฝาหมักไว้ 20 นาที
2 ตั้งน้ำมันสำหรับทอดให้ร้อนปานกลาง นำโปรตีนที่หมักไว้ลงทอด จนผิวนอกกรอบหอมไม่ต้องทอดนานจะแข็ง
3 เวลาเสิร์ฟใช้มีดหั่นเป็นแผ่นๆ รับประทานกับข้ามต้มร้อนๆ อร่อยมาก

เห็ดสวรรค์
เครื่องปรุง
เห็ดนางฟ้า            2 กิโลกรัม
น้ำตาลปีบ            1 ถ้วย
พริกไทยป่น            1 ช้อนโต๊ะ
งาขาวบด            2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว                1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ                1 ถ้วย
น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำ
1 ฉีกเห็ดนางฟ้าให้เสมอกัน ตากแดด แล้วนำมาทอดในน้ำมัน ใช้ไฟกลาง (ร้อนน้อยจะอมน้ำมัน ร้อนจัดเห็ดไหม้) ใส่น้ำมันครึ่งกระทะ อย่าใส่เห็ดมากใส่พอประมาณเรียงตัวเต็มกระทะชั้นเดียว ประมาณขยุ้มมือเดียว ใส่แล้วห้ามคน ทิ้งไว้ให้เหลืองกลับทีเดียว เพราะคนแล้วจะทำให้เห็ดห่อตัวหมด แซะกลับทีเดียวใช้ได้ กะด้วยสายตาเวลาเอาขึ้นใช้กระดาษฟางรอง
2 เวลาปรุงรส ตักน้ำมันขึ้นจนหมดกระทะ เหลือไว้เจียวงาบด พริกไทยนิดหน่อย ใส่น้ำตาลปีบ ซีอิ้วขาว ใส่เกลือ น้ำ ลดไฟให้อ่อนๆ ลองเอาเห็ดชุบแล้วชิมดู จนรสใช้ได้ จึงเอาเห็ดใส่ ใช้พายคนโหย่งๆ ใช้ไฟอ่อนที่สุดผัดให้นานราว 10 นาที ใช้พาย 2 อันคนเบาๆ เพื่อไม่ให้เห็ดหักผัดจนจะได้ที่แล้วจึงเอาพริกไทยลงเคล้า

หมูหวานเจ
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรเม็ดกลางแช่น้ำแล้ว            2 ถ้วย
น้ำตาล                        1/2 ถ้วย
ซีอิ้วขาว                        1/4 ถ้วย
ซีอิ้วดำ                        1 ช้อนชา
งาคั่วบดแล้ว                    2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย                    1 ช้อนชา

วิธีทำ
น้ำตาลใส่กะทะตั้งไฟ คอยจนกลายเป็นสีน้ำตาล ใส่พริกไทย ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ พริกไทยผัด 2-3 นาที ใส่โปรตีนเกษตรคนให้ทั่ว ปิดฝาเคี่ยวไฟค่อนข้างอ่อนจนเครื่องปรุงเข้ากันจึงดับไฟตักเสิร์ฟ

เนื้อแดดเดียวเจ
ส่วนผสม
ก้านเห็ดหอมแห้งแช่น้ำให้พอง 2 ถ้วย

เครื่องปรุง
ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ลูกผักชี 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 นำก้านเห็ดหอมที่แช่น้ำแล้วมาทุบให้แบน ลูกผักชีโขลกพอแตก
2 ผสมเครื่องปรุงทั้งหมด แล้วเติมน้ำ 1 ถ้วย
3 เทน้ำเครื่องปรุงลงบนก้านเห็ดหอม โรยลูกผักชีคลุกให้ทั่ว แล้วหมักไว้สัก 1 ชั่วโมง
4 ตั้งกระทะน้ำมันพอร้อน นำเอาเห็ดที่หมักแล้วลงทอดพอเหลือง ตักขึ้นไว้บนตะแกรง รับประทานกับข้าวหุงหรือข้าวต้มก็ได้

หมายเหตุ
หากต้องการเก็บเอาไว้เป็นอาทิตย์ ให้นำเห็ดที่หมักแล้วไปตากแดดก่อนค่อยนำไปทอด

ทอดมันข้าวโพด
เครื่องปรุง
ข้าวโพดฝานบางๆ         1 ถ้วยตวง
ถั่วเหลืองโขลกละเอียด        1 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด            2 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดซอยละเอียด        1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น            1 ช้อนชา
แป้งสาลี            1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย            1 ช้อนชา
น้ำมันพืชสำหรับทอด        
ถั่วฝักยาวหรือถั่วพูฝานบางๆ    1/2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1 นำข้าวโพด ถั่วเหลือง และพริกแกง เคล้าให้เข้ากัน
2 นำแป้งสาลี เกลือป่น และน้ำตาลทราย ผสมเคล้าให้เข้ากับเครื่องในข้อ 1
3 นำถั่วฝักยาวหรือถั่วพูและใบมะกรูดเคล้ากับเครื่องทั้งหมด
4 นำลงทอดในน้ำมันเดือด ไฟร้อนปานกลาง พอเหลืองตักออก วางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน รับประทานกับน้ำจิ้ม

โปรตีนทอดกรอบผัดพริก
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรเม็ดเล็ก            5 ถ้วย
ใบมะกรูดหั่นฝอย            3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                1/2 ถ้วย

เครื่องปรุง
น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ถ้วย เกลือป่น 1 ช้อนชา ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ งาคั่วบดละเอียด(ถ้ามี) 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 ทอดโปรตีนเกษตรให้กรอบ(ไม่ต้องแช่น้ำ) แล้วนำขึ้นพักไว้
2 คั่วน้ำพริกแกงและงาในน้ำมันพืชจนหอม เติมเครื่องปรุงทั้งหมด คนให้ละลายเข้ากัน แล้วยกลงจากเตา นำโปรตีนที่ทอดลงคลุกเคล้าให้ทั่ว โรยด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ทิ้งไว้ให้เย็นจะกรอบอร่อย สามารถเก็บใส่ขวดไว้รับประทานได้นานหลายสัปดาห์

หมายเหตุ
โปรตีนเกษตรทอดสุกแล้ว ควรให้แช่อยู่ในน้ำมันสักครู่ จะทำให้กรอบมันคล้ายกากหมูทอด





ประเภท นึ่ง อบ ย่าง
เต้าหู้นึ่งแป๊ะซะ
ส่วนผสม
เห็ดฟาง                    1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง            2 แผ่น
ผักกาดขาว                1 ต้น
หัวไชเท้าหั่นบางๆ            1/2 ถ้วย
แครอทหั่นบางๆ                1/2 ถ้วย
ขิงอ่อนหั่นฝอย                1 ช้อนโต๊ะ
คึ่นฉ่าย                    2 ต้น
พริกชี้ฟ้าสุก                1 เม็ด

เครื่องปรุง
งาคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ เต้าเจี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 หั่นเต้าหู้ขาวเป็นลิ่มหนาประมาณครึ่งเซ็นติเมตร ผักกาดขาวหั่นหยาบๆ เห็ดฟางผ่าเป็นแผ่น
2 เรียงผักกาดขาวลงในจาน เอาเต้าหู้วางทับข้างบน แต่งด้วยหัวไชเท้าและแครอทโดยรอบ
3 ตั้งกระทะเจียวงาคั่วกับน้ำมันพืช ใส่เห็ดฟางลงผัด เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง เติมน้ำ 2 ถ้วย พอเดือดนำไปเทราดลงบนจานเต้าหู้ที่เตรียมไว้(ถ้าชอบบ๊วยดองใส่ด้วยก็ได้)
4 นำไปนึ่งไฟแรงสัก 10 นาที ยกลงก่อนเสิร์ฟโรยด้วยขิงอ่อน พริกชี้ฟ้าสุกหั่นแฉลบ บีบมะนาวรับประทานร้อนๆ (ถ้าชอบเผ็ดใส่พริกขี้หนูทุบพอแหลก)

ห่อหมกเห็ด
ส่วนผสม
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า                3 ถ้วย
มะพร้าว                    1/2 กิโลกรัม
ถั่วลิสงป่น                    3 ช้อนโต๊ะ
แป้งสาลี                    1-2 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสารแช่น้ำ(ข้าวเบือ)                2 ช้อนโต๊ะ
ใบยอ ใบโหระพา ผักกาดขาว ใบมะกรูด ผักชี พริกแดง ซีอิ้วขาว น้ำพริกเครื่องแกงเผ็ด

วิธีทำ
1 เด็ดใบโหระพา ล้างน้ำให้สะอาด ผักกาดขาวล้างให้สะอาด หั่น แล้วลวกน้ำร้อนผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2 ล้างเห็ดฟางให้สะอาด ฝานชิ้นบางๆ
3 โขลกข้าวสารแช่น้ำให้ละเอียด
4 โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด ใส่ข้าวสารที่โขลกละเอียดแล้วลงไปผสมด้วยกัน
5 ใช้ผ้าขาวบางบีบมะพร้าวให้ได้กะทิ 1/2 ถ้วยตวง แล้วคั้นอีกประมาณ 1 ถ้วยตวง
6 เทกะทิลงอ่างคนให้เข้ากับเครื่องแกง ใส่เห็ด ซีอิ้ว แป้งสาลี ค่อยๆโรยลงไป คนให้ทั่ว คนไปจนข้น
7 ตักใส่กระทงหรือถ้วยรองด้วยผักต่างๆ
8 หัวกะทิหยอดหน้าใบมะกรูดหั่นฝอย พริกชี้ฟ้าหั่นฝอยโรยหน้า
9 นึ่งลังถึง ไฟกลาง จนสุก

แหนมสด
ส่วนผสม
เห็ดนางฟ้า            4 ถ้วย
ข้าวเหนียวนึ่งสุก            2 ถ้วย
พริกขี้หนู            15 เม็ด
สีแดงผสมอาหารนิดหน่อย

เครื่องปรุง
เกลือป่น 1 ช้อนชา ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 นำเห็ดนางฟ้าไปนึ่งให้สุก แล้วนำมาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
2 ใช้น้ำเปล่าพรมข้าวเหนียวบี้ให้กระจาย
3 นำเห็ดกับข้าวเหนียว มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง แล้วหยดสีผสมอาหารสีแดงนิดหน่อย
4 ตักใส่ใบตองสดห่อมัดให้แน่น ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน เมื่อแกะใบตองออกแหนมจะมีรสเปรี้ยวพอดี ถ้าห่อทิ้งไว้หลายวันก็จะเปรี้ยวมาก





ประเภท ยำ พล่า
ยำวุ้นเส้น
ส่วนผสม
เห็ดเป่าฮื้อ                1 ถ้วย
เห็ดฟาง                    1/2 ถ้วย
เห็ดหูหนู                1/2 ถ้วย
วุ้นเส้นแช่น้ำตัดแล้ว            1 ถ้วย
พริกขี้หนูสด                5 เม็ด
พริกขี้หนูแห้ง                5 เม็ด
คึ่นฉ่าย                    2 ต้น
เต้าหู้ขาว                2 ก้อน

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ มะนาว 6-7 ผล  น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ มะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ ผักกาดหอม ใบสะระแหน่ พริกแห้งเม็ดใหญ่

วิธีทำ
1 ลวกวุ้นเส้นพอนิ่ม แล้วตัดเป็นท่อน
2 ฉีกเห็ดเป๋าฮื้อเป็นฝอย ลวกน้ำร้อนให้สุก แล้วหั่นเห็ดหูหนูหนาๆ ลวกน้ำร้อนให้สุก ฝานเห็ดฟางเป็นชิ้นๆ ตั้งรวนไฟ เหยาะเกลือนิดหน่อย
3 ตัดคึ่นฉ่ายเป็นท่อนๆ
4 เอามะขามเปียก น้ำตาลปีบ และซีอิ้วผสมรวมกัน ตั้งไฟให้เดือด ชิมดูให้ได้ 3 รส
5 ยีเต้าหู้ให้ละเอียด ตั้งรวนบนไฟจนเหลืองนวล
6 โขลกพริกขี้หนู เอาพริกแห้งที่แกะเม็ดและไส้ทิ้งทอดรวมกับพริกขี้หนูจนกรอบ โขลกให้ละเอียด
7 เมื่อเตรียมได้ทั้งหมดแล้ว ก็นำเอาเห็ดทั้งหมดคลุกในวุ้นเส้น พร้อมด้วยพริกขี้หนู พริกแห้ง ใส่น้ำสามรส มะนาว ชิมรสตามชอบ แล้วใส่คึ่นฉ่าย จากนั้นเอาใส่ภาชนะที่รองผักกาดหอม โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่

ยำเม็ดมะม่วงหิมพานต์
ส่วนผสม
เม็ดมะม่วงหิมพานต์            1 ถ้วย
คึ่นฉ่าย                    2-3 ต้น
พริกชี้ฟ้าแดง                2-3 เม็ด
เกลือ                    1/2 ช้อนชา
น้ำมันสำหรับทอด            2 ถ้วย

วิธีทำ
1 ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ใช้ไฟปานกลาง รอจนกระทะร้อนใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงทอดให้เหลืองตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
2 ล้างคึ่นฉ่ายและพริกชี้ฟ้า ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ หั่นคึ่นฉ่ายเป็นท่อนสั้นๆ และหั่นพริกชี้ฟ้าตามขวางค่อนข้างหนาเตรียมไว้
3 เคล้าเม็ดมะม่วง คึ่นฉ่าย พริกชี้ฟ้า และเกลือ ให้เข้ากันเมื่อจะรับประทาน

พล่าเห็ด
ส่วนผสม
เห็ดฟางหรือเห็ดอื่นๆก็ได้                2 ถ้วย
ตะไคร้                        1 ต้น
ใบมะกรูด                    2 ใบ
ใบสะระแหน่                    1/2 ถ้วย
มะนาว                        2 ผล
พริกขี้หนู                    5 เม็ด

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

วิธีทำ
ปอกเห็ดล้างน้ำ หั่นชิ้นพองาม ลวกเห็ดในน้ำเดือด พอสุกนำขึ้นใส่ชามพักไว้ หั่นตะไคร้ใบมะกรูดให้ละเอียด เด็ดใบสะระแหน่ ผ่ามะนาว โขลกพริกขี้หนูพอให้แตกคลุกกับเห็ด เอาตะไคร้ ใบมะกรูดสะระแหน่ที่เตรียมไว้ใส่ด้วย บีบมะนาว และใส่ซีอิ้วขาวน้ำตาลทราย แล้วชิมดู รสตามต้องการ

ลาบเต้าหู้กับเห็ด
ส่วนผสม
เห็ดฟาง                        1 ถ้วย
เห็ดหูหนู                    1 ถ้วย
เต้าหู้ขาว                    1 แผ่น
พริกขี้หนูป่น                    1 ช้อนชา
ข้าวคั่ว                        2 ช้อนชา
ข่าอ่อน                        3 แว่น
ใบสะระแหน่                    7 ยอด
ผักชี                        1 ต้น

เครื่องปรุง
มะนาว 2 ผล ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 หั่นเห็ดฟางและเห็ดหูหนูบางๆ ต้มสุกพักไว้ให้เย็น
2 ยีเต้าหู้ขาวหรือบดให้ละเอียด คั่วในกระทะจนแห้ง
3 คั่วขาให้เหลือง แล้วโขลกละเอียด
4 เด็ดใบสะระแหน่เอาแต่ใบ หั่นผักชีหยาบๆ
5 นำเห็ดฟางและเห็ดหูหนู เต้าหู้ ที่เตรียมไว้ คลุกเคล้ากับข้าวคั่ว พริกป่น ข่า ซีอิ้วขาวอย่างดี น้ำมะนาว ปรุงรสตามใจชอบ ใส่ใบสะระแหน่ ผักชี เสิร์ฟกับผักทที่จัดไว้

ปลาร้าเจทรงเครื่อง
เครื่องปรุง
มะพร้าว                         1 กิโลกรัม
หอมแดง                        3 ขีด
ตะไคร้ทุบ                        3 ต้น
เห็ดฟาง                            1/2 กิโลกรัม
เต้าหู้ยี้อย่างกระป๋อง(หรือปลาร้าหมักจากถั่วเหลือง)    3 ก้อน
น้ำ                            1.5 ลิตร
กระเทียม                        1 ขีด
ชะอม                            2 กำ
ถั่วฝักยาว                        1/2 กิโลกรัม
ข่า                            3 แว่น
กระชายหั่นฝอย                        2 ขีด
มะเขือเปราะ                        1/2 กิโลกรัม

วิธีทำ
1 คั้นกะทิด้วยน้ำ แยกหัวกะทิไว้ 1 ถ้วย
2 ตำหอม กระเทียม เห็ดฟาง เต้าหู้ยี้บดละเอียด ใส่ในหางกะทิตั้งไฟ พอเดือด คนให้เข้ากัน จนแตกมัน
3 ใส่ซีอิ้ว เกลือ น้ำตาล ใส่หัวกะทิ หางกะทิเดือด ใส่ของทุกอย่างที่เหลือ พอเดือดยกลง ใส่ชะอมทีหลัง

ปลาจ่อมเจทรงเครื่อง
เครื่องปรุง
ถั่วเหลืองหมัก            1/2 กิโลกรัม
เห็ดฟาง                1/2 กิโลกรัม
เกลือ                3 ช้อนโต๊ะ
ซอส                5 ช้อนโต๊ะ
ข้าวคั่วป่น            4 ช้อนโต๊ะ
ถั่วเหลืองบด            2 ช้อนโต๊ะ
งาบด                2 ช้อนโต๊ะ
มะเขือเปราะสุกหั่นละเอียด    10 ผล
ตะไคร้หั่นฝอย            1 ถ้วย
ใบมะกรูดหั่นฝอย        1 ถ้วย
ข่าหั่นฝอย            1 ถ้วย
มะนาว                1 ผล
พริกขี้หนูแดงสด            10 เม็ด
ผักชีฝรั่งหั่นฝอย            1 ถ้วย
น้ำตาลทราย               1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 นำถั่วเหลืองหมัก เห็ดฟาง เกลือ ซอส ข้าวคั่วป่น ถั่วเหลืองบด งาบด มะเขือเปราะสุกหั่นละเอียดมาคลุกเคล้ากันแล้วหมัก 15 วันจะได้ปลาจ่อม
2 นำปลาจ่อมมาปรุงรส ใส่มะเขือหั่นฝอย ตะไคร้ ข่า ขิง ใบมะกรูด คลุกเคล้ากัน ใส่ข้าวคั่ว งา ซอส คลุกเคล้า แล้วใส่ใบผักชีฝรั่ง พริกหั่นฝอย ชิมรสเด็ด แล้วรับประทาน

พล่าเต้าเจี้ยว
เครื่องปรุง
เต้าเจี้ยว            4 ช้อนโต๊ะ
ขิงหั่นฝอย            1 ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้หั่นฝอย            1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสด            5 เม็ด
หอมซอย            1 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอม                2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว            1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล                1/2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 บุบเต้าเจี้ยวพอแตก ตั้งไฟจนเดือด ตักใส่ชาม
2 ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกัน
รับประทานกับผักสด เช่น ผักชี แตงกวา

ตำมะเขือเผา
ส่วนผสม
มะเขือยาว                2 ผล
พริกหนุ่มหรือพริกชี้ฟ้าดิบ        2 เม็ด
งาขาวคั่ว                1 ช้อนโต๊ะ
ใบสะระแหน่เด็ดเฉพาะใบ        1 ถ้วย

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1 ย่างมะเขือยาวพริกชี้ฟ้าให้สุก แล้วลอกเปลือกที่ไหม้ออก นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2 โขลกพริกที่ย่างกับงาขาวคั่วให้แหลก แล้วนำมะเขือย่างลงตำพอแหลก ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เติมเครื่องปรุงเสร็จแล้ว เวลาตักเสิร์ฟโรยด้วยใบสะระแหน่

วิธีทำปลาร้าถั่ว
เครื่องปรุง
ถั่วเหลืองคัดแล้ว                4 กิโลกรัม
เห็ดฟางคั้นน้ำให้แห้ง            1 กิโลกรัม
เกลือป่น                12 ถุงเล็ก
ข้าวคั่วบดละเอียด            1/2 กิโลกรัม
งาดำคั่วบดละเอียด            1/2 กิโลกรัม
รำอ่อนคั่ว                1/2 กิโลกรัม
ซอสตราเด็ก                2 ขวดใหญ่
ซีอิ้วขาวสูตร 1                 2 ขวด

วิธีทำ
1 นำถั่วเหลืองแช่น้ำ 6-8 ชั่วโมง แล้วนำมาล้างให้สะอาด ให้น้ำแห้ง
2 ต้มถั่วเหลืองให้เปื่อย จนเป็นสีน้ำตาล
3 นำถั่วเหลืองจากข้อ 2 มาใส่โอ่งมังกรที่สะอาด ขนาดปากโอ่งเส้นผ่าศูนย์กลาง 22-26 เซ็นติเมตร โดยประมาณ
4 หมักข้อ 3 ไว้ 15 วัน จนขึ้นราสีขาว และมีกลิ่นแรงจัดได้ที่
5 นำเครื่องปรุงจากข้อ 1-4 มาคลุกเคล้ากัน แล้วหมักไว้อีก 20 วัน จะได้ปลาร้ารสเด็ดรสดี
ถ้าต้องการน้ำ เพิ่มซีอิ้วตามต้องการ(ปลาร้าเจสำเร็จรูปตามท้องตลาดอาหารเจมีขาย)




ประเภทน้ำพริก เครื่องจิ้ม
น้ำพริกอ่อง
เครื่องปรุง
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง                3 ก้อน
เห็ดฟาง(หรือนางฟ้า)                1 ถ้วย
มะเขือเทศสีดา(หรือมะเขือเปรี้ยวลูกเล็ก)        2 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ดเจ                3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                    1/4 ถ้วย
ซีอิ้วขาว                        1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                        1 ช้อนชา

วิธีทำ    
1 สับเต้าหู้พอละเอียด
2 ล้างเห็ดฟางสับให้ละเอียด
3 ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ไฟร้อนปานกลาง นำน้ำพริกเครื่องแกงลงผัดให้หอม
4 ใส่เต้าหู้สับ เห็ดสับ ผัดให้เข้ากัน
5 ใส่มะเขือสีดา ผ่าครึ่ง ผัดต่อสักครู่ ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยว เกลือป่น ซีอิ้วขาว จะมีรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด เติมน้ำตาลทรายนิดหน่อย
6 รับประทานกับผักสด ผักต้ม และของทอดกรอบ เช่น ฟองเต้าหู้แห้งทอดกรอบ หรือข้าวเกรียบ ฟักทองทอดก็ได้

น้ำพริกกระปิเจ    
ส่วนผสม
กระปิเจ                        2 ช้อนโต๊ะ
งาขาวคั่ว                    2 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าแดง                    2 เม็ด
พริกชี้ฟ้าเขียว                    1 เม็ด
พริกขี้หนู                    2 ช้อนชา
ซีอิ้วขาว                        1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว                    1/4 ถ้วย
น้ำตาล                        3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ    
ตัดพริกชี้ฟ้าเป็นท่อนๆ เม็ดหนึ่งตัด 3-4 ท่อน กระปิงาคั่ว ใส่ครกโขลกให้ละเอียด แล้วใส่พริกชี้ฟ้า ลงโขลกพอแตก ใส่พริกขี้หนูบุบพอแตกแล้วจึงใส่ซีอิ้วขาว น้ำมะนาวและน้ำตาลคนจนเข้ากันดี น้ำพริกจิ้มอย่างใส่นี้นิยมรับประทานกับผักสุก เช่น ผักต้มกะทิ ผักชุบแป้งทอด

