8 มีนาคม 2558 00:55 น.

จดหมายถึงเพื่อน...

คีตากะ

“จงเดินตามพุทธะที่มีชีวิต” นั่นคือคำที่อยากจะย้ำเตือนเธออีกครั้ง สำหรับเพื่อนคนหนึ่ง ถ้าหากเธอมีครอบครัวแล้ว เธอก็สามารถปฏิบัติธรรมและดูแลครอบครัวไปด้วยได้ แต่ถ้ายังนั่นยิ่งเป็นโอกาสอันดีของเธอในการรู้จักพุทธะภาวะภายในของเธอ เพราะเธอมีเวลามากขึ้น วันนี้เธอมีเวลาน้อยมากจริงๆ ที่จะทำอะไรด้วยซ้ำ ถ้าเธอเลือกทางผิดอีกครั้ง นั่นหมายความว่าเธอจะต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ และตายอีก ใครจะรู้ล่ะว่าจะอีกกี่ภพกี่ชาติ อีกกี่รอบ แล้วเราก็ลืมมันไปทุกที(เพราะน้ำซุปของพญายม) การได้พบเจออาจารย์ที่เป็นพุทธะที่มีชีวิตเป็นโอกาสในหลายๆ ล้านชาติ เป็นเรื่องยากจริงๆ พุทธะมาทุกยุคทุกสมัย หากแต่เราจะมีปัญญารู้ได้อย่างไรว่าท่านคือใคร? สำหรับฉันก็ไม่รู้ว่าท่านคือใคร หากแต่ใช้การอธิฐานจิตจึงได้ประสบ เธอก็สามารถทดลองดูได้ วิธีนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ฉันไม่อาจให้อะไรแก่เธอได้นอกจากสิ่งนี้ และก็ยังยืนยันคำพูดเดิมเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เคยแนะนำเธอว่าฉันได้พบแล้ว เธอเป็นคนแรกที่ฉันแนะนำให้รู้จักท่าน แต่เธอก็ปฏิเสธมันไป แล้วเธอก็เรียนรู้ความยิ่งใหญ่ของเธอไปในแบบที่ “ตรงข้ามกับพระเจ้า” แน่นอนเธออาจยิ่งใหญ่ในโลกตามที่สังคมเขาบอกกับเธอ แต่น่าเสียดายที่ชีวิตไม่ได้จบเพียงแต่ชาติเดียว เธออาจเคยบำเพ็ญมาก่อน เคยสร้างบุญกุศลมาก่อน จึงทำให้ชาตินี้เธอประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก แต่สำหรับฉันมันเป็นเพียงความว่างเปล่าและไร้สาระ เธอจะต้องกลับมาถ้าเธอเลือกผิดพลาด และข่าวดีก็คือว่าศัตรูเก่าของเธอ เจ้ากรรมนายเวรของเธอจำนวนมาก กำลังรอคอยเล่นงานเธออยู่ทุกภพทุกชาติ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วฉันจึงตัดสินใจไม่คิดกลับมาอีกและพยายามตั้งใจบำเพ็ญอย่างดีที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้ เธอเป็นคนแรกที่ฉันแนะนำ แต่จะเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่าไม่มีใครทราบ เพราะเวลาก็เหลือน้อยเต็มที เราไม่มีเวลาเล่นสนุกกับเกมบ้าๆ นี้อีกต่อไปแล้ว ฉันอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอนั่นคือ “ประทับจิต” ค้นหาพุทธะ ค้นหาพระเจ้าภายใน ค้นหาอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า นิพพานของเธอเอง ไม่มีใครช่วยเธอได้ เธอต้องขยันหมั่นเพียรค้นหามันด้วยตัวเอง อาจารย์มีหน้าที่เปิดประตูให้เธอ แต่ภายหลังจากนั้นเธอต้องเดินด้วยขาของเธอเอง เท่าที่ฉันค้นคว้ามาตลอดชีวิตยังไม่พบวิถีทางใดจะล้ำเลิศกว่านี้อีกแล้ว ฉันเรียนรู้มามากเธอก็คงรู้ แต่ฉันนำทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติจนเข้าใจ อย่างน้อยก็บางส่วน ฉันใช้ตัวเองทดลองกับมันมาจนแน่แก่ใจ และไม่ต้องไปไกลถึงโทรอนโต “อยู่ตรงนี้ที่ใจ” เราสองคนและคนอื่นก็มีเหมือนกัน น่าเสียดายที่เธอมีโอกาสเริ่มต้นพร้อมกับฉัน แต่เธอไม่เลือกมัน และทิ้งหนทางนี้ไป เท่ากับเธอละทิ้งความเป็นตัวของเธอเองไปด้วย เธอละทิ้งความยิ่งใหญ่ของเธอไป ละทิ้งพระพุทธเจ้าภายในของเธอ ละทิ้งพระเจ้าของเธอเอง แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอจะให้ฉันยอมรับเธอเช่นนั้นหรือ? ฉันจะยอมรับพระพุทธเจ้าที่หลงลืมตนเองไปได้อย่างไร แม้จะรู้ว่าเธอและสรรพสัตว์ต่างก็เป็นพระพุทธเจ้า หรืออย่างกับที่พระศากยมุนีพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า “สรรพสัตว์มีธรรมชาติของความเป็นพุทธะ” เธอคงไม่ต้องการยอมรับจากฉันหรอก ไม่เช่นนั้นเธอจะทิ้งมันไปได้นานขนาดนี้หรือ? เธอเลือกที่จะเป็นพระเจ้าในแบบของเธอ มันก็โอเค แต่เธอก็ต้องยอมรับผลแห่งการเลือกนั้นด้วย ฉันยังรอคอยเธอเสมอมาและหวังว่าชีวิตจะสอนบทเรียนอะไรกับเธอบ้าง ความทุกข์จะช่วยปลุกจิตใจของเธอได้บ้าง และมันก็นานเพียงพอแล้วสำหรับเธอ เธอกำลังจะพลาดสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเธอเองไป สิ่งที่เงินกี่แสนล้านก็มิอาจแลกมันมาได้ สิ่งที่ตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ใดๆ ของเธอในโลกไม่อาจแลกมา สิ่งที่เคยทำให้เจ้าชายพระองค์หนึ่งถึงกับละทิ้งพระราชวัง ข้าราชบริพาร ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย หญิงงาม ๕๐๐ นาง ประสาทสามฤดู ความยิ่งใหญ่ใดๆในโลก รวมทั้งภรรยาและบุตรเพื่อให้ได้มันมา ฉันไม่ได้เสียใจอะไรหรอก แค่เสียดาย และฉันก็รู้ว่าในที่สุดคนที่จะเสียใจที่สุดภายหลังจากชีวิตนี้ไปแล้ว ไม่ใช่ใครก็คือเธอนั่นเอง ความสำนึกเสียใจของเธอในที่สุดจะทำให้เธอจำต้องกลับมาใหม่เพื่อแก้ไขอีก ครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนที่ผ่านมา อะไรล่ะที่เธอจะนำติดตัวไปด้วยได้หลังความตาย? การศึกษา ความงาม ตำแหน่ง เงินทอง ฐานะ ชื่อเสียง ฯลฯ ของเธออย่างนั้นหรือ? บางทีฉันอาจจะโง่เกินไปที่จะอธิบายให้เธอเข้าใจได้ แต่เมื่อวันนี้เธอกลับมา ฉันก็ทำได้เพียงพูดเหมือนเดิม ย้ำเตือนเธออีกครั้งเท่านั้น มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเธอ การเลือกของเธอ สติปัญญาของเธอเอง ใช่! เราเคยมีบุญสัมพันธ์ต่อกัน แต่นั่นมันคือในอดีต ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ดูถ้าเธอจะยังคงยึดติดกับมันอยู่ มันถูกฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของเธอตั้งแต่ครั้งปางไหนก็ไม่ทราบ จงลืมเพื่อนของเธอคนนั้นไปซะ อย่าไปใส่ใจกับเขามากนัก เขาช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก ทำได้เพียงแนะนำเท่านั้น หากแต่จงเดินตามอาจารย์ เพราะท่านคือพระเจ้าบนโลกนี้ ฉันพูดได้แค่นั้น จากประสบการณ์ของฉันเอง สุดท้ายแล้วเธอควรจะทำอะไรเพื่อตัวเธอเองบ้าง ในวาระสุดท้ายของชีวิต ลืมเขาไปซะ! แล้วเรามาเป็นครอบครัวเดียวกัน “ครอบครัวกวนอิม”.... รักและคิดถึงเพื่อนเสมอ คนที่รักเธอ
14 พฤษภาคม 2554 05:04 น.

