7 มีนาคม 2554 20:53 น.
คีตากะ
เปรียบเทียบโปรตีนในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท ปริมาณ 100 กรัม อาหารมังสวิรัติ ปริมาณ 100 กรัม
เนื้อสัตว์ (อาหารเพื่อสุขภาพ)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไข่ 10.0 กรัม ถั่วดำ 37.1 กรัม
กุ้ง 18.4 กรัม ถั่วเหลือง 36.8 กรัม
เนื้อหมู(ไม่ติดมัน) 12.3 กรัม ฟองเต้าหู้สด 51.7 กรัม
เนื้อวัว 16.7 กรัม สาหร่ายทะเล 28.4 กรัม
นมวัว 3.0 กรัม ถั่วลิสง 24.7 กรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เปรียบเทียบธาตุเหล็กในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท ปริมาณ 100 กรัม อาหารมังสวิรัติ ปริมาณ 100 กรัม
เนื้อสัตว์ (อาหารเพื่อสุขภาพ)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตับไก่ 11.2 กรัม กลุ่มผักกะหล่ำที่มีสีเขียวจัด 20.0 กรัม
ตับหมู 10.2 กรัม งาดำ 13.0 กรัม
ปลาแซลมอน 8.2 กรัม งาขาว 11.7 กรัม
เนื้อวัว 3.6 กรัม สาหร่ายทะเล 98.9 กรัม
เนื้อหมู(ไม่ติดมัน) 1.5 กรัม ถั่วเหลือง 7.0 กรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เปรียบเทียบแคลเซี่ยมในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท ปริมาณ 100 กรัม อาหารมังสวิรัติ ปริมาณ 100 กรัม
เนื้อสัตว์ (อาหารเพื่อสุขภาพ)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นมวัว 110 มิลลิกรัม ผักจำพวกผักโขม 300 มิลลิกรัม
นมแพะ 124 มิลลิกรัม งาดำ 1,241 มิลลิกรัม
ปลาทั่วไป 35 มิลลิกรัม กะหล่ำปลี 300 มิลลิกรัม
เนื้อวัว 10 มิลลิกรัม กลุ่มผักกะหล่ำที่มีสีเขียวจัด 850 มิลลิกรัม
เนื้อหมู 12 มิลลิกรัม ถั่วเหลือง 216 มิลลิกรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก The Department of Nutrition Physiology of Max Planck Institutes in Germamy
7 มีนาคม 2554 00:13 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
โอ๊กแลนด์ นิวซีแลนด์ 27 เมษายน 2543
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์#686
คัมภีร์พุทธกล่าวว่า เธอคือพุทธะ และธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ภายในตัวเธอ ไบเบิ้ลกล่าวว่า พระเจ้าอาศัยอยู่ภายในโบสถ์หลังนี้ ถ้าเช่นนั้น จะมีใครอื่นล่ะ ที่อยู่ในนั้น นอกจากพระเจ้า? ถ้าเราคือโบสถ์และพระเจ้าคือผู้เดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในนั้น ถ้าเช่นนั้นเราคือใครกันนอกจากพระเจ้า? ถ้าเราจำไม่ได้ก็ดี แต่เราก็ยังคงเป็นพระเจ้า
ดังนั้นไม่ว่าเราจะเลือกทำอะไรในฐานะที่เป็นพระเจ้าของพระเจ้าทั้งหลาย เราก็ควรที่จะให้ความเคารพในฐานะที่เราเป็นบิดา/มารดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ เราควรเคารพความปรารถนาของเราและทางเลือกของเราที่จะมีชีวิตและแสดงตัวตนความเป็นพระเจ้าของเราในแบบใดก็ตามที่เราต้องการ
เหตุฉะนี้ พระเยซูจึงบอกเราว่าเราไม่ควรตัดสินผู้อื่น เพราะเราไม่ทราบทางเดินที่สรรพสัตว์อื่นได้เลือกที่จะเดิน เขาหรือหล่อนทำสิ่งต่างๆ ของเขา/หล่อน เพื่อว่าเขา/หล่อนอาจจะได้รู้จักพระเจ้าด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป เขาหรือหล่อนอาจเลือกที่จะเป็นคนที่ดูเหมือนชั่วร้าย เป็นคนที่ต่ำมากๆ หรือที่เรียกว่าคนไม่มีคุณธรรม แต่นั่นก็เป็นวิธีการของเขา/หล่อนในการรู้จักพระเจ้าด้วยการเลือกที่จะไม่มีลักษณะแบบพระเจ้า วันหนึ่งบุคคลผู้นั้นก็จะทราบว่านั่นไม่ใช่ตัวเขา/หล่อน แต่พวกเขาก็ต้องกลับมาและเรียนรู้การเป็นมนุษย์ใหม่อีกครั้ง เพราะถ้าเราอยู่ในสวรรค์ตลอดเวลาและเป็นพระเจ้าตลอดเวลา เราก็จะจำไม่ได้ว่าเราเป็นพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องลดตัวเองลงมาและลงมาอยู่ที่ระดับทางโลกนี้ เพื่อเราจะได้จดจำได้อีกครั้งหนึ่งถึงความยิ่งใหญ่ของเราเอง นั่นคือทางเลือกของเรา และนั่นคือสาเหตุที่เรามาที่นี่
ดังนั้น คำตอบของคำถามของเราที่ว่าทำไมเราเจึงอยู่ที่นี่ก็คือเพราะเราต้องการรู้จักพระเจ้า เมื่อเรารู้สึกว่าเวลาหมดลงแล้ว นั่นก็คือเวลาที่เราเลือกที่จะจดจำตัวเราเองอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือเวลาที่เราเสาะแสวงหาเพื่อนทางจิตวิญญาณ เพื่อเราจะสามารถจำได้อย่างรวดเร็ว เพราะเราได้ลืมไปแล้วว่าจะจำได้อย่างไรและจะหาจากที่ไหน ดังนั้นเพื่อนบางคนที่จำตัวของเขา/หล่อนได้แล้ว ก็อาจจะช่วยเหลือเราได้ แล้วเราก็จะตระหนักว่า เราไม่ใช่ใครอื่นใด นอกจากสรรพสัตว์ผู้สูงสุด นอกจากพระเจ้า เราตระหนักรู้ถึงสรรพสัตว์ผู้สูงสุดที่อาศัยอยู่ภายในร่างกายนี้
แต่อันที่จริง ท่านไม่ได้อาศัยอยู่ภายในร่างกาย ท่านครอบครองกายของเรา แต่เนื่องจากคำศัพท์ทางจิตวิญญาณไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ที่ตรงตัวๆ ดังนั้นไม่ว่าครูจะบอกเรามากมายเพียงใดเกี่ยวกับพระเจ้าหรือเพื่อนทางจิตวิญญาณ อาจจะพูดได้คล่องแคล่วเพียงใดเกี่ยวกับพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวเรา เราก็ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นครูทางจิตวิญญาณผู้ชี้ทางจิตวิญญาณหรือเพื่อนทางจิตวิญญาณ จึงต้องแสดงให้เราทราบโดยทางปฏิบัติ ไม่ใช่โดยทางทฤษฎีอย่างเดียวเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเยซูเสด็จมายังโลกของเรา พระองค์ได้สอนลูกศิษย์ของพระองค์ทั้ง 2 วิธี คือทฤษฎีและปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ต่อมาลูกศิษย์โดยตรงของพระองค์จึงสามารถแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ สามารถเห็นสวรรค์ได้ด้วย สามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าที่เป็นพระวจนะของพระผู้สร้างด้วย สามารถเห็นแสงของสวรรค์ด้วย สามารถขึ้นไปสวรรค์และแม้กระทั่งได้เห็นเทวดา นางฟ้า หรือเห็นพระบิดา พระบิดาตรัสกับพวกเขา เหมือนกับที่พระองค์ตรัสกับโมเสส และเทวดานางฟ้าก็พูดกับพวกเขาด้วยเช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน เราก็สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเราก็ยิ่งใหญ่เหมือนกับลูกศิษย์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซู เรากับลูกศิษย์ของพระเยซูก็เหมือนๆ กัน เพราะพระเยซูได้ตรัสกับพวกเราว่า พวกเราทั้งหมดเป็นบุตรของพระเจ้า แต่เนื่องจากเราได้ลืมไปแล้ว ดังนั้นบางครั้งเพื่อน 1 คนหรือ 2 คนจึงต้องมาย้ำเตือนความจำของเรา แต่ก็เฉพาะเมื่อเราพร้อมแล้วเท่านั้น เพราะถ้าเรายังไม่พร้อม ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรให้กับเราได้มากนัก....
ฺBe Veg ,Go Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com
27 กุมภาพันธ์ 2554 02:32 น.
คีตากะ
โรคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อสัตว์ :
● โรคบลูทังจ์
● โรคติดเชื้อ อี โค ไล
● โรคไข้ไทฟอยด์
● โรคไข้หวัดนก
● โรควัวบ้า
● โรคจากเซอร์โคไวรัสใรสุกร(PMWS)
● โรคลิสตีไรโอซิส
● โรคอาหารทะเลเป็นพิษ
● โรคความดันโลหิตสูงในสตรีที่ตั้งครรภ์
● โรคท้องร่วงเฉียบพลัน
ความสูญเสียบางอย่างจากการทานเนื้อสัตว์ :
โรคหัวใจ
● มากกว่า ๑๗ ล้านคนโดยรวมเสียชีวิตในแต่ละปี
● ค่าใช้จ่ายสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจอย่างน้อย ๑ แสนล้านเหรียญขึ้นไปต่อปี
โรคมะเร็ง
● แต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่มากกว่า ๑ ล้านคน ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
● คนมากกว่า ๖๐๐,๐๐๐ คน ตายเนื่องจากกลุ่มโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแต่ละปี
● ในสหรัฐอเมริกาที่เดียว ค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่สูงประมาณ ๖.๕ พันล้านดอลล่าร์(๑.๙๕ แสนล้านบาท)
● ทุกๆ ปีคนนับล้านถูกตรวจพบใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งที่เกี่ยวเนื่องกับเนื้อสัตว์
โรคเบาหวาน
● คน ๒๔๖ ล้านคนทั่วโลกถูกผลกระทบจากโรคนี้
● มีการประมาณว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาแต่ละปีสูงถึง ๑๗๔ พันล้านดอลล่า(๕.๒๒ ล้านล้านบาท)
โรคอ้วน
● ผู้ใหญ่ ๑.๖ พันล้านคนทั่วโลก มีน้ำหนักมากเกินไปและมากกว่า ๔๐๐ ล้านคนที่เป็นโรคอ้วน
● แต่ละปีค่าใช้จ่ายสำหรับเวชภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกาที่เดียวสูงถึง ๙๓ พันล้านดอลลาร์(๒.๗๙ ล้านล้านบาท)
● คนตายอย่างน้อย ๒.๖ ล้านคนแต่ละปีเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน
เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
● ใช้น้ำสะอาดหมดไปถึง ๗๐%
● สร้างมลภาวะให้แก่แหล่งน้ำ
● ทำลายป่าไม้ซึ่งเป็นปอดของโลก
● ใช้ธัญพืช(พืชตระกูลข้าว)ทั้งหมดของโลกไปถึง ๔๓%
● ใช้ผืนดินถึง ๘๕% เพื่อถั่วเหลืองของโลก(อาหารสัตว์)
● ก่อให้เกิดความอดอยากหิวโหยและสงครามบนโลก
● เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึง ๘๐%
และมากกว่านั้น...
ความสูญเสียบางอย่างจากการบริโภคนม :
● มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก อันเกิดจากฮอร์โมนที่อยู่ในนม
● เชื้อแบคทีเรียลีสทีเรียและโรคลำไส้อักเสบ
● ฮอร์โมนและไขมันอิ่มตัวที่นำไปสู่โรคกระดูกพรุน โรคอ้วน เบาหวาน และ
โรคหัวใจ
● เป็นสาเหตุให้เกิดโรคการแข็งตัวของเนื้อเยื่อหลายชนิดอัตราสูงขึ้น
● จัดเป็นสารทำให้เกิดภูมิแพ้สำคัญ
● แพ้น้ำตาลแล็คโตส
และมากกว่านั้น...
ประโยชน์บางอย่างของการทานอาหารมังสวิรัติ :
● ช่วยลดความดันโลหิต
● ลดระดับคอเลสเตอรอล
● ลดการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒
● ป้องกันอาหารเป็นลมชัก
● ป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
● ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ๕๐%
● ลดความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ ๘๐%
● ป้องกันโรคมะเร็งหลายรูปแบบ
● ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
● อายุยืนยาวกว่าที่คาดหมายถึง ๑๕ ปี
● ไอคิวสูงขึ้น
● อนุรักษ์น้ำสะอาดไว้ได้ถึง ๗๐%
● รักษาป่าฝนในอะเมซอนได้มากกว่า ๗๐% จากการแผ้วถางทำลายเพื่อทำทุ่งเลี้ยงสัตว์
● วิธีแก้ปัญหาผู้อดอยากหิวโหยของโลก :
- สงวนผืนดินให้เป็นอิสระได้ปีละ ๓,๔๓๓ ล้านเฮกต้าร์
- สงวธัญพืชได้ถึง ๗๖๐ ล้านตันต่อปี (เป็นครึ่งหนึ่งของผลผลิตธัญพืชของโลก)
● ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยกว่าถึง ๒/๓ จากที่ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์
● ลดมลพิษของเสียจากสัตว์ที่ไม่ได้รับการบำบัด
● รักษาสภาพอากาศบริสุทธิ์
● ลดจำนวนการแพร่ก๊าซได้ ๔.๕ ตัน ต่อหนึ่งครัวเรือนต่อปีในสหรัฐอเมริกา
● หยุดสภาวะโลกร้อนได้ถึง ๘๐%
และมากกว่านั้น...
การสูญเสียอย่างน่าเศร้าบางอย่างจากแอลกอฮอล์
แต่ละปีมีคน ๑.๘ ล้านคนทั่วโลก เสียชีวิตเนื่องจากแอลกอฮอล์
สูญเสียจากโรคที่เนื่องจากแอลกอฮอล์
● ๑๘๖.๔ พันล้านดอลล่าร์(๕.๕๙๒ ล้านล้านบาท) ในอเมริกา
● สูงถึง ๒๑๐-๖๖๕ พันล้านดอลล่าร์(๖.๓-๑๙.๙๕ ล้านล้านบาท) ทั่วโลก
โรคภัย
● มะเร็ง
● โรคตับ
● โรคหัวใจและหลอดเลือด
สมองเสียหาย
● โรคหลงลืมและโรคสมองเสื่อม
● โรคสมองฝ่อ
อวัยวะล้มเหลว
● หัวใจ
● ตับ
● ไต
● ท้อง
● ตับอ่อน
● ตา
ผลต่อการตั้งครรภ์
● สภาวะจิตถดถอย
● ผลแอลกอฮอล์ต่อเด็กในครรภ์ :
- การเติบโตชะงัก
- ใบหน้าพิการ
● การตายเฉียบพลันของทารก
● การแท้งบุตร
ความรุนแรงอันเนื่องมาจากแอลกอฮอล์
● การทารุณเด็ก ๕๐% ของคดี
● กระทำรุนแรงต่อคนรัก ๓๐% ของคดี
● การกระทำรุนแรง ๔๐-๘๐% ของคดี
● ฆ่าตัวตาย ๒๐-๕๐% ของคดี
และมากกว่านั้น...
ประโยชน์ของการห้ามแอลกอฮอล์ :
ประหยัดด้านการเงิน การวิจัยของแคนาดา คาดการว่าโครงการห้ามแอลกอฮอล์ สามารถรักษาชีวิตคน ๘๘๐ คน และ ๑ พันล้านดอลลาร์ ได้ในทุกๆ ปี
ด้านศีลธรรม
- การลดการขายเหล้าว็อดก้า ๑๐% เป็นผลให้การตายที่มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์มีอัตราลดลงอย่างมากในรัสเซียในหนึ่งปี
- การออกกำลังกาย การดื่มแอลกอฮอล์ลดลง การรับประทานผลไม้และผัก และการที่ไม่สูบบุหรี่ ทำให้ยืดอายุยืนขึ้น ๑๔ ปี
- องค์การอนามัยโลกพบว่านโยบายด้านแอลกอฮอล์ซึ่งรวมทั้งการเพิ่มภาษี การลดจำนวนวันและชั่วโมงที่อนุญาตจำหน่ายแอลกอฮอล์และการเพิ่มอายุของผู้ที่ดื่ม ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดพิษภัยอันเกิดจากแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง :
• การเพิ่มภาษีแอลกอฮอล์ ๑๐% ในสหภาพยุโรป ช่วยรักษาชีวิตคนได้ ๙,๐๐๐ คนภายในหนึ่งปี
• ถ้าการขายแอลกอฮอล์ถูกสั่งห้ามสัปดาห์ละหนึ่งวัน สามารถลดความพิการและการตายก่อนวัยอันควร ได้ถึง ๑๒๓,๐๐๐ ปี
โรงมะเร็ง สถาบันวิจัยโรคมะเร็งของโลกค้นพบว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ
โรคภัยอื่นๆ
- การฟื้นฟูสภาพและประสิทธิภาพของสมอง จะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นทันทีที่เลิกดื่มแอลกอฮอล์
- ผู้ป่วยตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ สามารถมีสุขภาพดีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าผู้ป่วยเลิกดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานอาหารที่ดี
- เว็ปไซต์ Bodybuilding.com กล่าวว่านักเพาะกายที่หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์ จะได้รับประโยชน์มากมายในการบริหารกล้ามเนื้อ มีความชุ่มชื้นมากขึ้น กระบวนการเผาผลาญอาหารฟื้นฟูขึ้น และจิตใจมีสมาธิมากขึ้น
- การสั่งห้ามแอลกอฮอล์ในบาร์โรว์ อลาสก้า สหรัฐอเมริกา ทำให้การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนคลอดมีอัตราลดลงมากกว่า ๓๐%
- เว็บไซต์สุขภาพ health.com รายงานถึงประโยชน์ของชีวิตที่ไม่ดื่ม
แอลกอฮอล์ :
● มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเพื่อนและครอบครัว
● มีอิสระในการใช้จ่ายเงินและเวลาสำหรับเรื่องอื่นๆ
● ทำให้สถานภาพการทำงานและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีขึ้น
● มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
● สร้างมิตรภาพกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมที่เป็นที่ยอมรับในชีวิต
- กลุ่มผู้ที่ดื่มสุราในอดีตได้เล่าในที่ชุมนุมทางออนไลน์ถึงข้อสังเกตในผลดีในชีวิตที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ :
- วิถีทางการดำเนินชีวิต :
● สุขภาพดีขึ้น
● มีเวลาว่างที่มีคุณภาพมากขึ้น
● มีเงินมากขึ้น
● มีเวลาสนุกกับลูกๆ มากขึ้น
● มีความมั่นใจและเคารพตนเองมากขึ้น
● เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับสังคม
● การสั่งห้ามเครื่องดื่มในนิวซีแลนด์ มีผลให้เครื่องดื่มที่ไม่เหมาะสม มีจำนวนลดลง ๙๘% เช่นเดียวกับคดีอาชญากรรมอื่นๆ ก็ลดจำนวนลง
● เมื่อพื้นที่สงวนชนพื้นเมืองอเมริกัน แบล็คฟีท สั่งห้ามขายแอลกอฮอล์ในระหว่างงานประจำปีของชาวอเมริกันอินเดียเหนือ พวกเขาพบว่ามีการพัฒนาตามมาสี่สัปดาห์หลังจากนั้น :
- ไม่มีตัวเลขอุบัติเหตุการจราจรที่เกี่ยวข้องกับชาวแบล็คฟีทเกิดขึ้นเลย
- ไม่มีตัวเลขการจับกุมการขับขี่ภายใต้อิทธิพลกับแอลกอฮอล์
- คดีก่อกวนที่รายงานต่อตำรวจลดน้อยลง ๖๔%
- คดีทำร้ายร่างกายลดลง ๔๔%
- จำนวนผู้คนที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลลดลง ๗๕%
- การฟ้องร้องคดีความประพฤติไม่เรียบร้อย มึนเมาในที่สาธารณะ หรือการยึดตู้บรรจุแอลกอฮอล์เปิด มีลดน้อยลง ๒๕%
● การวิจัยในนิวเม็กซิโก อเมริกา ชี้ให้เห็นว่าการห้ามขายแอลกอฮอล์วันอาทิตย์ มีผลให้การปะทะกันและการบาดเจ็บล้มตายจากการจราจร ลดน้อยลง
● คดีเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ลดลง ๑๕% เมื่อมีการสั่งห้ามแอลกอฮอล์ในอะแบริสทวิธ สหราชอาณาจักรอังกฤษ
● การสั่งห้ามแอลกอฮอล์อย่างถาวรในพื้นที่ท่าน้ำเมือง คอฟฟ์ ฮาร์เบอร์ ออสเตรเลีย อันเนื่องมาจากประสบความสำเร็จในการลดคดีอาชญากรรม
● การสั่งห้ามแอลกอฮอล์ที่ ทะเลสาบคินเคด สหรัฐอเมริกา ทำให้ไม่มีการเสียชีวิตจากการว่ายน้ำ อุบัติเหตุรุนแรงจากการพายเรือน้อยลง และคดีลดลง
เยาวชน
● เจ้าพนักงานรายงานถึงการทำลายทรัพย์สินของรัฐลดน้อยลง จากการที่สั่งห้ามแอลกอฮอล์ในมหาวิทยาลัยโอกลาโฮม่า สหรัฐอเมริกา
● ในรัฐฟลอริด้าสหรัฐอเมริกา การเพิ่มอายุผู้ดื่มที่ถูกกฎหมาย จากอายุ ๑๘ ปี เป็น ๒๑ ปี ทำให้ลดจำนวนอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต อย่างเห็นได้ชัด
● การสมัครใจเลิกขายแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชนอายุต่ำกว่า ๒๑ ปี ในหมู่บ้านมาร์สค์ ของอังกฤษ ได้เลิกขายโดยถาวรในเวลาต่อมา เนื่องมาจากผลดีที่จำนวนของคดีอาชญากรรมและความประพฤติที่ต่อต้านสังคมได้ลดน้อยลง
การสูญเสียน่าเศร้าบางอย่างของการเสพยา
- แต่ละปีมีคนตาย ๒๐๐,๐๐๐ คนทั่วโลก
- ค่าใช้จ่าย แต่ละปีในสหรัฐอเมริกาเป็นเงิน ๑๘๑ พันล้านดอลลาร์(๕.๔๓ ล้านล้านบาท) ในอังกฤษเป็นเงิน ๓๓ พันล้านดอลลาร์(๙.๙ แสนล้านบาท)
- ค่าใช้จ่ายตลอดชีวิตของการติดยาในอังกฤษ จำนวนสูงถึง ๕๗๕ พันล้านดอลลาร์(๑๗.๒๕ ล้านล้านบาท)
ผลกระทบที่อันตราย
● ทำลายสมอง
● ลมชัก
● โรคหัวใจ
● โรคตับ
● วัณโรค
● โรคถุงลมโป่งพอง
● มะเร็ง
● โรคหดหู่ ท้อแท้
● ฆ่าตัวตาย
● สูญเสียความทรงจำถาวร
● โรคจิต
● อัตราการตายเด็กทารกสูงขึ้น
● อาชญากรรมและความรุนแรงเพิ่มขึ้น
● การไร้สมรรถภาพทางเพศ
อาชญากรรมและความรุนแรง
● ยาผิดกฎหมายเป็นปัจจัยหนึ่งใน ๕๐% ของการโจรกรรมในอังกฤษแต่ละปี
● ในอังกฤษ ๖๐% ของผู้ถูกจับกุมแต่ละปี เป็นผู้เสพยาผิดกฎหมาย
● ผู้ติดเฮโรอีน ๖๕๐ คนในสหรัฐอเมริกา ก่อคดีอาชญากรรมถึง ๗๐,๐๐๐ คดี ภายในสามเดือน
ความสูญเสียต่อสังคม
● ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาสูญเสีย ๑๐๐ พันล้านดอลลาร์ต่อปี(๓ ล้านล้านบาท) เนื่องจากลูกจ้างติดยาและแอลกอฮอล์
● ชาวออสเตรเลียจ่ายเงิน ๕๓ พันล้านดอลลาร์ต่อปี(๑.๕๙ ล้านล้านบาท) เพื่อดูแลรักษา บังคับใช้กฎหมาย และสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานของผู้เสพยา
การตาย
● ในสหรัฐอเมริกา มีคนตาย ๕๒ คนต่อวัน เนื่องจากการเสพยา
● ในแคนาดา การใช้สารที่เป็นโทษ เชื่อว่ามีถึง ๒๑ เปอร์เซ็นต์ของการตายทั้งหมด และ ๒๓ เปอร์เซ็นต์สูญเสียศักยภาพชีวิต เนื่องมาจากการตายก่อนเวลาอันควร
และมากกว่านั้น...
ประโยชน์ของการหลีกเลี่ยงการเสพยาและการบำบัด :
- ในสหรัฐอเมริกา การบำบัดรักษาการติดยาแสดงให้เห็นถึงการช่วยรักษาชีวิต ลดคดีอาชญากรรมและฟื้นฟูครอบครัว พร้อมกันด้วย :
● ๖๙% ของผู้ที่ได้รับการบำบัดสามารถใช้ชีวิตที่ปราศจากยาหลังจากได้รับการบำบัดหนึ่งปี
● การจับกุมคดีต่างๆ ลดลง ๖๔% หลังจากการบำบัดหนึ่งปี
- การวิจัยของแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พบว่าทุกๆ ๑ ดอลลาร์ที่ลงทุนในการบำบัดยาเสพติด สามารถประหยัดได้ถึง ๗ ดอลลาร์จากการที่คดีต่างๆ ลดลง ลดค่าใช้จ่ายสำหรับสุขภาพและความอยู่ดีกินดี และเพิ่มรายได้ที่มั่นคง
- การวิจัยยี่สิบปีในสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นว่าโครงการบำบัดรักษาผู้ติดยา มีผลต่อการลดคดีอาชญากรรม เช่นเดียวกันกับการพัฒนาสุขภาพและการร่วมมือกันทางสังคม
- การวิจัยของสถาบันเพื่อนโยบายสาธารณะ รัฐวอชิงตัน ในสหรัฐอเมริกา พบว่าโครงการการบำบัดเยาวชนที่ใช้ยา เป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพและสามารถประหยัดเงินของรัฐได้ ๑,๙๐๐ ดอลล่าร์(๕๗,๐๐๐ บาท) ถึง ๓๑,๒๐๐ ดอลลาร์(๙๓๖,๐๐๐ บาท) ต่อเด็กหนึ่งคน
- โครงการของที่ทำงานปลอดยาเสพติด ได้รับผลดี :
● การขาดงานบ่อยๆ ลดน้อยลง
● อุบัติเหตุมีน้อยลง
● ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
● ขวัญและกำลังใจดีขึ้น
● สุขภาพของลูกจ้างดีขึ้น
● มีการใช้ยาลดน้อยลงเพื่อรักษาสุขภาพ
● ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพลดลง
● ค่าเบี้ยประกันลดน้อยลง
ต่อไปนี้คือคำตอบที่ถือว่าดีที่สุดต่อคำถามทางออนไลน์ “คำถามในเว็ปไซต์ของยาฮู” ถึงประโยชน์ของการไม่เสพยา
● ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ
● ไม่ต้องกลัวการติดเชื้อทางเข็มที่ฉีดเข้าร่างกาย
● ไม่ต้องกลัวสมองยุ่งเหยิง
● ไม่ต้องกลัวการขับขี่อันตราย และอุบัติเหตุ
● มีความสุขและเป็นอิสระในการมองโลก (ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) โดยปราศจากความรู้สึกที่เป็นครึ่งๆ กลางๆ
● เป็นสุขกับการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในยามวิกฤตหรือคับขัน
● สามารถบอกคนอื่นๆ เกี่ยวกับความสุขของชีวิตที่ปราศจากยาเสพติด
ความสูญเสียน่าเศร้าบางอย่างของการสูบบุหรี่ :
- ในแต่ละปี คน ๕.๔ ล้านคนทั่วโลกตายเนื่องจากการสูบบุหรี่
- เฉพาะในสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายของการเจ็บป่วยที่เนื่องมาจากการสูบบุหรี่สูงถึง ๙๔ พันล้านดอลลาร์(๒.๘๒ ล้านล้านบาท)
● โรคหัวใจ : เส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมองตีบตัน ไตวาย
● มะเร็ง : มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
● อาการเรื้อรังของโรคที่เกี่ยวกับปอด : ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ
● เส้นเลือดสมองอุดตัน
● การไร้สมรรถภาพทางเพศ
● อันตรายเพิ่มเติมของการสูบบุหรี่มือสอง : อาการที่ทารกตายเฉียบพลัน การคลอดก่อนกำหนด โรคหืดในเด็ก หลอดลมอักเสบ โรคหูติดเชื้อ
และมากกว่านั้น...
การสั่งห้ามสูบบุหรี่เพื่อรักษาชีวิต :
- การวิจัยโดยสถาบัน PIRE กล่าวว่ากฎหมายห้ามสูบบุหรี่ที่เข้มงวดในปัจจุบันของแคลิฟอร์เนียจะช่วยเหลือชีวิตคนได้มากกว่า ๕๐,๐๐๐ คนภายในปี ๒๐๑๐
- การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของอังกฤษ ได้ลดผลกระทบจากภัยเงียบของบุหรี่ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการเสียชีวิตของผู้คนมากกว่า ๑๑,๐๐๐ คนในแต่ละปี
- ขอบคุณการห้ามสูบบุหรี่ของประเทศ แคว้นเวลส์คาดว่าสามารถปกป้องผู้ไม่สูบบุหรี่จากการตายก่อนวัยอันควร ได้ปีละประมาณ ๔๐๐ คน
- แม้แต่คนอายุ ๖๕ ปีขึ้นไปก็มีความสุขกับสุขภาพที่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาเลิกสูบบุหรี่ ด้วยความเสี่ยงทั้งหมดต่อการเสียชีวิตลดลงเกือบ ๒๐% และจากมะเร็งปอด ๔๒%
- นายกเทศมนตรีนิงยอร์ค มิเชล บลูมเบิร์ก ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่าอัตราการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นได้ลดลง ๕๐% ในหกปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถป้องกันการตายก่อนถึงวัยอันควรได้ ๘,๐๐๐ คน
การห้ามการสูบบุหรี่หมายถึงการลดโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- รายงานการวิจัยโดยสมาคม โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าโรคหัวใจวาย ในเมือง พูอีโบล์ โคโลราโด สหรัฐอเมริกา มีอัตราลดลง ๒๗% หลังจากการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลใช้บังคับ ในขณะที่เมืองที่อยู่ใกล้ๆ ที่ไม่มีการสั่งห้ามสูบบุหรี่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโรคหัวใจวาย
- เพียงหนึ่งปีหลังจากการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลใช้บังคับในไอร์แลนด์ อัตราการเกิดอาการเส้นเลือดตีบฉับพลัน ลดลง ๑๑%
- นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย กลาสโกว์ รายงานว่า โรคหัวใจวายมีอัตราลดลง ๑๗% ในสก็อตแลนด์ นับตั้งแต่การสั่งห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเมื่อปีที่แล้ว
- สถาบันอนามัยแห่งชาติในฝรั่งเศส ประกาศถึงอัตราการลดลงอย่างชัดเจนของโรคหัวใจวาย เมื่อประเทศสั่งห้ามสูบบุหรี่ และยังเป็นประโยชน์ในการลดผลกระทบจากการหายใจควันบุหรี่เข้าไปของผู้สูบบุหรี่มือสอง
- นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา พบว่าอัตราการเข้าโรงพยาบาลอันเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ลดลง ๘% หลังจากการสั่งห้ามสูบบุหรี่ ซึ่งลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพปีละ ๕๖ ล้านดอลลาร์(๑.๖๘ พันล้านบาท)
- ในแคว้นพีดมอนต์ ของอิตาลี การเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหัวใจวายเฉียบพลันของคนอายุน้อยกว่า ๖๐ ปี ได้ลดลง ๑๑% หลังจากมีการห้ามสูบบุหรี่ในอาคารของที่สาธารณะ
การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงสุขภาพที่ดีขึ้น
- ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพอนามัยประชากรแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีอันตรายของการเป็นโรคเรื้อรังสูง เช่น ถุงลมอักเสบ โรคหืด และความดันโลหิตสูง
- การวิจัยโดยสถาบันยูโรเปี้ยนเกี่ยวกับเนื้องอกวิทยาในมิลาน อิตาลี แสดงให้เห็นว่าผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มการขยายตัวของเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ มากขึ้นสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีแนวโน้มการเป็นมะเร็ง
- ผู้สูบบุหรี่และผู้ที่อ่อนแอเนื่องจากเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีการเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่เร็วกว่าประมาณ ๗ ปี เทียบกับผู้ไม่สูบ
- ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ และมีลักษณะพันธุกรรมที่พิเศษ มีความเสี่ยงสูงต่อการพัฒนาของมะเร็งเต้านม ตามการวิจัยที่ตีพิมพ์โดยวารสาร ระบาดวิทยามะเร็ง ตัวบ่งชี้ทางชีววิทยาและการป้องกัน
- ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มีโอกาสเก็บรักษาฟันของพวกเขาไว้ได้จนถึงวัยชรา มากกว่าผู้สูบบุหรี่
การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงเด็กๆ มีสุขภาพดีขึ้น
- การวิจัยของทางราชการ ที่ตีพิมพ์โดยสถาบันชีวิตและสุขภาพเด็กของมหาวิทยาลัย บริสโตล กล่าวว่าทารกของหญิงที่สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ เด็กทารกจะมีแนวโน้มทรมานจากอาการตายเฉียบพลันสูงถึง ๔ เท่า
- การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ สามารถทำลายเชื้ออสุจิ ซึ่งจะถ่ายทอดยีนส์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ทารก
- ดร.ชากิรา ฟรังโก ซุเกลีย แห่งคณะสาธารณสุขศาสตร์แห่งฮาวาร์ด รายงานว่าเด็กๆ ที่อยู่ในบริเวณที่อากาศมีมลพิษสูง หรือถูกผลกระทบจากการสูบบุหรี่ของพ่อแม่ มีคะแนนทดสอบความจำและความฉลาดอยู่ในระดับต่ำกว่าเด็กๆ ที่อยู่ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์
- เด็กๆ ที่อ่อนแอจากผลการเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดถึงสามเท่า และมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาระบบการหายใจอื่นๆ ในช่วงชีวิตต่อมา
การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงานดีขึ้น
- ภายในสองเดือนของการห้ามสูบบุหรี่ในสก็อตแลนด์ คนทำงานในสถานที่ขายเครื่องดื่ม รายงานว่าการเจ็บป่วยในระบบทางเดินการหายใจและอื่นๆ ลดลงเกือบ ๓๓%
- ผู้ไม่สูบบุหรี่ที่กลายเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงสูง ๒๐% ในการเป็นมะเร็งปอด
- การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของไอร์แลนด์ เห็นว่าการลดมลพิษทางอากาศในผับได้ถึง ๘๓%
การห้ามสูบบุหรี่มีผลดีต่อธุรกิจ
- ๕ ปีนับตั้งแต่มีการห้ามสูบบุหรี่ ผู้โดยสารของสายการบินแอร์โร่ฟล็อท มีจำนวนมากขึ้น ๑๕% และมีเที่ยวบินที่ไปสหรัฐอเมริกามากขึ้น ๒๕%
- ในรายงานของหัวหน้าแพทย์ของอังกฤษ ดร.เลียม โดนัลสัน กล่าวว่าการห้ามสูบบุหรี่ ช่วยประหยัดเงินได้ประมาณ ๒.๗ พันล้านปอนด์ : ๖๘๐ ล้านปอนด์ ประหยัดโดยการที่แรงงานมีสุขภาพดีขึ้นและแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ๑๔๐ ล้านปอนด์ ประหยัดโดยการที่มีวันลาป่วยน้อยลง และ ๔๓๐ ล้านปอนด์ ประหยัดจากการสูญเสียผลผลิตอันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ในขณะทำงาน และ ๑๐๐ ล้านปอนด์ ประหยัดจากต้นทุนค่าทำความสะอาดที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเข้าชมที่ www.SupremeMasterTV.com
14 กุมภาพันธ์ 2554 19:35 น.