น้ำพริกหมูสับเจ
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรแช่น้ำจนพอง            1 ถ้วย
พริกหนุ่ม(พริกชี้ฟ้าดิบ)                3 เม็ด
ผักชี                        1 ต้น
น้ำมันพืช                    2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปีบ 1 ช้อนชา งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 สับโปรตีนเกษตรให้หละเอียด พริกหนุ่มโขลกละ
เอียดกับงา
2 ตั้งกระทะน้ำมันพอร้อน ใส่พริกโขลกกับงาลงคั่วให้หอมตามด้วยโปรตีนเกษตรสับ เติมเครื่องปรุง และน้ำเปล่า 1 ถ้วย พอเดือดยกลง โรยหน้าด้วยผักชีสับ ตักเสิร์ฟพร้อมผักสดต่างๆ

น้ำพริกเห็ดสับ
ส่วนผสม และเครื่องปรุงทุกอย่าง
เช่นเดียวกับน้ำพริกหมูสับเจ แต่ใช้เห็ดฟางหรือเห็ดอื่นๆ แทนโปรตีนเกษตร

วิธีทำ
1 ย่างเห็ดและพริกให้สุก
2 สับเห็ดที่ย่างแล้วให้ละเอียด โขลกพริกย่าง งาและเห็ดจนเข้ากัน เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง ตักใส่จานรับประทานพร้อมผักสดต่างๆ

น้ำพริกเผา
ส่วนผสม
ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งโขลกละเอียด        1 ถ้วย
งาขาวเจียวพอเหลืองกรอบ            1 ถ้วย
พริกแห้งเม็ดใหญ่ใหม่ๆ                10-15 เม็ด
น้ำตาลปีบ                     1/2 ถ้วย
ซีอิ้วขาว                        1/2 ถ้วย
น้ำส้มมะขามเปียก                1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช                    1/4 ถ้วย

วิธีทำ
1 แกะพริกแห้งเอาเมล็ดออก หั่นตามขวางให้เป็นฝอยๆ พอน้ำมันร้อนจัดใส่พริกแล้วยกลงคั่วข้างล่างพอพริกพองคะเนว่ากรอบตักขึ้น
2 โขลกงาขาวและพริกให้ละเอียด โขลกทีละอย่าง เมื่อละเอียดแล้วนำมาผสมกัน
3 ใส่น้ำมันลงในกระทะใช้ไฟอ่อน พอน้ำมันร้อนจึงใส่เครื่องที่โขลกแล้วลงผัด พอเข้ากันดีใส่น้ำตาล ซีอิ้วขาว น้ำส้มมะขามเปียก ใส่ถั่วคนให้เข้ากัน พอเดือดชิมดู ให้มี 4 รส คือ เผ็ด เค็ม หวาน เปรี้ยว

หมายเหตุ
ต้องระวังการเจียวพริก อย่าให้ดำจะทำให้พริกขม ในขณะที่ผัดน้ำพริกระวังอย่าให้ข้นเกินไป เพราะเมื่อเย็นแล้วน้ำพริกจะข้นขึ้นอีก เมื่อเย็นจึงตักใส่ขวดที่สะอาดและแห้งสนิท เก็บไปรับประทานได้เป็นเดือนใช้ทาขนมปังก็ได้

น้ำพริกมะขามสด
ส่วนผสม
มะขามสดล้างสะอาดผ่าสองตามยาวฝักแกะเม็ดทิ้ง
หั่นละเอียด                            1/2 ถ้วย
โปรตีนเกษตรทอด                        1/2 ถ้วย
กะปิเจ                                1 ช้อนโต๊ะ
งาขาวคั่ว                            1 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าแดง                            3 เม็ด
พริกชี้ฟ้าเขียว                            3 เม็ด
พริกขี้หนู                            1 ช้อนชา
น้ำมันพืช                            1/2 ถ้วย
เห็ดฟางสับ                            1/2 ถ้วย
ซีอิ้วขาว                                2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล                                2 ช้อนชา

วิธีทำ
โขลกมะขาม กะปิ และงาขาวคั่วเข้าด้วยกัน พริกชี้ฟ้าตัดเป็นเม็ดละ 3-4 ท่อน ใส่ลงครกโขลกด้วยกัน แล้วใส่โปรตีนเกษตรตำจนป่นเข้ากันดี น้ำมันใส่กระทะตั้งไฟพอร้อนจัดใส่เห็ดฟางผัดให้สุกแล้วจึงใส่น้ำพริกที่โขลกไว้แล้วผัดต่อไปประมาณ 5 นาที ใส่ซีอิ้วน้ำตาล พริกขี้หนู รับประทานกับผักสด

หลนเต้าเจี้ยว
ส่วนผสม
เต้าเจี้ยวขาว                    1/2 ถ้วย
มะพร้าว                    1/2 กิโลกรัม
งาขาวคั่วบดแล้ว                    2 ช้อนโต๊ะ
เห็ดฟาง                        1 ถ้วย
น้ำส้มมะขามเปียก                3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปีบ                    2 ช้อนโต๊ะ
พริกแดง พริกเหลือง                6 เม็ด

วิธีทำ
1 คั้นมะพร้าวให้ได้กะทิข้นๆ (ใส่น้ำ 1/2 ถ้วย คั้นให้ได้น้ำ 1 ถ้วย)
2 สับเห็ดหยาบๆ
3 เอาเต้าเจี้ยวใส่กระชอน ล้างน้ำให้หายเค็ม นำไปโขลก คลุกหัวกะทิและงาขาวคั่วหรือใส่เครื่องปั่นกับกะทิ อย่าให้เต้าเจี้ยวหยาบหรือละเอียดเกินไป ใส่ในหม้อ ใส่เห็ด นำไปตั้งไฟ ใส่น้ำตาลปีบ ใส่น้ำส้มมะขามเปียก เคี่ยวสักครู่หมั่นคนไม่ให้ไหม้ ชิมรสเค็มหวานนำ เปรี้ยวตาม ใส่พริกแดง เหลืองรับประทานกับผักสดต่างๆ เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว กระถิน กระหล่ำปลี หัวปลี ถั่วพู แครอท มะเขือ




ประเภทอาหารจานเดียว
โจ๊กเห็ด
ส่วนผสม
ข้าวสาร                    2 ถ้วย
เห็ดฟางหรือเห็ดอื่นๆ            1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง            1/2 ถ้วย
ขิงหั่นฝอย                1 ช้อนโต๊ะ
ผักชี                    1 ต้น
งาขาวคั่วบด                1 ช้อนโต๊ะ
เส้นหมี่ขาว                1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                 2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา พริกไทย 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 ต้มข้าวให้เปื่อยแล้วยกลงพักไว้ ถ้าต้องการประหยัดเวลาให้ใช้ข้าวหุงสุกแล้วไปปั่นกับน้ำจนเละ แล้วจึงนำไปต้ม วิธีนี้สะดวกรวดเร็วดี
2 สับเห็ด เต้าหู้ขาวหั่นเป็นชิ้นเล็กๆนำไปทอดให้เหลือง
3 เมื่อจะรับประทานให้นำเห็ดเต้าหู้ลงต้มลงในหม้อข้าวต้มให้เดือด เติมเครื่องปรุง เหยาะพริกไทย โรยหน้าด้วยเส้นหมี่ขาวที่ทอดน้ำมันจนพองกรอบ และผักชี รับประทานร้อนๆกับปาท่องโก๋ เป็นอาหารเช้าดีมาก

ผัดหมี่ซั่ว
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรเม็ดเล็ก            1/2 ถ้วย
เส้นหมี่ซั่ว                1/2 กิโลกรัม
เห็ดหอม                5 ดอก
ผักคะน้า                2 ต้น
พริกไทย                1 ช้อนชา
งาขาวคั่วบด                1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว                    3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 โปรตีนเกษตรเม็ดเล็กทอดกรอบ แล้วตักขึ้นพักไว้
2 ต้มน้ำให้เดือด ใส่เส้นหมี่ลงต้มพอนุ่มยกลง ตักขึ้นล้างด้วยน้ำเย็น เสร็จแล้วพักไว้ ถ้าทำมากให้ใส่น้ำมันพืชคลุกเคล้าเส้นไว้
3 เห็ดหอมแช่น้ำพอนุ่ม นำมาหั่นชิ้นขนาดพอดีคำพักไว้เก็บน้ำแช่เห็ดหอมไว้
4 หั่นผักคะน้า กะหล่ำปลีหยาบๆ ล้างสะอาดพักไว้
5 ตั้งกระทะใส่น้ำพอร้อน ใส่งาคั่วลงผัดพอหอม ใส่เห็ดหอม ใส่กะหล่ำปลี เติมซีอิ้วขาว เติมน้ำเห็ดหอม 4-5 ช้อนโต๊ะ ผัดจนผักสุกแล้วจึงใส่เส้นหมี่ลงผัดสักพักใหญ่ โรยด้วยโปรตีนเกษตรทอดกรอบตักเสิร์ฟร้อนๆ

ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
ส่วนผสม
เส้นก๋วยเตี๋ยว 1 กิโลกรัม อาจเปลี่ยนใช้เส้นอื่น เช่น เส้นหมี่ขาว บะหมี่หรือ หมี่กรอบ แล้วราดก็ได้

เครื่องปรุงน้ำราดหน้า
กระหล่ำดอก                1 หัว
ผักคะน้า                3 ต้น
เห็ดฟางหรือเห็ดอื่นๆ            1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวทอดจนเหลือง            2 แผ่น
ข้าวโพดอ่อน                5 ฝัก
ถั่วลันเตา                1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช                3 ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วดำ 1 ช้อนชา เกลือป่น 1 ช้อนชา พริกไทย 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ งาขาวคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 เส้นก๋วยเตี๋ยวนำลงผัดในกระทะน้ำมันร้อนๆ เหยาะซีอิ้วดำผัดให้เส้นหอม และนำขึ้นพักไว้
2 ตั้งกระทะ น้ำมันพอร้อนใส่งาขาวคั่ว และส่วนผสมทุกอย่างผัดไปสักครู่ แล้วเติมน้ำพอประมาณ ใส่เครื่องปรุงทุกอย่าง เคี่ยวต่อจนผักสุก ก่อนยกลงใส่แป้งมันละลายน้ำ
3 เวลาเสิร์ฟ ตักเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ผัดไว้ พอประมาณแล้วราดด้วยน้ำราดหน้า ปรุงด้วยพริกชี้ฟ้าดองน้ำส้มสายชู

ก๋วยเตี๋ยวน้ำ
ส่วนผสม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เล็ก หรือ บะหมี่ ก๋วยจั๊บ ก็ได้

เครื่องปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยว
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า                2 ถ้วย
หัวไชเท้า                    1 ถ้วย
รากผักชี                        4 ราก
เครื่องเทศทำน้ำก๋วยเตี๋ยวถุงเล็ก            1 ถุง
(มีขายตามร้านขายของชำทั่วไป)
ซอสถั่วเหลืองปรุงรส                3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วหวานดำ                    1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย                    1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย                    2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น                    1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 นำเห็ดฟางมาปั่นรวมกับรากผักชีให้ละเอียด หัวไชเท้าหั่นเป็นแผ่น
2 ใส่น้ำ 5 ถ้วย ตั้งไฟให้เดือด ใส่เห็ดปั่น หัวไชเท้า เครื่องเทศก๋วยเตี๋ยว ต้มจนเดือดแล้วปรุงรสตามใจชอบ
3 เวลาจะรับประทาน ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวและผักสดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ถั่วงอกใส่ชาม ตักน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวเทใส่ ถ้าจะทำเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อยเจ ก็เพิ่มโปรตีนเกษตรตุ๋นหรือลูกชิ้นหมี่กึนก็ได้ เหยาะพริกไทย โรยผักชีรับประทานร้อนๆเป็นอาหารกลางวัน

ขนมจีนน้ำยา
ส่วนผสม
เห็ดฟาง                        1/2 กิโลกรัม
มะพร้าว                    1 กิโลกรัม
กระชาย                        1 ถ้วย
ซีอิ้วขาว                        4 ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุง
ตะไคร้ 3 ต้น พริกแห้ง 18 เม็ด ข่าหั่นละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ กระชาย 1/2 ถ้วย งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 คั้นมะพร้าวใส่น้ำประมาณ 7 ถ้วย คั้นให้ได้กะทิ 10 ถ้วย ช้อนหัวกะทิไว้ประมาณ 1 ถ้วย
2 โขลกเครื่องแกงให้ละเอียดแล้วนำไปผัดกับกะทิ
3 หั่นกระชายเป็นแว่น นำไปปั่นกับหางบีบน้ำออก แบ่งกากกระชายเป็น 3 ส่วน เก็บไว้ 2 ส่วน ทิ้งไป 1 ส่วน
4 ปั่นเห็ดกับหางกะทิพอหยาบๆใส่กับกระชายที่เก็บไว้ยกตั้งไฟพอเดือดใส่เครื่องแกงที่ผัดกับหัวกะทิแล้ว คนให้เข้ากัน ใส่ซีอิ้วขาว เคี่ยวไฟอ่อนสักครู่ยกลง
5 เสิร์ฟน้ำยาพร้อมกับขนมจีน และผัก เช่นแตงกวา ถั่วฝักยาว สะระแหน่ ใบแมงลัก ถั่วงอก

ข้าวมันเห็ด
ส่วนผสม
ข้าวสาร                        2 ถ้วย
เห็ดนางฟ้า                    2 ถ้วย
ขิงแก่สับละเอียด                    1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช                    4 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว                        1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น                    1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย                    1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 ข้าวสารซาวให้สะอาดแล้วพักไว้
2 ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อน นำขิงลงผัดให้หอม ใส่ข้าวสารเห็ดนางฟ้าฉีกเป็นชิ้น ลงผัด เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง
3 ตักข้าวสารทั้งหมด ลงในหม้อหุงข้าว แล้วเติมน้ำในอัตรา ส่วนที่หุงข้าวตามปกติ หุงจนสุกก็จะได้ข้าวมันเห็ด ถ้าต้องการให้ข้าวมีความเหนียวเกาะกัน ให้ใส่ข้าวเหนียวผสมข้าวสารลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 10
4 เวลาตักเสิร์ฟ ประดับด้วยแตงกวาสด โรยด้วยผักชีนิดหน่อยรับประทานกับน้ำซุปใสร้อนๆ เช่น ซุปหัวไชเท้า หรือ แกงจืดแตงกวาก็ได้

น้ำจิ้มปรุงรสข้าวมันเห็ด
ใช้เต้าเจี้ยว 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา พริกขี้หนูซอย 1 ช้อนชา ผสมกันทั้งหมด แล้วเติมน้ำสุกสัก 1/2 ถ้วย บีบมะนาว 1/2 ลูก ชิมรสให้พอดี

ผัดมักกะโรนี
ส่วนผสม
มักกะโรนี                    2 ถ้วย
มะเขือเทศหั่นแว่น                4 ลูก
เห็ดบานหั่น                    1 ถ้วย
ข้าวโพดอ่อนผ่าครึ่งตามยาวและตามขวาง        1/2 ถ้วย
กะหล่ำดอกหั่น                    1/2 ถ้วย
แครอทหั่นชิ้นเล็กๆ                1/2 ถ้วย
โปรตีนเกษตรอย่างหยาบแช่น้ำจนพอง        1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช                    1/4 ถ้วย

เครื่องปรุงรส
ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ
1 ผสมน้ำปรุงรส ชิมดูให้รสพอดี พักไว้
2 ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือ ใส่มักกะโรนี เมื่อมักกะโรนีเปลี่ยนสีและบาน ตักแช่น้ำเย็น พักไว้
3 ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช ใส่ข้าวโพดอ่อน กะหล่ำดอก แครอท เห็ดบาน และโปรตีนเกษตรลงผัดจนเข้ากันดี
4 ใส่มักกะโรนีลงผัดให้น้ำมันพืชเข้าเนื้อ
5 ใส่น้ำปรุงรสพอสมควร เหลือไว้ใส่ทีหลัง
6 ใส่มะเขือเทศ ใส่น้ำปรุงรสที่เหลือ
7 โรยผักชีแล้วตักขึ้น ใส่จานประดับด้วยแตงกวาและผักสลัด

ข้าวผัดกะเพรา
เครื่องปรุง
เห็ดสับ                3 ขีด
พริกขี้หนู            10 เม็ด
ใบกะเพรา            1 กำ
น้ำมันพืช            3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม            2 หัว
น้ำตาลทราย            1 ช้อนโต๊ะ
เต้าหู้ขาว            1 ก้อน
ข้าวสวย                5 จานเล็ก
ซีอิ้วขาว แตงกวา ต้นหอม

วิธีทำ
1 เต้าหู้ทอด แล้วหั่นชิ้นเล็กๆ (แบบผัดไทย)
2 โขลกกระเทียมกับพริกขี้หนูเข้าด้วยกัน แล้วนำลงผัดกับน้ำมันพืช
3 ใส่เห็ดลงผัด เต้าหู้ ใส่น้ำซุปขลุกขลิก ชิมรสให้พอดี
4 ใส่ข้าวลงผัด ผสมกันจนได้ที่ ใส่กะเพราผัดจนทั่ว ยกลงทานกับแตงกวา แต่งหน้าด้วยใบกะเพรา ทอดน้ำมันให้ดูงาม

ข้าวคลุกกะปิเจ
เครื่องปรุง
ข้าวสวย                    2 ถ้วย
กะปิเจ                    2 ช้อนชา
น้ำมันพืช                2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ                2 ช้อนชา
หอมแดงซอย                3 หัว
พริกขี้หนูซอย                2-3 เม็ด
เต้าหู้ทอดซอยแบบไข่             1 แผ่น
มะนาว                    1 ผล
มะม่วงดิบซอย                1-2 ช้อนโต๊ะ
ชะอมสด                1 ช้อนโต๊ะ
โปรตีนละเอียดทอด            1-2 ช้อนโต๊ะ
แตงกวา                    1 ลูก
ผักชี

วิธีทำ
นำข้าวคลุกกับกะปิให้เข้ากัน เจียวกระเทียมให้เหลือง หอมแล้วนำข้าวลงผัด ตักใส่จาน โรยด้วยเครื่องเคียงต่างๆ มีหมูหวาน ไข่เจียว มะม่วงซอย หอมซอย โปรตีนทอด พริกขี้หนูซอย ชะอม ผักชี แตงกวา

เครื่องปรุงหมูหวาน
โปรตีน 2 ช้อนโต๊ะ(แช่น้ำให้นิ่ม)    หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ        ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปีบ 1.5 ช้อนโต๊ะ        น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 1/2 ถ้วย            พริกไทย 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
เจียวหอมแดงไม่ต้องเหลือง ใส่โปรตีนลงผัด ใส่น้ำตาล ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ น้ำ เคี่ยวให้แห้ง โรยพริกไทย





ประเภทอาหารว่าง
ปอเปี๊ยะทอด
ส่วนผสม
แป้งปอเปี๊ยะแผ่นเล็ก(ห่อไว้อย่าให้ถูกลม)        20 แผ่น
วุ้นเส้นแช่น้ำตัดแล้ว                1 ถ้วย
กระหล่ำปลีหั่นฝอย                1 ถ้วย
ถั่วงอก                        1 ถ้วย
พริกไทย                    1/4 ถ้วย
ซีอิ้วขาว                        1/2 ถ้วย
งาขาวคั่วบด                    1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันสำหรับเจียว                1 ช้อนโต๊ะ
แป้งเปียกกวนไว้สำหรับติดแป้งเวลาห่อ        2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด

เครื่องปรุงน้ำส้ม
น้ำส้ม 1/4 ถ้วย น้ำตาล 1/4 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ พริกแดงโขลก 1 เม็ด แป้งมัน 2 ช้อนชา ผสมเครื่องปรุงทุกอย่างรวมกัน ตั้งไฟพอเดือด ใส่แป้งคนพอสุก ยกลง

วิธีทำ
1 แช่วุ้นเส้นในน้ำจนนิ่ม ตัดสั้นๆ ผสมวุ้นเส้น กระหล่ำปลี ถั่วงอก พริกไทย และซีอิ้วขาวให้เข้ากัน
2 เจียวงาคั่วกับน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ไฟอ่อน พอหอมจึงใส่ ส่วนผสมของวุ้นเส้น ผัดให้สุกและแห้ง ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น
3 แผ่แผ่นแป้งปอเปี๊ยะใส่ไส้ 1 ช้อนชาพูน ห่อพับหัวท้ายม้วนให้แน่น ทาแป้งเปียก ทอดจนกรอบ เหลือง ตักขึ้นใส่ตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน รับประทานกับน้ำจิ้ม และผักสด แตงกวา ใบโหระพา

ขนมจีบ
ส่วนผสม
แผ่นเกี๊ยว                80 แผ่น
เห็ดหูหนูแช่น้ำหั่นฝอยๆ            1/2 ถ้วย
ถั่วลันเตาเม็ดหรือถั่วแขกหั่น        1 ถ้วย
ฟักทองหรือแครอทหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก    1 ถ้วย
รากผักชี                    1 ช้อนชา

เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 1-2 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 1/4 ช้อนชา แป้งสาลี 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ งาขาวคั่วบด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 โขลกรากผักชี พริกไทย ให้ละเอียด
2 ใส่น้ำมันในกระทะ ใส่เครื่องที่โขลกลงผัด ผัดให้หอม ใส่เห็ดหูหนู ถั่วลันเตา ฟักทอง ผัดให้สุกนุ่มปรุงรสด้วยซอสปรุงรส ซีอิ้วขาว
3 ใส่แป้งสาลีผัดให้เข้ากัน ตักขึ้นปล่อยให้เย็น
4 แผ่แผ่นแป้งเกี๊ยวตักใส่แผ่นละ 1 ช้อนชา จีบแผ่นแป้งเป็นจีบเล็กๆ รวบให้เกาะกัน วางในลังถึงปูด้วยใบตองทาน้ำมัน นึ่งประมาณ 15 นาที
5 สุกแล้วยกลังถึงขึ้นพรมด้วยงาเจียวน้ำมัน รับประทานกับซีอิ้วขาว น้ำส้มพริกดอง หรือซอสเปรี้ยว

ทอดมันข้าวโพด
ส่วนผสม
ข้าวโพดฝานบางๆ(ประมาณ 4 ฝักใหญ่)            2 ถ้วย
ถั่วฝักยาวซอยตามขวางบางๆ                1/2 ถ้วย
น้ำพริกแกงคั่ว(ไม่ใส่กะปิ)                1 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวเจ้า                        3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว                            2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                            1 ช้อนชา
น้ำมันพืชสำหรับทอด                    2 ถ้วย
แป้งสาลีสำหรับคลุกทอด                    3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 ผสมเครื่องปรุงทั้งหมด นวดให้เข้ากันดี
2 ปั้นเป็นก้อนกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว แล้วกดให้แบนเล็กน้อย แตะแป้งสาลีให้ทั่ว ทอดในน้ำมันร้อนๆ และน้ำมันมาก
3 การทอดใส่ครั้งละ 8-10 ก้อน ถ้าใส่มากเกินไป น้ำมันจะเป็นฟองทำให้ผิวนอกไม่กรอบ