ความจริงที่อยู่เบื้องหลังอาหารของคุณ

คีตากะ

top.jpg



	
โดยเพื่อนบำเพ็ญหญิง ฮุย-มิง โทห์ อ็อกแลนด์ นิวซีแลนด์
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

คุณเคยเปิดตู้เย็นหยิบพาสต้ามา 20 จาน แล้วก็โยนทิ้งไปในถังขยะ แล้วทานเพียงจานเดียวหรือไม่? แล้วคุณเคยทำลายพื้นที่ป่าดงดิบจำนวน 55 ตารางเมตรเพื่อใช้เป็นอาหารกลางวันหนึ่งมื้อ หรือเทน้ำ 2,500 แกลลอนลงในท่อน้ำทิ้งหรือไม่? แน่นอนคุณไม่เคยทำ แต่การทานเนื้อสัตว์เพียงครึ่งกิโลกรัมก็เสมือนกับทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น การทานเนื้อสัตว์เป็นการทำลายทรัพยากร และเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความทุกข์แสนสาหัสกับสัตว์ และมีผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของเรา ดังนั้นถ้าได้ยินถึงการย่างสุนัขเพื่อไว้ทานกับมันฝรั่งบดทำให้คุณรู้สึกหดหู่ แล้วทำไมเราถึงย่างสัตว์ที่อ่อนโยนอื่น ๆ ด้วย?



waste-lagoon.jpg

ทะเลสาปของเสีย


ฟาร์มเซอร์เคิล ฟอร์ ผู้ผลิตเนื้อสุกรในรัฐยูท่า เป็นเจ้าของทะเลสาปของเสียจำนวน 3 ล้านตัน เมื่อน้ำในทะเลสาปเช่นนี้เอ่อทะลักเข้าไปในแม่น้ำและทะเลสาปอื่น ๆ ซึ่งได้เคยเกิดขึ้นแล้วในรัฐนอร์ธคาโรไลน่าเมื่อปี 2538 ผลที่เกิดขึ้นก็คือความหายนะทางสิ่งแวดล้อม


รายงานขององค์การสหประชาชาติได้ระบุว่า "วัว มิใช่รถยนต์ ที่เป็นอันตรายอันดับหนึ่งต่อสิ่งแวดล้อม" ซึ่งได้ให้เหตุผลว่าฝูงวัวที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้สร้างอันตรายที่น่ากลัวที่สุดให้กับสภาวะอากาศ ป่าไม้ และสัตว์ป่า การปศุสัตว์ผลิตของเสียมากกว่าประชากรสหรัฐอเมริกาทั้งหมดถึง 130 เท่า และของเสียเข้มข้นเหล่านี้ทำน้ำเน่า ทำลายดินชั้นบน และทำลายอากาศของเรา มากไปกว่านั้น กลุ่มก๊าซจากผิวหนังและปุ๋ยมูลของวัว ปลดปล่อยก๊าซมีเทนจำนวนหนึ่งในสามของทั้งหมด ซึ่งทำให้โลกเราอุ่นเร็วขึ้นกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่า ผู้ทานเนื้อสัตว์เป็นต้นเหตุ100 เปอร์เซนต์ของการผลิตของเสียเหล่านี้ในอัตรา 86,000 ปอนด์ต่อวินาที อย่างไรก็ตาม ด้วยการละเลิกเนื้อสัตว์ คุณจะไม่ใช่ผู้รับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้

นอกจากนี้ การบริโภคเนื้อสัตว์ของเรายังส่งผลกระทบต่อปริมาณทรัพยากรที่ทดแทนไม่ได้ น้ำในปริมาณ 2,500 แกลลอนจำเป็นในการผลิตเนื้อวัวแต่ละปอนด์ ในทางตรงกันข้าม เราใช้น้ำเพียงแค่ 29 แกลลอนในการผลิตมะเขือเทศหนึ่งปอนด์ และใช้น้ำ 139 แกลลอนสำหรับการผลิตขนมปังธัญพืชจำนวนหนึ่งปอนด์ น้ำในปริมาณครึ่งหนึ่ง และ 80 เปอร์เซนต์ของพื้นที่กสิกรรมในสหรัฐอเมริกา และผลิตผลถั่วเหลืองเกือบทั้งหมด และธัญพืชในปริมาณกว่าครึ่งหนึ่งในโลกนี้ ถูกใช้ไปกับการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ในขณะที่เรากำลังทำสิ่งนี้อยู่ ผู้คนจำนวน 1,000 ล้านคนกำลังอดอยาก และขาดสารอาหาร และมีเด็กจำนวน 24,000 คนที่เสียชีวิตในแต่ละวันข้าง ๆ ไร่ธัญพืชที่ถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ในปศุสัตว์ทางซีกตะวันตกของโลก อย่างไรก็ดี การขาดแคลนอาหารในโลกนี้จะถูกกำจัดไปถ้าทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของเรา นั้นถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเปลี่ยนที่ดินไปใช้ในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงประชากรโลก

 

somalian-famine-victims.jpg

เหยื่อของความอดอยากในโซมาเลีย



เหยื่อของความอดอยากในโซมาเลียเข้าแถวรอรับอาหาร การผลิดเนื้อวัวหนึ่งปอนด์ต้องใช้ธัญพืชจำนวน 4.8 ปอนด์ และนักวิจารณ์ระบบกสิกรรมแผนใหม่ของเราได้กล่าวไว้ว่าการแพร่ขยายการบริโภคเนื้อสัตว์นั้นจะทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารขึ้นในโลก

