ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่ซีหู ฟอร์โมซา วันที่ ๒๑/๗/๒๕๓๔ (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน รหัสวีดีโอ# !๑๘๓ ที่อินเดียมีนิทานเรื่องหนึ่ง มีมหาอาจารย์ท่านหนึ่งบอกให้ลูกศิษย์ปล่อยวางทางโลกเพื่อมาออกบวชกับท่าน แต่ว่าลูกศิษย์กล่าวว่าภรรยา มารดากับบิดา รวมทั้งพี่น้อง ต่างก็รักเขามาก เขาไม่สามารถปล่อยวางได้ ถ้าหากเขาจากไป คนในครอบครัวจะต้องทุกข์ทรมานมาก ทนไม่ไหว อาจารย์ของเขาจึงกล่าวว่า “ดีแล้ว อาจารย์จะทำให้เจ้าทราบว่า คนในครอบครัวของเจ้ารักเจ้ามากแค่ไหน” ทั้งสองพากันมาถึงที่บ้านลูกศิษย์ อาจารย์ให้ยาเม็ดลูกศิษย์เม็ดหนึ่ง แล้วตนเองทำเป็นคนอื่น แอบอยู่ข้างนอก ลูกศิษย์หลังจากรับประทานยาเม็ดเข้าไปแล้ว ก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว ลมหายใจไม่มี หัวใจก็หยุดเต้น ทั้งตัวเย็นเฉียบแข็งทื่อ คนในครอบครัวเห็นแล้วต่างร้องไห้โวยวายและขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยให้เขาคืนชีพ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ทันใดนั้น อาจารย์ท่านนั้นเดินเข้ามาในบ้านและพูดกับพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าสามารถช่วยญาติของท่านได้” พวกเขาฟังแล้วก็ดีใจ ต่างก้มกราบอาจารย์ ขอให้อาจารย์ช่วยชีวิตเขา อาจารย์ท่านนั้นจึงกล่าวว่า “แต่ต้องมีเงื่อนไข ขณะที่ข้าพเจ้าช่วยเขา ต้องมีคนคนหนึ่งมาตายแทนเขา เพราะกฎแห่งกรรมเป็นเช่นนี้ ถ้าข้าพเจ้าช่วยชีวิตเขา ข้าพเจ้าก็ต้องตายแทนเขา แต่ว่า ข้าพเจ้าไม่มีความสัมพันธ์กับเขาเลย! เขาเป็นญาติของพวกท่าน พวกท่านรักเขาเช่นนี้ จะต้องยินดีที่จะตายแทนเขาได้! ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้คนที่ผ่านมาข้าพเจ้าจะตายแทนเขาได้อย่างไร? ดังนั้น ขณะนี้พวกท่านมีใครจะตายแทนเขาได้ ข้าพเจ้าก็จะเรียกวิญญาณของเขากลับมาทันที เพราะเราไม่สามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยนจึงจะได้” ขณะนั้นญาติของเขาไม่มีใครยอมตายแทนเขา ทุกคนต่างมีข้ออ้างดีๆ ทุกคน เป็นต้นว่า “ข้าพเจ้าตายแล้ว ใครจะดูแลบ้านนี้?” “ข้าพเจ้าตายแล้ว ใครจะดูแลการค้า?” ภรรยาของลูกศิษย์ แม้จะรักเขามาก เมื่อเห็นเขาตาย ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ กลิ้งอยู่กับพื้น แต่ก็พูดว่า “ไม่ได้ ไม่ได้! ถ้าข้าพเจ้าตาย ก็ไม่มีใครดูแลลูกสาวและลูกชาย ๒ คน” แล้วทุกคนก็พูดว่า “เอาละ! ถ้าเช่นนั้นคนเมื่อตายไปแล้วก็แล้วกันไป! พวกเราเอาเขาไปเผาก็แล้วกัน” ลูกศิษย์ได้ยินแล้ว รีบลุกขึ้นมาทันทีและพูดว่า “ข้าพเจ้ายังไม่ตาย!” และเขาก็กล่าวอำลาคนในครอบครัวแล้วไปกับอาจารย์ของเขา นิทานชนิดนี้มีมากมาย บางครั้งเรารักใครคนหนึ่งหรือว่า ใครจะรักใคร ต่างมีจุดบกพร่อง ปกติเราจะไม่รักใครจนลืมตนเองถึงกับยอมตายแทนคนคนนั้น ดังนั้นมีบางเรื่องถ้าหากเรามิได้ประสบด้วยตนเอง ก็จะไม่ทราบความจริง พวกเราดูแต่ภายนอก มันไม่ถูกต้อง ถ้าเรายังอาลัยอะไรที่อยู่ในโลกนี้ มันล้วนแต่ไม่จีรังยั่งยืนทั้งสิ้น ทางที่ดีเราอย่ากลับมาใหม่ เพราะไม่ว่าเราจะอาลัยเพียงใด อีกไม่นานก็ต้องจากไปเช่นกัน ดังนั้นทางที่ดีก่อนจะจากไป เราควรเตรียมตัวไว้ก่อน เมื่อจากไปแล้วก็ไปเลย มิเช่นนั้น กลับมาอีกครั้งก็ต้องมาอาลัยอีก ต้องมาผูกมัดกันอีก อีกสักครู่ก็ต้องจากไปอีก แล้วเมื่อนั้นญาติของเราก็ต้องมาทุกข์ทรมานมาก ดังนั้นเราจงจากไปเพียงครั้งเดียวก็พอ แล้วไม่ต้องกลับมาสร้างความยุ่งยากให้กับผู้อื่น มันก็เป็นการกตัญญูอีกแบบหนึ่ง พวกเธอเห็นด้วยหรือเปล่า? (ทุกคนตอบ : เห็นด้วย) ระหว่างสามีภรรยาก็เช่นกัน อีกสักครู่ต่างคนก็ต่างไป ในเมื่อเวลาจากกัน ต่างก็อาลัยต่อกันและทุกข์ทรมานมาก ก็ไม่ต้องมาซ้ำอีก ดังนั้นเราควรจะมีจิตใจที่เตรียมพร้อมและพร้อมที่จะจากไปเลย อย่ากลับมาแสดงเรื่องที่กลุ้มใจ มิฉะนั้นเราจะเป็นทุกข์ ฝ่ายตรงข้ามก็จะเป็นทุกข์ มีประโยชน์อะไรหรือ? ฺBe Veg , Go Green 2 Save The Plane
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ผิงตง, ฟอร์โมซา ๑๑ เมษายน ๒๕๓๒ (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน) คนเป็นจำนวนมากมีศรัทธาแรงกล้าในตัวฉัน พวกเขาบูชาฉัน พวกเขาเข้าใจคำสอนของฉันเข้าไปถึงหัวใจ พวกเขารู้และเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด พวกเขาคิดว่ามันเป็นการดีพอแล้วในการนำรูปถ่ายของฉันกลับไปบ้านและบูชามัน หรือนำหนังสือ ๓ เล่มของฉันกลับไปบ้านและอ่านภายใน ๒ คืน แล้วพวกเขาก็หยิ่งยโสและถือว่าเป็นลูกศิษย์ของฉัน มันจะง่ายดายอย่างนั้นได้หรือ? เมื่อคนขอให้พวกเขารับการประทับจิต พวกเขาก็พูดว่า “เพื่ออะไรกัน? ฉันมีความจริงใจมากกว่าเธอเสียอีก! ฉันมีศรัทธาในตัวท่านอาจารย์มากกว่าเธอเสียอีก! “ พวกเขาคิดว่ามันพอแล้ว มันไม่เหมือนกันหรอก พวกเขาเหมือนกับเด็กๆ ที่ไม่เคยแต่งงาน พวกเขารู้ทฤษฎีแต่ไม่มีประสบการณ์จริง แม้กระทั่งผู้ใหญ่รุ่นเยาว์ซึ่งรู้มากกว่าเด็กๆ ก็ยังไม่เข้าใจว่าความสุขและความทุกข์ในการแต่งงานนั้นเป็นอย่างไร เพราะพวกเขายังเป็นโสดอยู่ ในทำนองเดียวกัน เราได้อ่านจากคัมภีร์ต่างๆ ถึงเรื่องที่ว่าสาวกของพระศากยมุนีพุทธเจ้าและพระเยซูคริสต์ได้เห็นแสงได้ยินเสียงดนตรี ได้เห็นพุทธะหรือพระเจ้าและมีประสบการณ์ในสวรรค์ชั้นที่ ๓, ดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๔ , และสรวงสวรรค์ที่พิเศษอื่นๆ อีกมากมาย เราเคยได้ยินเกี่ยวกับโพธิสัตว์ระดับ ๘, พระอรหันต์, พระโสดาบัน แต่เราไม่รู้ว่าพระโสดาบันคืออะไร หรือบุคคลคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไรหลังจากที่ได้บรรลุระดับโสดาบันหรือระดับอรหันต์ เขาได้รับอะไรข้างใน? เขาคิดอย่างไรและเขาได้เห็นอะไร? เขามีพลังหรือมีปัญญาที่แตกต่างจากพวกเราหรือซึ่งทำให้พวกเขาได้รับการเคารพยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์? สมมุติว่าในโลกนี้มีบุคคล ๒ คนซึ่งดูแล้วเหมือนๆ กัน แต่คนหนึ่งเรียนวิทยาศาสตร์ และอีกคนหนึ่งเรียนวิชาช่างไม้ แน่นอน พวกเขาแตกต่างกัน ช่างไม้รู้ว่าหมอนั้นมีอาชีพที่ดีมากและมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวและสามารถช่วยชีวิตคนได้และอื่นๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าที่หมอได้อย่างไร เขาไม่รู้ว่าภายในของหมอนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ว่าหมอนั้นช่วยชีวิตคนได้อย่างไร ว่าหมอนั้นวินิจฉัยคนไข้ของเขาได้อย่างไรโดยเพียงแค่มองดูคนไข้ หรือว่าหมอรู้ว่าคนไข้นั้นป่วยหนักได้อย่างไรโดยเพียงแค่คลำชีพจรของคนไข้ ช่างไม้ทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะเรียกหมอว่าหมอทำไม? เขามีความเชี่ยวชาญและมีความรู้ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความรู้ของช่างไม้ เราไม่สามารถพูดว่าการตัดต้นไม้ก็เหมือนกับการผ่าตัดช่องท้อง เพียงเพราะว่าการกระทำทั้ง ๒ อย่างนั้นใช้เครื่องมือที่มีคม มันไม่เหมือนกัน! งานหนึ่งเกี่ยวข้องกับต้นไม้ อีกงานหนึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ต้นไม้นั้นไม่ซับซ้อน แต่ภายในร่างกายมนุษย์มีอวัยวะมากมายที่จะต้องจัดการอย่างระมัดระวัง การผ่าตัดศัลยกรรมไม่ใช่เป็นเพียงการผ่าง่ายๆ ด้วยมีด! ในทำนองเดียวกัน คนเป็นจำนวนมากที่สามารถอ่าน ท่อง และอธิบายคัมภีร์ต่างๆ ได้ พวกเขาสามารถบอกได้ว่าคัมภีร์นั้นได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อไร ได้ถูกเขียนขึ้นโดยใครและความหมายที่อยู่ในคัมภีร์นั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ พวกเขาไม่มีประสบการณ์ในการเป็นพระอรหันต์, เป็นโพธิสัตว์ระดับ ๘, เป็นโพธิสัตว์ระดับ ๑๐ , เป็นพุทธะ, หรือแม้กระทั่งระดับเบื้องต้นที่สุดคือระดับโสดาบัน, สาวกหรือปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม มิฉะนั้นแล้วเราจะต้องมาลำบากฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณทำไม? ผู้คนดีใจที่ได้ยินว่าทุกคนมีธรรมชาติพุทธะ พวกเขาคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ใช่เลย! เราไม่รู้ว่าธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นคืออะไร เราจะต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเพื่อที่จะตระหนักถึงธรรมชาติแห่งพุทธะหรืออรหันตผล เพื่อที่จะรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร เราจะได้รับพลังหรืออำนาจอะไร หรือเราจะช่วยคนได้ถึงจุดไหนเมื่อเราได้บรรลุระดับของโพธิสัตว์ระดับ ๘ เป็นแบบเดียวกันสำหรับการเป็นหมอ ยิ่งเขาเรียนมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้มากเท่านั้นและยิ่งเขาฝึกฝนมากเท่าไร เขาก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น หมอบางคนไม่จำเป็นต้องสัมผัสชีพจรของเธอเลยด้วยซ้ำ เขาสามารถบอกได้ว่าเธอป่วยเป็นอะไรเพียงแค่มองดูเธอ อาจารย์ผู้รู้แจ้งช่วยจัดการกรรมให้เรา การฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณก็เป็นแบบเดียวกัน ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณมากมายไม่จำเป็นต้องตรวจสอบชะตากรรมของเราเพื่อที่จะช่วยเรา เราไม่จำเป็นต้องแสดงประวัติบรรพบุรุษของเราให้พวกเขาทราบ หรือบอกพวกเขาว่าเราเคยบำเพ็ญวิถีอะไรมาก่อน หรือเล่าให้พวกเขาฟังว่าเราเคยทำความดีความชั่วอะไรมา เราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรสักคำ พวกเขาจะทราบทุกสิ่งทุกอย่างโดยเพียงแค่ชำเลืองมองดูเรา พวกเขาจะทราบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเรา นับตั้งแต่ตอนที่เราลงมายังโลกนี้เป็นครั้งแรก ทราบการกระทำทุกอย่างของเราในชาติก่อนๆ และเราเคยเป็นสัตว์ป่า, พระราชา, มนุษย์, ข้าราชการ, ผู้ชาย, หรือผู้หญิงมาหรือเปล่า แบบนี้พวกเขาจึงจะสามารถจัดการกับตาข่ายกรรมอันซับซ้อนนั้นให้กับเราได้ คนที่สามารถทำนายโชคชะตาก็นับว่าเก่งแล้ว แต่พวกเขาสามารถบอกให้เราทราบเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมาเท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดอดีตที่ผ่านมา ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี นั่นไม่เห็นมีอะไรเลย พวกเขาไม่สามารถอ่านกรรมที่ได้สะสมในอดีตชาติทั้งหมดของเรา ในเวลาประทับจิต ฉันได้แนะนำเธอว่าเราควรละเว้นจากการใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะมันไม่สำคัญแม้แต่นิดเดียวและมันมีขีดจำกัดมาก คนที่สามารถอ่านอดีตชาติ สามารถย้อนรอยกรรมที่คนได้สะสมในอดีตอย่างมากที่สุดก็ ๒๐๐-๓๐๐ ปีหรือ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี พวกเขาไม่สามารถมองเห็นไปถึงเวลาแรกเริ่มสุดเมื่ออะตอมถูกแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์ และเขาหรือหล่อนได้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดนับพันๆ ล้านปีอย่างไร มีเพียงพุทธะหรืออาจารย์ผู้รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถอ่านประวัติบุคคลเช่นนั้นได้ อาจารย์เช่นว่านี้เท่านั้นที่มีอำนาจ(เสียงปรบมือ) บันทึกกรรมถูกเก็บไว้ในสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งซึ่งมนุษย์ธรรมดา หมอดูระดับปานกลาง และคนที่มีความสามารถอ่านอดีตชาติเข้าไปไม่ได้ คนเหล่านี้ไม่มีบัตรประจำตัว! อาจารย์ผู้รู้แจ้งชั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เหล่านี้เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ หมอดูไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ในบันทึกเหล่านี้ได้ แม้ว่าถ้าพวกเขารู้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ยกตัวอย่าง หมอดูบางคนอาจจะช่วยเปลี่ยนแปลงกรรมปัจจุบันของเราได้บ้างนิดหน่อย พวกเขาอาจจะบอกเราว่า “โอ! คุณนายหวัง เธอกำลังถูกครอบงำด้วยพลังทางลบ! มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับฮวงจุ้ยในบ้านของเธอ ให้รีบจัดการย้ายตำแหน่งทิศทางบ้านของเธอ แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง! เธอควรที่จะทำบุญด้วยเพื่อที่จะได้รับพระพรหรือผลประโยชน์ในอนาคต” บางครั้งก็ทำแบบนั้นได้ เพราะบุคคลคนนั้นสามารถอ่านกรรมที่เราได้ก่อขึ้นในชาติก่อนของเรา ซึ่งทำให้เราตกอยู่ในมุมมืดในขณะนี้ เขาสามารถมองเห็นมันได้ และเขาสามารถช่วยเราคลายปมกรรมที่หลงเหลือมาจากชาติก่อน อย่างไรก็ตาม บางครั้งกรรมของเราอาจจะได้ก่อขึ้นเมื่อนานมาแล้วหลายพันปีก่อน และผลแห่งกรรมนั้นยังไม่สุกงอม ดังนั้นแม้ถ้าหมอดูจะทราบเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ที่จะช่วยเราให้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมอันไม่พึงปรารถนานี้ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ มีเพียงอาจารย์ผู้รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถเข้าไปยังสถานที่เหล่านี้ซึ่งบันทึกที่สมบูรณ์ได้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มันเป็นงานของอาจารย์เหล่านี้ที่จะล้างกรรมเก่าๆ ให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นการไร้ประโยชน์ที่เราจะบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเพื่อการหลุดพ้น จะต้องใช้เวลาเป็นพันกัปพันกัลป์ที่จะลบล้างกรรมทั้งหมด! กระนั้นก็ดี มันก็ยังไม่ถูกลบล้างไปโดยสมบูรณ์ ทำไม? เพราะแต่ละครั้งที่เรากลับมา เราก็จะสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาและถูกผูกมัดอีก ก่อนที่เราจะสามารถล้างกรรมที่เราได้สะสมมาออกไปอย่างสมบูณณ์ เราก็จะรับเอากรรมใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น ไม่มีหมอดูหรือบุคคลใดที่มีพลังเหนือธรรมชาติหรือมีความสามารถที่จะอ่านอดีตชาติจะสามารถเข้าไปยังสถานที่เหล่านี้ เพราะเขาไม่มีพลัง เขาไม่สามารถทำอะไรที่จะช่วยลูกค้าของเขาให้จัดการกับกรรมที่มีอายุเก่าแก่นี้ได้ เนื่องจากว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งมีพลังสุดประมาณจึงสามารถชำระล้างกรรมทั้งหมดในชาติก่อนๆ ของเราได้ในชั่วพริบตา พลังของพวกท่านนั้นเหลือเชื่อ! ถ้าเราไม่มีโอกาสที่จะได้พบอาจารย์เหล่านี้ ไม่ว่าเราจะได้รางวัลพระพรมากเท่าไร ก็จะไม่เพียงพอ เพราะกรรมของเรานั้นหนักหนาเกินไปและผลกรรมชั่วของเราก็มีมากมายเกินไป! ไม่ว่าเราจะขยันบูชาพุทธะเพียงไร ก็จะไม่มีวันพอ เราอาจจะศึกษาคัมภีร์ทั้งหมด แต่มันก็ยังไม่สามารถเปิดปัญญาของเราได้ เพราะเราถูกห่อหุ้มไปด้วยเมฆอันดำมืดแห่งกรรมจากชาติก่อนๆ ของเรา เราอาจจะอ่านคัมภีร์ต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เราก็จะยังคงเป็นเหมือนคนตาบอด! แม้ว่าคัมภีร์เหล่านี้จะเขียนไว้อย่างชัดเจนมาก เราก็ไม่อาจที่จะเข้าใจความหมายได้ เพราะเราตาบอดด้วยขยะและกรรม ความแตกต่างระหว่างผู้ประทับจิตและผู้ไม่ประทับจิต มีคนเป็นจำนวนมากคิดว่าเป็นการดีพอแล้วเพียงแค่เชื่อในตัวอาจารย์ แต่ไม่ใช่เลย! เธอจะต้องเต็มใจให้ฉันชำระล้างเธอให้สะอาด ฉันทำไม่ได้ถ้าเธอไม่เต็มใจ เพราะว่ามันเป็นบ้านของเธอ ถ้าหากเธอตั้งใจที่เกาะติดกับขยะของเธออย่างเหนียวแน่น ก็ไม่มีใครสามารถเอามันไปจากเธอได้ นับว่ามีประโยชน์ในระดับหนึ่งสำหรับคนที่มีศรัทธาในตัวฉัน อ่านหนังสือของฉันหรือบูชารูปถ่ายของฉัน มันชำระล้างพวกเขาจากภายนอก แต่ไม่ใช่จากภายใน ผู้ที่รับการประทับจิตได้ยอมให้ฉันทำความสะอาดพวกเขาจากภายในออกสู่ภายนอก ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับการประทับจิต ซึ่งมีศรัทธาและอ่านหนังสือ จะได้รับการชำระล้างเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ตัวเราคนเดียวไม่สามารถจัดการกับกรรมที่เราได้สะสมมาเป็นเวลาหลายชาติ มีขยะมากเกินไปและเป็นเวลายาวนานมาแล้วที่มันไม่ได้ถูกกำจัดออกไป ชีวิตแล้วชีวิตเล่า เราได้เก็บรวบรวมฝุ่นที่ไม่เป็นที่ปรารถนาไว้มากเกินไป จะต้องให้คนที่มีประสบการณ์มากกว่าซึ่งรู้ว่าจะจัดการกับขยะอย่างไรให้เข้าไปในบ้านของเราและกำจัดฝุ่นออกไปให้หมดจด บ้านบางหลังก็เก่ามากจนถึงกับจำเป็นที่จะต้องทำเพดานใหม่ ทาสีผนังใหม่และเอาพรมออกเพื่อทำความสะอาด จะต้องทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม ทำพื้นใหม่ และทาสีผนังใหม่ ก่อนที่บ้านนั้นจะใช้อยู่อาศัยได้ ในทำนองเดียวกัน บ้านที่อยู่ข้างในของเรา จิตตัวนี้ของเราก็เต็มไปด้วยฝุ่นเช่นกัน พื้นก็พังแล้ว ความคิดทางด้านคุณธรรมของเราและอุดมการณ์อันสูงส่งของเราก็ได้เสื่อมถอยลง เหลือแต่ความคิดทางโลกเท่านั้น และความโลภ โกรธ หลงที่ติดเป็นนิสัย เราไม่สามารถจัดการมันด้วยตัวเราคนเดียวได้ สำหรับผู้ที่ได้รับการประทับจิต อาจารย์จะเข้าไปทำความสะอาดข้างในอย่างหมดจด มีคนเป็นจำนวนมากที่มีความคิดผิดๆ ว่าเป็นการพอเพียงแล้วในการนำรูปถ่ายของฉันกลับไปบูชาที่บ้าน นิสัยในการบูชาของพวกเขานั้นฝั่งรากลึก เขาบูชาพระแม่ธรณีและแม้กระทั่งรุกขเทวดา เมื่อพวกเขาทราบถึงพลังของฉัน พวกเขาก็นำรูปถ่ายของฉันกลับไปบูชาที่บ้านด้วยเหมือนกัน แบบนั้นก็มีประโยชน์ แต่เป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ฉันได้ทำการเปรียบเทียบให้ฟังอย่างชัดเจนมากแล้วเมื่อสักครู่นี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราปรารถนาการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ และต้องการที่จะกำจัดจุดที่สกปรกของเราออกไปแล้วละก็ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการรับการประทับจิต เพราะฉะนั้นขออย่าได้ถูกชักจูงไปผิดๆ ในเรื่องนี้ ฉันได้พบว่ามีคนเป็นจำนวนมากที่มีความคิดผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นับว่าน่าเสียดายมาก ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีศรัทธาในตัวฉัน แต่เพราะพวกเขาเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นในวันนี้ฉันจึงได้เน้นเป็นพิเศษในจุดนี้ เพื่อให้ความกระจ่างแก่พวกเธอ (เสียงปรบมือ) ฉันไม่ได้พยายามที่จะบังคับเธอให้รับการประทับจิต ฉันเพียงแค่ต้องการให้พวกเธอที่ถูกชักนำไปผิดๆ ให้เข้าใจถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการประทับจิตและการไม่ประทับจิต! แม้กระทั่งคนที่ไม่มีศรัทธาแรงกล้าในตัวฉัน หลังจากที่ได้รับการประทับจิตไปแล้วก็ยังดีกว่าผู้ที่เชื่อฉันแต่ไม่รับการประทับจิต มันก็เหมือนกับการรักคนคนหนึ่งอย่างมากโดยที่ไม่ได้แต่งงานกับเขา จะมีประโยชน์อะไรกัน? เรื่องนี้แตกต่างกับเรื่องที่การไม่รักคนคนหนึ่งเท่าไรนัก แต่ใช้ชีวิตอยู่กับเขาหรือหล่อนทุกๆ วัน มีประสบการณ์ของการแต่งงานและมีความสุขด้วยกัน นับว่ามีความแตกต่างอย่างมาก! จริงหรือเปล่า? ถ้าหากเธอรักผู้หญิงคนหนึ่ง เธอจะอยากที่จะรักเขาจากข้างนอกประตูของเขาทุกๆ วันหรืออยากที่จะแต่งงานกับเขา? (แต่งงานกับเขา) ใช่แล้ว! เพราะฉะนั้นอย่ามาบอกฉันว่าแค่รักผู้หญิงก็ดีพอแล้วว่า เธอรักหล่อนมากกว่าคู่รักของหล่อน จะมีประโยชน์อะไรในการรักหล่อนมากกว่าคู่รักของหล่อน จะมีประโยชน์อะไรในการรักหล่อนมาก ถ้าเธออยู่ไกลจากกัน? ถ้าหากเธอต้องการหล่อนจริงๆ แล้วละก็แต่งงานกับหล่อนเสีย เธอควรที่จะรับการประทับจิตถ้าหากเธอต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ต้องการได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริงจากอาจารย์และได้รับประโยชน์จากพลังพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่! ท่านที่มีความสนใจประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่ ศูนย์กรุงเทพ 537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120 โทรศัพท์ 02-682-0015 โทรสาร 02-682-0014 รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้) www.SupremeMasterTV.com Be Veg, Go Green 2 Save The Planet เป็นมังสวิรัติเพื่อช่วยโลกของเรา
การเตือนภัยในครั้งนี้เกิดจากเจตนาดีของผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง โปรดใช้วิจารณะญาณในการรับชมรับฟังและไม่ควรเกิดความตื่นตระหนก แต่ควรเตรียมพร้อมเท่าที่จะทำได้ ควรรอดูสถานการณ์ ติดตามข่าวสารให้แจ้งชัดก่อนเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจต่อไปด้วยความรอบคอบและไม่ประมาท.... สำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอด หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งระยะ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง แจ้งเตือนเตรียมรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ซึนามิ เจริญพร ท่านผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อาตมาภาพ พระภิกษุกัมมัฏฐาน ปวตฺตโน มีความประสงค์จะแจ้งเตือนภัยพิบัติอันเป็นผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดของท่าน เนื่องด้วยแหล่งข่าวไกล้ชิดของอาตมาภาพที่มีความแม่นยำและความน่าเชื่อถือสูงในวงของผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา ได้แจ้งเตือนภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ทั้งในและต่างประเทศ กับอาตมาภาพไว้ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไว้คือ - จะเกิดแผ่นดินไหวแถบเทือกเขาตะนาวศรี จังหวัดราชบุรี ราว ๆ กลางปี ๒๕๕๔ จะส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนในจังหวัดราชบุรีเป็นวงกว้าง - จะเกิดแผ่นดินไหวที่กรุงเวียงจันทร์ ประเทศลาว (เกิดขึ้นจริงแล้ว) - จะเกิดแผ่นไหว และเกิดซึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น (เกิดขึ้นจริงแล้ว) - จะเกิดแผ่นดินไหวและแผ่นดินยุบตัวที่จังหวัดเชียงใหม่ (จะเกิดก่อนเดือนมิถุนายน และจะเป็นข่าวใหญ่) - *** จะเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ซึนามิ ส่งผลกระทบในพื้นที่ภาคใต้ ๓ ระลอก ภายในปี ๒๕๕๔ นี้ คือ ระลอกที่ ๑ ช่วงวันที่ ๔ - ๑๕ มิถุนายน ๕๔ โดยจะเกิดแผ่นดินไหวแถบทะเลอันดามันประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ ๕ ทุ่ม และเกิดคลื่นยักษ์ซึนามิที่มีความรุนแรงมากกว่าปี ๔๗ คลื่นเดินทางถึงชายฝั่งประเทศไทย เวลา ตี ๒ ๕๐ นาที จังหวัดที่ได้รับการปะทะโดยตรงจากคลื่นซึนามิ ในระลอกแรก ๑.กระบี่ ๒.ตรัง ๓.สตูล ๔.ภูเก็ต ๕.พังงา ๖.ระนอง จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวโดยเกิดแผ่นดินถล่ม,ยุบตัวและน้ำที่ดันขึ้นมาจากโพรงใต้ดิน (โพรงหรืออุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่เกิดจากแรงแผ่นดินไหว และการเคลื่อนของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งปัจจุบันแหล่งข่าวกล่าวว่าเกิดขึ้นแล้วเป็นแนวยาวผ่านตั้งแต่ภาคใต้จนถึงภาคกลางของประเทศไทย) โดยมีความเสียหายหลายจังหวัด คือ ๑. นครศรีธรรมราช ๒. สงขลา (หนักที่หาดใหญ่) ๓. พัทลุง ๔. ชุมพร แผ่นดินไหวครั้งนี้จะส่งผล กระทบอย่างรุนแรง สู่หลาย ๆ ประเทศ ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย พม่า รวมถึงประเทศรอบ ๆ ทะเลอันดามัน ประเทศไทยจะเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมาก เนื่องจากความประมาทของเจ้าหน้าที่และประชาชน แต่บางประเทศเช่นอินเดียสามารถอพยพได้ทันเพราะมีเวลาเตรียมตัวหลังจากทราบเหตุการแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์ซึนามิ ***แหล่งข่าวบอกว่าระบบแจ้งเตือนภัยซึนามิที่ติดตั้งไว้ในทะเลอันดามัน ถึงเวลาจริง ๆ ไม่ได้แจ้งเตือนเพราะระบบขัดข้อง ระลอกที่ ๒ จะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ครั้งแรก ประมาณ ๑ เดือนโดยแหล่งข่าวบอกว่า เก็บกู้ความเสียหายยังไม่ทันเสร็จระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นอีก ***เหตุการณ์จะรุนแรงกว่าระลอกแรกโดยมีความรุนแรงมากที่สุดในสามระลอก จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นทั้งสองฝั่งคือทั้งอ่าวไทยและอันดามัน ผลกระทบเกิดขึ้นทุกจังหวัดในภาคใต้ ระลอกที่ ๓ จะเกิดขึ้นระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ มีความรุนแรงน้อยกว่าระลอกที่สอง ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน *** แหล่งข่าวระบุว่า ผลกระทบของแผ่นดินไหวจะส่งผลเป็นลูก โซ่ (สู่เหตุการณ์ต่าง ๆ ) และจะมีข่าวปรากฏในสื่อว่า พายุ...-..เซิร์ส (อาตมาไม่เข้าใจ แต่ได้ยินมาว่าเคยเกิดขึ้นแถบ ๆ อเมริกา มีความรุนแรงมาก กรุณาศึกษาเพิ่มเติม) ขออนุญาติแจ้งเหตุการณ์ปี ๒๕๕๔ ที่สำคัญ ๆ ไว้เพียงเท่านี้ แต่ที่ได้รับแจ้งมาจากแหล่งข่าวนั้น ในปีหน้า ๒๕๕๕ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับภัยธรรมชาติซึ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างรุนแรงและแปลกประหลาดอีกหลายเหตุการณ์ ซึ่งจะแจ้งเตือนในคราวต่อไป ในการทำหนังสือแจ้งเตือนมาในครั้งนี้ อาตมาภาพทราบดีว่าจะเกิดความตื่นตระหนก และความลังเลสงสัยต่อท่านและผู้ที่รับทราบเพราะเป็นเหตุการณ์ในอนาคต พ้นวิสัยการรู้เห็นโดยทั่วไปของมนุษย์เรา การแจ้งเตือนครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวอาตมาภาพเองเลย ซ้ำอาจจะเกิดโทษดังเช่นกรณีของคุณสมิทธ ธรรมสโรช ที่ออกมาเตือนเรื่องโอกาสที่จะเกิดซึนามิในฝั่งทะเลอันดามัน ก่อนปี พ.ศ.