วิธีทำน้ำจิ้ม
1 ต้มน้ำส้ม น้ำ น้ำตาลทราย อย่างละ 1/4 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา พริกแดง โขลกละเอียด 1 เม็ด ให้เดือด ปล่อยให้เย็น
2 ถั่วลิสงคั่ว โขลกละเอียด 1/4 ถ้วย แตงกวาหั่น 5 ผลผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันสำหรับจิ้ม

หอยทอดเจ
ส่วนผสม
สาหร่ายทะเล                1 แผ่น
เห็ดฟางดอกตูมหรือเห็ดแชมปิยอง    1 ถ้วย
แป้งข้าวเจ้า                1 ถ้วย
แป้งมัน                    1/2 ถ้วย
น้ำ                    1 ถ้วย
คื่นช่าย                    3 ต้น
ซีอิ้วขาว                    2 ช้อนโต๊ะ
ถั่วงอก                    1 ถ้วย
เกลือป่น                1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช                3 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย                1 ช้อนชา
ใบผักชีหั่น                1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1 เห็ดฟางผ่าครึ่ง สาหร่าย ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
2 ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำ ผักชีหั่น และซีอิ้วขาวเข้าด้วยกันใส่สาหร่ายและเห็ดลงไป
3 น้ำมันใส่กระทะตั้งไฟพอร้อนจัด ตักส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงทอด เกลี่ยให้บาง พอแป้งข้างล่างเริ่มสุกเหลืองดีแล้วกลับข้างบนลงเติมน้ำมันลงเล็กน้อย ทอดต่อไปจนเหลืองทั้งสองด้าน ใช้ตะหลิวฉีกให้เป็นชิ้นเล็กๆ ตักใส่จานเสิร์ฟ
4 ถั่วงอกผัดกับน้ำมันพอสุก ใส่ซีอิ้วนิดหน่อย ตักใส่ข้างๆจานบ้างเล็กน้อย โรยพริกไทย รับประทานกับซอสพริกก็ได้

หมายเหตุ
ควรทอดเป็นจานๆ โดยตักแป้งขึ้นไว้ 1 ถ้วย แล้วค่อยใส่เห็ดสาหร่ายลงผสม เสร็จแล้วจึงเทลงในกระทะ ถ้าผสมรวมกันหมดเสียทีเดียว สาหร่ายจะเละไม่น่าดู

ก๋วยเตี๋ยวหลอด
ส่วนผสม
ก๋วยเตี๋ยวแผ่น            1 กิโลกรัม
เห็ดฟาง                3 ถ้วย
ถั่วงอก                1/2 กิโลกรัม
เห็ดหูหนู            1 ถ้วย
เต้าหู้ขาว            4 แผ่น

เครื่องปรุง
งาคั่วบด 4 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ รากผักชี 5 ราก เกลือ 1 ช้อนชา ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ หัวไชโป้วสับ 1 ถ้วย

วิธีทำ
1 โขลกรากผักชี งาขาวคั่ว พริกไทย ให้ละเอียด
2 เห็ดฟาง เห็ดหูหนู ตัดโคนล้างน้ำให้สะอาด หั่นชิ้นเล็ก หรือ ใช้สับหยาบๆก็ได้ เต้าหู้ขาวหั่นชิ้นยาว
3 รากผักชี งา พริกไทยที่โขลกไว้ นำลงไปผัดกับน้ำมันพืชในกระทะจนเหลือง ใส่ซีอิ้วดำ น้ำตาลปีบ ผงพะโล้ เกลือ ผัดจนหอมดีแล้วจึงใส่เต้าหู้ขาว เห็ดฟาง เห็ดหูหนู ผัดให้เข้ากัน (อย่าให้มีน้ำมากจะทำให้ห่อยาก) ชิมรสตามต้องการ
4 ล้างถั่วงอกให้สะอาด ลวกน้ำร้อน จัดใส่จาน
5 ตักเครื่องที่ผัดวางลงบนแผ่นก๋วยเตี๋ยว พับหัวท้ายแล้วห่อม้วนให้มีลักษณะกลมยาว ขนาดเล็กใหญ่ตามใจชอบ แล้วนำไปนึ่งในรังถึงจนร้อน จัดใส่จาน ใช้ถั่วงอกรองก้นจาน(หรือจะใช้ผักสลัดก็ได้) ตัดเป็นชิ้นพองาม ราดด้วยซีอิ้วดำ พริกส้ม โรยด้วยผักชี

เต้าหู้ทอด
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวชนิดแผ่นสำหรับทอด            4 แผ่น
น้ำมันสำหรับทอด                4 ถ้วย

เครื่องปรุงน้ำจิ้ม
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย ถั่วลิสงคั่วป่นหยาบๆ 3 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสับหยาบๆ 10 เม็ด เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1 ตัดเต้าหู้แผ่น 4 ชิ้นเท่ากัน ตัดทะแยงเป็นสามเหลี่ยม ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อนๆ ใส่เต้าหู้ลงทอดให้เหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
2 ผสมน้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และเกลือ ลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อน เคี่ยวพอเหนียว ใส่ถั่วลิสง ใส่พริกขี้หนู คนให้ทั่ว ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟพร้อมกับเต้าหู้




เคล็ดลับความอร่อย
อาหารมังสวิรัติ(เจ) เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งส่วนประกอบอื่นใดที่นำมาจากสัตว์ทุกประเภท เช่น ไข่ นม น้ำปลา น้ำมันหอย ไขมันสัตว์ ฯลฯ

อาหารมังสวิรัติ(เจ) สำหรับคนไทยสามารถทำได้ทุกอย่างโดยใช้เครื่องปรุงเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ดังนี้

1 เนื้อสัตว์ ใช้แทนด้วย เห็ดต่างๆ เตาหู้ ฟองเต้าหู้ หมี่กึน โปรตีนเกษตร
2 น้ำปลา ใช้แทนด้วย ซีอิ้วขาว เกลือป่น ซอสถั่วเหลืองปรุงรส
3 กระปิ ใช้แทนด้วย ถั่วหมัก เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ แต่ปัจจุบันกระปิเจ ปลาร้าเจ ก็มีจำหน่ายแพร่หลายในร้านขายของชำ หรือร้านอาหารมังสวิรัติหรือร้านอาหารเจ
4 น้ำมันหมู ใช้แทนด้วย น้ำมันพืช โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ

สำหรับการเพิ่มรสชาติความอร่อยโดยพื้นฐานควรใส่ซอสถั่วเหลืองปรุงรส หรือซีอิ้วขาวและใส่เกลือเล็กน้อยเพราะเกลือสามารถดึงรสชาติของอาหารออกมาได้ดี สำหรับผงชูรสถ้าไม่แน่ใจในส่วนประกอบควรใช้ ผงฟ้าไทยที่มีขายแทนหรือซอสปรุงรสเห็ดหอมที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป นอกจากนั้นท่านที่พิถีพิถันเรื่องความอร่อย น้ำซุปถือเป็นพื้นฐานความอร่อยของอาหารสามารถนำมาใช้แทนน้ำเปล่าในการปรุงอาหารทุกแบบ น้ำซุปควรมาจากผักต้มใส่เกลือเล็กน้อย เช่น น้ำต้มฟัก หัวไชเท้า ฝักข้าวโพดต้ม หรือผักที่ท่านชอบ แต่ปัจจุบันน้ำซุปสามารถทำได้ง่ายจากซุปผักก้อนที่มีขายตามท้องตลาด เช่น ซูปรสเห็ดหอมก้อน ตราคนอร์ (เจ) สำหรับเนื้อเจสำเร็จรูปมีขายตามร้านอาหารเจทั่วไปสามารถนำมาประกอบอาหารเพิ่มรสชาติได้มากยิ่งขึ้น อาหารเจสามารถปรุงแบบง่ายๆ ราคาถูกๆ ไปจนถึงยากๆ และใช้ส่วนผสมและเครื่องปรุงที่ยุ่งยากราคาสูงขึ้น แล้วแต่ความสามารถในการประยุกต์ของแต่ละคน แต่พื้นฐานยังคงเป็นอาหารจากพืชผักที่หาได้ในท้องถิ่นนั่นเอง.... 
				
1 ตุลาคม 2553 23:30 น.

ความเป็นทาส...

คีตากะ

0402_13.jpg     มนุษย์นั้นคือทาสของชีวิต และความเป็นทาสนี่เองที่ทำให้กลางวันของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์โศก และกลางคืนก็ท่วมท้นไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด
     เจ็ดพันปีผ่านไปนับตั้งแต่การเกิดครั้งแรกของฉัน นับแต่วันนั้นมาฉันได้แลเห็นบรรดาทาสแห่งชีวิตลากโซ่ตรวนอันหนักอึ้งอยู่
     ฉันได้ท่องเที่ยวไปในโลกทั้งตะวันออกและตะวันตก เที่ยวไปทั้งในแสงสว่างและเงามืดของชีวิต ฉันได้แลเห็นขบวนอารยธรรมกำลังเคลื่อนจากแสงสว่างไปสู่เงามืด แต่ละอารยธรรมถูกลากลงสู่นรกโดยดวงวิญญาณอันไร้เกียรติซึ่งโค้งงออยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส ผู้แข็งแรงถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนและต้องพ่ายแพ้ ผู้มีศรัทธาก็คุกเข่าลงสักการะอยู่เบื้องหน้ารูปเคารพฉันได้ติดตามมนุษย์ไปตั้งแต่บาบิโลนถึงไคโร ตั้งแต่แอนเดอร์ถึงบักได้สังเกตเห็นรอยโซ่ของเขาอยู่ในพื้นทราย ฉันได้ยินเสียงสะท้อนอันเศร้าสร้อยของยุคสมัยที่ผ่านไปก้องกลับไปมาซ้ำๆอยู่ในท้องทุ่งและซอกเขาอันมีอยู่ชั่วนิจนิรันดร
     ฉันได้ไปเยือนวัดวาอารามและแท่นบูชา ได้เข้าไปในพระราชวังและนั่งลงเบื้องหน้าบัลลังก์ของกษัตริย์ ฉันได้เห็นผู้ฝึกงานเป็นทาสนายงาน นายงานเป็นทาสของทหาร ทหารเป็นทาสของผู้ปกครอง ผู้ปกครองเป็นทาสของกษัตริย์ กษัตริย์เป็นทาสของพระ และพระเป็นทาสของรูปบูชา --และรูปบูชานั้นมิได้เป็นอะไรอื่นนอกไปจากก้อนดินซึ่งปั้นขึ้นโดยมารร้ายและสถาปนาไว้บนกองหัวกะโหลก
     ฉันได้เข้าไปในคฤหาสน์ของคนรวยและทับกระท่อมของคนจน ฉันได้พบทารกกำลังดูดน้ำนมแห่งความเป็นทาสจากทรวงอกของมารดาและเด็กๆ เรียนรู้ให้ยอมอ่อนน้อมจากตัวอักษร
     บรรดาหญิงสาวสวมใส่ภูษาแห่งความจำกัดสิทธิ์และความเฉยเมย เหล่าภริยานอนลงบนเตียงแห่งความเชื่อฟังและยินยอมต่อกฎหมายทั้งน้ำตา
     ฉันได้ร่วมเดินทางไปกับกาลสมัยต่างๆ จากฝั่งแม่น้ำคงคาไปถึงฝั่งยูเฟรติส จากปากแม่น้ำไนล์ถึงที่ราบอัสซีเรีย จากสนามกรีฑาที่เอเธนส์ถึงโบสถ์แห่งโรม จากสลัมในคอนสแตนติโนเปิลถึงมหาราชวังที่อเล็กซานเดรีย—แม้กระนั้นฉันก็ยังเห็นความเป็นทาสเคลื่อนคล้อยไปเหนือผู้คนทั้งหลายเหล่านั้นในขบวนแห่อันใหญ่โตสง่างามของความโง่เขลา ฉันได้เห็นผู้คนนำคนหนุ่มคนสาวไปบูชายัญแทบเท้าของรูปบูชาและขนานนามมันว่าพระผู้เป็นเจ้ารินเหล้าองุ่นและน้ำหอมลงบนเท้าของมันและเรียกมันว่าราชินี เผากำยานเบื้องหน้ารูปของมันและเรียกมันว่าศาสดา คุกเข่าลงสักการะมันและเรียกมันว่ากฎหมาย สู้รบและตายเพื่อมันและเรียกมันว่าความรักชาติ ยอมจำนนต่อความประสงค์ของมันและเรียกมันว่าเงาแห่งพระผู้เป็นเจ้าในโลก ทำลายรื้อพังบ้านเรือนและสถาบันเพื่อมันและเรียกมันว่าภราดรภาพ ต่อสู้ลักขโมยและทำงานเพื่อมันและเรียกมันว่าโชคและความสุข ฆ่าเพื่อมันและเรียกมันว่าความเสมอภาค
     มันมีชื่อต่างๆ มากมายแต่ทว่ามีความเป็นจริงอยู่หนึ่งเดียว มันมีลักษณะต่างๆ มากหลายแต่ทว่าทำด้วยธาตุแท้อันเดียว แท้ที่จริงแล้วมันคือความเจ็บป่วยนิรันดรซึ่งมนุษย์แต่ละรุ่นยกให้เป็นมรดกตกทอดกันสืบมา
     ฉันได้พบความเป็นทาสแบบตาบอดซึ่งผูกพันกาลปัจจุบันของผู้คนไว้กับอดีตของบิดามารดา และรบเร้าให้พวกเขายอมจำนนต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษ นำเอาดวงวิญญาณเก่ามาใส่ไว้ในร่างใหม่
     ฉันได้พบความเป็นทาสแบบเบื้อใบ้ซึ่งผูกมัดชีวิตของผู้ชายไว้กับภริยาที่เขาเกลียด และวางร่างของสตรีไว้บนเตียงของสามีอันเป็นที่ชัง ทำให้ดวงวิญญาณของทั้งสองตายลงไป
     ฉันได้พบความเป็นทาสแบบหูหนวก ซึ่งบีบเค้นดวงวิญญาณและดวงใจคืนกลับมาเพียงเสียงสะท้อนอันว่างเปล่าและเงาอันน่าสังเวชของร่างกายให้มนุษย์
     ฉันได้พบความเป็นทาสแบบพิการซึ่งวางคอของมนุษย์ลงใต้ความครอบครองของทรราช และยื่นร่างที่แข็งแรงแต่จิตใจอ่อนแอให้แก่บุตรแห่งความละโมบเพื่อให้มันใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจ
     ฉันได้พบความเป็นทาสที่น่าชังซึ่งลงมาพร้อมกับดวงวิญญาณของทารกจากท้องฟ้าอันกว้างใหญ่สู่บ้านแห่งความทุกข์ยากซึ่งความยากแค้นอาศัยอยู่เคียงข้างความโง่เขลาและความไร้เกียรติอาศัยอยู่เคียงข้างความหมดหวังและเด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างคนเจ้าทุกข์ มีชีวิตอยู่อย่างอาชญากรและตายไปอย่างไร้เกียรติภูมิไม่มีใครถือว่าเป็นคน
     ฉันได้พบความเป็นทาสแบบเจ้าเล่ห์ซึ่งขนานนามสรรพสิ่งด้วยชื่ออื่นอันมิใช่ชื่อของมันเอง—มันเรียกความเล่ห์กระเท่ห์ว่าความฉลาด เรียกความว่างเปล่าว่าวิชาความรู้ เรียกความอ่อนแอว่าอ่อนโยน เรียกความขี้ขลาดว่าการปฏิเสธอย่างเข้มแข็ง
     ฉันได้พบความเป็นทาสแบบบิดเบือนซึ่งทำให้ลิ้นของคนอ่อนแอเคลื่อนไปด้วยความกลัว และพูดสิ่งที่อยู่เหนือความรู้สึกของเขาและแกล้งปกปิดความเสแสร้ง แต่พวกเขาก็คือกระสอบอันว่างเปล่าซึ่งแม้แต่เด็กๆ ก็อาจพับและถือไปได้
     ฉันได้พบความเป็นทาสแบบคดในข้องอในกระดูกซึ่งชักชวนชาติหนึ่งยอมจำนนต่อกฎข้อบังคับของอีกชาติหนึ่ง และความคดนั้นยิ่งมากขึ้นทุกวัน
     ฉันได้พบความเป็นทาสชั่วนิรันดร์ซึ่งสวมมงกุฎให้แก่โอรสของกษัตริย์เพื่อให้เป็นกษัตริย์ต่อไปโดยมิได้คำนึงถึงคุณธรรมความดีเลย
     ฉันได้พบความเป็นทาสอันมืดมนซึ่งได้นำเอาความอับอายและอัปยศอดสูมาให้แก่ลูกหลานของอาชญากรชั่วนิรันดร์
     เมื่อฉันใคร่ครวญถึงความเป็นทาส ก็ได้พบว่ามันเป็นเจ้าของพลังอันชั่วร้ายสืบเนื่องติดต่อกันมา
      เมื่อฉันเบื่อที่จะติดตามยุคสมัยอันเลวทรามต่อไป และเหน็ดเหนื่อยต่อการมองดูขบวนแห่ของผู้คนที่เป็นเสมือนก้อนหินแล้ว ฉันก็ออกเดินไปในหุบเขาแห่งเงาของชีวิตแต่ลำพัง ณ ที่ซึ่งอดีตกาลพยายามซ่อนตัวมันเองไว้ในความผิด และดวงวิญญาณแห่งอนาคตห่อหุ้มฟักตัวมันเองอยู่นานเกินสมควร ณ ที่นั้นริมฝั่งแม่น้ำเลือดและน้ำตาซึ่งเลื้อยไปเหมือนอสรพิษและคดเคี้ยวเหมือนความฝันของอาชญากร ฉันได้สดับฟังเสียงกระซิบอันน่าหวาดกลัวของภูตผีแห่งทาสทั้งหลายและจ้องมองดูความไม่มีอะไร
     เมื่อเที่ยงคืนมาถึงและภูตผีปีศาจออกมาจากที่ซ่อน ฉันได้แลเห็นผีตายเหมือนซากศพตนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าจ้องมองดูดวงจันทร์ ฉันได้เข้าไปใกล้หล่อนพลางถามว่า “เธอชื่ออะไร?” 
     “ชื่อของฉันคือสันติภาพ” เงาน่าเกลียดน่ากลัวของซากศพนั้นตอบมา
     ฉันถามอีกว่า “ลูกๆ ของเธออยู่ไหนเล่า?”
     แม่นางเสรีภาพหายใจหอบอย่างอ่อนระโหยและตอบด้วยเสียงอันเต็มไปด้วยน้ำตาว่า “คนหนึ่งตายเพราะถูกตรึงกางเขน คนหนึ่งเป็นบ้าตาย และคนที่สามยังไม่เกิด”
     แล้วหล่อนก็เดินกะโผลกกะเผลกออกไปพลางพูดต่อไปอีก แต่หมอกฝ้าในดวงตาและเสียงร้องไห้ในหัวใจของฉันทำให้ฉันแลไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรอีก




น้ำตาและรอยยิ้ม
คาลิล ยิบราน  เขียน
กิติมา  อมรทัต  แปลและเรียบเรียง
				
28 กันยายน 2553 03:06 น.

จี้กงผู้กินอากาศ....

คีตากะ

     สวัสดี ท่านผู้ชมที่มีความสุข ยินดีต้อนรับสู่รายการระหว่างอาจารย์และศิษย์บนโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ การไม่ทานอาหารเป็นการปฏิบัติธรรมที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่างมากที่ประเทศจีนมานานนับพันๆปี หนังสือเต๋า “หนังสือแห่งลำดับของอาหารประจำเดือน” กล่าวว่า “ผู้ที่ทานลมจะเข้าทางจิตวิญญาณและมีอายุยืนยาว ผู้ที่ทานธัญพืชจะฉลาดในวิถีทางต่างๆ แต่จะทำให้จิตเหนื่อยจากการทำงาน ผู้ที่ทานหญ้าจะโง่ ผู้ที่ทานเนื้อสัตว์จะมีความโกรธมากมาย ผู้ที่ทานอากาศจะเข้าถึงระดับจิตวิญญาณแห่งนิรันดรและบรรลุเต๋า” เพราะอาหารมีอิทธิพลอย่างยิ่งในการสร้างชีวิตของเราและบุคลิก ความสำคัญของการปลอดอาหารถูกอธิบายไว้ในรายละอียดของพระสูตรของเต๋า “พระสูตรไทปิง (สันติสุข)” มันกล่าวว่าในตอนแรกเริ่มเมื่อมวลมนุษย์ปรากฏบนโลกครั้งแรก มนุษย์มีธาตุพลังงานเดียวกันในร่างกายเหมือนสวรรค์และโลก และไม่ต้องการอาหารใดในการดำรงชีวิต มนุษย์รุ่นแรกพึ่งพาการดูดซับของหยินและหยางโดยตรงหรือพลังจักรวาล อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเสื่อมลงและการห่างจากหนทางของพระเจ้า หลงลืมแหล่งกำเนิดและมีแน้วโน้มสู่ภาพลวงตา ความสามารถทั้งหมดของมนุษย์ได้เสื่อม แล้วจึงเกิดความหิวโหย ดังนั้นถ้าไม่มีการทานอาหารหรือดื่มน้ำความตายจะเกิดขึ้นแน่นอน สวรรค์รู้สึกสงสารมนุษย์จึงได้รับอนุญาตให้ทานอาหารด้วยเหตุผลนี้ เต๋าจึงมีวิถีอย่างช้าๆ ที่จะปลอดอาหาร เริ่มต้นด้วยการทานอาหารปริมาณน้อยลงและมีรสชาติอ่อนลง แล้วพัฒนามาสู่ระดับที่ตนอยู่ได้ด้วยอากาศ จนกระทั่งจิตของคนหนึ่งและอวัยวะภายในเข้มแข็งขึ้นและมีความปรารถนาน้อยลง จนในที่สุดนำไปสู่การขาดความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง ลัทธิเต๋าเน้นย้ำถึงการปลอดอาหารเพราะแม้ว่าอาหารสามารถทำให้ร่างกายมีชีวิต มันไม่มีประโยชน์ต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณนัก และจะเป็นอุปสรรคสู่การตื่นและยกระดับของจิตวิญญาณ มันได้รับการเชื่อว่าด้วยการลดการบริโภคอาหาร ผู้บำเพ็ญเต๋าสามารถลดความอยากทางกาย การมีชีวิตที่ปลอดอาหาร สามารถช่วยผู้บำเพ็ญเต๋าอิสระจากกรอบและข้อจำกัดของร่างกาย ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตทางจิตวิญญาณในที่สุด ในตอนนี้ของรายการระหว่างอาจารย์และศิษย์ เรามาพบกับผู้บำเพ็ญจี้กง อาจารย์เหลียว ฟง เชง ผู้ที่บรรลุถึงขั้นอยู่โดยไม่ต้องกินอาหาร จี้กงคืออะไร? ตามความเห็นของเคนเน็ธ โคเฮน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและผู้ก่อตั้งศูนย์บำเพ็ญและการวิจัยจี้กง มันเป็นวิชาของจีนโบราณ เขากล่าวว่าจี้กงคืออุดมการณ์สำหรับชาวเต๋าให้ตระหนักถึงเป้าหมายแห่งหวูจี้ สภาวะแห่งความว่างเปล่า ตื่นตัวของจิตสำนึกที่ไร้ข้อจำกัด ซิ่ง หมิง ฉวง สิ่ว ร่างกายและจิตวิญญาณอยู่ในสมดุล”  ผู้บำเพ็ญเต๋าและจี้กงทั้งคู้ล้วนแสวงหา ความกลมกลืนของหยินและหยาง ภายในและภายนอก ทางโลกและทางธรรม ความสงบนิ่งและความเคลื่อนไหว เชื่อกันว่าผลงานส่วนใหญ่ของจี้กงถูกพบในหนังสือ 1,000 เล่มในวิถีแห่งเต๋า เพื่อทำความรู้จักให้มากขึ้น ในการฝึกจี้กงและการกินอากาศ นักข่าวโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ในฟอร์โมซา(ไต้หวัน) ได้ไปสัมภาษณ์อาจารย์เหลียงฟงเชง ผู้ปฏิบัติจี้กง ที่เปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศ ตั้งแต่ปีที่แล้ว (ถาม : อาจารย์เหลียวโปรดอธิบายแนวคิดของผู้ไม่กินอาหาร) 

