ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีแอตเทิล, วอชิงตัน, สหรัฐอเมริกา ๘ เมษายน ๒๕๓๖ (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) นี้คือหนังสือของจวงจื้อเล่มที่ ๓ ความลับของการเจริญเติบโต “ชีวิตมีขีดจำกัด แต่ความรู้ไร้ขีดจำกัด สิ่งที่จำกัดแสวงหาสิ่งที่ไพศาลจึงไร้ผล” ชีวิตมีขีดจำกัด แต่ความรู้ไร้ขอบเขตจำกัด มันเป็รเพราะว่าชีวิตของเราเป็นสิ่งไม่ยืนยาว และถ้าเราใช้ช่วงชีวิตของเราทั้งหมดในการพยายามเรียนรู้สิ่งนี้และสิ่งนั้นในเวลาของโลกเรา นั่นหมายความว่า เรากำลังทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเชี่ยวชาญในสาขาแพทย์ เราก็ไม่จำเป็นจะต้องเชี่ยวชาญในสาขาวิศกรรมไฟฟ้า และถ้าหากเราพยายามเรียนรู้สิ่งแล้วสิ่งเล่า เราจะเรียนไม่เคยจบในโลกนี้จริงๆ ยิ่งมากไปกว่านั้น ถ้าเราอยากใช้ชีวิตของเราแสวงหาปัญญา ซึ่งกว้างใหญ่กว่าความรู้ของโลกนี้ด้วยซ้ำ การกลายเป็นพุทธะมิได้วัดด้วยระดับความรู้ในไบเบิล คัมภีร์หรืออะไรก็ตามที่เครื่องมือทางโลกสามารถให้ได้ แต่เพียงค้นหาแหล่งความรู้อันกว้างใหญ่ของเธอกลับมาซึ่งมีอยู่แล้วภายในเรา แล้วเราจะรู้ และเราจะรู้ความรู้ของโลกด้วย ดังนั้น ตามที่เธอเห็นจากตัวอย่างของเธอเอง เธอไม่ทราบสิ่งมากมายมาก่อน หรือเธอไม่สามารถทำสิ่งนี้และสิ่งนั้น แต่หลังจากประทับจิต หลังจากฝึกระยะหนึ่ง เธอค้นพบตัวเองว่า เธอทราบเรื่องราวต่างๆ มากมาย ใช่ไหม? (ใช่) เธอมีประสบการณ์ และฉันก็มีประสบการณ์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อฉันแต่งเพลง เล่นเปียโน หรืออะไรแบบนั้น คนคิดว่าฉันได้เรียนมาหรือแม้แต่การออกแบบเสื้อผ้า ฉันไม่ได้เรียนในโรงเรียนใดๆ ความรู้นี้ แม้แต่ความรู้ทางโลก มีอยู่แล้วภายในเรา และถ้าเราเปิดประตูทั้งหมดแล้ว ทุกสิ่งจะอยู่ที่นั่นในแสงตะวัน ฉันไม่เคยไปโรงเรียนการแพทย์ แต่เมื่อเธอกำลังผ่าตัดหรือเมื่อเธอมีความทุกข์กับโรคภัยไข้เจ็บหรือบางสิ่ง พวกเธอมากมายเห็นอาจารย์มาช่วยเธอ และเธอหายดีอย่างรวดเร็ว ดีกว่าด้วยการรักษาทางแพทย์ธรรมดา นั่นเป็นเพราะภายในฉันมีความรู้ของความลับทางการแพทย์ พวกเรามากมายได้อยู่ที่นี่เป็นพันๆ แสนๆ ล้านปี และเราได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งได้รวบรวมภายในความทรงจำของเรา และเมื่อเราเปิดที่เก็บปัญญาทั้งหมด ทุกสิ่งก็อยู่ที่นั่น เราได้เรียนรู้ทุกสิ่งแล้ว! ไม่จำเป็นต้องเรียนมันใหม่อีก ทันทีที่เราได้เรียนรู้ทุกสิ่ง เราจะมีคุณวุฒิที่จะไปสู่การพัฒนาที่สูงขึ้นซึ่งคือสภาวะนักบุญ ซึ่งคือพุทธภาวะ แต่ที่จริงทุกสิ่งในจักรวาลถูกพิมพ์ภายในเมล็ดแห่งปัญญาแล้วก่อนที่จักรวาลทั้งหมดจะมีอยู่ด้วยซ้ำ ดังนั้น ทุกสิ่งที่เราพยายามเรียนรู้ในมุมหนึ่งจึงเป็นเพียงการสิ้นเปลืองเวลา ด้วยเหตุนี้คนจึงเรียกนักบุญว่าเจ้าแห่งหมอยาทั้งหมด เจ้าแห่งสิ่งนี้สิ่งนั้นทั้งหมด เพราะนักบุญทราบมากมายหลายสิ่ง พุทธะไม่เคยฝึกทักษะอภินิหาร แต่ท่านมีพลังอภินิหาร! พุทธะมิได้ฝึกความรู้ทางการแพทย์ แต่ท่านสามารถรักษาคนได้ เช่นเดียวกันกับโรงเรียนของเรา เธอไว้ใจฉันเสมอกับอภินิหารมากมายในการรักษาโรค รู้ความคิดของเธอ ช่วยเธอเมื่อเธอมีความทุกข์ แต่สิ่งนี้มิใช่เรื่องสำคัญ ทุกสิ่งอยู่ภายในแหล่งปัญญา และถ้าเธอพยายามจำสิ่งนั้นทุกวันในการนั่งสมาธิของเธอ เธอจะฟื้นฟูความรู้ทุกสาขาภายใต้จิตสำนึก ซึ่งให้ปัญญาพิเศษเกี่ยวกับทุกสิ่ง แล้วเธอจะคิดว่า “เป็นไปได้อย่างไร? ฉันมิได้เรียนรู้สิ่งนี้ทั้งหมด ฉันรู้ได้อย่างไร?” ถ้าบังเอิญว่า ฉันมาติดต่อกับสถานการณ์ที่พิเศษ ซึ่งต้องการความรู้ที่ยากและเชี่ยวชาญ ทันใดนั้นเธอก็พบว่า เธอสามารถทำมันได้หรือถ้าเธอทำไม่ได้ เธอก็เพียงแต่ขอท่านอาจารย์ชิงไห่ทำอะไรก็ตามที่เธอต้องการให้สำเร็จ! พลังอยู่ภายในตัวเธออยู่แล้วขณะฝึก แน่นอน ถ้าเธอยังไม่เชี่ยวชาญในการใช้ปัญญาของเธอ แล้วเธอก็อธิษฐานให้อาจารย์ภายในช่วยเธอ ครูก็มีไว้เพื่อสิ่งนั้นเอง แต่ต่อมา เธอทำทุกสิ่งด้วยตัวเธอเอง มันเพียงแต่เหมือนเธอกำลังเรียนในฐานะผู้ฝึกงานกับช่างไม้ เป็นต้น และบางครั้งเธอพบความลำบากบางอย่างในบางมุม เธอยังคงไม่รู้ว่าจะทำอะไร ดังนั้นเธอจึงเรียกครูของเธอมา และแน่นอน ท่านจะช่วยเธอทันที แต่ต่อมาเธอจะรู้วิธีทำมันด้วยตัวเธอเอง ถ้าเราต้องการเรียนตลอดเวลาเกี่ยวกับทุกสิ่งในโลก เราไม่มีเวลา ดังนั้นมันจึงดีที่สุดที่จะเปิดขุมปัญญาของเรา และแล้วทุกสิ่งก็จะอยู่ที่นั่น ถ้าเธอต้องการภาคภูมิใจตัวเธอเอง ความยิ่งใหญ่ของเธอ แล้วเธอก็ควรจะภูมิใจอย่างถูกต้อง ถ้าเธอต้องการคิดว่า เธอยิ่งใหญ่มาก แล้วคิดอย่างถูกต้อง รู้ว่าเธอยิ่งใหญ่จริงๆ ก่อนอื่นจงรู้แจ้ง และแล้วยิ่งอยู่ในระหว่างเวลาที่เธอกำลังเพ่งเสียงในสมาธิ ความคิดมา ความรู้และคำตอบมากมายหลั่งไหลออกมา นั่นคือการศึกษาสายตรง ไม่จำเป็นต้องให้ครูอยู่รอบๆ เพราะเราติดต่อภายใน นั่นคือเมื่อเธอรู้จริงๆ ว่า เรามีคำสอน “บางอย่าง” บทเรียนหรือการแสดงธรรมทางคำพูดทั้งหมดที่ฉันให้เธอเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยมากของมัน ๓๐% ของคำสอนของฉัน และ ๗๐% เธอเรียนด้วยความเงียบ ด้วยการนั่งาสมาธิ ด้วยการนอนของเธอ ขณะเธอนอน เธอจะถูกยกขึ้นไปสู่โรงเรียนที่สูงกว่า และไปศึกษาที่นั่น ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เธอนั่งสมาธิและเธอไม่เห็นอะไรมาก ปัญญาของเธอยังคงเพิ่ม ๑๐ เท่า ๒๐ เท่า ๑๐๐ เท่า ความรักเมตตาของเธอ ระดับของเธอในทุกด้านเพิ่มขึ้น มันเป็นเพราะคำสอนในความเงียบ ไม่มีอาจารย์ท่านใดเคยใช้คำพูดเพื่อทำให้ศิษย์รู้แจ้ง ถึงแม้ท่านอาจจะดูเหมือนพูดหรือสอนศิษย์โดยแสดงออกทางคำพูด นั่นมิใช่ทั้งหมด และทันทีที่เราถูกติดต่อภายใน เรามีคำสอนโดยตรงเสมอ ด้วยเหตุนี้เธอจึงฉลาดขึ้น เธอกลายเป็นพหูสูตในทุกสิ่งมากขึ้น และเมื่อใดก็ตามที่สถานการณ์มากถึง เธอจะรู้ว่าจะทำอะไร แม้ว่าแต่ก่อนเธอจะมิได้มีปฏิกิริยารวดเร็วเช่นนั้น บัดนี้เธอมีความสามารถ มันเป็นเพราะเธอเรียนกับอาจารย์ทุกวัน อดีต ปัจจุบัน และอนาคตก็เช่นเดียวกัน ระหว่างการนั่งสมาธิของเธอ ระหว่างการนอนของเธอ และ/หรือกิจวัตรประจำวันของเธอ เธอได้พระพรตลอด ๒๔ ชั่วโมง นั่นคือความแตกต่างระหว่างผู้ที่รู้แจ้งและผู้ที่ไม่รู้แจ้ง ระหว่างผู้ที่ประทับจิตและผู้ที่ไม่ประทับจิต บางครั้งตัวฉันเองก็ลืมความแตกต่างด้วย แต่ฉันมีโอกาสที่จะรู้จริงๆ และเธอมีโอกาสเสมอที่จะรู้ เพราะว่าเธอมีโอกาสมากขึ้นที่จะคบหากับคนทางโลกผู้ซึ่งมีความรู้สูงในสาขาของพวกเขา ผู้ซึ่งฉลาดมาก ผู้ซึ่งมีความสามารถมากมายหลายสิ่ง และผู้ซึ่งมีตำแหน่งสูงในสังคม เมื่อเธอติดต่อกับพวกเขา เธอรู้ถึงความแตกต่าง คนคนนั้นอาจจะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ในพระสูตรจึงกล่าวว่า ต้องให้พุทธะเข้าใจพุทธะ ขณะเธอยังไม่เข้าใจตำแหน่งนักบุญของเธอเต็มที่ อย่างน้อยที่สุดเธอก็รู้ว่าเธออยู่บนหนทางความเป็นนักบุญ และเมื่อเปรียบกับผู้ที่ยังอยู่ต่ำกว่า ณ ที่นั้นหรือภายนอก เธอรู้ว่าเธอได้รับโดยการนั่งสมาธิในการบำเพ็ญของเธอเท่าไรในวิถีกวนอิม มิฉะนั้นจะไม่มีความรู้ การพูด หรือการบรรยายจำนวนใดจะทำให้คนมีคุณสมบัติเป็นนักบุญหรือรู้แจ้ง มันเป็นโลกต่างหากจริงๆ! ยกตัวอย่างเช่น เราเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ และบางโอกาสเราเล่นกับเด็กๆ และด้วยของเล่นของพวกเขา เราแกล้งสนุกสนานมากทำนองนั้น และเราอาจจะสนุกสนานจริงๆ ด้วย เราเล่นกับพวกเขา และพวกเขามีความสุข ดังนั้นเราจึงมีความสุขด้วย เราอาจจะจำวัยเด็กของเราได้ และเรามีความสุขพักหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ใหญ่คนใดที่จะตกอยู่ในภวังค์ด้วยของเล่นของเด็กๆ เหมือนเมื่อเธอเป็นเด็ก เช่นเดียวกัน ผู้รู้แจ้งด้วยวิถีกวนอิมอาจจะดูเหมือนคนธรรมดาด้วยอารมณ์ของพวกเขาทั้งหมด บางครั้งความโกรธของพวกเขา และความล้มเหลวของพวกเขา แต่ในอีกทางหนึ่ง พวกเขาไม่เคยจมเข้าไปในระดับนั้น หรือเป็นเวลานาน พวกเขาอาจจะรู้จักมัน แต่พวกเขาไม่จม พวกเขาทำมัน แต่พวกเขาจะไม่ตกอยู่ในภวังค์นั้นด้วย เหมือนเราเล่นกับเด็กๆ แต่เราไม่เคยติดยึดกับของเล่นมากเหมือนที่เด็กๆ เป็น เพราะเราโตแล้ว ในทำนองเดียวกัน ผู้รู้แจ้งในกลุ่มของเราดูเหมือนคนธรรมดา แต่พวกเขาไม่ธรรมดา เธอรู้สิ่งนั้นดีมากใช่หรือไม่? (ใช่) ฉันดีใจที่เธอรู้ บางครั้งเธอต้องเตือนฉัน เพราะฉันไม่รู้ ฉันดูทุกคนเป็นนักบุญ แล้วบางครั้งฉันก็ค้นพบสิ่งนั้น “โอ ใช่ พวกเขาเป็นนักบุญ แต่พวกเขาเป็นนักบุญที่อวิชชา” เหมือนเด็กๆ ที่บางครั้งที่เติบโตสูงใหญ่มาก เด็กๆ บางคนใหญ่กว่าฉัน อ้วนกว่าและสูงกว่า และมองจากไกลๆ หรือจากรูปโฉมภายนอก เราคิดว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ จนกระทั่งเราพูดกับเขา “โอ เขาอายุเพียงแค่ ๑๐ ขวบเท่านั้น!” บางครั้งชาวโลกดูเหมือนฉลาดมาก แต่นั่นมิใช่การรู้แจ้ง ไม่ลึกซึ้ง เธอพูดด้วยเล็กน้อย และแล้วเธอก็ค้นพบความแตกต่าง ดังนั้น ถ้าเธอมีความสงสัยเกี่ยวกับการรู้แจ้งของเธอและเกี่ยวกับระดับความเข้าใจของเธอ เธอก็ลองไปพูดกับผู้คนภายนอก อย่าอธิษฐานตลอดเวลาว่าเธอจะขอพบแต่ผู้ที่เหมือนกับนักบุญ มันไม่เป็นไรที่จะพบคนที่ “ไม่เหมือนนักบุญ” มันดีสำหรับเธอ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าเธอได้ก้าวหน้าไปเท่าไร สีขาวจะเด่นมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสีดำ ถ้าทั้งโลกเป็นสีขาว จะไม่มีผู้ใดเคยคิดว่ามันเป็นสีขาว เพราะมันถูกถือว่าเรื่องนั้นมันเป็นของธรรมดาที่จะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อมันถูกเชื่อมผนึกกับสีดำ เราจะรู้ว่ามันเป็นสีขาว เช่นเดียวกัน ถ้าเรามิได้ติดต่อกับผู้อื่นบางครั้ง เราจะไม่เคยรู้แน่นอน ดังนั้นมันจึงดีสำหรับเราด้วยที่จะอยู่กับคนจำนวนมาก มันไม่เป็นไร จงยอมรับสถานการณ์อะไรก็ตาม แล้วเธอก็เรียนรู้จากมัน มิฉะนั้นเธอจะรู้ได้อย่างไร? เธอได้ลืมว่ามันเป็นประโยชน์ในวงจรความเป็นนักบุญอย่างไร มันแตกต่างเพียงเส้นผมเดียวเท่านั้น ประตูถัดไปนั้นสว่างไสวมาก แต่ทันทีที่เธอก้าวเข้าไป เราจะเปลี่ยนแปลงตลอดไป ไม่ว่าเธอยืนที่ประตูหรือเธอเคลื่อนต่อไปในมิติที่สูงกว่า ก็จะแตกต่างอย่างสมบูรณ์! แน่นอน เรายิ่งเดินหน้าต่อไป เรายิ่งค้นพบมากขึ้น และนั่นทำให้ชีวิตของเราแตกต่าง!.... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai ที่สมาธิกลุ่มในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ๑๓ มีนาคม ๑๙๙๓ (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) ตอนที่หนึ่ง มีชายคนหนึ่งชื่อว่า ฉันคิดว่า กฤษณะ เขามีลูกศิษย์มากมาย โดยเฉพาะลูกศิษย์ผู้หญิง เขางดงามมากจริงๆ และดำขำ—ดำและงดงาม ใบหน้าของเขามีสีผิวค่อนข้างเข้ม ดังนั้นผู้คนจคงเรียกเขาว่า คนดำผู้งดงาม และใครก็ตามเพียงได้เห็นเขาสักครั้งเดียว ก็ทำให้ตกหลุมรักเขา—ผู้ชาย ผู้หญิงก็เหมือนกัน แต่อย่าคิดว่านั่นเป็นการติดอกติดใจทางกายเนื้อนะ นั่นเป็นความรักทางวิญญาณต่างหาก ทุกคนที่เห็นเขาต่างก็หลงรักเขา ดังนั้นเขาจึงมีลูกศิษย์มากมายและลูกศิษย์ผู้ชายก็มีมาก แน่นอน ผู้หญิงอื่นๆ พวกเขาก็ไม่ลืมความอิจฉาริษยาของพวกเขาเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาได้ติดตามอาจารย์ท่านใดก็ตามที พวกเขาก็เก็บความอิจฉาริษยาของตนไว้ในกระเป๋าเสื้อ ดังนั้นบางครั้งพวกเขาก็แข่งขันชิงดีชิงเด่นกันเองเพื่อเรียกความสนใจพิเศษจากเขา แต่ท่ามกลางบรรดาลูกศิษย์ผู้หญิงทั้งหลายเหล่านี้ เขารักผู้หญิงคนหนึ่งเป็นพิเศษซึ่งมีชื่อว่าราดา แน่นอนเธอสวยมากแต่นอกเหนือไปจากนั้น เธอยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบางทีคนอื่นๆ ไม่มี ไม่แต่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ฉันหมายถึงรวมทั้งผู้ชายด้วยเช่นกัน บางทีเธอมีความรักมาก สนอกสนใจและรู้จิตใจเขาก่อนที่เขาจะต้องเอ่ยปากพูดเสียอีก ดังนั้นเขาจึงรักเธอมาก และเธอก็ดูแลเอาใจใส่เขาในทุกๆ ทาง และเธอก็รักเขามากเช่นกัน ทุกคนต่างก็รักเขา นั่นเป็นเรื่องแน่นอน แต่คนทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่พิเศษ ใช่แล้ว รักกันมากและมีความรักซึ่งกันและกันมากมาย บางทีพวกเขาทั้งคู่ประเสริฐมากและรู้ใจกันและกัน ดังนั้นขณะนี้บรรดาผู้หญิงทั้งหลาย นอกจากการรู้แจ้งในทันทีของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็มีความอิจฉาเล็กๆ น้อยๆ ในซอกมุมกระเป๋าเสื้อของพวกเขา ตอนนี้พวกเขากำลังคิดว่า “มีอะไรกันนักหนาเชียวหรือเกี่ยวกับราดา เธออาจจะสวย แต่ฉันก็สวยเหมือนกัน อาจารย์รักฉันที่สุด” ทุกคนคิดว่าอาจารย์รักตนมากที่สุด..... แต่แล้วเมื่อพวกเขาเห็นกฤษณะมักจะแสดงความสนใจพิเศษเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าต่อราดา ผู้หญิงที่ติดตามรับใช้ ความริษยาที่พวกเขากำลังหลบซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื่อของตน ก็เด้งผุดขึ้นมาในขณะนี้และอีกครั้ง แล้วพวกเขาก็รู้สึก “เธอมีอะไรนักหนางั้นหรือ? อะไรที่เธอสามารถทำได้ ฉันก็ทำได้เช่นกัน” แต่บางครั้งพวกเขาไม่สามารถทำได้หรอกเพราะว่าแต่ละคนก็มีบุญสัมพันธ์กับอาจารย์ที่แตกต่างกันไปและบางทีแต่ละคนก็มีบุคลิกและความสามารถที่แตกต่างกันด้วย เธอก็รู้อาจารย์ใช้ผู้คนต่างๆ กันในวิถีทางที่แตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเราดีกว่าคนอื่นหรือคนอื่นดีกว่าพวกเรา แต่ทุกคนไม่สามารถดูแลอาจารย์ได้ อาจารย์คงอึดอัดหายใจไม่ออกจนตาย ดังนั้นจึงมีเพียงคนเดียวที่ดูแลเขาและคนอื่นๆ ก็ริษยา อยู่มาวันหนึ่งกฤษณะไม่สามารถทนกับบรรยากาศเช่นนี้ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะแสดงอะไรบางอย่าง เขาเรียกบรรดาศิษย์ผู้หญิงผู้ติดตามทั้งหลาย ก็เหมือนแบบนี้ที่พวกเรากำลังชุมนุมกันอยู่ที่นี่ แล้วเขาก็แกล้งปวดศีรษะอย่างรุนแรง แล้วเขาก็พูดว่า “โอย หัวของฉัน! โอย มันกำลังจะแตกออกเป็นสองเสี่ยงแล้ว! โอย ฉันทนไม่ไหวแล้ว! โอย โอย! “ เขาปวดศีรษะแต่บางครั้งเขาก็ลืมไป เขากุมมือที่ท้อง “ โอย ฉันเจ็บปวด” เพราะว่าเขาเพียงแต่แกล้งปวดศีรษะเท่านั้น (เสียงหัวเราะ) บางครั้งอาจารย์ก็แสร้งทำเป็นบางสิ่งบางอย่างหรือถามคำถามบางอย่างเพื่อที่จะได้เข้าใกล้กับลูกศิษย์มากขึ้น หรือเพื่อทำให้พวกเขาไม่รู้สึกกลัวอาจารย์ หรือเพื่อส่งเสริมความสามารถพิเศษ หรือความสามารถที่แตกต่างออกไปของพวกเขา ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่รู้เรื่องนี้ หรือต้องการขอคำแนะนำของพวกเธอ ใช่แล้วเพียงแตกต่างกันออกไป ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ต้องใช้แปดหมื่นสี่พันวิธี” นี่มันคืออะไร ดังนั้น หนึ่งในบรรดาวิธีเหล่านั้น เรียกว่า “ธรรมวิถีปวดศีรษะ” พระกฤษณะใช้มัน “ โอย โอ๊ะ! ศีรษะของฉัน มันปวดตรงนี้ โอ้ย! เจ็บปวดมากเหลือเกิน!” แล้วทุกคนก็ตกใจหวาดกลัว พวกเขาถามอาจารย์ว่าพวกเขาจะสามารถทำอะไรเพื่อที่จะลดบรรเทาอาการทนทุกข์ของอาจารย์ได้บ้าง อาจารย์พูดว่า “โอย ถ้ามีใครสักคนจะมายืนบนหัวฉันของฉัน.....” ถ้าผู้หญิงวางเท้าบนศีรษะของอาจารย์เขาคงจะได้รับการรักษาให้หายในทันที “พวกเธอได้โปรดใครก็ได้มาที่นี่และช่วยฉันที?” พวกเขาดมเท้าของตนเอง “โอย ไม่หรอกนะ! ไม่ได้หรอกไม่” (เสียงหัวเราะ) บางทีก็ลืมล้างเท้าของตัวเองมาสามวันแล้ว เพราะว่ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการวิ่งติดตามการเทศนาสั่งสอนของอาจารย์และกำลังยุ่งอยู่กับการแจกหนังสือตัวอย่างอยู่ “โอย ไม่ ไม่นะ! พวกเราจะกล้าไปเหยียบบนศีรษะของท่านได้อย่างไร ท่านก็คือบุคคลาธิษฐานของพระเจ้า (พระเจ้าในรูปแบบมนุษย์) ท่านคือพระเจ้าอวตารมาเกิด ท่านคืออาจารย์ของพวกเรา เป็นที่รักและเคารพยิ่งอย่างที่สุดของพวกเราบนโลกนี้ พวกเราจะกล้าเหยียบไปบนศีรษะของท่านได้อย่างไรกัน? ไม่มีทางไม่ได้! เราทำอะไรทุกอย่างให้ท่านก็ได้แต่ยกเว้นสิ่งนี้!” ดังนั้นกฤษณะจึงแกล้งปวดศีรษะอย่างรุนแรงเข้าไปอีก “โอยงั้นฉันคงจะตาย ฉันคงตาย จะตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ฉันอาจจะตายพรุ่งนี้ วันนี้ หรือคืนนี้ ฉันคงตายแล้วพวกเธอก็คงมีความสุข” เขาร้องคร่ำครวญและเขาก็สร้างความวุ่นวายต่างๆ มากมาย อา, ภาพยนตร์โรงใหญ่ที่เขาแสดงบรรดาศิษย์ผู้หญิงทั้งหลายได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น พูดไม่ออกทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่แล้วมีเพียงราดา ผู้ติดตามที่เป็นหญิง เมื่อเขาเห็นราดามา การแสดงของเขายิ่งแย่ลงไปอีกด้วยซ้ำ “โอย ฉันกำลังจะตาย! ฉันกำลังจะตาย! โอยหัวของฉัน โอยใครก็ได้ช่วย....! มันกำลังลงมาที่นี่ ที่นั่นโอย ทั่วไปหมด” เขาทำให้มีปัญหามากขึ้นไปอีก เขากำลังส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดมากและทำท่าทางวุ่นวายยิ่งนัก ทุกคนหันไปทางราดาเมื่อเธอเข้ามา ราดาก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีอะไรผิดปกติกับท่านคะ? ฉันทำอะไรเพื่อท่านได้บ้างคะ? แล้วกฤษณะก็ขอร้องแบบเดิมเช่นเดียวกับที่ขอจากทุกๆ คน “หัวของฉันกำลังจะแตกด้วยความเจ็บปวด ได้โปรดเหยียบลงบนศีรษะของฉันที แล้วฉันก็จะคลายความเจ็ปปวดได้” เพราะว่านั่นเป็นหนทางเดียว ดังนั้นราดาจึงเหยียบไปบนศีรษะของเขาในทันที เธอไม่ใส่ใจว่าเธอจะสวมรองเท้าหรือไม่ เธออาบน้ำมาหรือเปล่า เธอเหยียบไปบนศีรษะของเขา แล้วกฤษณะก็บรรเทาจากการเจ็บปวดในทันที ไม่มีความเจ็บปวดอีกเลย และก็หัวเราะ และรับประทานอาหารที่ได้รับการอำนวยพรไว้ ตอนนี้ราดาดูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วผู้หญิงทั้งหลายในที่ประชุมเริ่มมองมาที่ราดาด้วยสายตา.....แห่งไฟ ราวกับพวกเขาจะกลืนกินเธอลงไปในคำเดียว เอาเธอไปทำน้ำแกงดื่ม “เธอกล้าดีอย่างไร! คนเลว! เธอไม่เคารพอาจารย์เลยพวกเราจะ......” ราดาพูดว่า “อะไรกัน? อะไรกัน? พวกเธอเป็นอะไรกันจ๊ะ?” “พวกเราจะฆ่าเธอนะสิ!” แล้วราดาก็ถามพวกเขาว่า “มีอะไรผิดหรือ? ฉันไปทำอะไรเข้า? ทำไมพวกเธอต้องการที่จะฆ่าฉันเล่า?” สำหรับอาจารย์แล้ว พวกเขาพร้อมที่จะฆ่า แม้ในขณะที่อาจารย์บอกว่า “ห้ามฆ่า” แต่ในกรณีนี้พวกเขาลืมไป ความริษยาเลวร้ายมากและทำให้ผู้คนตาบอด แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนั้น ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นกับราดา แล้วคนอื่นก็พูดว่า “เธอกล้าดีอย่างไร ถึงมาเหยียบลงบนศีรษะของอาจารย์อันเป็นที่เคารพรักอย่างสูงสุดของพวกเรา เธอไม่รู้หรือไงว่าท่านคือพระผู้เป็นเจ้า? เธอกล้ามากที่ทำอย่างนั้นด้วยเท้าที่สกปรกของเธอได้อย่างไร? เธอช่างแย่ และเธอก็..... ด้วยเหตุนี้เธอจะตกลงไปสู่นรกขุมที่ลึกที่สุดและทนทุกข์อยู่ที่นั่นชั่วนิรันดร์...