๒๕๔๗ ซึ่งในครั้งนั้นมีผู้โจมตีการแจ้งเตือนของคุณสมิทธอย่างมาก ซึ่งท้ายที่สุดเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริง ๆ โดยไม่ได้เตรียมการรับมือ เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งขณะนั้นอาตมาภาพยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เดินทางร่วมกับคณะเพื่อนนักศึกษาไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่จังหวัดพังงา เดินทางถึงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๔๗ และอยู่เป็นอาสาสมัครอยู่ในทีมพิสูจน์ศพของทีมแพทย์ศิริราชและแพทย์รามาที่วัดบางม่วงและวัดย่านยาว ได้เกิดความสังเวชที่ได้เห็นพี่น้องชาวไทยและต่างประเทศลูกเด็กเล็กแดงล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ในการเพียรพยายามทำหนังสือแจ้งเตือนมายังท่านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการป้องกันและรับมือภัยพิบัติในครั้งนี้ เป็นความเมตตาสงสารเพื่อนร่วมโลกไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือประเทศไหน ๆ ของอาตมาภาพที่ไม่อยากให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และอาตมาภาพและแหล่งข่าวไม่ได้ต้องการชื่อเสียงอันเป็นเรื่องของโลก และไม่ต้องการเป็นข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากต้องการความสงบวิเวกในการปฏิบัติธรรม อาตมาภาพได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวซึ่งเป็นเพื่อนสหธรรมมิกโยคาวจรของอาตมาภาพ ราว ๆ ต้นเดือนมีนาคม ๕๔ ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อได้รับแจ้งแล้วก็เกิดความตระหนกเกิดขึ้นและเกิดความสงสารในชะตากรรมเพื่อนร่วมโลก แต่ก็คิดว่าจะวางอุเบกขาเพราะเราช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะไม่ได้มีอำนาจหน้าที่และเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ใดๆ และเรื่องประเภทนี้พูดไป จะเป็นโทษกับตนคือคนจะหาว่าบ้า ดังนั้นจึงไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากบอกบุคคลไกล้ชิด แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่นิวซีแลน เวียงจันทร์และที่ญี่ปุ่นซึ่งเกิดขึ้นจริงดังคำแจ้งเตือนของแหล่งข่าวเพื่อนสหธรรมมิก เมื่อเห็นความสูญเสียในชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นหมื่น ๆ คน เกิดความรู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก จึงใคร่ครวญและปรึกษากับแหล่งข่าวที่เป็นเพื่อนสหธรรมมิก ว่าจะตัดสินใจทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อปกป้องชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คิดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นมีคนเสียชีวิตมาก ๆ โดยที่เรารู้ล่วงหน้ามาก่อนแต่ไม่ได้ทำอะไร ต่อไปคงจะรู้สึกเสียใจมาก และไม่สามารถให้อภัยกับตนเองได้ แต่ถ้าได้ทำเท่าที่ทำได้ให้ดีที่สุดแล้ว ถึงแม้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่เสียใจมากเพราะได้ทำเต็มที่แล้ว ดังนั้น จึงเป็นที่มาสำหรับการทำหนังสือแจ้งเตือนในครั้งนี้ อาตมาภาพหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะรับฟังและพิจจารณาในคำเตือนในสิ่งที่อาตมาภาพและเพื่อนสหธรรมมิกแจ้งเตือนมานี้ เพื่อความไม่ประมาทและทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชีวิตเพื่อนมนุษย์และรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น *** สิ่งหนึ่งที่จะยืนยันว่าสิ่งที่แจ้งเตือนเป็นจริงหรือไม่ในภาคใต้คือ ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ภาคใต้ จะเกิดแผ่นดินไหวและแผ่นดินถล่มที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้ยินว่าจะเป็นข่าวใหญ่ทางสื่อ ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นเครื่องยันยันได้ว่าเหตุการณ์ที่ภาคใต้จะเกิดขึ้นจริง และให้เตรียมรับมือเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้น แต่สำหรับตัวอาตมาภาพนั้น หมดความสงสัยไปนานแล้ว และยากที่จะอธิบาย นอกจากจะพิสูจน์ด้วยตนเอง สำหรับรายละเอียดของเหตุการณ์นั้น แหล่งข่าวเพื่อนสหธรรมมิกท่านทราบละเอียดอีกมากที่ได้แจ้งให้อาตมาภาพได้ทราบ และปัจจุบันพำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่เดียวกัน อาตมาภาพและเพื่อนสหธรรมิกพร้อมจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมและร่วมดำเนินการรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นร่วมกับท่านและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ตามกำลังและวิธีการที่จะช่วยได้ โดยสามารถติดต่อมายังอาตมาภาพ หรือเดินทางมาสอบถามด้วยตนเอง ที่สำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอดโดยอาตมาภาพไม่ต้องการให้จดหมายแจ้งเตือนนี้ปรากฏสู่สาธารณะ อันจะปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่าง ๆ ประเทศไทยโชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีผู้มีบุญบารมีลงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญเพียรหรือสะสมบุญบารมีอยู่มากและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองดูแลรักษาชาวพุทธและประเทศไทย เพื่อให้พระศาสนาดำรงอยู่จนตลอดอายุพระศาสนาคือ ๕,๐๐๐ ปี และการแจ้งเตือนครั้งนี้ก็มาจากวิธีพิเศษ ที่มีปรากฏขึ้นจริงในผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา เพื่อช่วยประชาชนชาวสยามบนถิ่นแหลมทองแห่งนี้ ด้วยอำนาจของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์สาวก และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกปักรักษาสยามประเทศ ได้โปรดอำนวยพรให้ท่าน และผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา และประสบความสำเร็จในการเตรียมการรับมือกับมหาภัยพิบัติ อันจะเป็นเครื่องป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องเพื่อนร่วมโลกที่หวังความช่วยเหลือจากท่านเป็นจำนวนมาก และเหลือระยะเวลาเตรียมการเพี ยงแค่ประมาณ ๓ เดือน ในครั้งนี้ด้วยเทอญ ขอเจริญพร กัมมัฏฐาน ปวตฺตโน พระกัมมัฎฐาน ปวตฺตโน สำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอด หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งระยะ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร __________________ ที่มาข้อมูล http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%88-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-286722.html ฺ Be Veg, Go Green 2 Save The Plane
“เขา” เป็นเด็กหนุ่มจากต่างจังหวัด ที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ประจำฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง ภายหลังจากถูกชักชวนหลายต่อหลายครั้งจากเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่รู้จักกันมานาน ในที่สุดเมื่อเขาตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจซักเท่าไรนักเนื่องจากเหตุผลเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล เขาก็จำต้องย้ายที่อยู่จากท้องทุ่งอันสงบเงียบ ที่ที่เขาเคยเที่ยวเล่นไปตามริมแม่น้ำลำคลองและคันนาเพื่อทักทายกับสายลมแห่งท้องทุ่งที่เป็นมิตรไม่ว่ายามใด ที่ที่เขามักกระซิบด้วยถ้อยคำแห่งความรักกับต้นข้าวที่กำลังพลิ้วไสวในท้องทุ่งที่ถูกลืม ที่ที่เขามักเจรจากับต้นตาลสูงลิบลิ่วที่ท้าทายแรงลมอย่างห้าวหาญมาชั่วนาตาปี ราวกับว่ามันจะเป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลาและความเสื่อมสลาย ที่ที่เขามักนั่งรำพึงรำพันกับเหล่าดอกบัวสีขาวที่กำลังเบ่งบานท่ามกลางบึงน้ำใสแจ๋วราวกระจก ที่ที่เขามองเห็นความงามของธรรมชาติดุจดังภาพวาด ที่ที่เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจของพระผู้เป็นเจ้าที่กำลังแย้มยิ้มให้แก่ทุกสรรพสิ่ง ที่ที่พระองค์โอบอุ้มชีวิตแม้ต่ำต้อยที่สุด เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่สูงค่าที่สุด ที่ที่เขากับท้องทุ่งหลอมหลวมกันจนแยกไม่ออก อิสระภาพของเขาถูกแลกเปลี่ยนแทนที่ด้วยทุ่งป่าคอนกรีตที่ไร้ชีวิตชีวา การจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนในเมืองใหญ่ การแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นของผู้คนที่จิตวิญญาณกำลังตายลงทุกขณะ แลกเปลี่ยนกับเงินและผลประโยชน์ที่ตามหลอกหลอนผู้คนราวภูตผีก่อนที่พวกมันจะไร้ค่าลงไป เมื่อพวกเขากลับกลายเป็นภูติผีเสียเอง ความซับซ้อนของเมืองใหญ่ ตั้งแต่ถนนหนทาง ตรอกซอกซอยต่างๆ ไปจนถึงภาวะจิตใจของผู้คนทำให้เขารู้สึกถึงความทุกข์อย่างแสนสาหัส การที่เขาต้องเทียวไปในสถานที่อันน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้น เช่น ตลาด ห้าง ร้านรวงต่างๆ โรงแรม โรงพยาบาล แทบทุกแห่ง ทุกตรอกซอกซอยของกรุงเทพและปริมณฑลเพื่อนำเสนอขายสินค้าผลิตภัณฑ์ของบริษัท บางครั้งบริษัทก็ส่งเขาและเพื่อนของเขาไปทำการตลาดในต่างจังหวัด ช่วงเวลาที่เขาทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้ เขาได้เดินทางไปจังหวัดต่างๆ ของประเทศเกินกว่าครึ่งหนึ่งและเป็นช่วงเดียวกันของชีวิตที่เขาเดินทางมากกว่าปกติ ถ้าหากเขาไม่ลาออกเสียก่อน คาดว่าเขาอาจได้เดินทางไปจนครบทุกจังหวัดของประเทศ ในแง่ของประสบการณ์ เขาได้เรียนรู้มากมายจนเกินกว่าจะพร่ำพรรณา ความเป็นคนไม่ค่อยพูดของเขา เป็นอุปสรรคอย่างมากในการทำงานตอนเริ่มต้น เขาถูกฝึกฝนชั้นเชิงการเจรจาในทางธุรกิจและเพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อวันเวลาผ่านไป เขาทราบดีว่านี่คือบทเรียนที่เขาจำเป็นต้องเรียน แต่สำหรับเขาแล้วค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไปมันสูงเกินกว่าจะประมาณค่าได้ ความทุกข์ที่เขาต้องประสบมันมากเกินกว่าสรวงสวรรค์ชั้นใดจะแบกรับเอาไว้ เงินนับแสนนับล้านหรือแม้แต่พระราชวังในสวรรค์สำหรับเขาแล้วมันไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับเวลาแม้เพียงเสี้ยวที่ได้อยู่ท่ามกลางท้องทุ่งอันกันดารและปราศจากมนุษย์ผู้ซับซ้อนเหล่านี้ เมื่อความอดทนมาถึงจุดสิ้นสุด หัวใจที่โหยหาธรรมชาติของเขาก็มีชัยชนะเหนือลาภยศตำแหน่งใดๆในโลก เขายินยอมที่จะตายเหมือนสุนัขเถื่อนในท้องทุ่งดีกว่าที่จะใส่สูทผูกเนคไท้นั่งอยู่บนตึกสูง รายล้อมด้วยกำแพงอิฐอันแข็งกระด้างที่ไม่ต่างอะไรกับคุกคุมขังนักโทษ ราวกับนกในกรงทองที่กำลังใกล้ตาย เขาตัดสินใจเขียนจดหมายลาออก แต่ก่อนที่เขาจะส่งมันให้กับผู้จัดการซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทและเป็นเสมือนญาติของเขาคนหนึ่ง เขาได้เดินทางเพื่อไปพักผ่อนตากอากาศในต่างจังหวัด เพื่อให้เขามีเวลามากขึ้นเพื่อพิจารณาและทบทวนเรื่องราวต่างๆ อีกสักครั้งหนึ่ง เจ้าของบริษัทที่เป็นเหมือนญาติ และหัวหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดีของเขาทำให้เขาตัดสินใจลำบากในการลาออกจากงานที่วิเศษสุดนี้ เขาเดินทางมาถึงน้ำตกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีเวลาพลบค่ำพอดี มีเวลาเพียงน้อยนิดที่เขาจะนั่งเหม่อมองธารน้ำตกที่ไหลลงจากผาสูง ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปี ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมอาณาบริเวณป่าและเขตน้ำตก นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันกลับจนหลงเหลือเพียงตัวเขาและแม่ค้าขายของบางส่วนที่มีบ้านอยู่ระแวกแถวนี้ เขาลุกขึ้นและเดินสำรวจบริเวณแหล่งท่องเที่ยวจนทั่ว ค่ำคืนนั้นเขาพักค้างแรมที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับธารน้ำตกแห่งนั้น มันเป็นห้องแถวที่เจ้าของสร้างไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อมาเช่าค้างคืน มันตั้งอยู่ริมเชิงเขา ท่ามกลางป่ารกทึบ อาคารมีสภาพเก่าและเริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เขาสังเกตเห็นว่าค่ำคืนนี้ห้องเช่าทุกห้องว่างเปล่า มีเพียงเขาคนเดียวที่มาเช่าในช่วงเวลาที่ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ห้องของเขาจึงเป็นเพียงห้องเดียวที่เปิดไฟ ปกติเขาเป็นคนรักสันโดษไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร บรรยากาศเงียบสงบแบบนี้น่าจะเหมาะกับเขาอย่างมาก แต่บางทีมันอาจจะเงียบเกินไปจนเข้าขั้น “วังเวง” ภายหลังจากที่เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง เขาก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย แต่แล้วมีบางสิ่งบางอย่างปลุกเขาให้ลุกขึ้นมากลางดึก เขาสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขากำลังถูกท้าทายจากบางสิ่งที่ไร้ตัวตน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาลุกขึ้นนั่งและเข้าสมาธิเพื่อตรวจดู ระหว่างที่เขากำหนดจิตเพื่อดิ่งลงสู่สมาธิอยู่นั้น คล้ายกับว่าสิ่งไร้รูปสิ่งนั้นพยายามสำแดงตัวตนให้ปรากฏ เจตนาอาจเพียงเพื่อขับไล่เขาออกไป ด้วยการสำแดงกลิ่นเน่าเหม็นดุจซากศพออกมา ทันทีที่เขาสูดได้กลิ่นดุจซากศพนั้นแล้ว เขาครุ่นคิดว่าคืนนี้คงต้องเผชิญกับบททดสอบกำลังแห่งสมาธิเป็นแน่แท้ และสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่คือสัตว์ไร้รูปผู้มีฤทธิ์เดช แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาบอกกับตัวเองว่า”จะไม่ยอมหวาดหวั่นและลืมตาออกจากสมาธิจนกว่ามันจะยอมพ่ายแพ้ศิโรราบไปเอง เจตนาของมันเพียงต้องการให้เรายอมจำนนเท่านั้น” เมื่อสัตว์ไร้รูปตนนั้นเห็นว่ากลิ่นเน่าเหม็นไม่อาจทำอะไรเขาได้ มันจึงเนรมิตด้วยกำลังแห่งอิทธิบันดาลให้ไฟในห้องดับสนิท เขายังคงสงบแน่วนิ่งไม่ไหวติง นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนอยู่เช่นนั้น โดยไม่มีความหวาดหวั่นพรั่นพรึงใดๆ แม้แต่น้อย แม้ภายในห้องจะมืดสนิทและเงียบวังเวง หากแต่เขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของสัตว์ไร้รูปตนนั้น มันยังคงวนเวียนอยู่รอบๆกายของเขา แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่นานหลังจากนั้นไฟฟ้าแสงสว่างก็พลันสว่างขึ้นมาเองอีกครั้ง เขาพลันลืมตาและลุกขึ้นบิดขี้เกียจคราหนึ่ง พลันครุ่นคิดว่าหากค่ำคืนนี้เขาเผลอนอนหลับคงจะได้ประสบกับสัตว์ไร้รูปตนนั้นเป็นแน่แท้ เขาจึงตั้งใจว่าคืนนั้นจะไม่นอนและนั่งสมาธิไปจนเช้า แต่แล้วความง่วงจากความอ่อนเพลียจากการเดินทางก็ทำให้เขาเผลอหลับไปในที่สุด มันมีรูปลักษณ์น่าขยะแขยงที่สุด ลำตัวของมันคล้ายปลาหมึกขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ มีสีขาว โปร่งแสง มันเนรมิตตัวตนเป็นปีศาจที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันนอนทับอยู่บนตัวของเขาและบันดาลให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ เขาพยามดิ้นรนอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากการกดทับของมันได้ เขาได้เห็นมันอย่างชัดเจนในนิมิตขณะหลับและได้ยินเสียงหัวเราะเยอะเย้ยของมันเสียงดัง “ฮี้ ฮี้ ฮี้ !” ยาวนานดุจดังเสียงของปีศาจจากห้วงอเวจี เมื่อเขาเห็นว่ากำลังแห่งกายทิพย์ไม่อาจต่อสู้กับมันได้ เนื่องเพราะมันมีฤทธิ์มากกว่า เขาจึงสงบจิตเข้าสู่สมาธิในท่านอนทันทีเพราะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่นานจากนั้น เขาพลันสะดุ้งตื่นหลุดรอดจากเวทย์มนต์ของสัตว์ไร้รูปตนนั้น เขาลุกขึ้นนั่งได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง การนอนหลับทำให้เขาเข้าสู่โลกทิพย์หรือโลกแห่งอสุรกายอันเป็นภูมิภพของสัตว์ไร้รูปตนนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างจัง การถูกรบกวนจากสัตว์ไร้รูปสำหรับเขาแล้วนับเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาเคยเผชิญมาแล้วแทบทุกรูปแบบ ทำให้เขาไม่ค่อยหวาดกลัวมากนัก เพียงแต่ทำให้เขานอนหลับไม่ค่อยเต็มอิ่มและเกิดความรำคาญบ้างเท่านั้น เขานั่งลงบนเตียงและพริ้มตาลงหยั่งเข้าสู่สมาธิอีกครั้งจวบจนใกล้รุ่งสาง เขาก็พลันผล็อยหลับไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการหลับในสมาธิ สัตว์ไร้รูปตนนั้นยังคงมาปรากฏตัว หากแต่ในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป มันแปลงกายเป็นชายชราที่เปี่ยมเมตตาและน่าเคารพ ส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นมิตร น่าอบอุ่น ทำให้เขาผ่อนคลายและมีความสุขมากกว่าตอนแรกที่เผชิญหน้า ราวกับว่ามันยอมศิโรราบไม่คิดรังควาญเขาเวลานอนหลับอีก เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นมาคล้ายกับผ่านทั้งฝันร้ายและฝันดีมาเพียงในค่ำคืนเดียว พลังสมาธิทำให้เขาเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่จะสู้ชีวิตต่อไป เขาจ่ายค่าห้องพักกับเจ้าของห้องพักและเดินทางจากไปเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น บททดสอบที่มีคุณค่าครั้งนี้ทำให้เขามีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น หากแต่กล่าวกันว่าทุกสถานการณ์ที่เราต้องประสบในท่ามกลางชีวิตล้วนแล้วแต่ตัวเราเป็นผู้ดึงดูดเข้ามาด้วยความไม่รู้หรือรู้ผิดแทบทั้งสิ้น การตรวจสอบตัวเองทุกขณะจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก การมองเห็นข้อบกพร่องของคนอื่น นั่นก็คือความบกพร่องของตัวเราเอง สำหรับผู้ที่มีอิสระภาพทางจิตวิญญาณย่อมปราศจากการทดสอบใดๆ และไม่ควรมีปัญหาหรือข้อสงสัยใดๆ อีก การคอยสอดส่องจิตใจของตัวเองไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในอำนาจของความเคยชินในอดีต ความเคยชินต่างๆ ที่ไม่ดีโดยเฉพาะ “ความกลัว” จึงอาจสามารถแก้ไขลุล่วงไปได้ หนทางข้างหน้าก็จะเตียนโล่ง จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็พบแต่ความสงบสุข ซึ่งเป็นความสุขสูงสุดที่มีต้นทุนต่ำที่สุด แต่เพราะเหตุใด?มนุษย์เราจึงแสวงหาความสุข ที่ต้องจ่ายต้นทุนค่าตอบแทนมากมายขนาดนั้น บางครั้งอาจต้องแลกด้วยชีวิตเพียงเพื่อวัตถุเพียงเล็กน้อยที่ได้มา พร้อมดอกเบี้ยแห่งความทุกข์ที่เพิ่มมากขึ้น หาใช่ความสุขที่เคยวาดหวังไม่ ! ภายหลังจากที่เขากลับมาจากการท่องเที่ยวน้ำตก เขาทำงานได้อีกไม่นานก็ลาออกและเก็บตัวบำเพ็ญสมาธิในห้องเช่าบริเวณชานเมืองเป็นเวลา ๔๐ กว่าวันจนลืมเลือนกาลเวลา ความสงบสุขที่เขาได้รับเกินกว่าจะใช้ภาษาใดๆ บนโลกบรรยายร้อยเรียงเป็นถ้อยคำออกมาได้ พร้อมกับประสบการณ์ชีวิตที่ยากจะลืมเลือน..... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