      “ผู้ไม่กินอาหารเป็นเรื่องอธิบายกันยาก มันคือการปราศจากอาหาร ซึ่งคุณไม่กินเลยหรือลดการกินอาหารลง แนวคิดหลักก็คือพยายามเป็นมังสวิรัติ ธัญพืชหรือเนื้อสัตว์ควรจะหลีกเลี่ยง เราอาจเริ่มอดอาหารโดยกินผลไม้หรือซุป แล้วค่อยๆปรับการกินอาหารลดลง จนคุณหยุดกินโดยสิ้นเชิงและบรรลุถึงภาวะของการไม่ต้องกินอาหาร คำว่า อินนีเดีย มาจากศัพท์โบราณแบ่งได้เป็น 2 ประเภท อินนีเดียแบบธรรมชาติและอินนีเดียแบบวางแผน อินนีเดียแบบธรรมชาตินั้นก็เหมือนอย่างผมหลังจากที่ฝึกจี้กงไปถึงระดับหนึ่ง ผมก็เลิกกินอาหารไปโดยธรรมชาติ แต่ร่างกายผมยังคงได้รับการหล่อเลี้ยงเพื่อค้ำจุนชีวิต ส่วนคำว่าอินนีเดียแบบวางแผนหรือการใช้อาหารบางชนิดเพื่อปรับเปลี่ยนร่างกาย ขณะที่ยังต้องค้ำจุนชีวิตของคุณ แล้วค่อยๆลดการกินอาหารจนกระทั่ง คุณกลายเป็นผู้กินแต่น้ำ บางคนกระทั่งไม่กินน้ำ นี่เป็นการอดอาหารแบบวางแผน ที่จริงแล้วทั้งสองแบบก็ค่อนข้างคล้ายกัน มันเพียงแต่ขั้นตอนต่างกัน ถ้าคุณทำวิธีอดอาหารแบบวางแผนเพื่อยืดช่วงเวลาให้ยาว คุณจะเข้าสู่ภาวะของการอดอาหารแบบธรรมชาติ”

    อาจารย์เหลียวเป็นผู้ที่ไม่กินอาหารเมื่อไม่นานมานี้ เขาบรรลุถึงสภาวะนั้นได้อย่างไร? อะไรทำให้เขาพร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิต? ที่แน่ๆคือเขาเผชิญอุปสรรคมากมายในการเดินทาง

     “ผมเติบโตในฟาร์มในชนบท หลังจากเรียนจบ ผมก็ทำงานเป็นครู ต่อมาเนื่องจากเงินเดือนไม่พอจ่ายค่ายาจำนวนมหาศาลสำหรับผู้สูงอายุในครอบครัวของผม ผมจึงเริ่มทำธุรกิจ การทำธุรกิจต้องใช้แรงงานมากและลำบาก หลังจากทำงานหนักอยู่หลายปี ผมทรมานมากจากการเจ็บป่วยเนื่องจากอาชีพ”

     หลังจากที่ป่วย อาจารย์เหลียวกลายเป็นคนไข้ประจำของคลินิกแพทย์ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะไปหาหมอกี่ครั้ง สุขภาพของเขาก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดขาทั้งสองข้างของเขาก็ใช้การไม่ได้เนื่องจากโรคไขข้อเสื่อม ทางเลือกเดียวสำหรับเขาคือการผ่าตัดเขาทั้งสองข้าง หลังจากการทดสอบครั้งนี้ อาจารย์เหลียวก็เริ่มปฏิบัติ “จี้กงตามธรรมชาติ” เพื่อฟื้นฟูสุขภาพและเพื่อคุณภาพของชีวิต

      “ โดยทั่วไปจี้กงสอนให้คุณใช้จิตใจของคุณควบคุมชี่ ปกติแล้วเมื่อเราฝึกจี้กง ครูจะสอนเราให้เพ่งพลังชี่ของเราที่ท้องแล้วเคลื่อนมันไปยังจักระ การปฏิบัติแบบ “จี้กงตามธรรมชาติ”เราเรียกมันว่า “จี้กงตามธรรมชาติ”  เพราะมันเป็นไปเองตามธรรมชาติ มันมาและไปตามที่มันเห็นว่าเหมาะสม เราไม่ต้องใช้สมองไปควบคุมมัน ดังนั้นเมื่อชี่กำลังหมุนเวียนอยู่ทั่วร่างกายของคุณ คุณไม่ต้องควบคุมมัน เมื่อคุณเห็นอากัปกิริยาของจี้กงตามธรรมชาติ บางครั้งมันเป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อย การเคลื่อนไหวที่เด่นชัด บางคนหมุนเร็วมาก”

     เหตุใดอาจารย์เหลียวจึงเลือกการไม่กินอาหาร เขาเปลี่ยนมามีชีวิตอยู่โดยอาศัยเพียงพลังจักรวาลหรือพลังปราณได้อย่างไร? เรามาศึกษาดู อาจารย์เหลียวเกิดในปี 2502 ที่ผิงตง ฟอร์โมซา (ไต้หวัน) ในครอบครัวเกษตรกร หลังจากเรียนจบ เขาก็ทำงานเป็นครูอยู่ระยะหนึ่งแล้วเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเจ้าของกิจการ หลังจากทำงานหนักหลายปี เขาทุกข์ทรมานจากโรคที่เกิดจากงานที่ทำ แล้วในที่สุดขาทั้งสองข้างก็ใช้การไม่ได้เนื่องจากโรคไขข้อเสื่อมและต้องผ่าตัด หลังจากนั้นเขาเริ่มฝึก “ชี่กงตามธรรมชาติ” แล้วสุขภาพและคุณภาพชีวิตของอาจารย์เหลียวก็พัฒนาดีขึ้นอย่างมาก

     “เวลาที่คุณฝึก “ชี่กงตามธรรมชาติ” นี้มันจะเป็นไปตามลักษณะปัญหาสุขภาพของคุณ มันไปปรับระบบการหมุนเวียนในร่างกายคุณ จนกระทั่ง มันเคลียร์จุดที่ติดขัด เมื่อระบบหมุนเวียนในร่างกายราบรื่นขึ้น เราก็สามารถพูดถึงการฟื้นฟูสุขภาพของคุณ เราเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูสุขภาพ ตามมาด้วยการบำรุงความแข็งแกร่ง แล้วเราก็ขยับขึ้นไปที่การปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ เราทำไปทีละขั้นตอน หลังจากจบแต่ละช่วง ร่างกายและจิตใจของคุณรู้สึกสบายอย่างมาก พิษทั้งหลายถูกชำระล้างออกไปจากร่างกายของคุณ มีการเคลื่อนไหวที่เก็บสะสมชี่และในช่วงการสะสมชี่และการล้างชี่ ร่างกายของคุณจะปรับตัวเองและล้างพิษออกไป หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกสดชื่น ร่างกายและวิญญาณของคุณเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อคุณขยันฝึกปฏิบัติ การเจ็บป่วยของคุณนั้นก็จะหายไปทีละอย่าง”

     แล้วสภาวะของการอยู่โดยไม่กินอาหารเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติชี่กงตามธรรมชาตินี้อย่างไร?

      “ผมไม่ได้เรียนเพื่อการไม่กินอาหาร แต่เมื่อผมปฏิบัติชี่กงตามธรรมชาตินั้น มันก็เป็นไปเองโดยธรรมชาติ มันเริ่มเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทีแรก มันขะเป็นช่วงๆ ประมาณ 21 วัน หลังจาก 21 วันแล้ว ผมก็กินอาหารอีก แต่สองสัปดาห์หลังจากนั้น ผมก็หยุดกินอีก แล้วค่อยๆ เข้าสู่สภาวะของการอดอาหารโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเวลาที่ชี่ของคุณมีพลังอย่างที่เราพูดถึง เรื่องของจักรวาลหรือพิภพเล็กๆ เวลานี้คุณเป็นส่วนหนึ่งของพิภพเล็กๆ คุณสามารถค้ำจุนตัวคุณเองได้ ร่างกายของคุณสามารถเริ่มสะสมพลังงานภายนอก การกินอาหารจะลดน้อยลงและค่อยๆหยุดไปเอง ผมหยุดกินอาหารนานกว่าหกเดือนแล้ว ตอนนี้นานกว่าครึ่งปี”

     เมื่อร่างกายของเขาไม่ต้องการอาหารที่เป็นวัตถุอีกแล้ว อาจารย์เหลียวยังค่อยๆหยุดการดื่มน้ำในที่สุด มันมีขั้นตอนอย่างไรของ “การกินอากาศ” มันเป็นไปได้หรือของ “การกินอากาศ” มันเป็นไปได้หรือใน “การฝึกชี่กง” อาจารย์เหลียวบอกว่าความคิดเห็นบางอย่างของเขา

     “สิ่งที่เรียกว่า “การกินอากาศ” มันรวมถึงพลังในธรรมชาติและพลังงานที่มีอยู่ในบรรยากาศในต้นไม้ แสงแดด แสงจันทร์และอื่นๆ  พลังงานเหล่านี้เข้ากับการฝึกปีกู (การอดอาหารในชี่กง) และ “การกินอากาศ” อาหาร 3 มื้อสามารถสามารถลดลงเป็น 2 มื้อหรือหนึ่งมื้อและแล้วไม่กินเลย ถ้าหากคุณไม่หิว วิธีนี้เราสามารถเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศและทำตามระบบใหม่ในการรับสารอาหาร”

     อะไรคือกระบวนการของอินนีเดีย ในการฝึกชี่กง? มันมีสภาวะที่แตกต่างจากการไม่กินอาหารของผู้ที่ไม่ได้ฝึกชี่กงหรือไม่? มีอุปสรรคอะไรที่คนเราต้องเผชิญเพื่อการเป็นผู้กินอากาศ? อาจารย์เหลียวได้บรรยายให้แก่ผู้สื่อข่าวของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ในรายละเอียดที่ลึกซึ้ง

     “โดยทั่วไป อินนีเดียมีสภาวะที่แตกต่างกัน ทั่วไปแล้วใน 3 วันแรกของการไม่กินอาหารเป็นสภาวะที่ลำบากที่สุด เพราะคุณเปลี่ยนจากการเคยกินไปเป็นไม่กินอะไร ผมพูดจากจุดยืนของการเป็นผู้กินอากาศในระดับของชี่กงที่ไม่กินอาหาร 3 วันแรก คุณต้องต่อสู้กับนิสัยของการกินอาหาร แล้วตอนนี้คุณไม่กิน มันไม่ใช่ว่า คุณไม่ต้องการกิน แต่คุณจะรู้สึกไม่สบาย เวลาที่คุณกินและจะทิ้งมันไปหมด คุณไม่สามารถกลืนลงคอ คุณรู้สึกว่าอิ่มเหลือเกินเหมือนอาหารนั้นขึ้นมาถึงคอ ดังนั้นทั้งหมดมันทำให้คุณฟื้นฟูทุกอย่าง 3 วันแรกนั้น มันยากที่จะทนได้ เพราะเมื่อคุณเห็นคนอื่นกินอาหาร คุณก็อยากจะกินบ้าง แต่ร่างกายของคุณไม่ยอมรับ แล้วหลังจาก 3 วัน คุณจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง แล้วจากวันที่ 10 ถึง 13 คุณจะรู้สึกเหนื่อย เพราะในสภาวะนี้ร่างกายและจิตใจของคุณต้องการพัฒนาไปสู่ระดับที่ไม่กินโดยสิ้นเชิง เวลานั้นคุณจะเหนื่อยง่ายและค่อนข้างอ่อนแอ นี่คือภาวะที่เจ็บปวด แต่พอถึงวันที่ 14 ร่างกายจะคืนสู่ปกติอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมันก็ง่ายขึ้น คุณไม่มีปัญหาที่อยากจะกินอีกต่อไป มันมีแต่กินไม่ได้”

      อาจารย์เหลียวได้เล่ารายละเอียดว่าคนเราควรคาดหวังอะไรจากการเปลี่ยนแปลงนี้ รวมทั้งการแนะนำถึงวิธีจัดการบางอย่าง

      “ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 3 เราเรียกมันว่าช่วงล้างพิษ ในระหว่างช่วงนี้เนื่องจากคุณหยุดกินอาหาร ท้องและลำไส้ของคุณว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงและพิษทั้งหลายจะถูกล้างออกจากร่างกายของคุณ ดังนั้นคุณอาจจะมีอาการท้องเสียบ่อย มันมีสภาวะหลายอย่างในช่วงที่ล้างพิษ เช่น ขับถ่ายหนักเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลดำ สีของถ่ายเบาจะเป็นสีคล้ำและข้น ร่างกายของคุณมีกลิ่นแรงและไม่น่าพอใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการล้างพิษและชี่ที่ไม่ดีถูกขับออกจากผิวหนังและจักระของคุณ ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผู้คนจะได้กลิ่นและที่กระจายออกจากตัวคุณ ซึ่งคล้ายกับกลิ่นคนแก่ แต่กลิ่นตัวของคุณอาจจะแรงกว่านั้นก็ได้ บางครั้งคุณจะเห็นของเหลวข้นๆออกมาจากตัวคุณ แม้ลมหายใจของคุณก็มีกลิ่นเหม็นไม่มีทางใดจะระงับมันได้ เพียงแต่ล้างปากของคุณให้บ่อยครั้งขึ้น ช่วงของการล้างพิษตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 7 คล้ายกับการล้างทุกสิ่งทุกอย่างออกจากโกดัง คุณต้องกำจัดทุกอย่างที่ไม่ต้องการ นี่เป็นสภาวะที่สอง เริ่มต้นในวันที่ 3 แล้วภายในสัปดาห์แรกหลังจากที่ล้างพิษแล้วซึ่งคือสิ่งที่เราเรียกว่าช่วงทำความสะอาด สิ่งที่ไม่ต้องการที่ถูกสะสมไว้ ทั้งหมดจะถูกกำจัดทิ้งไป”

      เมื่อล้างพิษแล้วก็ก้าวหน้าไปสู่สภาวะของการทำความสะอาด

     “ในช่วงนี้ร่างกายของคุณเริ่มเผาผลาญไขมันและสารอาหารที่เกินความจำเป็น หากคุณมีน้ำหนักมากเกินไป ไขมันส่วนเกินจะถูกเผาผลาญไปอย่างช้าๆ ภายใต้สภาวะนี้ ดังนั้น คุณอาจจะพบกับความรู้สึกร้อนและรู้สึกร่างกายอ่อนแอ ปากของคุณจะไม่รู้รสชาติ ในสภาวะตรงนี้คุณอาจจะใส่อาหารในปากของคุณได้บ้าง เช่น ผักที่มีรสเผ็ด เพียงเพื่อให้คุณรู้สึกดีขึ้น นี่คือที่เรียกว่าช่วงการทำความสะอาด”

      มีสภาวะที่แตกต่างกันอย่างไรในการกลายเป็นผุ้กินอากาศ? เราเรียนรู้จากอาจารเหลียวว่าในสภาวะแรกเรียกว่าการล้างพิษ ในช่วงนี้ร่างกายของเราจะขจัดพิษที่สะสมมาตลอดชีวิตของเราจนถึงจุดนี้ มันยังเป็นสภาวะที่ เราเริ่มหมดความรู้สึกอร่อยและไม่สามารถกินอะไรได้เลย แม้ว่าเราถูกยั่วให้กิน เมื่อเราผ่านกระบวนการของการอยู่โดยไม่กินอาหาร เราควรระวังอะไรบ้างและเราจะเอาชนะความท้าทายที่เกิดขึ้น แต่ละครั้งได้อย่างไร?

      “คุณอาจจะท้องเสีย มันเป็นหนึ่งในสภาวะของการล้างพิษ คุณควรดื่มน้ำมากขึ้น ในช่วงนี้และคุณต้องทำตามเหมาะสม การที่ดื่มน้ำมากขึ้นไม่ได้หมายความว่าจะดื่มไม่หยุด ให้ดื่มเพียงแค่พอเพราะคนเราเสียน้ำในร่างกายหลังจากที่ท้องเสีย แบบนี้ไม่ดี ดังนั้นระหว่างอดอาหารเราต้องดื่มน้ำตามที่จำเป็นอย่างที่ผมพูดมาแล้ว ”วิธีที่ปราศจากวิธี” ขอให้ใช้อย่างชาญฉลาด ดังนั้นคุณต้องทำตามที่เหมาะสม ระหว่างการล้างพิษ เราอาจรู้สึกเหนื่อยอย่างชัดเจน แต่อย่าไปคิดว่าคุณป่วย มันเป็นปฏิกิริยาธรรมดา เนื่องจากการล้างพิษและการเริ่มต้นใหม่ แน่นอนที่คุณจะรู้สึกเหนื่อยและอ่อนแอ ถ้าคุณพบกับสภาวะอะไรที่พิเศษในระหว่างอดอาหาร คุณอาจจะหยุดได้ชั่วขณะ ถ้าครอบครัวของคุณคิดว่าคุณป่วย คุณควรอธิบายให้พวกเขาว่านี่ไม่ใช่การที่กินไม่ได้ อินนีเดียคือวิธีที่พัฒนาศักยภาพของคนเรา คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนแก่ครอบครัว อย่าทำให้พวกเขารู้สึกรู้สึกสับสน”

      เมื่อเราผ่านขั้นตอนแรกซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน ร่างกายของเราเริ่มทำความสะอาด ในสภาวะทำความสะอาดนี้ร่างกายเราจะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกินหรือไม่จำเป็น เช่น ไขมันส่วนเกิน สภาวะต่อไปคือการปรับสภาพ

     “ในระหว่างช่วงการปรับสภาพ เราปรับอะไรก็ตามที่จำเป็นเมื่อคุณอยู่ในสภาวะนี้ คุณจะรู้สึกว่าร่างกายของคุณ เบาขึ้น เพราะอะไร? เพราะคุณเพิ่งเคลียร์คลังเก็บของของคุณ และเผาผลาญไขมันส่วนเกินออก ดังนั้น คุณจะรู้สึกเบาขึ้น เมื่อคุณอยู่ในช่วงของการปรับสภาพ คุณอาจรู้สึกผิวหนังที่หย่อนขึ้นนั้น กระชับขึ้นเนื่องจากการเผาผลญไขมัน ดังนั้น ในช่วงการปรับสภาพนี้ ผิวหนังเต่งตึงขึ้น หมายถึงว่ารอยเหี่ยวย่นจะค่อยๆหายไป รอยตีนกาบางแห่งของคุณอาจหายไปในระหว่างช่วงนี้”

     การเริ่มสภาวะที่ปรับสภาพร่างกายของเรายังคงแสดงออกถึงประโยชน์จากการไม่กินอาหาร

      “หลังจากช่วงการปรับสภาพนี้ ในวันที่ 15 สภาวะต่อไปเรียกว่าช่วงฟื้นฟู หลังจากที่ “คลัง” เตรียมตัวเสร็จแล้วและปรับสภาพแล้ว ตอนนี้เราจะใช้งานมัน นี่เป็นการเริ่มต้นการอดอาหารที่แท้จริง เมื่อเราวางรากฐานของเราใหม่ ตอนนี้เราจะใช้งานมัน ณ จุดนี้ ไม่สำคัญว่าคุณฝึกชี่กงหรือไม่หรือคุณปฏิบัติธรรมวิถีใดก็ตาม คุณจะได้รับผลสองเท่าโดยใช้ความเพียรครึ่งเดียว พูดอีกอย่างคือคุณสามารถได้รับผลโดยใช้ความพยายามนิดเดียวเท่านั้นและสภาพร่างกายของคุณก็อยู่ในระดับที่ดีที่สุดของมัน ถ้าคุณมีปัญหาด้านสุขภาพ มันจะถูกกำจัดออกไปในช่วงการชำระล้าง การเจ็บป่วยที่เรื้อรังก็จะถูกปรับสภาพและถูกซ่อมแซมระหว่างช่วงการฟื้นฟู ดังนั้นสภาพร่างกายของคุณจะพัฒนาขึ้น คุณจะรู้สึกแข็งแรงขึ้น และมีพลัง คุณอยากนอนน้อยลง คุณเพียรพยายามเพียงนิดหน่อยแต่ได้รับผลดีมาก”

      คล้ายกับคนอื่นๆที่ไม่กินอาหาร เช่น เจริโค ซันไฟร์ ,พานทันลุค,หรืออากาฮี เมื่อเราผ่านขั้นตอนของการอดอาหาร ความอยากในรสชาติอาหารจะเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์มาเป็นพืชผัก และในที่สุดเราสามารถอยู่ด้วยพลังของจักรวาลหรือพลังปราณ ณ จุดนี้ตามที่อาจารย์เหลียวกล่าว ร่างกายของเราจะไม่อยากและจะปฏิเสธอาหารวัตถุไม่ว่าในรูปแบบใด

      “โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งเป็น 3 ประเภท ประเภทแรกคือเราลดการบริโภคอาหารและเรากินน้อยลง เรายังกินและดื่ม แต่ไม่กินเนื้อสัตว์และธัญพืช(ข้าว ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฯลฯ) จำนวนของอาหารที่กินก็เล็กน้อยมาก บางทีเป็นผักนิดหน่อยและผลไม้ก็พอแล้ว มีตัวอย่างหนึ่ง อาจารย์กวงชิน ในอดีตผู้กินแต่ผลไม้ ประเภทที่สองคือหยุดกินโดยสิ้นเชิงเพียงดื่มน้ำเท่านั้น ประเภทที่สามคือผู้กินอากาศ คนหนึ่งหยุดการกินโดยสิ้นเชิงแบบสุดท้ายนี้ดีที่สุด ไม่ว่าเป็นประเภทใด คุณจะไม่รู้สึกหิว จิตคิดของคุณจะเฉียบแหลม สภาพร่างกายของคุณก็ดีมาก คุณไม่ต้องนอนมากและร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดของมัน คุณจะดูดีตามธรรมชาติ คุณจะแข็งแรงและสุขภาพดี และแล้วผลก็คือคุณอายุยืน ระหว่างที่อดอาหารอาการของโรคทางสุขภาพจะปรับดีขึ้นหลายๆ อย่าง เช่น เบาหวาน โรคอ้วนและไขมันในเลือดสูง อย่างตัวผมเองเคยเป็นโรคเก๊าท์มาก่อน ถ้าผมกินถั่ว แม้แค่เม็ดเดียว มันจะทำให้ผมทรมานทั้งคืน ในช่วงที่ผมพยายามอดอาหารขั้นที่สอง ผมบำบัดโรคเก๊าท์หายโดยสิ้นเชิง”