ฉันจะบอกเธอไว้” ราดาเพียงแต่ยิ้มและพูดว่า “แค่นั้นเองหรือ? ที่พวกเธอวิตกกังวลไป? ถ้างั้นแล้วอย่าได้กังวลไปเพราะว่าฉันคงจะยิ้มอยู่ในนรกอย่างมีความสุข ถ้าสามารถทำให้เขาดีขึ้นมาได้ ถ้าฉันสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้เพียงวินาทีเดียว ฉันก็คงไปลงนรกอย่างมีความสุข ดังนั้นพวกเธออย่าได้กังวลไปเลย ขณะนั้นผู้หญิงทั้งหลายต่างก็เข้าใจในบัดดลว่าเธอไร้อัตตาอย่างไร และเธออุทิศตนต่ออาจารย์มากขนาดไหน แม้แต่จะต้องแลกกับการบรรลุทางวิญญาณและความสุขของตนเองก็ตามที ดังนั้นพวกเขาจึงก้มลงกราบเธอและพูดว่า “ยกโทษให้พวกเราด้วย พวกเราขอโทษ” อะไรทำนองนั้น หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีและโอเค ดังนั้นการทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออาจารย์ตามปรัชญาของชาวอินเดีย ก็คือการบรรลุถึงขั้นสูงสุด เป็นการอุทิศตนอย่างสูงสุด เพราะว่าบางครั้งพวกเราต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันว่าจะรับใช้อาจารย์อย่างไร พวกเราคิดว่าเราทำนี่ ทำนั่นและทั้งหมดนี้ แต่ที่จริงแล้วพวกเราไม่ได้ทำในสิ่งที่อาจารย์ขอร้องให้ทำ ปัญหาอยู่ที่ไหนในเรื่องนี้? มีอะไรผิดที่ตรงนี้ที่เราไม่ทำตามที่อาจารย์ขอให้ทำหรือ? เราจะลงนรกหรือไง? ไม่หรอก! เราทำให้อาจารย์โกรธรึเปล่า? ก็เปล่า! บางทีอาจารย์อาจแกล้งทำเป็นโกรธ ดุด่าเธอ หรืออะไรแบบนั้น อะไรก็ตามที่อาจารย์ใช้ ก็เพื่อที่จะเปิดความเข้าใจของเธอ ให้เธอได้รู้ว่าในสถานการณ์นี้ เธอผิดตรงไหน พยายามสอนพวกเธอให้เป็นคนดีขึ้นในคราวต่อไป แต่อาจารย์จะไม่โกรธเคืองจริงๆ ภายใน ก็เหมือนกับพ่อแม่ที่แสนรักลูกไม่เคยเกลียดลูกของตนจริงๆ หรอก พวกเขาเพียงแต่แกล้งตีก้นของลูกๆ ดุด่าพวกเขาหรือประณามพวกเขาเพื่อแก้ไขลูกๆ ให้เป็นคนดีขึ้นในอนาคต ก็เท่านั้น แต่พ่อแม่ก็ยังคงรักลูกอย่างแท้จริงอยู่ดีนั่นเอง ตอนที่สอง ราดาผู้อุทิศตนอย่างแท้จริงและไร้อัตตาต่ออาจารย์ แน่นอนได้รับความรักและความเอาใจใส่เป็นพิเศษจากอาจารย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นบางครั้งเธอจึงหยิ่งทะนงและยโส เธอรู้สึกว่าตัวเองโอเค สูงส่ง เธอดีกว่าคนอื่น และอาจารย์ก็รักเธอมากเหลือเกิน ดังนั้นเธอจึงมีความสุขเพลิดเพลินไปกับความรักของอาจารย์ เธอเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของ เธอคิดว่าอาจารย์เป็นของเธอเพียงคนเดียว เอาล่ะ ฉันก็มีประสบการณ์เช่นนี้กับลูกศิษย์ผู้ติดตามฉันบางคน ดังนั้นฉันจึงเรียนรู้ได้ดีกว่ากฤษณะ ฉันไม่ใช้ผู้ติดตามคนเดิมตลอดเวลาหรอก ฉันเปลี่ยนบ้าง อย่างไรก็ตาม ในกรณีของราดาบางทีอาจารย์ก็สุดทนกับราดาเข้าวันหนึ่ง เขาตัดสินใจให้บทเรียนกับเธอ วันหนึ่งเขาบอกกับเธออย่างเป็นความลับ อย่างรักใคร่ ในท่วงทำนองที่โรแมนติก “ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายกับคนเหล่านี้ ทำไมเราทั้งคู่ไม่ไปบางที่ด้วยกันตามลำพัง ฉันไว้ใจแต่เพียงเธอ” ดังนั้น ว้าว! เธอรู้สึกว่า “นั่นไง! นั่นแหละสิ่งที่ฉันอยากจะได้ยิน ท่านเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว แล้วเราก็จะมีเวลาแห่งความสุขด้วยกัน นั่นดีที่สุด” ดังนั้นเธอจึงติดตามเขาไปในทันที กฤษณะเอาแต่เดินและเดินตลอดเวลาในหุบเขาที่ลึกและสูง และแม่น้ำ และหนทางที่ยากแก่การเดินเป็นอย่างมากจริงๆ ราดารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่งและพูดว่า “ฉันไม่สามารถเดินต่อไปอีกแล้ว เหตุใดเราไม่หยุดกันล่ะ?” กฤษณะพูด “ไม่ ไม่ ไม่! เราเกือบจะไปถึงที่นั่นแล้ว เดินต่อไป” ในที่สุดราดาก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้อีก ดังนั้นกฤษณะจึงพูดว่า “โอย ถ้าเช่นนั้น เจ้าต้องการให้ฉันทำอะไร? แบกเจ้าหรือ?” เธอพูดว่า “ใช่ค่ะ แน่นอน! ท่านแบกฉัน” เธอเคยชินกับการทำให้เหลิง เธอคิดว่าอาจารย์เป็นของเธอ เฉกเช่นสามีทั่วๆ ไป ดังนั้นเธอจึงสามารถทำอะไรที่เธอต้องการจากเขาและหลีกหนีไปจากสิ่งนั้นได้ หรือใช้เขาเฉกเช่นคนธรรมดาคนหนึ่ง กฤษณะเสแสร้งตกลงกับเธอและพูดว่า “ตกลง มาสิ” และต้องการที่จะแบกเธอไว้บนหลังของเขา แต่ในทันทีที่เธอกระโจนขึ้นไปบนหลังของเขา เขาก็หายตัวไป เธอรู้สึกล้มแปะลงไปบนพื้น เลือดกำเดาไหลออกมา จมูกที่แบนอยู่แล้วของเธอก็ยิ่งแบนลงไปอีก (เสียงหัวเราะ) เธอนั่งลงอยู่ตรงนั้นและร้องไห้ แล้วเธอก็ตระหนักดีว่าเธอผิดพลาดไปแล้ว เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่กายเนื้อ เธอไม่ควรแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของและยึดติดกับร่างกายของเขาเช่นทรัพย์สินของเธอ เหมือนกับบางสิ่งบางอย่างที่เธอจะสามารถเป็นเจ้าของได้ ดังนั้นเธอจึงกล่าวขอโทษต่ออาจารย์และพูดว่า “ฉันผิดไปแล้ว โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ฉันไม่ควรแสดงความเป็นเจ้าของตัวท่าน ฉันควรเคารพนับถือท่าน ควรช่วยเหลือท่านโดยไม่มีเงื่อนไขโดยปราศจากการร้องขอรางวัลตอบแทนเพื่อตัวของฉันเอง” ถ้าเธอไม่ทำเช่นนั้น เธอก็จะทำให้อาจารย์ตกอยู่ในอันตราย เธอจะผูกมัดอาจารย์ให้ลงมาและจะส่งผลกระทบต่อสรรพสัตว์ที่ติดตามเขาอีกมากมาย เขาคงต้องใช้เวลาอยู่กับเธอตามลำพังเสมอ และทำตามความคิดเพ้อเจ้อชั่วแล่นของเธอทั้งหลายเพื่อเอาใจเธอ ก็เหมือนกับสามีธรรมดาทั่วไป แล้วเขาจะมีเวลาสำหรับคนอื่นได้อย่างไรกัน ดังนั้นเขาต้องควบคุมให้ได้ มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะควบคุมเขา นั่นเองเป็นสาเหตุที่ผู้คนส่วนมากถูกผูกติดยึดให้อยู่ในโลกนี้และลืมความยิ่งใหญ่ของตนเองไป บางครั้งก็นักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าพวกเขาถูกผูกมัดกับอารมณ์และผูกมัดกับครอบครัว พวกเขากลับกลายเป็นความเคยชินกับมันและลืมหน้าที่ของตน ดังนั้นหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับประเทศชาติ และส่งผลเลวร้ายมากกับผู้คนของประเทศนั้นๆ กษัตนิย์มากมายล้มเหลวและพ่ายแพ้เพราะสาวงาม เจ้าพนักงานตำแหน่งสูงๆ ผู้ยิ่งใหญ่มากมายหรือวีรบุรุษขายตำแหน่งหน้าที่และประเทศชาติของตนเองก็เนื่องจากอารมณ์ที่เรียกว่า ตัณหา ดังนั้นถ้าหากว่าอาจารย์ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว อาจารย์ก็คงต้องเสร็จไปด้วยแน่นอน “เสร็จ Kaput” เป็นภาษาเยอรมันแปลว่าเสร็จ ไม่ดี ดังนั้นเธอคงเห็น ถึงแม้ว่าถ้าเธอบรรลุสิ่งนั้นครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม เธอก็ต้องขัดเกลามัน ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องนั่งสมาธิทุกวันเพราะว่านิสัยของเราที่ไม่ดี ได้สะสมมาชาติแล้วชาติเล่าหลายๆ ศตวรรษ หลายยุคหลายสมัย ตอนนี้ถ้าพวกเรามีเพียงชาติเดียวที่จะจัดการใหม่กับมัน เปลี่ยนแปลงมันเสีย ดังนั้นอาจารย์ต้องใช้พลังสูงสุดภายในเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนใหม่—ไม่ใช่วิถีทางธรรมดาๆ ดังนั้นปราศจากการประทับจิตแล้ว ปราศจากการใช้ความยิ่งใหญ่ของพวกเธอเองให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแล้ว พวกเธอก็ไม่สามารถจะออกไปจากความยุ่งยากวุ่นวายนี้ได้เลย ไม่ว่าพวกเธอจะใช้มากเท่าไรก็ตาม เพราะว่าอะไรก็ตามที่พวกเธอใช้ก็เป็นเพียงแค่มันสมอง เธอใช้มันสมองของตัวเองซึ่งได้บันทึกนิสัยที่ไม่ดีไว้มากมายอยู่แล้ว ขณะนี้พวกเธอไม่สามารถไล่ตามให้ทันได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ของชั่วชีวิตหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเธอต้องการพลังของอาจารย์ภายในซึ่งพวกเธอมีอยู่แล้ว เธอเพียงแต่จำเป็นต้องการอาจารย์ที่จะมาสัมผัสมันให้กับเธอเพื่อเปิดมันให้เธอ ด้วยความจริงใจของตัวเธอเองเธอก็จะได้รับมันอีกครั้งและได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสูญสียไปกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง..... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
ปราศรัยโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ฌาน ๒ ฮ่องกง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ ในไซอิ๋วได้บันทึกไว้เกี่ยวกับบุคลิกลักษณะของพระถังซัมจั๋งว่าเป็นพระอาจารย์ที่มีความเมตตาและสง่างามมาก แต่ว่าลูกศิษย์ของท่านทั้ง ๓ คนเป็นอย่างไรบ้าง : หน้าตาขี้เหร่น่ากลัวและยังฆ่าคนด้วย คนธรรมดาทั่วไปพอเห็นพวกเขาเข้าก็ตกใจมาก แต่พระถังซัมจั๋งไม่เพียงแต่ไม่กลัว กลับรับไว้เป็นศิษย์ จากนั้นพวกเขาจึงจะรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการติดตามปกป้องพระถังซัมจั๋งไปแสวงบุญจนสำเร็จ ถ้าหากไม่มีศิษย์ที่ดุร้าย ๓ คนนี้ พระถังซัมจั๋งอาจไม่สามารถไปถึงชมพูทวีปได้ เพราะฉะนั้นสรรพสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีประโยชน์ในตัวของมัน หากเราเข้าใจกฎจักรวาลและเข้าใจเคล็ดลับแห่งพลังการสร้างสรรค์ เราก็สามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ได้ จะไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เราอย่าคิดว่าคนอย่างซุงหงอคงและซัวเจ๋งไม่ได้มีตัวตน พวกเขาก็คือตัวแทนลักษณะคุณสมบัติภายในของเรา เป็นภาพการดิ้นรนต่อสู้โดยภายในของพระถังซัมจั๋งเองในระหว่างทางที่ท่านเดินทางไปแสวงบุญ ซุงหงอคงเป็นลักษณะตัวแทนแห่งความฉลาด ความมีสติปัญญาและพลังสุดประมาณของท่าน ทุกๆ ครั้งที่มีปัญหาสามารถอธิษฐานให้พระโพธิสัตว์ช่วยและสามารถแก้ปัญหาได้ทุกครั้ง ส่วนตือโป้ยก่ายเป็นลักษณะตัวแทนแห่งคุณสมบัติความเกียจคร้านและความเจ้าชู้ของท่าน บางครั้งเห็นสาวงามจะใจอ่อน เห็นอาหารอร่อยก็อยากกินมาก ซัวเจ๋งจะเป็นลักษณะตัวแทนในยามที่ท่านอยู่ในสภาวะจิตที่สงบบริสุทธิ์และสมดุลไม่มีดีไม่มีชั่ว ในหนังสือได้ระบุว่าซุงหงอคงเป็นคนที่ฉลาดมากๆ และยังมีอิทธิฤทธิ์ในการแปลงร่างได้ ๗๒ อย่างด้วย ก่อนเขาจะรู้แจ้ง เขาเคยอาละวาดบนสวรรค์และตั้งตนเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ นั่นหมายถึงคุณสมบัติแห่งการดิ้นรนภายในของเรา ถ้าหากเราได้บรรลุสูงถึงขั้นของพระเจ้าแล้ว ก็คงไม่ต้องไปก่อความวุ่นวาย มันเหมือนกับว่าแม้เราจะทราบดีว่าภายในเรามีความเป็นพระเจ้าอยู่ซึ่งเป็นสิ่งสูงที่สุด แต่เป็นเพราะว่าเรายังไม่ได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดนี้ ฉะนั้นเราจึงไม่อาจเชื่อมั่นตนเองได้ วันนี้อาจจะเชื่อ แต่พรุ่งนี้ก็เริ่มสั่นคลอนอีกแล้ว มะรืนเธออาจจะกลับมาเชื่ออีก แต่หลังจากเวลาผ่านไปอีกวันหนึ่งเธอก็ไม่มั่นใจอีก ถ้าหากวันนั้นพอดีเธอรู้แจ้งทราบว่าตนเองเป็นใคร เธอก็จะสัมผัสถึงความสูงส่งของเราและความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล แต่เป็นเพราะว่าใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นี้ มีความยากลำบากมากมาย วันไหนที่เธอเจออุปสรรคและความยุ่งยากเข้า เราจะตกลงมาสู่อันดับชั้นของความเป็นมนุษย์ เราจะเริ่มสงสัยตนเอง รู้สึกตนเองอ่อนแอมาก ขาดความช่วยเหลือ ไม่มีพลัง เวลานั้นเราจะทุกข์มาก ไม่ว่าใครจะบอกว่าเราเป็นพระโพธิสัตว์เราก็ไม่อยากฟัง เราสูญเสียกำลังใจไปหมด คนที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมทุกคนต่างมีประสบการณ์ของซุงหงอคง ฉะนั้นเราจึงดิ้นรนทุกวัน อาละวาดทุกวัน วันหนึ่งเราอยากเป็นพุทธะ วันหนึ่งเราไม่อยากเป็น วันหนึ่งเราบรรลุเป็นพุทธะ วันหนึ่งไม่บรรลุ วันหนึ่งเราคือพุทธะ วันหนึ่งคือมาร วนเวียนกันอยู่แบบนี้ นี่คือสภาวะการดิ้นรนภายในจิตใจของพระถังซัมจั๋ง ผู้แต่งนั้นเอาลิงมาเปรียบเป็นสมองอันไม่หยุดนิ่งของเรา แต่มันฉลาดมาก มีฤทธิ์มาก อยากได้อะไรก็ได้ อยากไปภูมิภพไหนก็ไปได้ แต่วิ่งไปวิ่งมาก็วนเวียนอยู่ในใจ ออกนอกไตรภูมิไม่ได้ พวกเธอดูหนังไซอิ๋วก็จะทราบดีว่า ซุงหงอคงติดตามพระถังซัมจั๋งไปแสวงบุญ เดิมทีมีจุดมุ่งหมายจะโปรดสรรพสัตว์ แต่ผลสุดท้ายพระโพธิสัตว์กลับส่งปีศาจมากมายลงมาทำร้ายพวกเขาทุกวัน เคราะห์กรรมแปดสิบเอ็ดครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นผู้สร้างขึ้นมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบททดสอบ เพราะว่าถ้าหากไม่ผ่านบททดสอบเราจะไม่เติบโตเหมือนกับทหารหากไม่ได้ผ่านการฝึกฝน ก็ไม่สามารถเป็นทหารที่ดีได้หรือเด็กนักเรียนถ้าหากไม่มีการสอบไล่พวกเขาจะไม่ตั้งใจเรียน ดังนั้นการทดสอบเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราเพื่อให้เราทราบว่าตนก้าวหน้าหรือไม่ ความมั่นใจของเราสั่นคลอนหรือไม่ เราเห็นได้จากเรื่องที่เล่าว่าทั้งลูกศิษย์และอาจารย์ บางครั้งถูกต้นไม้ดอกไม้หรือเจ้าเขาทำร้าย.... นี่คืออาจารย์เคยกล่าวกับพวกเธอว่าโลกภายนอกมันอันตรายสำหรับเรา เราสนใจโลกภายนอกมากไปจะทำให้เราจมอยู่กับมันและลืมสภาพเดิมแท้ของตนเองไป เวลานั้นจะเป็นการง่ายที่เราจะถูกผูกมัดไว้กับสิ่งนั้น ซึ่งจะเหมือนเราอยู่ที่ใดที่หนึ่งจนเคยชินไปแล้วก็เลยไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่น ไปนอนที่อื่นจะนอนไม่หลับ เช่นเดียวกับผู้บำเพ็ญคนหนึ่งบางครั้งเดินผ่านสถานที่บางแห่งและอยากอยู่ที่นั่นต่อไป เดิมทีมีจุดมุ่งหมายจะไปแสวงบุญ ต้องบรรลุเป็นพุทธะ แต่ผลสุดท้ายพอเขาไปถึงสถานที่บางแห่งเห็นภูเขาแม่น้ำสวยงาม ต้นไม้ที่สวยงาม ดอกและผลไม้งดงามมาก เขาก็จะหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่อยากเดินหน้าต่อไปอีก : “พอแล้ว! ทำไมต้องบรรลุเป็นพุทธะ อยู่ที่นี่ดูดอกไม้ต้นไม้ จากนั้นแต่งบทกวี