คีตากะ
เฮนรี่ มอนฟอร์ต(Henri Monfort) ชาวชามานผู้กินอากาศ
เราตื่นเต้นที่จะแนะนำคุณให้รู้จักบุคคลที่พิเศษอีกคนหนึ่งที่เลิกกินอาหารและมีชีวิตอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังแห่งจักรวาลเท่านั้น เราจะเดินทางไปยังเมืองที่สวยงามของนองต์ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสเพื่อพบกับเฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานผู้กินอากาศและนักประพันธ์ เฮนรี่อยู่โดยปราศจากอาหารมานานกว่า ๗ ปีและไม่มีความอยากที่จะกลับไปกินอาหารวัตถุอีกเลย
ต : ผมพบว่าความรู้สึกที่ผมมีคือมันได้รับการหล่อเลี้ยงเหมือนกับเด็ก เด็กทารกที่อยู่ในท้องของแม่ ยิ่งกว่านั้นพลังชีวิตนี้ก็ยังเป็นพลังแห่งความรัก คุณจะไม่รู้สึกว่าถูกตัดขาดจากจักรวาลเลย เนื่องจากคุณได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักของจักรวาล ดังนั้นมันจะมีมิติของการรวมตัวกันเข้ามาแทนที่และเราจะพ้นจากระบบของสิ่งที่เป็นคู่ เช่นความสุขและความทุกข์
เฮนรี่ มอนฟอร์ตได้อุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นให้ใช้ความสามารถของตนเองและแผ่ขยายความรักโดยอาหารที่มีความเมตตาที่ไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์ เฮนรี่ได้เมตตาแบ่งปันเรื่องราวของเขาและชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหารกับโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวี นับเป็นวิถีชีวิตทางเลือกใหม่และมีประโยชน์ต่อผู้ที่แสวงหาอิสระให้แก่ตนเอง พ้นจากความต้องการอาหาร
ต : ผมเกิดที่ปลายดินแดนของบริททานี่ที่ซึ่งแผ่นดินติดกับทะเล ดังนั้นผมมีการติดต่อกับธาตุต่างๆ ทั้งหมด ผืนดิน, ทะเล, อากาศ ฯลฯ ตั้งแต่ผมเล็กๆ ผมเป็นชาวชามาน ผมเกิดมาอย่างนั้น มันเป็นความสามารถพิเศษที่คนเรามีมาแต่เกิดและผมก็โชคดีที่มีปู่ของผม ผู้ที่มีสัมผัสไวมากต่อจิตวิญญาณในธรรมชาติ ผมสามารถพูดได้อย่างนั้น ผมจึงได้อาบอยู่ในมัน ขอบคุณปู่ของผม
ด้วยความสามารถอันไม่ธรรมดาตั้งแต่วัยเด็ก มันจึงยากสำหรับเฮนรี่ที่จะพบใครที่เข้าใจเขาได้นอกจากปู่ของเขา
ต : เหมือนชาวชามานทั่วไป ผมเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมเป็น ดังนั้นปีแรกๆ ของชีวิตผมไม่ค่อยจะดีนัก เพราะผมมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอะไรแบบนั้น แต่ผมไม่สามารถเล่าให้พ่อแม่, พี่น้อง ฯลฯ ของผมฟังได้มากนัก มันจึงมีช่องว่างเกิดขึ้น
เมื่ออายุ ๑๘ ปีเฮนรี่ตัดสินใจเดินทางค้นหาตนเอง สิ่งที่เขาได้เรียนรู้และประสบภายหลังได้กลายเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ปราศจากอาหาร วิถีชีวิตที่เขาเลือกในเวลาต่อมา
ต : ผมเริ่มสนใจอย่างมากในวิถีที่ไม่รุนแรงในโรงเรียนคานธีและโดยเฉพาะ ลานซา เดล วาสโต ผู้ที่สร้างชุมชนแห่งอาร์คและเป็นผู้ที่ไปเยี่ยมคานธีและได้รับนามว่าชานติดาสจากท่านคานธี นั่นเป็นชื่อที่ผมตั้งให้ลูกคนเล็กผม คนที่อยู่ในภาพนั้น ดังนั้นเขาเป็นคนที่สำคัญมากเพราะเขาคือผู้ที่อดอาหารอย่างมากเพื่อชำระล้างตนเอง ชีวิตของเขาค่อนข้างสมถะเกือบจะเป็นพระ เราพูดแบบนั้นเพราะว่าเขาเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ค่อนข้างสันโดษ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเมตตามาก เคารพความเป็นมนุษย์มาก แล้วหลังจากนั้นผมก็เริ่มเดินทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้น ผมเกือบจะบวชในคณะเบเนดิค ชีวิตนักบวชดึงดูดใจผมมาก มีการนั่งสมาธิ, สวดภาวนา ผมคิดว่าศาสนาสามารถนำทางผมสู่การรู้แจ้งด้านจิตวิญญาณ แล้วหลังจากนั้นผมก็พบการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล ผมได้รับการประทับจิตเข้าสู่วิถีทรานเซนเดนทัลโดยผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ จากกองทัพ และผู้หญิงคนนั้นในที่สุดคือภรรยาของผม มันเป็นช่วงแรกๆ ของการปฏิบัติสมาธิแบบทรานเซนเดนทัลและมันเป็นเทคนิคซึ่งให้ประโยชน์แก่ผมมากมายในระดับของการทำสมาธิ
เมื่อเข้าสู่วิถีการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล เฮนรี่ได้ใช้ชีวิตที่มีเมตตามากขึ้น, ทานอาหารมังสวิรัติซึ่งอยู่ในแนวทางของ “อหิงสา” หรือไม่รุนแรง
ต : ผมเป็นมังสวิรัติตั้งแต่ผมเริ่มทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล นั่นคือตั้งแต่อายุ ผมอายุเท่าไร? ประมาณ ๒๕ ปี ตอนที่ผมเริ่มและมันก็เป็นคำถามของปรัชญาชีวิตของผม...เพราะผมเติบโตมาในบริททานี่ ผู้คนกินเนื้อสัตว์กันมาก พวกเขากินเนื้อสัตว์ที่ปรุงแต่งกันมาก ดังนั้นปัญหาคือผมมีปัญหาตับอ่อนแอ ดังนั้นผมจึงป่วยอยู่เสมอ แม้ตัวผมเองก็ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ผมอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ของผมขาดแคลนเรื่องอาหารและพวกเราต้องกินเนื้อสัตว์ นอกจากนั้นผมเห็นสิ่งที่พวกเราได้กระทำต่อโลกและสิ่งแวดล้อมในบริททานี่...เกี่ยวกับการทำฟาร์มวัวและฟาร์มหมู เราสร้างมลพิษให้แก่น้ำ เราสร้างมลพิษ...ตอนนี้เราเห็นเห็ดราสีเขียวซึ่งพัฒนาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อไนเตรท, ฯลฯ ในบริททานี่เรามีน้ำที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส(ถ : ใช่ฉันจำได้...) สวยงามที่สุด, ร่ำรวยที่สุด, ยากจนที่สุด, และตอนนี้...มันสกปรกที่สุด มันยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงสำหรับชาวชามานที่พวกเราทำลายโลกนี้ สำหรับเราแล้วมันเกือบเหมือนอาชญากรรม มันเหมือนอาชญากรรมจริงๆ ดังนั้น ผมพูดได้เลยว่าผมเป็นมังสวิรัติโดยธรรมชาติในทันทีที่เป็นไปได้และจากนั้นโดยบังเอิญผมพบภรรยาคนแรกของผมที่เป็นมังสวิรัติ ดังนั้นมันเป็นไปเองและมันก็จริงที่ในวงจรของการทำสมาธิ คนเรามักจะพบกับคนที่ส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ
หลังจากที่เขาแต่งงานและมีลูก ในไม่ช้าเฮนรี่ก็ลืมเรื่องที่เขาปรารถนาแต่เดิมในการปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ ๑๘ ปีที่เขาใช้ชีวิตธรรมดาๆ ทำงานอยู่ที่ธนาคารในเมืองนองต์ เมื่อสิ้นสุด ๑๘ ปีนั้นเฮนรี่ก็มีน้ำหนักมากถึง ๑๒๐ กิโลกรัมเป็นผลลัพธ์จากการที่เขาพึ่งพาอาหารเพื่อลดความเครียดในการทำงานของเขา เมื่อลูกๆ ของเขาเติบโตขึ้น เฮนรี่ก็ตัดสินใจลดน้ำหนักเพื่อฟื้นเป้าหมายในชีวิตด้านจิตวิญญาณ เหมือนสุภาษิตที่ว่า “เมื่อนักเรียนพร้อมครูก็มา” เมื่อเฮนรี่มีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงชีวิต “ครู” ของเขาก็ปรากฏขึ้นและนำเขาเข้าสู่หนทางของการอยู่ด้วยพลังปราณที่อาศัยพลังความรักของจักรวาลในการค้ำจุนร่างกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์
ต : เมื่อลูกของผมโตขึ้น พวกเขาเรียนจบ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมเปลี่ยนทิศทางโดยสิ้นเชิงกลับคืนสู่แก่นแท้ พูดอีกอย่างคือหนทางด้านจิตวิญญาณ สุดท้ายผมพบกับคนคนหนึ่งที่กลายมาเป็นน้องเขยของผมตั้งแต่ผมแต่งงานครั้งที่สอง เขาบอกผมว่า “นี่ผมพบหนังสือเล่มหนึ่ง ในเมื่อคุณก็ฝึกอดอาหาร หนังสือนี้จะทำให้คุณสนใจแน่นอน” มันเป็นหนังสือของจัสมูฮีนที่ชื่อว่า “อยู่ด้วยแสง” ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งคืนและหนึ่งวันต่อมาผมก็ตัดสินใจฝึกการอยู่ด้วยพลังปราณ ผมบอกกับร่างกายของผมว่า “ฉันคิดว่าการที่ฉันได้ฝึกอดอาหารมาก่อนนี้เป็นการเตรียมตัวฉันแน่นอน” หนังสือเล่นนี้เหมือนกับการเผยความจริงให้แก่ผม
เฮนรี่ มอนฟอร์ตเป็นชาวชามานผู้กินอากาศและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจในวิถีชีวิตแบบไม่ต้องกินอาหาร ปัจจุบันนี้เขาอยู่ในเมืองนองต์ที่สวยงามทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เขายังใช้ความสามารถในการเป็นชาวชามานช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีวิถีชีวิตที่เติมเต็มขึ้น หากมองดูปรัชญาของชามาน เฮนรี่ได้อธิบายแนวคิดของเอกภาพในลัทธิของชามาน
ต : ลัทธิของชามานไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ศาสนา ชาวชามานมีอยู่ก่อนตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์คนที่วาดภาพในถ้ำลาสโกก็เป็นชาวชามาน เรามีอยู่ก่อนศาสนาและปรัชญา ทั้งคู่นั้นรับสิ่งต่างๆ ไปจากลัทธิชามาน ดังนั้น มีชาวชามานอยู่ทั่วโลกทุกทวีป แต่ละที่ก็มีประเพณีของตัวเอง เราพูดได้อย่างนั้น แต่เวลาเดียวกันเราทั้งหมดก็เชื่อมต่อกันด้วยสิ่งหนึ่งที่เรามีอยู่แล้ว ทุกอย่างที่มีอยู่นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา ดังนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ มันยังคือ สัตว์, พืช, ก้อนหิน, น้ำ, แผ่นดิน, อากาศ, ไฟ, โลก, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ฯลฯ สำหรับเราแล้วทุกสิ่งคือหนทางที่ให้เราไปถึงสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่และสามารถติดต่อกับเอกภาพพื้นฐานนั้น ถ้าใช้ภาพเราพูดได้อย่างนั้นว่าที่จริง ชาวชามานสร้างวงเวียนชั้นนอกของเอกภาพนี้ในหมู่พวกเรา ปกติแล้วไม่มีชาวชามานคนใดที่จะพูดว่าเขาเหนือกว่าคนอื่น เราเคารพประเพณีทั้งหมด แม้ว่าไม่ใช่ของเราเอง
ตั้งแต่วัยเด็ก เฮนรี่ก็ได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและโลกรอบตัวเขาในฐานะที่เขาเป็นชาวชามานแต่กำเนิด
ต : เมื่อคุณเป็นชาวชามาน คุณเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ คุณสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นไม่เห็น คุณได้ยินสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน และตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมสามารถเห็นพลังปราณในชั้นบรรยากาศอนุภาคเล็กๆ สีขาวที่เคลื่อนที่รวดเร็วมากและเราก็ใช้พลังปราณนั้นในการบำบัดรักษาซึ่งเราเรียกว่าพลังแม่เหล็ก มันเป็นความสามารถที่ยินยอมให้พลังปราณไหลผ่านคนนั้น เพื่อบำบัดรักษาผู้คน บำบัดรักษาสัตว์, พืช, โลก ฯลฯ แต่มันไม่เคยปรากฏแก่ผมว่าเราสามารถใช้มันมาหล่อเลี้ยงตัวเองโดยตรง ดังนั้น สำหรับผมนั่นเป็นการเผยที่แท้จริง ผมจึงเริ่มต้นโดยไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอยู่อย่างนั้นจริงๆ สำหรับผมมันคือการตัดสินใจวันต่อวัน ทุกวันผมพูดกับตัวเองว่า “ถ้ามันได้ผล ฉันก็ทำต่อ” ผมไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลับไปอยู่ในสถานะที่ผมพอใจน้อยกว่าทุกวันนี้
หลายปีให้หลัง หลังจากที่ลูกๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เฮนรี่ตัดสินใจกลับสู่เส้นทางจิตวิญญาณที่เขากระหายมาตั้งแต่เขาอายุ ๑๘ ปี แล้วเฮนรี่ก็บังเอิญค้นพบวิถีชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร เมื่อเขาได้รับหนังสือของจัสมูฮีน “อยู่ด้วยแสง” และอ่านจบภายในคืนเดียว เฮนรี่ตัดสินใจในวันต่อมาลงมือเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เขารู้สึกว่าทำให้เขาเข้าสู่จักรวาลทั้งหมด
ต : และจากเวลานั้นมา เมื่อเราอยู่ในความสุขตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี้ มันมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเป็นจิตสำนึกที่เข้ามาในชีวิต จิตสำนึกของความเป็นเอกภาพ พูดอีกอย่างคือผมอยู่โดยเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด และด้วยเหตุผลนี้ เราสามารถเลี้ยงตัวเราเองด้วยสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด ทั้งหมดมันหล่อเลี้ยงผมในเวลานี้ คุณหล่อเลี้ยงผม ผมหล่อเลี้ยงคุณ แต่คุณก็หล่อเลี้ยงตัวคุณเอง คุณหล่อเลี้ยงผมด้วย พื้นที่นี้ก็หล่อเลี้ยงผม แสงหล่อเลี้ยงผม ความรู้สึกรอบตัวผมหล่อเลี้ยงผม ทั้งหมดทุกสิ่งหล่อเลี้ยงผม ผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยและนั่นคือสิ่งที่พิเศษ
การใช้หนังสือของจัสมูฮีนเป็นคู่มือนำทางเฮนรี่ก็ผ่านกระบวนการ ๒๑ วัน การเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไร ในการมาเป็นผู้ไม่กินอาหาร?
ต : มันเป็นเวลา ๗ ปีและสองเดือนที่ผมทดลองในการอยู่ด้วยพลังปราณ “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ” คือการเลี้ยงตัวเองโดยพลังปราณ อะไรคือปราณ? มันคือสิ่งที่เราเรียกว่าพลังแห่งชีวิต... คนเราสามารถหยุดดื่มได้ถ้าคนนั้นต้องการ คนเราสามารถเลี้ยงตัวเองด้วยพลังปราณอย่างเดียว
แม้ว่าตัวเขาเองตัดสินใจชั่วข้ามคืนในการไม่กินอาหาร เฮนรี่ก็มีประสบการณ์ของการอดอาหารมาสองปีแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้น
ต : เราไม่สามารถเริ่มต้นอยู่โดยพลังปราณได้ในชั่วข้ามคืน มันจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวไว้ก่อน การเตรียมตัวนั้นอาจจะนาน เพราะว่าจำเป็นต้องมีความสมดุลที่ดีระหว่างร่างกาย, อารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณซึ่งเป็นระดับทั้ง ๔ ของชีวิต
นอกจากนั้นความเข้าใจอย่างระเอียดระหว่างการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณก็จำเป็นต้องมีก่อนที่จะพยายามอยู่โดยไม่กินอาหาร
ต : สิ่งแรกที่ต้องทำคือการแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยปราณ สำหรับผมคำว่า “หล่อเลี้ยงด้วยปราณ” มีคำว่า “อาหาร” ผมไม่คิดว่าคนเราจะสามารถอยู่โดยไม่เลี้ยงตนเอง นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน แต่ละคนหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีต่างๆ กันแบบเดียวกัน เวลาที่คุณกินเนื้อสัตว์แล้วคุณตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติ เวลาที่คุณเป็นมังสวิรัติ คุณสามารถกลายเป็นวีแก้น ซึ่งหมายถึงกินเฉพาะที่เป็นพืชผัก คุณสามารถกลายเป็นกินอาหารแบบรอว์(raw food diet) หรือแบบอินสติงโต้(instincto) คุณสามารถตัดสินใจได้ในห้วงเวลาหนึ่ง การเริ่มต้นอยู่ด้วยพลังปราณ มันอาจเป็นขั้นตอนที่ดี ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แต่มันไม่จำเป็น เราสามารถมีอาหารของเราโดยไม่ต้องเลือก หรือเปลี่ยนชนิดอาหารเป็นพิเศษ ดังนั้นอะไรคือความแตกต่างระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ? คือว่าการอดอาหารมีเวลาที่จำกัด มันไม่สามารถทำตลอดไป การอดอาหาร คุณจะเริ่มในวันที่กำหนดและสิ้นสุดในวันที่กำหนด ระยะเวลาที่นานที่สุดสำหรับการอดอาหารคือ ๔ เดือน คุณจะเห็นคนที่ตอนท้ายของ ๔ เดือน มันเกิดขึ้นกับหลายคน เช่น คานธีหรือคนที่ประท้วงด้วยการอดอาหารเป็นเวลานานๆ พวกเขาจบลงด้วยนอนลงกับพื้นให้น้ำเกลือ หมดแรง และถ้าคุณทำต่อไป น้ำหนักคุณลดลงถึงจุดที่น้ำหนักของคุณไม่สามารถคืนกลับมาได้ หมายความว่าน้ำหนักคุณจะลดลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าคุณเริ่มกินอีกและคุณจะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งตาย ยกตัวอย่างคนที่ไม่อยากอาหารจะผ่านกระบวนการทำลายตัวเองนี้ การอดอาหารคือเมื่อคนคนนั้นได้ใช้ของที่มีสำรองไว้ แต่เมื่อไม่มีอะไรเหลือคนนั้นก็ตาย มันเป็นทัศนะแบบเป็นคู่ หมายถึง “มีฉัน มีจักรวาล ฉันใช้ส่วนสำรองของฉันและฉันตัดขาดตัวเองจากจักรวาล” แต่การหล่อเลี้ยงด้วยปราณ เราจะได้รับพลังงานจากจักรวาล ดังนั้นมันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันจะรวมตัวฉันเองกับจักรวาลและจักรวาลจะหล่อเลี้ยงฉันโดยตรง มันสำคัญมากทีเดียว คุณจะเห็นภายหลังว่านี่คือการตัดสินมุมมองของการเริ่มต้นวิธีหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ
การอดอาหารอาจเป็นขั้นตอนในการมาเป็นผู้กินอากาศ ความเห็นของเฮนรี่ มันมีความสำคัญอย่างมากในระดับของเซล
ต : ดังนั้นเราจะมั่นใจในวิธีการอดอาหาร คนที่ตัดสินใจอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะใช้มันมาเป็นประโยชน์ในการชำระล้างตัวเอง เราจะอดอาหารแต่ไม่นานเกินไปอาจจะหนึ่งวัน หรือสองวัน สามวัน หนึ่งสัปดาห์ ไม่ต้องหลายเดือน แล้วหลังจากนั้นร่างกายที่บริสุทธิ์แล้ว การชำระล้างร่างกาย ซึ่งเราเรียกว่าการล้างพิษจะเข้ามาแทนที่ ต้องขอบคุณกระบวนการอดอาหาร ดังนั้นถ้าตอนนี้กระบวนการนี้ทำให้คุณสนใจ ผมก็ขอเชิญคุณอดอาหารเป็นระยะๆ เพราะการอดอาหารน่าสนใจมาก เพื่อดูว่าตัวคุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อไม่มีอาหาร ดังนั้นมันจำเป็นที่ในระดับของร่างกาย พูดได้ว่าการอดอาหารจะเผยความจำของเซลล์ อะไรคือความจำของเซลล์? ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ ร่องรอยเล็กๆ เหล่านี้คือรอยแตกที่ยินยอมให้โรคทั้งหลายแพร่พันธุ์กระจายออกไป หรือปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณจะทำให้เราลบรอยทรงจำเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของกระบวนการ
เพื่อมีประสบการณ์ความสำเร็จในการอยู่โดยไม่กินอาหาร เฮนรี่ได้อธิบายถึงขั้นตอนเฉพาะที่ต้องปฏิบัติตาม
ต : ในระดับของร่างกาย เราต้องมีสุขภาพที่ดี เราควรเตรียมโดยอาหารที่กิน, โดยการอดอาหารและโดยการล้างพิษ การชำระล้างร่างกาย เราต้องตระหนักว่า เมื่อเรากินวันละ ๓ หรือ ๔ มื้อ เราจะไม่สามารถไปถึงขั้นตอนการล้างพิษ เราสะสมพิษต่างๆ ไว้ในร่างกาย ในไขมัน, ในข้อต่อและนั่นก็คือสาเหตุของโรคภัย ดังนั้นการอดอาหารจึงจำเป็นและการล้างพิษอย่างถูกต้องจะได้ผลหลังจากที่อดอาหาร ๓ เดือน ดังนั้นถ้าเราทำเป็นระยะๆ ร่างกายของเราจะสะอาด แล้วในระดับอารมณ์ เราจะเป็นอิสระจากความสัมพันธ์เชิงบังคับที่เรามีกับอาหารและการชดเชยทางอารมณ์ที่เราพบในนั้น ดังนั้นมันจำเป็นต้องตรวจดูระดับเหล่านั้นก่อนจะเริ่มอยู่ด้วยพลังปราณ
เฮนรี่ มอนฟอร์ต เป็นชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณในการดำรงชีวิต พลังปราณคืออะไร? แฮรี่ได้อธิบายถึงรูปแบบต่างๆ ของมันในระหว่างการบรรยายเรื่อง “อาหารพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ”
ต : ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมก็เห็นอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้ของแสง เมื่อคุณอยู่ในที่ที่บริสุทธิ์มาก อาจจะเป็นในป่าหรือในภูเขา คุณจะเห็นอนุภาคเหล่านี้ ซึ่งมีความเร็วสูงนั่นคือปราณ นั่นคือเหตุที่เราเรียกมันว่าการหายใจ เพราะมันคือปราณของอากาศ ความจริงแล้วเราต้องพูดว่ามีระดับต่างๆ ของปราณถ้าอยู่ในอากาศ มันเรียกว่า “ปราณ” ถ้าในระดับของเหลวมันเรียกว่า “โซมา” ถ้าผมวางมือไว้ตรงนี้ (ทำท่าวางมือสองข้างช้อนไว้ใต้คาง)และเงยหน้าไปข้างหลัง น้ำลายของผมกลายเป็นของเหลวที่เรียกว่า “โซมา” ซึ่งลงไปอยู่ในอวัยวะย่อยอาหาร มันเป็นของเหลวที่หวานเหมือนน้ำผึ้งและจะนำแสงสว่างไปยังอวัยวะต่างๆ บางคนอาจบอกว่านั่นคือน้ำลายที่บริสุทธิ์ขึ้น แล้วในระดับของของแข็งมันเรียกว่า “วิภูติ” คุณเคยได้ยินคำว่า “วิภูติ” หรือเปล่า? มีอาจารย์ด้านจิตวิญญาณหลายๆ ท่านรวมทั้งท่านสัตยา ไส บาบา ที่นำปราณแบบแข็งหรือวิภูติออกมาจากอากาศ พวกเขานำมันมาพิสูจน์ด้วยมือของพวกเขา มันออกมาอย่างนั้น มันเหมือนขี้เถ้า บางคนอาจบอกว่านั่นคือปราณในระดับของแข็ง แล้วพวกเขายังสามารถสร้างวัตถุเอาเพชรพลอยออกมา อะไรแบบนั้น ดังนั้นปราณไม่เพียงแต่อยู่ในอากาศ มันมีอยู่ในทุกระดับของการสร้าง มันสำคัญมากที่ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย เพราะมันจะช่วยให้เรารู้ว่าเราจะไปถึงระดับหล่อเลี้ยงด้วยตัวเองอย่างไร
ตามความเห็นของเฮนรี่ ขั้นตอนแรกในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือการเตรียมตัว ซึ่งอาจใช้เวลาหนึ่งปีขึ้นอยู่กับแต่ละคน เขาแนะนำว่าก่อนเริ่มกระบวนการของการอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังจักรวาลจะต้องมีหลักการที่ชัดเจน
ต : ข้อแรกคือเราจะกำหนดเรื่องน้ำหนักในตอนแรก เรากำหนดว่าน้ำหนักแค่ไหนจะดีที่สุดสำหรับร่างกายของเรา และเราก็ไม่ควรให้ต่ำกว่านั้น แต่ในระหว่างที่อดอาหาร เรามีน้ำหนักลดไปเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทัศนะคติ เราจะบอกเซลล์ของเรา เราบอกว่าเรากำลังทำอาหารในระดับของเซลล์ซึ่งเราจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้อสองคือเราจะมีพลังงานอย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อเราได้เชื่อมต่อเข้ากับพลังงานของจักรวาล เราอาจบอกอย่างนั้น มันไม่มีความเหนื่อยอ่อน ไม่มีการสึกหรอ ดังนั้นยิ่งเรากระตือรือร้น เราก็ยิ่งจะมีพลังงานมากขึ้น ข้อที่สามคือเราจะแบ่งเวลานอนเป็นสองช่วง ถ้าเรานอน ๘ ชั่วโมง เราจะไม่นอนนานกว่า ๔ ชั่วโมง ตอนนี้ผมนอนสองชั่วโมง แต่เวลาที่เรานอนหลับสองชั่วโมง เราตื่นขึ้นเหมือนกับว่าเรานอน ๗-๘ ชั่วโมง ดังนั้นเหลือเวลามากมายให้ทำอย่างอื่น
เมื่อการเตรียมตัวเรียบร้อย กระบวนการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน ขั้นแรกของกระบวนการเปลี่ยนแปลงคือการอดอาหาร ซึ่งจำเป็นต้องชำระล้างร่างกายเนื้อในระดับของเซลล์ การอดอาหารใช้เวลาอย่างมากหนึ่งสัปดาห์ ผลของการอดอาหารตลอดสัปดาห์ ร่างกายจะเริ่มพบกับการล้างพิษ หลังจากชำระล้างแล้ว ร่างกายก็จะเริ่มลบเซลล์ความจำ
ต : ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ เราจะลบความทรงจำในเซลล์เหมือนกับเวลาที่เราล้างแผ่นดิสก์ ถ้าแผ่นดิสก์เป็นรอยมันจะเล่นซ้ำอยู่ที่เดิม ดังนั้นถ้าคุณค่อยๆ ลบรอยตำหนิพวกนี้ออก คุณก็จะราบรื่น ซึ่งคุณจะไม่ต้องพบกับเรื่องเดิมๆ อีก ความทรงจำในเซลล์มันเข้าลึกมาก มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “ความจำแบบครอบครัว” ซึ่งหมายถึงว่ามีผู้คนที่อยู่ในวัยเดียวกันจะถ่ายทอดโรคภัยที่พ่อแม่ของพวกเขาหรือปู่ย่าตายายเคยมีมาก่อน ดังนั้นเราจะขจัดสิ่งเหล่านั้นออก แล้วกระทั่งความจำที่ลึกมากขึ้น ซึ่งเป็นความจำที่เชื่อมโยงกับมนุษยชาติและพวกที่อยู่ตรงนี้ (ทำท่าชี้ที่บริเวณก้านสมอง) ในสมองของเรา พวกนี้คือความจำที่มาจากช่วงเวลาที่เมื่อผู้คนรู้สึกหิว มันคือความจำตามประวัติศาสตร์เวลาที่เกิดภัยแล้งและอาหารขาดแคลน, แล้วความจำเหล่านี้ทำปฏิกิริยาขึ้นมาใหม่ เพราะเวลาที่มีผู้คนกำลังตายด้วยความหิวโหย ดังนั้นการอดอาหารจะทำให้เราปรับตัวเองทางร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ที่กำลังเกิดขึ้น
ในระดับของจิตใจ อะไรที่เราคาดว่าจะพบในช่วงสัปดาห์นี้ของการอดอาหาร?
ต : ถึงจุดหนึ่ง คุณจะพบกับความจริงที่ว่าไม่มีอาหารอีกแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น? ความกลัวจะเกิดขึ้นมั๊ย? จะมีความกังวลหรือไม่? “ฉันจะถูกบังคับให้เป็นอย่างที่จะเกิดขึ้นหรือ? ฉันจะต้องหาร้านค้าเพื่อซื้ออาหารหรือไม่?” แล้วเกิดอะไรขึ้น? ในระดับของจิตใจ เราจำเป็นต้องขึ้นไปเหนือระดับความกลัวและข้อจำกัด
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราต้องมีเพื่อความสำเร็จในการจะอยู่โดยไม่กินอาหารคือความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอนว่ามันเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ที่จะอยู่รอดได้โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหารวัตถุ เราสามารถไปถึงสภาวะนี้โดยกระบวนการอดอาหาร ซึ่งก็จะช่วยเราสร้างความเชื่อมโยงในระดับจิตวิญญาณ ช่วงสัปดาห์แรกของการอดอาหารและการล้างพิษร่างกายจะพบกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในระดับกายภาพ
ต : มันไม่ค่อยน่าพึงพอใจนักในสัปดาห์แรกโดยเฉพาะ ๓ วันแรก คุณจะมีลิ้นขาว คุณจะมีลมหายใจเหมือนสุนัข-เหม็นมาก แต่ว่ามันจำเป็นที่ต้องผ่านพ้นการชำระล้างร่างกายนี้ก่อน
เมื่อร่างกายผ่านการล้างพิษในสัปดาห์แรกแล้วก็ต้องชำระล้างลึกมากขึ้น นั่นจะเกิดในระดับของเซลล์ กระบวนการถอนรากเหง้าความทรงจำในเซลล์จะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่สองของการเปลี่ยนแปลง เมื่อร่างกายได้ล้างและ “ตั้งต้นใหม่” ร่างกายเข้าสู่สภาวะใหม่ของกระบวนการไม่กินอาหาร
ต : เราจะหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณเข้ามาแทนที่ในสัปดาห์ที่สาม พูดอีกอย่างคือเราจะเริ่มต้นอยู่ในระดับที่เปลี่ยนไป ดังนั้นมันเป็นอย่างไร? ตอนแรกเราจะทำงานที่มองเห็นได้ เมื่อถึงเวลาอาหารร่างกายของคุณคุ้นเคยกับการเริ่มตามระเบียบในเวลานั้น คุณจะหิวหรือพูดอีกอย่าง เราเรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งหมายถึงท้องของคุณเริ่มร้อง คุณมีความรู้สึกท้องว่างและรู้สึกหิว เวลานี้มีผู้คนที่ไม่รู้สึกหิวเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขากินมากจนพวกเขาไม่รู้สึก แต่ถ้าคุณอดอาหารคุณรู้ว่ามันคืออะไร มันคือความรู้สึกท้องว่างหรือตาลาย ซึ่งทำให้เราต้องการกินในทันที ดังนั้นระบบประสาทอัตโนมัติรู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเราใช้เวลานี้ที่เป็นมื้ออาหาร เราจะพิจารณาอย่างมีสติในตอนเริ่มต้นโดยทำให้แสงเข้าไปอย่างลึกล้ำเข้าถึงเซลล์ทั้งหมดของเรา เมื่อเราทำแบบนี้ ๓ หรือ ๔ วัน ปกติแล้วความรู้สึกของการรับรู้มันจะกระจายไป, ขยายออกไปและกลายเป็นละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจะยกตัวอย่างว่าการทำให้ความรู้สึกละเอียดบริสุทธิ์คืออะไร เมื่อผมทำขั้นตอนนี้มันเป็นเดือนพฤศจิกายน ผมออกไปข้างนอกในช่วงสัปดาห์แรกและขึ้นรถราง ผมอยู่ตรงท้ายรถราง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับแซนวิชที่ต้นขบวนรถ คุณคงมองเห็นความยาวของรางรถ ผมสามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในแซนวิชของเธอ ไม่เพียงรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ผมได้กลิ่นและรสชาติ (เพราะกลิ่นและรสชาติมันเชื่อมโยงกัน) เมื่อคุณได้กลิ่นคุณก็รู้รสชาติ ดังนั้นผมได้รับกลิ่นและรสชาติของสิ่งที่เธอกำลังกิน เมื่อผมอยู่ในปารีสเมื่อเร็วๆ นี้ มันเป็นวันแม่ มีเด็กๆ ทำขนมเค้กขนาดยักษ์สำหรับแม่ของพวกเขาด้วยครีม, สตรอเบอร์รี่และอะไรเหล่านั้น แล้วต่อมาพวกเขาก็กินขนมเค้กนั้นและผมก็ได้รับรสชาติของสิ่งที่พวกเขากำลังกินทั้งครีมและรสสตรอเบอร์รี่ ฯลฯ นี่หมายถึงว่าเราป้อนตัวเองด้วยวิธีที่แตกต่างไป ถ้าคุณมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ตกดินในภูมิทัศน์ที่สวยงาม คุณอยู่ตรงนั้น คุณรู้สึกดี คุณมองดูมันและคุณก็อิ่ม คุณไม่หิวในเวลานั้น นั่นคือการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ มันหมายความว่าคุณจะหล่อเลี้ยงตัวเองในแบบที่เปลี่ยนไปและความรู้สึกในการรับรู้ของคุณจะได้รับพลังที่ละเอียดอ่อนที่สุดของชีวิต
เฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณเท่านั้น เราได้เรียนรู้จากเฮนรี่ว่าขั้นตอนการเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน สัปดาห์แรกร่างกายจะต้องพบกับการล้างพิษโดยการอดอาหาร แล้วสัปดาห์ที่สองร่างกายจะทำการลบเซลล์ความทรงจำของเชื้อโรคและความเครียดเพื่อให้ร่างกายบำบัดด้วยตัวเอง แล้วสุดท้ายในสัปดาห์ที่สามเป็นการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ในช่วงนี้ร่างกายปรับการรับรู้ของมันให้ละเอียดขึ้นและค่อยๆ กลับมาสู่สภาวะที่บริสุทธิ์ดั้งเดิม ซึ่งมันมความพร้อมและสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมทุกชนิดได้
ต : เวลาที่ผมทำสมาธิในป่า ผมวางมือไว้บนพื้นดิน ผมได้ยินเสียงเมล็ดพืชงอก ได้ยินเสียงแมลงเดิน ได้ยินเสียงของใบไม้ผลิ ผมออกไปข้างนอก มันเกิดขึ้นในปีแรกเมื่อผมมาถึงในเดือนมกราคมมันมีอุณหภูมิติดลบสิบองศา ผมออกไปข้างนอกมันมีอากาศสองแบบระหว่างร้อนและหนาว ซึ่งมันยากจะทนได้ ในตอนแรกมันลำบากมาก มีวันหนึ่งผมพูดว่า “ไม่ มันก็คู่กัน” ปกติแล้วอากาศหนาวไม่มีผลต่อผม ดังนั้นผมออกไปข้างนอก มันติดลบสิบองศา แล้วทันทีมันเหมือนกับว่าความหนาวกลายเป็นไม่มีอะไร ผมไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว ปีแรกนั้นผมรู้สึกถึงความหนาว พอปีที่สองเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ร่างกายของผมหนักเพิ่มสามกิโลในช่วงกลางคืน และเมื่อผมไปที่อิตาลีพบภรรยาและลูกชายของผม มันร้อน ๔๐ องศาเซลเซียส น้ำหนักผมลดสามกิโลในช่วงกลางคืน ตอนแรกผมบอกตัวเองว่ามันคือน้ำที่ผมดื่ม มันจะต้องเป็นเพราะการกักเก็บน้ำ แต่เมื่อสองปีที่แล้วผมก็เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ ร่างกายหดตัวลงหรือผ่อนคลาย น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้น ร่างกายแน่นขึ้น หรือในทางตรงกันข้ามมันผ่อนคลาย มันไม่เกี่ยวกับน้ำอะไรเลย น่าทึ่งมาก ร่างกายมีความสามารถที่จะปรับตัวเองเข้ากับทุกๆ สิ่ง ดังนั้นเราจะหล่อเลี้ยงตัวเองโดยการรับรู้ความรู้สึก ซึ่งจะเกิดขึ้นในมิติหนึ่งซึ่งเราไม่สามารถจินตนาการได้
เมื่อร่างกายได้รับเอกราชกลับคืนมาจากอาหารวัตถุ การอยู่ด้วยพลังปราณจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ
ต : ทีนี้เมื่อเราไปถึงสภาวะนั้น ความรู้สึกของการรับรู้มันจะเหลือเชื่อและสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากนั้นคืออะไร? คุณก็จะอยู่ในแสงออร่าของคุณ แล้วอะไรคือแสงออร่า? มันก็คือสนามพลังงานของคุณ สนามพลังงานที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณ ดังนั้น ก่อนอื่นแสงออร่าจะมีขนาดที่น่าพิศวง คุณสามารถปรับมันให้ไกลเท่าที่คุณต้องการ ขนาดเท่ากับห้อง ขนาดเท่ากับบ้าน ขนาดเท่ากับสถานที่ ฯลฯ และหลังจากนั้น คุณจะเพ่งอยู่ที่ปราณซึ่งในแสงออร่า แล้วปราณนั้นก็จะมีความหนาแน่นมากขึ้น จนคุณจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากทุกรูขุมขนของผิวหนังคุณวันละ ๒๔ ชั่วโมง แล้วคุณจะไม่ต้องทำอะไรเลย คุณได้รับอาหารอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณไปถึงสภาวะนั้น คุณพูดได้เลยว่าคุณอยู่ได้ด้วยพลังปราณ เพราะคุณไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องอะไรแล้ว เซลล์ต่างๆ จะรับเอาสิ่งที่ต้องการจากปราณนั้น
ตามทัศนะของเฮนรี่ เมื่อเราไปถึงสภาวะไม่ต้องกินอาหาร สามารถอยู่ได้ด้วยพลังจักรวาลอย่างเดียว จิตสำนึกและการรับรู้ความรู้สึกจะขยายออกไปเหนือการแบ่งแยก “ตัวเอง” และ “ผู้อื่น”
ต : เมื่อเราอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะไปถึงระดับที่เราเรียกว่าความปิติ คำว่าปราณมาจากประเพณีของฮินดู ชาวจีนเรียกว่าชี่, ชี่กง, ไท่ชี่ฉวน, ชาวโพลีนีเซียเรียกมันว่า มานาส ซึ่งรู้จักกันมาแต่ครั้งโบราณในประเพณีต่างๆ ความปิติไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีด้านตรงกันข้าม หมายถึงเราจะมีความรู้สึกเต็มและเต็มอยู่เสมอ ไม่มีขณะใดที่เราจะรู้สึกว่าว่างเปล่า ความรู้สึกที่เต็มและเต็มไปด้วยความรัก ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว อีกทั้งความโดดเดี่ยวนั้นก็สลายไป ถ้าจักรวาลทั้งหมดเป็นภาพพิศวงขนาดมหึมา เรารู้สึกเหมือนเป็นชิ้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่ง และมีอยู่ในที่ของมัน ไม่มาก ไม่น้อย แต่อยู่ตรงที่ของมันและในเวลาของมัน ในเวลาที่เหมาะสมนั้น แล้วจากจุดนั้นจะมีความรู้สึกของความเต็มอิ่มและปิติสุข ที่มาในชีวิต ที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเศร้าอีกต่อไป ไม่ถูกทอดทิ้ง...
นอกจากการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณด้วยพลังงานของจักรวาล การอยู่โดยไม่กินอาหารมีประโยชน์ทางกายภาพอย่างมากมายมหาศาล (ถ : ตอนนี้คุณไม่ป่วยอีกแล้ว?)
ต : นั่นแหละ เราไม่รู้จักความเจ็บป่วยอีกต่อไป เราจะไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเหนื่อยอ่อน ไม่รู้จักอิดโรย เราสามารถพูดได้หลายชั่วโมง เราทำงานได้นานหลายชั่วโมง สามารถทำสิ่งต่างๆ มากมาย (ถ : คุณรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น มีความต้านทานมากขึ้น?) ผมรู้สึกเป็นหนุ่ม(หัวเราะ) กระชุ่มกระชวยขึ้น และมีสัญญาณภายนอกของความกระปรี้กระเปร่า ผมของผมเป็นสีดำ ผิวหนังตึงขึ้น สายตาของผม ผมเคยใส่แว่น แต่ตอนนี้แทบจะไม่ต้องใส่แว่นเลย ผิวหนังของผม เนื่องจากตับก่อนนี้ไม่แข็งแรง ผิวหนังก็แห้งมาก ผมมีผิวแบบที่เรียกว่า “หนังงู” คือลายเหมือนกับเกล็ด เหมือนเป็นแผลและเป็นลมพิษอยู่เสมอ อะไรพวกนั้น นี่เป็นสัญญาณว่าตับทำงานไม่ปกติ แล้วมันก็หายไปโดยสิ้นเชิง และในอีกระดับหนึ่งผมปรับตัวได้ง่ายมาก เพราะว่าเมื่อก่อนผมมีอาการโรคปวดข้อ มันมาจากปู่ของผม มันเป็นกรรมพันธุ์ เราพูดได้ว่ามันมาจากยีน เมื่อผมอายุ ๓๕ ผมมักเป็นตะคริวหรือที่เรียกว่ารูมาติซึ่มหรือรูมาตอย(rheumatism) คือคุณไม่สามารถจับอะไรได้ ไม่มีกำลัง แล้วคุณก็ทำของหล่น มันเป็นอาการที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเริ่มเมื่อผมอายุ ๓๕ แล้วตอนนี้ผมไม่มีปัญหานั้นแล้ว ผมเคยมีปัญหาเรื่องปวดหลัง ปวดมาก ผมเป็นหมอนรองกระดูเลื่อน การแทรกซึมในข้อสันหลัง ฯลฯ ผมคิดว่าถ้าผมไม่มีประสบการณ์นี้ทั้งหมดนั้นก็คงต้องเป็นอยู่และยิ่งเลวร้ายลงไป มันเกี่ยวข้องกับพิษต่างๆ ที่สะสมไว้ในข้อ ดังนั้นเราจะเห็นผลของมันได้รวดเร็วในการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ปัญหาทั้งหลายนั้นหมดไปเลย
ประโยชน์อันมหาศาลครอบคลุมถึงด้านอื่นๆ ของชีวิตประจำวัน (ถ : ในระดับของพลังงาน มันคงจะเกินบรรยาย?)
ต : ใช่ แน่นอน พลังงานนั้นมันเหมือนกับเราเชื่อมต่อกับพลังแห่งชีวิต พลังที่ไร้ขีดจำกัดไม่มีวันหมด เรายิ่งกระทำ พลังงานก็ยิ่งมีมากขึ้น เราสามารถเดินได้หลายชั่วโมง ขับรถได้หลายชั่วโมง ทำงานหลายชั่วโมง อ่านหนังสือได้เร็วขึ้นโดยมีความสามารถในการจดจ่อมากขึ้นและเรานอนหลับคืนละ ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้น เราสามารถใช้เวลานี้ทำงานทางอินเตอร์เนตหรืออ่านหนังสือ ผมอ่านหนังสือเยอะแยะมากมายโดยใช้เวลาที่เราได้จากการนอนน้อยลง เราจะสามารถใช้มันมาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากขึ้น (ถ : เมื่อเราคิดถึงเวลาทั้งหมดที่เราใช้ในการช๊อบปิ้ง ทำอาหาร ทำความสะอาด ซักล้าง มันเป็นสวรรค์จริงๆ?) เราลองนับเวลาที่เราใช้ในการทำเรื่องนั้นๆ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีด้านการเงิน เพราะว่าเราใช้เงินน้อยลงและเราก็อยู่อย่างเรียบง่ายขึ้น ใช้ไฟฟ้าน้อยลง เรามีชีวิตที่ง่ายขึ้น ความจำเป็นต่างๆ ก็ลดลง ผมไม่มีรถ ผมอยู่ใจกลางเมือง ผมมีรถจักรยาน ผมเดิน มันเป็นสวรรค์จริงๆ
เฮนรี่ ในปัจจุบันนี้ทำงานต่อเนื่องจากหนังสือเล่มแรกของเขา “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งของด้านจิตวิญญาณ” และใช้เวลาของเขาในการสัมมนาและช่วยผู้อื่นให้มีวิถีชีวิตที่สุขภาพดีขึ้น ด้วยการขจัดการเป็นทาสของอาหารวัตถุ
ต : ผมจัดสัมมนาจนถึงเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายนของปีหน้า แล้วตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป ผมจะสร้างกลุ่ม ๓ กลุ่มประมาณ ๒๐ คน สำหรับคนที่อยากให้ผมดูแลเรื่องการอยู่ด้วยพลังปราณ (ถ : สาธารณชนมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการสัมมนาของคุณ?) มันเป็นเรื่องที่พิเศษมาก มันปรากฏชัดเจนว่ามีบางสิ่งที่อยู่ในอากาศระยะหนึ่ง เพราะมันมีความต้องการมากเกินคาด เราจัดสัมมนาในปารีสมีที่นั่ง ๑๒๐ ที่ แต่มีคนมา ๒๕๐ คน มันเหมือนกันเลยทุกที่ ในเมืองนองต์เราจัดสัมมนา ๔ ครั้ง คนเต็มห้อง เราได้รับการขอร้องให้จัดอีก มันแทบไม่น่าเชื่อความรู้สึกของผู้คน ความอยากรู้ในเรื่องนั้นและคำถามและความกระตือรือร้น
ขอบคุณ คุณเฮนรี่ สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและการเดินทางมาเป็นผู้กินอากาศ การช่วยเหลือของคุณ เพื่อให้ผู้อื่นได้ไปถึงสภาวะที่มีความผาสุกทั้งร่างกายและจิตใจนั้นน่ายกย่องมาก เราขอให้คุณพบความสำเร็จกับหนังสือเล่มใหม่ของคุณและส่งความปรารถนาดีให้แก่ความพยายามที่มีเมตตาของคุณ
ติดต่อคุณเฮนรี่ มอนฟอร์ต เชิญเข้าชมที่
nourriture.pranique.free.fr
ข้อมูลเพิ่มเติมของหนังสือของเฮนรี่ มอนฟอร์ต “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ” (Pranic Nourishment : Another Path to Spirituality) เชิญชมที่
nourriture.pranique.free.fr/livre.html
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่
www.SupremeMasterTV.com/BMD
8 มีนาคม 2558 00:22 น.
คีตากะ
หนังสือตัวอย่าง
กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที
อนุตราจารย์ชิงไห่
“ฉันมิได้จำแนกตัวเองว่าเป็นศาสนาพุทธหรือศาสนาคาทอลิก ฉันยึดมั่นในสัจธรรม และฉันเทศน์สัจธรรม ท่านอาจจะเรียกว่าศานาพุทธ ศาสนาคาทอลิก ลัทธิเต๋า หรืออะไรก็ตามที่ท่านชอบ ฉันยินดีต้อนรับทุกศาสนา”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“เมื่อเราบรรลุถึงความสงบสุขภายใน เราก็จะบรรลุทุกสิ่งทุกอย่าง ความสมปรารถนาทุกอย่างทั้งทางโลกและสวรรค์ ล้วนมาจากอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเกิดจากการตระหนักรู้ภายในถึงความสอดคล้องกลมกลืนชั่วนิรันดร์ของเราถึงปัญญานิรันดร์ของเรา และถึงมหาพลานุภาพของเรา หากเราไม่บรรลุสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่มีวันพอใจ ไม่ว่าเราจะมีเงินหรือมีอำนาจมากขนาดไหน หรือไม่ว่าจะมียศตำแหน่งสูงเพียงไรก็ตาม”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“คำสอนของเราก็คือ อะไรก็ตามที่ท่านจำเป็นต้องทำในโลกนี้ ก็จงทำไป ทำอย่างสุดชีวิตจิตใจ จงมีความรับผิดชอบ และนั่งสมาธิทุกๆ วันด้วย แล้วท่านจะมีความรู้มากขึ้น เป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้มากขึ้น และได้รับความสงบสุขมากขึ้น เพื่อที่ท่านจะสามารถช่วยเหลือตนเองและรับใช้โลก จงอย่าลืมว่า ท่านมีความดีของตัวท่านเองอยู่ภายใน จงอย่าลืมว่า ท่านมีพระเจ้าอาศัยอยู่ภายในตัวท่าน จงอย่าลืมว่า ท่านมีพระเจ้าอยู่ภายในหัวใจของท่าน”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
บทนำ
ตลอดทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา มนุษย์ชาติได้รับการมาเยือนจากปัจเจกชนที่หาได้ยากยิ่ง และเป็นผู้มีเป้าหมายเดียวกันคือ การยกระดับจิตวิญญาณของมนุษยชาติหนึ่งในผู้มาเยือนเหล่านี้ได้แก่พระเยซูคริสต์ เช่นเดียวกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า และพระโมฮัมหมัดก็เช่นกัน ท่านทั้งสามนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พวกเรา แต่ก็ยังมีบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งเราไม่รู้จักนาม บางท่านที่มีโอกาสได้สอนผู้คนอย่างเปิดเผยก็จะเป็นที่รู้จักของผู้คนกันบ้างเล็กน้อย ในขณะที่บางท่าน ไม่มีผู้ใดรู้จักเลย ปัจเจกชนเหล่านี้ได้รับการขนานนามแตกต่างกันไปตามยุคสมัย และในดินแดนต่างๆ กัน พวกท่านยังได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น อาจารย์ ร่างอวตาร ผู้รู้แจ้ง ผู้ช่วยให้รอด พระผู้มาโปรดโลก พระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทูตสวรรค์ ปราชญ์ผู้รู้ นักบุญที่มีชีวิต เป็นต้น ท่านเหล่านี้ได้มอบสิ่งที่เรียกว่า การรู้แจ้ง การไถ่บาป การตระหนักรู้ การหลุดพ้น หรือการปลุกให้ตื่นขึ้นแก่พวกเรา คำพูดที่ใช้ อาจจะมีความแตกต่างกัน หากแต่ในแก่นแท้นั้นล้วนหมายถึงสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น
ผู้มาเยือนจากต้นกำเนิดศักดิ์สิทธิ์เดียวกันนี้ ซึ่งเป็นผู้มีความยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณ มีความบริสุทธิ์ทางศีลธรรม และมีพลังที่จะยกระดับมนุษยชาติเช่นเดียวกับผู้มาเยือนที่ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งในอดีตนั้นได้มีประวัติอันยาวนานสืบทอดมาถึงพวกเราจนถึงทุกวันนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การปรากฏตัวของท่านเหล่านี้ก็ยังเป็นที่รู้จักกันน้อย หนึ่งในท่านเหล่านี้ก็คือท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่อาจจะไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะนักบุญที่มีชีวิตอยู่ ท่านเป็นสตรีท่านหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วชาวพุทธและผู้นับถือศาสนาอื่นๆ จำนวนมาก เชื่อในตำนานที่ว่าผู้หญิงไม่สามารถเป็นพุทธะได้ ท่านอาจารย์มีเชื้อสายชาวเอเชีย และชาวตะวันตกจำนวนมากหวังว่า พระเจ้าผู้ช่วยกู้โลกให้รอดพ้นของพวกเขานั้น จะมีหน้าตาคล้ายพวกเขา อย่างไรก็ตาม พวกเราซึ่งมาจากทั่วทุกมุมโลก และมาจากภูมิหลังทางศาสนาที่แตกต่างกันมาก ผู้ซึ่งได้รู้จักท่านอาจารย์และปฏิบัติตามคำสอนของท่านนั้น ทราบดีว่าท่านคือใคร และท่านเป็นอะไร การจะทราบเช่นนี้ได้ จะต้องอาศัยการเปิดใจและความจริงใจ นอกจากนี้ ยังต้องใช้เวลาและความตั้งใจของท่านด้วย
ผู้คนใช้เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาในการหาเลี้ยงชีพ และสนใจแต่ความต้องการทางวัตถุเราทำงานเพื่อพัฒนาชีวิตของเราและชีวิตผู้เป็นที่รักของเราให้มีความสุขสบายมากขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเวลาอำนวย เราก็มอบความสนใจของเราให้หมดไปกับสิ่งต่างๆ เช่น การเมือง กีฬา โทรทัศน์ หรือข่าวลือล่าสุด พวกเราผู้เคยมีประสบการณ์กับพลังอันเปี่ยมด้วยรักของการติดต่อภายในโดยตรงกับสวรรค์ ทราบว่าสำหรับชีวิตแล้วมีมากกว่านี้ พวกเรารู้สึกว่า มันน่าเสียดายจริง ที่ข่าวดีนี้ไม่เป็นที่ทราบกันกว้างขวาง วิธีเอาชนะความทุกข์ยากทั้งหมดของชีวิต กำลังก่อตัวอยู่เงียบๆ ภายในตัวเรา เราทราบดีว่า สวรรค์อยู่ห่างแค่ลมหายใจ แต่จงให้อภัยแก่เราด้วย ที่เรามีความกระตือรือร้นมากเกินไปและอาจพูดสิ่งต่างๆ ที่อาจจะขุ่นเคืองใจของท่านที่คิดด้วยเหตุผลที่ต่างจากเรา มันยากสำหรับเราที่จะเงียบอยู่ และไม่พูดในสิ่งที่เราได้เห็นมา และบอกในสิ่งที่เรารู้
เราซึ่งถือตัวเราเองว่าเป็นศิษย์ของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ และเป็นผู้บำเพ็ญธรรมวิถีของท่าน(ธรรมวิถีกวนอิม) ขอมอบหนังสือแนะนำเล่มนี้แด่ท่านด้วยความหวังที่ว่า หนังสือเล่มนี้จะสามารถช่วยนำท่านก้าวเข้าไปสู่ประสบการณ์ ที่จะช่วยให้ท่านสมปรารถนาแห่งสวรรค์ของท่าน ไม่ว่าจะโดยท่านอาจารย์ของเราหรือผู้อื่นใดก็ตาม
ท่านอาจารย์ชิงไห่ บอกกล่าวถึงความสำคัญของการนั่งสมาธิ การเพ่งภายใน และการอธิษฐาน ท่านอธิบายว่า เราต้องค้นพบการปรากฏของพระเจ้าภายในเราเอง ถ้าเราจะมีความสุขอย่างแท้จริงในชีวิตนี้ ท่านบอกเราว่า การรู้แจ้งไม่ใช่สิ่งลึกลับและเอื้อมไม่ถึง หรือบรรลุได้เฉพาะผู้ที่ปลีกตัวออกจากวงสังคม งานของท่านคือการปลุก การปรากฏของพระเจ้าภายในตัวเราเองให้ตื่นขึ้น ขณะที่เราดำเนินชีวิตปกติ ท่านกล่าวว่า มันเป็นดังนี้ เราทุกคนรู้สัจธรรม เพียงแต่ว่าเราลืมไป ดังนั้น บางครั้งใครคนหนึ่งต้องมาเตือนเราให้ทราบถึงเป้าหมายของชีวิตเราว่า ทำไมเราต้องค้นหาสัจธรรม ทำไมเราต้องปฏิบัติสมาธิ และทำไมเราต้องเชื่อมั่นในพระเจ้าหรือพุทธะ หรือผู้ใดก็ตาม ซึ่งเราคิดว่าเป็นพลังสูงสุดในจักรวาล ท่านไม่ได้ขอให้ใครทำตามท่าน ท่านเพียงมอบการรู้แจ้งของท่านเป็นตัวอย่างเพื่อว่าคนอื่นๆ อาจจะบรรลุการหลุดพ้นสูงสุดของพวกเขาเอง
หนังสือเล่มเล็กๆ นี้เป็นการแนะนำคำสอนของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ โปรดทราบด้วยว่า การเทศน์ ความเห็น และคำกล่าวของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ที่บรรจุอยู่ในนี้ ได้รับการบันทึก ถอดความ บางครั้งแปลจากภาษาอื่นๆ แล้วเรียบเรียงเพื่อการพิมพ์ เราจึงแนะนำให้ท่านฟังเทป หรือชมวีดิทัศน์ดั้งเดิมจากสื่อเหล่านี้ ท่านจะได้รับประสบการณ์ภายในการพบท่านอาจารย์ที่สมบูรณ์แบบจากแหล่งเหล่านี้ได้ดีกว่าการอ่านคำพูดที่เขียนไว้ แน่นอนว่า ประสบการณ์ที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือ การพบท่านอาจารย์ด้วยตัวเอง
สำหรับบางคน ท่านอาจารย์ชิงไห่คือมารดาของพวกเขา สำหรับบางคน ท่านเป็นบิดาของพวกเขา และสำหรับคนอื่นๆ ท่านคือที่รักของพวกเขา อย่างน้อยที่สุด ท่านก็คือมิตรที่ดีที่สุด ที่คุณสามารถมีได้ในโลกนี้ ท่านมาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นผู้ให้ ไม่ใช่เพื่อเป็นผู้รับ ท่านไม่รับสิ่งตอบแทนใดๆ สำหรับคำสอน การช่วยเหลือ หรือการประทับจิตของท่าน สิ่งเดียวที่ท่านจะรับจากคุณก็คือ ความทุกข์ ความเศร้าโศก และความเจ็บปวดของคุณ แต่มันจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือจากท่านเท่านั้น
* * * * * * * * *
ข่าวสาส์นเล็กน้อย
ในฐานะที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะต่างๆ รวมถึงเป็นครูทางจิตวิญญาณ ท่านจึงชื่นชอบการแสดงออกถึงความงามภายใน ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงปรารถนาที่จะเรียกประเทศเวียดนามว่า “เอาหลัก” และเรียกประเทศไต้หวันว่า “ฟอร์โมซา” โดยที่ “เอาหลัก” เป็นชื่อโบราณของประเทศเวียดนาม อันความหมายว่า ความสุข ส่วนชื่อ “ฟอร์โมซา” นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความงามของเกาะและผู้คนที่นั่นได้อย่างสมบูรณ์แบบกว่า ท่านอาจารย์รู้สึกว่า การใช้ชื่อเหล่านี้ จะนำมาสู่การยกระดับทางจิตวิญญาณ และนำความโชคดี มาสู่ดินแดนและผู้คนที่นั่น
“อาจารย์ คือ ผู้ที่มีกุญแจซึ่งทำให้ท่านกลายเป็นอาจารย์ได้ เพื่อช่วยให้ท่านตระหนักรู้ว่า ท่านก็เป็นอาจารย์คนหนึ่ง และท่านกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็เท่านั้นเอง นี่แหละคือบทบาทเดียวเท่านั้นของผู้ที่เป็นอาจารย์”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“วิถีทางของเรามิใช่ศาสนา ฉันไม่ได้ต้องการเปลี่ยนใครให้หันมานับถือศาสนาคาทอลิก หรือศาสนาพุทธ หรือ “ศานา” อื่นใด ฉันเพียงแต่มอบแนวทางที่เรียบง่ายวิธีหนึ่งที่จะทำให้ท่านได้รู้จักตัวท่านเอง เพื่อค้นพบว่า ท่านมาจากไหน เพื่อให้ท่านจำได้ว่าภารกิจของท่านบนโลกนี้คืออะไร เพื่อค้นพบความลับของจักรวาล เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า ทำไมจึงมีความทุกข์ยากมากมายนักและจะทำให้ท่านมองเห็นสิ่งที่รอเราอยู่หลังความตาย”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“เราถูกแยกออกจากพระเจ้า เพราะว่าเรายุ่งเกินไป ถ้ามีคนกำลังพูดคุยกับคุณอยู่ และโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และคุณกำลังยุ่งอยู่กับการทำครัวหรือพูดคุยกับคนอื่นอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีใครสามารถติดต่อกับคุณได้ พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระองค์กำลังเรียกเราอยู่ทุกวัน แต่เราไม่มีเวลาให้พระองค์เลย และคอยแต่จะวางหูโทรศัพท์ใส่พระองค์”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
ชีวประวัติโดยสังเขปของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ท่านอาจารย์ชิงไห่เกิดในครอบครัวฐานะดีที่ประเทศเอาหลัก ท่านเป็นธิดาของนายแพทย์แผนโบราณที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง ท่านได้รับการเลี้ยงดูแบบคาทอลิก และได้เรียนรู้พื้นฐานของศาสนาพุทธจากยายของท่าน เมื่อสมัยเยาว์วัย ท่านมีความสนใจเกินวัยในคำสอนทางด้านปรัชญาและศาสนา รวมทั้งท่านมีความเมตตากรุณาต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมากผิดจากคนทั่วไป
เมื่อท่านอาจารย์ชิงไห่มีอายุได้ ๑๘ ปี ท่านได้ย้ายไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษและต่อมาก็ย้ายไปประเทศฝรั่งเศสและประเทศเยอรมันที่ซึ่งท่านทำงานให้กับสภากาชาด และแต่งงานกับนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน หลังจากใช้ชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุขมาได้ ๒ ปี ท่านก็สละชีวิตแต่งงานไปแสวงหาการรู้แจ้งโดยที่สามีของท่านก็เห็นชอบด้วย การไปครั้งนี้นับเป็นการทำให้อุดมการณ์ที่ท่านมีมาแต่วัยเด็กสมปรารถนา ณ เวลานั้น ท่านศึกษาวิธีบำเพ็ญสมาธิและการฝึกฝนทางจิตวิญญาณต่างๆ หลายวิธี โดยมีครูและอาจารย์ที่ท่านพอพบหาได้เป็นผู้ชี้นำ และวันหนึ่ง ท่านก็ตระหนักว่า การที่คนคนเดียวพยายามช่วยดับทุกข์ของมนุษยชาตินั้น เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ และท่านพบว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยผู้คนก็คือ การบรรลุถึงการรู้แจ้งอันสมบูรณ์ด้วยตัวท่านเอง ด้วยเป้าหมายหนึ่งเดียวนี้ ท่านจึงเดินทางไปประเทศต่างๆ มากมาย เพื่อแสวงหาวิถีแห่งการรู้แจ้งอันสมบูรณ์
ท่านอาจารย์ชิงไห่เผชิญกับบททดสอบและความยากลำบากมากมายหลายปี ในที่สุด ท่านก็ได้พบกับธรรมวิถีกวนอิม การถ่ายทอดธรรมวิถีอันสูงส่งในเทือกเขาหิมาลัย หลังจากการปฏิบัติธรรมอย่างขยันหมั่นเพียรระยะเวลาหนึ่ง ในช่วงที่ท่านปลีกวิเวกอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ท่านก็ได้บรรลุการรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์
หลังจากท่านอาจารย์ชิงไห่รู้แจ้งแล้ว ท่านได้ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ และอ่อนน้อมถ่อมตนดั่งแม่ชีในพุทธศาสนา เนื่องจากท่านเป็นคนขี้อาย ท่านจึงเก็บสิ่งที่ล้ำค่านี้ไว้ จนกระทั่งมีคนค้นพบคำสอนของท่านและการประทับจิต เนื่องด้วยท่านเห็นแก่การขอร้องและความพยายามของศิษย์รุ่นแรกๆ ของท่านในฟอร์โมซาและในสหรัฐอเมริกา ท่านจึงได้เดินทางไปปาฐกถาธรรมทั่วโลกและได้ประทับจิตให้แก่ผู้ที่มีความปรารถนาทางจิตวิญญาณอย่างจริงใจหลายหมื่นคน
ทุกวันนี้มีผู้แสวงหาสัจธรรมจากประเทศต่างๆ และทุกศาสนา หลั่งไหลกันมาหาท่านอย่างต่อเนื่องเพื่อพุทธิปัญญาอันสูงสุดของท่าน สำหรับผู้ที่มีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้และบำเพ็ญวิถีแห่งการรู้แจ้งฉับพลัน ซึ่งท่านอาจารย์เองได้พิสูจน์แล้วว่าธรรมวิถีกวนอิมเป็นวิถีที่สูงส่งที่สุด ท่านอาจารย์ชิงไห่ก็ยินดีให้การประทับจิตและให้การแนะนำทางจิตวิญญาณต่อไป
โลกนี้เต็มไปด้วยปัญหา
มีเพียงฉันที่คิดถึงแต่ท่าน
ถ้าหากท่านเสด็จมายังโลก
ปัญหาทั้งหมดก็คงจะถูกขจัดไป
แต่เนื่องจากโลกนั้นเต็มไปด้วยปัญหา
ฉันจึงมิอาจหาที่ให้สำหรับท่านได้
ฉันจะยอมขายเหล่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
และดวงดาราทั้งมวลในจักรวาล
เพียงเพื่อซื้อการเหลือบมองอันงดงามของท่านสักแวบหนึ่ง
โอ ท่านอาจารย์แห่งรัศมีอันเป็นนิรันดร
โปรดเมตตาปรานีและสลัดรัศมีสัก ๒,๓ ลำ
มาสู่หัวใจอันถวิลหาของฉันด้วยเถิด
ผู้คนทางโลกจะออกเที่ยวในยามกลางคืนเพื่อร้องรำ
ภายใต้แสงทางโลกและดนตรีทางโลก
มีเพียงฉันผู้เดียวที่นั่งอยู่ในภวังค์
แกว่งไกวไปกับรัศมีและท่วงทำนองภายใน
ตั้งแต่ฉันได้ทราบถึงความรุ่งโรจน์ของท่าน โอ พระเจ้า
ฉันก็มิอาจรักสิ่งใดในโลกนี้
โปรดโอบฉันไว้ในความเมตตาอันเปี่ยมไปด้วย
ความรักของท่านตลอดไป สาธุ
จาก ”น้ำตาเงียบงัน” การรวบรวมบทกวี
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ความลี้ลับเหนือโลก
เทศนาโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕
องค์การสหประชาชาติ นิวยอร์ค
ยินดีต้อนรับสู่องค์การสหประชาชาติ และกรุณาอธิษฐานร่วมกันพักหนึ่งตามความเชื่อของท่าน เราขอขอบคุณสำหรับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราได้รับและเราปรารถนา เราหวังว่า ผู้ที่ไม่พอจะถูกประทานดังเช่นที่เราถูกประทาน เราหวังว่า ผู้ลี้ภัยทั่วโลก ผู้รับเคราะห์สงคราม ทหาร ผู้นำรัฐบาลและแน่นอน ผู้นำขององค์การสหประชาชาติ จะสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาต้องการ และอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติภาพ
เราเชื่อว่า สิ่งที่เราขอ จะถูกประทานให้ เพราะมันกล่าวไว้เช่นนั้นในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ขอบคุณค่ะ
ท่านทราบไหมว่า วันนี้ หัวข้อเทศนาของเราคือ “เหนือโลกนี้” เพราะฉันไม่คิดว่าฉันอยากจะกล่าวถึงโลกนี้ให้ท่านฟังอีกต่อไป เพราะเรื่องเหล่านั้นทุกท่านล้วนทราบแล้ว แต่เหนือโลกนี้ไป เรามีสิ่งอื่นๆ ซึ่งฉันคิดว่า ทุกท่านซึ่งอยู่ ณ ที่นี้ สนใจที่จะทราบ มันมิใช่อะไรอย่างที่เพื่อนประทับจิตเพิ่งพูดถึงอภินิหารหรืออะไรที่อัศจรรย์ ที่ท่านไม่สามารถเชื่อได้ มันคือสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นตรรกะ และมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เราล้วนได้ยินว่า ในพระธรรมหรือพระคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ กล่าวไว้ว่า มีสวรรค์๗ ชั้น มีระดับจิตสำนึกต่างๆ กัน มีอาณาจักรของพระเป็นเจ้าภายใน มีธรรมชาติของพุทธะ เหล่านี้คือสิ่งซึ่งได้รับการสัญญาว่าจะมีอยู่เหนือโลกนี้ แต่มีผู้คนไม่มากนักที่มีโอกาสได้สิ่งซึ่งถูกสัญญาไว้ในพระคัมภีร์เหล่านี้ ไม่มากนัก ฉันจะไม่กล่าวว่าไม่มีเลย แต่มันมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับพลเมืองของโลก ผู้ซึ่งมีโอกาสได้รับอาณาจักรของพระเป็นเจ้าภายใน หรือสิ่งที่เราเรียกว่า “สิ่งที่อยู่เหนือโลกนี้” มีน้อยมาก
และถ้าท่านอยู่ในอเมริกา บางทีท่านจะมีโอกาสที่จะอ่านหนังสือมากมายที่บรรยายถึงสรรพสิ่งซึ่งอยู่เหนือโลกของเรา และภาพยนตร์บางเรื่องที่ชาวอเมริกันสร้าง ก็มิใช่นิยายไปเสียทั้งหมด อีกทั้งยังมีภาพยนต์บางเรื่อง ที่สร้างโดยชาวญี่ปุ่นซึ่งมิใช่นิยายล้วนๆ เพราะผู้คนเหล่านี้อาจจะอ่านหนังสือบางเล่ม ซึ่งแต่งโดยผู้ที่เคยอยู่เหนือโลกนี้ หรือพวกเขาเองได้มองเห็นอาณาจักรของพระเจ้าในช่วงเวลาหนึ่ง
แล้วอาณาจักรของพระเจ้าเป็นอย่างไร ทำไมเราควรที่จะใส่ใจเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเรามีงานทำพอที่จะทำในโลก และเรามีงานทำ เรามีบ้านที่มั่นคง และเรามีความสัมพันธ์อันเปี่ยมด้วยรักเพียงพอแล้ว และอื่นๆ ถูกต้องแล้ว เพราะเหตุว่า เรามีสิ่งทั้งหลายนี้แล้วนั่นเอง เราควรจะสนใจในอาณาจักรของพระเจ้า
มันฟังดูเหมือนกับว่าเราเคร่งศาสนาเกินไป เมื่อเราพูดว่าอาณาจักรของพระเจ้า แท้จริงแล้ว มันเป็นเพียงระดับจิตสำนึกบางอย่างที่สูงกว่า ผู้คนในสมัยก่อน กล่าวว่า มันคือสวรรค์ แต่ในศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เราสามารถกล่าวได้ว่า มันคือระดับความรู้ที่สูงกว่า ระดับปัญญาที่สูงกว่า และสิ่งนี้เราสามารถเข้าถึงได้ หากเราทราบวิธี
ดังนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ในอเมริกา เราต่างได้ยินเรื่องประดิษฐ์กรรมล่าสุดว่าผู้คนสามารถสร้างเครื่องมือที่สามารถทำให้ท่านเข้าสู่สมาธิ ท่านเคยได้รับทราบเรื่องราวเหล่านี้ไหม อุปกรณ์นี้มีขายในอเมริกา ราคาอยู่ที่ ๔๐๐-๗๐๐ ดอลล่าร์สหรัฐ ขึ้นอยู่กับระดับที่ท่านต้องการเข้าถึง เขาว่าเครื่องมือนี้เหมาะสำหรับคนขี้เกียจ ผู้ซึ่งไม่ต้องการทำสมาธิ เพียงแต่ต้องการเข้าสมาธิได้เลย ถ้าหากว่าท่านไม่รู้จัก ฉันจะกล่าวถึงมันอย่างย่อๆ
พวกเขากล่าวว่า เครื่องชนิดนี้สามารถทำให้ท่านเข้าไปในสภาพจิตที่ผ่อนคลาย สภาวะที่ผ่อนคลาย แล้วท่านก็จะมีระดับไอคิวที่สูง เมื่อท่านมีระดับปัญญาที่สูงแล้วท่านจะรู้สึกดียิ่งและอื่นๆ และเครื่องนี้ พวกเขาใช้ดนตรีที่เลือกสรรแล้ว เป็นดนตรีจากภายนอก ดังนั้น ท่านจึงต้องใช้หูฟัง แล้วพวกเขาก็ใส่ไฟฟ้าบางอย่างเข้าไป คงจะเป็นกระแสไฟฟ้าที่กระตุ้นท่าน แล้วท่านก็คงจะเห็นแสงวาบขึ้นมา ดังนั้น ท่านก็ต้องใช้ผ้าปิดตาด้วย หูฟังและผ้าปิดตา เท่านั้นแหละ ที่ท่านต้องใช้เพื่อสมาธิ มันดีอย่างยิ่ง และราคา ๔๐๐ ดอลล่าร์ ถูกมาก แต่สมาธิของเราราคาถูกกว่าด้วยซ้ำไม่เสียค่าอะไร และมันจะคงอยู่กับเราตลอดไป และท่านไม่จำเป็นต้องประจุด้วยหม้อเก็บไฟหรือไฟฟ้า เสียบหรือดึงปลั๊ก หรือในกรณีที่เครื่องเสีย ท่านไม่จำเป็นต้องซ่อมมัน
ทีนี้ หากแสงและดนตรีที่ได้รับการปรุงแต่ง จะช่วยให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายมากและฉลาดมากขึ้น เขาว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดขึ้นได้ จากที่ฉันได้อ่านในหนังสือพิมพ์ เขาว่ามันทำได้ แต่ฉันมิได้ทดลองมันด้วยตนเอง ฉันได้ยินมา ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นที่ฮือฮามากและขายดี แม้ของเทียมพวกนี้ ก็สามารถทำให้เรามีอารมณ์ที่ผ่อนคลาย และเพิ่มระดับสติปัญญาของเราได้ แล้วท่านอาจจะจินตนาการต่อไปว่า หากเป็นของแท้แล้ว มันจะสามารถช่วยด้านปัญญาของเราได้ขนาดไหน ของแท้อยู่เหนือโลกนี้ แต่ทุกคนสามารถเข้าถึง หากเราต้องการติดต่อกับมัน นี่คือดนตรีสวรรค์ภายในและเสียงสวรรค์ภายใน และขึ้นอยู่กับความเข้มของดนตรีนี้ ของแสงภายในหรือดนตรีภายใน เราสามารถทำให้ตัวเองขึ้นเหนือโลกนี้ได้ เข้าไปในระดับความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า
ฉันเดาว่า มันก็เหมือนกฎฟิสิกส์ ท่านอยากส่งจรวดออกไป พ้นแรงโน้มถ่วงของโลก ท่านต้องมีพลังผลักดันมากมายอยู่เบื้องหลัง และเมื่อมันบินเร็วมาก มันก็ฉายแสงออกมาบ้างด้วย ดังนั้น ฉันเดาว่า เมื่อเราเข้าไปในปรภพอย่างเร็ว เราสามารถฉายแสงได้บ้างด้วยเช่นกัน และรวมทั้งเราสามารถได้ยินเสียง
เสียงคือพลังสั่นสะเทือนที่ขับเราเข้าไปในระดับที่สูงกว่า แต่มันทำอย่างนั้นโดยไร้เสียงอึกทึกใดๆ ไร้ความยุ่งยากมากมาย และไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่ลำบากต่อ “ผู้รับประสบการณ์” นั่นคือวิธีที่จะเข้าไปสู่ปรภพ
และมีอะไรที่อยู่เหนือโลกนี้ ซึ่งดีกว่าโลกของเรา ทุกสิ่งที่เราสามารถจินตนาการได้และไม่อาจจินตนาการได้ ทันทีที่เราประสบสิ่งนี้ ตอนนั้นเราก็จะทราบ ไม่มีใครอื่นสามารถบอกเราได้จริงๆ แต่เราต้องยืนหยัดในความพยายามนั้น และเราต้องจริงใจอย่างแท้จริง มิฉะนั้น จะไม่มีใครอื่นสามารถทำมันให้เราได้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครอื่นสามารถเข้าทำงานแทนที่พวกท่าน ณ สำนักงานขององค์การสหประชาชาติได้ โดยที่พวกท่านเป็นคนได้รับเงินเดือน เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครอื่นสามารถช่วยเรารับประทานอาหาร แล้วเรารู้สึกอิ่ม เพราะฉะนั้นวิธีก็คือ การได้รับประสบการณ์ เราสามารถฟังใครคนหนึ่งผู้ซึ่งมีประสบการณ์ที่จะบอกเรา แต่เราไม่สามารถได้รับประสบการณ์มากนักจากสิ่งนั้น เราอาจได้รับประสบการณ์ครั้งหนึ่ง หรือสองถึงสามครั้ง หรือบางวันขึ้นกับพลังของคนคนนั้น ผู้ซึ่งประสบกับพระเจ้า แล้วเราก็อาจจะเห็นแสงบ้างหรือได้ยินเสียงบ้างซึ่งเป็นธรรมชาติมาก โดยไม่ต้องใช้ความพยายามของเรา แต่ในกรณีส่วนใหญ่มันไม่มีความถาวรสักเท่าใดนัก ดังนั้น เราต้องมีประสบการณ์กับมันและทำมันด้วยตัวของเราเอง
เหนือโลกของเรา มีโลกต่างๆ มากมาย เราเพียงสามารถยกตัวอย่างเช่น โลกที่สูงกว่าเราเล็กน้อย ซึ่งเราเรียกว่าโลกอสูรตามศัพท์ของตะวันตก ในโลกอสูร พวกเขามีระดับต่างๆ ๑๐๐ กว่าระดับด้วยซ้ำไป และแต่ละระดับก็เป็นโลกของมันเอง และมันเป็นตัวแทนระดับของความเข้าใจของเรา มันเหมือนเราเข้าไปในมหาวิทยาลัย แล้วขณะที่เราผ่านแต่ละชั้นเรียนของมหาวิทยาลัย มันก็ช่วยเพิ่มพูนความเข้าใจที่มากขึ้นให้กับเรา เกี่ยวกับคำสอนของมหาวิทยาลัยและนำไปสู่ความสำเร็จทางการศึกษาอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
ในโลกอสูร เราจะเห็นสิ่งที่เรียกกันว่าอภิญญาหลายชนิด และบางทีเราจะถูกยั่วยวนโดยอภิญญาด้วย และบางทีเราจะมีอภิญญาด้วย เราสามารถรักษาคนป่วยได้ บางครั้งเราสามารถเห็นบางสิ่ง ที่ผู้อื่นไม่สามารถเห็นได้ เรามีอภิญญาอย่างน้อยที่สุด ๖ อย่าง เราสามารถเห็นเกินเขตแดนปกติได้ เราสามารถได้ยินเกินเขตจำกัดของเทศะ ระยะทางไม่มีผลกระทบต่อเรา นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า ทิพยโสตและทิพยจักษุ แล้วเราก็สามารถมองทะลุความคิดของผู้คนได้ และสิ่งที่เขามีในจิตใจของเขาได้ บางครั้งเราสามารถเห็นได้ พวกนี้คือพลังซึ่งบางครั้งเราได้รับเมื่อเรามีโอกาสเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า
และภายในระดับที่ ๑ นี้ เรามีระดับอื่นๆ ที่ต่างกันอีกมากมาย ซึ่งมีอะไรมากมายเกินกว่าที่ภาษาจะสามารถพรรณาได้ เช่น หลังจากประทับจิต แล้วเรานั่งสมาธิ และถ้าระดับของเราอยู่ที่ชั้นที่ ๑ เมื่อนั้น เราก็จะมีความสามารถมากยิ่งขึ้นอีก แล้วเราก็จะพัฒนาพรสวรรค์ทางวรรณคดีของเราได้อีกด้วย ซึ่งเราไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งเรายังทราบสิ่งมากมาย ที่ผู้อื่นไม่ทราบ และสิ่งต่างๆ มากมายที่เข้ามาหาเราดั่งพรจากสวรรค์ บางครั้งอาจเป็นพรสวรรค์ด้านการเงิน ด้านอาชีพ และบางครั้งก็อาจเป็นพรสวรรค์ด้านอื่นๆ มากมาย และเราเริ่มที่จะเขียนบทกวีได้ หรือเราอาจจะสามารถวาดภาพได้ และเราสามารถทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเราไม่สามารถทำได้มาก่อน และเราไม่เคยสามารถจินตนาการได้ว่า เราจะสามารถทำสิ่งนั้นได้ นั่นคือระดับที่ ๑ และเราสามารถแต่งบทกวีได้และแต่งหนังสือด้วยสำนวนโวหารที่สละสลวย และแต่ก่อนเราอาจเป็นเพียงนักประพันธ์สมัครเล่น แต่บัดนี้เราสามารถเขียนได้ เป็นต้น พวกนี้คือประโยชน์ทางวัตถุที่เราจะมีได้ เมื่อเราอยู่ในจิตสำนึกระดับที่ ๑
ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มิใช่ของขวัญจากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้อยู่ในสวรรค์ภายในตัวเรา และเพียงเพราะเราได้ปลุกมันขึ้นมา มันจึงกลับมีชีวิตขึ้น แล้วเราจึงสามารถใช้ประโยชน์ของมัน ดังนั้น นี่ก็คือข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับระดับที่ ๑
ทีนี้ เมื่อเราไปถึงระดับที่สูงกว่า เราก็จะเห็นสิ่งอื่นๆ มากมายและบรรลุเป้าหมายอื่นๆ อีกมากมาย แน่นอนฉันไม่สามารถบอกท่านได้ทุกสิ่งเนื่องด้วยเวลามีจำกัด อีกทั้งมันยังไม่จำเป็นที่จะต้องฟังสิ่งที่สวยงามทั้งหมดเกี่ยวกับเค้กและลูกกวาดทั้งที่เราไม่เคยรับประทานมัน เพราะฉะนั้น ฉันจึงเพียงแต่ “กระตุ้นให้ท่านรู้สึกอยากอาหาร” สักเล็กน้อย และถ้าท่านต้องการรับประทานมัน นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราสามารถมอบอาหารจริงให้ในภายหลัง ใช่ ถ้าท่านต้องการรับประทานสิ่งเหล่านี้