คุณทราบหรือไม่ว่ามีสัตว์จำนวน 130 ล้านตัวที่ถูกฆ่าในแต่ละปีที่นิวซีแลนด์? สัตว์ส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงในโรงงานฟาร์มซึ่งเป็นระบบที่ให้ผลผลิตในปริมาณมาก ที่สุดแต่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ผลที่ได้ก็คือ สัตว์เหล่านั้นจะได้รับเคราะห์กรรมอันแสนสาหัส ทั้งทางจิตใจและทางร่างกายในทุก ๆ วินาทีของชีวิต พวกเขาถูกจับให้เบียดเสียดกันในที่ขังสกปรกแคบ ๆ ไม่มีหน้าต่าง และไม่เคยอยู่กับครอบครัว เดินเล่นบนพื้นดิน หรือทำอะไรได้ตามธรรมชาติ ไม่เคยได้สัมผัสถึงแสงอาทิตย์ที่แผ่นหลังของพวกเขา หรือสูดอากาศบริสุทธิ์จนกว่าจะถึงวันที่พวกเขาถูกขนขึ้นบนรถบันทุกเพื่อไป โรงฆ่า มีสัตว์จำนวนมากกว่า 90 ล้านตัวที่นิวซีแลนด์ที่ต้องทนทุกข์กับสภาพเช่นนี้ และหลาย ๆ ชีวิตยังมีความรู้สึกเมื่อถูกปาดคอแล้วถูกปล่อยให้เลือดไหลจนกระทั่งเสียชีวิต



240-ffchickens8.jpg



การ ปฏิบัติอันโหดเหี้ยมอีกอย่างคือการไม่ให้อาหารกับสัตว์ปีกเป็นเวลา 14 วันเพื่อกระตุ้นร่างกายพวกเขาให้ออกไข่มากขึ้นเพื่อใช้เป็นอาหารให้กับ มนุษย์ และเนื่องจากไก่ตัวผู้ไม่มีประโยชน์ในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ พวกเขาจำนวน 100 ล้านตัวในแต่ละปีถูกบดเป็น ๆ หรือถูกโยนเข้าไปในถุงให้ขาดอากาศหายใจ อะไรอื่นอีก ที่โรงฆ่า ไก่จะถูกปาดคอ และพวกเขาจะถูกถลกหนังศรีษะเป็น ๆ และพวกเขาจะถูกจุ่มลงไปในน้ำร้อนเพื่อถอนขนในขณะที่พวกเขาส่วนมากยังมีชีวิต

แม้ ในปัจจุบันนี้ คนเลี้ยงวัวยังทำสัญลักษณ์ให้กับวัวด้วยการกดเหล็กเผาไฟบนผิวหนังในขณะที่ พวกเขาโอดร้องด้วยความเจ็บปวด ผลที่ตามมาก็คือการเผาไหม้ระดับสาม และอัณฑะของวัวตัวผู้ถูกตัดออกโดยไม่มีการใช้ยาชา นอกจากนี้ บริเวณที่ฝูงวัวถูกเลี้ยงนั้นเต็มไปด้วยสารเคมี ควันพิษเหล่านี้ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้การหายใจของพวกเขาทรมาน


100-pig06.jpg


วัวถูกทำให้ท้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้สามารถผลิตน้ำนมได้ และลูกวัวจะถูกแยกออกไปเพื่อให้คนสามารถดื่มนมวัวจากการคลอดลูกวัวโดยตรง เครื่องรีดนมจะถูกนำมาติดกับแม่วัวหลาย ๆ ครั้งในแต่ละวัน และใช้วิธีดัดแปลงพันธุกรรม ใช้ฮอร์โมนกำลังสูง และการรีดนมอย่างรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ผลิตน้ำนมมากกว่าตามธรรมชาติ 10 เท่า สิ่งนี้ส่งผลให้แม่วัวกว่าครึ่งต้องทุกข์ทรมานทุกวันจากการอักเสบที่เต้านม อย่างรุนแรง

สัตว์ในอุตสาหกรรมฟาร์มไม่มีกฎหมายปกป้องจากความโหดร้ายทารุณ ซึ่งจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายถ้าเกิดขึ้นกับสัตว์เลี้ยงตามบ้าน เช่นการถูกละเลย การดัดแปลงพันธุกรรม การใช้ยาที่ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดเรื้อรัง การพิการ และการฆ่าอย่างโหดเหี้ยม นายโรเบิร์ต ลุยส์ สตีเวนสัน นักประพันธ์ และกวี ได้กล่าวไว้ว่า "เราบริโภคซากศพของสิ่งมีชีวิตที่มีความอยาก ความรู้สึก มีอวัยวะเหมือน ๆ กับเรา" แม้กระนั้น การที่สัตว์ถูกเลี้ยงในฟาร์มก็ไม่ได้ด้อยกว่าในด้านความฉลาด หรือความรู้สึกเจ็บปวด ไปกว่าสุนัขหรือแมวที่เราเอ็นดูอย่างเพื่อนคู่กาย

สิ่งนี้บ่งบอกได้จากรายงานบ่อยครั้งเกี่ยวกับวัวที่ข้ามรั้วสูง 6 ฟุตเพื่อหลบหลีกโรงฆ่าสัตว์ เดินเป็นระยะทาง 7 ไมล์เพื่อไปหาลูก และว่ายข้ามแม่น้ำเพื่อความเป็นอิสระ สุกรก็มีความฉลาดด้วยเช่นกัน จากการวิจัยของ ดร.โดนอลด์ บรูม ทีปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ให้กับรัฐบาลอังกฤษ "[สุกร]มีความสามารถในการจดจำในระดับสูง อาจจะเหนือกว่าสุนัข และเด็กสามขวบอย่างแน่นอน"

ก้าวที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อรักษาโลกของเรา และลดความทุกข์ทั้งของสัตว์และมนุษย์ ก็คือการเป็นมังสวิรัติ อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์นั้นอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตชนิดซับซ้อน โปรตีน ไยอาหาร โอเมก้า 3 ไวตามินและสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์ สร้างนิสัยการทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี หลักฐานสำคัญที่สามารถพบได้ในหนังสือ "การวิจัยในประเทศจีน" โดยศาสตราจารย์ ที. คอลิน แคมป์เบลล์ ซึ่งกล่าวไว้ว่า "ภายใน 10 ปีข้างหน้า สิ่งที่เราจะได้ยินก็คือโปรตีนจากสัตว์นั้นเป็นสารอาหารที่เป็นพิษที่ อันตรายที่สุด...ความเสี่ยงกับโรคนั้นสูงขึ้นอย่างน่าใจหายเมื่อได้ทาน โปรตีนจากสัตว์เพียงเล็กน้อย" การวิจัยหลาย ๆ ชิ้นได้กล่าวไว้ว่าเด็กมังสวิรัตินั้นมีไอคิวที่สูงกว่าเพื่อนร่วมชั้นอื่น ๆ และผู้เป็นมังสวิรัติมีชีวิตยืนยาวกว่าคนทานเนื้อสัตว์ 6 ถึง 10 ปี นอกจากนี้ พวกเขามีโอกาสเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งน้อยกว่า50เปอร์เซนต์ สิ่งที่เพิ่มขึ้น คนทานเนื้อสัตว์มีโอกาสอ้วนมากกว่าคนเป็นมังสวิรัติ 9 เท่า อาหารมังสวิรัติให้สารอาหารทุกชนิดที่เราต้องการ ยกเว้นไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และของเสีย

ในทางกลับกัน หลาย ๆ คนได้โต้แย้งว่าพืชก็เป็นสิ่งมีชีวิตด้วยเหมือนกัน สิ่งนี้ก็เป็นความจริง แต่พืชมีจิตสำนึกเพียง 10 เปอร์เซนต์ ในขณะที่สัตว์มีจิตสำนึกเท่ากับมนุษย์ เนื่องจากพืชไม่สามารถเคลื่อนย้ายตัวเองได้ ความรู้สึกจากความเจ็บปวดจึงเป็นเพียงผิวเผิน ดังนั้น พืชจึงต่างกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างสิ้นเชิง ถ้าเราตัดต้นไม่เพียงก้านเดียว หรือเด็ดใบไม้ เขาจะดำรงชีวิตอยู่ได้และเติบโตต่อไป ในทางตรงกันข้าม สัตว์นั้นไม่ปรารถนาที่จะถูกตัดอยู่เป็นประจำ คุณสามารถตัดขาวัวหนึ่งตัวและตั้งความหวังว่าขาใหม่จะงอกออกมาอีกได้หรือ ไม่?

การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารนั้นสร้างความยุ่งเหยิงให้กับโลก สิ่งแวดล้อม ทรัพยากร และสุขภาพของเรานั้นเสื่อมลง และแม้ว่าเราส่วนใหญ่จะไม่ได้เป็นผู้ฆ่าสัตว์โดยตรง มนุษย์ได้สร้างนิสัยที่ได้รับการสนับสนุนจากสังคมให้ทานเนื้อสัตว์โดยไม่ ตระหนักให้ถ่องแท้ว่าสัตว์นั้นได้รับอะไรบ้าง มันได้ถูกกล่าวไว้ว่า "ถ้าคนได้เยี่ยมชมโรงฆ่าสัตว์ เขาจะกลายเป็นมังสวิรัติตลอดชีวิต เพราะว่ามันคือเราเองที่สร้างเสียงร้องโอดครวญจากความเจ็บปวดและความกลัวของ พวกเขา" ดังนั้น ถ้าคุณตัดสินใจที่จะย่างสัตว์ที่น่าเอ็นดูอีกครั้ง...จำไว้ว่าคุณกำลังทาน เนื้อของสัตว์ที่เปรียบเสมือนเนื้อของสัตว์อันเป็นที่รักของคุณ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ สัตว์ตัวนี้ได้ถูกทำทารุณกรรม

 

มีภาพน่าสะพรึงกลัวในเว็บไซต์เหล่านี้
http://www.goveg.com/photos.asp
http://www.viva.org.uk/photogallery/galleryindex.htm

โปรดดูแผนภาพโลกของผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการปศุสัตว์ตามเว็บไซต์ข้างล่างนี้:
http://www.virtualcentre.org/en/library/key_pub/longshad/a0701e/A0701E09a.pdf

 

forest-1.jpg
		
ป่าดงดิบ - ปอดสีเขียว



forest-2.jpg

ของโลก 	การเผาป่าทำลายระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ 	



forest-3.jpg


ทิวทัศน์ที่แห้งแล้งและไหม้เกรียมนี้
เกิดจากแฮมเบอร์เกอร์เพียงไม่กี่ชิ้น!

 

* ผู้เขียนเป็นนักเรียนในชั้นมัธยมปีสุดท้ายวัย 17 ปี บทความนี้คือการประเมินภายในซึ่งผู้เขียนได้รับรางวัลผลการเรียนดีเลิศ 



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org				
14 พฤษภาคม 2554 03:36 น.

การเตือนภัยโลกร้อน...

คีตากะ

global_warmig.jpg




Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.com				
14 พฤษภาคม 2554 03:36 น.

วิธีที่จะค้นพบทรัพย์สมบัติภายใน

คีตากะ

n277.jpg ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ โรงแรมปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ ประเทศไทย
วันที่  4 ธันวาคม 2537 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ตัดทอน)

บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์ ฟอร์โมซา กรกฎาคม 2539



      คนไทยสุภาพอ่อนโยนและนิ่มนวลมาก พวกเขาไม่ทำอะไรแบบเร็วๆ เร่งร้อน ฉะนั้นเวลาพวกลูกศิษย์ติดป้ายว่า “การรู้แจ้งฉับพลัน” ฉันจึงไม่รู้ว่ามันจะชวนใจคนไทยหรือเปล่า ฉันกำลังคิดไปว่าบางทีเราควรจะเปลี่ยนเป็น “การรู้แจ้งแบบช้าๆ” (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ฉันรู้สึกแปลกใจนะที่เห็นว่ามีคนมากันมากเพราะฉะนั้นบางทีมันอาจจะไม่เป็นไรก็ได้  ความจริงแล้ว เราช้ากันมามากแล้วในการได้รับการรู้แจ้ง เพราะว่าเรามีความสุขเพลิดเพลินกับสิ่งสร้างสรรค์ต่างๆ ทางวัตถุทางร่างกายมาหลายชาติ

สำหรับบางคนก็หลายร้อยหลายพันหรือหลายล้านชาติมาแล้ว จึงรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่ายกับละครทางโลกวัตถุนี้เต็มที เราอยากจะมีวิธีที่เร็วๆ บางวิธีที่จะได้รู้แจ้งจะได้กลับบ้าน จะได้กลับสู่ดินแดนแห่งพุทธะ หรือกลับสู่อาณาจักรของพระเจ้า นี่เป็นคำศัพท์ที่แตกต่างกันในศาสนาต่าง? บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่คนมาขอรับการรู้แจ้งฉับพลันเพราะว่าพวกเราบางคนไม่อยากจะอยู่ในโลกนี้นานเกินความจำเป็นนานกว่าชาตินี้

ฉันก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันนี้ก่อนที่ฉันจะไปอยู่ภูเขาหิมาลัย หลังจากที่ฉันได้เรียนรู้เห็นความทุกข์ยากและหายนะต่าง ๆ มากมายในโลกนี้แล้ว ฉันรู้สึกว่าตัวเองก็กำลังร่วมทุกข์และเจ็บปวดไปกับผู้คนในโลกนี้ และฉันปรารถนาจะมีวิธีการช่วยบรรเทาทุกข์แบบรวดเร็วทันทีไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ถึงแม้ว่าฉันจะต้องสละชีวิตของฉันก็ตาม บางทีด้วยเหตุนี้พระเจ้าหรือพุทธะจึงสงสารฉันและทำให้ความปรารถนาของฉันสมหวัง

เมล็ดพันธุ์แห่งการรู้แจ้งอยู่ภายใน

ฉะนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับเพื่อนบำเพ็ญของเรามากมายหลายพันคนทั่วโลก เมื่อหัวใจของพวกเขากำลังร่ำร้องหาความเป็นอิสระหลุดพ้น เมื่อหัวใจของพวกเขากำลังใฝ่หาสัจธรรมใฝ่หาปัญญาที่สูงสุดด้วยความจริงใจ พุทธะทั้งสิบทิศหรือพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพก็ได้ทำให้พวกเขาสมความปรารถนาเช่นกัน พวกเขาได้รู้แจ้งแล้วเช่นกัน และรู้แจ้งมากขึ้นๆ ทุกวันด้วยการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม ถ้าหากว่ามีผู้อื่นใดในอนาคตที่อยากจะได้รับพรเดียวกันนี้ด้วย พวกเราก็สามารถแบ่งปันสิ่งนี้กับพวกคุณได้เพราะว่าผลหรือเมล็ดพันธุ์ของการรู้แจ้งอยู่ในตัวเราเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปหามันที่ไหน ดังนั้น เราเคยเห็นในคัมภีร์โบราณต่างๆมาแล้วว่าพุทธะท่านต่างๆ หรืออาจารย์ต่างๆ ได้รับการรู้แจ้งในสถานที่ต่างๆ กันและด้วยความมานะพยายามแบบต่างๆในช่วงเวลาต่างๆกัน บางท่านก็ฝึกบำเพ็ญแบบวินัยจัดเคร่งครัด บ้างก็บำเพ็ญแบบสบายๆเป็นฆราวาส บางคนใช้เวลานานหลายปีหรือตลอดชีวิตจึงบรรลุการรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ บางคนก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน บางคนก็รู้แจ้งทันที