ท่องบทกวีก็ดีแล้ว” ฉะนั้นพวกเธอเห็นนางไม้ในนิทานไซอิ๋วบางตนได้ออกมายั่วยวนพระถังซัมจั๋ง และท่านเองก็เกือบจะชอบเธอเข้า นั่นเป็นเพราะว่าตัวท่านเองชอบทิวทัศน์อันสวยงามในแห่งนั้น ไม่ได้หมายความว่ามีนางไม้วิ่งออกมาจับท่าน ตัวท่านเองยึดติดกับสิ่งนั้นก็เท่ากับถูกต้นไม้ดอกไม้จับเอาไว้ และต้นไม้ดอกไม้ใบหญ้าทั้งหลายก็มีสามัญสำนึกของมัน เรารักพวกมัน มันก็จะติดต่อสื่อกับพวกเราทำให้เรายิ่งรักมัน และมันก็จะยิ่งผูกมัดให้เราอยู่ตรงนั้น ฉะนั้นอันดับชั้นของเราก็หยุดอยู่ตรงนั้น พวกเราผู้บำเพ็ญต้องการก้าวหน้าต่อไป ไม่ควรหยุดอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าการที่เราไปเห็นสภาพโลกภายนอกเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ซุงหงอคงเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนแห่งความมีสติปัญญาเข้าใจในเหตุผลของเรา หากบางครั้งไม่ทันระวังไปฟังความเคยชินเก่าๆ แห่งความเป็นปุถุชนของพระถังซัมจั๋ง แม้ว่าทำให้ต้องตกอยู่ในความยากลำบาก แต่เป็นเพราะว่าเธอคือซุงหงอคง ช้าหรือเร็วก็ต้องหนีออกมาได้ ไม่ต้องจมอยู่กับที่นั่นนาน แต่ตือโป้ยก่ายก็จมเข้าไปได้เหมือนกัน (อาจารย์หัวเราะ) ฉะนั้นจึงมีครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์แปลงร่างเป็นสาวงาม ๓ คน แต่ตือโป้ยก่ายไม่รู้ตัวกลับหลงใหลความงามของนาง จึงถูกมัดใส่เข้าไปในร่างแห แม้ว่าร่างกายจะไม่ถูกทำร้ายเพียงแต่มัดและแขวนไว้ช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่การผูกมัดนั้นความหมายที่แท้จริงคือแม้ว่าคนนั้นจะสวยงามมากหรืออาจเป็นพระโพธิสัตว์แปลงร่างมาก็ได้ เมื่อเธอรักเขา เขาก็จะถูกผูกมัดด้วยความรัก ซึ่งเดิมทีต้องการไปแสวงบุญชมพูทวีป แต่กลับต้องหยุดอยู่ตรงนั้นช่วงหนึ่งเพราะความรักของเธอทำเช่นนี้จะเป็นการเสียเวลาการบำเพ็ญไป เพราะฉะนั้นบางครั้งแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์แปลงร่างมาก็จริง ทางที่ดีเราไม่ควรไปสนใจเธอ ระวังตัวให้ดีนะ อย่าถูกผู้หญิงสวยหรือเรื่องดีๆ ของโลกผูกมัดเอาไว้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถูกจับเข้าไปในถ้ำของปีศาจแมงมุม ปีศาจแมงมุมได้แปลงร่างเป็นสาวงามและเด็กๆ จำนวนมากมาล้อมรอบท่าน นี่คือสัญลักษณ์บ่งบอกถึงลักษณะของครอบครัว อาจเป็นเพราะในตอนนั้นท่านอยากมีครอบครัว ท่านอาจคิดว่าไปแสวงบุญนั้นลำบากมาก สู้แต่งงานกับภรรยาคนหนึ่ง จากนั้นก็มีกรรมที่น่ารักอีกหลายคนจะเป็นการดีกว่า (ผู้คนหัวเราะ) เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้วก็เริ่มถูกผูกมัด แม้จะไม่มีภรรยาหรือลูกจริงๆ มาผูกมัดเธอ แต่เมื่อเธอคิดเท่านั้นเธอก็ถูกผูกมัดไว้แล้ว อันดับชั้นเปลี่ยนไป จากนั้นถ้าหากเธอไม่ละทิ้งความคิดนี้เป็นเวลานาน แล้วก็เวลาช่วงนั้นเธอจะถูกผูกมัดอยู่ในความคิดแบบนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปีศาจแมงมุมหรือแมงมุมน้อยไปสร้างใยแมงมุมมัดท่านไว้ แต่เป็นตัวพระถังซัมจั๋งเองที่ต้องการแบบนี้โดยมัดตนเองให้อยู่ในสภาวะเหตุการณ์แบบนี้ บางครั้งเป็นเพราะว่าหนทางการบำเพ็ญยาวไกลมากและเป็นการยากที่สภาพจิตใจของเราจะไม่ขึ้นๆ ลงๆ ผู้แต่งได้นำนิทานมาพรรณาถึงสภาพจิตใจของพระถังซัมจั๋งและเล่าเรื่องการใช้ความตั้งใจในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ของท่าน มีครั้งหนึ่งปีศาจกระดูกขาวได้แปลงร่างมาเป็นผู้หญิงที่สวยงามเพื่อยั่วยวนคน ดูดเลือดคน และปีศาจกระดูกขาวคนนี้เป็นใคร นางคือปีศาจที่ซ่อนอยู่ในตัวของเราหรืออุปนิสัยที่ชอบใช้ความงามของตนเองไปยั่วยวนคนอื่นของเรา ฉะนั้นผู้บำเพ็ญในสมัยโบราณบางครั้งต้องการควบคุมความต้องการอันเกิดความรัก จึงทำด้วยวิธีการมองโครงกระดูกขาว จะมองทุกคนเป็นกระดูกขาวไปหมด ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่เลว ถ้าหากมองผู้ชายที่หน้าตารูปหล่อหรือผู้หญิงที่สวยงามคนหนึ่งโดยมองทะลุผ่านเข้าไปข้างใน ก็จะเห็นแต่กระดูกขาว โครงกระดูกเท่านั้น เราเห็นซุงหงอคงถูกท่านกวนอิมโพธิสัตว์หลอกเอาโดยหลอกให้ใส่ห่วงเสกคาถาไว้บนหัว เราอาจคิดว่าทำไมกวนอิมโพธิสัตว์จึงไม่มีเมตตาจิต แต่ถ้าหากไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่สามารถควบคุมลิงตัวนี้ได้ พระโพธิสัตว์กวนอิมต้องการสั่งสอนและช่วยมัน จึงจำเป็นต้องใส่ห่วงเสกคาถาให้มัน มิฉะนั้นซุงหงอคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงนิสัยตนเองได้และไม่สามารถบำเพ็ญให้เข้าถึงสัจธรรม ฉะนั้นพระโพธิสัตว์ไม่ยิ้มและแจกขนมให้เราทุกเวลา เพราะการกระทำแบบนี้จะทำให้เราเสียคนเสมือนการมอบตั๋วเครื่องบินไปนรกให้เราใบหนึ่ง บัดนี้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่นำมาเปรียบเทียบแล้วใช่ไหม เราต่างก็มีนิสัยของหมูและลิงอยู่ในตัวเรา พวกเธอเห็นสัตว์กินอาหารและออกลูก ดูแลลูกได้ ซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับพวกเรา เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไม่บำเพ็ญ เราจะไม่แตกต่างอะไรกับสัตว์เลย ยังดีที่เราบำเพ็ญ มีการพัฒนาระดับปัญญาของตนเอง ในขณะที่สัตว์ไม่สามารถทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้ดีเหมือนพวกเรา ฉะนั้นพวกเธอควรจะดูแลจุดที่เป็นพระถังซัมจั๋งของเราให้ดี (อาจารย์ชี้ที่ตาปัญญา) ดูแลในส่วนแห่งความเมตตาของเรา อย่าปล่อยให้นิสัยของความเป็นลิงและความเป็นหมูมาควบคุมชีวิตของเราทุกวันและสร้างมลทินให้กับบ้านที่ล้ำค่าของตน.... ระวังปีศาจบนเส้นทางการบำเพ็ญ ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา ๑ สิงหาคม ๒๕๓๔ (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน) พวกเธอสังเกตดู ทุกครั้งที่พระถังซัมจั๋งไปถึงที่ไหนจะมีปีศาจมาจับท่าน กินเนื้อของท่าน แท้จริงแล้วการกินเนื้อนั้นไม่ได้หมายถึงการตัดเอาเนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ แล้วกิน แต่การทรมานทางด้านจิตใจของเรา ทำให้เราทนไม่ได้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และเป็นเหตุให้ร่างกายเราอ่อนแอลงทุกวัน นี่คือการตัดกินเนื้อของเราเพราะว่าการทรมานจิตใจของเราก็เป็นการทำร้ายเราเช่นกัน มีมารบางตัวสามารถดูดพลังจิตคน ยิ่งเรามีพลังหยางมาก มารพวกนั้นยิ่งชอบดูด บางครั้งถูกดูดไปมากเราก็จะสลบ บางคนดูลักษณะภายนอกเป็นคนแต่ข้างในเป็นมาร พวกเธอดูในเรื่องไซอิ๋วมีมารกระดูกขาวตัวหนึ่ง มันจับคนมาแล้วดูดเอาพลังจิตเขาไปหมดและฆ่าเขาทิ้ง