เอาล่ะ ถ้าเราขึ้นเหนือระดับนี้เล็กน้อยถึงระดับที่ ๒ ที่เราเรียกว่า “ระดับที่ ๒” เพียงเพื่อทำให้เข้าใจง่ายเมื่อถึงระดับที่ ๒ แล้วเราก็จะมีความสามารถมากกว่าระดับที่ ๑ มากมาย และรวมทั้งมีอภิญญา แต่ความสำเร็จที่เด่นชัดที่สุดซึ่งเราสามารถมีได้ ณ ระดับที่ ๒ ก็คือมีคารมที่คมคาย และความสามารถที่จะอภิปราย และดูเหมือนไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะบุคคลผู้ซึ่งได้บรรลุระดับที่ ๒ ได้ เพราะเขามีพลังของโวหารที่ยอดเยี่ยมและสติปัญญาของเขาอยู่ ณ จุดสูงสุดของพลังของเขา
ผู้คนส่วนใหญ่ผู้ซึ่งมีจิตธรรมดา หรือมีสติปัญญาระดับธรรมดา ไม่สามารถเทียบได้กับบุคคลผู้นี้ เพราะระดับสติปัญญาของเขาได้เปิดสู่ระดับที่สูงอย่างยิ่ง แต่มันมิใช่เพียงแค่สมองที่ได้พัฒนามากขึ้นเท่านั้น แต่มันคือพลังลี้ลับ มันคือพลังสวรรค์ ปัญญาที่อยู่ภายในตัวเรา ตอนนี้มันเริ่มที่จะเปิดออก ในอินเดียผู้คนเรียกระดับนี้ว่า “พุทธิ” หมายถึงระดับแห่งความคิด และเมื่อท่านบรรลุ “พุทธิ” ท่านก็กลายเป็นพุทธะ นั่นคือที่มาของคำว่า “พุทธะ” “พุทธิ” และพุทธะก็เป็นเพียงเช่นนั้น มันยังไม่สิ้นสุดแค่นี้ ฉันมิได้เพียงจะแนะนำท่านแก่พุทธะเท่านั้น มันมีมากกว่านั้น
ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงเรียกผู้ที่รู้แจ้งว่า “พุทธะ” ถ้าเขาไม่รู้จักเหนือระดับที่ ๒ ขึ้นไป บางทีเขาอาจจะรู้สึกภูมิใจกับมันอย่างยิ่ง ใช่ หากเขาคิดว่าเขาคือพุทธะที่มีชีวิต และศิษย์ของเขาจะภูมิใจเหลือเกินที่เรียกเขาว่าพุทธะ แต่ที่จริงแล้ว ถ้าเขาเพียงแต่บรรลุระดับที่ ๒ ซึ่งเขาสามารถมองทะลุอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของใครก็ได้ ที่เขาเลือกที่จะเห็น และเขามีสำนวนโวหารที่สมบูรณ์แล้วมันก็ยังมิใช่ที่สุดแห่งอาณาจักรของพระเจ้า
และผู้ใดก็ตามก็มิควรจะภูมิใจกับความสามารถในการมองเห็นอดีตปัจจุบัน และอนาคตนี้ เพราะนี่คือบันทึกอคาซิก ดังที่ท่านทราบในศัพท์ของตะวันตก ทุกคนที่ฝึกโยคะหรือสมาธิบางอย่าง จะเข้าใจบันทึกอคาซิก ซึ่งเป็นห้องสมุดอย่างหนึ่ง เหมือนอย่างที่เรามีอยู่ในห้องข้างๆ ในองค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีภาษาทุกภาษาอยู่ในนั้น ท่านจะเห็นภาษาอารบิค รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ทุกสิ่งในห้องสมุดของท่านข้างๆ นี้ ทุกภาษา หากท่านสามารถอ่านภาษาทั้งหลายเหล่านี้ ท่านจะทราบว่า เกิดอะไรขึ้นในประเทศนั้น ดังนั้น ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่มีโอกาสเข้าสู่ระดับที่ ๒ เขาจะเข้าใจ เขาสามารถอธิบายรูปแบบของคนคนหนึ่งได้อย่างชัดเจนมาก อย่างกับที่ท่านมองดูชีวประวัติของท่านเอง
ยังมีมากกว่านี้อีกมากที่จะได้รับจากระดับจิตสำนึกที่ ๒ แต่เมื่อคนหนึ่งไปถึงระดับที่ ๒ มันก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว เป็นพุทธะที่มีชีวิตแล้ว เพราะท่านได้เปิดพุทธิ สติปัญญา และทำให้เราทราบถึงหลายๆ สิ่งที่เราไม่สามารถให้ชื่อได้ และที่เรียกกันว่าอภินิหารทุกอย่าง จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าเราต้องการมันหรือไม่ เพราะสติปัญญาของเราเพิ่งเปิดออก และทำให้เราทราบวิธีติดต่อแหล่งการเยียวยา รู้วิธีจัดการที่สูงกว่า เพื่อทำให้ชีวิตของเราราบรื่นและดีขึ้น และสติปัญญา หรือ “พุทธิ” ของเราได้เปิดออก เพื่อที่มันจะสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นจากอดีตและจากปัจจุบัน เพื่อที่จะจัดการกับมัน และคล้ายกับการแก้ไขอะไรบางอย่างที่เราได้ทำผิดในอดีต เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดและเพื่อทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่ทราบว่า เราได้ล่วงละเมิดเพื่อนบ้านของเรา ด้วยการกระทำที่มิได้จงใจบางอย่าง และบัดนี้เราทราบ ง่ายมาก ถ้าเราไม่ทราบและเพื่อนบ้านต่อต้านเราอย่างเงียบๆ และบางครั้งพยายามทำอะไรบางอย่างข้างหลังเรา เพื่อที่จะทำร้ายเรา เพราะความเข้าใจผิด หรือเพราะเราทำบางสิ่งที่ผิดต่อเพื่อนบ้าน แต่บัดนี้เราทราบว่า ทำไมมันจึงเกิดขึ้น ดังนั้น มันจึงง่าย เราสามารถไปหาเพื่อนบ้านได้ หรือเราสามารถโทรศัพท์ไปได้ หรือเราอาจจัดงานเลี้ยง เชิญเพื่อนบ้านมา แล้วเราก็ขจัดความเข้าใจผิดนั้นเสีย
ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราไปถึงระดับแห่งสติปัญญา โดยอัตโนมัติ ฉันหมายความว่า เราเข้าใจสิ่งทั้งหลายนี้อย่างเงียบๆ และจัดการสิ่งทั้งหลายนี้อย่างเงียบๆ หรือติดต่อกับแหล่งพลังบางอย่างซึ่งสามารถช่วยเราจัดการสิ่งเหล่านี้ เพื่อทำให้วิถีชีวิตของเราดีขึ้น ดังนั้นเราจึงลดอุบัติเหตุและสภาพการณ์อันไม่พึงประสงค์มากมาย และสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อชีวิตของเรา ใช่ ใช่ เพราะฉะนั้น เมื่อเราไปถึงระดับที่ ๒ มันก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์แล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ฉันได้อธิบายให้ท่านฟัง จึงเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง และเป็นตรรกอย่างยิ่ง และไม่จำเป็นต้องคิดว่า โยคีหรือผู้ที่นั่งสมาธิเป็นคนลึกลับบางจำพวกหรือเป็นอี.ที. มนุษย์ต่างดาว พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตในโลกเหมือนพวกเรา ผู้ที่ได้พัฒนาขึ้นเพราะพวกเขาทราบวิธี
ที่อเมริกา เรากล่าวกันว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการรู้วิธี(Know How) ดังนั้นเราจึงสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้ ใช่ไหม เราสามารถเรียนได้ทุกสิ่ง ดังนั้นนี่จึงเป็นศาสตร์ประเภทหนึ่งที่อยู่เหนือโลกนี้ ซึ่งเราก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วย และมันฟังดูแปลกมาก แต่ยิ่งสูงขึ้นเท่าใดก็ยิ่งง่าย มันง่ายกว่าที่เราไปโรงเรียนมัธยมหรือวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยคำถามและปัญหาคณิตศาสตร์อันซับซ้อนทั้งหลายเหล่านี้
ภายในระดับที่ ๒ มีระดับที่แตกต่างมากมายด้วยเช่นกัน แต่ฉันแค่ทำให้มันสั้น เพราะฉันไม่สามารถบรรยายถึงรายละเอียดความลับอะไรต่อมิอะไรทั้งหมดของสวรรค์ได้ อย่างไรก็ตามท่านก็จะทราบสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อท่านเดินทางไปกับอาจารย์ผู้ที่เคยเดินทางไปแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่เป็นความลับ แต่มันนานเกินไปถ้าเราต้องหยุดในแต่ละชั้น ซึ่งมีระดับย่อยมากมายและเราต้องสำรวจทุกสิ่ง มันใช้เวลานานเกินไป ดังนั้น บางครั้งอาจารย์จึงเพียงนำทางท่านอย่างรวบรัดจากระดับหนึ่งไปอีกระดับหนึ่ง เร็วมาก ฉับ ฉับ ฉับ เพราะถ้าท่านมิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเป็นอาจารย์แล้ว ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ทั้งหมดมากนัก มันจะทำให้ท่านปวดศีรษะ ดังนั้นอาจารย์จึงเพียงนำท่านเดินทางผ่านและกลับบ้าน เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว มันจะใช้เวลานาน บางครั้งมันใช้เวลาทั้งชีวิต แต่การรู้แจ้งนั้น เราทำได้ในทันที
แต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้น ก็เหมือนการลงทะเบียน วันแรกที่ท่านลงทะเบียนในมหาวิทยาลัย ท่านก็กลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทันที แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ท่านได้ปริญญาเอกแล้ว หลังจาก ๖ ปี ๔ ปี หรือ ๑๒ ปี แล้วท่านจึงจะได้ ถ้านั่นคือมหาวิทยาลัยที่แท้จริง ถ้าท่านลงทะเบียน และท่านต้องการที่จะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างจริงจังแล้ว จึงทำให้ทั้ง ๒ ฝ่ายต้องร่วมมือกัน
ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการขึ้นเหนือโลกนี้ไป ตัวอย่างเช่น ถ้าแค่พูดกันสนุกๆ เพราะเราไม่มีที่อื่นใดจะไปในนิวยอร์ค เราได้ทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับแมนฮัตตัน ชายหาดลองบีช ชายหาด “สั้น” และทุกชายหาด (เสียงหัวเราะ) สมมุติว่าเราต้องการเดินทางไปยังสถานที่ของมนุษย์ต่างดาว เพื่อดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตกลงไหม ทำไมไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเราจ่ายเงินมากมายไปไมอามี่ ฟลอริดาเพียงเพื่ออาบน้ำในทะเล แล้วทำไมบางครั้งเราจึงจะไปโลกอื่นที่อยู่เหนือโลกนี้บ้างไม่ได้ เพื่อดูว่าดาวเคราะห์ของเพื่อนบ้านของเราหน้าตาเป็นอย่างไร และผู้คนที่นั่นรู้สึกอย่างไร ฉันไม่คิดว่า มันเป็นอะไรที่แปลก มิใช่หรือ มันเป็นเพียงการเดินทางที่ไกลขึ้นเล็กน้อยประเภทหนึ่ง และเป็นการเดินทางทางจิต การเดินทางด้วยจิตวิญญาณแทนการเดินทางทางกาย การเดินทางมีอยู่ ๒ ประเภท ดังนั้น มันจึงเป็นเหตุเป็นผลอย่างมากและเข้าใจง่ายมาก
บัดนี้ เราอยู่ ณ ระดับที่ ๒ มีอะไรอีกที่ฉันควรจะบอกแก่ท่านอีก นี่คือวิธีที่เรายังอยู่ในโลกนี้ต่อไป แล้วเราก็มีความรู้ของโลกอื่นในเวลาเดียวกัน เพราะเราเดินทาง
ก็เหมือนที่ท่านเป็นพลเมืองอเมริกันคนหนึ่ง หรือท่านเป็นพลเมืองของประเทศอื่นในโลก แต่แล้วท่านก็เดินทางจากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศหนึ่งเพียงเพื่อทราบว่า ประเทศเพื่อนบ้านมีลักษณะอย่างไร และฉันเดาว่า พวกท่านจำนวนมากในองค์การสหประชาชาติ มิใช่ชาวอเมริกันแต่กำเนิด ใช่หรือไม่ใช่ ดังนั้น ตอนนี้ท่านทราบสิ่งเดียวกัน เราสามารถเดินทางไปยังดาวดวงต่อไปหรือระดับต่อไปของชีวิต เพื่อให้เข้าใจ เพราะระยะทางมันไกลมาก ดังนั้น เราจึงไม่สามารถเดินไปได้ เราไม่สามารถขึ้นจรวดได้ เราไม่สามารถแม้แต่ขึ้นจานบินไปได้
โลกบางแห่งไกลเกินกว่าที่จานบินจะสามารถบินไปได้ จานบิน หมายถึงวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้ สิ่งซึ่งบินว่อนบนอากาศ ใช่ ปัจจุบันมีเครื่องมือภายในตัวเราซึ่งบินเร็วกว่าจานบินใดจะสามารถทำได้ นั่นคือวิญญาณของเราเอง บางครั้งเราเรียกมันว่าจิตวิญญาณ และเราสามารถบินได้ด้วยสิ่งนี้ โดยปราศจากเชื้อเพลิง ปราศจากตำรวจ หรือการจราจรติดขัดหรือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น และไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงว่า วันหนึ่ง ชาวอาหรับไม่ขายน้ำมันให้เรา (เสียงหัวเราะ) เพราะมันมีทุกอย่างครบในตัวเอง ไม่เคยชำรุด นอกจากเมื่อเราต้องการทำลายมัน ด้วยการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของเอกภพ ก่อกวนความกลมกลืนของสวรรค์และโลก ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายมาก เราจะบอกวิธีการแก่ท่าน ถ้าท่านสนใจใคร่รู้
ตัวอย่างเช่น ฉันจะพูดย่อๆ ตกลงไหม ฉันมิใช่นักเทศน์ อย่ากังวล ฉันไม่นำท่านไปโบสถ์หรอก แค่เพื่อเป็นการยกตัวอย่าง
มีกฎบางข้อในเอกภพที่เราควรจะทราบ ก็เหมือนเมื่อเราขับรถ เราต้องทราบกฎจราจร ไฟแดง ท่านหยุด ไฟเขียว เราไป ให้ชิดซ้ายในเลนขวาทางหลวงแผ่นดิน ความเร็วเท่าไร ดังนั้น จึงมีกฎง่ายมากบางประการในเอกภพ ในเอกภพทางวัตถุ เหนือโลกของเรา เหนือเอกภพทางวัตถุนี้ ไม่มีกฎ ไม่มีกฎโดยสิ้นเชิง เราเป็นอิสระ เป็นพลเมืองอิสระ แต่เราต้องไปเหนือจากนั้นเพื่อที่จะเป็นอิสระได้ และตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลก ในร่างกายทางวัตถุ เราควรที่จะปฏิบัติอยู่ภายใต้กฎให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่เราจะได้ไม่เดือดร้อนแล้วยานพาหนะของเราก็จะไม่เกิดความเสียหาย เราจึงสามารถบินได้เร็วกว่า สูงกว่าโดยไร้ปัญหา
กฎนี้ได้ถูกเขียนในพระคริสต์ธรรมของคัมภีร์คริสต์ศาสนาของท่านและในคัมภีร์พุทธศาสนาหรือในคัมภีร์ของศาสนาฮินดู กฎที่ง่ายมาก เช่น เราไม่ทำร้ายเพื่อนบ้าน เราไม่ฆ่า เจ้าจะต้องไม่ฆ่า ไม่ล่วงประเวณี และไม่ขโมย และไม่เสพของมึนเมา ซึ่งรวมถึงสิ่งเสพติดทุกวันนี้ บางทีพระพุทธเจ้าคงจะทราบดีว่าในศตวรรษที่ ๒๐ เราจะคิดค้นโคเคนขึ้นทำนองนั้น ดังนั้น พระองค์จึงตรัสว่าห้ามเสพสิ่งเสพติด สิ่งเสพติดรวมถึงการพนันทุกชนิด และอะไรก็ตามที่ทำให้จิตใจของเราติดในความสุขกาย และลืมการเดินทางของจิตวิญญาณ
ถ้าเราต้องการบินเร็วสูง และไร้อันตราย เหล่านี้ก็คือกฎทางวัตถุ คล้ายกับกฎทางฟิสิกส์ เมื่อจรวดต้องการบิน นักวิทยาศาสตร์ต้องปฏิบัติตามกฎบางข้อ เท่านั้นเอง เข้าใจไหม ดังนั้น เราต้องระมัดระวังมากขึ้นขนาดไหน เพราะเราต้องการบินสูงกว่านั้น สูงกว่าที่จรวดสามารถบินได้ เร็วกว่าจานบิน แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่สามารถอธิบายต่อได้ หากท่านสนใจ และนั่นคือ ณ เวลาประทับจิต ตอนนี้ เราไม่ต้องการทำให้ท่านเบื่อกับศีลทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้ท่านกล่าวขึ้นมาได้ว่า “ฉันทราบแล้วๆ ฉันอ่านมันในพระคริสต์ธรรม ศีล ๑๐ ใช่ไหม บัญญัติ ๑๐ ประการ”
ที่จริง พวกเราจำนวนมากอ่านศีล แต่มิได้สนใจมันอย่างลึกซึ้งสักเท่าใดนัก หรือมิได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง หรือบางทีเราอาจจะอยากที่จะเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจ แต่มิใช่ดั่งความหมายที่แท้จริง เพราะฉะนั้น บางครั้งมันจึงไม่เสียหายอะไรที่จะเตือนเราหรือที่จะฟังความหมายของสิ่งนั้นลึกซึ้งขึ้นสักเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น ในพระคริสต์ธรรม ในหนังสือคัมภีร์ฉบับเก่า หน้าแรก พระเจ้าตรัสว่า ฉันสร้างสัตว์ทั้งมวลเพื่อเป็นเพื่อนเธอและช่วยเธอ และให้เธอปกครองพวกมัน แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า พระองค์สร้างอาหารทั้งหมดให้สัตว์ แต่ละตัวก็กินอาหารคนละอย่างกัน แต่พระองค์มิได้บอกเราให้รับประทานพวกมัน มิใช่หรือ และพระองค์ตรัสว่า ฉันสร้างอาหารทั้งมวล พืชสมุนไพรทั้งหมดในทุ่งและผลไม้บนต้นไม้ ซึ่งรสดีถูกปาก และต้องตา เหล่านี้จะเป็นอาหารของเธอ แต่มีผู้คนไม่มากสนใจสิ่งนั้น และผู้สนับสนุนพระคริสต์ธรรมจำนวนมากจึงยังคงรับประทานเนื้อสัตว์ โดยไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าหมายถึงอย่างแท้จริง
และถ้าเราทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราจะทราบว่าเราไม่เหมาะสมกับการรับประทานเนื้อสัตว์ ระบบของเรา ลำไส้ของเรา กระเพาะของเรา ฟันของเรา ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายเราถูกสร้างให้เหมาะสมกับอาหารมังสวิรัติเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงเป็นโรค แก่เร็ว อ่อนเพลีย และเชื่องช้า ทั้งๆ ที่พวกเขาเกิดมาฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ต่อมาพวกเขากลายเป็นคนเฉื่อยชากว่าเดิมทุกวัน และยิ่งพวกเขาชราภาพเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกแย่ลง เพราะเราได้ทำลาย “ยานพาหนะ” ของเรา “วัตถุการบิน” ของเรา “จานบิน” ของเรา ดังนั้น ถ้าเราอยากที่ขะใช้ยานพาหนะนี้ให้นานขึ้นและปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย เราต้องดูแลมันให้ถูกวิธี
ตัวอย่างเช่น เรามีรถคันหนึ่ง ท่านล้วนขับรถ ถ้าเราเติมน้ำมันรถเข้าไปผิดประเภท มันจะเกิดอะไรขึ้น บางทีมันอาจจะแล่นเพียง ๒-๓ ฟุต แล้วก็หยุดและท่านตำหนิรถไม่ได้ เพราะมันเป็นความผิดของเรา เราเติมเชื้อเพลิงที่ผิดบางอย่างซึ่งไม่ควรอยู่ในนั้นลงไป หรือถ้าในน้ำมันรถของเรามีน้ำอยู่ใช่ไหม บางทีมันจะสามารถแล่นได้พักหนึ่ง แต่มันจะเกิดปัญหาในเวลาต่อมา หรือถ้าน้ำมันเครื่องของเราสกปรกเกินไป และเราไม่ทำความสะอาดมัน มันก็จะแล่นได้สักพักหนึ่ง แล้วเราก็จะมีความยุ่งยาก และบางครั้งมันจะเกิดการระเบิดขึ้นเพียงเพราะเรามิได้ดูแลรถของเราอย่างถูกวิธี
ในทำนองเดียวกัน ร่างกายของเราก็เหมือนยานพาหนะ ซึ่งเราสามารถใช้บินจากที่นี่ไปชั่วนิรันดร สู่ระดับปัญญาทางวิทยาศาสตร์ที่สูงมาก แต่บางครั้งเราทำลายมัน และเราไม่ใช้มันเพื่อเป้าหมายที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น รถของเราต้องแล่นหลายไมล์ เพื่อนำเราไปถึงสำนักงาน ไปหาเพื่อนๆ ของเรา และไปสู่ทัศนียภาพที่สวยงามต่างๆ แต่แล้วเราก็ไม่ดูแล เราเติมน้ำมันรถผิด หรือเราไม่ดูแลน้ำมันหล่อลื่น เราไม่ดูแลหม้อน้ำ ทุกสิ่ง แล้วมันก็แล่นไม่เร็วนัก มันก็แล่นได้ไม่นานนัก แล้วเราก็เพียงวิ่งรอบในสนามหญ้าของเรา ในสวนหลังบ้านของเรา นั่นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน แต่มันแค่สูญเสียประโยชน์ที่เรามุ่งหมายไว้ในการซื้อรถของเรา มันเพียงสิ้นเปลืองเงิน เวลา และพลังงานของเราเท่านั้นแหละ ไม่มีใครจักต้องถูกตำหนิ ไม่มีตำรวจจะปรับอะไรท่าน เพียงแค่ว่า ท่านซื้อรถมาเสียเปล่า สิ้นเปลืองเงินของท่าน แทนที่ท่านอาจจะได้เดินทางไปไกลยิ่งขึ้น เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย และเพลิดเพลินกับทัศนียภาพต่างๆ
ทำนองเดียวกัน กายเนื้อของเรา เราสามารถอาศัยอยู่ในโลกนี้ได้ และเราก็สามารถดูแลกายเนื้อนี้ได้ เรามีเครื่องมืออื่นที่เราสามารถบินเหนือสิ่งนั้นได้ก็เหมือนกับมนุษย์อวกาศนั่นแหละ เขานั่งในจรวด จรวดคือเครื่องมือของเขา เขาควรดูแลมันให้ดี เขาไม่ควรจะฝ่าฝืนกฎของฟิสิกส์เพื่อที่ว่าจรวดของเขาจะได้บินอย่างรวดเร็วและปลอดภัย แต่มนุษย์อวกาศที่อยู่ภายในนั้นคือสิ่งสำคัญ จรวดลำนั้นนำเขาไปยังจุดหมายปลายทางของเขา แต่จรวดมิใช่วัตถุประสงค์หลัก สิ่งสำคัญคือมนุษย์อวกาศ และจุดหมายปลายทาง หากเขาแค่ใช้สิ่งนั้นเพียงวิ่งรอบๆ ชายหาดลองไอส์แลนด์แล้ว เมื่อนั้นก็จะเป็นการเสียเวลา และเสียเงินของประเทศอีกด้วย
ดังนั้น ร่างกายของเราจึงมีค่าอย่างยิ่ง เพราะภายในนี้มีอาจารย์นั่งอยู่ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงถูกกล่าวในพระคริสต์ธรรมว่า เธอไม่ทราบหรือว่า เธอคือวิหารของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสถิตอยู่ภายในตัวเธอ พระจิตอันศักดิ์สิทธิ์ คือสิ่งเดียวกัน ถ้าเรามีพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์หรือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ท่านสามารถจินตนาการได้ไหม ถึงความน่าเกรงขามอย่างไร มีความสลักสำคัญยิ่งยวดเพียงใด แต่ผู้คนจำนวนมากอ่านสิ่งนี้อย่างรวดเร็วแต่ไม่เข้าใจ ไม่ตระหนักถึงความสำคัญของประโยคนี้ และมิได้พยายามค้นหาคำตอบ ดังนั้น นี่เป็นมูลเหตุที่ทำให้ลูกศิษย์ของฉัน พวกเขาชอบที่จะทำตามคำสอนของฉัน เพราะพวกเขาสามารถค้นพบได้ว่าใครนั่งอยู่ข้างในและอะไรอยู่เหนือโลกนี้ นอกจากการดิ้นรนของเราทุกวัน การทำมาหากิน การประท้วง และปัญหาทางกายภาพทั้งหลายเหล่านี้ของเรา
เรามีความสวยงามมากกว่านี้ มีเสรีภาพและความรู้มากกว่านี้อยู่ภายใน และหากเราทราบวิธีการที่ถูกต้องที่จะติดต่อกับสิ่งนี้ สิ่งนี้ล้วนเป็นของเรา เพราะเรามีพวกมันอยู่ภายใน แค่เพียงเพราะเราไม่ทราบว่า กุญแจนั้นอยู่ที่ใด และเราล็อกกุญแจ “บ้าน” หลังนี้ไว้เป็นเวลานาน และบัดนี้เราได้ลืมไปว่า เรามีทรัพย์สมบัตินี้อยู่เท่านั้นเอง
ดังนั้น ผู้ที่เรียกกันว่าอาจารย์ ก็คือผู้ซึ่งสามารถช่วยเราเปิดประตู และชี้ให้เราเห็นได้ว่า อะไรเป็นของเราอยู่แล้ว แต่เราจำเป็นต้องใช้เวลาในการเดินเข้าไปหามัน และตรวจสอบทุกสิ่งที่เรามี
ดังนั้นอย่างไรก็ตามเรากำลังพูดถึงโลกชั้นที่ ๒ และท่านสนใจจะไปในอีกขั้นหนึ่งไหม(ผู้ฟัง : สนใจ สนใจ) ท่านต้องการทราบทุกสิ่งโดยไม่ต้องทำงานหรือ (อาจารย์หัวเราะ) ใช่แล้ว แต่อย่างน้อยที่สุด คนบางคนก็สามารถบอกท่านได้ว่าอีกประเทศหนึ่งมีลักษณะอย่างไร หากเขาเคยอยู่ที่นั่น ถึงแม้ท่านจะไม่เคยไป ใช่ไหม อย่างน้อยที่สุดท่านสนใจ บางทีท่านอาจจะต้องการไป ตกลง แล้วหลังจากโลกที่ ๒ ฉันยังมิได้จบโลกที่ ๒ ทั้งหมด แต่รู้ไหม เราไม่สามารถนั่งที่นี่ได้ตลอดวัน ดังนั้น หลังจากก้าวไปถึงโลกที่ ๒ ท่านอาจจะมีพลังมากขึ้น ถ้าท่านตั้งใจและขยันเพื่อมัน ท่านจะไปถึงระดับชั้นที่ ๓ ที่เรียกกันว่าโลกที่ ๓ มันเป็นก้าวที่สูงกว่า
ผู้ที่ไปถึงโลกที่ ๓ อย่างน้อย จะต้องสะสางหนี้ทั้งหมดของโลกนี้อย่างเด็ดขาด ถ้าเราเป็นหนี้อะไรต่อเจ้าแห่งโลกวัตถุนี้ เราจะไม่สามารถขึ้นไปได้ ก็เหมือนว่า ถ้าท่านเป็นอาชญากรของบางประเทศ ประวัติของท่านไม่บริสุทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถผ่านพ้นพรมแดน เพื่อไปถึงอีกประเทศหนึ่งได้ ทีนี้ หนี้ของโลกนี้ รวมถึงสรรพสิ่งมากมาย ที่เราได้กระทำไว้ในอดีตและในปัจจุบันและอาจจะหมายความรวมถึงชีวิตอนาคตทางกายภาพของเรา ทั้งนี้ ก่อนที่เราจะสามารถเข้าสู่ปรภพได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องถูกชำระสะสาง ก็เหมือนเราจัดการระเบียบพิธีการศุลกากร แต่เมื่อเราอยู่ในโลกที่ ๒ เราก็จะเริ่มจัดการกับกรรมส่วนเกินของอดีตชาติและปัจจุบันนี้ เพราะถ้าปราศจากกรรมในอดีต เราจะไม่สามารถดำรงอยู่ในชาติปัจจุบันนี้ได้
อาจารย์นั้นมีต่างกัน ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งไร้กรรม แต่ท่านยืมกรรมเพื่อลงมา อาจารย์อีกประเภทหนึ่งเหมือนคนธรรมดาอย่างเรา แต่ชำระกรรมหมดแล้ว ดังนั้น ใครๆ ก็สามารถเป็นอาจารย์ได้ อาจารย์ในอนาคต และบางครั้งอาจารย์ลงมาจากโลกที่สูงกว่าด้วยกรรมที่ยืมมา ท่านคิดว่าการยืมกรรมฟังดูแล้วเป็นอย่างไร (ท่านอาจารย์หัวเราะ) มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้
ตัวอย่างเช่น ก่อนท่านจะลงมาที่นี่ ท่านเคยอยู่ที่นี่มาก่อน และท่านได้เป็นผู้ให้และผู้รับกับผู้คนต่างๆ บนโลกนี้เป็นเวลาหลายยุคหรือหลายร้อยปี แล้วท่านก็กลับไปสวรรค์หรือถึงที่พำนักของท่าน ซึ่งไกลมาก ชั้นต่างๆ อย่างน้อยที่สุดชั้นที่ ๕ นั่นคือบ้านของเหล่าอาจารย์ สูงไปกว่าระดับชั้นที่ ๕ ก็ยังมีระดับชั้นที่ไกลกว่านั้นอีก
และเมื่อเราต้องการกลับลงมา เนื่องด้วยความเมตตาหรืองานที่ได้รับมอบหมายบางอย่างจากพระบิดา เป็นต้น แล้วเราก็จะลงมา และเนื่องจากบุญสัมพันธ์กับผู้คนในอดีต เราสามารถยืมจากบัญชีกรรมของพวกเขาได้บางส่วน รู้ไหม ยืมแต่หนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรงดงามเกี่ยวกับผู้คน เราสามารถยืมหนี้ได้บางส่วน แล้วเราก็ชดใช้มันด้วยพลังทางจิตวิญญาณของเราอย่างช้าๆ จนกระทั่งเราเสร็จงานในโลกนี้ ดังนั้นนี่คือประเภทต่างๆ ของอาจารย์ และมีอาจารย์ผู้ซึ่งมาจากโลกนี้ด้วย หลังจากที่พวกเขาฝึกฝน พวกเขาก็กลายเป็นอาจารย์ที่นี่ทันที เหมือนที่พวกท่านได้ปริญญา ใช่ ก็เหมือนในมหาวิทยาลัย ก็เหมือนที่เรามีศาสตราจารย์และมีนักศึกษา ผู้ซึ่งได้รับปริญญา และกลายเป็นศาสตราจารย์ในภายหลัง มีศาสตราจารย์ทั้งที่เคยเป็นศาสตราจารย์มานานแล้วและศาสตราจารย์ที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่
ดังนั้น ถ้าเราต้องการไปถึงโลกที่ ๓ เราต้องสะอาดหมดจด ไร้ร่องรอยแห่งกรรมโดยสมบูรณ์ กรรมคือกฎของ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็เหมือนที่เราปลูกเมล็ดส้ม แล้วเราก็ได้ส้ม ปลูกเมล็ดแอ๊ปเปิ้ล เราก็ได้แอ๊ปเปิ้ล ดังนั้นเหล่านี้คือสิ่งที่เรียกกันว่า กรรม นี่คือภาษาสันสกฤตของคำว่าเหตุและผลของกรรม คัมภีร์คริสต์มิได้พูดถึงกรรม แต่มีกล่าวไว้ว่า หว่านเมล็ดใด คุณก็จะได้สิ่งนั้น นั่นคือสิ่งเดียวกัน
คัมภีร์คริสต์เป็นคำสอนย่อๆ อย่างหนึ่งของพระเยซู และถึงอย่างไรพระชนม์ชีพของพระองค์ก็สั้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น เราจึงมีคำอธิบายในพระคัมภีร์ไม่มากนัก และพระคัมภีร์หลายเล่มก็ได้ถูกแก้ไขตัดทอนเช่นกันเพื่อที่จะปรับตามผู้นำตามยุคสมัย เหล่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะเป็นผู้ที่มีความคิดทางจิตวิญญาณเสมอไป รู้ไหมผู้คนซื้อขายทุกสิ่งทุกอย่างในทุกรูปแบบนายหน้า มีนายหน้าเต็มไปหมดในของทุกแง่มุมของชีวิต แต่พระคัมภีร์ที่แท้จริง เรารู้ว่ามีความแตกต่างไปเล็กน้อย ยาวกว่าเล็กน้อย ละเอียดกว่า และเข้าใจง่ายกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถพิสูจน์ได้มากนัก ดังนั้นเราจึงไม่พูดถึงมัน ผู้คนจะได้ไม่พูดว่า เรากำลังพูดจาหมิ่นพระศาสนาอยู่ ฉะนั้นเราจะพูดถึงแต่สิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้เท่านั้น
แล้วท่านจะถามฉันว่า “ท่านกล่าวถึงโลกที่ ๒ โลกที่ ๓ และโลกที่ ๔ นี้ท่านสามารถพิสูจน์มันได้อย่างไร” อันนี้ ฉันทำได้ ฉันสามารถพิสูจน์มันได้ ถ้าท่านเดินไปทางเดียวกับฉัน ท่านจะเห็นสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าท่านไม่เดินไปกับฉัน ฉันก็ไม่สามารถพิสูจน์มันให้ท่านเห็นได้ แน่นอน แน่นอน เพราะฉะนั้น ฉันจึงกล้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะมีการพิสูจน์ เราได้พิสูจน์แล้วด้วยลูกศิษย์นับแสนๆ คนทั่วโลก ดังนั้น เราจึงสามารถพูดสิ่งที่เราทราบได้ แต่สิ่งนี้ท่านต้องเดินไปกับฉัน ท่านต้องเดิน ถ้าไม่เช่นนั้น ท่านไม่สามรถกล่าวได้ว่า “ท่านเดินแทนฉันทีและเล่าให้ฉันฟัง และพิสูจน์ให้ฉันเห็นทุกสิ่ง” ฉันทำไม่ได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าฉันมิได้อยู่ในองค์การสหประชาชาติในห้องนี้ ไม่ว่าท่านจะสาธายถึงห้องนี้ให้ฉันฟังมากเท่าใดก็ตาม ตัวฉันเองก็ยังไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับห้องนี้อย่างแท้จริง ใช่ไหม ดังนั้น เราต้องเดินกับใครก็ตาม ซึ่งเป็นผู้นำทางที่ชำนาญ และฉันมีศิษย์บางคนในห้องนี้ ผู้ซึ่งมีสัญชาติต่างๆ กัน พวกเขามีประสบการณ์ที่ฉันเพิ่งเล่าให้ท่านฟัง ในบางส่วนและบางคนก็ทั้งหมด
แล้วเหนือโลกที่ ๓ ก็ยังมิใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่ฉันบอกท่าน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง คล้ายกับเป็นเรื่องเล่าถึงการเดินทาง เป็นการบรรยายถึงสิ่งต่างๆ อย่างละเล็กละน้อย และไม่ละเอียดเท่าใดนัก แม้แต่ตอนที่เราอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับบางประเทศ มันก็มิใช่ประเทศนั้นจริงๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เรามีหนังสือมากมายเกี่ยวกับการเดินทาง เกี่ยวกับประเทศต่างๆ ในโลก แต่เรายังคงชอบไปที่นั่นด้วยตัวของเราเอง เราทราบเกี่ยวกับสเปน กรีก และเทเนรีฟ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพยนต์ หรือเป็นเพียงหนังสือ แต่เราต้องไปที่นั่น และประสบความเพลิดเพลินกับการอยู่ที่นั่น และอาหารที่พวกเขาจัดให้ และน้ำทะเลรสดี และอากาศที่ดี และผู้คนที่เป็นมิตร และบรรยากาศทุกชนิดต่างๆ นานา ที่เราไม่สามารถประสบได้ด้วยการอ่านหนังสือ
ดังนั้น สมมุติว่าท่านได้ผ่านโลกที่ ๓ ไปแล้วอย่างไรต่อไปล่ะ แน่นอน ท่านย่อมไปถึงชั้นที่ ๔ ที่สูงกว่า และโลกที่ ๔ นี่ก็เหนือธรรมดามากแล้ว และเราไม่สามารถเพียงแค่ใช้ภาษาง่ายๆ พรรณนาถึงสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้บุคคลธรรมดาฟังได้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการละเมิดพระผู้เป็นเจ้าของโลกนั้น เพราะโลกนั้นงดงามมาก ถึงแม้จะมีบางส่วนที่มืดมาก มืดกว่าคืนไฟฟ้าดับในนิวยอร์ค ท่านเคยมีประสบการณ์ที่เมืองทั้งเมืองอยู่ในความมืดไหม ใช่ มันมืดกว่านั้น แต่ก่อนที่ท่านจะไปถึงแสง มันมืดกว่านั้นอีก มันคล้ายกับเป็นเมืองต้องห้าม ก่อนที่เราจะไปถึงความรู้ในพระเจ้า เราจะถูกหยุดอยู่ที่นั่น แต่ด้วยอาจารย์ ด้วยอาจารย์ที่มีประสบการณ์ ท่านสามารถผ่านมันไปได้ มิฉะนั้นแล้ว เราจะไม่สามรถพบเส้นทางในโลกอย่างนั้นได้
เมื่อเราไปถึงระดับชั้นของชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน เรามิเพียงแต่ประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิญญาณเท่านั้น ทางกายภาพก็เปลี่ยนแปลงด้วย สติปัญญาก็เปลี่ยนแปลงและอย่างอื่นๆ ทุกอย่างในชีวิตของเรา เรามองชีวิตต่างไป เราเดินต่างไป เราทำงานต่างไป แม้แต่งานของเรา งานประจำวันของเรา ก็มีความหมายต่างไป และเราเข้าใจว่า ทำไมเราจึงทำงานวิธีนี้ ทำไมเราจึงต้องอยู่ในงานนี้ หรือทำไมเราจึงควรจะเปลี่ยนงานนั้น เราเข้าใจเป้าหมายของชีวิตของเรา ดังนั้น เราจึงไม่รู้สึกร้อนใจและกระวนกระวายใจอีกต่อไป ใช่ แต่เรารออย่างอดทนเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ภาระกิจของเราบนโลกเสร็จสิ้น เพราะเราทราบว่า เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ เราทราบ ในขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ นั่นคือสิ่งที่ถูกกล่าวไว้ว่า “ตายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่” ใช่ ใช่ และฉันคาดว่า ท่านบางคน คงเคยได้ยินอะไรเช่นนี้มาก่อน แต่ฉันไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านใดสามารถพูดได้ต่างไปจากนี้ (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เว้นแต่ว่าเราจะมีประสบการณ์ของปีติอันแท้จริงของประสบการณ์ภายใน
เมื่อกล่าวถึงเมอร์เซเดซเบนซ์กับเบนซ์ ทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันอย่างไร จริงๆ แล้ว มันจำเป็นต้องเป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้น ผู้ที่เป็นเจ้าของเมอร์เซเดซเบนซ์ หรือผู้ที่รู้จักเบนซ์ เขาจะพรรณนาว่าสองสิ่งนั้นเป็นอย่างเดียวกัน แต่นั่นมิใช่เบนซ์ ดังนั้น ถึงแม้ฉันจะพูดกับท่านด้วยภาษาที่ธรรมดามาก แต่สิ่งเหล่านี้มิใช่สิ่งธรรมดา แต่สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่เราต้องประสบด้วยตัวของเราเอง ด้วยการทำงาน ความจริงใจ และด้วยการนำทาง มันเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า แม้ว่าบางทีมันมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นหนึ่งในล้านที่เราจะสามารถทำมันได้ด้วยตัวของเราเอง แต่มันค่อนข้างอันตราย มีความเสี่ยง และให้ผลที่ไม่มั่นคงปลอดภัยสักเท่าใดนัก