     ด้วยการไม่กินอาหาร เราลดการพึ่งพาวัตถุในโลกนี้ ด้วยพลังของจักรวาลหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา เราสามารถเพ่งความสนใจมากขึ้นในพระเจ้าพลังแห่งจักรวาล วิธีเช่นนี้การอดอาหารจึงสามารถมีผลต่อการบำเพ็ญของเรา

     “การอดอาหารมีประโยชน์มาก สามารถช่วยยกระดับทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ดังนั้นผู้บำเพ็ญจิตหลายๆ คนใช้การอดอาหารมาช่วยให้บรรลุถึงการรู้แจ้ง ตัวอย่างเช่น คริสเตียนใช้การอดอาหารและการภาวนามาช่วยพัฒนาจิต และรับรู้การชี้ทางของพระเจ้า เราลองมาดูนักปราชญ์ในอดีต ศาสนาพุทธ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ทรงผ่านช่วงของการอดอาหาร ศาสนาคริตส์ พระเยซูคริสต์ก็ทรงมีประสบการณ์ช่วงของการไม่กินอาหาร ฮิบโปเครติส บรรพบุรุษทางการแพทย์ของกรีกโบราณเชี่ยวชาญในเรื่องการบำบัดด้วยอาหารและแนะนำคนไข้ของเขาให้รักษาการเจ็บป่วยด้วยการอดอาหาร โซเครติสก็ยังใช้การอดอาหารทำความบริสุทธิ์และยกระดับวิญญาณของเขา ดังนั้นนี่เป็นวิธีที่ดีมากที่จะแนะนำให้ทุกคน แต่คุณต้องเข้าใจให้ชัดเจนก่อนถึงกระบวนการทั้งหมด อย่าพยายามอดอาหารทันทีโดยไม่มีความเข้าใจ มันจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ”

      สำหรับผู้ที่ต้องการอยู่โดยไม่กินอาหาร แม้ว่าช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม อาจารย์เหลียวได้กรุณาให้เคล็ดลับและข้อแนะนำที่มีประโยชน์มาก สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฝึกอดอาหารเป็นช่วงเวลายาวนาน เขาก็แนะนำอาหารพืชผักปราศจากเนื้อสัตว์

     “กระบวนการเรียนรู้ในการอดอาหารจำเป็นต้องรู้บางอย่าง สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือ ถ้าหากคุณไม่ต้องการจะเรียนรู้การอดอาหาร คุณควรกินให้น้อยลงเพราะมันจะดีต่อสุขภาพของคุณ คุณอาจจะไม่ต้องการฝึกการอดอาหาร แต่คุณควรลดการบริโภคอาหารเพราะว่าการกินมากเกินไปจะสะสมอาหารมากเกินไปไว้ในท้องของคุณและคุณต้องย่อยทั้งหมดนั้นซึ่งจะต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมาก นั่นคือสาเหตุที่เวลาคุณกินอิ่มเกินไป คุณรู้สึกง่วงนอน มีข้อแนะนำมากมายบอกว่า “กินอิ่มแค่ 80%” ให้ระบบย่อยของคุณมีเวลาว่างมากกว่า 10 ชั่วโมง เพื่อให้ก๊าซที่สะสมสามารถระบายออกได้ ในช่วงนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือเป็นมังสวิรัติและเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ เพราะการเป็นมังสวิรัติจะช่วยระบบเผาผลาญอาหารและสร้างสมดุลให้แก่ระบบประสาทอัตโนมัติของเราและช่วยให้มันอยู่ในสภาพที่ดีพร้อม ทุกคนรู้ว่าการกินเนื้อสัตว์ทำให้เรามีความรู้สึก “เลี่ยน” และก่อให้เกิดโรคไขมันอุดตัน ดังนั้นคนเป็นมังสวิรัติมีเลือดที่เป็นด่างอ่อนๆ ทำให้กล้ามเนื้อของพวกเขาและส่วนอื่นๆ ของร่างกายไม่เหนื่อยง่าย จิตใจของพวกเขาก็แจ่มใส และพวกเขาไม่มีการเซื่องซึม อีกอย่างหนึ่งคือ เนื้อสัตว์ถูกฆ่า ความเกลียดชังจะสะสมอยู่ในเนื้อนั้น เมื่อคุณบริโภคเนื้อ ความเกลียดชังก็เปลี่ยนเป็นสารพิษซึ่งมันไม่ดีเลยสำหรับร่างกายของคุณ”

      ดังนั้นขั้นตอนอะไรที่จะลดการกินอาหารของเราได้ เพื่อจะพัฒนาสุขภาพ?

     “เราควรลงมือ ดังนี้ คุณสามารถค่อยๆ เลื่อนเวลาอาหารค่ำ ตัวอย่างเช่น คุณเลื่อนจากสองทุ่มเป็นหนึ่งทุ่มจากนั้น 6 โมงเย็น คุณสามารถ คุณค่อยๆ เลิกหลังเที่ยง ดังนั้น คุณกินวันละ 2 มื้อ กินตอนเช้าและตอนบ่าย ไม่ใช่กลางคืน มันอาจจะยากในตอนเริ่มต้น คุณสามารถกินผลไม้หรือดื่มอะไรบางอย่างเป็นอาหารเสริมในเวลากลางคืน แล้วคุณจะค่อยๆชินกับการไม่กินอาหารค่ำ แล้วคุณจะสุขภาพดีขึ้น หลังจากคุณกินอาหารเช้าและกลางวัน คุณสามารถพักระบบย่อยของคุณ มันจึงจะสามารถฝึกการขับถ่ายของมัน วิธีนี้ร่างกายและจิตใจของคุณมีควาสมดุล มันจึงดีกว่าสำหรับคุณ”

       ทำอย่างไร ถ้าเราต้องการหยุดกินอาหารและเรียนรู้วิธีอยู่โดยไม่กินเป็นเวลานานๆได้? อาจารย์เหลียวได้อธิบายกระบวนการและเคล็ดลับรายละเอียด

     “ขั้นแรกก่อนลองอดอาหาร คุณต้องหาข้อมูลความรู้ของการอยู่โดยการไม่กินอาหารและทำความเข้าใจให้ชัดเจน เพื่อที่คุณจะไม่ต้องตกใจแล้วก็ให้ตัวคุณเข้าสู่สภาวะอดอาหารโดยธรรมชาติ อย่าบังคับตัวเอง เมื่อร่างกายของคุณไม่พร้อมแล้วคุณบังคับมัน คุณมีแต่จะทำร้ายตัวคุณเอง หลังจากที่คุณเข้าสู่ภาวะอดอาหารคุณต้องคอยสำรวจปฏิกิริยาของร่างกายคุณแต่ละอย่างและทำความเข้าใจสภาวะนั้น แล้วคุณจะสามารถอดอาหารได้โดยปลอดภัยและมีสุขภาพดี คุณต้องจัดการอย่างพิถีพิถันระหว่างงานของคุณ ครอบครัวและสภาพจิตใจของคุณเอง มันจำเป็นต้องมีการจัดการในทุกๆด้าน ถ้าคุณมีโอกาสอยู่โดยไม่ต้องกินอาหาร คุณต้องคว้าจับมันไว้เพราะมันดีมากสำหรับร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของคุณ สุดท้ายที่ผมอยากพูดถึงคือการอดอาหารโดยอนุโลมและการอดอาหารโดยสิ้นเชิง การอดโดยสิ้นเชิงคือการเลิกกินอาหารโดยสิ้นเชิง การอดโดยอนุโลมคือการกินและดื่มนิดหน่อยเป็นครั้งคราว บางครั้งการอดอาหารจะมี 2 แบบผลัดกัน เราไม่ควรยืนกรานอย่างใดอย่างหนึ่ง เราควรปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าบังคับมันด้วยสมองของเรา มันจะส่งผลที่เป็นลบแก่เรา”

      “เรากินเนื้อสัตว์มากเกินไป หลงใหลเคยชินกับการกินเนื้อสัตว์ ตอนนี้เราก็เห็นผลของภาวะโลกร้อนบนโลก การเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะโลกร้อน รายงานล่าสุดทาฃวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ก่อให้เกิดการแพร่ก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 50% ซึ่งมากกว่าการแพร่ก๊าซของการขนส่งทั้งหมดมารวมกัน มีการประชุมสัมนาระดับนานาชาติหลายครั้งที่ยกเรื่องภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องแรกของวาะ ตัวอย่างเช่น โปเอ้า ฟอรั่ม ฟอร์เอเชีย มีหลายคนที่ประกาศอย่างเปิดเผยถึงการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ การลดการกินเนื้อสัตว์จะลดการแพร่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นี่เป็นทางแก้ปัญหาวิธีหนึ่งในการลดภาวะโลกร้อน เนื่องจากเราพูดคุยเรื่องนี้มามาก เราควรทำความเข้าใจว่าการอดอาหารเป็นทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้ เพื่อนๆของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ในช่วงภาวะโลกร้อนนี้และวิกฤตการณ์ของโลก เราควรลดการกินเนื้อสัตว์ลงและเดินในทิศทางของการเป็นมังสวิรัติ หากคุณไม่ต้องการฝึกการอดอาหารแบบชี่กงเหมือนผม ผมอยากแนะนำว่าการลดการกินเนื้อสัตว์และหันมาเป็นมังสวิรัติและลดอาหารของคุณ จาก 3 เป็น 2 มื้อต่อวัน มันไม่เพียงแค่ดีต่อร่างกายของคุณ มันยังดีต่อสิ่งแวดล้อม ขอบคุณทุกๆคน”

      ขอบคุณอาจารย์เหลียวในการสละเวลาแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเราในเรื่องการอยู่โดยไม่กินอาหาร คำอธิบายของคุณถึงสภาวะของอินนีเดีย ทำให้ผู้ชมของเรามีความเข้าใจมากขึ้นในกระบวนการของการอยู่ด้วยพลังปราณ

				
28 กันยายน 2553 02:47 น.

พลังปราณ....

คีตากะ

      ในหลายๆ พระสูตรมักล่าวถึงเสมอว่าร่างกายมนุษย์เป็นวิหารของพระเจ้า อย่างไรก็ตามมันเป็นเอกสิทธิ์ที่หาได้ยากสำหรับแต่ละจิตวิญญาณที่จะได้รับวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระเจ้าพำนักอยู่นี้ เพราะมันคือพระพรโดยแท้จริงในการเกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ มีหลายครั้งที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่หาได้ยากนี้ “การได้มาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์นั้นยากลำบาก คุณต้องมีคุณสมบัติของมนุษย์เพียงพอ คุณต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อแม่กับสังคมกับผู้คนรอบข้างของที่ที่คุณเกิด มันยากมาก การเป็นมนุษย์คุณต้องมีบุญกุศลบางอย่าง คุณต้องทำบางอย่างที่ดีเอาไว้แล้วในอดีตเพื่อที่จะสามารถมาเกิดในร่างกายมนุษย์ได้” (อนุตราจารย์ชิงไห่)
     ในฐานะวิหารมีชีวิตของพระเจ้า ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นอย่างครบถ้วนพร้อมกับความมหัศจรรย์ต่างๆซึ่งสามารถตื่นขึ้นในบุคคลเหล่านั้นที่จิตวิญญาณตระหนักรู้และมีศรัทธาเต็มเปี่ยมต่อพระผู้สร้างของทุกชีวิต “อินนิเดีย” เป็นภาษาลาตินแปลว่า ”การอดอาหาร” คือความสามารถของมนุษย์ในการอยู่โดยปราศจากอาหาร ตั้งแต่สมัยโบราณกาลมักจะมีบุคคลซึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังปราณหรือพลังชีวิต ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า อินนิดิเอทหรือผู้ที่มีชีวิตอยู่โดยไม่กินอาหารสามารถดึงเอาพลังงานจากธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงตนเองได้ “พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยพลังชี่จากพื้นดินหรือจากป่า จากดวงอาทิตย์ จากอากาศ พวกเขานำทั้งหมดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์หรือพวกเขาอยู่ด้วยความรัก ด้วยความศรัทธาเท่านั้น” (อนุตราจารย์ชิงไห่ ) บุคคลเหล่านี้ แต่ละคนเรียกว่าผู้กินอากาศ ผู้กินแสงอาทิตย์ ผู้กินแต่น้ำหรือผู้อาศัยพลังปราณ พวกเขามาจากทุกชนชั้น จากหลากหลายวัฒนธรรมและจากทุกมุมโลก ความจริงมีความเป็นไปได้และมีปาฏิหาริย์ในชาตินี้ เพราะพระผู้สร้างผู้เมตตาได้ออกแบบไว้สำหรับเราอย่างไม่สิ้นสุด เพียงแต่เราต้องเชื่อมต่อกับภายในเพื่อรู้จักความอุดมสมบูรณ์ของเราซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ด้วยความรักได้แนะนำเรื่องราวนี้ทุกสัปดาห์ในโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์เพื่อแนะนำบุคคลเหล่านั้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้ที่ได้เลือกใช้ชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่กินอาหาร ขอให้เรื่องราวทางจิตวิญญาณของพวกเขาติดตรึงใจคุณ ขอให้ทุกหัวใจเปิดกว้างและขยายมุมมองออกไป เรื่องราวของ ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้กินอากาศในรายการระหว่างอาจารย์และศิษย์ รายการนี้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของลัทธิกินอากาศหรือการอยู่โดยไม่กินอาหาร มันไม่ใช่การสอนที่สมบูรณ์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าพยายามหยุดกินอาหารโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ
         
      “สวัสดีครับ คุณคือชีวิตที่เป็นแสง ผมอยากให้คุณมีโอกาสพบกับมันอีกครั้งหนึ่ง มีประสบการณ์ใหม่กับมันว่าเราจะสามารถหล่อเลี้ยงโดยพลังปราณ โดยแสง โดยชี่ได้อย่างไร? เราจะสามารถใช้มันมารักษาตัวเราเองได้อย่างไร? และเราจะกลับไปยังที่มาของเราได้อย่างไร? ซึ่งเราที่เป็นชีวิตของสวรรค์มีความคุ้นเคยกับมัน ตัวผมเองเป็นโค้ชฝึกผู้กินอากาศ ผมคอยดูแลคนที่ต้องการผ่านกระบวนการเป็นผู้กินอากาศซึ่งเป็นที่นิยมกันโดยจัสมูฮีน สุภาพสตรีชาวออสเตรเลีย ซึ่งการอยู่ด้วยลมปราณนี้ เราสามารถเรียนรู้ได้”

     ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ เป็นนักเคมีและนักบำบัดโรคโดยไม่ใช้ยา เขายังเป็นบริทเทเรียน ผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลาหลายปี การอยู่แบบกินอากาศไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยคิดมาก่อนตั้งแต่เติบโตมา

     “ผมโตที่เมืองฮาโนเวอร์ทางตอนเหนือของเยอรมันที่ซึ่งผมเรียนวิชาเคมี แล้วผมเริ่มทำงานกับสหประชาชาติเป็นเวลา 2 ปีในการทำโครงการ แต่หลังจาก 2 ปี ผมคิดว่าผมอยากเป็นนักบำบัดโดยไม่ใช้ยา แล้วครึ่งปีต่อมาผมก็เริ่มที่โรงเรียนเนเจอร์โรพาท ใช้เวลาอยู่หลายปี มันก็ตลกนะ ผมเคยสนใจในเรื่องยามาก่อน แต่เนื่องจากตอนที่เป็นเด็กเวลาที่ผมเห็นเลือดหรือเข็มแล้ว ผมเป็นลม ดังนั้นผมไม่เคยคิดจะเรียนเรื่องยา แต่ผมเรียนด้านเคมี ผมก็กลับมาหาเรื่องยาอีก คุณต้องเรียนหลายอย่างและเข้าคอร์สต่างๆ  ในวิธีการแบบไม่ใช้ยา สำหรับเรื่องส่วนตัวที่คุณต้องการทำแล้วนี่คือส่วนใหญ่ที่ผมได้นำมาใช้ในเวลานี้ ในฐานะเป็นผู้รักษาโรคโดยไม่ใช้ยา ยกตัวอย่าง การฝังเข็ม ผมไปเรียนที่ศรีลังกา ผมหัด “สัมผัสเพื่อสุขภาพ” ซึ่งเป็นการทดสอบกล้ามเนื้อ ผมเรียนอยู่หลายคอร์สที่นั่น ผมก็กลายเป็นครูอยู่ที่นั่น”

     นักปฏิบัติด้านสุขภาพที่ไม่ธรรมดา ผู้ที่ดูแลคนไข้อย่างประณีต ดร.ชไนเดอร์พยายามให้พวกเขาได้รับผลในทันที

      “ผมรักคนไข้ของผม แต่ผมไม่อยากให้เขามาขึ้นอยู่กับผม เวลาที่คุณปวดหลัง คุณอาจจะใช้การบำบัด 10 ข้อแล้วมันก็ดีขึ้น แต่ผมไม่อยากพบพวกเขา 10 ครั้ง ทำไมหรือ? เพราะผมต้องการให้พวกเขาได้รับผลเต็มที่ตั้งแต่นาทีแรก ดังนั้นวิธีการของผมคือเวลาที่พวกเขามาหา ผมจะพูดคุยกับพวกเขาถามความต้องการก่อน แน่นอนที่ร่างกายกำลังร้องไห้อยู่เพราะว่าคุณเจ็บปวด ดังนั้น ผมจะทำบางอย่างสำหรับร่างกาย แต่ผมก็พยายามหาต้นเหตุของมันว่าอะไรผิดปกติ การทำอย่างนี้คนไข้อาการดีขึ้นเร็วมาก (ถาม : คุณอยากให้พวกเขาช่วยเหลือตนเองมากกว่า?) ครับ ถูกต้อง ผมหมายถึงผมไม่สามารถรักษาพวกเขา ไม่มีทางเลยบางทีอาจเป็นพระเจ้าผมก็ไม่รู้ แต่ว่ามีบางอย่างขาดหายไปหรือบางอย่างที่ผิดปกติ แล้วเมื่อคุณทำให้มันปกติได้หรือพวกเขาพบทางที่ถูกต้อง พลังงานทั้งหมดนั้นก็ไหลลื่นและพวกเขาก็อาการดีขึ้นหรืออย่างน้อยพวกเขารู้ว่ากำลังทำอะไร บางครั้งพวกเขาก็ไม่อยากเปลี่ยน บางคนก็ต้องการจะขึ้นอยู่กับคนอื่นหรือพวกเขาต้องการยึดติดอยู่กับเรื่องราวเก่าๆของพวกเขามันก็เป็นไปได้ ดังนั้นปล่อยพวกเขา เมื่อใดที่พวกเขาพบมัน พวกเขาก็จะไม่ยึดติดอยู่กับเรื่องพวกนี้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่ยุ่งยากอีกต่อไป พวกเขาจะเห็นว่า นั่นคืออิสรภาพพวกเขาสามารถยึดติดมันหรือไม่ยึดติดก็ได้ มันเหมือนคุณจะดื่มกาแฟหรือไม่ดื่มก็ได้ แต่คุณไม่ต้องการดื่ม”

      เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่กินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ค้นพบการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ โดยบังเอิญ มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำเขาให้รู้จักข่าวสารของจัสมูฮีนเรื่องการอยู่ด้วยแสง (ถาม: คุณเข้ามาอยู่ในหนทางหนทางของการเป็นบริทเทเรียนได้อย่างไร?)

      “ผมมีเพื่อนที่ดี เขาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ แต่เล็กๆ เขามีหนังสือของเขาเองและอื่นๆ อีกไม่กี่เล่ม เขาไปที่คอร์สฝึกสมาธิและก็มีบางคนที่ไม่กินอาหารซึ่งอาจจะเป็นช่วงอดอาหาร แต่เขามีความรู้สึกที่ดีกับคนอื่นๆ และเขาก็พบว่ามีบางอย่างที่แตกต่าง เขาจึงถามเธอ เธอก็เลยให้ที่อยู่ซึ่งเป็นของชาเมนฮาร์ลีย์ มันกล่าวถึงหนังสือของจัสมูฮีนและเธอก็ส่งไม่กี่หน้ามาให้ แต่ข้างในนั้นถูกซีลปิดไว้และมันก็เป็นเพียงการแนะนำบางอย่าง มีคำอธิบายที่เรารู้ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงใน 21 วัน คือไม่ดื่ม 7 วัน 7 วันต่อมาดื่มแต่น้ำผลไม้เจือจางเท่านั้นและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง เขาจึงเอาให้เพื่อนคนหนึ่งดูและหลังจากนั้นหนึ่งหรือสองเดือนเพื่อนคนนั้นก็เริ่มทำในเวลาเดียวกัน เขาก็ติดต่อกับจัสมูฮีน เธอมาที่ยุโรปเพื่อให้การบรรยาย เขาพยายามหาทางติดต่อ เธอปรากฏตัวทางทีวี รายการทอร์คโชว์แล้วเขาก็จัดสัมนาและแน่นอนเพราะผมเป็นเพื่อน ผมจึงมีข้อมูลทุกอย่าง แล้ววันหนึ่งเขาก็มาและบอกว่า “คุณสามารถจัดสัมนากับเธอและผมได้ไหม?””