จากนั้นสิงเข้าร่างกายคนคนนั้นเพื่อออกไปหลอกล่อคน ซึ่งของภายนอกเราดูไม่ออก ฉะนั้นคนทางโลกบางคนที่ถูกมารเข้าสิง ร่างกายก็จะยังเป็นคนอยู่แต่ภายในเป็นมาร และเขามาเข้าใกล้เราเมื่อไร เราจะรู้สึกอ่อนเพลียไปหมด จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หากเรายังคงหลงใหลมันต่อไป เราจะยิ่งสูญเสียจิตเดิมแท้ของเราไป เหมือนกับที่ฉันเคยเห็นบางคนที่ถูกมารดึงไป พอกลับมาใหม่อีกครั้งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้ว่าจะสำนึกผิด แต่ฉันดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม ถ้าจะฟื้นฟูสภาพเก่าต้องใช้เวลานานมาก คนที่ดื่มเหล้าเมาแต่ไม่รู้ตัวว่าเมา และกำลังเป็นบ้าอยู่หรือเหมือนคนที่เป็นโรคจิตและไม่รู้ตนว่าเป็นโรคจิต บางครั้งคนธรรมดาทั่วไปหากไม่ทันระวังหรือเกิดความคิดที่มืดเป็นเวลานาน เมื่อนั้นมารจะหลอกใช้เราโดยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรา ทำให้เราเป็นคนครึ่งหนึ่งเป็นมารครึ่งหนึ่ง ทำให้การกระทำของเราแปลกๆ ไป ความคิดเปลี่ยนแปลงไป จากนั้นจะทำในสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมอีก น่ากลัวมาก! ฉะนั้นเราควรรักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา อย่าคิดไม่ดีและมีความคิดเอียงไปในทางมืด และไม่นานต่อมาจะวุ่นวายมากเพราะเรามีสิทธิเสรีภาพของตนเอง อาจารย์ไม่สามารถห้ามความคิดของเราได้ทุกครั้ง อยากจะคิดอะไรนั้นเป็นสิทธิ์ของเรา ฉะนั้นจึงควรดูแลตนเองให้ดี เวลาที่เธอยอมให้อาจารย์คุ้มครอง อาจารย์จึงจะคุ้มครองเธอได้ หากเธอไม่ยอม อาจารย์จะก้าวก่ายเรื่องของเธอไม่ได้ พวกเธอไม่ขอไม่เป็นไร แต่ขอให้อย่าต่อต้านก็แล้วกัน มนุษย์เรามีจิตสำนึกที่เป็นอิสระ ถ้าหากต่อต้านแล้วอาจารย์ พระโพธิ์สัตว์จะไม่สามารถช่วยเราเลย กฎของจักรวาลเป็นเช่นนี้ ฉะนั้นโลกจึงวุ่นวายยุ่งยากแบบนี้ ถ้าหากพระโพธิสัตว์สามารถเข้าไปในสมองของเราทั้งหมดได้ นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่จะไม่มีการเล่นละคร ไม่มีความทุกข์ความสุข ไม่มีอันดับชั้นที่แตกต่างกัน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกนำขึ้นไปบนแดนสุขาวดีกันหมด ดังนั้นต้องเข้าใจเหตุผลข้อนี้ บำพ็ญ.....ต้องบำพ็ญด้วยตนเอง จุดไฟต้องจุดด้วยตนเอง เดินทางต้องเดินด้วยตนเอง แน่นอนว่าเวลาเราป่วยเดินไม่ได้ อาจารย์จะช่วยหามช่วยอุ้มเราไป แต่หากเราต่อต้านและอยากจะเดินไปในทิศทางที่สวนทางกัน อาจารย์ก็ต้องเดินตามหลังเรา แม้รู้ว่ายิ่งเดินยิ่งห่างไกล แต่ก็ต้องติดตามเรา ทิ้งเราไม่ได้และจะก้าวก่ายเรื่องเราก็ไม่ได้ จงระวังให้ดี! ปีศาจมีเยอะมาก ไม่ใช่เดินทางไปแสวงบุญที่ชมพูทวีปเท่านั้นที่มีปีศาจ ทุกวันเราอยู่ที่นี่ก็ต้องไปแสวงบุญและเส้นทางที่เราเดินอยู่นั้นไกลยิ่งกว่าไปอินเดียอีก เราเดินทางด้วยความเหนื่อยยาก และทุกคนล้วนมีเวลาที่จะหกล้ม แต่ต้องจำไว้ว่าเราจะต้องกลับมาให้ได้ เวลาที่เราล้มลง จงอย่าไปต่อต้านคนที่พยายามจะดึงเราขึ้นมา เช่นนี้แล้วเราจะไม่ค่อยมีอันตรายแม้ว่าเวลานั้นเราจะหกล้ม แต่เราไม่ควรหยุดอยู่ตอนนั้น และไม่ควรทำให้ตนเองตกต่ำลงไปเรื่อยๆ โดยคิดว่าตนเองดี... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา ๑๙ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๕ (เดิมเป็นภาษาจีน) มีคนๆ หนึ่งอยากบำเพ็ญมาก เขาอ่านเรื่องราวและคัมภีร์ต่างๆ มากมาย ทุกเรื่องกล่าวว่าความถ่อมตัวคือ คุณลักษณะสูงสุดที่แสดงว่าบุคคลนั้นบรรลุถึงความเป็นนักบุญแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากจะเรียนรู้ที่จะเป็นคนถ่อมตนมาก เขานับถือและศึกษาปฏิบัติตามอาจารย์ท่านหนึ่ง เขาบอกกับอาจารย์ของเขาว่าเขาอยากจะพบกับพระเจ้ามาก แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนรู้ที่จะเป็นคนถ่อมตนได้อย่างไร เขารู้สึกว่าตัวเองไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์และไม่ถ่อมตัว เขาจึงไม่สามารถพบกับพระเจ้าได้ อาจารย์ของเขาจึงบอกว่า “ดีแล้ว! ถ้าอย่างนั้นก็ลองออกไปหาใครหรืออะไรก็ได้ที่สกปรกโสมม ต่ำกว่าเธอและถ่อมตัวมากกว่าเธอให้ได้ แล้วก็พาเขามาหาฉัน หรือเพียงแต่มาบอกฉันก็ได้ แล้วฉันจะสอนวิธีให้เธอเรียนรู้จากพวกเขาว่าจะถ่อมตนได้อย่างไร” ดังนั้น เขาจึงออกเดินทางจากไทเปไปจนถึงเคาชุง แต่ก็หาใครไม่ได้เลย แม้แต่ในเหมียวลี่ก็ตาม แม้ว่าพวกเราจะแย่มากแล้ว แต่เขาก็ยังหาใครที่แย่กว่าเขาไม่ได้ เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดและคับข้องใจมาก ครั้งหนึ่งตอนที่เขาอยู่ในห้องส้วม เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าอุจจาระนั้นจะต้องสกปรกและจะต้องต่ำต้อยกว่าเขาแน่ๆ เพราะว่าไม่มีใครจะอยากได้มัน และพอเห็นมันต่างก็จะอุดจมูกวิ่งหนีไป เขาจึงอยากจะเอาอุจจาระกองหนึ่งไปหาอาจารย์ของเขา เพราะเขาหาอะไรที่ต่ำกว่านั้นไม่ได้เลย แต่พอเขายื่นมือออกไปเท่านั้น ก่อนที่จะแตะถึง “มัน” เขาก็ได้ยินเสียงพูดว่า “อย่ามาแตะตัวฉันนะ อย่าขยับเข้ามาอีกนะ! อย่ามาแตะฉัน!” ชายคนนั้นก็รู้สึกประหลาดใจมากและสงสัยว่าใครกำลังพูดอยู่ แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีกว่า “เธออย่ามาแตะต้องตัวฉันเชียวนะ!” มันดูเหมือนกับว่าอุจจาระนั้นกำลังพูดกับเขาอยู่ เขาก็รู้สึกงุนงงสงสัยมากจึงถามว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ทำไมฉันจะแตะต้องเธอไม่ได้ล่ะ?” มันก็พูดว่า “เธอไม่เห็นหรือไงว่าเมื่อวานนี้ฉันยังเป็นขนมเค้กที่ดีๆ อยู่เลย? (ผู้ฟังหัวเราะ) ฉันดูสวยงาม มีคุณค่าราคามากจนสมควรจะให้กษัตริย์ได้บริโภค หรือสมควรจะมอบให้แก่นักบุญที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง แต่พอถึงตอนนี้ ถึงวันนี้ฉันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วเพราะว่าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอเข้าครั้งเดียวเอง ตอนนี้ไม่มีใครที่อยากจะเห็นฉันเลย ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ด้วยซ้ำ พอพวกเขาเห็นฉันก็หลับตาปี๋ อุดจมูกแน่นแล้วก็วิ่งหนีไปเลย ทุกคนไม่ชอบฉันแล้ว ฉันกลายเป็นแบบนี้ไปเพียงเพราะว่าฉันไปยุ่งเกี่ยวกับเธอเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง! ถ้าเธอมาแตะต้องตัวฉันอีกครั้งหนึ่ง โอ, มันคงจะแย่มากๆ เลย (ผู้ฟังหัวเราะ) ฉันจะกลายเป็นอะไรไปอีกก็ได้ใครจะรู้บ้าง? ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรที่เลวร้ายมากกว่านี้กับฉันอีก เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าแตะต้องตัวฉันอีกเลย” ตอนนั้นเองชายคนนั้นก็เริ่มรู้สึกถ่อมตนขึ้นมาจริงๆ เราทุกคนต่างก็คิดว่าตัวเราเองนี้ดีมาก แต่ว่าความจริงก็คือเราอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้! เราคิดว่าเราดีกว่าอุจจาระ แต่ความจริงก็คือที่มันกลายไปเป็นแบบนั้นก็เพราะตัวเราเอง พวกเราผู้บำเพ็ญทั้งหลายต่างก็รู้ดีมากว่าตัวเรามีคุณสมบัติของการถ่อมตนอยู่ภายในหรือไม่ อย่าคิดว่าตัวเรานั้นยิ่งใหญ่สักแค่ไหนเลย... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา ๒๓ ตุลาคม ๑๙๙๔ (เดิมเป็นภาษาจีน) มีชายผู้มั่งคั่งร่ำรวยมากคนหนึ่ง เขาเชิญพระองค์หนึ่งมีชื่อว่า ซันกา มาเขียนคำกลอนให้เขาท่อนหนึ่ง ในสมัยโบราณเมื่อสร้างบ้านใหม่เสร็จหรือเวลาเปิดร้านใหม่ คนจะหาผู้ที่เขียนตัวอักษรได้สวยที่เก่งที่สุด และมีชื่อเสียงมาเขียนโคลงกลอนให้เพื่อจะได้มีโชค เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องของญี่ปุ่นก็ได้ เมื่อชายผู้ร่ำรวยเชิญซันกามาเขียนกลอนเขาก็พูดกับท่านว่า “กรุณาเขียนอะไรเพื่อที่ครอบครัวของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองไปหลายๆ รุ่นไปเรื่อยๆ และให้ความร่ำรวยและสถานภาพนี้สืบทอดต่อๆ ไปถึงรุ่นลูกหลานของเราด้วย ซันกาก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนว่า “พ่อตาย ลูกชายตาย หลานชายก็ตายด้วย” พอเขากำลังเขียนแบบนี้ไป ชายผู้ร่ำรวยและคนในครอบครัวของเขาก็งุนงงและรู้สึกโกรธมาก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเขียนแบบนั้น “เราเชิญท่านมาเขียนโคลงกลอนเพื่ออวยพรเราในโอกาสขึ้นบ้านใหม่นะ ทำไมท่านถึงเขียนว่าทั้งครอบครัวของเราตายหมดล่ะ? (ผู้ฟังหัวเราะ) โอ! ? ท่านต้องการจะสาปแช่งพวกเราใช่ไหม?” พระองค์นั้นก็พูดกับพวกเขาอย่างสงบมากว่า “อา! พวกเธอไม่รู้อะไร ฉันไม่ได้กำลังจะเล่นตลกอะไรกับพวกเธอหรอก ขอถามพวกเธอหน่อยว่าถ้าลูกชายของเธอตายก่อนเธอ แบบนั้นจะดีไหม? เธอจะไม่รู้สึกเศร้าเสียใจหรือ? ถ้าหลานชายของเธอตายก่อนเธอ แบบนั้นจะดีไหม? แล้วเธอจะมีรุ่นหลานเหลนต่อๆ ไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้อย่างไร? ทรัพย์สมบัติที่ดินมรดกและธุรกิจของเธอจะเจริญต่อไปได้อย่างไร? เธอจะมีใครมาดูแลจัดการต่อไปได้อย่างไร? เพราะฉะนั้นฉันจึงบอกว่าหลังจากที่พ่อตายแล้ว ต่อจากนั้นลูกชายก็ตาย แล้วหลานชายก็ตายในภายหลัง ไม่มีอะไรผิดนี่! (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ, ปรบมือ) มันก็เป็นไปตามลำดับที่เหมาะสม แล้วทรัพย์สมบัติและธุรกิจของเธอก็จะมีโอกาสเจริญรุ่งเรือง” เขาบอกว่านี่เป็นความเจริญรุ่งเรืองที่แท้จริง ทุกๆ คนต้องตายไม่ช้าก็เร็ว! (อาจารย์หัวเราะ) คนในโลกกลัวตายและก็กลัวเวลาที่ได้ยินเรื่องความตาย! ความจริงแล้วไม่มีอะไรจะต้องกลัวเลย ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะตาย เพื่อให้มีอะไรบางสิ่งบางอย่างมา, บางอย่างก็ต้องจากไป! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะตายอย่างไร (อาจารย์หัวเราะ) ตอนนี้เราตายกันทุกวันดังนั้นเราจึงไม่กลัวความตาย! ทุกวันในระหว่างที่นั่งสมาธิ จิตวิญญาณก็ออกจากร่างไป นั่นก็เป็นความตายแบบหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่กลัว! คนทั่วไปภายนอกกลัวกันมากเวลาพูดถึงความตาย! โดยเฉพาะเวลาเธอได้รับเชิญไปงานแต่งงานแล้วเธอพูดคำว่า “ความตาย” ออกมา ก็จะไม่มีใครเอาเหล้าไวน์มาให้เธอหรอก! (ผู้ฟังหัวเราะ) ความตายเป็นเรื่องธรรมดามาก เราลงมาที่นี่ก็เพื่อจะเรียนรู้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น อาจจะหกสิบปี สี่สิบปี บางคนก็สี่ปี บางคนก็สี่วัน และบางคนก็สี่อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับว่าบทเรียนที่เธอจำเป็นต้องเรียนรู้นั้นจะยาวนานแค่ไหน ก็เหมือนกับอาจารย์เซนที่เราพูดถึงนี่ บางทีเขาจำเป็นจะต้องได้รับบทเรียนมาก เขาจึงมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี คนบางคนกลับไปเร็วมาก เด็กทารกบางคนจบบทเรียนของพวกเขากันตอนที่เกิดมา พวกเขาก็เลยจากไป! พวกเราผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ก็ร้องไห้กันใหญ่เวลาเด็กคนนั้นตาย ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา เข้าใจไหม? โลกนี้มันกลับตาลปัตร ความตายไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย จะไม่ดีก็เฉพาะความกลัวว่าถึงเวลาที่เราตายนั้น เรายังเรียนรู้บทเรียนของเราไม่จบ แล้วเราก็ต้องกลับมาและมาตายอีกครั้ง เป็นเรื่องยุ่งยากลำบากลำบนมาก ดังนั้นเราต้องทำให้มันตายครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่นิสัยเก่าๆ จะถูกล้างออกไปก็มีนิสัยที่ไม่ดีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาก่อนที่จะกลับมา เมื่อเราสะสมพอกพูนมากไป เราก็กลายเป็นคนที่ไม่ดีมาก มีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง ตอนที่เราลงมาตอนแรกสุด เราบริสุทธิ์ไร้เดียงสากว่านี้ มีปัญหาแค่อย่างหรือสองอย่างเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลงมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่เราจะล้างนิสัยก่อนๆ ออกไปหมด เราก็เรียนรู้นิสัยต่างๆ ที่แย่กว่าอีกในโลกนี้ เมื่อพอกพูนมากขึ้นๆ มันก็ร้ายแรงมากขึ้น ลักษณะเลวๆ เหล่านี้ควรจะถูกเผาไหม้ไปด้วยไฟนรก นั่นก็คือเวลาที่จะไปนรก ความจริงแล้วนี่เป็นระบบของการวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง เหมือนกับบางครั้งเวลาเครื่องมือของเราไม่ดีแล้ว หรือใช้ไม่ได้อีกแล้วหลังจากที่ใช้มานาน เราก็เผามันทิ้งหรือหลอมมันทำเป็นอันใหม่ออกมา ก็เหมือนกับเวลารถยนต์เก่าเกินไปแล้ว มันก็ถูกหลอมเป็นเหล็กชิ้นใหม่ แล้วเราก็ใช้เหล็กชิ้นนั้นสร้างเป็นเครื่องมืออีกชิ้น พวกเราก็เป็นเหมือนแบบนี้ ถ้าเราไม่ดี พระเจ้าก็จะหลอมเราเป็นชิ้น แล้วสร้างเครื่องมืออันใหม่ที่สมบูรณ์กว่าขึ้นมาอันหนึ่งจากชิ้นเดิมนั้น เพราะฉะนั้นนรกและสวรรค์ก็คือเครื่องมือที่จะทำให้เราพัฒนาและก้าวหน้าขึ้น ถ้าเราไม่ได้กำลังก้าวหน้าขึ้น พระผู้สร้างก็จะช่วย นรกก็เป็นการช่วยแบบหนึ่ง... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet