21 เมษายน 2554 18:30 น.

ปัญญาของหญิงชราขอทาน...

คีตากะ

677301phvn1cg1f4.gifปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai
ศูนย์ออสติน, เท็กซัส, สหรัฐอเมริกา
๒๗ สิงหาคม ๑๙๙๔ 
(เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)




      คนส่วนมากที่รู้มักจะไม่รู้ และคนที่พูดก็มักจะไม่รู้ แน่ละที่มหาอาจารย์อย่างเช่น พระพุทธเจ้าและพระเยซู ท่านออกไปสั่งสอนผู้คน แต่ว่าก็ไม่เหมือนกับแบบนี้ พวกท่านต้องทำงานอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นพวกท่านเองก็ไม่ได้อยากจะทำหรอก พวกเธอรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายความว่าอย่างไร? ภารกิจของพวกท่านเป็นอย่างนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะทุกข์ยาก ไม่ต้องการมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านชอบออกไปหาโอกาสที่จะโต้วาทีกับผู้คนอยู่เสมอ นั่นมันต่างกัน พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม? ที่ว่าพวกท่านจะไม่ชอบและจะวิ่งหนีไปจากโอกาสแบบนี้ ท่านเพียงแต่ต้องทำงานเพื่อคอยสอนพวกลูกศิษย์ที่เข้ามาหาท่าน แต่ท่านจะไม่ออกไปโต้คารมกับคนอื่นเพื่อจะอวดหรือแสดงความรู้ของท่าน มันต่างกัน
    ทีนี้ก็มี ทิโลบา (ทิโลบา คืออาจารย์ทวดของอาจารย์ของมิลาเรอปาซึ่งเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของธิเบต) คนนี้ผู้ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ชอบเดินทางไปทั่วอินเดีย เพื่ออวดภูมิความรู้เกี่ยวกับหนังสือตำรับตำราต่างๆ ของเขา และทุกๆ แห่งที่เขาไป เขาก็เป็นคนชนะเสมอ ไม่เคยมีใครเอาชนะเขาได้เลย เพราะว่าความรู้ของเขาเกี่ยวกับตำราต่างๆ นั้นมีมากมายจริงๆ เอ้อ, ในประเทศต่างๆ หลายประเทศก็มีคนแบบนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่แต่เพียงทิโลบาคนเดียวหรอก
    วันหนึ่ง, เขากำลังอ่านหนังสือตำราเล่มหนึ่งที่มีชื่อเสียงและมีค่าที่สุดในเวลานั้นอยู่ในบ้านของเขา ก็มีขอทานคนหนึ่ง เป็นขอทานหญิงชราที่ดูสกปรก และผอมแห้งมาก เป็นพวกขาดอาหารอย่างมาก เดินผ่านมาแล้วก็พูดกับเขาทำนองว่า “คุณอ่านหนังสืออย่างลุ่มหลงออกอย่างนั้น แต่คุณเคยเข้าใจที่คุณอ่านสักนิดหนึ่งไหมล่ะ?” (เสียงหัวเราะ) โอ๋? ทิโลบาก็สะดุ้งรู้สึกตกใจมาก เธอรู้ใช่ไหม? ขอทานแก่ๆ น่าเกลียดขนาดนั้น กล้าดียังไงถึงมาพูดอย่างนี้ใส่หน้าบัณฑิตอย่างฉัน? ศาสตรจารย์ที่รอบรู้อย่างฉันนี้? ทิโลบาจึงคล้ายกับตกใจและก็ยังไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี และแล้วขอทานหญิงชราคนนั้นก็ถ่มน้ำลายใส่หนังสือของเขาแล้วก็วิ่งหนีไป
    ทิโลบาก็โมโหโกรธามาก เพราะว่าเธอกล้ามาถ่มน้ำลายรดตำราอันศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ เขาจึงออกวิ่งไล่ตามเธอไป แต่พอเขาวิ่งตามมาถึงเธอ เธอก็พึมพำอะไรในคอเธอแค่นั้นเอง ทิโลบาก็รู้สึกใจเย็นสงบลงทันทีและก็ไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป แล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงนั้น แล้วก็เดินกลับบ้านและก็เริ่มต้นคิด อาจจะเป็นได้ว่าเขารู้สึกว่ามีอะไรผิดอยู่ รู้สึกว่าอาจจะมีอะไรที่ไม่ถูกต้องในวิธีที่เขากำลังศึกษาเล่าเรียนจากหนังสือต่างๆ เขาจึงนั่งลงครุ่นคิดอย่างหนักและก็ครุ่นคิดมากว่า ทำไมหญิงชราขอทานคนหนึ่งจึงกล้าถ่มน้ำลายรดตำราศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั้งอินเดียเคารพนับถือกันมาเป็นพันๆ ปีแล้ว
    ผู้คนยังมากราบไหว้บูชาตำรานี้ด้วยซ้ำ และก็ถวายเงินแก่ตำราเล่มนี้ พวกเขาก็ยังทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ในบางประเทศรวมทั้งประเทศอินเดียด้วย ฉันรู้และก็เคยเห็นมาแล้วด้วยว่า พวกเขาพากันมาก้มกราบ ถวายเงินและดอกไม้แก่ตำราเล่มนี้ และก็เชื่อว่าตำรานี้แหละที่เป็นความรู้และปัญญาทั้งหมดทุกอย่าง แต่ตำราก็คือตำรา ตัวเธอก็คือตัวเธอ เธอจะทำแค่ก้มกราบตำราแล้วก็ได้ความรู้มาจากมันได้อย่างไร, หือ? พวกเธอเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นได้หรือ? แต่ก็มีหลายคนเชื่อแบบนั้น ก็ช่างเขาเถอะ เป็นเรื่องของเขา
    เพราะฉะนั้น ทิโลบาจึงครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างหนัก เขายังรู้สึกประหลาดใจอีกด้วยว่า ทำไมหญิงชราที่ผอมแห้งแรงน้อยออกอย่างนั้น เพียงแต่พึมพำอะไรออกมาประโยคหรือสองประโยค ก็ทำให้ความโกรธของเขาที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟสงบลงได้ทันทีเหมือนกับมีน้ำมาดับไฟนั้น ดังนั้นหลังจากคิดไปคิดมาอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งเขาก็ลาออกจากงานของเขา เลิกทำงานเดิมของเขาและก็ไม่โต้คารมกับใครอีกเลย แล้วก็ออกเดินทางไปทั่วเพื่อค้นหาหญิงชราคนนั้น, ขอทานคนนั้น, พยายามจะค้นหาเพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่า มันเป็นอะไรกันแน่ที่เขาไม่เข้าใจนั้น
    แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบหญิงชราคนนั้นที่ในป่า เธออยู่คนเดียว แล้วเขาก็พยายามจะโต้คารมกับเธออีก เขาใช้ความรู้ความสามารถในการพูดอันเก่งกาจของเขาเพื่อจะเอาชนะเธอในการโต้คารมกันในป่านั้น แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างมากมายเพียงใด เธอก็ชนะเสมอ ขอทานที่แก่ชรา น่าเกลียด ยากจน ผอมแห้งแรงน้อยนั้นก็ยังชนะอยู่เสมอ (อาจารย์หัวเราะ) ดังนั้น ในที่สุดเธอก็บอกเขาว่า “สิ่งที่ฉันรู้ ปัญญาที่ฉันมี ที่ฉันเข้าใจนั้นไม่ได้อยู่ในตำราทั้งหลายเหล่านั้น คุณไม่มีทางหามันพบหรอก เพราะฉะนั้นคุณจึงไม่มีทางจะเถียงสู้ฉันได้”