      บางทีนั่นอาจเป็นโอกาสหรือเราอาจเรียกว่า “โชคชะตา” ตั้งแต่นั้นมา ดร.ชไนเดอร์ก็เรียนรู้เรื่องของความเป็นไปได้ในการอยู่โดยไม่กินอาหาร ทุกอย่างดูเหมือนลงตัวหมดทำให้เขาสามารถเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงใน 21 วัน

      “ผมไม่ได้ปฏิบัติขั้นตอนนั้น ผมไม่รู้จักใครเลย เวลานั้นและในการสัมนาที่เราจัดกันนั้นมีคนให้ข้อมูลเราจำนวนมาก พวกเขาก็ถามเหมือนกัน ดังนั้นผมต้องค้นหาทุกอย่างแล้วผมก็ไปสัมนาอีกแห่งหนึ่งเพื่อเตรียมตัวผมเองและเพื่อดูว่าผู้คนมีการสนองตอบอย่างไร แล้วในสัมนานั้น เธอพูดมากมายหลายอย่าง 
“ผมก็บอกว่าโอเค นางฟ้าและผู้นำด้านจิตวิญญาณ ไม่ว่าคุณเป็นใครก็ตาม ถ้าเรื่องนี้จริงก็ให้ผมรู้และถ้าผมควรทำในกระบวนการนี้ก็บอกผมมา” แต่ผมต้องใช้เงิน เพราะ 3 สัปดาห์ผมทำงานไม่ได้ ผมหาเงินไม่ได้ และผมต้องใช้เวลาเพราะผมจัดสัมนาหลายแห่ง และผมจะต้องจัดอีกหลายแห่ง มันไม่มีเวลาเลย แต่เมื่อผมกลับมาจากเบอร์ลิน ผมเปิดดูไดอารี่ มันมีเวลา 3 สัปดาห์ ในฤดูร้อน ตอนนี้พูดได้ว่าผมมีเวลาแล้ว และวันพฤหัสต่อมามีคนไข้คนหนึ่งเธอบอกว่า ”คุณช่วยฉันมาก ฉันอยากให้ของขวัญคุณ” “ครับซื้อซีดีหรือดอกไม้ให้ผมก็ได้” แต่เธอเชิญผมไปทานอาหารและก็ให้หนังสือมาเล่มหนึ่ง เธอบอกว่า ”อย่าเพิ่งเปิดที่นี่” ผมไปเปิดดูที่บ้านมันมีเงินจำนวนมากอยู่ในนั้น นั่นก็คือที่มาของเรื่องว่าผมมีทุกอย่างแล้ว แล้วผมก็ทำตามวิธีการนั้นในฤดูร้อนนั้นเลย ผมเริ่มต้นทำ นั่นเป็นก่อนที่เราจะจัดสัมนาจัสมูฮีน ดังนั้นผมแช่อยู่ในพลังงานของการอยู่กับแสงผมหยุดไม่ได้(ถาม : นั่นเป็นเมื่อไร?) มันเป็นฤดูร้อนของปี 2541 ที่ผมฝึก ผมทำอยู่ที่บ้านเพราะไม่มีสิ่งแวดล้อมไหนที่ผมรู้จักที่มันเหมาะสมกว่า” 

      จากประสบการณ์ส่วนตัวของเขา ดร.ชไนเดอร์มีคำแนะนำสำหรับคนที่อาจจะสนใจในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือฟังหัวใจของคุณเอง

      “ผมรู้ว่าในการเลือกนี้หรือระเบียบการเตรียมตัวมันก็ง่ายๆแบบนี้ คือถ้าหัวใจคุณร้องเพลง ครั้งหนึ่ง จัสมูฮีนบอกว่าถ้าหัวใจคุณร้องเพลงนั่นก็คือสิ่งที่ถูกต้องสำหรับคุณถ้าคุณมีข้อสงสัยก็ทิ้งมันไปหรือรอสักหน่อย กระบวนการนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคนคุณไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามีเสียงเรียกร้อง คุณสามารถทำขั้นตอนที่จำเป็นและมันมีหลักฐานเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ปราณคืออะไร? ผมต้องบอกว่า ผมไม่รู้แน่ชัด ผมมีแต่รู้สึกถึงมัน ผมสามารถได้รับมัน ผมรู้ว่ามันมีอยู่ แต่ผมรู้สึกและอธิบายได้เหมือนที่ผมถามคุณว่า ไฟฟ้าคืออะไร? ปราณยังเรียกได้อีกหลายคำ เช่น ชี่ หรือออด เมื่อเร็วๆนี้ผมเห็นรายชื่อยาวเหยียดมันมีหลายคำเนื่องจากวัฒนธรรมต่างๆซึ่งชนชาติและกลุ่มวัฒนธรรมส่วนใหญ่จะรู้จักมันในชื่อของ ชี่ ปราณ ออดและมันเป็นไปได้จริงๆที่มีชีวิตอยู่ได้โดยมันและนี่ก็เป็นหัวข้อที่ผมอยากพูดถึงในวันนี้ ในเยอรมันที่นี่เราเรียกมันว่า “Lichtnahrung” (อยู่ด้วยแสง) เราเพียงแต่ใช้ภาษาเยอรมันในบรรดาคำศัพท์อื่นๆความเห็นของผมคือในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์นานมาแล้วที่เรารู้เรื่องนี้กัน วิธีการอยู่ด้วยพลังปราณ วิธีการอยู่ด้วยแสง วิธีที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย การอยู่ด้วยแสงหมายถึง ผมจะชี้ขึ้นไปข้างบนเสมอเพราะว่าเป็นสัญลักษณ์ ผมคิดเสมอว่าพระอาทิตย์หรือแสงอาทิตย์จากข้างบน แต่แสงมาจากทุกหนทุกแห่ง นั่นหมายความว่าในห้องที่มืดผมก็สามารถอยู่ได้ด้วยปราณเช่นกัน และถ้าเรามีวันที่ฝนตกหนักเมฆครึ้ม มันก็ยังทำงานได้ผลเหมือนกับมีแสงแดด ดังนั้นในอีกนัยหนึ่งเราไม่จำเป็นต้องอยู่ในภาคใต้ของอิตาลีเพื่อจะได้พลังปราณมากขึ้นและผมเชื่อว่าเมื่อมนุษยชาติมายังบนโลกไม่มีความจำเป็นที่ต้องกินอะไรเลย แต่บังเอิญอย่างที่กล่าวอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลคือผลไม้จากสวนอีเดนผลไม้นั้นมีอยู่และรสชาติดีซะด้วย พวกเขาสุขสบายอย่างบริสุทธิ์ มันสุขสบายอย่างบริสุทธิ์ก็เหมือนกับผมเวลานี้ผมไม่จำเป็นต้องกิน มันสะดวกสบายจริงๆ เวลาที่อยู่ด้วยแสง คนเราไม่จำเป็นต้องกิน” 

      ก็คล้ายๆ กับคนอื่นๆที่ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ได้พบประโยชน์ในทันทีจากชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร

       “คุณไม่จำเป็นต้องนอนมากเลยในกระบวนการนี้ สิ่งที่ผมเริ่มคือทำบางอย่างกลางดึกเวลาที่ไม่มีรถวิ่ง ผมอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผมเล่นสเก็ต โรลเลอร์สเก็ตเพียงแค่ให้มีบางอย่างทำ ผมไปเดินเล่น ผมดูพระจันทร์ (ถาม :ดังนั้นคือคุณมีเวลามากขึ้น? ) คุณมีเวลามากขึ้นเพราะคุณไม่ต้องนึกถึงอาหารไม่ต้องเตรียมอาหาร ไม่ต้องใช้ครัวกระบวนการของการอยู่ด้วยแสงเป็นไปได้สำหรับพวกเรา ถ้าเราผ่านกระบวนการนั้นแล้วมาอยู่ด้วยแสงอีกครั้งหนึ่ง หมายความว่า ถ้าผมไม่ดื่ม 7 วันและไม่กิน 21 วันแล้ว ด้วยการปรับสภาพนี้ร่างกายของผมก็สามารถอยู่ได้ด้วยแสง คุณจะมีการเชื่อมต่อมากขึ้นมันเหมือนกับการนั่งรถ คุณหมุนกุญแจแล้วมันก็วิ่งไปธรรมดาๆ ถ้ารถนั้นวิ่งได้ ถ้าคุณมีรถเก่าๆ และรถนั้นผมไม่รู้นะอาจมีปัญหาบางอย่างนั่นก็เหมือนกับคุณจะอธิบายความแตกต่างนั้นได้อย่างไร แต่ก่อนนั้นคุณมีอะไรหลายๆอย่างอย่างเช่นวิทยุเวลาที่ปรับคลื่นไม่ดีคุณจะได้ยินเสียงต่างๆเต็มไปหมด คุณก็ยังสามารถฟังได้ ถ้าคุณต้องการ แต่ก็นั่นแหละเวลาที่คุณทำสิ่งต่างๆ คุณจะรู้สึกชัดเจนโดยเฉพาะหลังจากผ่านกระบวนการนั้นไม่นาน มันเหมือนการทำความสะอาดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยมันเหมือนกับความคิดที่ว่า ”โอ้ ใช่แล้ว” และมันอาจเป็นความสัมพันธ์ มันอาจเป็นพื้นฐานของคุณที่เรียบร้อยดีแล้วคุณก็คิดถึงมันและคุณก็เอาสิ่งนั้นมาและโยนมันทิ้งไป มันชัดเจนมาก มันเป็นพลังที่เข้มแข็งมาก มันเหมือนเมื่อก่อนนี้ที่ใช้ท่อเล็กๆเชื่อมต่อเข้ากับตัวตนที่สูงขึ้นแล้วจากนั้นเวลานี้มันเหมือนท่อใหญ่ สิ่งแรกที่ผมสังเกตคือความชัดเจนเกิดขึ้นมากอย่างที่บอกไว้แล้ว เช่นหลายๆอย่างที่ไม่เหมาะกับผมอีกต่อไปหรือหลายๆอย่างเรียบร้อยขึ้นในวิถีทางกายภาพแล้วงานของผมก็เริ่มในทันที ผมรักษาผู้คน ผมทำการรักษาแบบไม่ใช้ยา ฉีดยาหรือการจัดกระดูกสันหลังและผมก็ชอบมากเพราะผู้คนมีความสุขมากและมันก็ชัดเจนขึ้นมากในสิ่งที่ผมได้ทำและสิ่งที่ผมทำให้พวกเขาหรือแม้กระทั่งการรักษาแบบโฮมีโอพาธิกหรืออื่นๆ (ถาม: คุณมีสัณชาตญาณชัดมากขึ้น? ) ครับ แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นสัญชาตญาณ ผมว่าเหมือนการรับรู้มากกว่าและมันชัดมาก ผมไม่ต้องโต้เถียงในหัวของผมเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เช่น “ฉันควรให้อันนี้หรืออันนี้สำหรับเรื่องนี้?”  แต่มันชัดเจนมาก ไอเดียมีอยู่ตรงนั้นแล้ว มันเหมือนกับมันไม่ใช่บนจอภาพ ผมไม่ใช่คนที่มองด้วยภาพ มันค่อนข้างเหมือนกับชัดเจนในสิ่งที่ทำสำเร็จและอีกอย่างคือ การสื่อสารมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมไม่จำเป็นต้องพูดมาก ผมจะฟังมากนี่ก็ทำให้คุณมีเวลาเหลือมากเหมือนกัน นั่นก็คือเหตุผลที่ผมมีความสุขมาก เพราะเวลานั้นผมไม่มีมันผมไม่มีเวลาก็เหมือนกับชาวตะวันตกคนอื่นๆทั้งหลาย (ถาม : ดังนั้นคุณโฟกัสได้ดีขึ้น? ) ใช่ (ถาม : และจากการโฟกัสนั้นคุณมีเวลาเหลือมากขึ้น? ) ครับ แน่นอนและมันก็ดีมากด้วย เพราะว่าเวลาที่คุณรู้ความลับหรืออะไรบางอย่างมันก็มีความสุนทรีย์อยู่ในนั้นมากมาย นี่ก็คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจของผม ผมสามารถเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังได้มากขึ้นและเห็นเหตุผลที่ผู้คนทำบางอย่างที่เป็นทางกายภาพอันความสวยงาม “ 

      นอกจากการมีความชัดเจนและสัมผัสที่สูงขึ้นของสัญชาตญาณ ดร.ชไนเดอร์ยังพบกับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา (ถาม : เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณ? มีอะไรเกิดขึ้นกับแบคทีเรียในท้องของคุณ? ) 

      “หลังจากอยู่ด้วยพลังปราณมาหลายปี มันอาจจะมีน้อยลงเพราะคุณไม่ยัดอะไรเข้าไปตลอดเวลา แต่มันก็ยังทำงานอยู่และมูกเมือกก็ยังมีอยู่ ดังนั้นคุณมีเซลใหม่อย่างเช่นผิวหนังและผม แน่นอนทังหมดนี้ยังคงมีอยู่ในร่างกาย” 

      “บางตัวอย่างของคนที่อยู่ด้วยพลังปราณต้องพบกับน้ำหนักที่ลดลง นั่นดูเหมือนว่าเหมาะกับร่างกายของพวกเขา ตอนที่ผมอยู่ในการประชุมของผู้อาศัยพลังปราณก็มีคนคนหนึ่งที่เป็นโรคไม่อยากกินอาหารแล้วตอนนี้หลังจากฝึกแล้วเธอมีอิสระมากขึ้น หลังจากกระบวนการนั้นแล้วเธอมีอิสระที่จะกินสิ่งที่เธอต้องการ ในขณะที่ไม่จำเป็นต้องกิน เธออธิบายเรื่องนี้อย่างโน้มน้าวดีมาก เธอยังบอกว่าตั้งแต่นั้นมาน้ำหนักเธอไม่ลดลงอีกแล้ว นี่เป็นผลของการอยู่ด้วยแสงนั่นคือขณะที่ไม่กิน คุณก็ไม่เสียน้ำหนัก เมื่อคุณอยู่ด้วยแสง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ปัจจุบันนี้ไม่สามารถอธิบายทางกายภาพได้และมันก็เป็นความจริง ผู้อาศัยพลังปราณบางคนน้ำหนักขึ้นหลังจากกระบวนการนี้ ส่วนตัวของผมนั้นผมก็มีประสบการณ์นั้น 13 กิโลภายใน 3-4 วัน แต่ผมไม่รู้สึก มันราบรื่นดีมาก สบายจริงๆ และคุณจะตกใจถ้าน้ำหนักมันลดลงแต่เวลาเดียวกันนั้นก็ตระหนักว่า คุณรู้สึกสบายดี บางคนก็รู้ว่าน้ำหนักของพวกเขาไม่ได้ลดลง ขั้นตอนของการอยู่ด้วยแสงก็คือการเข้ารับครั้งแรก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายและเซลมันจึงมีการเปลี่ยนแปลงในจิตสำนึกนั้นด้วย” 

     เมื่อเขาผ่านขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ก็ตระหนักว่าการกินเป็นเพียงแค่นิสัยอย่างหนึ่งเท่านั้น 

     “มันมีความหมายอะไรกับ...อาหาร? มันหมายถึงบางสิ่งที่บำรุงเลี้ยงเรา แน่นอนกระบวนการนั้นเกี่ยวกับการบำรุงเลี้ยง แต่ว่าอะไรที่บำรุงเลี้ยงเรา? อะไรที่ค้ำจุนเราอยู่?  มันคือปราณหรือว่าคือของแข็งที่เราใส่เข้าไปในปากหรือว่าคือสิ่งอื่นที่อยู่ข้างนอกบางแห่ง ดังนั้นเรามาพูดถึงบางคน บางสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่สามารถรู้สึกได้ชัดเจนมากเวลาที่ผ่านกระบวนการนั้น มันอาจจะไม่สบายนักผมต้องบอกก่อน ลองนึกดูว่าถ้าคุณรู้ว่าอาหารที่คุณเคยเพลิดเพลินกับมันมาก มันไม่อาจเลี้ยงคุณได้อีกแล้ว ไม่แม้แต่ทำให้คุณสนใจอีกต่อไป ประการหนึ่งคือมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจนัก แต่สำหรับผมมันเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมาก เพราะว่าปกติเราก็รู้กันว่า “ฉันทำแบบนี้ไม่ได้ มันเป็นแค่นิสัยของฉันที่ฉันคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน” ใช่อาหารเช้าในตอนเช้า กลางวันก็กินนี่กินนั่น แล้วตอนเย็นก็กินนั่นกินนี่ บางทีในตอนเช้าคุณนั่งคุยด้วยกัน แล้วขณะที่กินคุณก็จิบกาแฟและมีโรสเต็ก แล้วบางทีกลางคืนเนื่องจากคนชอบใช้เวลาอยู่กับบางคนหรือกับครอบครัว แล้วคุณก็กินและทุกคนก็รู้ว่าไม่ว่าคุณจะหิวหรือไม่ก็ตาม คุณไม่คิดอะไรเลย อย่างน้อยผมไม่เคยคิด แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น แล้วขณะที่เคี้ยวอยู่เต็มปากช้อนส้อมนั้นก็พร้อมที่จะตักอีกครั้งใช่ไหม? มันยากที่จะหมด ไม่หมดโดยสิ้นเชิง คุณสามารถเคี้ยวมากอีกหน่อยมันสนุกมากแบบนั้น แล้วคุณก็เอาส้อมส่งเข้าปากอีกครั้ง แล้วก็เป็นไปแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าใช่ไหม? มันเป็นนิสัยเท่านั้นผมมีประสบการณ์อย่างนี้จริงๆ หลังจากกระบวนการนั้นผมสังเกตตัวเองดูและคิดจริงๆ จังๆ “นี่เกิดอะไรขึ้น ที่นี่?” และผมก็ช็อคครั้งใหญ่เพราะผมตระหนักว่ากลไกที่น่ากลัวนี้ยังคงทำงานอยู่และมันเป็นเรื่องของการตามใจตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพหรือการเข้ากันได้ แต่มันคือ “ฉันต้องการอะไร? ” และผมก็ไม่ต้องการอาหาร” 

      ตามความเห็นของ ดร.ชไนเดอร์สภาวะหนึ่งที่คนเราจะไปถึงได้ในขณะที่อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหารคือการที่ค้นพบตัวเองอีกครั้ง

       “ในที่สุดเราพูดได้ว่า “โอเค ฉันยอมทุกอย่างแล้ว” และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆ คนในช่วงของขั้นตอนการอยู่ด้วยแสง เพราะว่านี่คือจุดที่เรากลับคืนสู่หัวใจของเรา เพราะถ้าเราดำเนินต่อไปภายใต้เงื่อนไขพิเศษของกระบวนการการอยู่ด้วยแสงนี้ ถ้าผมใช้เวลาอาจจะ 5 6 หรือ 7 วันกับตัวเองแล้ว ผมก็ไปถึงสภาวะที่ผมตระหนักว่า “ดูสิ จริงๆแล้วฉันคือใคร? ” สำหรับผมมันคือการจดจำธรรมชาติของแสงในตัวเราเอง เราคือตัวตนของแสง เราจำได้ว่าที่จริงเราได้รับการบำรุงเลี้ยง ไม่ใช่มาจากอาหาร ไม่ใช่มาจากคู่ของผม ไม่ใช่มาจากรถที่วิ่งเร็ว หรือจากดนตรีบางชนิดหรือหินที่มีค่าซึ่งมันก็อาจจะค้ำจุนเราได้ แต่ผมได้รับการหล่อเลี้ยงจากภายในตัวผมเอง นั่นคือจากพลังปราณ สำหรับผมนั้น การเชื่อมต่อมีความชัดเจนว่าที่จริงแล้วเราหล่อเลี้ยงตัวเราเอง ที่จริงมันคือธรรมชาติแบบพระเจ้าของเรา เราคือตัวตนของสวรรค์ แผ่กระจายโดยพระเจ้า” 

     สำหรับใครที่สนใจวิถีชีวิตแบบกินอากาศ ดร.ชไนเดอร์มีคำแนะนำซึ่งมีข้อหนึ่งคือการเป็นมังสวิรัติหรือเป็นฟุสเทเรียน(กินเฉพาะผลไม้)มาก่อน 

      “ขั้นตอนของการอยู่ด้วยแสงเป็นสิ่งที่ต้องมีจิตใจที่ค่อนข้างเข้มแข็ง เพราะบางคนนั้นพอได้ยินว่า ”ไม่ดื่ม 7 วัน” คุณต้องมีการกระทำที่เข้มแข็งเพื่อให้ผ่านพ้นมันไปได้ ทั่วไปผมจะบอกว่าทุกคนทำได้ ถ้าคนนั้นสุขภาพดีและรู้สึกถึงการเรียกร้อง แต่มันมีข้อมูลสำคัญนี้: คุณสามารถทนได้จริงหรือ? แต่ก็มีสิ่งที่ดีๆ อยู่มันคือเหมือนมีบางคนที่คอยยื่นมือเข้าคุ้มครองคุณไว้ เพราะว่าการไม่ดื่ม 7 วัน มันทำให้บางคนมีแง่มุม คนที่มีข้อสงสัยมากเกินไปและบางทีอาจจะทำไม่ได้ ไม่ว่าเป็นอะไรและสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตอนนี้ผมคอยชี้แนะหลายๆ คน เพื่อผ่านกระบวนการนี้ ทั่วไปผมจะทำเป็นกลุ่มในแบบของการสัมนาเราเรียกว่า ”การเข้าฌาน” เพราะมันไม่ใช่สัมนา แต่มันคือปราณ มันเป็นสภาวะของตัวตน มันเป็นอย่างนี้ซึ่งหลายคนที่ได้ฟังนี้ทำตามขั้นตอนการอยู่ด้วยแสงได้ค่อนข้างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่รู้สึกถึงเสียงเรียก พวกนี้คือคนที่พูดว่า ”ฉันเห็นหนังสือนี้สัปดาห์ก่อน ตอนนี้ฉันต้องการทำ กระบวนการนี้อย่างแน่นอน ฉันจะทำได้ที่ไหน? ฉันจะทำได้อย่างไร? ”  ยังมีกระทั่งคนที่โทรไปหาและบอกว่า “เสียงภายในของฉันบอกให้หยุดกินและดื่ม สองวันต่อมาฉันไปที่ร้านขายหนังสือ ฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ ในที่สุดฉันก็รู้ว่ามันเป็นความจริง” เรื่องราวแบบนั้นประทับใจผมจริงๆ ประทับใจผมอย่างลึกซึ้ง เวลาที่มีคนโทรศัพท์มาและบอกผมอย่างนั้น ผมมีเวลาเตรียมตัวไว้แล้วหนึ่งหรือสองปี ผมรู้เรื่องพวกนี้มานานแล้ว แต่ก็มีคนที่รู้สึกถึงเสียงเรียกจริงๆ และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์สำหรับผมว่ามันได้ผล มันสัมผัสถึงหัวใจของผู้คนถึงธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของแสงของพวกเขา มันเป็นอย่างนั้น แน่นอนผมก็พยายามทำให้มันชัดเจนแก่พวกเขา ไม่ให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจ มันไม่ใช่เรื่องของการทำให้มันดึงดูดใจเพราะถ้ามีใครที่ทำตามวิธีการนี้ แต่อาจจะไม่เตรียมตัวมาพอ มันก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะผมพูดได้แต่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ เรื่องนี้ผมอยากจะเผื่อไว้สำหรับทุกคน” 

     ในการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์แนะนำถึงการเตรียมตัวล่วงหน้า 

     “มันจะเกิดประโยชน์ ถ้าคุณทำตามขั้นตอนการอยู่ด้วยแสงนี้และมีการเตรียมตัวคุณเองปรับเข้าสู่ภายในและภายนอกและเตรียมร่างกายของคุณอีกสักหน่อย : “ฉันกำลังเดินทางพร้อมกับร่างกายของฉัน ฉันกำลังเดินทางที่เรียกว่าการไม่ดื่ม 7 วัน ไม่กิน 21 วัน” กินอย่างมีสุขภาพไว้ล่วงหน้าโดยพยายามเป็นมังสวิรัติอย่างน้อย 3 เดือนล่วงหน้าหรือกระทั่งรอว์ฟู๊ดก็ได้(raw food diet) คุณควรมีการอดอาหารเป็นบางครั้งเพื่อให้ร่างกายของคุณรู้ตัวไว้ว่ารู้สึกเบาสบายขึ้นอย่างไร และบางทีถ้าคุณคิดว่าสิ่งใดยังคงมีความจำเป็นต้องทำ เช่น วิธีการล้างลำไส้ หรือวิธีการล้างพิษก็ให้ทำอย่างนั้น มันไม่มีกฎตายตัว แต่มันเป็นการแนะนำและมันยังมีเหตุผลในการอดอาหารก่อนที่จะเริ่มกระบวนการนั้น เพราะว่ามันทำให้ร่างกายอ่อนแอลงบ้างสำหรับการขจัดออกไปคราวละมากๆ มันเกิดขึ้นก่อนและจุดนี้ทำให้ร่างกายทำงานหนัก มันจะเป็นการดีถ้าหากผมอยู่อย่างเรียบง่ายเป็นเวลาสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ล่วงหน้าหรือกินแค่ผลไม้และอาหารดิบเท่านั้น อาจจะแค่น้ำผลไม้ แต่ผมตระหนักว่าถ้าร่างกายยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันก็ยังไม่มีความรู้สึก แต่หลังจากนั้นคุณก็สามารถเข้าสู่กระบวนการ ผมจะบอกคุณอีกครั้งว่า ผมรู้ว่าการเตรียมตัวตามกฎเกณฑ์นี้มันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าหัวใจของคุณร้องเพลง จัสมูฮีนเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับคุณ ถ้าคุณสงสัยก็ทิ้งมันไปหรือรอหน่อย กระบวนการนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคน คุณไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณรู้สึกถึงการเรียกนั้น คุณสามารถเริ่มต้นก้าวที่จำเป็นและมันมีข้อพิสูจน์เสมอว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

     “มันเป็นบางอย่างที่เรามีอยู่ภายใน ผมคิดว่าเพียงแต่เราต้องจดจำได้ เราจำได้ว่า เราเป็นใคร? เราถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรและเราทำอะไรได้บ้าง? การอยู่ด้วยแสงเป็นวิธีหนึ่งที่อธิบายได้ แต่ปราณมันคืออะไร? มันคือจิตวิญญาณ คือพลังงานของพระเจ้า คือสวรรค์ คือพลังงานของจักรวาล ถ้าพวกเขารู้สึกดึงดูดใจ พวกเขาก็ทำได้ แน่นอนจากมุมมองทางการแพทย์ ผมต้องบอกว่าคุณควรมองในเรื่องนี้ว่าคุณมีอาการอะไร เช่น ถ้าคุณมีอาการโรคหัวใจ ถ้าคุณเป็นเบาหวาน มีทางรักษาตั้งมากมายสำหรับการแพทย์ตะวันตก การแพทย์ตะวันออก หรือแพทย์ทางเลือกใหม่และก็เป็นไปได้ใน 21 วันนี้ เหมือนกัน คุณไม่สามารถพูดว่า “ทำขั้นตอนนี้เพราะคุณจะมีอะไรต่อมิอะไร” มันมีพลังอยู่ในนั้นมากมาย แต่ว่ามันก็ยังมีอันตรายอยู่มาก ตัวอย่างเช่น  ถ้าคุณเป็นเบาหวานหรือคุณมีอาการโรคหัวใจต้องมีบางคนแนะนำคุณอย่างใกล้ชิดและต้องบอกคุณเวลาที่ต้องหยุดหรือยกเลิกมันหรือ...(ถาม :บางทีเป็นผู้ฝึกทางการแพทย์?) ใช่ ใช่ แต่ก็ยังมีการแนะนำทางด้านจิตวิญญาณโดยพระเจ้าและคนพวกนั้นจะรู้ ผมคิดว่าผลกระทบข้างเคียงมากที่สุดก็คือด้านจิตใจ รูปแบบ ความโกรธ ความต้องการที่เราเห็นมันออกมาในทุกๆเซล ทุกอย่างถูกบันทึก ความจำทั้งหมดของเราทุกอย่าง ดังนั้นในช่วงที่เปลี่ยนแปลงมันจะออกมา ดังนั้นคุณจะจำเรื่องต่างๆมากมาย ความสุขก็เหมือนกัน บางคนมีความสุขมาก พวกเขาจึงระลึกถึงว่ามันมีความสุขอย่างไรในสมัยเด็กๆ หรือกับแฟนหรือกับพ่อแม่ เมื่อตอนไปเที่ยววันหยุดกัน สิ่งที่พวกเขาบอกเรามันน่าประทับใจมากเพราะพวกเขาติดต่อกับหัวใจของพวกเขา พูดจากหัวใจและรู้สึกถึงมันได้จริงๆ ดังนั้น มันดีมากที่จะทำขั้นตอนนี้และมันก็ไม่ถูกต้องที่จะไม่ช่วยให้ผู้คนผ่านกระบวนการนี้ เพราะผมคิดว่ามันคือ การบำบัดที่เข้มข้นรวดเร็วที่สุดอย่างหนึ่งเท่าที่ผมนึกได้”

      ตามความเห็นของดร.ชไนเดอร์ผลกระทบบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในช่วงสัปดาห์แรกของการเปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่กินอาหารคือเรื่องของสุขภาพ

      “ปกติมักจะมีว่าความเจ็บป่วยเดิมๆนั้นมันหายไป มันจะออกมา เช่น บางคนนั้นมีการอักเสบเรื้อรังของไตและกระเพาะปัสสาวะ มันก็จะเป็นแบบนี้มันทำให้เรากลัว มันเห็นชัดเจน ถ้าผมรู้ว่า “ตายล่ะ มันเริ่มอีกแล้วฉันกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอน ฉันจะสามารถทำได้หรือแล้วฉันต้องหยุดมันหรือเปล่า? ” ฯลฯ มันจะดีถ้าหากมีบางคนอยู่ตรงนั้นรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันจะดีถ้าหากมีการช่วยเหลือหรือแนะนำเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้กำลังใจ ให้กำลังใจก็ดีเหมือนกัน การนำพาให้บางคนกลับเข้าหาตนเอง นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ในกระบวนการนี้กรรมวิธีคือบางสิ่งที่จะพาเราไปหาตัวเราเอง ผมจะพูดถึงสัปดาห์แรก ลำบากอยู่บ้างสำหรับบางคน แต่บางคนก็บินผ่าน ส่วนใหญ่แล้ววันที่ 4 5 หรือ 6 มักจะเป็นหนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างลำบาก กรณีของผมนั้นผมมีน้ำลายมากจนถึงวันที่ 6 แต่บางคนนั้นจะปากแห้งในวันที่ 2 และมันทำให้ลำคาญและมันก็จะดีที่มีใครบางคนให้การช่วยเหลือและบอกว่าทำอะไรได้บ้าง คุณสามารถบ้วนปาก แต่อย่ากลืน คุณสามารถดูดน้ำแข็งและถ่มออกไปหรืออาจจะถ่มออกครั้งที่สอง เพราะว่ามีน้ำเหลืออยู่ข้างในนิดหน่อย คุณอาจจะกัดมะนาวหรือเคี้ยวก็ได้แล้วถ่มออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้มันราบรื่นขึ้นหน่อย”

     อาการอื่นๆมักจะไม่เกี่ยวกับสุขภาพและมีความท้าทายจิตใจน้อยลง

     “โดยทั่วไปเหมือนกับไม่มีอาการอะไรหรือลำบากอะไร ปกติแล้วร่างกายอยู่ภายใต้ความเครียดถาวร ทำให้มันปรากฎออกมาโดยอุณหภูมิสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น หลายๆคนต้องแช่อ่างน้ำเย็น มีคนหนึ่งบอกว่าเขาต้องใช้ก้อนน้ำแข็งใส่ในน้ำที่จะอาบ ร้อนมากของเก่าๆ นั้นถูกเผาซึ่งเรียกว่า ”ความร้อนที่ละเอียดอ่อน” หรือ “ไข้ที่ไม่มีตัวตน” และที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ชอบน้ำอุ่นและไม่ชอบเลยกับน้ำเย็นๆ ผมต้องอาบน้ำที่ค่อนข้างเย็น ดังนั้นผมเกือบจะแช่แข็งเนื่องจากนิสัย แต่มันสบายมากความเย็นอันนั้น ดังนั้นผมเพียงอยากบอกว่าร่างกายกำลังเอาของออกให้มากที่สุดและมันก็จำเป็นที่ต้องระวังร่างกาย ร่างกายของเราที่ต้องผูกพันไปกับการเดินทางของเรา”

      อาการของการเปลี่ยนแปลงปกติแล้วจะหายไปหลังจากสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่สองร่างกายก็จะเริ่มฟื้นตัว

     “สัปดาห์ที่สองผมเรียกมันว่า ”ระยะพักฟื้น” ระยะพักฟื้นก็เหมือนกับยาต้นตำหรับเมื่อระบบนั้นปฏิรูปตัวมันเองใหม่ ส่วนนี้อยู่ภายใต้ความตึงเครียด กรณีนี้ร่างกายจะกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ร่างกายความรู้สึกซึ่งเคยทรมานนั้นก็กลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้งและสภาวะนี้น่าสนใจมาก เพราะว่านั่นคือภาวะที่มีการบำบัดรักษา คุณนอนลง ผมสังเกตว่ามันเหมือนกับพลังหลับ แต่เป็นพลังหลับที่มีการฝันกลางวัน สามชั่วโมงถ้าคุณชอบ แล้วในบางสภาวะ ผมตระหนักว่า “พอแล้ว” นี่คือที่ผมเรียกว่าการบำบัดเพราะว่าหลังจากนั้นผมรู้สึกแตกต่าง ผมรู้สึกเหมือนว่าผมได้รับ มันไม่ใช่ประสาทหลอนเพราะผมสังเกตว่าผมมีสติสัมปชัญญะทุกอย่างปกติ ไม่ใช่ว่าผมดูอะไรด้วยวิธีแปลกๆ ผมรู้ตัวจริงๆ ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปในร่างกายของผม มันน่ามหัศจรรย์ น่าสนใจ มันเกิดขึ้นอยู่เสมอเวลาที่ผมเงียบ เวลาที่ผมสัมผัสกับตัวเอง มันเป็นเวลาที่ดีมาก ผมก็ชอบด้วย ดังนั้น คุณควรที่จะมีเวลาอยู่กับตัวเองให้ได้จริงๆ “

      กระบวนการเปลี่ยนแปลง เราจะเริ่มตระหนักถึงความเป็นอิสระจากการอยู่ด้วยอาหาร

     “สัปดาห์ที่สาม ผมจะเรียกว่า ”ช่วงของการจัดการใหม่” ที่นี่ความคิดอาจเกิดขึ้นมา “มันจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้น? ฉันจะทำอะไรเกี่ยวกับอาหารล่ะ? ครอบครัวฉันล่ะจะทำอย่างไร? ฉันจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้น?” แล้วตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น ทันใดนั้นผมก็รู้ว่า ผมต้องการอะไร ผมมองเห็นทุกอย่างชัดมาก “โอเค นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ ฉันทำอันนี้หรือจะทำนั่นๆ” สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาหมด นี่เป็นสัปดาห์ที่สาม และตรงนี้ คุณสามารถจัดการกับเรื่องทางโลกได้มากขึ้น บางทีฉันไม่ต้องโทรศัพท์มากหรือไม่ต้องเขียนจดหมายหรืออะไรพวกนั้น ในกรณีของผม สิ่งเหล่านั้นเลื่อนออกไป แต่คุณสามารถสร้างตัวคุณเองขึ้นมาใหม่ นี่คือสิ่งที่เราทุกคนเฝ้ารอคอยอย่างมาก มีกี่คนไม่เคยพูดว่า “โอเค ปีนี้หลังจากคริสต์มาส ฉันจะนั่งลงและวางแผนสำหรับปีหน้าหรือเพื่อชีวิตที่เหลือของฉัน” คุณก็รู้กันทุกคน ความตั้งใจดีเหล่านี้ ใช่แล้วในวันที่ 21 ทุกอย่างเรียบร้อยทั้งหมด พวกเขาสามารถอยู่ได้ด้วยปราณ ร่างกายของพวกเขาถูกจัดการใหม่ มันเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลง แล้วพวกเขาก็ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระและสามารถใช้มันได้อย่างที่พวกเขาต้องการ”

สำหรับ ดร.ชไนเดอร์การผ่านขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่ต้องกินอาหารและมีชีวิตอย่างบริสุทธิ์ด้วยปราณได้ช่วยให้เขาปรับเข้าหาตัวเองได้มากขึ้นและมองโลกด้วยมุมมองใหม่

“สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ในกระบวนการนี้คือการเห็นคุณค่าอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น หลังจากผ่านกระบวนการนี้ ตอนที่ผมทำเป็นกลุ่มแรก ผมเหมือนกับกลัว ช็อคว่าผมไม่เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ เลย เมื่อก่อนนี้ผมหมายถึง คุณไม่สามารถเปรียบเทียบ แต่มันรู้สึกเห็นคุณค่าของธรรมชาติ ของผู้คน ของพลังงาน ของจิตวิญญาณ ของวัตถุที่ผมวางไว้บนแท่นบูชาและผมเฝ้าดูตัวเอง วางสิ่งต่างๆ ไว้ตรงนั้นซึ่งผมไม่เคยทำมาก่อน สำหรับผมมันรู้สึกว่า มันมีคุณค่าอย่างมากเพราะมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงนั้น มันสอนให้คุณรู้จักถ่อมตัวด้วยเหมือนกัน มันสอนคุณให้มีความเมตตา มันสอนคุณมาก มีความสุขด้วย”

     ติดต่อ ดร.คริสต์โตเฟอร์ ชไนเดอร์ ได้ที่อีเมลล์ : govind@web.de
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่ www.SupremeMasterTv.com/BMD
				
11 กันยายน 2553 02:25 น.

จุดพลิกผัน....

คีตากะ

การเตือนที่เร่งด่วน


-    ดร.เจมส์ แฮนเซน ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการศึกษาอวกาศกอดดาร์ดของนาซ่า สหรัฐอเมริกา เตือนว่าถึงแม้มาตรฐานการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ที่หนาแน่นที่สุดที่บังคับในปัจจุบันต้องต่ำกว่าเดิมเพื่อรับประกันความอยู่รอดของดวงดาว เขากล่าวว่า”สิ่งที่เราค้นพบคือเป้าหมายที่เรามุ่งหวังไว้นำไปสู่หายนะ หายนะที่ถูกรับประกัน”

-    นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ศาสตราจารย์ดร.โรส การ์นัว เตือนว่าเรามีเวลาและทางเลือกอย่างจำกัดสำหรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การวิจัยของเขาบอกว่าออสเตรเลียต้องลดการปล่อยแก็สเรือนกระจกลงมากกว่า 90% ภายในปี 2593

-    นักวิทยาศาสตร์มากกว่า 600 คนจากทั่วสหรัฐอเมริการะบุในจดหมายถึงสภาคองเกรสอย่างเร่งด่วนให้มีการผ่านร่างกฎหมายว่าต้องลดการปล่อยแก็สเรือนกระจกต่ำกว่า 65% ในจดหมายนั้น นักวิทยาศาสตร์ยังแถลงว่า”ภาวะโลกร้อนแสดงให้เห็นในระยะยาวของภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับทรัพยากรที่อาศัยยู่บนดาวเคราะห์โลก”

-    นายกรัฐมนตรีคนก่อนของอังกฤษ นายโทนี่ แบลร์กล่าวว่าเราต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังใน 2 ปีต่อจากนี้ โดยกล่าวว่าเราได้มาถึงจุดวิกฤตตอนนี้เพื่อการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีการใช้กฎเกณฑ์ป้องกันที่นุ่มนวลที่สุด ยังคงประสบความล้มเหลวในการปฏิบัติต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในขณะนี้ ซึ่งเป็นการขาดความรับผิดชอบและไม่น่าให้อภัยอย่างที่สุด

-    ในการเปิดการประชุมทั่วไป 2 วันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายบาน คี มุน กระตุ้นให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มที่จะขับเคลื่อนเพื่อตอบโต้กับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะสนับสนุนเทคโนโลยี่สะอาด อุตสาหกรรมและงานแบบใหม่ๆ และรวบรวมความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเข้าไปในนโยบายและวิธีปฏิบัติของประเทศ

-    ดร.เดวิด อาร์เซอร์ ศาสตราจารย์ทางวิทยาศาสตร์ด้านธรณีฟิสิกส์ แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา แถลงว่าผมมีความคิดว่าเราได้ผ่านขีดจำกัดอันตรายไปแล้ว ปริมาณน้ำแข็งทะเลในมหาสมุทรอาร์กติกได้ลดจำนวนลงกว่าหลายปี แต่ในปี 2550 มันได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และการเกิดแผ่นดินไหวและการเร่งการเคลื่อนตัวของน้ำแข็งในกรีนแลนด์ ผมคิดว่านี้คือสัญญาณบอกว่าเรากำลังอยู่ในดินแดนที่อันอันตราย

-    การสังเกตุผลที่ตามมาของแนวโน้มภาวะโลกร้อนในสหรัฐอเมริกาซึ่งประกอบด้วยการเกิดไฟป่าที่ถี่มากขึ้น ต้นไม้จำนวนมากล้มตายจากแมลงศัตรูพืช ธารน้ำแข็งละลายในมอนทานา และการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงในหลายๆ รัฐ สตีเฟน ซอนเดอร์ประธานองค์การภูมิอากาศแห่งเทือกเขาร็อกกี้กล่าวว่ามันได้เริ่มขึ้นแล้ว เราจะได้เห็นผลกระทบและนักวิทยาศาสตร์กำลังบอกเราว่ามันกำลังจะแย่ลงลงอย่างเห็นได้ชัด

-    นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีก ดิมิทรีส ลาลาส กล่าวว่าเราได้เห็นอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน ประมาณ 6-7 องศาเซลเซียสตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ในขณะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นในส่วนอื่นๆ ของโลกประมาณ 3-4 องศาเซลเซียสแล้ว

-    การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้โดยกรีนพีซได้สรุปว่าระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น การลดลงของแหล่งน้ำจืด และการเปลี่ยนแปลงของฤดูมรสุมเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งจะนำไปสู่การไร้ที่อยู่อาศัยของประชาชนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนกว่า 125 ล้านคน

-    นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียนายเควิน รูด และเลขาธิการองค์การสหประชาชาตินายบาน คี มุนเห็นด้วยที่ว่าการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นไปอย่างล่าช้ามาก

-    คณะกรรมาธิการยุโรประบุว่าความเสี่ยงในการเกิดสึนามิเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในโมร็อกโค นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ สเปน และเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ซึ่งกำลังพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อป้องกันภัยให้แก่ประชาชน

-    ดร.เท็ด สแคมบอส หัวหน้านักธรณีวิทยาน้ำแข็ง มหาวิทยาลัยโคโลราโด สหรัฐอเมริกากล่าวว่าในบริเวณขั้วโลก ใครก็ตามที่ทำงานวิทยาศาสตร์ขั้วโลก ไม่มีใครตั้งคำถามว่าเราอยู่ในโลกที่ร้อนขึ้นหรือไม่ ? เราอยู่ในความกังวลเพราะเราเห็นน้ำแข็งอยู่ในพื้นที่ทุกปีและแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ที่นั่นมานานถึง 10,000 ปี นับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดได้อันตธานหายไปเพราะว่าสภาพภูมิอากาศได้ร้อนขึ้นอย่างมากและในตลอดเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมามันยิ่งร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ 

-    ในคำกล่าวของชาวสก๊อตว่ามีการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ริชาร์ด ล๊อคเฮดเลขาคณะรัฐมนตรีเพื่องานชนบทและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่ามันกำลังเกิดขึ้นขณะนี้และเราต้องช่วยกัน

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเชื่อว่าประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศสและทางตอนเหนือของยุโรปจะประสบกับฝนตกหนักอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก 20-30% จะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสของการเกิดน้ำท่วมฉับพลันอย่างรุนแรง


จุดผลิกผัน

สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหราชอาณาจักรระบุว่ามี 9 บริเวณของโลกที่ถูกคุกคามอย่างวิกฤตที่สุดจากระบบภูมิอากาศ ทั้งหมดกำลังประสบกับความเครียดอย่างรุนแรง จุดผลิกผันที่สำคัญประกอบด้วย
1) การละลายของชั้นน้ำแข็งที่อาร์กติก
2) การละลายของแผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์
3) การพังทลายของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก
4) การตายของป่าฝนอะเมซอนเนื่องมาจากกระบวนการกลายเป็นทะเลทราย
5) การพังทลายของลมมรสุมฤดูร้อนของอินเดีย
6) การตายของป่าบอรีลทางตอนเหนือ


จุดพลิกผันที่ 1-3 : มหาสมุทรอาร์กติก แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกกำลังหายไปในอัตราที่เร่งด่วนเกินกว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่ปรากฏในภาพยนต์

-    จากข้อมูลในฤดูร้อนปี 2550 ฤดูกาลละลายของทะเลอาร์กติก มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนเพิ่มมากขึ้นสรุปว่าน้ำแข็งทะเลอาจหายไปทั้งหมดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2551-2555 เร็วขึ้น 30 ปีจากที่เคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการทำนายนี้ประกอบด้วย ดร.เจย์ ซวอลลี่ นักวิทยาศาสตร์โครงการสำรวจระบบโลกแห่งนาซา ดร.หลุยส์ ฟอร์เทีย ผู้อำนวยการวิทยาศาสตร์การวิจัยเครือข่ายอาร์ติกแห่งแคนาดา และดร.โอลาฟ ออฮึม หัวหน้านักวิทยาศาสตร์สำนักงานเลขาธิการปีขั้วโลกสากลแห่งนอร์เวย์

-    นักวิทยาศาสตร์ องค์การบริหารเพื่อการศึกษาการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(NASA) ประกาศว่าน้ำแข็งที่มีอายุเก่าแก่กว่า หนากว่าของน้ำแข็งอาร์กติกขณะนี้ก่อตัวขึ้นเพียง 30% ของน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกทดแทนน้ำแข็ง 30% ที่ลดลงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

-    นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเบริน ศึกษาตัวอย่างแท่งแกนน้ำแข็งจากกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาพบว่าภาวะโลกร้อนช่วงศตวรรษที่ผ่านมารุนแรงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ 22,000 ปี (22 สหัสวรรษ) ก่อน พร้อมด้วยอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

-    ในเดือนมีนาคม แอนตาร์ติกาตะวันตกพบกับการแตกตัวของหิ้งน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุด 15 ปีล่วงหน้าก่อนที่เคยคาดการณ์ ซึ่งกำลังเตือนนักวิทยาศาสตร์ถึงการเร่งของมันในการจมลงสู่ท้องทะเล


จุดพลิกผันที่ 4

ป่าฝนอะเมซอนอยู่ภายใต้การคุกคาม
-    เกือบ 20% ของแก็สเรือนกระจกมีต้นกำเนิดมาจากการทำลายป่า ด้วยการเริ่มต้นถางป่าเพื่อใช้ที่ดินในการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชอาหารสัตว์ หรือปลูกพืชเพื่อทำเชื้อเพลิงชีวภาพ

-    ดร.โจส มาเรนโกและเพื่อนร่วมงานชาวบราซิล สรุปว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุของความแห้งแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อะเมซอนช่วงปี 2548 ทิ้งไว้เพียงแม่น้ำสาขาย่อยของแม่น้ำอะเมซอนอันยิ่งใหญ่ที่แห้งขอด

-    การปศุสัตว์ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเพื่อแก้ไขความยากจนภายใต้องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติคำนวณว่า ป่าอะเมซอน 70% ถูกตัดไปเพื่อการผลิตเนื้อสัตว์



จุดพลิกผันที่ 5

ฤดูมรสุมอินเดียได้เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่แน่นอน
มรสุมอินเดียมีรูปแบบที่แปรปรวนอย่างมากได้นำไปสู่ความหายนะ
-    ในปี 2548 ฝนตกเพียงวันเดียวในวันที่ 26  กรกฎาคมก่อให้เกิดน้ำท่วมที่มุมไบวัดปริมาณน้ำฝนได้ถึง 944 มิลลิเมตรและมีผู้ประสบภัยกว่า 1,000 คน