บางคนในอดีต เช่น สวีเดนบอร์ก เขาคล้ายกับทำสำเร็จได้ด้วยตัวของเขาเอง หรือพระอาจารย์กรุดแจฟ ว่ากันว่า ท่านทำสำเร็จด้วยตัวของท่านเองไปตลอดทางตามลำพัง แต่เมื่อฉันอ่านเรื่องนี้ของบางคน พวกเขามิได้ทำมันได้โดยปราศจากอันตรายและความยุ่งยากมากมาย และมันไม่จำเป็นว่า พวกเขาทุกคนจะไปถึงชั้นที่สูงที่สุด
ดังนั้นหลังจากที่ท่านมาถึงชั้นที่สูงกว่า หลังจากชั้นที่ ๔ ท่านจะไปสู่ระดับที่สูงกว่า บ้านของอาจารย์ ซึ่งก็คือชั้นที่ ๕ อาจารย์ทุกท่านมาจากที่นั่น ถึงแม้ระดับของพวกท่านจะอยู่สูงกว่าชั้นที่ ๕ พวกท่านก็จะอยู่ที่นั่น เพราะมันคือที่อยู่ของอาจารย์ และเหนือจากนั้น มีหลายแง่มุมมากมายของพระเจ้า ซึ่งยากที่จะเข้าใจ ฉันเกรงว่า จะทำให้ท่านสับสน ดังนั้นบางทีฉันจะเล่าให้ท่านฟังในเวลาอื่น หรือบางทีอาจเป็นช่วงเวลาหลังจากประทับจิต ตอนที่ท่านเตรียมพร้อมมากกว่านี้เล็กน้อย แล้วฉันจะเล่าเรื่องมหัศจรรย์บางอย่างเกี่ยวกับจินตนาการของท่านให้ฟังว่าบางครั้งมันมีความคิดผิดๆ มากมายเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไรบ้าง
คำถาม-คำตอบหลังการบรรยาย
ถ : ท่านบรรยายว่า อาจารย์สามารถยืมกรรมของผู้คนได้ ในกรณีนั้น กรรมถูกลบไปสำหรับคนเหล่านี้หรือ ผลที่เกิดขึ้นสำหรับคนเหล่านั้น คืออะไร
อ : อาจารย์สามารถลบกรรมของใครออกก็ได้ ถ้านั่นคือสิ่งที่อาจารย์เลือกที่จะทำ ที่จริง ศิษย์ทุกคน ณ เวลาประทับจิต กรรมทั้งหมดในอดีตต้องถูกลบทิ้งแล้ว ฉันเพียงแค่เหลือกรรมปัจจุบันไว้ เพื่อที่เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ มิฉะนั้นแล้ว เราจะตายในทันที เพราะเมื่อไม่มีกรรม ก็ไม่สามารถจะมีชีวิตที่นี่ได้ เพราะฉะนั้น อาจารย์จึงจำเป็นต้องลบกรรมที่เก็บสะสมไว้เท่านั้น ดังนั้นคนจึงสะอาด และเหลือกรรมเพียงเล็กน้อย เพื่อให้เขามีชีวิตต่อไป และทำสิ่งที่เขาต้องทำในชีวิตนี้ และหลังจากนี้ ก็เสร็จสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงสามารถไปได้ มิฉะนั้นแล้ว เขาจะสามารถไปได้อย่างไร แม้ว่าเขาสะอาดในชาตินี้ แล้วในอดีตชาติอีกล่ะ สะอาดเพียงใด เข้าใจไหม
ถ : เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมของท่านคืออะไร
อ : เป้าหมายคืออะไรนะหรือ ฉันมิได้บอกคุณหรือ ก็เพื่อเดินทางเหนือโลกนี้กลับไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า รู้จักปัญญาของคุณ และเพื่อเป็นคนที่ดีขึ้นในชาตินี้อีกด้วย
ถ : มีกรรมในทุกอาณาจักรหรือไม่
อ : ไม่ทุกอาณาจักรหรอก เราจะมีกรรมจนถึงอาณาจักรที่ ๒ เท่านั้น เพราะจิตใจและสมองของเรา ส่วนคอมพิวเตอร์นั้นได้ถูก “ผลิต” ขึ้นในระดับที่ ๒ เมื่อเราลงมาจากทางในระดับที่สูงกว่า ลงสู่ระดับทางวัตถุนี้ เพื่อที่จะทำงานบางอย่าง ตัวอย่างเช่น แม้แต่อาจารย์ ลงจากระดับที่ ๕ มายังโลกแห่งวัตถุแล้วท่านก็จำต้องผ่านไปถึงระดับที่ ๒ และรับ “คอมพิวเตอร์” เครื่องนี้มาและติดตั้งมันเข้าไป เพื่อที่จะทำงานในโลกนี้ ก็เหมือนกับนักประดาน้ำ ผู้ซึ่งดำลงไปในทะเล เขาจะต้องผ่านการเตรียมหน้ากากออกซิเจนและชุดประดาน้ำ เขาก็ดูเหมือนกบ และตัวเราก็ดูเป็นอย่างนั้นด้วยในบางครั้ง คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคทางร่างกายของเรา มิฉะนั้นแล้ว ตัวเราจะได้งดงามอย่างสมบูรณ์แบบ และถึงแม้คุณจะคิดว่า คุณงดงามขณะนี้ แต่คุณจะดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับ สิ่งที่คุณเป็นจริงๆ เพราะเครื่องมือทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เราจำเป็นต้องสวม เพื่อที่จะดำลึกเพื่อทำงานในโลกนี้ ดังนั้น หลังจากที่เราผ่านระดับที่ ๒ เพื่อไปสูงขึ้น เราจะต้องทิ้งคอมพิวเตอร์ของเราไว้ที่นั่น เราไม่ต้องการอีกต่อไปบนนั้น ดังนั้นก็เหมือนเมื่อนักประดาน้ำมาถึงฝั่ง เขาจะถอดหน้ากากออกซิเจนของเขา และเครื่องมือประดาน้ำของเขาออกทั้งหมด และเขาก็ดูดังเช่นที่เขาเคยเป็น ใช่ไหม ถูกแล้ว
ถ : ท่านกล่าวว่าที่สุดของโลกที่ ๒ ก่อนที่เราจะขึ้นไปนั้น เราทิ้งกรรมทั้งหมดของเราไว้เบื้องหลัง หรือเราต้องขจัดหรือล้างกรรมทั้งหมดของเราก่อน นั่นหมายความว่า รวมถึงกรรมทั้งหมดของอดีตชาติ ที่เรานำติดตัวมาในชาตินี้ด้วยหรือ
อ : ใช่แล้ว เพราะไม่มี “คอมพิวเตอร์” บันทึกอะไร เรามีกรรมเพียงเพราะเรามีคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ มีจิตใจ มีสมอง ซึ่งมีไว้เพื่อบันทึกประสบการณ์ทั้งหมดของโลกทางกายภาพแห่งนี้ นั่นคือเหตุที่เราต้องมีคอมพิวเตอร์ไม่ว่าเลวหรือดี เราก็บันทึกเอาไว้ในนี้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงเรียกว่ากรรม กรรมคืออะไร มันเป็นเพียงประสบการณ์เลวหรือดีที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเรา ประสบการณ์การเรียนรู้ของเราในหลายๆ ชาติ และเพราะเรามีสิ่งที่เรียกกันว่าจิตสำนึก เราทราบว่า เราควรจะกระทำดี และบางครั้งเราอาจจะกระทำไม่ดี เพราะฉะนั้น เราจึงเรียกสิ่งนั้นว่า กรรม และสิ่งไม่ดีก็กดหนักลงมาบนตัวเรา เหมือนขยะและกระเป๋าเดินทางมากมาย เพราะกฎของแรงโน้มถ่วงของโลก มันดึงเราลงมา และทำให้มันยากที่จะไต่ขึ้นไปบนภูเขา เนื่องจากวินัยทางศีลธรรมมากมายในโลกนี้ กฎมากมาย จารีตประเพณีมากมาย วิถีปฏิบัติมากมายในประเทศต่างๆ ผูกมัดเราอยู่ภายในสิ่งที่คิดกันขึ้นว่า อะไรคือสิ่งที่ดีและไม่ดี ผิดและไม่ผิด ดังนั้นเมื่อเราเกี่ยวข้องกับผู้คนบนโลกนี้ เราก็จะมีประสบการณ์ ความดีความชั่ว ผิดและบริสุทธิ์ ตามจารีตประเพณี วิถีปฏิบัติและดฎหมายของประเทศนั้น และมันจะกลายเป็นนิสัยที่ทำให้เราคิดไปเองว่า เราทำสิ่งนี้ เราผิด เราทำสิ่งนั้น เราเป็นคนไม่ดี และทั้งหมดถูกบันทึกอยู่ในที่นี้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด และทำให้เราถูกมัดในโลกวัตถุนี้หรือโลกที่สูงกว่าเล็กน้อย แต่ไม่สูงพอ เพราะไม่เป็นอิสระพอ เราไม่เบาพอที่จะลอยเหนือขึ้นไป เพราะมโนคติ อคตินี้ทั้งหมด
ถ : มันถูกลิขิตไว้แล้วหรือไม่ เราจะไปถึงระดับหนึ่งๆ ในแต่ละชาติที่เราเกิด
อ : ไม่ เรามีเจตจำนงเสรีที่จะวิ่งเร็วขึ้นหรือช้าลง ตัวอย่างเช่น รถของท่าน ท่านเติมน้ำมันรถ ๑๐๐ ลิตร แต่ท่านสามารถไปถึงปลายทางเร็วขึ้น หรือท่านอาจไปถึงปลายทางช้าลง มันแล้วแต่ท่าน
ถ : ฉันเพียงต้องการถามท่านเรื่องเทวดา นางฟ้า พวกเขาอยู่ที่ระดับไหน
อ : พวกเขาอยู่ที่ระดับใดนะหรือ โอ้ มันแล้วแต่ว่า พวกเขาเป็นเทวดานางฟ้าประเภทใด
ถ : เทพารักษ์
อ : เทพารักษ์ พวกเขาสามารถอยู่ถึงระดับที่ ๒ นางฟ้าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามนุษย์ มีบารมีน้อยกว่า พวกเขาอยู่ที่นั่นเพื่อรับใช้เรา
ถ : พวกเขาจะไม่เคยไปในระดับที่เหนือกว่าระดับนั้นหรือ
อ : ไม่ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะกลายเป็นมนุษย์ พวกเขาล้วนอิจฉามนุษย์อย่างยิ่งเพราะพระเจ้าอยู่ภายในตัวพวกเขา เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดที่จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แต่นางฟ้าเทวดาไม่มีเครื่องมือเช่นนี้เหมือนกับมนุษย์ มันซับซ้อน เอาไว้ฉันจะพูดกับคุณในวันหลัง พวกเขาคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของเราเช่นกัน ดูสิ ทูตสวรรค์ประเภทต่างๆ ตัวอย่างเช่น ถ้ามันถูกสร้างโดยพระเจ้า เมื่อนั้น มันก็ถูกสร้างให้รับใช้เรา และพวกเขาไม่จำเป็นต้องไปไกลกว่านั้น แต่พวกเขาสามารถทำได้ บางครั้งบางสิ่งบางอย่างถูกสร้างโดยปราศจากการวางแผนที่จะพัฒนา ตัวอย่างเช่น ในบ้านของคุณ คุณสร้างบางสิ่งขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบายของคุณเอง เช่น ถ้าคุณนั่งอยู่ที่นี่ และคุณสามารถเปิดและปิดไฟทั่วบ้านและสวนของคุณได้ เปิดและปิดโทรทัศน์ได้ เพราะคุณประดิษฐ์มันเพื่อตัวคุณเอง เพียงเพื่อไว้รับใช้คุณ เพราะถึงแม้มันดีกว่าคุณในบางด้าน เหมือนอย่างที่มันเป็นอยู่และควบคุมทุกสิ่งได้ และคุณจะไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ด้วยความพยายามของมนุษย์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันดีกว่าคุณ มันถูกสร้างเพื่อจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวก็คือเพื่อรับใช้คุณ แม้ว่ามันดีกว่าคุณ แต่มันไม่ใช่ ถูกต้องไหม เพราะคอมพิวเตอร์ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้เลย
ถ : ท่านอาจารย์ชิงไห่ครับ ผมอยากทราบว่า เพราะเราอยู่ในร่างกายขณะนี้ เป็นไปได้ไหมว่า เราเคยพลาดที่จะหลุดพ้นจากร่างกายนี้มาก่อน เราได้อยู่ในสภาพนี้เสมอมาหรือ หรือว่าเราได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่ามาก่อน หรือเคยอยู่มาแต่ในสภาพนี้ อะไรคือทัศนคติที่ดี หรือการดำเนินการที่ดี ที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
อ : การจะทิ้งร่างกายและก้าวไปข้างหน้าหรือ ใช่ เราทำได้ ถ้าเราทราบวิธี มีวิธีต่างๆ มากมายในการทิ้งร่างกายไว้เบื้องหลัง และขึ้นเหนือโลกนี้ไปบางคนไปไม่ไกล บางคนไปไกลมาก และบางคนไปจนสุด ดังนั้น ตามการเปรียบเทียบ ที่ฉันได้กระทำด้วยการวิจัยต่างๆ ของฉัน ตั้งแต่ฉันเยาว์วัย ถึงแม้ว่าฉันยังคงดูเยาว์อยู่ตอนนี้ แต่ฉันอายุเยาว์กว่า วิถีของเรานี่ดีที่สุด ใช่ ไปที่ที่ไกลที่สุด ไปที่ไกลที่สุด ไกลจนสุดทาง มีวิธีอื่นมากมาย ถ้าท่านเลือกที่จะลอง ท่านก็สามารถเลือกได้ มีมากมายในตลาด บางวิธีไปถึงโลกอสูร บางวิธีไปถึงระดับชั้นที่ ๓ หรือที่ ๔ แต่ไม่มากนัก ที่สามารถไปถึงระดับชั้นที่ ๕ ก่อนที่เราจะปล่อยให้ท่านเป็นอิสระ ให้ท่านไปตามลำพัง และต่อจากนั้น เราสามารถเข้าใกล้แง่มุมต่างๆ ของพระเจ้าเหนือระดับที่ ๕ ได้ แต่มันมิใช่อะไรที่น่ารื่นรมย์เสมอไป เราจินตนาการเสมอว่า ยิ่งสูงยิ่งดี มันไม่จริงเสมอไป ตัวอย่างเช่น บางครั้งเราเข้าไปในพระราชวังที่งดงามแห่งหนึ่ง และเราได้รับเชิญให้เข้าไปในห้องนั่งเล่นของอาจารย์ เรานั่งอยู่ที่นั่น และเราได้รับบริการด้วยเครื่องดื่มเย็นอาหารที่ดีเลิศและทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเราก็คิดว่า เราควรจะเข้าไปในบ้านให้ลึกขึ้นสักเล็กน้อยและมองดู แล้วเราเข้าไปในเขตขยะ และรู้ไหม มันยังมีสิ่งอื่นๆ อีกมากมายภายในบ้าน แต่มันไม่สำคัญเสมอไป และเมื่อเราเข้าไปในห้องไฟฟ้า ซึ่งอยู่หลังบ้านพอดี เลยบ้านไป เราจะถูกไฟดูดแล้วเราก็จะตายอยู่ที่นั่น ดังนั้นไม่จำเป็นเสมอไปที่เราจะแนะนำใครๆ ให้เข้าไปในสถานที่ต่างๆ ให้ลึกขึ้น แต่เราสามารถทำสิ่งนั้นได้หากเราอยากจะผจญภัย
ถ : ฉันมีคำถาม ๒ ข้อ ข้อหนึ่งคือ ถ้าเราต้องมีความทรงจำของอดีตชาติ ความทรงจำในอดีตชาติมาจากไหน และข้อที่ ๒ อดีตชาติเกี่ยวพันอย่างไรกับกรรม และเกี่ยวพันอย่างไรกับความเข้าใจในปัจจุบันของคน มันคือส่วนของ “สัมภาระส่วนเกิน” ใช่หรือไม่
อ : ใช่ ใช่ มันเกี่ยวโยงกันอย่างยิ่ง คำถามแรก กรรมในอดีตมาจากไหน ท่านสามารถอ่านบันทึกอดีตชาติได้แน่นอน และบันทึกของอดีตชาติ ตามที่ฉันได้บอกท่านว่า มาจากบันทึกของฟ้า ใช่ และมันคือห้องสมุดประเภทหนึ่งในโลกที่ ๒ ซึ่งเปิดให้ใช้ได้สำหรับใครก็ตาม ผู้ซึ่งสามารถไปถึงที่นั่นได้ มิใช่ว่า ทุกคนสามารถไปห้องสมุดขององค์การสหประชาชาติ และมีโอกาสใช้มันได้ แต่ฉันทำได้ ตัวอย่างเช่น วันนี้ เพราะฉันได้รับเชิญให้พูดในองค์การสหประชาชาติ ใช่ไหม มิใช่ว่าทุกคนสามารถเข้ามาได้ แต่ท่านทำได้ เพราะท่านเป็นข้าราชการประจำที่นี่ ดังนั้น ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราเข้าสู่โลกที่ ๒ เราสามารถอ่านอดีตชาติได้ นอกจากนี้ เมื่อเราเข้าสู่โลกที่ ๑ บางส่วน เราก็สามารถมองเห็นอดีตชาติของคนได้เป็นบางส่วนด้วย แต่นั่นมิใช่บันทึกที่สูงส่งและสมบูรณ์สักเท่าใดนัก และประสบการณ์ของอดีตชาติเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกรรมปัจจุบันอย่างไร เราสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ เพื่อที่จะรับมือกับชาติปัจจุบัน สิ่งที่ท่านสะสมไว้ในอดีต ท่านจะนำมาใช้ ในชาติปัจจุบันนี้ได้ในทำนองเดียวกัน การมีประสบการณ์ที่ไม่มีความสุขมากมายในอดีตจะทำให้ท่านรู้สึกตกใจ เมื่อท่านเห็นสัญลักษณ์บางอย่างที่คล้ายคลึงกับอดีตชาติ ตัวอย่างเช่น ถ้าชาติที่แล้ว ท่านตกบันไดโดยอุบัติเหตุ แล้วทำให้ตัวท่านเองได้รับบาดเจ็บอย่างยิ่งและอยู่ในความมืด ไม่มีใครช่วยท่าน และตอนนี้ เมื่อท่านเดินลงบันได ท่านจะรู้สึกกลัวเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันลงไปลึกและมืดข้างล่าง ท่านจะรู้สึกดิ้นรนต่อสู้ว่า จะไปดีหรือไม่หรือถ้าชาติที่แล้ว ท่านได้ศึกษาและวิจัยลึกซึ้งในสาขาทางวิทยาศาสตร์บางสาขาแล้ว ชาตินี้ท่านจะพบว่า ตัวท่านเองยังสนใจเรื่องนั้นอย่างมาก ดังนั้นท่านจึงรู้สึกยังคงเหมือนกับมีแรงดึงดูดต่องานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชนิดใดๆ ก็ตาม ถึงแม้ท่านมิใช่นักวิทยาศาสตร์ในตอนนี้ ด้วยเหตุนี้เอง โมซาร์ท เขาจึงเป็นอัจฉริยบุคคล เมื่อเขาอายุ ๔ ขวบ เขาตรงไปที่เปียโน และเขาก็ยังคงมีชื่อเสียงจนถึงตอนนี้ เขาเป็นผู้ที่หลักแหลมเกินมนุษย์ทั่วไป เพราะเขาได้ฝึกฝนตนในชาติอื่นๆ มากมาย จนกระทั่งเข้าถึงระดับของอาจารย์ แต่แล้วเขาก็เสียชีวิต ก่อนที่เขาจะไปถึงจุดสูงสุดของอาชีพของเขา เขาก็ตาย และเขาไม่พอใจที่จะละจากอาชีพของเขาไปอย่างนั้น เพราะรักดนตรี ดังนั้น เขาจึงกลับมา และประสบการณ์การเรียนรู้ของเขาทั้งหมดจากพรสวรรค์ด้านดนตรีในอดีตได้หวนกลับมาหาเขา เพราะเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำต่อไป เมื่อตอนที่เขาตาย และผู้คนเหล่านี้บางคน เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากโลกอสูรหรือโลกที่ ๒ ก่อนที่พวกเขาจะเกิดใหม่บนโลกนี้อีกครั้ง เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ ทางวิทยาศาสตร์ หรือทางดนตรี หรือทางวรรณคดี หรือทางการประดิษฐ์ชนิดใดๆ ซึ่งผู้อื่นไม่ทราบ เห็นไหม การประดิษฐ์ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจมันได้ และไม่สามารถแม้แต่ฝันที่จะประดิษฐ์ได้ พวกเขาทำได้ เพราะพวกเขาได้เคยเห็นมัน และได้เรียนรู้มันมาก่อน ดังนั้น การเรียนรู้มี ๒ ชนิดคือ ในภพนี้หรือในปรภพ ผู้ที่มีพรสวรรค์และอัจฉริยะอย่างอัจฉริยบุคคล พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญจากปรภพ เช่น ในโลกอสูร โลกที่ ๒ บางครั้งจากโลกที่ ๓ ถ้าเขาเลือกที่จะกลับมา พวกเขาเหล่านี้คืออัจฉริยบุคคล
ถ : ว่ากันอย่างเฉพาะเจาะจงแล้ว การประทับจิตของท่านรวมถึงอะไรบ้าง และเมื่อเราได้รับประทับจิตแล้ว การฝึกในแต่ละวัน เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง
อ : ก่อนอื่น ท่านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและไม่มีข้อผูกมัด นอกเสียจากว่า ท่านจะผูกมัดตัวท่านเอง หากท่านต้องการก้าวหน้าขึ้นไป สำหรับเงื่อนไข ท่านไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ มิต้องมีความรู้มาก่อนเกี่ยวกับโยคะใดๆ หรือการนั่งสมาธิใดๆ แต่ท่านจำเป็นต้องยึดมั่นในการรับประทานอาหารมังสวิรัติตลอดชีพ ไม่มีไข่ อาจเป็นนมหรือเนยแข็งได้ หรือสิ่งอื่นใดที่ไร้การฆ่า ก็ใช้ได้ ไข่ เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับการฆ่าอยู่ด้วยครึ่งหนึ่ง ถึงแม้มันเป็นไข่ที่ไม่ฟักและมันมีคุณสมบัติในการดึงดูดพลังทางลบ ด้วยเหตุนี้เองที่ผู้คนมากมายในวงการนักร่ายเวทย์มนตร์ดำและขาว หรือพ่อมดวูดูมากมาย ที่เรียกกันว่าวูดู พวกเขาใช้ไข่ดึงตัวตนบางอย่างออกมาจากผู้ที่ถูกผีสิง ท่านทราบมันหรือไม่ (มีคนหนึ่งตอบ :ทราบ) โอ ยอดเยี่ยม ถ้าฉันไม่สามารถให้การรู้แจ้งในทันทีกับท่านได้ อย่างน้อยฉันก็มีข้อพอสูจน์ในทันทีให้กับท่าน(เสียงหัวเราะ) เวลาประทับจิต ท่านจะได้รับประสบการณ์ในเรื่องแสงและเสียงของพระเจ้า ดนตรีแห่งวิญญาณ มันจะดึงท่านขึ้นสู่ระดับจิตสำนึกที่สูงกว่า ท่านจะเข้าใจรสชาติของสมาธิ ความสงบสุขอันลึกล้ำและปีติ และหลังจากนั้น ท่านอาจกลับไปฝึกต่อที่บ้าน ถ้าท่านทำจริงจัง ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ฉันก็ไม่สามารถผลักดันท่านได้ ฉันไม่สามารถรบกวนท่านได้อีก ถ้าท่านทำต่อไป และถ้าท่านต้องการให้ฉันช่วยท่านตลอดทางแล้ว ฉันก็จะทำต่อไป นั่นคือวิธีและการนั่งสมาธิวันละ ๒ ชั่วโมงครึ่ง ตื่นแต่เช้าตรู่ในตอนเช้า ก่อนท่านหลับ นั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมง และอาจจะครึ่งชั่วโมงในเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน เมื่อฉันมิได้พูดอยู่ที่นี่ ท่านพักรับประทานอาหารกลางวัน ๑ ชั่วโมง ท่านสามารถปลีกตัวหลบในที่บางแห่ง และนั่งสมาธิ นั่นก็ ๑ ชั่วโมงแล้วและตอนเย็น ท่านทำอีก ๑ ชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมง ตอนเช้าก็ตื่นเช้าขึ้นให้นั่งสมาธิอีก ๑ ชั่วโมง จากนั้นท่านควรจัดระเบียบชีวิตของท่านให้มากขึ้น ลดการดูโทรทัศน์ ลดการคุยเล่น ลดการคุยโทรศัพท์ ลดการอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วท่านก็จะมีเวลามากมาย ใช่ แท้จริงแล้วเรามีเวลามากมาย แต่บางครั้งเราผลาญเวลาของเราให้หมดไป ก็เหมือนกับรถของเราที่วิ่งในลานหลังบ้าน แทนที่จะไปลองไอส์แลนด์ ใช่ ท่านพอใจกับที่พูดไหม ไม่มีเงื่อนไขสำหรับท่าน ไม่มีอะไรอีก นอกจากท่านจะมอบชีวิตให้แก่การปฏิบัติสมาธิตลอดชีพ และทุกวันท่านจะพบกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไปในทางที่ดีขึ้น และอภินิหารต่างๆ ในชีวิตของท่าน มิใช่ว่าท่านปรารถนามัน มันจะเกิดขึ้นอยู่ดี แล้วท่านก็จะมีประสบการณ์จริงๆ ที่ว่า สวรรค์บนดินเป็นอย่างไร ถ้าท่านเอาจริงเอาจังกับมัน นั่นเป็นเหตุผลให้ศิษย์ของเรานับแสนๆ คน ยังคงยึดมั่นต่อไป ยังคงอยู่กับฉันหลังจากนั้นหลายปี เพราะพวกเขามีประสบการณ์ที่ดีขึ้นและดีขึ้นเพราะพวกเขาเอาจริงเอาจังกับมัน และพวกเขาฝึกฝนมันอย่างจริงจัง
ถ : กรุณาอธิบายธรรมชาติของจิตสำนึก
อ : ธรรมชาติของจิตสำนึก มันยากที่จะอธิบาย แต่ท่านสามารถใช้สติปัญญาของท่านจินตนาการได้ มันคือปัญญาชนิดหนึ่ง เหมือนท่านทราบอะไรที่ดีกว่า ที่ท่านเคยกระทำมาก่อน ใช่ ท่านทราบอะไรที่อยู่เหนือโลก และท่านทราบอะไรในโลกนี้ ซึ่งท่านไม่ทราบมาก่อน และท่านเข้าใจสิ่งมากมายที่ท่านไม่เข้าใจ หรือไม่เข้าใจมาก่อน นั่นคือจิตสำนึก และเมื่อท่านเปิดจิตสำนึก หรือที่เรียกว่าปัญญา ท่านจะเข้าใจจริงๆ ว่าท่านคือใคร และท่านมาอยู่ที่นี่ทำไม และอะไรที่อยู่เหนือโลกนี้ และใครอื่นอีกที่อยู่เหนือโลกนี้ เหนือขึ้นไป และนอกจากประชากรโลกของเราแล้วก็ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้น ระดับจิตสำนึกก็คือ ระดับความเข้าใจต่างชนิดกัน ก็เหมือนการได้รับปริญญาในวิทยาลัย ท่านยิ่งเรียน ท่านยิ่งรู้จนกระทั่งจบการศึกษา มันยากที่จะอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรม แต่ฉันก็ได้พยายาม และพบว่ามันคือการตระหนักรู้ชนิดหนึ่ง มันยากที่จะอธิบายถึงการตระหนักรู้ เมื่อท่านไปถึงระดับจิตสำนึกต่างๆ ที่สูงกว่า การตระหนักรู้ของท่านก็จะแตกต่างไป ท่านรับรู้อะไรแตกต่างไป ท่านรู้สึกแตกต่าง ท่านรู้สึกว่ามีสันติ ความสงบสุข ความปิติโดยสมบูรณ์ ท่านจะไร้ความกังวล และทุกสิ่งในชีวิตประจำวันของท่าน กลับกระจ่างแจ้งต่อท่าน ท่านทราบวิธีจัดการกับสถานการณ์และวิธีจัดการปัญหาได้ดีขึ้น อีกทั้งยังให้ประโยชน์ในระดับวัตถุด้วย และภายในตัวท่าน ท่านรู้สึกอย่างไรนั้น ท่านเป็นผู้เดียวที่ทราบ มันยากที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ เหมือนท่านสมรสกับหญิงสาวที่ท่านรัก ท่านรู้สึกอย่างไรนั้น ท่านผู้เดียวที่ทราบ ไม่มีผู้อื่นสามารถรู้สึกถึงมันเหมือนกับตัวท่านได้
ถ : ท่านอาจารย์ที่เคารพ ขอบพระคุณสำหรับการรู้แจ้งเห็นจริง ที่ท่านได้มอบให้แก่เรา ไม่ทราบว่า ท่านต้องการที่จะกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในใจฉันหรือไม่ ทำไมอาจารย์มากมายในโลกวันนี้ให้โอกาสเราเรียนรู้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน ซึ่งในอดีตมันยากอย่างยิ่ง ท่านสามารถอธิบายได้ไหม
อ : ได้ แน่นอน เพราะในยุคของเรา การสื่อสารนั้นดีกว่า ดังนั้น เราจึงทราบเกี่ยวกับอาจารย์ดีขึ้น มิใช่ว่าในอดีต อาจารย์ไม่มี หรือว่าอาจารย์เข้าหาได้ยาก แน่นอน มันจริง ที่อาจารย์บางท่านใกล้ชิดง่ายกว่าท่านอื่นๆ มันขึ้นอยู่กับการเลือกของท่าน หรือความสมัครใจของท่านที่จะให้ หรือบุญสัมพันธ์ของท่านกับคนทั่วไป แต่ในยุคใดๆ มีอาจารย์ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ท่านเสมอ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเวลา เพียงแต่เราต้องตระหนักให้มากขึ้นถึงการมีอยู่ของอาจารย์ที่แตกต่างกันจำนวนมาก อาจจะเป็นอาจารย์ต่างระดับกัน เพราะในยุคเหล่านี้ เราโชคดีที่มีสื่อสารมวลชน ที่มีโทรทัศน์ ที่มีการกระจายเสียงวิทยุ และหนังสือ ซึ่งเราพิมพ์เป็นล้านๆ เป็นพันๆ ล้านเล่มในเวลาเดียวกัน ในสมัยโบราณ เราอยากพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง เราต้องโค่นต้นไม้ทั้งต้นลงมาก่อน และฟันมันด้วยขวานที่แสนธรรมดา ซึ่งจะทำให้ขวานพังในไม่ช้า และใช้ไม่ได้ในเวลาต่อมา และต้องลับมันด้วยหินและทุกสิ่งทุกอย่าง และสลักคำแล้วคำเล่า และเมื่อท่านต้องการคัดลอกคัมภีร์ทั้งชุด มันเหมือนว่าต้องใช้เรือทั้งลำ ใช้รถบรรทุกคันใหญ่ ถ้าท่านมีรถบรรทุกในสมัยนั้น ดังนั้น ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงรู้จักอาจารย์มากมาย ใช่ ดังนั้น มันจึงโชคดี นี่คือสิ่งที่ดีมากสำหรับท่าน ที่ท่านสามารถเที่ยวหาความรู้ไปได้ทั่ว ท่านสามารถเลือกสิ่งที่ท่านต้องการได้ ดังนั้น ไม่มีใครจะสามารถหลอกท่านได้ และกล่าวว่า “ ฉันดีที่สุด” ใช่ ท่านสามารถเปรียบเทียบและใช้ปัญญา ของท่านตัดสินว่า “โอ คนนี้ดีกว่า” หรือ “โอ ฉันชอบคนนั้นมากกว่า” “หน้าตาดูน่ากลัว” “โอ คนนั้นน่าเกลียด” (เสียงหัวเราะ)
ถ : ในเมื่อท่านได้กล่าวถึงการหาอาจารย์ไปทั่ว ท่านจะพิจารณาประทับจิตใครคนหนึ่ง ผู้ซึ่งได้รับการประทับจิตจากอาจารย์อีกท่านหนึ่งไหม
อ : ฉันจะประทับจิตให้ ถ้าคนคนนั้นเชื่ออย่างแท้จริงว่า ฉันมีความสามารถมากกว่าในการนำเธอหรือเขาสู่ระดับที่สูงกว่าและเร็วกว่า มิฉะนั้นแล้ว มันเป็นการดีกว่าที่จะยืนหยัดอยู่กับอาจารย์ของตนเอง ถ้าคนนั้นยังคงรู้สึกผูกพันอย่างมาก และมีศรัทธาอย่างยิ่งในอาจารย์ท่านนั้น ถ้าท่านเชื่อว่าอาจารย์ของท่านคือบุคคลที่ดีที่สุดแล้ว เช่นนั้นก็อย่าเปลี่ยน ถ้าท่านยังคงมีความสงสัย และถ้าท่านยังไม่ได้รับรู้ถึงแสงและเสียง ซึ่งฉันได้กล่าวถึง เมื่อนั้น ท่านควรจะลองดู ใช่ เพราะแสงและเสียงคือมาตรฐานที่ใช้วัดว่า ใครคืออาจารย์ที่แท้จริง ถ้าใครก็ตามไม่สามารถที่จะถ่ายทอดแสงหรือเสียงให้แก่ท่านฉับพลันทันที เขาก็มิใช่อาจารย์ที่แท้จริง ฉันขอโทษที่ต้องกล่าวเช่นนั้น เพราะเส้นทางสู่สวรรค์ต้องใช้แสงและเสียง ก็เหมือนท่านได้ดำน้ำในทะเล ท่านต้องใช้หน้ากากออกซิเจนและอุปกรณ์ทั้งหมดนั้น มันมีสิ่งต่างๆ เพื่อเป้าหมายที่แตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงเห็นนักบุญทุกท่านมีรัศมีอยู่บนศีรษะพวกท่าน นั่นคือแสง พอท่านฝึกวิธีนี้ ท่านจะเปล่งแสงเช่นเดียวกันกับนักบุญ เหมือนที่พวกเขาวาดภาพของพระเยซู และผู้คนสามารถเห็นมันได้ ถ้าผู้คนมีญาณทิพย์ พวกเขาสามารถเห็นแสงของพระองค์ได้ ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงวาดภาพพระเยซูมีวงแหวนรัศมี และพวกเขาวาดภาพพระพุทธเจ้า มีแสงรอบๆ พระองค์ ท่านสามารถเห็นผู้ปฏิบัติธรรมในระดับสูงมีแสงนี้ได้ ถ้าท่านถูกเปิดปัญญาของท่าน(ท่านอาจารย์ชี้ที่ตาปัญญาของท่าน) ผู้คนมากมายสามารถเห็นสิ่งนั้น มีใครเคยเห็นบ้าง ท่านที่อยู่ที่นี่ คุณหรือคุณเห็นอะไร
ถ : โอ ฉันสามารถเห็นรัศมีได้....รัศมี
อ : ใช่ แต่รัศมีแตกต่างจากแสงสว่าง รัศมีมีสีต่างๆ กัน บางครั้งสีดำ บางครั้งสีกาแฟ เป็นสีกาแฟ และบางครั้งสีเหลืองหรือสีแดง ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา ณ เวลานั้น แต่เมื่อคุณเห็นคนคนหนึ่งมีรัศมีทางจิตอันแรงกล้า คุณทราบว่า มันต่างกัน ใช่ไหม
ถ : มันมิใช่คำถามเสียทีเดียว ฉันเพียงแต่เคยฝึกราชาโยคะพักหนึ่ง และฉันคิดว่า ฉันเห็นรัศมีด้วย ฉันหมายถึง ณ เวลานั้น ฉันไม่มีความรู้ ความเข้าใจมากนัก
อ : และคุณไม่เห็นมันขณะนี้หรือ หรือคุณเพียงแต่เห็นมันในบางครั้งเท่านั้นหรือ
ถ : เปล่า ฉันมิได้นั่งสมาธิตอนนี้
อ : โอ ด้วยเหตุนี้เอง คุณจึงเสียพลังของคุณไป คุณควรจะนั่งสมาธิใหม่นะ ถ้าคุณยังคงเชื่อในวิถีทางนั้นอยู่ คุณควรจะนั่งสมาธิ มันจะช่วยคุณได้ในระดับหนึ่ง มันจะไม่เป็นอันตราย เข้าใจไหม
ถ : ฉันเห็นในใบปลิวของท่านว่า มีศีล ๕ ข้อ ทันทีที่เราได้รับการประทับจิต เราต้องมีชีวิตอยู่ตามศีล ๕ ข้อเหล่านี้หรือ
อ : ใช่ ใช่ ใช่ เหล่านี้คือกฎของเอกภพ
ถ : ฉันไม่เข้าใจ “การประพฤติผิดในกาม”
อ : มันหมายความว่า ถ้าคุณมีสามีคนหนึ่งแล้ว กรุณาอย่าคิดมีคนที่ ๒ (เสียงหัวเราะ) ง่ายมาก เพราะมันจะทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น ปราศจากความสลับซับซ้อน และการวิวาททางอารมณ์ ใช่ มันทำร้ายความรู้สึกผู้อื่น เราไม่ทำร้ายผู้อื่นแม้แต่ทางความรู้สึก มันหมายความอย่างนั้น เราพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง พยายามหลีกเลี่ยงทุกข์ทางด้านอารมณ์ ร่างกาย จิตใจสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรักของเรา เท่านั้นเอง ถ้าคุณมีอีกคนหนึ่งแล้ว อย่าบอกเขา มันเจ็บปวดมากกว่าเมื่อคุณบอก แค่แก้ไขมันอย่างช้าๆ และเงียบๆ และอย่าสารภาพต่อเขา เพราะบางครั้งผู้คนคิดว่า ถ้าเขามีชู้ แล้วเมื่อเขากลับบ้านและสารภาพต่อภรรยาหรือสามีของเขา เป็นสิ่งที่ฉลาดอย่างยิ่งและซื่อสัตย์อย่างยิ่ง มันไร้สาระ มันไม่ดีเลย คุณทำผิดแล้ว ทำไมคุณนำขยะกลับบ้าน และให้ผู้อื่นชื่นชมมันล่ะ ถ้าเขาไม่ทราบเรื่อง เขาจะไม่รู้สึกแย่เช่นนั้น การที่เขาได้รับรู้นั้น มันทำให้เขาเจ็บปวด ดังนั้น เราพยายามแก้ปัญหาและอย่าทำให้มันเกิดขึ้นอีกเท่านั้นเอง และไม่ควรพูดถึงสิ่งนี้กับคู่ของเราจะดีกว่า เพราะมันจะทำร้ายจิตใจของพวกเขาและทำให้คู่ของเราปวดร้าวใจ
ถ : ผมได้สังเกตว่า ธรรมาจารย์มากมายมีอารมณ์ขันมาก อะไรคือความสัมพันธ์ของอารมณ์ขันกับการปฏิบัติธรรม
อ : อ๋อ ฉันคิดว่า พวกเขาแค่รู้สึกมีความสุข และผ่อนคลาย และสบายใจในทุกเรื่อง และพวกท่านสามารถหัวเราะกับเรื่องของตัวเอง และเรื่องของผู้อื่น หัวเราะเกี่ยวกับเรื่องไม่เข้าท่าในชีวิตนี้ ในขณะที่ผู้คนมากมายยึดติดอย่างเหนียวแน่นยิ่ง และเอาจริงเอาจังอย่างมาก หลังจากเราปฏิบัตธรรมด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เราจะ “รู้สึกผ่อนคลาย” เราจะไม่รู้สึกจริงจังมากจนเกินไป ถ้าเราตายวันพรุ่งนี้ เราก็ตาย ถ้าเรามีชีวิตอยู่เราก็มีชีวิตต่อไป ถ้าเราสูญเสียทุกสิ่ง เราก็สูญเสียทุกสิ่ง ถ้าเรามีทุกสิ่ง เราก็มีทุกสิ่ง หลังจากรู้แจ้ง เราจะมีปัญญาและความสามารถที่จะดูแลตัวของเราเองในทุกสถานการณ์ ดังนั้น เราจึงไม่หวาดกลัวสิ่งใด เราสูญสิ้นความกลัวของเรา เราสูญสิ้นความร้อนใจของเรา ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงผ่อนคลายและรู้สึกเป็นอิสระต่อโลกนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราได้รับหรือเสียไป มันจะไม่มีความหมายมากนักอีกต่อไป ถ้าเราได้รับอะไรมามากมาย มันก็เป็นเพียงเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เราจึงให้และเพื่อเป็นประโยชน์ของคนที่เรารัก มิฉะนั้นแล้ว เราจะไม่คำนึงถึงตัวของเราเอง หรือชีวิตของเราว่าสำคัญอย่างไร เช่นนั้น ที่จะผ่านการดิ้นรนและทุกข์ทนต่างๆ นานา เพื่อรักษามันไว้ ถ้าเรารักษามันได้ดี ก็ดี มิได้หมายความว่า เรานั่งอยู่บนเตียง(เตียงตะปู) ทั้งวันแล้วก็เข้าสมาธิ แต่เราทำงานจริงๆ ตัวอย่างเช่น ฉันยังคงทำงาน วาดภาพ และทำงานหัตถกรรมของฉันเพื่อการดำรงชีพ ฉันจึงไม่ต้องการรับเงินบริจาคจากใคร และแม้แต่รายได้ของฉันก็มีมาก ฉันสามารถช่วยผู้คนได้ ฉันสามารถช่วยผู้ลี้ภัย ผู้ประสบภัยพิบัติ ทำนองนั้น ทำไมเราไม่ควรจะทำงานล่ะ แต่เรามีพรสวรรค์และความสามารถมากมาย และหลังจากรู้แจ้ง ชีวิตก็ง่ายอย่างยิ่งสำหรับเรา จนกระทั่งเรารู้สึกว่า เราไม่จำเป็นต้องกังวล เราแค่ผ่อนคลายโดยธรรมชาติ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้อารมณ์ขันเกิดขึ้น ฉันเดาว่า มันเป็นอย่างนั้น คุณคิดว่า ฉันมีอารมณ์ขันไหม (ผู้ฟัง: มี)(เสียงหัวเราะและปรบมือ) ถ้าเช่นนั้นบางที ฉันต้องเป็นอาจารย์บางประเภทแน่(เสียงหัวเราะ) หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เพื่อประโยชน์ของท่านเอง ท่านจะได้ไม่ต้องฟังคนที่ไม่รู้แจ้งถึง ๒ ชั่วโมง ทำให้เสียเวลาท่าน