    ดังนั้นในที่สุดเขาก็ยอมก้มกราบและยอมรับเธอเป็นอาจารย์ และก็ขอร้องให้เธอสอนเขา เธอก็ตกลง ดังนั้นสิ่งที่เธอบอกเขาท้ายที่สุดก็คือว่าสิ่งใดก็ตามที่คุณอยากจะรู้นั้นไม่ได้อยู่ในหนังสือต่างๆ หรอก และก็ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ด้วย เพราะฉะนั้นคุณต้องไปหาชาวสวรรค์ให้พบเพื่อที่จะไปเรียนกับพวกเขา เพราะฉะนั้นวิธีนั้นก็คือการประทับจิต เราขึ้นไปทางภายในของเรา แล้วเราจึงจะได้พบกับชาวสวรรค์นั้น เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ แล้วเราก็เรียนกับพวกเขา แม้ว่าฉันจะสอนพวกเธอแล้ว แม้ว่าอาจารย์ใดๆ ก็ตามที่สอนพวกเธอมันก็เป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น และอยู่กับเธอด้วยร่างกายเท่านั้น แต่ถ้าเธอยังอยากจะเรียนรู้ให้ดีกว่านี้ เธอก็ต้องไปเรียนรู้ข้างใน ในระดับชั้นของความมีจิตสำนึกที่สูงกว่านี้ และเรียนกับอาจารย์ภายใน, อาจารย์ที่เป็นพระเจ้าทั้งมวล, ไม่ใช่อาจารย์ที่เป็นกายเนื้อนี้ อาจารย์ที่เป็นกายเนื้อเป็นเพียงบันไดแค่นั้นเอง เป็นบันไดที่พาพวกเธอขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สูงขึ้นของจิตสำนึก แล้วเธอก็เรียนกับอาจารย์ที่สูงกว่าที่นั่น อาจจะกับอาจารย์ท่านเดิม หรืออาจารย์ท่านอื่น แต่ว่าเรียนในระดับของจิตสำนึกที่สูงขึ้น เข้าใจไหม?
    เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับที่หญิงชรานั้นบอกทิโลบาไป ฉันเข้าใจมันดี เพราะว่าเราอยู่ในวิถีเดียวกัน ถ้าเราไม่ได้กำลังศึกษาปัญญาภายในนี้อยู่ เราจะไม่เข้าใจหรอกว่า หญิงชราคนนั้นหมายความว่าอย่างไร ที่ให้ขึ้นไปยังดินแดนของชาวสวรรค์และไปเรียนกับพวกชาวสวรรค์นั้น หลังจากนั้น ทิโลบาก็สละทุกสิ่งทุกอย่าง และพยายามอย่างหนักที่จะเข้าไปยังแดนสวรรค์เพื่อพบกับชาวสวรรค์และก็เรียนกับเขา และหนทางที่ไปหาชาวสวรรค์นั้นก็เต็มไปด้วยเล่ห์กลที่ลวงล่อ และเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ว่าเขาก็ทำได้สำเร็จ
    คนนี้คือ ทิโลบา แม้จะเป็นผู้ที่มีความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ต้องไปก้มกราบหญิงชราขอทานผู้ชรา น่าเกลียดหิวโหยเพื่อจะได้ปัญญา เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องถ่อมตัวมากเกินไปสำหรับเรา ที่จะไปก้มคารวะผู้ใดที่มีปัญญา  ที่สามารถมอบวิถีทางให้แก่เราได้จริงๆ และบอกวิธีที่จะได้หลุดพ้น
    เพราะฉะนั้นอาจารย์ส่วนมากในสมัยโบราณจึงยากจนกันมาก พวกเธอจำบางเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ไหม? พระเยซูก็เป็นช่างไม้ ท่านไม่เคยร่ำรวยเลย และพระพุทธเจ้าก็มีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ว่าท่านสละมันไปหมด (อาจารย์หัวเราะ) ดังนั้นท่านก็ไม่มีอะไรเช่นกัน แล้วท่านก็เดินทางไปทั่วอินเดียและบิณฑบาตขออาหารไปตลอด เพราะฉะนั้นท่านก็เหมือนกับกลายเป็นขอทานเหมือนกัน ดังนั้นมหาอาจารย์ส่วนมากจึงไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร แม้หากว่าพวกเขาอยากจะมีทรัพย์สมบัติ ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน
    อาจารย์ซิกข์ท่านหนึ่ง เป็นอาจารย์ซิกข์คนที่ ๑๐ มีชื่อเสียงมาก เขายังคงมีทรัพย์สมบัติอยู่ ดูร่ำรวยมาก เขาสวมเพชรนิลจินดามากมายอย่างกับเจ้าชายองค์หนึ่งทีเดียว แล้วเขาก็ไม่เคยกระดากเรื่องนี้เลย เขามองดูเหมือนกับเจ้าชายองค์หนึ่ง แต่งตัวดีมากและก็ใส่เครื่องเพชรนิลจินดามากมายเสมอ แต่อาจารย์ซิกข์คนอื่นๆ ก็ยังเดินทางขอทานอาหารไปทั่วประเทศเช่นกัน เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะมาพูดว่า คนที่เป็นอาจารย์ควรจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้น หรืออย่างอื่น ไม่มีปัญหาหรอก
    พวกเธอเห็นท่านกวนอิมโพธิสัตว์ไหม ท่านมีเครื่องประดับประดาเยอะแยะเลย และผมของท่านก็ยาวสลวยมาก ท่านสวมเสื้อผ้าที่สวยงาม และพวกชาวสวรรค์ก็งดงามเช่นกัน เครื่องประดับต่างๆ ของพวกเขามีติดตัวพวกเขาอยู่เป็นธรรมชาติตามผลบุญกุศลของพวกเขา เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะมาพูดว่า คนที่เป็นอาจารย์ต้องยากจนเสมอ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอก แต่ว่าผู้ที่เป็นอาจารย์ส่วนมากจะเลือกที่จะมีชีวิตที่เรียบง่าย เนื่องจากพวกเขามีการตระหนักรู้อยู่ภายใน แต่ผู้เป็นอาจารย์จะประพฤติปฏิบัติสอดคล้องตามสถานการณ์นั้นเสมอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะว่าถ้าผู้เป็นอาจารย์ยึดติดอยู่กับความยากจนมาก หรือยึดติดกับชีวิตหรือเสื้อผ้าที่เรียบง่ายแต่เพียงอย่างเดียว นั่นก็เป็นการยึดติดแบบหนึ่งเช่นกัน พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม? ยังยึดอยู่กับสิ่งหนึ่งหรือสิ่งที่สุดโต่งที่สุดอย่างหนึ่งเสมอ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดีเหมือนกัน ผู้เป็นอาจารย์ต้องปล่อยวางไม่ยึดติดอยู่ภายใน แต่สำหรับภายนอกนั้นมันไม่สำคัญหรอก มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และพื้นฐานของท่าน หรืออะไรก็ตามที่ท่านต้องทำเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย...