จิบน้ำชาวิจารณ์กระบี่ ทั่วปฐพีเป็นไปในใต้หล้า ดีชั่วแจ้งเจนจบทั้งโลกา เพียงตัวข้าบ่แจ้งยังแคลงคลาง... ณ โรงน้ำชาเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณเชิงเขา ภายใต้สุมทุมพุ่มไม้และป่าไผ่อันร่มรื่นราวกับสวรรค์ที่น้อยครั้งจะพบพาน มีป้ายหน้าร้านเขียนคำว่า “โรงน้ำชาใบไผ่” สถานที่แห่งนี้คล้ายไม่ได้สถิตอยู่บนโลกหล้าอันมีแต่ความวุ่นวาย แก่งแย่งแข่งขันและชิงดีชิงเด่นกันของเหล่ามวลมนุษย์ก็ปาน ราวกับว่ามันถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง นานๆ ครั้งจะมีผู้คนแวะผ่านมาจิบน้ำชาที่โรงน้ำชาแห่งนี้สักคราหนึ่ง แต่วันนี้ดูเหมือนจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง.... ยุทธภพแก่งแย่งล้วนแข่งขัน มุ่งฟาดฟันบ่เว้นหมายเข่นฆ่า ปลีกเร้นกายร่มพฤกษ์ไพรพนา เพียงหรรษาปล่อยวางกลางป่าพง.... เนื่องจากยามสายวันนี้มีลูกค้าเป็นชายแปลกหน้า ๒ คน คนหนึ่งเป็นชายฉกรรจ์หนวดเครารกครึ้มท่าทางของมันคล้ายว่ามีอายุอาวุโสกว่าชายอีกคนหนึ่งที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลากว่า แต่สิ่งหนึ่งที่ชายทั้งสองมีลักษณะที่แทบจะเหมือนกันก็คือพวกมันล้วนมีสภาพซอมซ่ออย่างยิ่ง เสื้อผ้าที่พวกมันสวมใส่ล้วนเก่าขาดผ่านการเย็บปะชุนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ผ้าเช็ดโต๊ะในร้านยังอาจจะมีสภาพดีกว่า สะอาดกว่า แม้เถ้าแก่ร้านจะคาดการณ์ได้หลายส่วนว่าภายหลังจากที่พวกมันร่วมดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วนั้น กลับไม่แน่นักว่าพวกมันจะมีเงินจ่ายค่าน้ำชาอาหาร หากแต่เถ้าแก่เป็นคนมีใจคอกว้างขวางเสมอมา ต้อนรับขับสู้ลูกค้าอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันและอย่างดีเยี่ยม เป็นที่เลื่องลือ มันคิดว่าอย่างน้อยการได้คบหาสหายยังมีคุณค่ากว่าผลกำไรมากนัก มันยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสแสดงไมตรีจิตออกมาอย่างเปิดเผยจริงใจตามปกติต่อชายแปลกหน้าทั้งสองคน ถึงแม้จะไม่ล่วงรู้ความเป็นมาของพวกมันก็ตาม เมื่อเถ้าแก่ยกน้ำชาและอาหารมาวางบนโต๊ะ รินน้ำชาให้ครั้งหนึ่ง มันก็ปลีกตัวออกไปยังข้างหลังร้านอย่างเงียบๆพบพานฤาพลัดพรากยากกำหนด วันคืนหมดเปลืองไปในความฝัน จ่อมจมทุกข์ไปไยให้จาบัลย์ ควรสุขสันต์กินดื่มลืมเป็นมา... ทะเลทุกข์กว้างไกลไร้ฟากฝั่ง ได้มานั่งร่วมเรียงเคียงสังสรรค์ ใช่ง่ายดายพบหน้าพาผูกพัน ล้วนสวรรค์สรรค์สร้างเส้นทางเดิน... ชายชาวยุทธ์แปลกหน้า ๒ คนนั่งจิบน้ำชาและรับประทานอาหารพร้อมกับเจรจากันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินแทบลืนเลือนวันเวลา พวกมันเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันที่เพิ่งกลับมาพบกันในรอบหลายสิบปี ดังนั้นพวกมันจึงมีเรื่องราวสนทนากันมากกว่าปกติอยู่บ้าง เสียงหัวร่อของพวกมันดังไปจนถึงหลังร้านน้ำชา ขณะที่เถ้าแก่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บใบชาที่ตากแดดจนแห้งได้ที่และนำใบชาใหม่ออกมาตากแทน หูของมันก็คอยเงี่ยฟังถ้อยคำสนทนาของชายทั้งสองเผื่อว่าพวกมันจะเรียกใช้บริการจากมันอีก เถ้าแก่พอจับใจความได้ว่าชายที่มีหนวดเครารกครึ้มนั้นอาวุโสกว่าและเป็นศิษย์ผู้พี่ ส่วนชายอีกคนที่มีท่าทีเจ้าสำราญและอ่อนเยาว์กว่านั้นเป็นศิษย์ผู้น้อง พวกมันสนทนากันด้วยถ้อยคำดังนี้.... ศิษย์พี่ : แผ่นดินกว้างใหญ่ปานใด พวกเราสองคนได้พบพาน มีโอกาสได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันเพื่อสังสรรค์นับว่าเป็นโอกาสที่หายากอย่างยิ่ง เชิญ! มันยกจอกน้ำชาขึ้นเชื้อเชิญฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับดื่มรวดเดียวลงคอไป ชายอีกคนพลันหัวร่อออกมา ยกจอกน้ำชาขึ้นมาดื่มลงไปรวดเดียวเช่นกัน และพลันเอ่ยวาจาแสริมว่า ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา นับเป็นวาสนาของข้าพเจ้าอย่างแท้จริงที่มีโอกาสพบพานกับท่านผู้อาวุโสศิษย์ผู้พี่วันนี้ ภายหลังจากท่านอาจารย์ปลีกวิเวกเร้นกายบำเพ็ญเพียรภาวนา วางมือจากยุทธภพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกียวิสัยอีก พวกเราก็ไม่มีโอกาสได้พบพานกันจนบัดนี้ นับเป็นวาสนา เป็นวาสนาอย่างแท้จริง สมควรดื่มกินให้มากไว้ ท้องฟ้ากว้างวิหคโผผกผิน ผืนแผ่นดินใหญ่ยิ่งหลากสิงห์สา ต้นไม้โตเสรีมีนับคณา เหตุใดชนในโลกหล้าว้าวุ่นวาย... ศิษย์พี่ : อาจารย์นับเป็นปราชญ์เดินดิน มีความเคลื่อนไหวไร้ร่องรอยดุจดังเทพยดา รู้แจ้งเจนจบในใต้หล้า น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามีวาสนาเพียงน้อยนิด ได้ศึกษาเล่าเรียนจากท่านเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น นับเป็นศิษย์ที่ไม่ได้ความ อ่อนด้อยยิ่งนัก ! ศิษย์น้อง : หากท่านนับเป็นศิษย์อ่อนด้อยไม่ได้ความ ข้าพเจ้าคงต้องจัดเป็นศิษย์ที่โง่งมอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินแล้ว ฮา ฮา ฮา ศิษย์พี่ : เพราะเหตุอันใด? ศิษย์น้อง : ภายหลังจากข้าพเจ้าฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้พบกับท่านอาจารย์เพียง ๕ ครั้ง ไหนเลยเทียบกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังเคยอยู่เฝ้าปรนนิบัติรับใช้ท่านอาจารย์มานานนับแรมปีเล่า ! ศิษย์พี่ : ท่านออกจะกล่าวถ่อมตนมากไปแล้ว วีรกรรมของท่านโด่งดังไปทั่วยุทธภพ ท่านเพียงผู้เดียว มือปราศจากกระบี่ กลับสามารถโค่นล้มพรรคอสูรที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุคเพียงชั่วข้ามคืนลงได้ มิหนำซ้ำท่านยังสามารถสยบหัวหน้าพรรคอสูรผู้มีวรยุทธไร้เทียมทานได้เพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น ในรอบหนึ่งร้อยปีมานี้นอกจากท่านแล้ว ไหนเลยมีบุคคลที่สองที่มีความสามารถถึงระดับนี้ พรรคอสูรที่มีบริวารนับแสนถึงการล่มสลายล้วนเป็นฝีมือของท่านแต่เพียงผู้เดียว หากท่านจัดเป็นตัวโง่งมอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินแล้ว ข้าพเจ้าผู้ไร้ความสามารถจะนับเป็นตัวอะไรเล่า? มือปราศจากกระบี่บีฑายุทธ์ กุมอาวุธในใจไร้ต่อต้าน หากจิตใจไร้กระบี่ขาดวิญญาณ มือถืออาวุธสังหารพานไร้ค่า... ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าแม้มักสยบศัตรูโดยปราศจากอาวุธก็จริง แต่หากเทียบกับท่านแล้ว ข้าพเจ้านับเป็นเพียงเด็กทารกน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น ฮา ฮา ศิษย์พี่ : เพราะเหตุอันใด? ศิษย์น้อง : รับฟังมาว่ามียอดฝีมือเร้นลับผู้หนึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นเพียงไม่นานมานี้ในยุทธภพ แต่เรื่องราวที่มันกระทำล้วนเป็นเรื่องราวสะเทือนฟ้าสะท้านแผ่นดินแทบทั้งสิ้น กล่าวกันว่ามันเป็นบุรุษนิรนามผู้หนึ่ง พกพากระบี่เก่าคร่ำคร่าโบราณเล่มหนึ่ง มันไร้ชื่อแซ่ ปราศจากชื่อเสียงเรียงนาม ไปมาไร้ร่องรอย ยังไม่เคยมีใครพบเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันมาก่อน มันพลันปรากฏกายขึ้นในยุทธภพดุจดังภูตพราย ภายหลังจากสร้างวีรกรรมอันสะท้านแผ่นดินหลายต่อหลายครั้ง มันกลับอันตธานหายไปราวกับล่องหนหายตัวได้ก็ปาน! จนบัดนี้เหล่าจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายในใต้หล้าต่างล้วนไม่อาจข่มตานอนหลับยามค่ำคืนได้ พวกมันล้วนตกอยู่ในความอกสั่นขวัญแขวน ยุทธจักรก่อเกิดมรสุมร้ายแรงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ก็ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุมาจากจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้น ! จับกระบี่ดั่งพู่กันบรรจงวาด ประหนึ่งปราชญ์รำร่ายกายผสาน สอดคล้องธรรมล้ำลึกผนึกปราณ ยังหมู่มารสยบไตรภพภูมิ.... ศิษย์พี่ : มันสร้างวีรกรรมอันน่าแตกตื่นอันใด จึงสามารถทำให้ยุทธภพปั่นป่วนได้ถึงเพียงนี้? ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา มันมิได้สร้างเรื่องราวใหญ่โตอันใดนัก ! หากแต่ข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วยุทธจักรเวลานี้ เนื่องเพราะมันมีชัยชนะจากการท้าประลองยุทธ์กับ “มือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน” ฉายากระบี่เดียวปลิดชีพ มันได้ชัยโดยใช้เพียง ๓ กระบวนท่าเท่านั้น เรื่องราวที่มันกระทำครั้งนี้ เกรงว่ายังไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีตและคงไม่มีใครสามารถกระทำได้อีกในอนาคตแล้ว ! ศิษย์พี่ : มันสามารถเอาชนะมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินลงได้อย่างง่ายดายปานนั้นนับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์จริงๆ ปัจจุบันมันไยมิใช่กลายเป็นกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินไปแล้ว! ศิษย์น้อง : ฮา ฮา กล่าวไปก็น่าขบขันอย่างยิ่ง ในอดีตที่ผ่านมาจอมยุทธ์ผู้ผ่านการประลองยุทธ์กับยอดฝีมือจนถึงระดับขั้น “ไร้ผู้ต่อต้าน” จนท่านกลับกลายเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ไม่อาจมีผู้ใดสามารถเอาชนะมันได้อีกแล้วนั้น ตลอดทุกยุคทุกสมัยพวกท่านต่างล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียง เป็นที่นับหน้าถือตา และได้รับความเคารพยำเกรงจากเหล่าบรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลาย ฮา ฮา แต่น่าเสียดายจอมยุทธ์นิรนามผู้นี้กลับไม่เคยมีใครพบเห็นใบหน้าของมันมาก่อน กระทั่งยังปราศจากชื่อแซ่และไม่ยอมเปิดเผยตัวตน ตำแหน่งมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินจึงไม่ทราบสมควรจะมอบให้แก่ผู้ใด ! ลาภยศชื่อเสียงเพียงสมมุติ จุดสูงสุดคืนสามัญอันเปล่าว่าง หลอมกายใจเป็นหนึ่งจึงเบาบาง ทุกก้าวย่างดุจเหินเดินเมฆินทร์... ศิษย์พี่ : บรรดาเหล่าจอมยุทธ์ที่เคยประลองกระบี่กับมันเล่า ไยไม่เคยพบเห็นใบหน้าของมันมาก่อน? ศิษย์น้อง : ร่ำลือว่าปกติใบหน้าของมันจะสวมหน้ากากหนังใบหนึ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นเองอยู่ตลอดเวลา แม้ขณะเวลาประลองยุทธ์มันก็ไม่เคยปลดออก อีกประการหนึ่งผู้ที่เคยประลองกระบี่กับมันส่วนใหญ่ ภายหลังจากนั้นต่างล้วนเป็นใบ้ไม่อาจกล่าววาจาใดๆได้อีกตลอดกาล ! จึงมิอาจระบุรูปพรรณสัณฐานของมันได้ ศิษย์พี่ : พิสดารยิ่งนัก! หรือมันมีเวทย์มนต์ คุณไสยอันใด จึงสามารถทำให้ผู้คนถึงกับเป็นใบ้ไม่อาจกล่าววาจาได้อีก? ศิษย์น้อง : บ่งบอกไปก็รวบรัดอย่างยิ่ง สาเหตุที่พวกมันกลับกลายเป็นใบ้ ไม่อาจกล่าววาจาได้อีก เนื่องเพราะพวกมันภายหลังจากประลองกระบี่กับจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้นแล้ว ต่างล้วนตกตายหมดสิ้น คนตายย่อมไม่อาจกล่าววาจาใดๆ ได้อีก มิหนำซ้ำนอนแน่นิ่งดุจดังเป็นใบ้ก็ปาน ! ศิษย์พี่ : ฝีมือของมันไยถึงอำมหิตถึงเพียงนี้ ไร้น้ำใจถึงเพียงนี้ นี่คงเป็นสาเหตุให้บรรดาจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายต่างพากันหวาดหวั่นพรั่นพรึง เนื่องเพราะเกรงกลัวว่ามันจะไปเยี่ยมเยือนถึงชายคากระมัง? ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา บุคลิกอันแปลกประหลาดของจอมยุทธ์เร้นลับผู้นี้ยากยิ่งที่จะเข้าใจได้จริงๆ แต่หากกล่าวถึงความอำมหิต ข้าพเจ้าอาจไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง ศิษย์พี่ : เพราะเหตุอันใด? ศิษย์น้อง : ข้าพเจ้าพิจารณาจอมยุทธ์ที่ตกตายใต้คมกระบี่ของมันแล้ว เห็นว่าพวกมันล้วนต่างสมควรตกตายเป็นอย่างยิ่ง พวกมันต่างล้วนเป็นวิญญูชนจอมปลอม สวมหน้ากากเล่นบทผู้ทรงคุณธรรม แต่ฉากเบื้องหลังต่างล้วนมืดดำอย่างยิ่ง บ้างก็ค้าขายยาเสพติด บ้างก็ค้ามนุษย์ บ้างก็โกงฉ้อฉลทุจริตคอรัปชั่น บ้างก็เป็นฆาตรกรผู้บงการอยู่เบื้องหลัง พวกมันอาศัยเงิน อำนาจ บารมีสามารถติดสินบนเจ้าพนักงานได้ บุคคลเหล่านี้ต่างล้วนมีชื่อเสียงในยุทธภพแทบทั้งสิ้น ชาวยุทธ์ต่างคิดว่าพวกมันเป็นวิญญูชน ! ต่างน้อมเศียรให้ความเคารพบูชาแทบหมดใจ เกรงอกเกรงใจแทบตาย ! ศิษย์พี่ : แต่การฆ่าคนโดยพละการย่อมผิดทั้งศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมือง สมควรหาหลักฐานเบิดโปงความเลวร้ายของเหล่าคนชั่วแล้วนำตัวส่งทางการ มิสมควรกว่าหรอกหรือ? ศิษย์น้อง : บางครั้งนี่ก็อาจเป็นผลกรรมของพวกมัน พวกมันอาจต้องได้รับจุดจบเยี่ยงนี้ ก็อาจเป็นได้! ศิษย์พี่ : ท่านทราบหรือไม่ว่าจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้นเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร? ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา ข้าพเจ้าไหนเลยไม่ทราบได้ จอมยุทธ์เร้นลับผู้นั้นหาใช่ใครไม่ ก็คือท่านนั่นเอง ! ศิษย์พี่ : ฮา ฮา ฮา ท่านคงเสียสติไปแล้ว จอมยุทธ์ไร้ผู้ต่อต้าน ฝีมือเยี่ยมยุทธ์ไร้ตำหนิสูงส่งและหมดจดเช่นนั้น ไหนเลยกลับกลายเป็นข้าพเจ้าไปได้ ท่านกล่าวล้อเล่นแล้วกระมัง? ศิษย์น้อง : เพลงกระบี่ที่มันใช้ล้วนไม่มีจารึกอยู่ในคัมภีร์เล่มใดในทุกค่ายสำนัก แม้แต่ในวัดเส้าหลินที่เป็นแหล่งรวบรวมวิชายุทธ์แทบทุกแขนงของแผ่นดินก็ยังไม่ปรากฏวิชากระบี่เยี่ยงนั้น! นอกจากท่านแล้วยังจะมีผู้ใด? ศิษย์พี่ : ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ผู้ก่อตั้งและอดีตจ้าวอาวาสวัดเส้าหลิน เป็นปราชญ์ผู้บรรลุธรรมเหนือโลก คัมภีร์ยุทธ์ในวัดต่างล้วนแฝงปรัชญาลึกล้ำเหนือวิสัยปุถุชน ผู้จะฝึกฝนวิชาต้องสำรวมกาย วาจา ใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ปรับพื้นฐาน ฝึกพลังลมปราณนานนับปี กว่าจะได้รับอนุญาตให้ฝึกปรือยอดยุทธ์ได้ มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ต้องปลงผมออกบวชเพื่อรักษาศีล ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ตลอดชีพ จึงอาจฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสูงสำเร็จได้ จุดมุ่งหมายก็เพื่อรักษาสุขภาพและปฏิบัติธรรมเพื่อสำเร็จมรรคผลตามแนวทางพุทธศาสนา เหตุใดเพลงกระบี่ของจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้น จึงไม่พบในวัดเส้าหลินอันเป็นแหล่งรวบรวมคัมภีร์ยุทธ์ในใต้หล้า? นับเป็นเรื่องราวที่น่าขบคิดจริงๆ ศิษย์น้อง : ฮา ฮา ฮา แม้คัมภีร์ยุทธ์ของเส้าหลินจะเป็นหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน พลังฝีมือก็ไร้ผู้ต่อต้าน สร้างชื่อเสียงมายาวนานนับพันปีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็จริงอยู่ หากแต่นั่นก็เป็นแค่เพียงเศษซากตำราเท่านั้น หามีคุณค่าเท่าใดไม่ ! ศิษย์พี่ : เพราะเหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น มิเป็นการดูแคลนวัดเส้าหลินอันกระเดื่องเลื่องแผ่นดินหรอกหรือ? ศิษย์น้อง : ข้าพเจ้าไหนเลยบังอาจเช่นนั้น หากแต่เพลงกระบี่ที่มีการจดจารจารึกเอาไว้ในตำราคัมภีร์ใดๆ ก็ย่อมหาใช่เรื่องยากเย็นเกินไปที่ใครๆ ต่างล้วนหมั่นฝึกปรือจนสำเร็จได้ มาตรแม้นใครๆ ก็ต่างฝึกฝนจนสำเร็จได้ถึงจะใช้เวลานับ ๑๐ ปีก็ตาม ถ้าเช่นนั้นตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินใครๆ ก็ล้วนต่างเป็นได้ไม่ยากเย็นเฉกเช่นเดียวกัน ท่านคงทราบกระมังว่านับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันผู้ครองตำแหน่งกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินล้วนศึกษาคัมภีร์ของทุกค่ายสำนักจนแตกฉานแล้วสามารถสร้างสรรค์ยอดวิชายุทธ์ขึ้นมาใหม่ได้เอง จนถึงระดับไม่มีผู้ใดต่อกรรับมือกับมันได้ ตามความเห็นของข้าพเจ้า จอมยุทธ์นิรนามผู้นั้นมิเพียงแตกฉานวิชายุทธ์ของทุกค่ายสำนัก มิหนำซ้ำสร้างสรรค์เพลงกระบี่ออกมาตามแนวทางของตนได้จนสำเร็จ ! ถึงขั้นเผาตำรา ใช้ใจควบคุมเพลงกระบี่ พลิกแพลงตามจินตนาการ... ศิษย์พี่ : ฮา ฮา ไม่พบพานกันนานปี ท่านกลับมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ นับถือ นับถือ ! ข้าพเจ้าขอคารวะอย่างจริงใจ แต่น่าเสียดายที่ท่านคำนวณผิดไปประการหนึ่ง ศิษย์น้อง : เรื่องราวอันใด? ศิษย์พี่ : ข้าพเจ้าอาจเป็นจอมยุทธ์นิรนามผู้เร้นลับผู้นั้น แต่หาได้เคยฆ่าคนแม้แต่คนเดียวไม่ แมลงสักตัวข้าพเจ้ายังไม่เคยกระทบถูกมาก่อน ไหนเลยจะมีจิตใจอำมหิตเยี่ยงนั้น? ในยุทธจักรออกจะร่ำลือจนเกินความจริงไปบ้าง ! ศิษย์น้อง : ถ้าหากเช่นนั้น ใครเล่าเป็นผู้เข่นฆ่าวิญญูชนจอมปลอมเหล่านั้นจนแทบหมดสิ้น? ศิษย์พี่ : ฟังว่ามียอดขุนโจรผู้หนึ่งที่ทางการกำลังต้องการตัว มันมักชมชอบปล้นสะดมทรัพย์สินของคนร่ำรวย