ถ : คำถามคือว่า เราเป็นวิญญาณที่กำลังแสวงหา เราถามเสมอ และเราได้รับทฤษฎีและเรื่องราวต่างๆ และฉันเพียงแต่อยากได้ยินว่า ท่านมีอะไรจะกล่าวเกี่ยวกับมัน ข้อแรกคือ เราคือใคร ฉันคือใคร และฉันเข้าไปตกอยู่ในสถานภาพอันลำบากว่าต้องกลับบ้านได้อย่างไร ฉันจากบ้านมาได้อย่างไรและทำไมการกลับบ้านจึงสำคัญนัก และท่านกล่าวถึงการกลับสู่อาณาจักรที่ ๕ และไม่จำเป็นว่า มันสำคัญที่จะไปอีกขั้นสูงกว่านั้น แต่ถ้ามีที่เหนือกว่านั้น แล้วเป้าหมายของมันคืออะไร มันจะมีความสัมพันธ์อะไรกับฉัน ถ้าฉันไม่จำเป็นต้องกลับไปที่นั่นอีกก็ได้
อ : ตอนนี้ มันกำลังเริ่มจะขบขันแล้วล่ะ(เสียงหัวเราะและปรบมือ) โอเค เกี่ยวกับคำถามที่ว่า “ฉันคือใคร” คุณสามารถไปถามอาจารย์เซนได้ ซึ่งมีมากมายในรัฐนิวยอร์ค คุณสามารถดูในโทรศัพท์หน้าเหลือง หรือค้นหาคำตอบจากอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่ง(เสียงหัวเราะ) เพราะฉันไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น และข้อที่ ๒ “ทำไมคุณจึงอยู่ที่นี่” อาจเป็นเพราะคุณชอบอยู่ที่นี่ มิฉะนั้นแล้ว ใครจะสามารถบังคับให้เราอยู่ที่นี่ได้ ในเมื่อเราคือบุตรของพระเจ้า ผู้ที่ได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า ก็เหมือนกับพระเจ้าเอง มิใช่หรือ เจ้าชายคล้ายกับกษัตริย์ในบางด้าน หรือคล้ายกับกษัตริย์ไม่มากก็น้อย หรือกษัตริย์ในอนาคต ดังนั้น เฉพาะตอนที่พระองค์อยากที่จะประทับในสถานที่บางแห่งเมื่อนั้น พระองค์ก็จะประทับอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตาม เรามีเจตจำนงค์เสรีที่จะเลือกอยู่ในสวรรค์หรืออยู่ที่อื่น เพื่อหาประสบการณ์ให้ตัวของเราเอง คุณอาจจะได้เลือกที่จะอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นหลายยุคมาแล้ว เพื่อเรียนรู้อะไรที่ผจญภัยมากกว่า อะไรที่น่าหวาดเสียวกว่า บางคนชอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นเจ้าชาย พระองค์สามรถประทับในพระราชวังได้ แต่พระองค์ก็สามารถอยู่ในป่าที่น่าพิศวงได้ เพราะพระองค์รักการสำรวจสรรพสิ่งในธรรมชาติ มันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ มันอาจเป็นได้ว่า เราเบื่อเหลือเกิน เบื่อสวรรค์ เพราะทุกสิ่งถูกเตรียมการพร้อมสรรพ และบริการถึงประตูวังของเรา ดังนั้น เราจึงอยากทำอะไรเพื่อตัวของเราเอง เหมือนกับราชวงค์ บางครั้งพวกพระองค์อยากปรุงพระกระยาหารเพื่อพระองค์เอง และพระองค์ไม่อยากให้มหาดเล็กอยู่ใกล้ และพระองค์ทำซอสมะเขือเทศและน้ำมันเปื้อนทั่วทุกที่ แต่พระองค์ก็พอพระทัย แม้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะดูไม่เหมาะสมกับความเป็นเจ้าชายสักเท่าใด แต่พระองค์ก็ชอบ ตัวอย่างเช่น ฉันมีคนขับรถ ทุกแห่งที่ฉันไป ผู้คนอยากที่จะเป็นคนขับรถให้ฉัน รถ ๓ ล้อที่ไร้ควัน ใช้ไฟฟ้า วิ่ง ๑๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ฉันชอบเที่ยวไปทั่วอย่างนั้น เพราะทุกที่ที่ฉันไป ผู้คนเห็นฉันมากมาย บางครั้งฉันจึงชอบไปสถานที่บางแห่ง ที่ผู้คนไม่รู้จักฉัน ฉันขี้อายมาก ยกเว้นเมื่อฉันจำเป็นต้องพูดในการเทศนา เพราะมันคล้ายกับกลายเป็นหน้าที่ของฉันไปแล้วในตอนนี้ ตั้งแต่ผู้คนไปขุดฉันออกมา และทำให้ฉันมีชื่อเสียงจนถึงบัดนี้ ฉันไม่สามารถหลบหนีไปทำอะไรตามใจได้บ่อยนัก แต่บางครั้งฉันหนีจริงๆ ใช้เวลาประมาณสองถึงสามเดือนต่อครั้ง เหมือนภรรยาที่ถูกตามใจ หลบหนีไปจากสามีของหล่อน ซึ่งนั่นเป็นการเลือกของฉันเอง ดังนั้น บางทีท่านอาจเลือกที่จะอยู่ที่นี่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง และบัดนี้มันอาจจะถึงเวลาแล้ว ที่ท่านอยากไป เพราะท่านได้เรียนรู้จากโลกนี้พอแล้ว และท่านรู้สึกว่า ไม่มีอะไร ที่ท่านอยากเรียนรู้อีก และท่านเหนื่อยจากการเดินทาง ท่านอยากพักผ่อน กลับบ้าน พักผ่อนก่อน แล้วก็ดูว่า ท่านอยากที่จะเดินทางเสี่ยงภัยอีกหรือไม่ เท่านั้นแหละ ที่ฉันสามารถพูดได้จนถึงบัดนี้ และทำไมท่านจึงต้องกลับบ้าน และทำไมจึงเป็นชั้นที่ ๕ มิใช่ชั้นที่ ๖ นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่าน หลังจากชั้นที่ ๕ ท่านสามารถไปที่ใดก็ได้ ที่ท่านต้องการ มีระดับสูงกว่าอีกมากมาย แต่มันแค่สบายกว่า เป็นกลางมากกว่าในการอยู่ที่นั่น หากขึ้นสูงไปอีก มันมีพลังมากเกินไป อาจจะเป็นเช่นนั้น ท่านสามารถขึ้นไปในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ท่านคงไม่อยากไปพักผ่อนที่นั่น ตัวอย่างเช่น บ้านของท่านสวยงาม แต่มีบางส่วนของบ้านเป็นห้องพักผ่อนและท่านอาจจะไม่อยากพักผ่อนอยู่ที่นั่นตลอดไป ถึงแม้มันจะอยู่เลยจากบ้านของท่านไป มันดูเหมือนอยู่บนเนิน ยิ่งสูงยิ่งสวย แต่มันมิใช่สถานที่พักผ่อน หรือในห้องพลังงานไฟฟ้าในบ้านของท่านมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอึกทึก เสียงดัง ร้อนและอันตราย ดังนั้น ท่านจะไม่อยากอยู่ที่นั่น แม้มันเป็นประโยชน์มากต่อบ้านของท่าน ก็แค่นั้นเอง มีหลายแง่มุมของพระเจ้า ซึ่งเราไม่สามารถจินตนาการได้ เรานึกวาดภาพเสมอว่า ยิ่งเราไปสูงเท่าไร ก็ยิ่งมีความรักมากขึ้น แต่มีความรักหลายแบบ มีความรักที่ดุเดือด รุนแรง อ่อนโยน เป็นกลาง ดังนั้น มันขึ้นอยู่กับว่า เราสามารถทนได้แค่ไหน พระเจ้าทรงประทานความรักให้พวกเราในระดับที่แตกต่างกัน ถูกต้อง พวกเราได้รับความรักในระดับที่แตกต่างกันจากพระผู้เป็นเจ้า แต่ว่าบางครั้งก็แรงเกินไป เราจึงรู้สึกว่าเราถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ถ : ฉันเห็นการทำลายล้างมากมายดำเนินอยู่รอบตัวฉัน การทำลายสิ่งแวดล้อม การทารุณสัตว์ ฉันเพียงแค่สงสัยว่าท่านเข้าใจสิ่งนี้อย่างไรและท่านสามารถแนะนำผู้ซึ่งกำลังพยายามปลดปล่อยตัวของพวกเขาเองจากโลกนี้ในทางจิตวิญญาณ เพื่อที่จะช่วยพวกเขาจัดการกับสิ่งแวดล้อมของพวกเขา และรับมือกับการสังหารที่กำลังดำเนินอยู่รอบๆ ตัวพวกเขา และท่านคิดว่าการไปเหนือโลกนี้ เพียงพอสำหรับพวกเราหรือไม่ที่จะจดจำว่าสิ่งที่เรากำลังละทิ้งไว้อยู่เบื้องหลัง หรือว่าท่านรู้สึกว่าเราในภูมิภพนี้มีหน้าที่ที่จะพยายามทำให้การทนทุกข์บรรเทาลงหรือไม่ และมันจะเป็นผลดีหรือไม่
อ : มันจะเป็นประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดก็สำหรับพวกเรา สำหรับจิตสำนึกของพวกเรา เพื่อที่ว่าพวกเราจะได้รู้สึกว่าพวกเรากำลังทำบางสิ่งบางอย่างและเราได้พยายามอย่างดีที่สุด เพื่อที่จะบรรเทาความทุกข์ทนของเพื่อนสรรพสัตว์ของเรา ฉันก็ทำเหมือนกัน อะไรก็ตามที่คุณถามมา ฉันกำลังทำอยู่ ฉันได้ทำแล้ว ฉันทำ และฉันจะทำ ฉันได้บอกกับคุณไปแล้วว่า การเงินของพวกเราได้ถูกแจกจ่ายไปยังองค์กรต่างๆ ในกรณีที่พวกเขาประสบภัยพิบัติ และฉันเองก็ไม่อยากอวดเกี่ยวกับมันมากนัก แต่เนื่องจากว่าคุณถามมา-ยกตัวอย่าง เช่น เราช่วยประเทศฟิลิปปินส์ในปีที่แล้วสำหรับการบรรเทาทุกข์ภูเขาไฟพินาตูโบ และเราได้ช่วยเหลือเหยื่อผู้ประสบอุทกภัยในเอาหลัก และผู้ประสบอุทกภัยในจีนเป็นต้น และพวกเรากำลังพยายามที่จะช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวเอาหลักในตอนนี้ เพื่อที่จะช่วยแบ่งเบาภาระขององค์การสหประชาชาติ ได้จัดหาสิ่งที่องค์การสหประชาชาติต้องการให้เราช่วยเหลือ แต่พวกเรากำลังพยายามกันอยู่ เราช่วยเหลือพวกเขาด้วยการสนับสนุนด้านการเงิน และอีกทั้งเรายังสามารถหาที่อยู่ใหม่ให้พวกเขาได้เช่นกัน ถ้าสหประชาชาติอนุญาตให้มันเกิดขึ้น ด้วยการประสาทพรของสหประชาชาติ ใช่แล้ว ดังนั้น เราจึงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ที่คุณได้ร้องขอ และในเมื่อเราอยู่ที่นี่ เราก็น่าจะทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราจึงช่วยบรรเทาทุกข์ และเราได้ยกระดับมาตรฐานในทางศีลธรรมจรรยาของโลก ทั้งทางด้านจิตวิญญาณและทางวัตถุ ใช่แล้ว เพราะบางคนไม่ต้องการที่จะเรียนรู้ทางจิตวิญญาณจากฉัน พวกเขาเพียงแค่ต้องการที่จะรับการช่วยเหลือทางวัตถุเท่านั้น ดังนั้น เราจึงช่วยเขาทางด้านวัตถุ และนั่นคือสิ่งที่พวกเราทำ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันจึงต้องหาเงิน ด้วยเหตุนี้เอง ฉันจึงไม่ต้องการที่จะอยู่ด้วยการบริจาคของผู้คน พระของฉันและลูกศิษย์ของฉันทุกคนต้องทำงานเหมือนที่พวกคุณทำกัน แล้วนอกเหนือไปจากนี้ เราก็ช่วยเหลือทางจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน และช่วยเรื่องความทุกข์ของโลก ช่วยบรรเทาทุกข์ของโลกให้เบาบางลง เราต้องทำสิ่งเล่านี้ มิได้หมายความว่า เราจะนั่งอยู่ในสมาธิทั้งวัน และเพลิดเพลินใจกับตัวเราเอง นั่นคือพุทธะ (ผู้ที่รู้แจ้งแล้ว) ที่เห็นแก่ตัวมาก เราไม่ต้องการมีพวกเขาอยู่ที่นี่หรอก (เสียงหัวเราะ)
ถ : ท่านกล่าวถึงระดับที่คนหนึ่งตระหนักรู้ว่า พวกเขามีพลังที่มาจากการตระหนักรู้นั้น แล้วถ้าหากท่านตระหนักรู้ถึงพลังนั้น ท่านไม่ทราบว่า ท่านมีมัน แต่ท่านรู้ได้ถึงมัน ท่านอาจรู้สึกคล้ายกับว่าท่านมี ท่านจะใช้มันหรือไม่ ใช้มันอย่างไร ถ้าท่านไม่ใช้มัน ท่านจะทำอย่างไรจึงจะไม่หงุดหงิดอดรนทนไม่ไหวกับกระบวนการที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัว เช่น ท่านเห็นสิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าตามธรรมดาโลก เมื่อท่านทราบว่าท่านสามารถเพียงแค่อธิษฐานหรือทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะทำให้เกิดหนทางแก้ไขที่ดีกว่าหรือรวดเร็วกว่าได้ นั่นหมายความว่าอะไร และคนเราจะเข้าถึงมันโดยการสวดให้พร ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยให้มันออกมาเรียบร้อยดีได้อย่างไร ท่านเข้าใจสิ่งที่ฉันหมายความถึงไหม
อ : ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ สิ่งที่คุณหมายถึง ก็คือ เมื่อเรามีพลังที่จะเปลี่ยน
แปลงสรรพสิ่ง และเมื่อสรรพสิ่งรอบๆ ดำเนินการด้วยระบบที่เป็นกฎระเบียบต่างๆ และวิธีที่เชื่องช้า คุณจะมีความอดทนกับมันได้อย่างไร ใช่ไหม หรือคุณเพียงแค่สวดอธิษฐาน หรือแสดงอิทธิฤทธิ์บางอย่าง หรือชี้นิ้วและผลักมัน ใช่ไหม ไม่หรอก ฉันมีความอดทน เพราะเราต้องทำงานตามจังหวะย่างก้าวของโลกนี้ เพื่อที่จะไม่นำตัวเราเข้าสู่สภาวะสับสน ใช่แล้ว ตัวอย่างเช่น เด็กจะวิ่ง แต่ไม่สามารถวิ่งได้ มิใช่เพราะคุณเร่งรีบ หรือคุณต้องการวิ่ง หรือต้องการที่จะทำให้เด็กสะดุดและล้มลง ดังนั้น เราต้องอดทน ถึงแม้เรามีกำลังวังชาที่จะวิ่ง เราจะต้องเดินไปกับเด็กด้วย ใช่ ด้วยเหตุนี้เอง บางครั้งฉันจึงเกิดความรู้สึกท้อแท้และอารมณ์เสีย แต่ฉันต้องสอนตัวฉันเองให้อดทน นี่แหละเป็นเหตุที่ฉันต้องไปและน้อมศีรษะของฉัน ต่อประธานาธิบดีท่านแล้วท่านเล่าเพื่อผู้ลี้ภัย ถึงแม้เราต้องการเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินทั้งหมด เราจะให้ทั้งหมดที่เรามีทุกสิ่ง เป็นล้านๆ ดอลล่าร์ หรือพันล้านก็ตาม เราต้องผ่านระบบราชการ ให้สิ่งที่เป็นของซีซาร์แก่ซีซาร์ ฉันจะไม่แกว่งศีรษะของฉัน หรือชี้นิ้วมาที่สหประชาชาติ ให้พวกเขาดำเนินการ ไม่ ไม่ เราก่อให้เกิดภัยพิบัติขึ้นในโลกนี้ ถ้าเราใช้พลังจิต อำนาจวิเศษ มันต้องไปตามทางของมัน แต่เราสามารถยกระดับจิตสำนึกของผู้คนด้วยการรักษาทางจิตใจ ด้วยปัญญาทางจิตวิญญาณ ความเข้าใจ ถ่ายทอดความรู้ให้เขา เพื่อที่พวกเขาสมัครใจทำมัน และให้ความร่วมมือ นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ใช้พลังอิทธิปาฏิหารย์ ฉันไม่เคยใช้พลังอิทธิฤทธิ์ในด้านใดๆ ของชีวิตอย่างตั้งใจ แต่อภินิหารนี้จะเกิดขึ้นเองรอบๆ ตัวผู้ปฏิบัติธรรม นั่นเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่โดยเจตนา มิใช่พยายามผลักดันอะไร ใช่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดี เด็กวิ่งไม่ได้ ใช่ไหม คุณพอใจคำตอบของฉันหรือไม่ ถ้าคำตอบใดก็ตามของฉันไม่ถูกใจคุณ โปรดแจ้งให้ฉันทราบ เพราะฉันสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ แต่ฉันเชื่อว่า คุณเป็นคนชาญฉลาดมาก ที่เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว และเฉลี่ยวฉลาดที่สุดของทุกประเทศ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่อยากอธิบายอย่างละเอียดมากนัก ดีที่เรามีองค์การสหประชาชาติ ฉันจำเป็นต้องกล่าวอย่างนั้น ใช่ ใช่ เราช่วยขจัดความขัดแย้งของโลกและสงครามมากมาย ถึงแม้เราไม่สามารถทำให้หมดไปได้โดยสิ้นเชิง แต่ฉันอ่านหนังสือของคุณ ขององค์การสหประชาชาติ ทุกคนเป็นองค์การสหประชาติ และฉันได้ติดตาม ผลงานบางเรื่องของสหประชาชาติ และฉันต้องสดุดีความพยายามและความมีประสิทธิภาพขององค์การในการช่วยชีวิตตัวประกัน ซึ่งคนอื่นไม่สามารถช่วยเหลือได้แล้ว และพลังของโลกทั้งหมดไม่สามารถช่วยได้ แต่กรรมาธิการขององค์การสหประชาชาติท่านหนึ่งทำได้สำเร็จ ใช่ และอีกหลายสิ่งเกี่ยวกับ การบรรเทาภัยพิบัติ ปัญหาของผู้ลี้ภัย ฉันได้ยินมาว่า ท่านมีผู้ลี้ภัยประมาณ ๑๒ ล้านคน ท่านต้องรับผิดชอบงานหนัก ใช่ไหม มันคืองานมากมาย และสงครามและทุกสิ่ง ดังนั้น มันจึงดีที่เรามีองค์การสหประชาชาติ ใช่ มันดีมาก
ถ : ขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ชิงไห่ ที่แบ่งปันปัญญาของท่านกับเรา ฉันมีคำถามข้อหนึ่ง มันเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกและปัญหาที่ตามมาในการใช้สิ่งแวดล้อมโดยมิชอบ และตามด้วยความต้องการอาหารมากยิ่งขึ้น ท่านจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องการเพิ่มของประชากรโลกหรือไม่ นี่คือกรรมของโลกหรือ หรือนี่คือการสร้างกรรมบางอย่างในอนาคต
อ : มีผู้คนเพิ่มขึ้นในโลกนี้ ก็ดีมากเหมือนกัน ทำไมจะไม่ล่ะ มีคนมากขึ้น อึกทึกมากขึ้น สนุกมากขึ้น มิใช่หาะรือ (เสียงหัวเราะ) มันมิใช่ว่า เรามีพลเมืองมากเกินไป จริงๆ แล้ว เราเพียงแต่ไม่กระจายกันออกไปอย่างสม่ำเสมอ ผู้คนแค่กระจุกแน่นในบางพืนที่ของโลก และไม่ต้องการย้ายไปพื้นที่อื่น เท่านั้นเอง เรามีผืนป่าอันกว้างใหญ่มากมายที่ยังไม่ถูกใช้ เกาะที่ยังมิได้บุกเบิกจำนวนมาก ที่ราบสูงกว้างใหญ่ที่เขียวชอุ่มไปด้วยป่ามากมาย และไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น ผู้คนเพียงแต่ชอบมุ่งไปที่นิวยอร์ค เป็นต้น (เสียงหัวเราะ) เพราะที่นี่มันสนุกกว่า ถ้ารัฐบาลหนึ่งหรือรัฐบาลใดสามารถสร้างงานและอุตสาหกรรม และการว่าจ้างลักษณะต่างๆ ในสถานที่ต่างๆ ได้ แล้ว ผู้คนก็จะไปทำงานที่นั่นได้ง่ายกว่า หรือปลอดภัยกว่า ถ้าความปลอดภัย ความมั่นคง และโอกาสการจ้างงานปรากฏตัวของมันเองในสถานที่อื่นๆ เหล่านั้นแล้ว ผู้คนก็จะไปที่นั่นด้วย พวกเขาจะไปเพื่อหาความมั่นคง หาที่ที่ดำรงชีพได้ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติอย่างยิ่ง ดังนั้น มิใช่ว่า เราควรจะกลัวเกี่ยวกับการมีพลเมืองล้น เราควรจะจัดระบบให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้คนในโลกได้รับประโยชน์ของโอกาสการจ้างงานมากขึ้น และการจัดสรรบ้านพัก และความปลอดภัย เมื่อนั้นทุกแห่งก็เหมือนกัน เราก็จะไม่เกิดปัญหาสภาวะประชากรล้นมากเกินไป และสำหรับคำถามของท่านเกี่ยวกับเรื่องอาหารนั้น ท่านควรจะทราบดีว่า เพราะในอเมริกา เรามีข้อมูลมากมายเหลือเกินเกี่ยวกับวิธีพิทักษ์โลก อาหารมังสวิรัติคือหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องทรัพยากรของโลก เพื่อที่จะเลี้ยงประชากรทั้งมวลของโลก เพราะเราสิ้นเปลืองอาหารมังสวิรัติ พลังงาน ไฟฟ้า ยาจำนวนมากพื่อเลี้ยงดูสัตว์ ขณะที่มันสามารถเลี้ยงดูคนอื่นๆ ได้โดยตรง และชนชาติหลายประเทศของโลกที่สาม พวกเขาขายอาหารมังสวิรัติที่อุดมด้วยโปรตีนในราคาถูกกว่า แต่นั่นก็มิใช่การช่วยเหลือประชากรอื่น ๆ ของโลก ถ้าเรากระจายอาหารทั้งหมดออกไป และอาหารมังสวิรัติจะช่วยแก้ปัญหานี้ มิเพียงแต่เพื่อตัวของเราเองหรือเพื่อสัตว์ แต่เพื่อโลกทั้งมวล งานวิจัยหนึ่งของนิตยสารเล่มหนึ่ง พวกเขากล่าวว่า ถ้าทุกคนในโลกรับประทานอาหารมังสวิรัติ โลกจะไม่หิวโหยอีกต่อไป รวมทั้งเราต้องจัดระบบ ฉันรู้จักคนบางคน เขาสามารถทำรำข้าวให้เป็นอาหารที่มีสารอาหารและทำเป็นนมได้ด้วยซ้ำไป และเราได้กล่าวถึงเรื่องนั้นเมื่อครั้งที่แล้ว เขากล่าวว่า เขาใช้เงินประมาณ ๓ แสนดอลล่าร์ และเขาสามารถ เลี้ยงผู้คนได้ ๖ แสนคนในซีลอน เช่น คนจน ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ มันน่าอัศจรรย์เพราะวิธีการที่เราทำในหลายส่วนของโลกนั้นเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ใช่ว่า เรามีไม่พอ เพราะถึงอย่างไร พระเจ้าจะไม่ให้เราอยู่ที่นี่อย่างอดอยาก แต่อันที่จริงแล้ว เราต่างหากที่ทำตัวของเราเองให้อดตาย ดังนั้น เราจำเป็นต้องคิดใหม่และจัดระเบียบใหม่ และสิ่งนั้นต้องได้ความเห็นชอบจากรัฐบาลของหลายประเทศ พวกเขาต้องประสาทพรเราด้วยความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และความมีเกียรติที่สมบูรณ์ และความสมัครใจที่จะรับใช้ประชาชน แทนที่จะรับใช้ตัวของพวกเขาเอง ถ้าเราได้รับความเห็นชอบนี้จากทุกรัฐบาลของประเทศอย่างแท้จริงเราจะไม่มีปัญหา เราต้องมีผู้นำที่ดี มีการจัดตั้งองค์กรทางเศรษฐกิจที่ดี และมีความสามารถในการปกครอง และมีรัฐบาลที่ซื่อสัตย์ แต่นั่นสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อผู้คนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ หรือประชาชนทุกคนเป็นคนที่มีจิตสำนึกที่ดี ต่อจากนั้นพวกเขาก็จะรู้จักวินัย แล้วพวกเขาก็จะรู้จักศีล แล้วพวกเขาก็จะทราบว่าจะประพฤติตัวด้วยความซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ได้อย่างไร และพวกเขาก็จะทราบวิธีใช้ปัญญาของพวกเขา แล้วพวกเขาก็จะสามารถคิดทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย และจัดระเบียบชีวิตของเราใหม่ได้
ถ : มันดูเหมือนยากมาก เพราะตามที่ฉันเห็น ตามที่ฉันเข้าใจ การใช้สภาพแวดล้อมอย่างฟุ่มเฟือยหรือโดยมิชอบเป็นจำนวนมากในทุกวันนี้ เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ของพลเมืองที่มีจำนวนมากขึ้น เพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อบ้าน เพื่อการดำรงชีวิต ที่พวกเราประชากรโลกในศตวรรษที่ ๒๐ ทราบดีและมีความต้องการ เช่น ป่าในบราซิล การทำผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่นั่น การทำลายป่า ป่าฝน ที่ดินแห่งนั้นกำลังถูกทำลาย และนั่นเป็นต้นเหตุให้เกิดอุทกภัย และมิอาจปฏิเสธได้ว่า ปัญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการมีพลเมืองมากเกินไป
อ : ใช่ ทุกสิ่งสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในโลกนี้อย่างแน่นอน และมีเพียงวิธีการเดียวคือ จะต้องแก้มันจากราก มิใช่ที่กิ่งก้าน และรากคือเสถียรภาพทางจิตวิญญาณ เข้าใจไหม (เสียงปรบมือ) ดังนั้น ทั้งหมดที่เราจำเป็นต้องทำก็คือ พยายามกระจายข่าวสารทางจิตวิญญาณ สิ่งที่เราทราบออกไปและรักษาวินัยทางจิตวิญญาณ นั่นคือสิ่งที่ผู้คนไม่มี มันไม่เสียหายอะไร ที่จะเสียบเครื่องไฟฟ้ากับตัวคุณเอง และมีแสงสว่างบ้าง และดนตรีที่ดังบ้าง และได้สมาธิ แต่ถ้าท่านไร้วินัยทางด้านศีลธรรม อาจทำให้ในบางครั้ง คุณก็จะเพียงแต่ใช้พลังเพื่อสิ่งที่ไม่ดี โดยที่ไม่สามารถควบคุมมันได้ ด้วยเหตุนี้เอง พวกเราในกลุ่มนี้ พวกเราเฝ้าสอนศีลธรรมให้กับผู้คนก่อนเป็นอันดับแรก เพราะศีลเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องทราบว่า เราไปที่ใดและถ่ายเทพลังของเรา และเนื่องจากว่าพลังที่ไร้ประโยชน์ และมันจะกลายเป็นพลังมืด ใช่ไหม ถูกต้อง ใช่ นั่นคือที่มาของพลังมืด ดังนั้น มันง่ายที่จะรู้แจ้ง แต่ยากที่จะรักษามันไว้ ในวิถีทางของเรา ถ้าคุณไม่มีวินัยและไม่มีความพร้อมทางศีลธรรมอย่างแท้จริง อาจารย์จะเอาพลังของคุณบางส่วนออกไป เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่สามารถใช้มันโดยมิชอบ และทำสิ่งที่ไม่ดีต่อสังคม นั่นคือความแตกต่าง อาจารย์มีการควบคุม พลังอาจารย์ พลังอาจารย์ เข้าใจไหม ใช่ ฉันมีความสุขอย่างยิ่งกับคำถามที่ฉลาดทั้งหมดของคุณ เฉลียวฉลาดมาก ผู้คนทำสิ่งเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่ฉลาดพอ เช่น การใช้ที่ดินอย่างไม่ถูกต้องตามที่ท่านได้กล่าวไว้ หรือการทำอะไรเพียงเพราะพวกเขาขาดปัญญา ใช่ ดังนั้น รากเหง้าก็คือปัญญา การปฏิบัติธรรม จนรู้แจ้ง
ฉันขอบคุณสำหรับความสนใจของท่าน ขออวยพรสิ่งที่ดีที่สุด
“การประทับจิตไม่ใช่การประทับจิตจริงๆ หรอก ท่านแค่มาที่นี่ และให้ฉันช่วยให้ท่านรู้จักช่วยเหลือตัวเอง ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำให้ท่านเป็นศิษย์ ฉันมาเพื่อจะช่วยให้ท่านกลายเป็นอาจารย์”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
“ทุกคนรู้วิธีทำสมาธิกันแล้ว แต่ท่านทำสมาธิในสิ่งผิด บางคนทำสมาธิถึงสาวสวย บางคนทำสมาธิถึงเงิน บางคนทำสมาธิถึงธุรกิจ ทุกครั้งที่ท่านให้ความสนใจเต็มที่กับเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือการทำสมาธิ ฉันเพ่งความสนใจไปที่พลังที่อยู่ภายใน ความเมตตา ความรัก และคุณสมบัติแห่งความกรุณาของพระเจ้าเท่านั้น”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“การประทับจิตหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่เข้ามาสู่ระเบียบใหม่ มันหมายความว่า อาจารย์ยอมรับท่านให้กลายเป็นหนึ่งในแวดวงของนักบุญ แล้วท่านจะไม่ต้องใช้ชีวิตธรรมดาอีกต่อไป เพราะชีวิตของท่านถูกยกระดับขึ้นแล้วในสมัยก่อน พวกเขาเรียกมันว่า “การล้างบาป” หรือ “การลี้ภัยในอาจารย์”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
การประทับจิต : ธรรมวิถีกวนอิม
อาจารย์ชิงไห่ประทับจิตผู้มีความตั้งใจจริงและปรารถนาที่จะรู้จักสัจธรรม ให้เข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิม อักษรภาษาจีน “กวนอิม” หมายถึงการเพ่งแรงสั่นสะเทือนของเสียง ธรรมวิถีนี้รวมการทำสมาธิทั้งแสงภายในและเสียงภายใน ประสบการณ์ภายในเหล่านี้ถูกบรรยายหลายๆ ครั้ง ในวรรณกรรมธรรมะของศาสนาต่างๆ ของโลกตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว
ตัวอย่าง เช่น ในคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ก็มีกล่าวว่า ในปฐมกาลมีพระวจนะ และพระวจนะอยู่กับพระเจ้า และพระวจนะคือพระเจ้า (จอห์น ๑:๑) พระวจนะนี้คือเสียงภายใน มันถูกเรียกว่าโลโกส ศัพท์ เต๋า กระแสเสียง นาม หรือดนตรีแห่งสวรรค์ อาจารย์ชิงไห่กล่าวว่า มันสั่นสะเทือนอยู่ภายในสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และค้ำจุนทั้งจักรวาล เสียงดนตรีภายในนี้สามารถรักษาบาดแผลทั้งหมด เติมเต็มความปรารถนาทั้งหมด และดับความกระหายทางโลกทั้งปวง มันเป็นพลังทั้งมวลและความรักทั้งมวล เนื่องจากว่าเราถูกสร้างจากเสียงนี้ ซึ่งการติดต่อกับมันจะนำความสงบและความพอใจมาสู่หัวใจของเรา หลังจากฟังเสียงนี้ ทั้งตัวตนและการมองชีวิตทั้งหมดของเราจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
แสงภายใน แสงของพระเจ้า ก็คือ แสงเดียวกันกับที่อ้างอิงในคำว่า “การรู้แจ้ง” ความเข้มของแสงนี้สามารถมีได้ตั้งแต่ความสว่างไม่เข้มจนถึงความเจิดจ้าของดวงอาทิตย์หลายล้านดวง ด้วยแสงและเสียงภายในนี้ที่เรารู้จักพระเจ้า
การประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิม ไม่ได้เป็นพิธีสำหรับการเข้าสู่ศาสนาใหม่ แต่อย่างใด ในระหว่างการประทับจิต จะมีการสอนการทำสมาธิด้วยแสงภายในและเสียงภายในโดยเฉพาะ และท่านอาจารย์ชิงไห่จะมอบ “การถ่ายทอดธรรม” รสชาติครั้งแรกของการดำรงอยู่ของพระเจ้านี้จะถูกมอบให้ในความเงียบ กายเนื้อท่านอาจารย์ชิงไห่ไม่จำเป็นต้องอยู่เพื่อเปิด “ประตู” บานนี้ให้กับท่าน การถ่ายทอดเป็นส่วนที่จำเป็นของธรรมวิถีกวนอิม แต่วิธีการเองจะมีประโยชน์เพียงเล็กน้อยถ้าปราศจากพระพรของท่านอาจารย์ เพราะท่านอาจจะได้ยินเสียงภายในและเห็นแสงภายในทันทีเมื่อประทับจิต ผลที่เกิดขึ้นนี้บางครั้งจึงถูกเรียกว่าเป็น “การรู้แจ้งทันที” หรือ “ฉับพลัน”
สำหรับการประทับจิต ท่านอาจารย์ชิงไห่รับผู้คนจากทุกภูมิหลัง และทุกศาสนา ท่านไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาปัจจุบันหรือระบบความเชื่อของท่าน ท่านจะไม่ถูกขอร้องให้เข้าร่วมองค์กรใดๆ หรือเข้าร่วมในวิธีใดๆ ก็ตามที่ไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตปัจจุบันของท่าน
อย่างไรก็ตาม ท่านจะถูกขอให้เปลี่ยนไปทานมังสวิรัติ การยึดมั่นในการทานมังสวิรัติตลอดชีพ เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอันหนึ่งของการประทับจิต
การประทับจิตถูกมอบให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
สิ่งเดียวที่ท่านต้องทำหลังประทับจิต ก็คือ ท่านต้องบำเพ็ญสมาธิวิถีกวนอิมเป็นประจำทุกวัน และรักษาศีล ๕ เพราะศีล ๕ เป็นแนวทางที่จะช่วยให้ท่านไม่ทำร้ายตนเองหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด การปฏิบัติเหล่านี้จะทำให้ท่านมีประสบการณ์การรู้แจ้งในเบื้องต้นอย่างลึกซึ้งและเข้มแข็งขึ้น และเพื่อให้ท่านได้บรรลุเป้าหมายที่สูงสุดของการตื่นอยู่หรือความเป็นพระเจ้าของตัวท่านเองในที่สุด ถ้าปราศจากการบำเพ็ญสมาธิประจำวัน ท่านอาจจะลืมการรู้แจ้งและคืนสู่ระดับจิตสำนึกธรรมดา
เป้าหมายของท่านอาจารย์ชิงไห่ก็คือ การสอนพวกเราให้เป็นอิสระ ดังนั้นท่านจึงสอนวิถีที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีผู้คอยค้ำจุนหรือมีเครื่องมือประกอบใดๆ ท่านอาจารย์ไม่ได้แสวงหาผู้ติดตาม ผู้นับถือหรือลูกศิษย์ หรือก่อตั้งองค์กรด้วยการจ่ายค่าสมาชิก ท่านอาจารย์จะไม่รับเงินการกราบไหว้ หรือของขวัญจากท่าน ดังนั้นท่านจึงไม่จำเป็นต้องถวายสิ่งเหล่านี้แด่ท่าน
ท่านอาจารย์จะรับความจริงใจในชีวิตประจำวัน และการบำเพ็ญสมาธิเพื่อความก้าวหน้าสู่ความเป็นนักบุญของท่านเอง
ศีล ๕
๑. ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต*
๒. ละเว้นจากการเอาสิ่งของที่ไม่ใช่ของท่าน
๓. ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔. ละเว้นจากการพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
๕. ละเว้นจากการเสพสิ่งที่เป็นโทษ**
* ผู้รักษาศีลห้านี้ ต้องตั้งมั่นต่อการเป็นผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติ (ดื่มนมได้) มิให้รับประทานเนื้อต่างๆ ปลา ไก่ หรือไข่ (ไม่ว่าจะเป็นไข่ที่ได้รับการผสมแล้วหรือไม่ก็ตาม)
** ข้อนี้รวมถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นโทษทุกชนิด เช่น เหล้า ยาเสพติด ยาสูบ การพนัน สื่อทางเพศ และภาพยนต์หรือหนังสือที่สื่อความรุนแรงสูง
“บุคคลศักดิ์สิทธิ์ คือ มนุษย์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นศักดิ์สิทธิ์โดยสมบูรณ์ ตอนนี้เราเป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียว เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความลังเลใจ เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยอัตตา เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดการสิ่งทั้งหมดนี้เพื่อความมีสุขของเรา เพื่อประสบการณ์ของเรา เราแบ่งแยกบาปและบุญ เราถือทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ แล้วตัดสินตัวเราเองและผู้อื่นไปตามนั้น เราทุกข์จากการวาดกรอบของเราเองที่ว่า พระเจ้าควรทำอะไร เข้าใจไหม ที่จริงแล้ว พระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา และเราจำกัดพระองค์ เราอยากสนุกกับตัวเราเองและเล่น แต่เราไม่รู้วิธี เราแค่บอกคนอื่นว่า “อา เธอไม่ควรทำอย่างนั้น” และบอกตัวเราเองว่า “ฉันไม่ควรจะทำอย่างนั้น ฉันต้องไม่ทำอย่างนี้ แล้วฉันจะเป็นผู้ทานมังสวิรัติไปทำไมกัน ใช่ ฉันทราบ ฉันเป็นผู้ทานมังสวิรัติ เพราะพระเจ้าภายในตัวฉันต้องการมัน”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“เมื่อเราบริสุทธิ์ใจในการกระทำ คำพูด และความคิดของเรา แม้วินาทีเดียว บรรดาเทพเจ้า พระเจ้า และเทพารักษ์จะสนับสนุนเรา ณ เวลานั้น ทั้งจักรวาลก็จะเป็นของเราและสนับสนุนเรา และบัลลังก์จะอยู่ตรงนั้นเพื่อให้เราขึ้นครอง”
~ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
ประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติ
การให้คำมั่นว่าจะรับประทานอาหารมังสวิรัติหรือแบบมีนมได้ตลอดชีพเป็นเงื่อนไขที่ต้องมีก่อนการประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิม อาหารจากแหล่งพืชและผลิตภัณฑ์นมอนุญาตให้ทานได้ แต่ไม่ควรรับประทานอาหารอื่นทั้งหลายที่มาจากสัตว์ รวมทั้งไข่ มีเหตุผลมากมายสำหรับเรื่องนี้ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดมาจากศีลจ้อที่ ๑ ซึ่งบอกให้เราละเว้นจากการทำลายชีวิตของสรรพสัตว์ หรือ ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
การไม่ฆ่าหรือไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นั้น เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด ที่เห็นได้ชัดเจนน้อยกว่าคือ ความจริงที่ว่า การเว้นจากการทำอันตรายผู้อื่น ก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเราเท่าๆ กัน ทำไมล่ะ เพราะกฎแห่งกรรม หว่านพืชอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น เมื่อเราฆ่าหรือเป็นเหตุให้คนอื่นฆ่าเพื่อเรา เพื่อสนองความต้องการเนื้อสัตว์ของเรา เราก่อให้เกิดหนี้กรรม และหนี้นี้ต้องได้รับการชดใช้ในที่สุด
ดังนั้นแท้จริงแล้ว การรับประทานอาหารมังสวิรัติจึงเป็นของขวัญที่เรามอบให้แก่ตัวเราเองอย่างแท้จริง เราจะรู้สึกดีขึ้น และคุณภาพชีวิตของเราก็จะดีขึ้น เนื่องจากหนี้กรรมที่หนักหน่วงของเราได้บรรเทาเบาบางลงไปแล้วและเราจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์อันลึกซึ้งแห่งใหม่ของประสบการณ์ภายในของเรา ซึ่งมันคุ้มค่ามากกับมูลค่าเพียงเล็กน้อยที่เราต้องจ่าย
ข้อโต้แย้งทางธรรมที่ต่อต้านการรับประทานเนื้อสัตว์ เป็นเหตุผลที่ทำให้บางคนเป็นนักมังสวิรัติ แต่ก็มีเหตุผลสำคัญอื่นที่เราควรเป็นนักมังสวิรัติ ซึ่งเหตุผลทั้งหลายมีรากฐานมาจาก็สามัญสำนึก มันเกี่ยวข้องกับสุขภาพและโภชนาการของมนุษย์ นิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม หลักศีลธรรมและความทุกข์ทรมานของสัตว์ และความหิวโหยของชาวโลก
สุขภาพและโภชนาการ
การศึกษาด้านวิวัฒนาการของมนุษย์ แสดงให้เห็นว่า โดยธรรมชาติแล้ว บรรพบุรุษของเราเป็นผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติ โครงสร้างของร่างกายมนุษย์ไม่เหมาะกับการรับประทานเนื้อสัตว์ สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์ในการทดลองเกี่ยวกับกายวิภาคเปรียบเทียบ ซึ่งเขียนโดย ดร.จี.เอส. ฮันทินเจน แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ระบุว่า สัตว์กินเนื้อ มีลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ที่สั้น ลำไส้ใหญ่ของมันตรงและเรียบมากเป็นพิเศษ ในทางตรงข้าม สัตว์กินพืช จะมีทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ที่ยาว เพราะเนื้อสัตว์มีเส้นใยต่ำและมีความหนาแน่นของโปรตีนเนื้อสัตว์สูงมาก ลำไส้จึงไม่ต้องการเวลาที่จะดูดซึมสารอาหารดังนั้น ลำไส้ของสัตว์กินเนื้อ จึงสั้นกว่าลำไส้ของพวกสัตว์ที่กินพืช
โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ก็เหมือนสัตว์กินพืชอื่นๆ ซึ่งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ที่ยาว เมื่อรวมกันแล้ว ลำไส้ของเรายาวประมาณ ๒๘ ฟุต (๘ เมตรครึ่ง) ลำไส้เล็กขดไปมาหลายครั้ง และผนังของมันสลับซับซ้อน ไม่เรียบ ด้วยเหตุที่มันยาวกว่าพวกที่พบในสัตว์กินเนื้อ เนื้อสัตว์ที่เรารับประทานจึงอยู่ในลำไส้ของเราเป็นระยะเวลานานกว่า ดังนั้น เนื้อสัตว์สามารถบูดเน่าได้และสร้างสารพิษ สารพิษเหล่านี้มีผลเสีย เป็นสาเหตุของมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง และยังเพิ่มภาระให้กับตับ ซึ่งมีหน้าที่ขจัดพิษ สิ่งนี้สามารถก่อให้เกิดโรคตับแข็งและแม้แต่โรคมะเร็งตับได้
เนื้อสัตว์มีโปรตีนยูโรไคเนสและยูเรียสูงมาก ซึ่งเพิ่มภาระแก่ไต และสามารถทำลายการทำงานของไตได้ด้วย ในสเต็กทุกปอนด์ มีโปรตีนยูโรไคเนส ๑๔ กรัม ถ้านำเซลล์ที่ยังมีชีวิตไปใส่ในโปรตีนยูโรไคเนสเหลว สมรรถนะการเผาผลาญอาหารของมัน จะเสื่อมลง นอกจากนี้ เนื้อสัตว์ยังขาดเซลลูโลสหรือเส้นใย และการขาดเส้นใย สามารถทำให้เกิดท้องผูกได้ง่าย เป็นที่ทราบกันแล้วว่า โรคท้องผูกสามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ตรงหรือแผลริดสีดวงทวารหนัก
โคเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวในเนื้อสัตว์ ยังทำให้เกิดการผิดปกติของเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับ ๑ ของการเสียชีวิตในสหรัฐอเมริกา และในฟอร์โมซาขณะนี้
ส่วนโรคมะเร็งนั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับที่ ๒ จากการทดลองชี้ให้เห็นว่า การเผาและย่างเนื้อสัตว์ จะทำให้เกิดสารเคมีชนิดหนึ่ง (เมธิลคอแลนทรีน) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ทรงพลัง หนูที่ได้รับสารเคมีนี้จะป็นมะเร็ง เช่น เนื้องอกในกระดูก มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น
การวิจัยแสดงให้เห็นว่า ลูกหนูที่ถูกเลี้ยงโดยหนูตัวเมียที่เป็นมะเร็งเต้านม จะเกิดมะเร็งเช่นกัน เมื่อฉีดเซลล์มะเร็งของมนุษย์เข้าไปในสัตว์ สัตว์จะเป็นมะเร็งเช่นกัน ถ้าเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานประจำวัน มาจากสัตว์ที่มีอาการผิดปกติเช่นนี้ และเรารับมันเข้ามาในร่างกายของเรา ย่อมมีโอกาสสูง ที่เราจะเป็นโรคนั้นด้วย
คนส่วนมากคิดกันเอาเองว่า เนื้อสัตว์สะอาดและปลอดภัย คิดว่ามีการตรวจสอบแล้วที่โรงฆ่าสัตว์ แต่ว่าความจริงแล้ว มีโค กระบือ สุกร เป็ด ไก่ ถูกฆ่ามาขายในแต่ละวันเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จะตรวจสอบได้ครบหมดทุกตัว มันยากมากที่จะตรวจว่า เนื้อชิ้นหนึ่งมีเซลล์มะเร็งหรือไม่ อย่าว่าแต่การตรวจสัตว์ทุกตัวเลย ปัจจุบันนี้ อุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์ก็เพียงแต่ตัดหัวสัตว์ทิ้งไปหากมีปัญหาที่ส่วนหัว หรือตัดขาที่เป็นโรคทิ้ง โดยเอาส่วนที่เสียออกไปเท่านั้น แล้วก็จำหน่ายส่วนที่เหลือ
ดร.เจ.เอ็ช.เค็ลล็อก นักมังสวิรัติที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า “เวลาเรารับประทานอาหารมังสวิรัติ เราก็ไม่ต้องห่วงกังวลว่า อาหารที่เรารับประทานนั้นตายด้วยโรคอะไร ทำให้เรารับประทานได้อย่างสบายใจดีจริงๆ “
ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่น่าห่วง ยาปฏิชีวนะและกับยาอื่นๆ รวมทั้งสเตียรอยด์ และฮอร์โมนที่เร่งการเจริญเติบโต ถ้าไม่ถูกเติมในอาหารที่เลี้ยงสัตว์ ก็ฉีดเข้าไปในตัวสัตว์โดยตรง จากรายงานพบว่า คนที่รับประทานสัตว์เหล่านี้ จะดูดซึมยาเหล่านี้เข้าไปในร่างกายของพวกเขาด้วย มีความเป็นไปได้ที่ยาปฏิชีวนะในเนื้อสัตว์ จะลดประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะที่ใช้สำหรับมนุษย์ลง
มีบางคนที่คิดว่า การทานอาหารมังสวิรัติไม่ได้สารอาหารเพียงพอ ดร.มิลเล่อร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดชาวอเมริกัน ซึ่งรักษาคนไข้ที่ฟอร์โมซามา ๔๐ ปี เขาก่อตั้งโรงพยาบาลที่นั่น โดยที่อาหารทั้งหมดเป็นมังสวิรัติ สำหรับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งผู้ป่วย เขากล่าวว่า “หนูเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เลี้ยงตนเองได้ด้วยทั้งอาหารมังสวิรัติและอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติ ถ้าหนู ๒ ตัวถูกแยก โดยที่ตัวหนึ่งให้กินเนื้อสัตว์ ส่วนอีกตัวหนึ่งให้กินอาหารมังสวิรัติ เราพบว่า การเจริญเติบโตและพัฒนาการของพวกมันเหมือนกัน แต่ว่าหนูมังสวิรัติอายุยืนกว่า และมีความต้านทานโรคมากกว่า นอกจากนี้ เมื่อหนู ๒ ตัวเจ็บป่วย หนูตัวที่กินอาหารมังสวิรัติ จะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า เขายังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ยารักษาโรคที่เราได้จากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ก้าวหน้ามาก แต่มันก็ได้แต่รักษาโรคเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อาหารสามารถดูแลสุขภาพของเราได้” เขาชี้แจงว่า “อาหารจากพืช เป็นแหล่งของสารอาหารโดยตรงมากกว่าเนื้อสัตว์ ผู้คนรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ว่าแหล่งของสารอาหารสำหรับสัตว์ที่เรารับประทานนั้น ก็คือพืช ชีวิตสัตว์ส่วนใหญ่สั้น และมีโรคเกือบจะทุกชนิดที่มนุษย์มี เป็นไปได้อย่างยิ่งที่โรคของมนุษย์ชาติ มาจากรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีโรค ดังนั้น ทำไมคนจึงไม่รับสารอาหารของพวกเขาจากพืชโดยตรงเล่า” ดร.มิลเล่อร์แนะนำว่า เราแค่ต้องการธัญพืช ถั่ว และผัก เพื่อได้สารอาหาร ที่เราต้องการ เพื่อรักษาสุขภาพไว้
คนจำนวนมากมีความคิดที่ว่า โปรตีนสัตว์ดีกว่าโปรตีนพืช เพราะถือว่าโปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนที่ครบถ้วน และโปรตีนจากพืชเป็นโปรตีนที่ไม่ครบถ้วน ความจริงก็คือ โปรตีนพืชบางอย่างก็ครบถ้วน และการทานพืชหลายชนิด สามารถทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนครบถ้วนจากอาหารที่มีโปรตีนไม่ครบถ้วนได้
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ สมาคมโภชนาการของอเมริกาประกาศว่า “ทางสมาคมขอยืนยันว่า อาหารมังสวิรัติดีต่อสุขภาพ และให้คุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ หากวางแผนอย่างเหมาะสม”
เรามักจะมีความเชื่อผิดๆ ที่ว่า คนที่รับประทานเนื้อสัตว์ จะแข็งแรงกว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ แต่การทดลองโดยศาสตราจารย์เออร์วิ่ง ฟิชเช่อร์ แห่งมหาวิทยาลัยเยลกับคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ๓๒ คน และคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ ๑๕ คน แสดงให้เห็นว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีความอดทนสูงกว่าคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ เขาให้คนกางแขนให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลจากการทดลองนั้นจัดเจนมาก ในกลุ่มคนที่รับประทานเนื้อสัตว์ ๑๕ คน มีเพียง ๒ คนเท่านั้น ที่สามารถกางแขนได้นาน ๑๕-๓๐ นาที อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ๓๒ คน มี ๒๒ คน ที่สามารถกางแขนได้ ๑๕-๓๐ นาที มี ๑๕ คน ที่กางแขนได้นานกว่า ๓๐ นาที มี ๙ คน ที่กางแขนได้นานกว่า ๑ ชั่วโมง มี ๔ คน ที่กางแขนได้นานกว่า ๒ ชั่วโมง และคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติคนหนึ่ง สามารถกางแขนได้นานกว่า ๓ ชั่วโมง
นักกรีฑาระยะทางไกลจำนวนมากรับประทานอาหารมังสวิรัติระยะหนึ่งก่อนการแข่งขัน ดร.บาร์บรา มอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยอาหารมังสวิรัติ วิ่งได้ ๑๑๐ ไมล์สำเร็จใน ๒๗ ชั่วโมง ๓๐ นาที เธอเป็นผู้หญิงอายุ ๕๖ ปี ที่ทำลายสถิติทั้งหมดที่ชายหนุ่มทำไว้ เธอกล่าวว่า “ฉันอยากเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่า ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ จะสุขใจกับร่างกายที่แข็งแรงจิตใจที่ใสสะอาด และชีวิตที่บริสุทธิ์”
คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติได้รับโปรตีนในอาหารเพียงพอหรือองค์การอนามัยโลกแนะนำว่า จำนวนแคลอรี่ ๔.๕% ของแต่ละวันนั้น ควรได้มาจากโปรตีน ข้าวสาลีมีแคลอรี่ที่เป็นโปรตีน ๑๗% บร็อคโคลี่มี ๔๕% และข้าวมี ๘% มันง่ายมาก ที่จะได้อาหารที่อุดมด้วยโปรตีนโดยไม่ต้องรับประทานเนื้อสัตว์เลย อีกทั้งได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการหลีกเลี่ยงโรคมากมาย ที่เกิดจากอาหารที่มีไขมันสูง เช่น โรคหัวใจและโรคมะเร็งมากมาย การรับประทานอาหารมังสวิรัติจึงเป็นทางเลือกอันเลิศล้ำอย่างชัดเจน
ได้มีการพิสูจน์แล้วว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างการบริโภคเนื้อสัตว์และอาหารจากสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวสูงมากเกินไปกับโรคหัวใจ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และเส้นเลือดหัวใจอุดตัน โรคอื่นๆ ซึ่งสามารถป้องกันได้ และบางครั้งก็รักษาได้ด้วยอาหารมังสวิรัติที่มีไขมันต่ำ ได้แก่ โรคนิ่วในไต โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคเบาหวาน โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคลำไส้ โรคข้ออักเสบ โรคเหงือก สิว โรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โรคน้ำตาลในเลือดต่ำ โรคท้องผูก โรคผนังลำไส้อักเสบ โรคความดันโลหิจสูง โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็งรังไข่ โรคริดสีดวง โรคอ้วน และโรคหืด
นอกจากการสูบบุหรี่แล้ว ไม่มีอะไรที่เสี่ยงต่อสุขภาพส่วนบุคคลมากกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์
นิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม
การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ทำให้เกิดผลกระทบตามมา มันนำไปสู่การทำลายป่าฝนในเขตร้อน อุณหภูมิโลกสูงขึ้น น้ำเสีย ภาวะขาดน้ำ เกิดภาวะแห้งแล้ง มีการใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างผิดๆ และความหิวโหยบนโลก การใช้ผืนดิน น้ำ พลังงาน และความพยายามของมนุษย์เพื่อผลิตเนื้อสัตว์ ไม่ใช่วิธีการใช้ทรัพยากรของโลกที่มีประสิทธิภาพ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา ป่าฝนในเขตร้อน ๒๕% ของอเมริกากลาง ถูกเผาและหักร้างถางพงเพื่อสร้างทุ่งหญ้าเลี้ยงวัว ได้มีการประมาณการไว้ว่า ทุกๆ แฮมเบอร์เกอร์ ๔ ออนซ์ที่ทำจากเนื้อวัวในป่าฝนซึ่งทำลายป่าฝนในเขตร้อนถึง ๕๕ ตารางฟุต นอกจากนี้ การเลี้ยงปศุสัตว์ทำให้เกิดก๊าซ ๓ ชนิด ที่ทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างชัดเจน เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะน้ำเสีย และต้องใช้น้ำ ๒,๔๖๔ แกลลอน เพื่อผลิตเนื้อวัวแต่ละปอนด์ ขณะที่เราใช้น้ำเพียง ๒๙ แกลลอนเท่านั้น ในการผลิตมะเขือเทศ ๑ ปอนด์ และ ๑๓๙ แกลลอนเพื่อการผลิตขนมปังโฮลวีท ๑ ปอนด์ น้ำเกือบครึ่งหนึ่งที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา หมดไปกับการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
ผู้คนอีกเป็นจำนวนมากสามารถมีอาหารรับประทาน ถ้าทรัพยากรที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์ ถูกนำมาใช้ผลิตข้าวเพื่อเลี้ยงประชากรของโลก พื้นที่ปลูกข้าวโอ๊ต ๑ เอเคอร์ (๒.๕๓ ไร่) จะผลิตโปรตีนได้ ๘ เท่าและแคลอรี่ได้ ๒๕ เท่า ถ้าข้าวโอ๊ตถูกนำไปใช้เลี้ยงคนแทนเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ ๑ เอเคอร์ ที่ใช้ปลูกบร็อคโคลี่ จะสามารถผลิตโปรตีน แคลอรี่ และไนอาซินได้ ๑๐ เท่า ของพื้นที่ที่ผลิตเนื้อวัว ๑ เอเคอร์ มีสถิติอย่างนี้เป็นจำนวนมาก ทรัพยากรของโลกจะถูกใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า หากว่าพื้นที่ที่ใช้เพื่อการผลิตปศุสัตว์ถูกเปลี่ยนมาปลูกพืชเพื่อเลี้ยงคน การรับประทานมังสวิรัติทำให้เรา “เดินบนโลกอย่างสบายใจกว่า” นอกจากนั้น ท่านยังได้รับเฉพาะแต่สิ่งที่จำเป็นและลดส่วนที่ไม่จำเป็น ท่านจะรู้สึกดีขึ้น เมื่อผู้คนทราบว่า สิ่งมีชีวิตหนึ่งไม่ต้องตายไปในแต่ละครั้งที่เรารับประทานอาหารหนึ่งมื้อ
ความหิวโหย
คนเกือบ ๑ พันล้านคนได้รับความทุกข์จากความหิวโหยและการขาดสารอาหารในโลกนี้ แต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากความอดอยากเป็นจำนวนมากกว่า ๔๐ ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นเด็ก แม้กระนั้น การเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารของโลกมากกว่า ๑/๓ ถูกเปลี่ยนจากการเลี้ยงคนไปเลี้ยงปศุสัตว์แทน ในประเทศสหรัฐอเมริกา สัตว์เลี้ยงบริโภคธัญพืช ๗๐% ของทั้งหมด ถ้าเรานำพืชพันธุ์ธัญญาหารไปเลี้ยงคนแทนเลี้ยงสัตว์ ก็จะไม่มีใครหิวโหยอีกต่อไป
ความทุกข์ของสัตว์
ท่านทราบความจริงไหมว่าวัวมากกว่า ๑ แสนตัว ถูกฆ่าในสหรัฐอเมริกาทุกวัน สัตว์ส่วนใหญ่ในประเทศทางตะวันตก ถูกเลี้ยงใน “ฟาร์มแบบโรงงาน” สถานที่เหล่านี้ได้รับการออกแบบเพื่อฆ่าสัตว์ให้ได้จำนวนมากที่สุด โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด สัตว์แออัดอยู่ด้วยกัน ถูกทำให้พิการ และถูกปฏิบัติเยี่ยงเครื่องจักรเพื่อเปลี่ยนเนื้อสัตว์ให้เป็นอาหาร นี่เป็นความจริงที่พวกเราส่วนใหญ่จะไม่มีวันเห็นด้วยตาของเราเอง มีคำกล่าวที่ว่า “การเข้าโรงฆ่าสัตว์หนึ่งครั้ง จะทำให้คุณเป็นนักมังสวิรัติไปตลอดชีวิต”
ลีโอ ตอลสตอย กล่าวว่า “ตราบใดที่มีโรงฆ่าสัตว์ ก็จะมีสนามรบ การรับประทานอาหารมังสวิรัติ เป็นบททดสอบทางมนุษยธรรมที่สำคัญยิ่ง” ถึงแม้พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้ฆ่าสัตว์เอง เราก็ได้พัฒนานิสัยการรับประทานเนื้อสัตว์จนเป็นปกติด้วยการสนับสนุนจากสังคม โดยไม่รู้เลยว่า สัตว์ที่เรารับประทานถูกกระทำอะไรมาบ้าง
กลุ่มเพื่อนนักบุญและอื่นๆ
ตั้งแต่ต้นประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ เราจะเห็นได้ว่า ผักเป็นอาหารธรรมชาติของมนุษย์ เทพนิยายกรีกและฮีบรูล้วนกล่าวถึงคนซึ่งเดิมรับประทานผลไม้ พระอียิปต์โบราณไม่เคยฉันเนื้อสัตว์ นักปรัชญากรีกผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมาก เช่น เพลโต ไดโอเจนิส และโซเครติส ล้วนส่งเสริมการรับประทานอาหารมังสวิรัติ
ในประเทศอินเดีย พระศากยมุนีพุทธเจ้าเน้นความสำคัญของอหิงสาหลักการแห่งการไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิต พระองค์เตือนสาวกของพระองค์มิให้รับประทานเนื้อสัตว์ มิฉะนั้นแล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นๆ จะพากันหวาดกลัวพวกเขาพระองค์หยิบยกข้อสังเกตขึ้นมาว่า “การรับประทานเนื้อสัตว์ เป็นเพียงนิสัยอย่างหนึ่ง ในตอนต้น เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยากเนื้อสัตว์ คนที่รับประทานเนื้อสัตว์ ตัดเมล็ดพันธุ์มหาเมตตาภายในของพวกเขาทิ้งไป คนรับประทานเนื้อสัตว์ ฆ่ากันและกัน....และรับประทานกันและกัน....ชาตินี้ฉันกินเธอ และชาติหน้าเธอกินฉัน....และเป็นอย่างนี้ต่อไปเสมอ แล้วพวกเขาจะออกจากไตรภูมิ (แห่งมายา) ได้อย่างไร”
ศิษย์สำนักเต๋ายุคแรก ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์และศาสนายิวในยุคแรกจำนวนมาก ล้วนเป็นผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติ มันถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล : และพระเจ้าทรงตรัสว่า ฉันได้จัดเตรียมพืชพันธุ์ธัญญาหารทุกชนิดและผลไม้ทุกชนิดไว้ให้เธอรับประทาน แต่สำหรับสัตว์ป่าและนกทั้งหลายฉันได้เตรียมหญ้าและใบพืชเป็นอาหาร (เจเนซิส ๑:๒๙) ตัวอย่างอื่นๆ ที่ห้ามการรับประทานเนื้อสัตว์ในคัมภีร์ไบเบิ้ล เธอต้องไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่มีเลือด เพราะชีวิตอยู่ในเลือด (เจเนซีส ๙:๔) พระเจ้าตรัสว่า ใครบอกเธอให้ฆ่าวัวตัวผู้และแพะตัวเมียมาถวายฉัน จงล้างตัวเธอเองจากเลือดบริสุทธิ์นี้ เพื่อว่าฉันอาจได้ยินคำอธิษฐานของเธอ มิฉะนั้น ฉันจะหันศีรษะหนีไปเพราะมือของเธอเต็มไปด้วยเลือด เธอจงสำนึกผิด เพื่อว่าฉันอาจอภัยให้เธอ (อิไซยาห์ ๑:๑๑-๑๖) นักบุญปอล สาวกองค์หนึ่งของพระเยซู ได้กล่าวในจดหมายของท่านที่มีต่อชาวโรมันว่า เป็นสิ่งดีที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์หรือดื่มไวน์ (โรมันส ๑๔:๒๑)
เมื่อเร็วๆ นี้ นักประวัติศาสตร์พบหนังสือโบราณจำนวนมากที่ให้มุมมองใหม่ต่อชีวิตของพระเยซูและคำสอนของพระองค์อย่างชัดเจน พระเยซูตรัสว่า คนที่รับประทานเนื้อสัตว์จะกลายเป็นหลุมฝังศพของพวกมัน ฉันขอบอกเธอตามตรงว่า คนที่ฆ่า จะถูกฆ่า คนที่ฆ่าสิ่งมีชีวิต และรับประทานเนื้อของมัน กำลังรับประทานเนื้อของคนตาย
ศาสนาต่างๆ ของอินเดียก็หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อเช่นกัน มีคำกล่าวไว้ว่า คนไม่สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้โดยไม่ฆ่า ผู้ที่ทำร้ายสรรพสัตว์ จะไม่เคยได้รับพรจากพระเจ้า ดังนั้น จงหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ (ศีลศาสนาฮินดู)
อัลกุรอ่าน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม ห้ามการรับประทานสัตว์ที่ตายแล้ว ทั้งเลือดและเนื้อ
ฮั่นชันจื่อ อาจารย์เซนชาวจีนผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง เขียนบทกวีที่ต่อต้านการรับประทานเนื้ออย่างแข็งขันว่า รีบไปตลาดซื้อเนื้อสัตว์และปลา เพื่อเลี้ยงภรรยาและลูกๆ ของเธอ แต่ทำไมชีวิตของมันต้องถูกคร่าไปเพื่อค้ำจุนชีวิตของเธอด้วยเล่า มันไม่มีเหตุผล มันจะไม่นำบุญสัมพันธ์กับสวรรค์มาให้เธอ แต่จะทำให้เธอกลายเป็นกากเดนของนรก
นักเขียน ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และบุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกจำนวนมาก เป็นนักมังสวิรัติ บุคคลต่อไปนี้ล้วนรับประทานอาหารมังสวิรัติด้วยความกระตือรือร้น ได้แก่ พระศากยมุนีพุทธเจ้า, พระเยซูคริสต์, เวอร์จิล, ฮอเรซ, เพลโต, โอวิด, เพแทรค, ปิธาโกรัส, โซเครติส, วิลเลียม เช็คสเปียร์, วอลแตร์, เซอร์ ไอแซค นิวตัน, ลีโอนาร์โด ดา วินชี, ชารลส์ ดาร์วิน, เบนจามิน แฟรงคลิน, ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน, เฮนรี่ เดวิด ธอโร, เอมิล โซลา, เบอร์ตรันด์ รัสเซล, ริชาร์ด แว๊กเน่อร์, เปอรซี่ บิสเช เชลลี่ย์, เอช. จี. เวลส, อัลเบิร์ต ไอนสไตน์, รพินทรนาถ ฐากรู, ลีโอ ทอลสทอย, จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์, มหาตมะ คานธี, อัลเบิร์ต ชไวเซ่อร์, และไม่นานนี้มี พอล นิวแมน, มาดอนนา, เจ้าหญิงไดอาน่า, ลินด์เซย์ แว๊กเนอร์, พอล แมคคาร์ทนี่ย์, และแคนดิซ เบอร์เก้น นี่เป็นการยกตัวอย่างเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ กล่าวว่า “ผมคิดว่า การเปลี่ยนแปลงและผลอันบริสุทธิ์ ที่อาหารมังสวิรัติมีต่อนิสัยของมนุษย์ เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทีเดียว เพราะฉะนั้น มันทั้งเป็นมงคลและสงบสุขต่อผู้อื่นที่เลือกรับประทานมังสวิรัติ” นี่เป็นคำแนะนำของบุคคลสำคัญและนักปราชญ์จำนวนมากตลอดทั้งประวัติศาสตร์
อาจารย์ตอบคำถาม
ถ : การรับประทานเนื้อสัตว์ เป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิต แต่การรับประทานผัก ไม่ได้เป็นการฆ่าด้วยหรอกหรือ
อ : การรับประทานพืชก็เป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิตเช่นกัน และจะสร้างอุปสรรคกรรมบ้าง แต่ผลของมันจะน้อยมาก ถ้าเราบำเพ็ญวิถีกวนอิม ๒ ชั่วโมงครึ่งทุกวัน เราจะสามารถขจัดผลกรรมนี้ได้ เนื่องจากเราต้องรับประทานเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป เราจึงควรที่จะเลือกอาหารที่มีจิตสำนึกน้อยที่สุด และทำให้ตัวเราทุกข์น้อยที่สุด พืชประกอบด้วยน้ำ ๙๐% ดังนั้น ระดับของจิตสำนึกของมันจึงต่ำ จนมันแทบไม่รู้สึกทุกข์อะไร นอกจากนี้ เมื่อเรารับประทานผักมากมาย เราไม่ตัดรากของมัน แต่เรากลับช่วยให้มันแพร่พันธุ์แบบไม่ใช้เพศด้วยการตัดกิ่งและใบ ผลที่ได้กลับเป็นประโยชน์ต่อพืช เพราะฉะนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำสวนจึงบอกว่า การตัดเล็มต้นไม้ จะช่วยให้มันเติบใหญ่และสวยงาม สิ่งนี้ยิ่งเด่นชัดกับผลไม้ เมื่อมันสุก มันจะดึงดูดผู้คนให้รับประทานมัน ด้วยกลิ่นหอม สีสันอันสวยงาม และรสชาติโอชะของมัน ด้วยวิธีนี้ ไม้ผลสามารถบรรลุเป้าหมายในการแพร่พันธุ์ของมันทั่วบริเวณกว้าง ถ้าเราไม่เด็ดและรับประทานมัน ผลไม้จะสุกเกินไป และจะหล่นลงพื้นเน่าเสีย เมล็ดของมันจะถูกต้นไม้ที่อยู่เหนือกว่า บดบังแสงแดด และจะตายไปในที่สุด ดังนั้น การรับประทานผักและผลไม้ จึงเป็นแนวโน้มตามธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้ทำให้มันทุกข์ทรมานเลย
ถ : คนส่วนใหญ่มีความคิดว่า คนรับประทานอาหารมังสวิรัติ จะเตี้ยและผอมกว่า และคนที่รับประทานเนื้อสัตว์จะสูงกว่า เป็นความจริงหรือไม่
อ : คนรับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่จำเป็นว่าเตี้ยกว่าหรือผอมกว่า ถ้าอาหารของพวกเขาสมดุล พวกเขาก็สามารถตัวสูงและแข็งแรงได้เช่นกัน ท่านจะเห็นได้ว่า สัตว์ใหญ่ทั้งหลาย เช่น ช้าง วัว ยีราฟ ฮิปโปโปเตมัส ม้า เป็นต้น กินแต่ผักและผลไม้ พวกมันแข็งแรงกว่าสัตว์กินเนื้อ อ่อนโยนมาก และเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติ แต่สัตว์กินเนื้อนั้น ทั้งโหดร้ายและไม่มีประโยชน์ ถ้ามนุษย์รับประทานเนื้อสัตว์จำนวนมาก พวกเขาก็จะได้รับผลกระทบจากสัญชาตญาณและคุณลักษณะของสัตว์ คนที่รับประทานเนื้อสัตว์ ไม่จำเป็นว่าจะต้องตัวสูงและแข็งแรง แต่ช่วงชีวิตของพวกเขาโดยเฉลี่ยแล้วจะสั้นมาก ชาวเอสกิโมส่วนใหญ่รับประทานแต่เนื้อสัตว์ แต่พวกเขาสูงใหญ่และแข็งแรงมากไหม พวกเขาอายุยืนหรือไม่ (อายุเฉลี่ย ๒๗.๕ ปี) เรื่องนี้ฉันคิดว่า ท่านสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน
ถ : คนรับประทานอาหารมังสวิรัติ รับประทานไข่ได้ไหม
อ : ไม่ได้ เพราะเวลาเรารับประทานไข่ เราก็ฆ่าสิ่งมีชีวิตด้วย บางคนกล่าวว่า ไข่ตามท้องตลาดไม่มีเชื้อ ดังนั้นการรับประทานไข่จึงไม่ใช่การฆ่าสิ่งมีชีวิต สิ่งนี้ดูเหมือนถูกต้อง ไข่ที่ยังไม่มีเชื้อนั้น เป็นเพราะสภาพเหมาะสมสำหรับการรับเชื้อนั้นไม่อำนวย ไข่จึงไม่สามารถพัฒนาเป็นลูกไก่ได้ตามเป้าหมายตามธรรมชาติของมัน ถึงแม้ว่าพัฒนาการนี้ไม่เกิดขึ้น มันก็ยังคงมีพลังชีวิตภายในที่จำเป็นสำหรับการนี้อยู่ เราทราบว่าไข่มีพลังชีวิตแต่กำเนิด มิฉะนั้นแล้วทำไมมันจึงเป็นเซลล์ชนิดเดียวซึ่งสามารถแพร่พันธุ์ได้ล่ะ บางคนชี้แจงว่า ไข่มีสารอาหารจำพวก โปรตีน และฟอสฟอรัส ที่จำเป็นสำหรับร่างกายมนุษย์ แต่เราก็สามารถรับโปรตีนได้จากเต้าหู้ และฟอสฟอรัสที่ได้จากผักหลายชนิด เช่น มันฝรั่ง เป็นต้น เราทราบดีว่า ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงบัดนี้ มีพระที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์หรือไข่ อีกทั้งยังมีอายุยืนนาน ตัวอย่างเช่น พระอาจารย์อิ้งกวง แต่ละมื้อ ท่านฉันผักถ้วยหนึ่งกับข้าวเท่านั้น แต่ท่านก็อยู่ถึง ๘๐ ปี นอกจากนี้ไข่แดงยังมีโคเลสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจ นักฆ่าอันดับ ๑ ของฟอร์โมซาและอเมริกา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่เราเห็นผู้ป่วยส่วนมากนั้นเป็นผู้รับประทานไข่
ถ : มนุษย์เลี้ยงสัตว์และสัตว์ปีก เช่น สุกร ปศุสัตว์ เป็ด ไก่ เป็นต้น ทำไมเรารับประทานมันไม่ได้ล่ะ
อ : ดังนั้น พ่อแม่ที่เลี้ยงลูก แล้วพ่อแม่มีสิทธิ์รับประทานลูกของตัวเองหรือ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิต และไม่มีใครควรจะลิดรอนสิทธิ์นี้ไปจากพวกเขา ถ้าเราดูที่กฎหมายของฮ่องกง แม้แต่การฆ่าตัวเองก็ฝ่าฝืนกฎหมาย แล้วการฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นจะยิ่งผิดกฎหมายแค่ไหน
ถ : สัตว์เกิดมาเพื่อให้คนรับประทาน ถ้าเราไม่รับประทานมัน มันจะไม่ล้นโลกหรอกหรือ
อ : นี่เป็นความคิดที่น่าหัวเราะ ก่อนท่านฆ่าสัตว์ ท่านถามมันหรือเปล่าว่า มันอยากให้ท่านฆ่าและรับประทานไหม สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนอยากมีชีวิตอยู่และกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น เราไม่อยากถูกเสือกิน แล้วทำไมสัตว์ควรถูกมนุษย์กินล่ะ มนุษย์ดำรงอยู่บนโลกเพียงไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น แต่ก่อนที่มนุษยชาติจะปรากฏ ก็มีสัตว์หลายพันธุ์ดำรงอยู่มาก่อนแล้ว แล้วพวกเขาล้นโลกหรือ ตามธรรมชาติแล้ว สิ่งมีชีวิตย่อมรักษาสมดุลทางนิเวศวิทยาเอาไว้ เมื่อมีอาหารน้อยเกินไป และเนื้อที่จำกัด ย่อมนำไปสู่การลดประชากรอย่างขนานใหญ่ สิ่งนี้จะช่วยรักษาประชากรไว้ในระดับที่เหมาะสม
ถ : ทำไมฉันจึงควรทานมังสวิรัติ
อ : ฉันทานมังสวิรัติ เพราะพระเจ้าภายในต้องการมัน เข้าใจไหม การรับประทานเนื้อสัตว์นั้น ฝ่าฝืนกฎจักรวาลของการไม่อยากถูกฆ่า ตัวเราเองก็ไม่อยากถูกฆ่า และเราเองก็ไม่อยากถูกขโมย คราวนี้ ถ้าเรากระทำสิ่งนั้นต่อผู้อื่น เราก็กำลังกระทำสิ่งซึ่งขัดแย้งกับตัวเราเอง และสิ่งนั้นทำให้เราทุกข์ทรมาน ทุกสิ่งที่ท่านทำไม่ดีต่อผู้อื่น จะทำให้ท่านทุกข์ ท่านไม่สามารถกัดตัวท่านเอง ไม่ควรแทงตัวท่านเอง ในทำนองเดียวกัน ท่านไม่ควรฆ่า เพราะสิ่งนั้นฝ่าฝืนกฎของชีวิต เข้าใจไหม มันจะทำให้เราทุกข์ทรมาน เราจึงไม่ควรทำมัน นั่นมิได้หมายความว่า เราจำกัดตนเองในทางใด มันหมายความว่า เราแผ่ขยายชีวิตของเราสู่ชีวิตอื่นทุกชนิด ชีวิตของเราจะไม่ถูกจำกัดภายในร่างกายนี้ แต่ขยายสู่ชีวิตสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งมวล นั่นทำให้เราดีขึ้น ประเสริฐขึ้น มีความสุขขึ้น และไร้ขีดจำกัด เข้าใจไหม
ถ : ท่านจะพูดเรื่องการรับประทานอาหารมังสวิรัติได้ไหม และสิ่งนี้สามารถมีบทบาทต่อสันติภาพในโลกได้อย่างไร
อ : ได้สิ คุณเห็นไหมว่า สงครามส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทำให้เห็นได้ว่าความฝืดเคืองทางด้านเศรษฐกิจของประเทศหนึ่งจะกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนเมื่อมีความหิวโหย ขาดอาหารหรือขาดการจัดสรรอาหารที่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศต่างๆ ถ้าท่านใช้เวลาอ่านนิตยสารและค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติ ท่านก็จะทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี การเพิ่มขึ้นของปศุสัตว์และสัตว์เพื่อกินเนื้อ เป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจของเราล้มละลายในทุกด้าน มันสร้างผู้หิวโหยทั่วโลก อย่างน้อยก็ในประเทศโลกที่สาม ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนพูดเรื่องนี้นะ เป็นชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งทำงานวิจัยในด้านนี้ และเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านสามารถไปที่ร้านหนังสือใดก็ได้และอ่านเกี่ยวกับงานวิจัยด้านการทานอาหารมังสวิรัติและงานวิจัยด้านกระบวนการผลิตอาหาร ท่านสามารถอ่านเรื่อง “อาหารสำหรับอเมริกายุคใหม่” ที่เขียนโดย จอห์น ร็อบบินส์ เขาเป็นเศรษฐีไอศกรีมเงินล้านผู้มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เขาเลิกหมดทุกอย่างเพื่อเป็นนักมังสวิรัติ และเขียนหนังสือเกี่ยวกับมังสวิรัติ แม้ว่าจะขัดต่อประเพณีและธุรกิจของครอบครัว เขาสูญเสียเงินอภิสิทธิ์และธุรกิจจำนวนมาก แต่เขาทำมันเพื่อสัจธรรม หนังสือเล่มนั้นดีมาก มีหนังสือและนิตยสารอื่นๆ อีกมากมาย ที่สามารถให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงท่านมากมายเกี่ยวกับการทานมังสวิรัติ และหนังสือเล่มนี้ยังชี้ให้ท่านเห็นว่าอาหารมังสวิรัติจะมีบทบาทต่อสันติภาพโลกได้อย่างไร เห็นไหมว่าเราสูญเสียอาหารของเราไปกับการเลี้ยงปศุสัตว์ ท่านทราบไหมว่าเราสิ้นเปลืองโปรตีน ยา แหล่งน้ำ กำลังคน รถยนต์ รถบรรทุก การสร้างถนน ไปเท่าไร และเสียที่ดินกี่แสนเอเคอร์ กว่าวัวตัวหนึ่งจะโตพอที่จะเป็นอาหารมื้อหนึ่ง เข้าใจไหม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สามารถแจกจ่ายให้กับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน แล้วเราก็สามารถแก้ปัญหาความหิวโหยได้ ดังนั้น ถ้าตอนนี้ประเทศหนึ่งต้องการอาหาร ก็อาจจะรุกรานประเทศอื่นเพียงเพื่อช่วยชีวิตประชากรของตนเอง ในระยะยาวสิ่งนี้ก็จะก่อให้เกิดกรรมไม่ดี เข้าใจไหม คุณหว่านพืชอย่างไร คุณจะได้ผลอย่างนั้น ถ้าเราฆ่าใครเพื่อเป็นอาหาร เราจะถูกฆ่าเพื่อเป็นอาหารภายหลัง ในรูปแบบในภายภาคหน้า ในรุ่นต่อไป มันน่าเวทนา ถึงแม้เราจะเฉลียวฉลาดมาก มีอารยะธรรมสูง พวกเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่า ทำไมประเทศเพื่อนบ้านของเราจึงยังกำลังทุกข์ทรมาน มันเป็นเพราะรสปากของเรา รสอร่อยของเรา และท้องของเรา การเลี้ยงดูและทะนุถนอมร่างกายหนึ่ง เราได้ฆ่าชีวิตอื่นไปมากมาย และทำให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมากอดอยาก เรายังไม่ได้พูดถึงสัตว์ด้วยซ้ำ เข้าใจไหม แล้วความรู้สึกผิดนี้ ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม จะถ่วงจิตสำนึกของเราลง มันทำให้เราทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็ง วัณโรค และโรคชนิดอื่นที่รักษาไม่หาย รวมทั้งโรคเอดส์ ลองถามตัวท่านเองสิว่า ทำไมอเมริกาประเทศของท่านจึงทุกข์ทรมานที่สุด มีอัตราการเกิดมะเร็งสูงที่สุดในโลกก็เพราะคนอเมริกันรับประทานเนื้อวัวจำนวนมาก พวกเขารับประทานเนื้อสัตว์มากกว่าประเทศอื่นใด ลองถามตัวท่านเองสิว่า ทำไมชาวจีนหรือประเทศคอมมิวนิสต์จึงไม่มีอัตราการเกิดโรคมะเร็งที่สูงขนาดนั้น พวกเขาไม่มีเนื้อสัตว์มากเช่นนั้น เข้าใจไหม นี่เป็นสิ่งที่งานวิจัยได้กล่าวไว้ ไม่ใช่ฉันเข้าใจไหม อย่ามาโทษฉันล่ะ
ถ : มีประโยชน์ทางจิตวิญญาณอะไร ที่เราได้จากการรับประทานอาหารมังสวิรัติ
อ : ฉันรู้สึกยินดี ที่ท่านถามคำถามในลักษณะนี้ เพราะมันหมายความว่า ท่านกำลังจดจ่อ หรือสนใจกับผลดีทางด้านจิตวิญญาณ คนส่วนใหญ่มักสนใจเกี่ยวกับสุขภาพ อาหาร และรูปร่าง เมื่อพวกเขาถามเกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติ หรืออาจตอบได้อีกแง่หนึ่งว่า อาหารมังสวิรัติในแง่จิตวิญญาณเป็นอาหารที่สะอาดมากและไม่มีความรุนแรง เจ้าต้องไม่ฆ่า เมื่อพระเจ้าตรัสกับเราเช่นนี้ พระองค์มิได้บอกว่าอย่าฆ่าคน พระองค์บอกว่า อย่าฆ่าสิ่งมีชีวิตใดๆ พระองค์มิได้บอกหรือว่า พระองค์สร้างสัตว์ทั้งหลายให้เป็นเพื่อนเรา เพื่อช่วยเหลือเรา พระองค์ไม่ได้มอบสัตว์ต่างๆ ไว้ในความดูแลของเราหรอกหรือ พระองค์ตรัสว่า จงดูแลมัน จงปกครองมัน เมื่อท่านปกครองประชาชนของท่าน ท่านจะฆ่าประชาชนของท่านและรับประทานพวกเขาหรือ แล้วท่านจะกลายเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีใครอื่น ฉะนั้นตอนนี้ขอให้ท่านจงเข้าใจ เมื่อพระเจ้าตรัสอย่างนั้น เราก็ต้องทำ ไม่จำเป็นต้องสงสัยในตัวพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนมาก แต่มีใครบ้างจะเข้าใจพระเจ้า นอกจากพระเจ้าเอง ดังนั้น ท่านต้องกลายเป็นพระเจ้า เพื่อที่จะเข้าใจพระเจ้า ฉันขอเชิญท่านให้เป็นเหมือนพระเจ้าอีกครั้ง เป็นตัวของท่านเอง ไม่ใช่เป็นใครอื่น การทำสมาธิถึงพระเจ้า มิได้หมายความว่า ท่านบูชาพระเจ้า มันหมายความว่าท่านกลายเป็นพระเจ้า ท่านตระหนักรู้ว่า ท่านและพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูมิได้ตรัสเช่นนั้นหรือ ถ้าพระองค์ตรัสว่า พระองค์และพระบิดาของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เราและพระบิดาของพระองค์ ก็สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ด้วย เพราะเราเป็นบุตรของพระเจ้าเช่นกัน และพระเยซูยังตรัสอีกด้วยว่า สิ่งที่พระองค์ทำได้ เราสามารถทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้น เราอาจดีกว่าพระเจ้าด้วยซ้ำไป ใครจะทราบ เราบูชาพระเจ้าทำไม ถ้าเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้า จะเชื่อแบบตาบอดทำไม เราต้องรู้ก่อนว่า เรากำลังบูชาอะไร ก็เหมือนกับที่เราต้องรู้ว่าหญิงสาวที่เรากำลังจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นใคร ก่อนที่เราจะแต่งงานกับหล่อน ปัจจุบันนี้ มันเป็นธรรมเนียม ที่เราไม่แต่งงาน ก่อนที่เราจะนัดเที่ยวกัน แล้วทำไมเราควรบูชาพระเจ้าด้วยความเชื่อแบบตาบอดล่ะ เรามีสิทธิ์เรียกร้องให้พระเจ้าปรากฏต่อเรา และให้เรารู้จักพระองค์ เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่า เราจะปฏิบัติตามพระเจ้าองค์ไหน ทีนี้ท่านจะเห็นได้ว่า มันชัดเจนมากในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ว่า เราควรเป็นนักมังสวิรัติ จากเหตุผลด้านสุขภาพ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ และเหตุผลแห่งเมตตาทั้งหลาย เราควรเป็นนักมังสวิรัติ รวมทั้งเพื่อกอบกู้โลกนี้ไว้ เราก็ควรเป็นนักมังสวิรัติ มีคำกล่าวในงานวิจัยบางอย่างว่า ถ้าคนในซีกโลกตะวันตก ในอเมริการับประทานอาหารมังสวิรัติเพียงอาทิตย์ละครั้ง เราจะสามารถช่วยคนที่อดอยากได้ถึง ๖๐ ล้านคนทุกปี ดังนั้น จงเป็นวีรบุรุษ เป็นนักมังสวิรัติ จากเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ ถึงแม้ว่าท่านไม่ปฏิบัติตามฉัน หรือมิได้ปฏิบัตธรรมวิถีเดียวกัน โปรดเป็นนักมังสวิรัติเพื่อตัวท่านเอง และเพื่อโลกของเรา
ถ : ถ้าทุกคนรับประทานพืช มันจะทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารหรือไม่
อ : ไม่หรอก การใช้ที่ดินผืนหนึ่งปลูกพืชผล จะให้อาหารมากเป็น ๑๔ เท่าของการใช้ที่ดินผืนเดียวกันปลูกหญ้าแห้งเพื่อเลี้ยงสัตว์ พืชจากที่ดินแต่ละเอเคอร์ จะให้พลังงานได้ถึง ๘๐๐,๐๐๐ แคลอรี่ แต่ถ้าพืชเหล่านี้ถูกนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ แล้วสัตว์เหล่านี้ถูกรับประทานเป็นอาหาร เนื้อของสัตว์สามารถให้พลังงานได้เพียง ๒๐๐,๐๐๐ แคลอรี่เท่านั้น นั่นหมายความว่าระหว่างกระบวนการย่อยพืชให้เป็นอาหารในตัวสัตว์ เราจะสูญเสียพลังงานไป ๖๐๐,๐๐๐ แคลอรี่ ดังนั้น จึงเป็นที่กระจ่างแจ้งว่า อาหารมังสวิรัติมีประสิทธิภาพสูงกว่า และประหยัดกว่าอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์
ถ : ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ จะรับประทานปลาได้หรือไม่
อ : มันไม่เป็นไร ถ้าท่านอยากจะรับประทานปลา แต่ถ้าท่านอยากจะรับประทานมังสวิรัติแล้วละก็ ปลาไม่ใช่ผักนะ
ถ : บางคนกล่าวว่า มันสำคัญที่ว่า ผู้มีจิตใจดีงาม ไม่จำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติ คำพูดนี้เป็นเหตุเป็นผลหรือไม่
อ : ถ้าใครที่เป็นผู้มีจิตใจดีงามอย่างแท้จริง แล้วทำไมเขายังรับประทานเนื้อของสิ่งมีชีวิตอื่นล่ะ การได้เห็นพวกเขาทุกข์ทรมาน ดังนั้นเขาก็ไม่ควรที่จะทนรับประทานมันได้ การรับประทานเนื้อสัตว์เป็นการขาดความเมตตา แล้งผู้ที่มีจิตใจดีงาม สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างไร อาจารย์เหลียนฉือ เคยกล่าวว่า “ฆ่าร่างกายของมัน และรับประทานเนื้อของมัน ในโลกนี้ ไม่มีใครจะโหดเหี้ยม เป็นอันตราย โหดร้ายและผิดมนุษย์ไปกว่าบุคคลนี้อีกแล้ว” เขาสามารถอ้างได้อย่างไรว่า เขาเองเป็นผู้มีจิตใจดีงาม เมิ่งจื๊อก็กล่าวไว้เช่นกันว่า “ถ้าท่านเห็นมันมีชีวิตอยู่ ท่านไม่สามารถทนเห็นมันตายได้ และถ้าท่านได้ยินเสียงมันร้องคร่ำครวญอยู่ ท่านไม่สามารถทนรับประทานเนื้อมันได้ ดังนั้น สุภาพบุรุษที่แท้จริงจึงควรอยู่ห่างจากครัว” สติปัญญาของมนุษย์สูงกว่าสัตว์ และเราสามารถใช้อาวุธทำให้สัตว์ไม่สามารถต่อสู้ต้านทานเราได้ พวกเขาจึงตายด้วยความอาฆาตแค้น ผู้ที่กระทำเช่นนี้ คือ ผู้ที่รังแกสิ่งมีชีวิตที่เล็กและอ่อนแอกว่า ไม่มีสิทธิ์ที่จะถูกเรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษ เมื่อสัตว์ถูกฆ่า มันจะถูกตีด้วยอย่างรุนแรง ด้วยการดิ้นรน กลัว และแค้นใจ สิ่งนี้เป็นเหตุให้เกิดการผลิตสารพิษที่อยู่ในเนื้อของพวกมัน อันจะเป็นอันตรายต่อผู้ที่รับประทานมันเข้าไป เนื่องจากความถี่ของแรงสั่นสะเทือนของสัตว์ต่ำกว่าของมวลมนุษย์ มันจึงมีอิทธิพลต่อแรงสั่นสะเทือนของเรา และมีผลกระทบต่อการพัฒนาปัญญาของเราด้วย
ถ : การเป็นแค่ผู้ที่เรียกว่า “นักมังสวิรัติตามสะดวก” นั้นดีพอแล้วหรือไม่ (ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติตามสะดวก ไม่หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์อย่างเคร่งครัด พวกเขาจะรับประทานผักจากอาหารที่มีผักและเนื้อสัตว์ปนอยู่ หรือเจเขี่ย)
อ : ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าอาหารถูกใส่ในยาพิษเหลว แล้วเอาออกมา ท่านคิดว่าอาหารมันจะมีพิษหรือไม่ล่ะ ในมหาปรินิพพานสูตร พระมหากัสสปะถามพระพุทธเจ้าว่า “เมื่อเราบิณฑบาตและได้ผักปนกับเนื้อสัตว์ เราสามารถฉันอาหารนี้ได้ไหม เราสามารถทำอาหารให้สะอาดได้อย่างไร” พระพุทธเจ้าตอบว่า “เราควรล้างมันให้สะอาดด้วยน้ำ และแยกผักออกจากเนื้อสัตว์ แล้วผู้นั้นก็สามารถฉันมันได้” จากบทสนทนาข้างต้น เราสามารถเข้าใจได้ว่า เราไม่สามารถรับประทาน แม้กระทั่งผักที่ปนอยู่กับเนื้อสัตว์ นอกจากนั้นจะล้างมันให้สะอาดด้วยน้ำเสียก่อน อย่าว่าแต่การรับประทานเนื้อสัตว์ล้วนๆ เลย ดังนั้นจึงเป็นการง่ายมากที่จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์ล้วนฉันอาหารมังสวิรัติ อย่างไรก็ตาม บางคนปรามาสพระพุทธเจ้าด้วยการกล่าวว่าพระองค์เป็น “ผู้ฉันมังสวิรัติตามสะดวก” และถ้าผู้คนถวายเนื้อสัตว์ พระองค์ก็ฉันเนื้อสัตว์ นี่เป็นการพูดไร้สาระอย่างแท้จริง ผู้ที่กล่าวเช่นนั้นคงจะเป็นผู้ที่อ่านพระสูตรน้อยเกินไป หรือไม่เข้าใจพระสูตรที่พวกเขาอ่าน ในประเทศอินเดีย คนมากกว่า ๙๐% เป็นนักมังสวิรัติ เมื่อคนเห็นพระภิกษุห่มจีวรเหลือง พวกเขาล้วนทราบว่า พวกเขาควรถวายอาหารมังสวิรัติแก่พวกท่าน ไม่ต้องพูดถึงว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีเนื้อสัตว์ที่จะถวายแต่อย่างไร
ถ : นานมาแล้ว ฉันได้ยินอาจารย์อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า “พระพุทธเจ้าฉันขาสุกรแล้วท้องร่วงและปรินิพพาน” นี่เป็นความจริงหรือไม่
อ : ไม่อย่างแน่นอน ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน เป็นเพราะฉันเห็ดชนิดหนึ่ง ถ้าเราแปลตรงตัวจากภาษาของพราหมณ์ เห็ดชนิดนี้เรียกว่า “ขาสุกร” แต่มิใช่ขาสุกรจริงๆ ก็เหมือนกับเมื่อเราเรียกผลไม้ชนิดหนึ่งว่า “ลำไย” (ในภาษาจีนคำต่อคำ หมายถึง “ตามังกร”) มีหลายสิ่ง ที่ชื่อไม่ใช่ผัก แต่จริงๆ แล้วมันเป็นอาหารมังสวิรัติ อย่าง “ตามังกร” เป็นต้น เห็ดนี้ในภาษาพราหมณ์เรียกว่า “ขาสุกร” หรือ “ความสุขของสุกร” ทั้ง ๒ คำมีความสัมพันธ์กับสุกร เห็ดชนิดนี้หาไม่ง่ายในอินเดียโบราณ และเป็นอาหารเลิศรสที่หาได้ยาก คนจึงถวายมันแด่พระพุทธเจ้าเพื่อเป็นการบูชา เห็ดชนิดนี้ไม่สามารถพบได้เหนือพื้นดิน มันงอกใต้ดิน ถ้าใครอยากเจอมัน พวกเขาต้องค้นหา โดยให้สุกรแก่ ซึ่งชอบกินเห็ดชนิดนี้อย่างมากช่วยค้น สุกรจะหามันพบด้วยกลิ่นและเมื่อค้นพบต้นหนึ่ง สุกรจะใช้เท้าขุดลงไปในโคลนและกินมัน ด้วยเหตุนี้เห็ดชนิดนี้จึงถูกเรียกว่า “ความสุขของสุกร” หรือ “ขาสุกร” จริงๆ แล้ว ๒ ชื่อนี้พูดถึงเห็ดเดียวกัน เพราะมันถูกแปลอย่างไม่พินิจพิเคราะห์ และเพราะคนไม่เข้าใจที่มาอย่างแท้จริง คนรุ่นต่อมาจึงไม่เข้าใจ และเข้าใจพระพุทธเจ้าผิดว่าเป็นผู้ที่ชื่นชอบเนื้อสัตว์ นี่เป็นสิ่งที่น่าสลดใจจริงๆ
ถ : ผู้ที่ชื่นชอบเนื้อสัตว์บางคนกล่าวว่า พวกเขาซื้อเนื้อสัตว์จากคนขายเนื้อ พวกเขาไม่ได้ฆ่าเอง เพราะฉะนั้นการรับประทานมันนั้นไม่เป็นไร ท่านคิดว่าสิ่งนี้ถูกต้องหรือไม่
อ : นี่เป็นความเข้าใจผิดมหันต์ ท่านต้องทราบว่าคนขายเนื้อเขาฆ่าสิ่งมีชีวิตเพราะคนอยากรับประทาน ในลังกาวตารสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าไม่มีใครรับประทานเนื้อสัตว์ ก็จะไม่มีการฆ่าเกิดขึ้น ดังนั้น การรับประทานเนื้อสัตว์และการฆ่าสิ่งมีชีวิต จึงเป็นบาปเหมือนกัน
เนื่องจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตมากเกินไป เราจึงมีภัยธรรมชาติและมหันตภัยที่เกิดจากมนุษย์ สงครามก็เกิดจากการฆ่ามากเกินไปเช่นกัน
ถ : บางคนกล่าวว่า ขณะที่พืชไม่สามารถสร้างสิ่งที่เป็นพิษ เช่น สารในปัสสาวะหรือเอ็นไซม์ที่กระตุ้นปัสสาวะ ในขณะเดียวกันคนที่ปลูกผักและผลไม้ ได้ใช้ยาฆ่าแมลงกับพืชจำนวนมาก ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของเรา มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
อ : ถ้าชาวนาใช้ยาฆ่าแมลงและสารเคมีอื่นๆ ที่มีพิษมากเช่น ดีดีที กับพืชผล มันสามารถนำไปสู่โรคมะเร็ง เป็นหมัน และโรคตับต่างๆ สารพิษ เช่น ดีดีที สามารถแทรกซึมเข้าไปในไขมัน และมักจะถูกเก็บสะสมในไขมันสัตว์ เมื่อท่านรับประทานเนื้อสัตว์ หมายความว่า ท่านรับยาฆ่าแมลงเข้มข้นสูงทั้งหลายเหล่านี้ และสารพิษอื่นๆ ที่อยู่ในไขมันของสัตว์ซึ่งสะสมระหว่างการเติบโตของสัตว์ การสะสมเหล่านี้อาจมีปริมาณมากถึง ๑๓ เท่าของสารพิษในผลไม้ ผัก หรือพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราสามารถล้างยาฆ่าแมลงที่ฉีดบนผิวของผลไม้ออกไปได้ แต่เราไม่สามารถเอายาฆ่าแมลงที่สะสมในไขมันสัตว์ออกได้ กระบวนการสะสมจึงเกิดขึ้น เพราะยาฆ่าแมลงเหล่านี้เป็นสารที่ตกค้างสะสม ดังนั้นผู้บริโภคที่อยู่ปลายสุดของบ่วงโซ่อาหาร จึงเป็นผู้เสี่ยงอันตรายที่สุด การทดลอง ณ มหาวิทยาลัยไอโอวา ได้แสดงให้เห็นว่า ยาฆ่าแมลงที่พบในร่างกายของมนุษย์นั้น เกือบทั้งหมดมาจากการรับประทานเนื้อสัตว์ พวกเขาค้นพบว่าระดับของยาฆ่าแมลงในร่างกายของผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ มีน้อยกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ จริงๆ แล้วยังมีสารพิษอื่นๆ ในเนื้อสัตว์นอกจากยาฆ่าแมลง เพราะในกระบวนการเลี้ยงสัตว์นั้น อาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ ประกอบด้วยสารเคมีที่ทำให้พวกเขาเจริญเร็วขึ้นหรือเพื่อเปลี่ยนสีเนื้อ รสชาติ หรือกล้ามเนื้อของพวกมันและเพื่อถนอมเนื้อ ตัวอย่างเช่น สารกันบูดที่ผลิตจากไนเตรทเป็นสารที่มีพิษสูง หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ ฉบับวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๔ รายงานว่า “อันตรายต่อสุขภาพอย่างใหญ่หลวงที่ซ่อนแฝงอยู่สำหรับผู้รับประทานเนื้อสัตว์ คือ สารแปลกปลอมในเนื้อสัตว์ซึ่งมองไม่เห็น เช่น แบคทีเรียในปลาแซลมอน ยาฆ่าแมลงที่ตกค้าง สารกันบูด ฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะ และสารเคมีที่ใส่เพิ่มเข้าไป” นอกจากนั้นแล้ว สัตว์ยังถูกฉีดวัคซีน ซึ่งอาจคงอยู่ในเนื้อของมันในด้านนี้ โปรตีนในผลไม้ ผลไม้เปลือกแข็ง ถั่วต่างๆ ข้าวโพดและนม ล้วนบริสุทธิ์กว่าโปรตีนเนื้อสัตว์ ซึ่งมีสิ่งแปลกปลอมที่ไม่สามารถละลายน้ำได้อยู่ถึง ๕๖% งานวิจัยแสดงว่า สารแปลกปลอมที่มนุษย์เป็นผู้กระทำเหล่านี้สามารถนำไปสู่โรคมะเร็ง โรคอื่นๆ หรือความพิการของทารกในครรภ์ ดังนั้น จึงเป็นการเหมาะสมยิ่งสำหรับหญิงมีครรภ์ที่จะรับประทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ เพื่อรับประกันความปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจของเด็กทารกในครรภ์ ถ้าท่านดื่มนมมาก ท่านสามารถได้แคลเซียมเพียงพอ ท่านสามารถได้โปรตีนจากถั่ว และท่านสามารถได้วิตามินและเกลือแร่จากผักและผลไม้ด้วย
การรับประทานอาหารมังสวิรัติ
ทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาขาดน้ำของโลก
น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลก อย่างไรก็ตาม สถาบันน้ำนานาชาติสต็อกโฮล์ม (เอสไอดับเบิ้ลยูไอ) เปิดเผยว่า ปริมาณการใช้น้ำบนดาวเคราะห์ของเราที่มากเกินไป อาจทำให้คนรุ่นในอนาคตตกอยู่ในสภาวะการขาดแคลนน้ำ
ต่อไปนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ ที่ถูกรายงาน ณ การประชุมสัปดาห์น้ำโลกประจำปีของ เอสไอดับบลิวไอ ซึ่งจัดขึ้น ณ วันที่ ๑๖-๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๗
- เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ที่การผลิตอาหารเกิดขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มจำนวนประชากร ขณะนี้ หลายแห่งในโลกเริ่มประสบภาวะการขาดแคลนน้ำสำหรับการผลิตอาหารเพิ่มเติม
- สัตว์ที่เลี้ยงเพื่อเป็นเนื้อสัตว์ ซึ่งกินธัญพืช ใช้น้ำ ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ กก. ในการผลิตเนื้อทุกๆ ๑ กิโลกรัม (ถือเป็นอัตราการผลิตที่มีประสิทธิ์ภาพน้อยกว่า ๐.๐๑% หากกระบวนการทางอุตสาหกรรมใดทำงานด้วยอัตราประสิทธิภาพระดับนี้ มันก็จะถูกระงับไป และใช้วิธีอื่นแทนในเวลาอันรวดเร็ว
- อาหารประเภทธัญพืช ใช้น้ำ ๔๐๐-๓,๐๐๐ กก. ในการผลิตแต่ละกก.(นั่นก็คือ ๕% ที่ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์)
- น้ำที่อยู่ในการจัดการของมนุษย์ ถูกนำไปใช้ในการปลูกพืชเพื่อผลิตอาหารถึง ๙๐%
- ประเทศอื่นดังเช่น ออสเตรเลีย มีน้ำน้อยอยู่แล้ว ถือได้ว่าส่งออกน้ำในลักษณะของเนื้อสัตว์
- ในประเทศที่กำลังพัฒนา ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ ใช้ทรัพยากรน้ำในแต่ละวันถึง ๕,๐๐๐ ลิตร (๑,๑๐๐๐ แกลลอน) ส่วนผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ ใช้น้ำเพียงวันละ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ ลิตร (๒๐๐-๔๐๐ แกลลอน)(รายงานจากนิตยสารการ์เดี้ยน ๒๓/๘/๒๕๔๗)
นอกจากนี้ ในหมายเหตุเพิ่มเติม ซึ่งมิได้มาจากรายงานของเอสไอดับเบิ้ลยูไอ มีกล่าวว่าบริเวณป่าฝนเขตร้อนอเมซอน ถูกตัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อปลูกถั่วเหลือง อย่างไรก็ตาม ถั่วเหล่านี้ถูกนำไปเลี้ยงวัวพันธุ์เนื้อ แต่การนำถั่วนี้ไปเป็นอาหารคนโดยตรง กลับจะได้ประโยชน์กว่ามากมายนัก
ผู้ประทับจิตจำนวนมากจะจำได้ว่า ท่านอาจารย์ได้เอ่ยถึงผลกระทบที่เกิดจากการผลิตเนื้อสัตว์อันมีต่อสภาพแวดล้อมในการบรรยายหัวข้อ “ประโยชน์ของการรับประทานมังสวิรัติ” ซึ่งถูกพิมพ์ในหนังสือ กุญแจสู่การรู้แจ้งฉับพลัน ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า “การเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อ จะมีผลกระทบตามมา มันก่อให้เกิดการทำลายป่าฝนเขตร้อน ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เกิดภาวะน้ำเสีย ภาวะขาดน้ำ เกิดพื้นที่เปลี่ยนเป็นทะเลทราย เกิดการนำแหล่งพลังงานไปใช้ในทางที่ผิด และเกิดภาวะโลกขาดอาหาร การนำที่ดิน น้ำ พลังงาน และกำลังคนมาใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์ ไม่ใช่การนำทรัพยากรของโลกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพแต่อย่างใด”
ดังนั้น เพื่อลดปริมาณน้ำที่ถูกนำมาใช้ทั่วโลก มนุษย์จะต้องหาวิธีใหม่ในการผลิตอาหารของโลก และการรับประทานมังสวิรัติเป็นวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อดูรายงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โปรดแวะชม
http ://www.worldwatercouncil.org/
http ://new.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/3559542.stm
http ://news.bbc.co.uk/1/hi/sci/tech/2943946.stm
ข่าวดีสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติ
โปรตีนที่จำเป็นจากผัก
อาหารมังสวิรัติมิเพียงมีประโยชน์มหาศาลกับการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังดีต่อสุขภาพของเราอย่างมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เราจะต้องให้ความสนใจมากเป็นพิเศษกับสมดุลทางโภชนาการ และดูให้แน่ใจว่า เราจะไม่ขาดโปรตีนที่จำเป็นจากพืช
โปรตีนมีอยู่ ๒ ชนิด คือโปรตีนจากสัตว์และโปรตีนจากพืช ถั่วเหลือง ถั่วปากเหยี่ยว และถั่วลันเตา เป็นแหล่งบางอย่างของโปรตีนจากพืช การรับประทานอาหารมังสวิรัติมิได้หมายความว่า ให้กินผัดผักแต่อย่างเดียว แต่เราควรเพิ่มโปรตีนเข้าไปด้วย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบตามที่เราต้องการ
ดร.มิลเลอร์รับประทานอาหารมังสวิรัติมาตลอดชีวิต ท่านเป็นแพทย์และได้รักษาคนยากจนในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมานานนับ ๔๐ ปี ท่านเชื่อว่า เรารับประทานแต่ธัญพืช ถั่วต่างๆ ผลไม้ และผัก เราก็จะได้สารอาหารครบถ้วนในการดำรงไว้ซึ่งสุขภาพที่ดี ดร.มิลเลอร์ กล่าวว่า “เต้าหู้ก็คือ “เนื้อ” ที่ไร้กระดูก”
“เนื่องจากถั่วเหลืองมีคุณค่าทางอาหารมาก สมมติว่า หากให้คนรับประทานอาหารเพียง ๑ ชนิด ถ้าเขาเลือกรับประทานถั่วเหลือง เขาก็จะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า”
การทำอาหารมังสวิรัติก็เหมือนกับการทำอาหารที่ใช้เนื้อสัตว์ เพียงแต่เราใช้ส่วนผสมที่เป็นโปรตีนมังสวิรัติแทนเนื้อ เช่น ใช้ชิ้นไก่มังสวิรัติ แฮมมังสวิรัติ หรือแผ่นเนื้อมังสวิรัติ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะทำ “ผัดเนื้อสับกับขึ้นฉ่าย” หรือ “แกงสาหร่ายใส่ไข่” เราก็เปลี่ยนเป็น “ผัดเนื้อมังสวิรัติสับกับขึ้นฉ่าย” หรือ “แกงสาหร่ายทะเลกับแผ่นเต้าหู้”
ถ้าท่านอยู่ในประเทศที่ไม่มีส่วนผสมประเภทโปรตีนมังสวิรัติขาย ท่านสามารถติดต่อศูนย์ของสมาคมอนุตราจารย์ชิงไห่นานาชาติประจำท้องที่ของท่านได้ แล้วเราจะมอบข้อมูลผู้ส่งขายหลักบางเจ้าและรายชื่อร้านอาหารมังสวิรัติให้กับท่าน
ส่วนเรื่องวิธีทำอาหารมังสวิรัตินั้น ท่านอาจเปิดดูหนังสือ “ครัวอันสูงส่ง” ได้ อันเป็นหนังสือที่พิมพ์โดยสมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่ หรือดูตำราอาหารเล่มอื่นใดก็ได้
เพื่อดูรายการร้านอาหารมังสวิรัติทั่วโลก โปรดแวะชม :
http://www.Godsdirectcontact.org.tw/ch1/index.htm
เมื่อความรักของท่านอาจารย์หล่นลงบนวิญญาณของฉัน
ฉันก็กลับอ่อนเยาว์อีกครั้ง
อย่าถามฉันเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด
เนื่องด้วยเหตุผลมิใช่ตรรกของความรัก
ฉันเป็นกระบอกเสียง
ของสรรพสัตว์ทั้งมวล
กำลังออกเสียงอย่างเปิดเผย
ถึงความโศกเศร้าและความปวดร้าวของพวกเขา
ชาติแล้วชาติเล่าในวงล้อแห่งความตายที่ว่ายเวียนตลอดกาล
อธิษฐานเถิด ท่านอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาสงสาร
โปรดเร่งมือ จบมันลงด้วยเถิด
พระพรของท่านหลั่งไหลไปถ้วนทั่วทุกผู้คน
ทั้งที่เลวและที่ดี
ทั้งที่งามและขี้เหร่
ที่จริงใจและไร้ค่า
เสมอกัน
โอท่านอาจารย์ ฉันไม่เคยร้องเพลงสดุดีท่านได้เลย
ความรักของท่านฉันเก็บเอาไว้ในใจของฉัน
และนอนกับมันทุกค่ำคืน
จาก “น้ำตาเงียบงัน” การรวบรวมบทกวี
~โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“จงหาสมบัติอันเป็นอมตะตลอดกาลของท่านเอง แล้วท่านจะสามารถหยิบใช้จากแหล่งอันมิรู้จักเหือดแห้งของสมบัตินั้นได้ นี่คือพรอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ฉันมิอาจหาคำพูดใดมาโฆษณามันได้ ฉันได้แต่ยกยอสรรเสริญมัน และหวังว่า ท่านจะเชื่อคำสรรเสริญของฉันว่า พลังงานของฉันจะมีผลต่อดวงใจของท่านด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และยกระดับความรู้สึกในใจท่านสู่ความปลื้มปีติแบบนั้น เมื่อนั้น ท่านก็จะเชื่อ เมื่อประทับจิตแล้ว ท่านจะเข้าใจความหมายของ สิ่งที่ฉันพูด อย่างแท้จริง ฉันไม่มีวิธีใดอธิบายถึงพรอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้กับฉันได้ และได้อนุญาตให้ฉันถ่ายทอดโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายและโดยไร้เงื่อนไข”
~โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“เรารับกรรมบางส่วนมาจากคนรอบๆ เราด้วยการมองพวกเขา ด้วยการคิดถึงพวกเขา ด้วยการแบ่งกันอ่านหนังสือ หรือรับประทานอาหารร่วมกัน นี่คือวิธี ที่เราให้พรคน และลดกรรมของพวกเขา นี่คือเหตุ ที่เราบำเพ็ญ เพื่อแพร่กระจายแสงและขับไล่ความมืดมนในชีวิตมนุษย์ที่มอบกรรมบางส่วนให้กับเรา แล้วพวกเขาจะได้รับพรจากเรา เรามีความสุขใจที่ได้ช่วยพวกเขา”
~โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
“ในภาษามนุษย์ เราพูดเรื่องไร้สาระอยู่ตลอดเวลา เราจะพูดฉอด ฉอด ฉอด เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เราจะเปรียบเทียบ จะวัดคุณค่า จะแยกแยะ จะหาชื่อมาเรียกทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พระเจ้าผู้สมบูรณ์ แม้ว่าเป็นผู้สมบูรณ์จริง เรามิอาจเอ่ยถึงได้ด้วยซ้ำ ไม่สามารถพูดถึงได้ ไม่สามารถคิดถึงได้ด้วยซ้ำ ไม่สามารถจินตนาการออกได้ ไม่มีอะไรเลย เข้าใจไหม”
~โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่~
ดาวน์โหลดฟรีหนังสือตัวอย่าง “กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที” (มากกว่า ๖๐ ภาษา)
http://www.Godsdirectcontact.org/sample/(U.S.A.)
http://www.direkter-kontakt-mit-gott.org/download/index.htm(Austria)
http://sb.godsdirectcontact.net/(Formosa)
สิ่งพิมพ์
เพื่อยกระดับจิตใจของเราและให้แรงดลใจแก่ชีวิตประจำวันของเรา การรวบรวมถ้อยคำอันมั่งคั่งไปด้วยคำสอนของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ท่านสามารถหาข้อมูลได้ในรูปหนังสือ วีดิทัศน์ แถบเสียง ตลัปเทปดนตรี ดีวีดี เอ็มพี ๓ และซีดีได้
“นอกจากหนังสือและเทปแล้ว คำสอนอันหลากหลายของท่านอาจารย์สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ทางอินเทอร์เน็ต ตัวอย่างเช่น มีเวปไซต์มากมายที่นำเสนอวารสารข่าวที่ได้รับการตีพิมพ์สูงสุด (ดูที่ “เวปไซต์กวนอิม” ข้างล่าง) สิ่งพิมพ์ออนไลน์อื่นๆ ประกอบด้วย บทกวี และคติพจน์และการบรรยายของท่านอาจารย์ในรูปแบบไฟล์วิดีโอและเสียง
สิ่งพิมพ์อื่นที่แจกจ่ายอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันหาได้จากอินเทอร์เน็ตมากกว่า ๖๐ ภาษา เป็นหนังสือตัวอย่างเล่มเล็ก โปรดไปเยี่ยมเว็ปไซต์ต่อไปนี้
http://www.Godsdirectcontact.org/sample/(U.S.A.)
http://www.direkter-kontakt-mit-gott.org/download/index.htm(Austria)
http://www.Godsdirectcontact.tw/eng/publication/sample/sample.htm(Formosa)
เราสานุศิษย์ของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ต่างก็ได้ประสบกับความลำบากที่พวกเราอาจประสบได้ ในขณะที่ค้นหาสัจธรรมสูงสุดมาแล้ว ดังนั้น เราจึงทราบว่า มันลำบากและเป็นสิ่งที่หายากเพียงใด ที่จะพบอาจารย์ที่รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งสอนวิถีสูงสุดในการปลุกปัญญาที่มีอยู่แล้วภายในตัวเราให้ตื่นขึ้น และทำให้เราตระหนักรู้ถึงสัจธรรมได้ อันเป็นธรรมวิถีเดียวกันกับที่สอนโดยอาจารย์แท้ทั้งหลายนับแต่โบราณกาลมา ด้วยที่เราได้รับประโยชน์อย่างลึกซึ้งจาการบำเพ็ญธรรมวิถีนี้ เราจึงขอนำเสนอรวมบทบรรยาย ทีท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวไว้ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก เพื่อช่วยผู้แสวงหาสัจธรรม ผู้ถวิลหาการหลุดพ้นตลอดไปในชาติเดียว และช่วยผู้ที่แสวงหาคำตอบของคำถามต่างๆ เกี่ยวกับชีวิต การเกิด และความตาย รวมถึงกล่าวถึงเรื่องของการพัฒนาทางจิตวิญญาณและเรื่องของสัจธรรม...