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
11 พฤษภาคม 2558 00:41 น.

เรื่องของไก่ชน.....

คีตากะ

spd_20090312213143_b.jpg











ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ในฮุสตัน, เท็กซัส, สหรัฐอเมริกา
๑๒ พฤศจิกายน ๑๙๙๓ (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)



        เธอคงรู้จักไก่ชนใช่ไหม? มีกษัตริย์ของจีนองค์หนึ่ง ท่านชอบชนไก่มาก เธอคงรู้จักนะ เอาไก่สองตัวมาสู้กัน แล้วก็พนันกันนั่นแหละ ตอนนี้ก็ยังมีคนทำแบบนี้อยู่
เรื่องก็คือ กษัตริย์องค์นี้ชอบการชนไก่มาก ท่านมีนักเลี้ยงไก่ชนที่เก่งมากอยู่คนหนึ่ง จึงนำไก่ตัวหนึ่งมาให้เขาเลี้ยง เป็นไก่พันธุ์ที่ดีที่สุด ให้เขาจัดการดูแลเพื่อจะได้เป็นไก่ชนที่เก่งกาจ เป็นแชมป์ในคราวหน้า
นักเลี้ยงไก่ผู้นั้นก็ดูแลเลี้ยงไก่ตัวนั้น หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน 
       กษัตริย์ก็ตรัสถามว่า “ไก่ตัวนั้นพร้อมแล้วหรือยัง?”
       ผู้เลี้ยงก็ตอบว่า “ยังไม่พร้อม”        กษัตริย์ก็ถามว่า “ทำไม่ล่ะ?”        เขาก็ตอบว่า “มันยังไม่ถึงขั้นเลย”        กษัตริย์จึงถามว่า “มันเป็นอย่างไรหรือ?”        เขาก็ตอบว่า “เวลาที่มันเห็นไก่ตัวอื่นๆ อยู่แถวนั้น หรือบางทีเห็นไก่ตัวอื่นอยู่ไกลๆ ก็ตาม มันก็จะเริ่มตั้งท่า                    แสดงออกและรู้สึกตื่นเต้น กางปีกออก อ้ากรงเล็บออก อะไรทำนองนั้น มันยังแย่มาก”         กษัตริย์ก็ถามอีกว่า “เอาล่ะ ดูแลมันต่อไปและฝึกหัดมันต่อก็แล้วกัน” อีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมา กษัตริย์ก็ถาม          อีกว่า “มันพร้อมแล้วหรือยัง?”        เขาก็ตอบว่า “ยัง ยัง แต่ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยัง แต่ยังรู้สึกตื่นเต้นมากเวลาที่เห็นไก่ชนตัวอื่นๆ อยู่แถวนั้น เพราะ              ฉะนั้นก็ยังไม่ดีนัก” เขาก็เลี้ยงไก่ชนนั้นต่อไปอีก จนหลายเดือนผ่านไป กษัตริย์ก็รู้สึกเอือม และลืมเรื่องเกี่ยวกับไก่ที่ยังไม่ได้เรื่องได้ราวนี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ผู้เลี้ยงไก่ก็เข้ามารายงานต่อกษัตริย์ว่า “ตอนนี้ไก่พร้อมแล้ว” กษัตริย์จึงถามว่า “ทำไม? ทำไม? เธอรู้ได้อย่างไรว่ามันพร้อมแล้ว?”          เขาก็ตอบว่า “ตอนนี้ ถึงแม้ไก่ตัวอื่นๆ ทุกตัวมองเห็นมันตั้งแต่ไกลๆ โดยที่มันก็ไม่ได้ทำอะไร มันเพียงแต่เดินไปเดินมา ไก่ตัวอื่นๆ ก็วิ่งหนีถอยห่างกันหมด เพราะฉะนั้นนี่แหละคือตอนที่มันพร้อมแล้ว” ตอนนี้มันไม่ได้มีลักษณะเป็นไก่ชนแล้ว เพียงแต่เป็นตัวของตัวเอง ไก่ตัวอื่นๆ ก็กลัวกันหมด ใช่ ตอนนี้มันมีพลังทุกอย่างแล้ว           ดังนั้นเมื่อพลังทุกอย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์ มันจะไม่รั่วไหลออกมา เข้าใจไหม ไม่มีทางที่จะรั่วออกมาได้ เธอจึงไม่รู้ไม่เห็นมัน ดังนั้นในพระสูตรมากมายจึงมีกล่าวว่า “เวลาที่เธอรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ เธอจะดูเหมือนคนธรรมดามาก จิตใจที่ธรรมดาคือจิตใจที่รู้แจ้ง...” เขากล่าวกันไว้อย่างนั้น... chicken.jpg ฺBe Veg, Go Green 2 Save The Planet www.SupremeMasterTV.com
18 เมษายน 2554 08:16 น.