เด็กๆ ก็สามารถรู้แจ้งได้เช่นกัน


มีโพธิสัตว์ผู้หนึ่งในแวดวงที่ใกล้ชิดกับพระศากยมุนีพุทธเจ้าในตอนนั้น ท่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวมังกรอายุแปดขวบได้บรรลุความเป็นพุทธะ ฉะนั้นก็หมายความว่า อายุ เพศ พวกคุณรู้นะ อย่างเช่น ชาย หญิงหรือยีนต่างๆ (หน่วยพันธุกรรม) เช่น ดีเอ็นเอ ไม่ว่าจะเป็นมังกรหรือมนุษย์ หรือว่าสถานที่ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรเลยสำหรับความเป็นนักบุญ สำหรับการรู้แจ้ง ก็อย่างที่เรารู้ว่ามังกรอาศัยอยู่ก้นทะเลลึกคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นนะ และเธอก็เป็นเด็กอายุแค่ 8 ขวบ ถ้าพวกคุณคนไหนเคยอ่านปุณฑริกสูตรก็จะรู้

ทีนี้ถ้าเด็กหญิงอายุ 8 ขวบสามารถบรรลุความเป็นพุทธะได้ก็หมายความว่ามันคงจะต้องเป็นในทันทีหรืออาจจะ 2 ปีเป็นอย่างมาก เพราะว่าตั้งแต่สมัยโบราณมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้เป็นอาจารย์จะไม่ประทับจิตให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ฉะนั้นระยะเวลาที่มากที่สุดที่ลูกมังกรตัวนั้นจะใช้เพื่อได้รู้แจ้งก็คงจะเป็น 2 ปีบรรลุความเป็นพุทธะนะ ไม่ใช่รู้แจ้ง

เรามักจะเคยได้ยินบ่อยๆ ว่ามีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถกลายเป็นพุทธะได้ เฉพาะมนุษย์สามารถได้รู้แจ้งและก็เฉพาะเด็กผู้ชายหรือผู้ชายที่กลายเป็นพุทธะได้ ตอนนี้ก็มีอีกเรื่องหนึ่งแล้วที่ขัดกัน เด็กผู้หญิง ผู้หญิง หรือแม้แต่เด็กเล็กๆ ก็สามารถได้รับการรู้แจ้งเช่นกัน เรามีเด็กๆหลายคนที่อยู่ในประเภทที่คล้ายๆ กันนี้ด้วย พวกเขาได้รู้แจ้งตอนอายุยังน้อยมาก ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงสรรเสริญยกย่องผู้บำเพ็ญที่ศึกษาสัจธรรมมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าเวลาเราอายุน้อย จิตใจของเราจะบริสุทธิ์กว่าและมันจะง่ายกว่าในการที่จะยกระดับตัวเราเองขึ้นสู่ระดับของความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น สู่ระดับจิตสำนึกภายในที่สูงขึ้น

แต่คนโบราณเหล่านี้ได้รับการรู้แจ้งและในที่สุดวันหนึ่งได้บรรลุความเป็นพุทธะกันได้อย่างไร? นี่เป็นคำตอบที่เราต้องรู้โดยการบำเพ็ญอย่างวินัยจัดเคร่งครัด หรือแบบสบายๆ ผ่อนคลายหรือจากความบริสุทธิ์ของความเป็นเด็ก บางทีอาจจะจากทั้งหมดทุกอย่างนี้ก็ได้ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อย่างแท้จริงที่เราได้รู้แจ้ง มันมีความลับอยู่อย่างหนึ่งตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว และก็จนเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น มันถึงได้รับการเปิดเผยต่อคนทั่วไปไม่มากก็น้อย

เพราะว่าในสมัยโบราณถ้าใครอยากจะศึกษาวิธีลับนี้กับผู้เป็นอาจารย์ พวกเขาจะต้องข้ามน้ำข้ามเขาและทำอะไรหลายอย่างที่เหนื่อยยากลำบากกายเพื่อจะ ได้รับความรักและให้อาจารย์ยอมรับเป็นลูกศิษย์ในตอนนั้น เหตุผลมีอยู่หลายข้อ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าในสมัยโบราณการบำเพ็ญแบบที่เป็นเรื่องลึกลับเข้าใจ ยากเกี่ยวกับทางจิตวิญญาณแบบนั้นจะทำให้เกิดอันตรายมากมายต่อผู้เป็นอาจารย์ และลูกศิษย์ มีการรบกวนกลั่นแกล้งมากมายจากผู้คนจากรัฐบาลและจากองค์กรศาสนาที่ไม่เชื่อ ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะมีอยู่นอกระบบศาสนาของพวกเขา เพราะฉะนั้นทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับและทำอะไรไม่ให้ คนสังเกตเพื่อจะได้ไม่ชักนำอันตรายเข้ามาหาตัวเอง

ผู้เป็นอาจารย์เสี่ยงทุกอย่างเพื่อเตือนให้เรานึกถึงความยิ่งใหญ่ของเรา

ดูจากกรณีของพระเยซู ของประกาศกโมฮัมเหม็ด และแม้แต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ตาม ทุกท่านถูกรบกวนกลั่นแกล้งไม่มากก็น้อยในช่วงเวลาที่พวกท่านเทศน์สอน ฉันศึกษาคัมภีร์ต่างๆ มาหลายคัมภีร์ในอินเดียจากศาสนาต่างๆ มหาอาจารย์หลายท่านของศาสนาต่างๆถูกกลั่นแกล้งรบกวน บางครั้งก็ถูกด่าว่าหรือเผาทั้งเป็นเพราะว่าพวกท่านเทศน์สอนสัจธรรม กระทั่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระองค์มีชื่อเสียงมากเกิดมาอย่างสูงส่งมีสกุล พระองค์เป็นเจ้าชายและชื่อเสียงความเมตตา และปัญญาของพระองค์ก็แพร่ไปทั่วประเทศอินเดียและประเทศใกล้เคียง แต่กระนั้นหลายคนและลัทธินิกายทางศาสนาแบบต่างๆ ก็ยังกลั่นแกล้งพระองค์และพยายามจะลอบฆ่าพระองค์ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่สำเร็จ

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือบางทีผู้เป็นอาจารย์อาจจะอยากให้ลูกศิษย์รู้คุณค่าของสิ่งที่ท่านให้แก่พวกเขา ถ้าพวกเขาได้มันมาด้วยการทำงานหนักและจากการทรมานตัวเองเพื่อลบล้างความผิด เพราะผู้เป็นอาจารย์รู้ว่าจิตวิทยาของมนุษย์เป็นแบบนั้นบ้างเหมือนกัน สิ่งใดที่เราทำงานหนักเพื่อให้ได้มาหรือเราพยายามไล่ตามแสวงหา เราก็อาจจะเห็นคุณค่ามันมากกว่าสิ่งที่เราได้มาแบบง่ายๆ สบายๆ เกินไป