แล้วนำไปบริจาคแจกจ่ายให้แก่คนยากจน มันมีพฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า มันเพียงชมชอบเข่นฆ่าคนเลวร้าย ขอเพียงให้มันสืบเสาะทราบว่าใครที่มีนิสัยฉ้อโกงเลวร้ายต่อชาวบ้าน มันจะไปเยี่ยมเยือนทันที ประจวบเหมาะกับข้าพเจ้าที่โค่นกระบี่เดียวปลิดชีพลงได้พอดี มันจึงถึงโอกาสแอบอ้างชื่อเสียงของข้าพเจ้าในนามจอมยุทธ์นิรนามกำจัดเหล่าคนชั่วไปจนแทบสิ้นซาก ข้าพเจ้าเองก็พยายามสืบเสาะหาตัวมันมานาน เพียงเพื่อต้องการสอบถามมันดูว่าเพราะเหตุใดจึงแอบอ้างชื่อของข้าพเจ้า จนเดินทางมาถึงโรงน้ำชาแห่งนี้ และบังเอิญได้พบเจอท่านพอดี ศิษย์น้อง : ท่านคงทราบว่าจอมโจรผู้นั้นเป็นใครแล้วกระมัง? ศิษย์พี่ : เดิมทีข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่บัดนี้ข้าพเจ้าย่อมทราบแล้ว ! ศิษย์น้อง : หรือว่าเป็น.....? ศิษย์พี่ : ใช่แล้ว พอข้าพเจ้ามาถึงก็ทราบทันทีว่าเป็นมัน ! มันคือเถ้าแก่โรงน้ำชาแห่งนี้นี่เอง ! ทันทีที่จอมยุทธ์ทั้งสองกล่าวถ้อยคำจบลง ทั้งคู่ต่างก็พากันวิ่งไปยังหลังร้านน้ำชา บริเวณโดยรอบเป็นป่าไผ่ร่มรื่น เงียบสงบ ปราศจากสุ้มเสียงใดๆ ปราศจากเงาร่างของผู้คน ใบชาใหม่ยังคงตากอยู่ในตะแกรงท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเที่ยงที่แรงจัด ราวกับยึดถือแผ่นดินต่างเขียง เห็นส่ำสัตว์เป็นผักปลาก็ปาน! บนฝาผนังมีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกปักเอาไว้ด้วยมีดสั้นเล่มหนึ่ง มีดบางคมกริบสะท้อนแสงภายใต้ดวงอาทิตย์เสียดแทงถึงลูกนัยตา ชายผู้เป็นศิษย์พี่ถอดมีดเล่มนั้นออกมา ในแผ่นกระดาษมีข้อความเขียนด้วยลายมือบรรจงอย่างปราณีตมีใจความว่า... ผู้ต่ำต้อยขอคารวะจอมยุทธ์ทั้งสองท่าน ที่มาช่วยอุดหนุนร้านของเราในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเบิกบานใจอย่างยิ่ง และต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ช่วยเล่าวีรกรรมของข้าพเจ้าที่ผ่านมาอย่างกระจ่าง ข้าพเจ้าใคร่คำนวณแล้วว่าพวกท่านคงไม่จ่ายค่าน้ำชาอาหารเป็นแน่ ข้าพเจ้ายอมรับนับถือคุณธรรมของท่านทั้งสองตลอดมา วันนี้นับเป็นโอกาสอันดียิ่งจึงใคร่ขอเลี้ยงน้ำชาอาหารให้แก่ท่านเป็นการตอบแทนความเอื้ออารี มิหนำซ้ำยังขอมอบโรงน้ำชาเล็กๆ แห่งนี้ให้แก่ท่านอีกด้วย หวังว่าพวกท่านคงไม่ถึงกับลาญน้ำใจข้าพเจ้ารับเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ข้าพเจ้าคงต้องหาธุรกิจใหม่ทำต่อไป ผู้น้อยขอเสียมารยาทและขออำลา..... ขออภัยที่ไม่ได้อยู่ร่วมสนทนาและน้อมส่ง เจ้าของร้านน้ำชาใบไผ่ จอมยุทธ์ทั้งสองต่างมองหน้ากันและกัน ก่อนจะเดินกลับมานั่งโต๊ะน้ำชาอย่างเงียบๆ พร้อมกับเริ่มต้นสนทนา... ศิษย์น้อง : ข้าพเจ้ากลับดูไม่ออกว่ามันจะเป็นยอดฝีมือเร้นกายผู้หนึ่ง ศิษย์พี่ : ข้าพเจ้าพบมันครั้งแรกก็ไม่ทันขบคิดใคร่ครวญ หากแต่เพียงสงสัยว่าเหตุใดรังสีการฆ่าฟันของมันจึงรุนแรงยิ่งนัก ในเมื่อมันมิใช่ชาวยุทธ์ จนกระทั่งข้าพเจ้าสังเกตุเห็นข้อพิรุธหลายประการตอนหลังและเริ่มลำดับความคิดจึงเริ่มเข้าใจ ศิษย์น้อง : ข้อพิรุธอันใด? ศิษย์พี่ : มือของมัน ! ศิษย์น้อง : แต่ข้าพเจ้ากลับสังเกตเห็นมือบุรุษที่คล้ายมือของสตรีนางหนึ่งของมัน คล้ายอ่อนนุ่มไม่เคยฝึกปรือวรยุทธ์มาก่อน กระทั่งอาจไม่เคยหยิบจับอาวุธใดๆ มันไหนเลยจะเป็นจอมยุทธ์ได้? อย่างมากก็จับมีดหั่นผักเท่านั้น ! ศิษย์พี่ : ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นเช่นนั้น ที่ข้าพเจ้ากล่าวว่ามือของมันนั้นหมายถึงวิธีการใช้มือของมันต่างหาก หาใช่มือของมันไม่ มิเพียงเวลาที่มันรินน้ำชาเท่านั้นที่ผิดปกติ หากแต่มันยังสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้อีกด้วย ! ศิษย์น้อง : มีความพิเศษพิสดารอย่างไรหรือ? ท่านลองบอกมาฟังดู ศิษย์พี่ : เรื่องราวก็คือว่าตอนแรกที่ข้าพเจ้ามาถึงโรงน้ำชาแห่งนี้ ข้าพเจ้าไม่พบว่ามีการจุดฟืนก่อไฟ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปที่ในห้องครัวก็ไม่พบผู้ใด เพียงพบว่าไหน้ำชาและสุราล้วนว่างเปล่า ห้องครัวแห่งนี้คล้ายไม่เคยถูกใช้งานมานานแรมปี ข้าพเจ้าจึงเดินไปที่หลังร้านก็พบเพียงใบชาที่ตากแดดอยู่ในตะแกรงเท่านั้น ปราศจากเงาร่างผู้คน จนข้าพเจ้าเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารนี้ เถ้าแก่ร้านก็พลันปรากฏกายขึ้นดั่งราวภูตพราย มันเดินมายืนอยู่เบื้องหลังข้าพเจ้าโดยที่ข้าพเจ้าหารู้ตัวไม่ ในยุทธภพมีเพียงบุคคล ๒ คนที่ทำเยี่องนี้กับข้าพเจ้าได้ ศิษย์น้อง : ยังมีผู้ใดที่สามารถปรากฏกายเบื้องหลังท่านได้โดยที่ท่านไม่รู้ตัวอีก? มันจะต้องมีวิชาตัวเบาสูงส่ง เลิศภพจบแดนเป็นแน่แท้! ศิษย์พี่ : หนึ่งในนั้นคือท่านอาจารย์ผู้อาวุโส บุคคลที่สองเกรงว่าก็คือมัน ! ศิษย์น้อง : หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าวรยุทธ์ของมันคงยากเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะจินตนาการถึงได้ ทอดตาทั่วแผ่นดินข้าพเจ้ากลับไม่เคยพบพานมาก่อน กระทั่งฝันก็ไม่เคยฝันถึงมาก่อน อย่าว่าแต่จะเคยได้ยินได้ฟัง ศิษย์พี่ : นั่นเกรงว่ายังไม่แปลกพิสดารเท่าใดนัก ! ศิษย์น้อง : ยังมีอีก? ศิษย์พี่ : ใช่ยังมี! ขณะที่มันยกไหน้ำชามาให้พวกเรา ปรากฏว่าในไหกลับบรรจุน้ำชาเต็มเปี่ยม มิหนำซ้ำยังร้อนระอุมีควันพวยพุ่งออกมา น้ำชามาจากที่ใด ความร้อนมาจากที่ใด? ศิษย์น้อง : มันมิได้ก่อไฟ ไหน้ำชาก็ว่างเปล่า มันเพียงเข้าไปในครัวแล้วก็เดินออกมาชั่วขณะ มันจะเติมน้ำชาได้จากที่ใด? ศิษย์พี่ : จากในอากาศ ! มันใช้พลังหลอมรวมปราณในอากาศให้กลายเป็นวัตถุแล้วเปลี่ยนมาเป็นของเหลวซึ่งก็คือน้ำชาในไห จากนั้นมันแผ่พลังความร้อนจากฝามือลงในไหน้ำชาจนน้ำชาเดือดมีควันพวยพุ่งออกมา ! ศิษย์น้อง : จอมยุทธ์ที่มีพลังฝีมือถึงระดับนี้เกรงว่าในใต้หล้ามีไม่มากนัก แม้แต่ไต้ซือฟางฉายาฝ่ามือทลายเจ็ดขุนเขาเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินองค์ปัจจุบันก็ยังไม่มีวรยุทธ์ถึงเพียงนี้ นั่นรวมถึงมือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินฉายากระบี่เดียวปลิดชีพและจอมมารอสูรฉายามังกรพันหน้าหัวหน้าพรรคอสูรที่เพิ่งล่มสลายลง ล้วนต่างไม่มีพลังฝีมือถึงขั้นนี้! ศิษย์พี่ : มิเพียงเท่านั้น! ข้าพเจ้ายังพบว่าเวลาที่มันรินน้ำชาให้แก่ข้าพเจ้า มิเพียงน้ำชาไม่กระเซ็นหกแม้แต่เพียงหยดเดียว ยังพบสิ่งแปลกประหลาดกว่านั้น นั่นคือภายหลังจากที่มันรินน้ำชาแล้ว ปรากฏว่าน้ำชาในไหใบนั้นหาได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ในไหยังคงมีน้ำชาอยู่เท่าเดิม จวบจนมันจากไปพวกเราดื่มกินกันไปเรื่อยๆ น้ำชาในไหจึงลดน้อยลงเหลือเพียงเท่าที่เห็น มันคาดว่าข้าพเจ้าไม่ทันสังเกตความเคลื่อนไหวของมัน แต่ทุกกิริยาอาการของมันล้วนตกอยู่ในสายตาของข้าพเจ้าโดยตลอด ! ศิษย์น้อง : นอกจากท่านอาจารย์ผู้อาวุโสแล้ว เกรงว่าไม่มีผู้ใดจะสามารถรับพลังฝ่ามือของมันได้เกิน ๑๐ กระบวนท่า มันไยมิใช่คู่มือที่น่ากลัวของพวกเรา? ศิษย์พี่ : เปรียบเทียบตามพลังฝีมือแล้ว แม้เราทั้งสองคนรวมพลังกันต่อสู้กับมัน ก็กลับไม่แน่นักว่าจะต้านทานมันได้เกิน ๑๐ กระบวนท่า ! ศิษย์น้อง : นับวันยุทธภพจะปรากฏยอดคนมากมายขึ้นทุกที พวกเราสมควรติดตามอาจารย์เร้นกายบำเพ็ญเพียรภาวนาจะเหมาะสมกว่า ยุทธจักรมีแต่การแก่งแย่งชิงดี มากเภทภัย สุดแสนอันตราย มีจอมมารวายร้ายใหม่ๆ มีอาวุธทันสมัยใหม่ๆ เกินกว่าพวกเราจะรับมือได้ ยุทธภพคงเข้าสู่ความโกลาหลสุดจะพรรณาในอีกไม่ช้านี้.......................... ศิษย์ผู้น้องกล่าวยังไม่ทันขาดคำ พลันได้ยินเสียงศิษย์ผู้พี่ร้องตวาดว่า “ระเบิด!” เสียงตบโต๊ะดัง ฉาด ! พร้อมกับเสียง “เพ้ย! ” จากนั้นจอมยุทธ์ทั้งสองพลันลอยตัวขึ้น พุ่งทะยานทะลุหลังคาดุจดั่งปักษาเหินบินด้วยวิชาตัวเบาเลิศภพจบแดน ท่วงท่าสง่างาม มองเห็นเพียงเงาร่างเลือนราง ๒ สายพุ่งขึ้นดังดาวตกแยกย้ายไปคนละทาง โต๊ะและเก้าอี้ว่างเปล่าไร้เงาผู้คน บนโต๊ะยังมีน้ำชาบรรจุอยู่ไม่ถึงครึ่งไห อาหารในจานหลงเหลือเพียงเศษซากเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นพลันมีวัตถุประหลาดลักษณะคล้ายจรวดลูกหนึ่งคาดว่าเป็นระเบิดนิวเคลียร์ตกลงมาตรงกลางโต๊ะตัวนั้นพอดิบพอดี เกิดเสียงระเบิดราวกัมปนาทครั้งใหญ่ขึ้น แผ่วงกว้างไปไกลหลายกิโล โรงน้ำชาใบไผ่อันเงียบสงบก็พลันอันตธานหายไป หลงเหลือเพียงผงฝุ่นตลบอบอวลฟุ้งกระจายไปทั่ว บริเวณระแวกป่าแถบนั้นก็เตียนโล่งไปในชั่วพริบตาด้วยแรงระเบิด สร้างความพินาศย่อยยับอย่างไม่เป็นชิ้นดี.....