หญิงชราผู้ตระหนี่ถี่เหนียว.....

คีตากะ

2859291id6d6ybfvf.gifโดย อนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา ๕ มกราคม ๑๙๙๕
(เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)




      ที่ชายเขาแห่งหนึ่งใรประเทศอินเดีย, มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ หญิงคนนี้เป็นที่รักสันโดษ คนส่วนมากที่รักสันโดษ หมายความว่า พวกเขาต้องการจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พวกเขาต้องการอยู่ตามลำพังคนเดียวเพื่อจะได้คิดถึงพระเจ้าได้, นั่งสมาธิถึงพระเจ้าได้, จำพระเจ้าได้ เห็นพระเจ้าได้, ได้ยินพระเจ้า และสามารถคุยกับพระเจ้าได้ ฯลฯ นั่นคือการสันโดษที่แท้จริง
     แต่หญิงคนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น, เธอเป็นคนที่แย่ที่สุดในกระบวนการคนขี้เหนียวในประเทศนั้น หมายความว่าเธอขี้เหนียวมาก เธออยู่คนเดียวอย่างสันโดษ เพียงเพราะว่าเธอไม่ชอบแบ่งปันสิ่งของทรัพย์สมบัติของเธอหรืออาหารของเธอให้กับคนอื่น การกุศลเป็นอย่างไรเธอไม่รู้จัก เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการกุศล เธอไม่เคยแบ่งแม้แต่ข้าวเม็ดเดียวเพื่อไปให้ประชาชนชาวกัมพูชา (มีเสียงหัวเราะ) ตลอดชั่วชีวิตเธอที่ผ่านมา, เธอไม่เคยให้อะไรเลยแม้แต่ครั้งเดียวและแม้กระทั่งผ้าถูพื้น พอมันขาดวิ่นเธอก็จะซ่อมแซมมันเก็บไว้เผื่อจะใช้อีกและไม่เคยให้ใครไปเลย
     ทีนี้ก็มีพระเจ้าหรือเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีชื่อว่าพระวิษณุ, พวกเธอรู้จักวิษณุนะ, พระเจ้าของโลกที่สอง พระองค์คอยเฝ้าดูชีวิตและการกระทำของหญิงชราผู้มีชื่อเสียงคนนี้ด้วยความสนใจ พบว่าเธอกำลังจะต้องตายในไม่ช้า, หลังจากปีใหม่ (มีเสียงหัวเราะ) หลังจากที่เธอกินหม่านโถวก้อนแรกเข้าไป เธออาจจะสำลักติดคอตายก็ได้ ที่จริงแล้วมีคนแก่ชาวญี่ปุ่นหลายคนกินหม่านโถวแล้วติดคอ ตอนระหว่างช่วงเทศกาลปีใหม่ เช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องให้แน่ใจว่าพวกเธอจะไม่กินหม่านโถวมากเกินไป พวกขนมเข่งน่ะรู้ไหม? ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาสำลักขนมพวกนี้ได้อย่างไร แต่ก็มีคนเป็นอย่างนี้อยู่ บางทีหญิงคนนี้อาจจะกินขนมเข่งตอนปีใหม่ แล้วสำลักติดคอจะต้องตายไปในไม่ช้า
     และพระวิษณุก็เห็นว่าเธอเหลือเวลาอีกเพียง ๓ วันเท่านั้นสำหรับชีวิตของธอบนโลกนี้ (ดีจังเลย! คนอื่นจะได้มาร่วมกันใช้ทรัพย์สมบัติบางอย่างของเธอได้หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว) เทพเจ้าองค์นี้จึงเรียกมหาราชาภูษานทีมาหาและบอกเขาว่า “ภูษานทีที่รักของฉัน เธอจงไปฉกฉวยอะไรบางอย่างมาจากเธอสักหน่อยในวันนี้นะ เพราะว่าพรุ่งนี้เธอจะต้องตายแล้ว เวลาเธอตายไป, เธอจะได้มีบุญในบัญชีของเธอบ้างถ้าหากว่าเจ้าไปขโมยอะไรของเธอมาสักอย่าง อย่างน้อยที่สุดจะเป็นช็อกโกแล็ต หรืออะไรก็ได้ (มีเสียงหัวเราะ) หรืออาจจะเป็นข้าวโพดคั่วก็ได้ (มีเสียงหัวเราะ) ภูษานทีก็พยักหน้าโอเค, เป็นภาษาสมัยใหม่, โอเค
     แล้วเขาก็แปลงร่างเป็นกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้บ้านของคชานี, คชานีเป็นชื่อของหญิงชราตนนั้น เป็นเวลาที่เธอกำลังล้างถั่วเขียวประมาณสักหนึ่งกำมือ แช่น้ำเอาไว้สำหรับทำอาหาร ถึงตอนนี้ภูษานทีก็ตัดสินใจที่จะไปจิกขโมยมันมาให้เต็มปาก จึงกระโดดโผบินไปใกล้หม้อนั้นและก็จิกถั่วเขียวมาเต็มปากด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ “ชิ้ว! “ (มีเสียงหัวเราะ) แต่ว่าหญิงชราที่ว่องไวคนนี้ก็คว้าเขาเอาไว้ด้วยความเร็วซึ่งไวยิ่งกว่าเสียอีก คว้าจับคอของเขาไว้อย่างนี้แล้วก็บิด อี๋! (มีเสียงหัวเราะ) แล้วก็ให้คอมันบิดอยู่อย่างนั้น เพื่อเม็ดถั่วเขียวจะได้ไม่ลื่นเล็ดลอดลงไปในท้องของเขา (มีเสียงผู้ฟังที่สงสารร้อง “โอ๋!...) พระเจ้าช่วย! ในขณะเดียวกัน, อีกมือของเธอก็จับปากของนกนั่นให้อ้าออกแล้วก็บีบเอาเม็ดถั่วเขียวออกมาจากคอหอยของเจ้ากาที่กำลังดิ้นรนจนกระทั่งเม็ดสุดท้าย โอ!
     แบบนี้เธอสมควรจะได้รับรางวัลจากพวกเราจริงๆ (มีเสียงหัวเราะ), หญิงที่ขี้เหนียวที่สุดในประวัติศาสตร์ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ หรือไม่, คงต้องมี ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเป็นไปได้นะฮึ? คนบางคนก็ขี้เหนียวและก็โง่เง่า, โหดร้าย, เลือดเย็นมาก ภูษานทีต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชีวิตของเขา ขยอกดังอ๊อก, อ๊อก, อ๊อก (มีเสียงหัวเราะ) จนในที่สุดเขาก็ถูกปล่อยเป็นอิสระหลังจากที่เธอคิดว่าเม็ดถั่วเขียวทุกเม็ดถูกเขี่ยออกมาหมดแล้ว
     เขาก็บินกลับไปหาพระวิษณุ และก็หล่นลงมาแทบเท้า, เกือบจะตายอยู่แล้ว พระวิษณุก็ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เขาไปที่นั่นมาแล้ว ภูษานทีก็เล่ารายละเอียดทั้งหมด, เหนื่อยหอบแฮ่กๆ และพูดออกมาว่า “โอพระองค์, ฉันถูกบีบคอเกือบตายแล้ว ฉันปฏิบัติภาระกิจของฉันไม่สำเร็จ, ฉันเสียใจมาก แต่ว่าฉันไม่สามารถจะเอาอาหารมาจากหญิงชราที่ร้ายกาจคนนั้นได้สักเม็ดเดียว” พระวิษณุก็พูดว่า “โอ, ภูษานที, อย่าพูดอย่างนั้น มานี่ซิ, ให้ฉันตรวจดูในปากของเจ้าหน่อย (มีเสียงหัวเราะ) อ้าปากซิ, ให้ฉันดูหน่อย”
     ภูษานทีจึงอ้าปาก และพระวิษณุก็ใช้ตาปัญญาของพระองค์พร้อมด้วยแว่นขยายส่องดูในคอหอยของเขาและก็พบว่า “อา, มีอะไรอยู่ในนั้นน่ะ” (มีเสียงหัวเราะ) มันเป็นอะไรกันนะ, ให้ฉันดูหน่อยว่ามันคืออะไร, ดูหน่อยว่าอะไร, ต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ พระองค์เห็นเศษของเปลือก, ชั้นนอก, เปลือกของเม็ดถั่วเขียวติดอยู่ที่เพดานปากของเขา (มีเสียงหัวเราะ) ขอบคุณพระเจ้า อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เสียเวลาของเขาไปเปล่าๆ และก็ต่อสู้ดินรนโดยไม่ได้อะไรเลย และก็พูดว่า “ดูนี่ซิ, ภูษานที, มีเศษเปลือกถั่วเขียวติดอยู่ที่เพดานปากของเจ้านี่ไง ฉันพอใจแล้วล่ะ” พระวิษณุกล่าว (โอ! พระเจ้านี่พอใจอะไรได้ง่ายจัง)
     ดังนั้นในตอนนี้, หญิงชราคนนั้นก็ได้บุญนิดหน่อยแล้ว โอ, พระเจ้าอวยพรด้วย, ผู้ทรงความรักความเมตตากรุณา! แล้วพระวิษณุก็กล่าวว่า “ภูษานที, เมื่อหญิงคนนี้กลับไปเกิดยังโลกนี้อีกหลังจากการตายของเธอครั้งนั้น ก็ให้เธอได้กินเปลือกของเม็ดถั่วเขียวอันนั้นที่พบติดอยู่ที่เพดานปากของเจ้านี้ ฉะนั้นหญิงชราคนนั้นก็จะกินมันไปตลอดชั่วชีวิตของเธอ” หลังจากที่พูดอย่างนั้นแล้วพระองค์ก็อันตรธานหายไป ประโยชน์ของการทำบุญทำทานและการมีธรรมะนั้นยิ่งใหญ่และน่าพิศวงมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำโดยที่รู้ตัวก็ตาม ความรักและความเมตตาของพระเจ้านั้นมีล้นเหลือและไม่มีที่สิ้นสุด อย่างเช่น อานุภาพลึกลับนี้ซึ่งแม้แต่เป็นการทำบุญทำทานและการกระทำที่เป็นความกรุณาที่น้อยที่สุด บางทีเธออาจจะไม่ต้องการเอาเศษเปลือกถั่วเขียวนั่นออกมาก็ได้ เพราะเธอรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร พวกเธอก็รู้ว่ามันมีเหลือติดอยู่ไม่เยอะหรอก (มีเสียงหัวเราะ)
     พระเจ้านั่นเองที่มีความรักที่ยิ่งใหญ่ได้สร้างโอกาสต่างๆ สำหรับการไถ่บาปและการยกขึ้นหาพระเจ้าให้มนุษย์ที่มีบาป ในเมื่อหญิงชราผู้ซึ่งไม่ได้เคยทำบุญกุศลอะไรเลย ยังได้รับการดลบันดาลให้ได้รับอาหารที่ทำจากเปลือกถั่วเขียว เพื่อปากเพื่อท้องเธอในชีวิตหน้า แม้ว่าเธอจะเพียงแค่ทิ้งเศษเปลือกถั่วเขียวเหลือติดอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง แล้วถ้าพวกเราให้สิ่งของแก่คนอื่นๆ มากมายกว่านี้, เราจะได้รับกลับมามากมายเพียงไหน? นั่นก็คือบทสรุป, ฮึ, นั่นก็คือความหมายของเรื่องนี้...



Be Veg, Go Green 2 Save The Plane				
11 พฤษภาคม 2558 00:39 น.

เก้าอี้วิเศษ.....

คีตากะ

2035560rko362uy28.gif














โดย อนุตราจารย์ชิงไห่, ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา
๓๑ ธันวาคม ๑๙๙๔ (เดินเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ)




           นานมาแล้วมีชายแก่คนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ที่เชิงเขาและก็ยากจนมาก เขาไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ เลย นอกจากกระท่อมมุงจากซึ่งเป็นสมบัติสิ่งเดียวที่เขามี จริงๆ แล้ว คนคนนี้เป็นคนที่ขี้เกียจมาก ดังนั้นมันก็สมควรแล้ว! วันหนึ่งเขาได้ยินว่า ในที่แห่งหนึ่งมีโยคีที่มีอำนาจวิเศษมากคนหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติที่สามารถเนรมิตสิ่งใดที่เขาต้องการก็ได้ หลังจากที่ได้ยินดังนั้น ชายที่ขี้เกียจมากคนนี้ ซึ่งไม่ต้องการจะทำงานอะไร จึงอยากจะไปที่นั่นเพื่อขอให้โยคีคนนั้นใช้อำนาจเหนือธรรมชาติของเขาเนรมิตสิ่งต่างๆ ให้เขา เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป หลังจากที่คิดอย่างนี้แล้ว เขาก็เริ่มออกเดินทาง
          เขาเดินมาเป็นระยะทางที่ไกลมากไปยังถ้ำในภูเขาที่โยคีคนนั้นอาศัยอยู่ เมื่อเขาพบโยคี เขาก็กราบคารวะ โยคีนั้นก็ดีมากทีเดียว ต้อนรับเขาอย่างสุภาพและก็ถามเขาว่าต้องการอะไร ชายที่ขี้เกียจคนนั้นก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ที่เคารพรัก ฉันเป็นคนยากจนมาก นอกจากกระท่อมมุงจากหลังเล็กๆ หลังหนึ่งแล้ว ฉันไม่มีอะไรอีกเลย ตอนนี้ฉันก็แก่มากแล้ว ทำงานไม่ได้ ดังนั้นได้โปรดเถิดท่านอาจารย์ผู้เมตตา กรุณาช่วยฉันด้วย มอบทรัพย์สมบัติให้แก่ฉันบ้างเพื่อจะใช้ในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันทราบว่าท่านมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติมาก ท่านสามารถเนรมิตสิ่งใดๆ ก็ได้ในทันทีที่ต้องการ ฉันเชื่อว่าท่านจะสามารถช่วยเหลือฉันได้”
         โยคีคนนั้นก็หลับตาลง และก็นั่งเงียบโดยไม่พูดอะไรสักคำ บางทีอาจจะเพราะว่าท่านรู้สึกเหนื่อยที่ต้องฟังเรื่องเหล่านี้ ชายแก่คนนี้ก็ยังคงขอร้องเขาอยู่ตลอด หลังจากที่ขอร้องอยู่นาน โยคีคนนั้นก็ให้เก้าอี้ตัวหนึ่งแก่เขาไปโดยไม่เต็มใจนักพูดว่า “หลังจากที่เธอกลับไปบ้านแล้ว เวลาใดที่เธอคิดถึงสิ่งที่เธอต้องการ ก็จงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนี้ได้ แต่เธอต้องล้างมือ ล้างหน้า และอาบน้ำก่อนที่จะนั่งบนเก้าอี้นะ แล้วจึงคิดถึงสิ่งที่เธอปรารถนา ทำแบบนี้แล้วเธอจะได้มันมาแน่นอน”
        หลังจากที่ขอบคุณโยคีนั้นแล้ว ชายแก่คนนั้นก็รีบนำเก้าอี้นั้นกลับไปบ้านทันที! หลังจากไปถึงบ้านแล้ว เขาไม่ได้ชักช้าเสียเวลาแม้แต่นิด เขารีบไปล้างมือ ล้างหน้า อาบน้ำทันที แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ในเวลานั้นเขารู้สึกหิวมาก เขาจึงคิดถึงอาหาร แล้วก็มีอาหารปรากฏขึ้นมาทันที โอ! เป็นอาหารที่ดีมาก รสเลิศและมีมากมาย ดังนั้นเขาจึงกินเข้าไปจนอิ่มมาก  หลังจากกินเสร็จแล้ว เขาก็รู้สึกอ่อนเพลียและอยากจะได้เตียงสำหรับนอนพักผ่อน ในทันทีก็มีเตียงพร้อมฟูกที่นอนหนาปรากฏขึ้น เขาก็นอนลงไปเพื่อจะหลับให้สบาย แต่เขาก็ไม่สามารถจะได้พักผ่อนจริงๆ เพราะว่าในใจของเขากำลังคิดอยากได้สิ่งต่างๆ และเงินอยู่ตลอดเวลา เขาจึงกระโดดลุกขึ้นจากเตียงและไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ตอนนี้เขาเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนกระท่อมมุงจากของเขาให้กลายเป็นวัง ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ กระท่อมมุงจากนั้นก็หายไปทันที!
          วังของชายแก่คนนี้สวยงามมาก มีเพชรนิลจินดาอยู่ทั่วไปหมด ประตูทำด้วยทอง พื้นและเพดานทำด้วยทอง แม้แต่เสาทั้งหลายก็เป็นทองฝังเพชรพลอยที่มีค่ามาก ดังนั้นเขาจึงมีความสุขและรู้สึกสบายมาก เขายังคิดต่อไปอีกว่า “อา! วังใหญ่โตอย่างนี้ไม่ควรจะไม่มีคนรับใช้” เขาเพิ่งคิดเสร็จก็มีคนรับใช้หลายคนปรากฏขึ้นคอยรับคำสั่งจากเขา ต่อมาเขาก็คิดว่า “มีคนรับใช้ มีวัง โดยไม่มีเงินไม่ได้! ” เขาจึงคิดถึงเงิน ทอง และเงินตราธนบัตร ทันใดนั้นทุกอย่างก็ปรากฏขึ้น มันทำให้ชายแก่คนนี้มีความสุขมากจริงๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็กลับกังวลขึ้นมา เขาคิดว่า “อา! วังของฉันสวยงามมาก มีทรัพย์สมบัติมากมาย ถ้าเกิดมีแผ่นดินไหว แล้วจะทำยังไง? (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เขาเพิ่งคิดเสร็จ แผ่นดินไหวก็เกิดขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของเขาและวังนั้นก็ถูกทำลายยุบหายลงไปในดิน(รวมทั้งเก้าอีวิเศษ)
           เรื่องนี้บอกอะไรแก่พวกเรา? จิตใจของเราจะต้องสะอาดและบริสุทธิ์ก่อนตั้งแต่แรก มันยังดีไม่พอหรอกที่มีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ หรืออำนาจจากการปฏิบัติบำเพ็ญ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องทำกาย วาจา และความคิดของเราให้สะอาดก่อนที่จะมีพลังอำนาจนั้น ถ้าเรามีอำนาจแต่กาย วาจา และความคิดของเราไม่สะอาด ไม่รักษาศีลอย่างถูกต้อง เราก็สามารถทำสิ่งที่เลวได้ พลังอำนาจของเราจะสามารถทำอันตรายตัวเราเองได้ บางครั้งอำนาจนี้สามารถทำอันตรายคนอื่นได้ด้วย ดังนั้นตั้งแต่โบราณกาลมา อาจารย์ทั้งหลายก่อนที่จะรับลูกศิษย์ จะทดสอบลูกศิษย์อยู่เวลานาน จนกระทั่งกาย วาจา และใจของเขาสะอาดหมดจดก่อนที่จะให้พลังอำนาจแก่เขา
อาจารย์บอกพวกเธออยู่บ่อยๆ ว่าไม่ให้ฝึกอำนาจเหนือธรรมชาติ คนธรรมดาข้างนอกสามารถฝึกอำนาจเหนือธรรมชาติกันได้ง่ายๆ พวกเขาไม่ต้องถือศีลอะไรและไม่ต้องเป็นมังสวิรัติ เมื่อเรายังไม่สามารถควบคุมจิตใจของเราได้ ถ้าเราคิดถึงเรื่องเลวๆ มันก็จะเกิดขึ้นทันที เพราะว่าตอนนั้นเราจะได้ในสิ่งที่เราคิด พลังอำนาจในจักรวาลนี้มีมากมายมหาศาล แต่เราควรรู้วิธีที่จะใช้มัน มิฉะนั้นมันจะสามารถทำให้เกิดอันตรายมากมาย เป็นอันตรายต่อตัวเราเอง และเป็นอันตรายต่อโลกด้วย ภัยพิบัติบางอย่างที่เราเห็นในโลกนี้บางครั้งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นกรรมของผู้คนทั้งหลายนั้น แต่เนื่องมาจากคนบางคนที่ฝึกพลังเหนือธรรมชาติ พวกเขาฝึกไปในทิศทางที่เลวหรือเนื่องมาจากความคิดที่วุ่นวายสับสนของพวกเขา จึงทำให้โลกสับสนวุ่นวายไปด้วย เราสามารถกล่าวได้ว่าคนเหล่านี้ก่อเรื่องวุ่นวาย หรือมีพลังอำนาจทางลบเข้าสิง มีคนแบบนี้จริงๆ
       ดังนั้นเวลาเราบำเพ็ญเราต้องคิดถึงพระเจ้าทุกๆ วัน คิดถึงชื่อที่มีพลังบรรจุอยู่เต็มเปี่ยมของพุทธะทั้งหลายเพื่อที่จะป้องกันตัสเราเอง บางครั้งมันไม่ได้เป็นกรรมของเราเองทั้งหมดที่ทำให้เกิดอุปสรรคกีดขวาง แต่บางครั้งมันเป็นเพราะพลังมายา พลังทางลบที่อยู่รอบๆ ตัวเราที่มีผลกระทบกระเทือนต่อเรา ดังนั้นเราต้องจำเป้าหมายของเราไว้เสมอ จำพลังอำนาจที่สูงสุดและท่องคำพระห้าคำไว้เพื่อปกป้องตัวเราเอง การคิดให้มากๆ ถึงพระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ จะทำให้จิตใจของเราสะอาด แล้วเราก็จะไม่ปรารถนาต้องการสิ่งใดๆ สำหรับพวกเราแล้วในตอนนั้นพลังอำนาจเหนือธรรมชาติจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะว่าเราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และจะไม่มีอะไรที่เราไม่สามารถจะมีได้
ถึงตอนนั้นเราจะรู้สึกพึงพอใจมากอยู่ข้างใน และเราก็จะรู้ว่าหลังจากที่เราได้จากโลกที่เป็นมายาลวงตานี้ไปแล้ว เราก็จะกลับไปสู่บ้านเกิดของเราที่ซึ่งเรามีทุกสิ่งทุกอย่าง เปรียบเทียบกับสถานที่นั้นแล้ว โลกนี้ก็เป็นเพียงขยะเท่านั้น ที่นี่ไม่มีอะไรจะเสนอสนองแก่เราได้ หลังจากที่วิญญาณของเราได้กลับไปดูยังบ้านเกิดของเราหลายครั้งแล้ว จิตใจของเราก็จะเข้าใจและจะมั่นคงมาก ตอนนั้นเราจะไม่ต้องการอะไรเลย หรือหากเราต้องการเราก็จะต้องการเฉพาะสิ่งที่ดีสำหรับคนอื่น หัวใจของเราจะมีเมตตากรุณามาก คิดถึงแต่สิ่งที่เป็นบวกอยู่เสมอ เมื่อคิดถึงแต่สิ่งที่เป็นบวกแล้ว สิ่งที่เป็นบวกนั้นก็จะเกิดขึ้น....



Be Veg, Go Green 2 Save The Plane				
11 พฤษภาคม 2558 00:47 น.

ขโมยกลายเป็นผู้บำเพ็ญ....

คีตากะ

1188134371.jpg











ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, ฟอร์โมซา
๑๙ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๕ (เดิมเป็นภาษาจีน)



          ครั้งหนึ่ง ขณะที่ขโมยคนหนึ่งกำลังพยายามจะขโมยของในพระราชวัง เขาก็แอบได้ยินการสนทนากันระหว่างขันทีสองคนว่า “พระราชาของเราอยากจะให้เจ้าหญิงแต่งงานกับนักบวชที่กำลังบำเพ็ญอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เรื่องนี้เธอคิดว่าอย่างไร?”
         ขันทีอีกคนก็พูดว่า “ก็ดีนี่! ดีแล้ว! เจ้าหญิงเป็นบุคคลที่มีค่ามากที่สุดในประเทศนี้ และพวกนักบวชที่กำลังบำเพ็ญอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาก็เป็นบุคคลที่หาได้ยาก, มีคุณธรรม และประเสริฐสูงส่งในโลกนี้เช่นกัน ฉันก็ย่อมจะยินดีและเห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นธรรมดา!” พอได้ยินคำพูดเหล่านี้เข้า ขโมยคนนั้นก็เลิกล้มความคิดที่จะลักขโมย แล้วก็แอบหลบกลับไปเป็นนักบวชแทน (มีเสียงหัวเราะ)
เขารีบโกนผมแล้วก็ใส่ชุดนักบวชแล้วก็ไปนั่งสมาธิปะปนกับนักบวชเหล่านั้น หวังใจว่าเจ้าหญิงจะกลายมาเป็นภรรยาของตน
          หลายวันต่อมา พระราชาก็ส่งขันทีไปยังชายฝั่งแม่น้ำคงคาจริงๆ เพื่อถามนักบวชเหล่านั้นว่าอยากแต่งงานกับเจ้าหญิงหรือไม่ โดยถามไปทีละคน พอได้รับคำตอบปฏิเสธก็ถามคนต่อไปเรื่อยๆ 
พวกนักบวชเป็นผู้บำเพ็ญที่ดี และไม่สนใจอะไรในตัวเจ้าหญิง ดังนั้นทุกคนจึงปฏิเสธกันหมด มีขโมยคนนั้นคนเดียวที่ยังไม่ได้ถูกถาม กำลังนั่งใจเต้นตุ้บๆ แทบจะบ้าอยู่แล้ว ในใจเขาส่งเสียงร้องโหวกเหวกอยู่ว่า ฉันอยู่ที่นี่! มาถามฉันเร็วๆ เข้าซี (มีเสียงหัวเราะ) ในที่สุดขันทีก็เข้าไปถามเขา พอขันทีคนนั้นถามเขา เขาก็นั่งเงียบเฉยอยู่ (มีเสียงหัวเราะ) ไม่พูดอะไรเลยสักคำ คนอื่นๆ ทุกคนบอกว่าเขาไม่ต้องการจะแต่งงานกับเจ้าหญิง แต่เขาไม่พูดอะไรเลย มันก็แตกต่างกันมากอยู่แล้ว
          ขันทีก็ดีใจมากไปรายงานให้พระราชาทราบว่า “มีนักบวชที่บำเพ็ญอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาคนหนึ่งดูเหมือนกับคิดว่าจะแต่งงานกับเจ้าหญิงเหมือนกัน คือเราถามเขาแล้วเขาไม่ได้ปฏิเสธ ซึ่งก็หมายความว่าเขายินยอมถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้ตัดสินใจพูดออกมาว่ายินยอมด้วยจริงๆ เท่านั้นเอง ในระหว่างนักบวชทั้งหมดที่เราถามดูแล้ว มีเขาคนเดียวที่ไม่ได้ตอบปฏิเสธ”
         ด้วยความยินดีกับข่าวดีนี้มาก พระราชาก็คิดว่าพระองค์ควรจะไปด้วยตัวเองและก็เอาของขวัญบรรณาการไปให้เยอะๆ แล้วนักบวชนั้นก็จะยอมแต่งงานกับเจ้าหญิงแน่นอน
        พระราชาจึงพาแม่ทัพนายกองและเสนาบดีทั้งหมดของพระองค์รวมทั้งขันทีด้วย เดินทางไปยังแม่น้ำคงคาที่ขโมยกำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วพระองค์ก็ขอร้อง “นักบวช” นั้นด้วยความเคารพยกย่องมากให้แต่งงานกับเจ้าหญิง เนื่องจากพระราชาก็บำเพ็ญปฏิบัติเช่นเดียวกัน ดังนั้นพระราชาจึงไม่อยากให้เจ้าหญิงแต่งงานกับคนธรรมดาทั่วไป พระราชาอยากให้พระธิดา แต่งงานกับผู้บำเพ็ญมากกว่า เพื่อที่เธอจะได้บำเพ็ญไปด้วยพร้อมกับสามีที่ดี, ครูที่ดี พระราชาจะพอใจมากที่ได้ลูกเขยที่สามารถสอนวิธีทำสมาธิและวิธีเป็นคนที่มีคุณธรรมแก่เจ้าหญิงได้ ดังนั้นพอได้ยินว่ามีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งที่กำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาจะยอมแต่งงานกับเจ้าหญิงพระองค์จึงดีใจมาก ก้มกราบแสดงความเคารพเขาอย่างยกย่องมาก และขอให้เขาแต่งงานกับพระธิดา
        ขโมยคนนั้นรู้สึกพึงพอใจมากแต่แล้วเขาก็คิดขึ้นมาว่า ฉันเพิ่งจะโกนผมแล้วก็แต่งตัวชุดนักบวชปลอมตัวเป็นนักบวชผู้บำเพ็ญมาไม่นานเอง แต่พระราชากับเสนาบดีของพระองค์ทุกคนยังปฏิบัติต่อฉันอย่างเคารพนับถือมากขนาดนี้ แล้วก็เสนอทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายให้แก่ฉันด้วย ฉันนึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นไปได้ขนาดไหนถ้าฉันจะกลายเป็นนักบวชจริงๆ เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งจริงๆ! ”
         หลังจากนั่งคิดพิจารณาดูแล้ว เขาก็ไม่อยากจะแต่งงานกับเจ้าหญิงอีกต่อไป! (มีเสียงหัวเราะ) เขากลับเริ่มต้นบำเพ็ญอย่างเอาจริงเอาจังแทน ตอนแรกเป็นการแกล้งทำ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นนักบวชจริงๆ คนหนึ่งไปแล้วเพราะเขาได้รู้ได้เข้าใจถึงประโยชน์ของการบำเพ็ญแล้ว นับแต่นั้นมา ขโมยคนนั้นก็นั่งสมาธิและบำเพ็ญอย่างจริงใจมาก จนในที่สุดเขาก็ได้รู้แจ้งและกลายเป็นพุทธะ เป็นผู้บำเพ็ญที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง...



ฺBe Veg, Go Green 2 Save The Plane				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