-    ในปี 2549 ลมมรสุมนำฝนมาล่าสุดที่เขตมาราทวาดาของรัฐมหาราชตระเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมพัดพาหมู่บ้านกว่า 400 หลังคาเรือนจมหายและก่อให้เกิดผู้สูญหายจำนวน 700 ชีวิต

-    ผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2550 ทำให้ประชาชนมากกว่า 19 ล้านคนต้องอพยพโยกย้ายถิ่นฐานและมากกว่า 1,300 ชีวิตสูญหาย รวมทั้งอินเดียและบังคลาเทศ


จุดพลิกผันที่ 6

การละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(เพอร์มาฟรอสต์)ในป่าบอรีลกำลังปลดปล่อยแก็สคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นปัจจัยที่ยังไม่ได้นับรวมเข้าไปในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน

-    โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ(UNEP)เรียกร้องให้มีการวิจัยอย่างเร่งด่วนของอัตรายจากแก็สมีเทนที่ถูกปล่อยจากชั้นดินเยือกแข็งที่ละลาย ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้คุกคามเร็วกว่าการคาดการณ์ในปัจจุบัน ผู้อำนวยการของยูเอ็นอีพี อชีม สเตนเนอร์ กล่าวว่าความไม่รู้เกี่ยวกับปริมาณและอัตราของมีเทนที่ปล่อยจากอาร์กติกที่ละลายทำให้มันมีหัวข้อที่กว้างมากสำหรับการพิจารณาความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

-    นักวิทยาศาสตร์กังวลว่าแบคทีเรียในดินบริเวณที่เคยเยือกแข็งมาก่อนเหมือนอาร์กติกจะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ปล่อยสู่บรรยากาศเป็นการเร่งให้สภาพภูมิอากาศร้อนขึ้นอีก พื้นดินสะสมคาร์บอนมากเป็น 2 เท่าของบรรยากาศ ดร.อิริค เดวิดสัน นักวิทยาศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยวูดโฮล ในรัฐแมซซานชูเสส สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นเหมือนกับระเบิดเวลา ในความคิดผม กำลังรอที่จะถูกปล่อยออกมา มีการสะสมปริมาณคาร์บอนอย่างมหาศาลในชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและทั้งหมดเหล่านี้เป็นผลเกี่ยวเนื่องอย่างรวดเร็วให้เกิดการสลายตัว ถ้าชั้นดินเยือกแข็งคงตัวละลาย

-    ด้วยอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นกำลังละลายชั้นดินเยือกแข็งคงตัวใต้เท้าของพวกเขา ประชาชนในซาล์ลุตทางตอนเหนือของคิวเบค แคนาดา พิจารณาถึงการย้ายเมืองทั้งหมดออกไปให้ไกลจากโคลนถล่ม อาคารและถนนพังทลาย

-    ชาวบ้านท้องถิ่นในอลาสก้าเรียกร้องเงินค่าเสียหายจากบริษัทที่รู้จัก ซึ่งผลิตแก็สเรือนกระจกปริมาณมาก เพื่อช่วยพวกเขาย้ายหมู่บ้านที่สร้างอยู่บนชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่กำลังละลาย

-    อุณหภูมิในป่าบอรีลในไซบีเรียและอลาสก้าเพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่ากว่าอุณหภูมิเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นในส่วนอื่นๆ ของดาวเคราะห์โลก

-    ดร.เคทีย์ วอลเตอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของลิมโนโลจี แห่งมหาวิทยาลัยอลาสก้ายืนยันว่ามีเทนกำลังถูกปล่อยจากชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่กำลังละลายและเกิดเป็นฟองผุดขึ้นมาจากทะเลสาบอาร์กติกที่หนาวเย็นมาก ดร.วอลเตอร์ กล่าวว่าชั้นดินเยือกแข็งคงตัวเป็นเหมือนกับระเบิดเวลาที่รอการปะทุ เมื่อมันละลายไปเรื่อยๆ มีเทนปริมาณ 10,000 เทรากรัม(10,000 ล้านตัน) สามารถถูกปล่อยออกมาสู่บรรยากาศเพิ่มภาวะโลกร้อนให้สูงขึ้น เธอแถลงว่าแก็สคาร์บอนปริมาณ 950 จิกะตัน(950 พันล้านตัน) ถูกกักไว้ในชั้นดินเยือกแข็งคงตัวใต้พื้นทะเลสาบไซบีเรีย ซึ่งมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเวลานี้เสียอีก

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศแห่งนาซา ดร.เจมส์ แฮนเซน แถลงว่า ในยุคประวัติศาสตร์ การปล่อยมีเทนจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งและแนวตะกอนที่ไม่เสถียรบนไหล่ทวีปใต้มหาสมุทร อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก



สภาพภูมิอากาศเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ

-    หลังจากการเกิดน้ำท่วมในอังกฤษเมื่อฤดูร้อนที่แล้ว สัตวแพทย์ได้พบกับคลื่นความรุนแรงของเหตุการณ์การเกิดโรคร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า พวกเขาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ตกอยู่ในความเสี่ยง บางส่วนของโรคนี้สามารถติดต่อข้ามสายพันธุ์ได้
  
-    แพทย์จากโรงพยาบาลสำหรับเด็กป่วย ในโตรอนโต ออนทาริโอรายงานว่าที่อยู่อาศัยของพาหะนำโรค เช่น หมัดเห็บและยุงกำลังขยายจำนวนไปทั่วพื้นที่อยู่อาศัยอันหนาแน่นของประชากรแคนาดาเพราะว่าภาวะโลกร้อน

-    รายงานแจ้งโดยมหาวิทยาลัย แสตนฟอร์ดในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกายืนยันถึงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการเพิ่มขึ้นของระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการตายของมนุษย์

-    องค์การสุขภาพโลกยุคใหม่รายงานว่าสภาพอากาศที่รุนแรงกับและภัยพิบัติธรรมชาติสามารถนำความเครียดหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านจิตใจและการฆ่าตัวตาย

-    รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณะสุขของอินโดนีเซีย ซิติ ฟาดิลาห์ สุพาริแถลงว่า ประชาชนในประเทศจำนวน 150,000 คน ตายทุกปี เนื่องมาจากการเปลี่ยนแลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บป่วย

-    ดร.เจฟเฟรย์ ดีเมนแห่งมหาวิทยาลัยอลาสก้า อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพสาธาณะชนในรัฐทางเหนือทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาด้วยความเจ็บป่วยจากพาหะนำโรคจำนวนมาก

-    รายงานเมื่อเร็วๆ นี้จากแพทย์ในสมาคมแพทย์อังกฤษ(BMA) แถลงว่าภาวะโลกร้อนสามารถนำโรคเช่น ไข้มาลาเรีย มาสู่สหราชอาณาจักร เหมือนกับความเจ็บป่วยอย่างมะเร็งผิวหนังและโรคลมแดดผลจากคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้น

-    แพทย์ด้านสิ่งแวดล้อมของออสเตรเลียมีรายงานออกมาอธิบายผลกระทบอย่างรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสุขภาพมนุษย์จากความเจ็บป่วยทีเกี่ยวข้องกับความร้อนและสภาพอากาศที่รุนแรง มีการเพิ่มสูงขึ้นของโรคภูมิแพ้และโรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรค

    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุให้เกิดความแห้งแล้ง เชื้อเพลิงชีวภาพและความต้องการเนื้อสัตว์กำลังสร้างอาหารที่ไม่ปลอดภัย ความไม่สงบ และความอดอยากหิวโหย



เหตุผล

-    หนังสือพิมพ์สหราชอาณาจักร เดอะ การ์เดียนกล่าวว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญของความอดอยากในโลกและการขาดแคลนอาหาร ในบทความเรื่อง “ทำไมวีเก้นจึงถูกต้องในทุกๆ ด้าน” จากการสอบถามผู้ไม่เป็นมังสวิรัติ นักหนังสือพิมพ์ จอร์จ มอนบอทอธิบายว่าความต้องการเนื้อโดยความมั่งคั่งของโลกผลักดันให้ราคาธัญพืชสูงขึ้นมากต่อผู้โชคร้าย เพราะต้องใช้ธัญพืชมากกว่า 5 ปอนด์เพื่อจะสร้างเนื้อสัตว์ให้ได้ 1 ปอนด์ ทุกๆมื้อของอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เป็นการเอาอาหารโดยตรงมาจากปากของผู้ยากไร้

-    ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ดร.ราเจนดรา  เค ปาเชารี กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยทางด้านอาหารที่อยู่ในบริเวณของธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย

-    เลสเตอร์ บราวน์ประธานของสถาบันนโยบายแห่งโลกที่สหรัฐอเมริกา แถลงว่าความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพกำลังต้องจ่ายแพงมากขึ้นในตลาดสำหรับผู้โชคร้าย ขณะที่การเพาะปลูกของชาวนาและการขายพืชผลการเกษตรไปเพื่อทำเชื้อเพลิงแทนที่จะเป็นอาหาร

-    ด้วยปริมาณฝนที่มีลดลง 20% ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมาและเหลือสำรองแค่ 10% ของความจุ ทำให้เกาะไซปรัสกำลังประสบกับการขาดแคลนน้ำเป็นประวัติการณ์

-    สมาชิกพิเศษด้านสิทธิทางอาหารของสหประชาชาติ ยีน ซีเกลอร์ เรียกร้องให้หยุดการผลิตกระบวนการทำเชื้อเพลิงชีวภาพในปัจจุบัน โดยกล่าวว่า “พวกมันเป็นอาชญากรรมที่ขัดต่อมนุษยธรรม” เพราะว่ามันกำลังเป็นสาเหตุของการขาดแคลนอาหารโลกและนำไปสูความอดอยากหิวโหยในโลก

-    เลขาธิการสหประชาชาติ นายบาน คี มุนเรียกร้องให้มีการทบทวนเรื่องเชื้อเพลิงชีวภาพอีกครั้งในการเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก ด้วยการคิดถึงผลกระทบของการผลิตที่กำลังมีต่อราคาอาหารโลก


สถานการณ์ในปัจจุบัน


-    ประเทศผู้ผลิตข้าวอย่าง อินเดีย จีน เอาแลค(เวียตนาม) และอียิปต์กำลังจำกัดปริมาณการส่งออกข้าว กำลังผลักดันให้ราคาข้าวสูงยิ่งขึ้นไปอีก

-    การจราจลด้านอาหารมีการปะทุไปทั่วโลก จากเม็กซิโกไปถึงอียิปต์ จากเมาริทาเนียไปถึงไฮติ ซึ่งหลายคนกำลังตายด้วยความยากจนอย่างมากในอียิปต์

-    ในอินเดีย คนหลายล้านคนต้องลดอาหารตนเองลงจากวันละสองมื้อเป็นมื้อเดียว และในเอล ซัลวาดอร์มื้ออาหารลดน้อยลงกว่าครึ่งหนึ่งแล้วตอนนี้ เมื่อเทียบกับสองปีที่แล้ว



ทางแก้ปัญหาที่ 1

ลดปริมาณแก็สมีเทน
การลดร่องรอยของแก็สมีเทนอาจเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถหยุดยั้งอัตราการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างรวดเร็วและซื้อเวลาวิกฤตเพื่อเยียวยาสิ่งแวดล้อม

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศ เจมส์ แฮนเซนกล่าวว่าเราอาจจะสามารถรักษาน้ำแข็งทะเลอาร์กติกเอาไว้ได้ ถ้าเราลดมีเทนลง เขาแถลงว่ามันเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการตระหนักว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงแค่คาร์บอนไดออกไซด์ ดร.แฮนเซน อธิบายว่ามีเทนกำลังมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อการร้อนขึ้นของอาร์กติกมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) มีเทนมีอานุภาพมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 25 เท่า

-    องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (EPA) ได้ขึ้นบัญชีว่าแหล่งผลิตมีเทนอันดับหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากมนุษย์คือการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ตามมาด้วยพื้นที่ฝังกลบขยะ เหมืองถ่านหิน และการรั่วไหลจากท่อแก็สธรรมชาติ

-    องค์การอาหารและการเกษตรของสหประชาชาติได้ประมาณว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหารคิดเป็น 37% ของแก็สมีเทนที่มาจากมนุษย์



หลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์

-    นักวิทยาศาสตร์ด้านพื้นผิวโลกจากทั่วโลกแถลงว่าก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงก้าวเดียวที่แต่ละคนสามารถทำได้ในการพลิกผันภาวะโลกร้อนคือการหยุดการทานเนื้อสัตว์

-    ดร.คริส แรพเลย์ ผู้อำนวยการพิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งลอนดอนและอดีตหัวหน้านักสำรวจแอนตาร์กติก ผู้สนับสนุนการเป็นมังสวิรัติ(วีเก้น)เพื่อช่วยรักษาดาวเคราะห์โลก กล่าวว่ามันใช้พลังงานในระยะยาวน้อยกว่าอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ ดังนั้นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็คือการเป็นมังสวิรัติ(วีเก้น)

-    ทางเวปเอริธท์เซฟ.โออาร์จี รายงานว่านักสิ่งแวดล้อมกำลังมองข้ามมังสวิรัติที่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงชีวิตเราได้อย่างไร โดยแถลงว่าควรยอมรับความจริงแล้วว่ามีเทนเป็นสาเหตุที่สำคัญของภาวะโลกร้อน การลดภาวะโลกร้อนจะเป็นเรื่องง่ายๆ  ถ้าประชาชนเปลี่ยนมาทานอาหารมังสวิรัติ(วีเก้น)



ทางแก้ปัญหาที่ 2

รัฐบาลและสื่อมวลชนสนับสนุนอาหารมังสวิรัติ (วีเก้น)
-    การเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อสร้างแก็สเรือนกระจกปริมาณมากกว่าการคมนาคมขนส่งทั่วโลกรวมกัน รายงานที่ถูกตีพิมพ์โดยหน่วยงานปศุสัตว์ภายในองค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติพบว่าการปศุสัตว์คิดเป็น 18% ของการแพร่แก็สเรือนกระจกโดยรวม รายงานยังกล่าวอีกว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ดังนั้นการลดผลกระทบของมันควรจะเป็นนโยบายสูงสุดด้านสิ่งแวดล้อมของทุกรัฐบาล

-    ตามที่นักข่าวด้านสิ่งแวดล้อม แอนดรู เรฟคิน ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า“ทางเลือกอาหารของเราก็เป็นทางเลือกของพลังงานที่จำเป็นในบางระดับด้วยเช่นกัน และที่จริงแล้วในแง่ของมังสวิรัติ มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี มีการใช้น้ำปริมาณมาก มีมลภาวะจำนวนมากที่เป็นผลมาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ ดังนั้นการกินที่ลดห่วงโซ่อาหารลงกำลังเป็นบางสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากรู้สึกว่าการเพิ่มมากขึ้นของประชากรโลกกำลังเป็นบางสิ่งซึ่งควรมีความสำคัญ

-    ดร.เคิร์ก สมิธ ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมโลกแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ สมาชิกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) แถลงว่ารัฐบาลควรเก็บภาษีเนื้อสัตว์เพื่อลดการบริโภคลงและนำไปสู่การลดระดับมีเทน


-    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปกป้องสิ่งแวดล้อมของฟอร์โมซา(ไต้หวัน) นายวินสตัน ดัง แนะนำว่าประชาชนควรทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลงเพื่อปกป้องดาวเคราะห์โลกจากภาวะโลกร้อนและอนุรักษ์น้ำและแหล่งทรัพยากร

-    ผู้ออกกฎหมาย เยอรมัน เรเนท คุนาสต์ แนะนำให้เปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการเกษตรเพื่อหยุดยั้ยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ประกอบด้วยการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์

-    วุฒิสมาชิก แอนดรู บาร์ทเลทต์ของรัฐควีนแลดน์ ออสเตรเลีย กล่าวว่า “ไม่มีอะไรง่ายกว่า ราคาถูกกว่า และรวดเร็วกว่าการที่เราสามารถทำการลดการแพร่ของแก็สเรือนกระจกที่ปล่อยออกไปส่วนบุคคลลงด้วยการตัดปริมาณของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และนมที่เราบริโภคออกไป

-    ที่ประชุมของเมืองแคมเดน ในลอนดอนกำลังเสนอให้ห้ามการเสริฟเนื้อสัตว์ที่ห้องอาหารคณะทำงานอันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการแพร่กระจายของแก็สเรือนกระจก

-    นักหนังสือพิมพ์ชาวแคนาดา เคท ฮาร์ทฟิลด์ แนะนำว่าเขตต่างๆ ของแคนาดาควรจะเริ่มเก็บภาษีเนื้อสัตว์เพื่อลดการแพร่ของแก็สเรือนกระจก เขากล่าวว่าเราพูดกันถึงคาร์บอนไดออกไซด์มากเหลือเกิน เราลืมไปว่ามันไม่ได้เป็นแก็สเรือนกระจกเพียงชนิดเดียว หรือเป็นตัวอันตรายที่สุดเท่านั้น การเลี้ยงปศุสัตว์ปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศส่วนมากผ่านการถางทำลายป่า(การปศุสัตว์ต้องใช้พื้นที่และอาหารจำนวนมาก) แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับความน่ากลัวของปริมาณแก็สมีเทนและไนตรัสออกไซด์ที่แพร่โดยฝูงปศุสัตว์และโรงปุ๋ยคอก

-    นายพา ออสมัน จาร์จู ผู้อำนวยการของกรมทรัพยากรน้ำในแคมเบีย แถลงว่าระบบอาหารของเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงด้วย ถ้าเราหันมาทานอาหารมังสวิรัติ นั่นควรจะช่วยอย่างมากในการรักษาดาวเคราะห์โลก

-    พาร์ ฮอล์มเกรน นักอุตุนิยมวิทยาของโทรทัศน์สวีเดนและอาจารย์ด้านภูมิอากาศแถลงว่าถ้ามีคนมากขึ้น มากขึ้น ทานเนื้อสัตว์มากขึ้น มากขึ้น นั่นจะสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวง เพราะพลังงาน เพราะความจริงที่ว่าสัตว์บางส่วนเหล่านี้กำลังกินอาหารซึ่งความจริงแล้วเราสามารถกินได้เช่นกัน และยังมีปัญหาที่สัตว์สามารถสร้างแก็สเรือนกระจกได้อีกด้วย

-    บทความในนิวยอร์กไทม์เขียนโดยมาร์ก บิทต์แมน ไม่ใช่นักมังสวิรัติ อธิบายต้นทุนสูญเสียในการบริโภคเนื้อสัตว์ต่อดาวเคราะห์ของเรา สุขภาพของเรา และต่อผู้ยากไร้



ทางแก้ไขที่ 3

ปรับมาตรฐานคาร์บอนให้เป็นศูนย์
-    ดร.อาร์ยัน แมคฮิจานิ ประธานของสถาบันถังความคิด(Think Tang) เพื่อการวิจัยพลังงานและสิ่งแวดล้อมของวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา รายงานว่ามีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาจะเป็นกลางทางคาร์บอนโดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เขากล่าวว่าเป้าหมายของการมีคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์มีความจำเป็นในการลดอันตรายที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

-    ทุกวันนี้ ต้นทุนด้านพลังงานลมเป็นสิ่งที่ปราศจากของเสียมลพิษและมีความปลอดภัยเมื่อเทียบกับพลังงานนิวเคลียร์

-    การคมนาคมขนส่งคิดเป็น 13% ของการแพร่แก็สเรือนกระจกในโลก นักสิ่งแวดล้อมและผู้ก่อตั้งมูลนิธิก้าวที่สูงขึ้น(Step It Up) บิล แมคคิบเบนแถลงว่า นอกจากการเดิน การขี่จักรยาน หรือโดยสารรถขนส่งสาธารณะ ยานพาหนะที่ใช้ไฟฟ้า สกุตเตอร์ จักรยาน และรถไฟพบว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดที่ได้รับจากเทคโนโลยีที่มีอยู่

-    โครงการอ็อฟเซทผ่านองค์การต่างๆ เช่น คาร์บอนฟาวด์ ดอท โออาร์จี (carbonfound.org) สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลงได้

-    โมนาโคเสนอเงินจูงใจต่อพลเมืองเพื่อสนุนในการซื้อรถพลังงานสะอาด

-    การอนุรักษ์พลังงานเป็นวิธีที่ถูกที่สุด เร็วที่สุดในการลดการใช้พลังงาน รวมทังการใส่กระจกสามเท่า อุดรอยรั่วทั้งหมด และการหุ้มฉนวนบ้านของคุณ

-    ติดตั้งแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการใช้กระแสไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์




ทางแก้ปัญหาที่ 4

การปลูกป่าทดแทน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศ 300 คนจากทั่วโลก ลงนามประกาศ ณ การประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ที่เกาะบาหลี เริ่มต้นกล่าวว่าถ้าเราสูญเสียป่า เราก็พ่ายแพ้ในการต่อสู่กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

-    การลดการส่งจดหมายขยะประมาณว่าเฉลี่ยบ้านเรือนในสหรัฐอเมริกาได้รับจดหมายขยะและใบโฆษณา ซึ่งทำลายป่าของภูเขาร็อกกี้ สวนสาธารณะแห่งชาติทุกๆ 4 เดือน บริษัทต่างๆ เช่น www.greendimes.com ช่วยผู้คนให้ลดจดหมายขยะได้ถึง 90%และปลูกต้นไม้ชดเชยหนึ่งต้น สำหรับแต่ละใบโฆษณาที่ถูกยกเลิก

-    ในโอเวน ซาวด์ แคนาดา กลุ่มต้นไม้ของออนแทรีโอ สอนประชาชนถึงเทคนิคการปลูกต้นไม้และแนะนำพวกเขาถึงโครงการกระตุ้นการเก็บภาษีป่าซึ่งเสนอการลดภาษีทรัพย์สินถึง 75% เพื่อการปลูกต้นไม้ชดเชยภาวะโลกร้อน

-    วันที่ 1 เมษายน 2551จดหมายจาก ดร.เจมส์ แฮนเซน ส่งไปถึงนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เควิน รูด โดยบอกว่าพวกเราอยู่ในจุดที่ ผู้นำที่กล้าหาญเป็นสิ่งจำเป็น ผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การจะเอาชนะเกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญเพื่อการบรรเทาวิกฤติทางสภาพภูมิอากาศที่เริ่มปรากฏให้เห็นรางๆ วิธีที่สามารถทำได้ขณะนี้ยังคงนำโลกไปสู่หนทางที่ลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ



เราต้องรักษาดวงดาวนี้ไว้เพื่อที่เราจะได้อยู่ได้ก่อน เพราะว่าถ้าน้ำแข็งละลายหมด ถ้าขั้วโลกละลายหมด และจากนั้นถ้าทะเลอุ่นขึ้นแล้วก๊าซก็จะถูกปล่อยออกมาจากมหาสมุทร และเราทั้งหมดก็จะถูกพิษจากก๊าซจากมหาสมุทร….Supreme Master Ching Hai



                    Be Veg,Go Green 2 Save The Planet
                สำหรับข้อมูลเร่งด่วนสามารถรับชมได้ที่
                 www.SupremeMasterTv.com/SOS
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