ด้วยเหตุนี้จึงมีการทดสอบการทดลองต่างๆมากมายสำหรับลูกศิษย์ก่อนที่อาจารย์จะรับพวกเขาเป็นลูกศิษย์เสียอีก ในสมัยก่อน ผู้เป็นอาจารย์บังคับให้ลูกศิษย์ทิ้งบ้าน ทิ้งความสุขความยินดีทางด้านเนื้อหนัง สละชีวิตที่สุขสบายทุกอย่างเพื่อติดตามเขาและให้เขาทำงานที่ใช้แรงงานเพียงเพื่อจะทดสอบความเข้มแข้งและความจริงใจของลูกศิษย์ ในคัมภีร์เก่าๆ เราได้อ่านเรื่องราวต่างๆหลายเรื่องที่เป็นการฝึกแบบคล้ายๆ กัน แต่ในสมัยใหม่ฉันไม่คิดว่าการทำแบบนั้นจะได้ผล เพราะว่ามีคนไม่มากที่จะมีเวลาให้อาจารย์ทดสอบไม่ใช่ว่าวิธีทดสอบนั้นจะไม่ดี มันดีมาก มีคุณค่ามากและมีประโยชน์มาก

ประโยชน์อย่างหนึ่งก็คือผู้เป็นอาจารย์จะรับภาระน้อยลงจากกรรมสะสมของลูกศิษย์ เพราะว่าเขาทำงานชดใช้มันและอาจารย์ก็ใช้บททดสอบต่างๆ ความยากลำบากต่างๆ เพื่อฝึกฝนเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์เพื่อทำให้เขาบริสุทธิ์ขึ้นในคำพูด การกระทำ และความคิดแบบนั้นแล้วผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่ต้องทำงานหนักมากกับตัวเขาในเวลา ที่ประทับจิตให้ไม่ต้องรับกรรมของลูกศิษย์ที่เป็นภาระหนักมากขนาดนั้น

เพราะฉะนั้นก็มีประโยชน์บางอย่างในการทดสอบและทดลองต่างๆ ที่อาจารย์ในสมัยโบราณทำต่อลูกศิษย์ แต่วิธีนี้ก็ทำให้มนุษยชาติเสียเปรียบหลายอย่างเช่นกันทำให้โลกของเรายังอยู่ในสภาวะที่ถดถอยเมื่อเทียบกับโลกอื่นๆ อีกหลายโลกที่เจริญกว่าก้าวหน้ากว่าในจักรวาล เป็นเหตุให้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เราจึงยังมีการแบ่งแยกทางศาสนาหรือมีสงครามศาสนา แม้กระทั่งภายในศาสนาเดียวกันและทำให้โลกของเรายังทุกข์ทนกับความหิวโหยและความอยุติธรรมมากมาย กระทั่งจนปัจจุบันนี้ในหลายประเทศคำสอนแบบของเรา แบบของพระพุทธเจ้าและแบบของพระเยซูก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยแก่คนทั่วไป และมันจะเข้าศตวรรษที่ 21 อยู่แล้ว มนุษย์ลงไปเหยียบดวงจันทร์ ไปสำรวจดาวอังคาร ฯลฯ มาแล้ว แต่ผู้คนยังคงถดถอยมากในด้านความคิดและในด้านความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของพวกเขา

แต่การที่จะเปิดเผยความลับต่อคนทั่วไปก็ยังไม่ง่ายเหมือนกับที่เราอยากจะให้ มันเป็นอย่างนั้น อาจารย์หลายท่านจึงเสียชีวิตไปเพราะการเสี่ยงบอกคนทั่วไปถึงปัญญาที่สืบทอด อยู่ภายในตัวพวกเขาเอง เสี่ยงชีวิต เสี่ยงชื่อเสียงและความสบายของพวกเขาเพื่อจะยกระดับความรู้ทางจิตวิญญาณของ พวกเขา ข่าวสารทางจิตวิญญาณใดๆที่เรามีในปัจจุบันนี้ก็เป็นสิ่งที่บรรดาอาจารย์ใน สมัยโบราณได้ทิ้งเอาไว้และเราเป็นหนี้พวกเขามาก อะไรก็ตามที่เรารู้แม้จะเพียงเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ทุกวันนี้นั้นเราเป็น หนี้สิ่งเหล่านั้นต่อมหาอาจารย์ทุกๆท่านในอดีต ด้วยเหตุนี้บางทีคนจึงชอบสร้างวัด สร้างโบสถ์ และสุเหร่าต่างๆเพื่อระลึกถึงมหาอาจารย์ทั้งหลายเพื่อแสดงความกตัญญูต่อมหา อาจารย์เหล่านี้ผู้ซึ่งเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขของโลก แต่ว่าการสร้างวัดสร้างโบสถ์ก็ยังไม่พอ มันยังไม่พอที่เรารู้สึกขอบคุณต่ออาจารย์เหล่านั้น แต่เราต้องใช้ข่าวสารต่างๆ ที่พวกท่านทิ้งไว้ให้เราให้เป็นประโยชน์ด้วย เพราะว่านั่นเป็นวัตถุประสงค์ของการที่พวกท่านมายังโลกนี้ซึ่งก็คือเพื่อ เตือนใจเราให้ระลึกถึงธรรมชาติพุทธ? (ธรรมชาติพระเจ้า) ระลึกถึงปัญญา ถึงอาณาจักรของพระเจ้าภายในตัวเราเอง และเราต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งหมดของเราเพื่อที่จะค้นพบมันเลยทีเดียว

เพราะว่าอาจารย์ทั้งหลายไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมีความสุขชื่นชมกับความเคารพยกย่องนับถือและการบูชาของคนในโลก พวกท่านมาเพื่อทำให้พวกเขากลายเป็นอาจารย์ด้วยเช่นกัน เพื่อเตือนให้พวกเขาระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาภายในตัวเอง นั่นคือวัตถุประสงค์ของผู้เป็นอาจารย์ทั้งหลาย

พระพุทธเจ้ากล่าวว่าฉันมาเพื่อทำให้พวกเธอเข้าใจธรรมชาติพุทธะของเธอ พระองค์บอกว่าพระพุทธเจ้าและสรรพสัตว์ทั้งหลายเท่าเทียมกันไม่มีอะไรแตกต่างกัน แม้ว่าเราจะเชื่อและนับถือพระพุทธเจ้า แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าธรรมชาติพุทธะเป็นอย่างไร เพราะว่าไม่มีใครสอนเรา หรือบางทีเราอาจจะไม่ได้พยายามให้มากพอที่จะเข้าใจด้วยตัวของเราเอง สำหรับคนที่โชคดีได้พบมันด้วยตนเองแล้วก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวมาหลายครั้งแล้วในอดีต ในหลายๆ ชาติ มันก็จะยากมากขึ้นทุกทีๆ

คนที่มีตาทิพย์บางคนซึ่งมีตาที่สามเปิดแล้วและมีพรสวรรค์ในการมองเห็นแบบคนในสวรรค์ พวกเขาได้เห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยดวงวิญญาณเก่าๆ หมายความว่าคนในโลกนี้กลับมาใหม่อีกครั้งแล้วครั้งเล่ามายังโลกเดิม มาอยู่ในสถานการณ์แบบเดิม มีความเป็นอยู่แบบเดิม มันเป็นเพราะว่าเราล้มเหลวในครั้งแรกในการที่จะกลับบ้าน และเราก็ล้มเหลวเป็นครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 และหลายพันครั้งในการที่จะระลึกขึ้นได้ว่าเรามาจากไหน เพราะว่าเราลืมธรรมชาติพุทธะของเราไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราเสียมันไปแล้ว เรายังสามารถจะหามันพบได้ในเวลาใดก็ได้ คนหลายแสนหลายล้านคนในโลกนี้ได้พบทรัพย์สมบัติของพวกเขาแล้วรวมทั้งตัวฉันเองด้วย และพวกคุณก็จะพบได้เช่นกัน

หลังการรู้แจ้งทุกสิ่งก็กลายเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์

หลายคนถามฉันว่า “หลังจากรู้แจ้งแล้ว ท่านจะกลายเป็นอย่างไร? บุคลิกลักษณะของท่านเปลี่ยนไปอย่างไร? ท่านใช้ชีวิตอย่างไร? ท่านคิดอย่างไร? ท่านทำอะไรหลังจากรู้แจ้งแล้ว หรือหลังจากถึงความเป็นพุทธะแล้ว” ฉันคิดว่าพวกคุณก็อยากจะรู้เหมือนกัน ใช่ไหม? ใช่หรือไม่? (ผู้ฟัง: “ใช่!” คนปรบมือ) ฉันจึงบอกพวกเขาไปว่า “หลังจากรู้แจ้งแล้ว? เวลาหิวฉันก็กิน เวลาเหนื่อยฉันก็นอน” แต่ว่านั่นเป็นแค่ในส่วนร่างกายของตัวฉันเองเท่านั้นที่กำลังทำอย่างนั้น ส่วนอื่นซึ่งเป็นส่วนทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นธรรมชาติพุทธะได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว และกำลังทำบางสิ่งบางอย่างอย่างอื่นไปพร้อมๆ กับงานหน้าที่ทางร่างกาย ฉะนั้นนั่นก็หมายความว่าถ้าบุคคลหนึ่งกลายเป็นพุทธะแล้ว คุณอาจจะบอกไม่ได้จากภายนอกว่าเขาได้บรรลุอะไรแล้วภายใน คุณบอกไม่ได้ด้วยตาเนื้อหรือการรับรู้เห็นทางกายว่าบุคคลนั้น รู้แจ้งแล้ว หรือว่ากลายเป็นพุทธะแล้วหรือไม่ แต่ถ้าเรามีการรับรู้ทางจิตวิญญาณเปิดแล้ว ปัญญาของเราเปิดแล้ว และเราฝึกสมาธิหรือเรามีพรสวรรค์ทางด้านจิตวิญญาณมาตั้งแต่เกิด เราก็จะสามารถบอกได้หรือเราสามารถจะบอกได้ ถ้าเราศึกษากับพุทธะท่านนั้น ตอนนั้นเราจะค้นพบว่าบุคคลคนนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร

มันก็เหมือนกับยิ่งเราเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น เราก็ยิ่งรู้ว่าครูภาษาอังกฤษของเราเก่งแค่ไหนเมื่อเขาพูดภาษาอังกฤษไม่อย่างนั้นบางทีเราก็อาจจะรู้เพียงนิดหน่อย แต่เราจะตัดสินความรู้ของครูไม่ได้ ถ้าเราไม่ดำเนินไปตามทิศทางเดียวกันและศึกษาวิถีเดียวกัน

ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็ยังคือเราค้นพบความยิ่งใหญ่ของตัวเราแล้วเราก็จะสามารถตัดสินความยิ่งใหญ่ของผู้อื่นได้ มิฉะนั้นก็อย่างที่เรารู้ว่า พระพุทธเจ้าก็ยังต้องกินเวลาท่านหิวแม้จะแค่วันละมื้อ และเวลาเหนื่อยท่านก็พักผ่อน และก็มีการเจ็บไข้ได้ป่วยบางอย่างด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและอนามัยของสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่าจะมีอยู่ส่วนหนึ่งของพุทธะซึ่งไม่เคยเจ็บป่วยไม่เคยเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย ไม่เคยหิว นั่นก็คือตัวตนที่แท้จริง นั่นคือพุทธะที่แท้จริงซึ่งพวกเราทุกคนมีอยู่ภายในตัวเราเอง ก่อนที่เราจะเกิดและหลังจากที่เราตายแล้ว เราก็ยังมีสิ่งนั้นอยู่

ธรรมชาติพุทธะของเราดำรงอยู่ตลอดเวลา

นั่นคือวัตถุประสงค์ของการที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้และของการที่เรากำลังจะไปที่อื่นใด นั่นก็คือเพื่อแบ่งปันข่าวดีนี้กับพวกคุณว่าเราสามารถพบกับธรรมชาติพุทธะของเรา ตัวตนที่แท้จริงของเราอีกครั้งหนึ่งซึ่งไม่เคยตาย ไม่เคยเกิด ไม่เคยเจ็บป่วยและดำรงอยู่ตลอดเวลา แน่นอนนี่เป็นของขวัญที่ให้ฟรีเสมอทุกเวลา (คนปรบมือ) พวกคุณชอบของฟรีหรือ? (อาจารย์หัวเราะ) ใช่แล้ว มันหายากนะ ปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก มันก็ฟรีเหมือนกัน แต่ว่าเราก็ต้องทำงานเพื่อมันด้วย หมายความว่าหลังจากที่ปัญญาเปิดออกเป็นครั้งแรกแล้วเราก็ต้องพยายามสงวนรักษามันไว้ พัฒนาและทำให้มันก้าวหน้าสูงขึ้นสู่ความเป็นพุทธะด้วยความมานะพยายามของตัวเราเอ ด้วยการทำสมาธิทุกวัน นอกจากการนั่งสมาธิทุกวันๆ ละ 2-3 ชั่วโมงในส่วนของพวกคุณแล้วนอกเหนือจากนั้นทุกอย่างฟรีหมด ทั้งเวลาคำแนะนำ พลังงานความช่วยเหลือของฉันทุกอย่างฟรีทุกเวลาไม่ว่าเวลาใด และมันก็ฟรีเพราะว่าฉันหาเงินได้เอง ฉันดูแลตัวฉันเองได้ ฉันไม่ต้องการเงินบริจาคของพวกคุณ

มันเป็นการดีนะที่มีพุทธะรวยๆ (อาจารย์หัวเราะ) หมายความว่าถ้าฉันเป็นพุทธะนะ หมายความว่าถ้าคุณเชื่อว่าฉันเป็นพุทธะนะ คนส่วนใหญ่คิดว่าฉันเป็นพุทธะ แต่ฉันไม่คิดอะไรเลย ฉันเพียงแต่ทำหน้าที่ของฉันในฐานะพี่สาวคนหนึ่งในโลกเพื่อตอบแทนความกรุณาของพวกคุณ เพราะว่าเนื่องจากความกรุณาของผู้คนในโลก ฉันจึงเติบโตขึ้นมาได้ ฉันจึงได้รับการศึกษาได้มีตาปัญญาเปิดกว้าง ฉะนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันมอบเวลาและพลังของฉันเพื่อโลกนี้

ทุกคนเป็นพี่น้องกัน

ก็เหมือนกับพวกเด็กๆ หลังจากที่พ่อแม่แก่แล้วและพวกเขาเติบโตขึ้นมาพวกเขาก็ดูแลพ่อแม่ในฐานะของลูกที่กตัญญ? ฉะนั้นด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเกียรติสำหรับฉันที่ได้ช่วยเหลือบริการผู้คน ดังนั้นฉันจึงให้สิ่งใดก็ตามที่ฉันมีรวมทั้งเงินทองของฉัน ความสงสารเห็นอกเห็นใจ ความรักและเวลาของฉัน เพราะว่าจากพุทธทั้งหลายและจากสิ่งที่เราเห็นหลังจากรู้แจ้งแล้วนั้นทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นแต่เพียงเพราะว่ามีคนที่ทุกข์ยากในโลกนี้ทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้น เราจึงต้องช่วยในเรื่องใดก็ตามที่เราทำได้ไม่ใช่ว่ามีใครเป็นครูหรือใครเป็นลูกศิษย์

แน่นอนเวลาเราใฝ่หาอยากได้ปัญญาและการหลุดพ้นมาก และเราได้พบเพื่อนที่ดีซึ่งเต็มใจจะช่วยเราโดยไม่มีพันธะใดๆ แล้ว ในสภาวะของเราที่เรายังไม่รู้อยู่นั้นเราก็จะรู้สึกขอบคุณมาก และก็แน่นอนเราจะเคารพบูชาผู้ที่เรียกว่าครู หรือเพื่อนทางจิตวิญญาณผู้นั้น และผู้ที่เรียกว่าครูผู้นั้นบางครั้งก็ต้องทนทุกข์กับความบูชาความรัก ความเคารพของผู้ที่เรียกว่าลูกศิษย์ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่จำเป็นเลยถ้าพวกเราทุกคนเท่าเทียมกัน ถ้าพวกเราทุกคนล้วนมีธรรมชาติพุทธะและคุณสมบัติแบบพระเจ้าอยู่ภายใน ก็ไม่มีใครควรจะขอบคุณต่ออีกฝ่ายหนึ่งสำหรับสิ่งใดเลย สิ่งสำคัญอย่างเดียวสำหรับเราที่จะทำก็คือถือคำสอนของครูคนใดก็ตามที่เราไว้วางใจ และฝึกปฏิบัติอย่างขยันขันแข็งจนกว่าเราจะไปถึงสภาวะเดียวกันกับครูคนนั้น นั่นคือการขอบคุณที่ดีที่สุดจากนักเรียน

แน่นอนพวกเราไม่ใช่ทุกคนจะเคยชินกับวิถีชีวิตแบบนักบุญเช่นในสมัยโบราณ เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกอึกอักไม่เต็มใจที่จะก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญ เรามีความกลัวหลายอย่าง แต่ว่านี่ไม่ควรจะมาเป็นข้ออ้าง เราควรจะกลัวก็ต่อเมื่อเราทำอะไรไม่ดี ทำความเสียหาย ทำลายตัวเราเองหรือครอบครัวหรือประเทศของเรา เราไม่ควรจะกลัวเมื่อเราทำสิ่งที่ดี ประเสริฐสูงส่งและมีคุณธรรม

  การทำสมาธิสามารถเผยความลับของความตาย

ถ: เขาอยากจะถามท่านว่าเขาจะมาเกิดใหม่อีกหรือเปล่าหลังจากที่ตายไปแล้ว เมื่อก่อนนี้เขาฟังพระองค์หนึ่งเทศน์สอนแต่เนื่องจากพระองค์นั้นยังไม่ตาย แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเรากลับมาเกิดอีก? เราจะเชื่อเขาได้อย่างไร?

อ: พระทั้งหลายไม่ควรจะถูกสงสัยเพราะว่าพวกท่านเทศน์สอนจากปัญญาของพุทธะ และร่ำเรียนมาจากพระสูตรต่างๆ และบางทีพวกท่านอาจจะเรียนรู้มาจากการฝึกสมาธิของพวกท่านก็ได้ ถ้าหากว่าพวกท่านฝึกสมาธิ เราไม่จำเป็นต้องตายเพื่อจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากความตาย แน่นอน บางคนถามฉันว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉันตายแล้ว?” ฉันก็บอกพวกเขาไปเหมือนกันว่า “ฉันยังไม่ตายเลย ฉันไม่รู้หรอก” แต่เวลาเราทำสมาธิ เราสามารถไปถึงระดับต่างๆมากมายของความเข้าใจและของสภาวะความดำรงอยู่ ตอนนั้นเราก็สามารถรู้ว่าคนเกิดใหม่หรือว่าไม่เกิดใหม่หลังจากตาย นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะตรวจดู ไม่มีปัญหา ถ้าเธออยากจะพิสูจน์ เธอก็มาศึกษากับธรรมวิถีกวนอิมได้ และเธอจะรู้ด้วยตัวเอง มันเป็นการดีที่จะตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ยิน และที่เราไม่เชื่ออะไรไปแบบไม่ไตร่ตรอง แบบนั้นเป็นการฉลาดมาก วิธีที่เธอทำนั้นฉลาดมาก แต่แทนที่จะแค่สงสัยพระหรือว่าแค่ตั้งคำถามเท่านั้น เราจะต้องหาวิธีที่จะรู้คำตอบ วิธีที่จะตรวจดูมันด้วย

ถ: อยากจะทราบว่าการประทับจิตคืออะไร และวิธีที่จะได้รับการประทับจิต?

อ: การประทับจิตคือเวลาที่ผู้ที่เรียกว่าครูนั่งอยู่กับเธอเงียบๆ ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าเธอหรือว่าอยู่ไกลออกไปหลายพันไมล์ และพยายามติดต่อสื่อสารกับปัญญาภายในของตัวเธอเอง และเปิดประตูแห่งอวิชชาให้เธอ เพื่อให้เธอได้เห็นแสงสว่างได้ยินคำสอนของพระเจ้าโดยตรง และก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว เวลาที่ครูอยู่ด้วยก็มีการสอนด้วยคำพูดบ้าง แต่บางครั้งแม้แต่การสอนด้วยคำพูดก็ไม่จำเป็น เพราะว่าการถ่ายทอดเป็นแบบจากใจสู่ใจ จากจิตสู่จิต จากธรรมชาติพุทธะของเราสู่ธรรมชาติพุทธะของเราเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาหรือการกระทำใดๆ จากผู้เป็นอาจารย์หรือจากลูกศิษย์ ถ้าเธออยากได้รับการประทับจิต ที่เธอต้องทำก็คือแค่ออกไปลงชื่อ แล้วเราจะจัดการดูแลกับเธอหลังจากจบการบรรยายแล้วหลายคนก็ได้รับการประทับ จิตอย่างไม่เป็นทางการด้วยเช่นกันจากความศรัทธาเชื่อมั่นในตัวผู้เป็น อาจารย์และจากความจริงใจ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เคยพบเห็นตัวอาจารย์และแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลออกไป หลายพันไมล์

การทำสมาธิจำเป็นต้องมีครูผู้มีประสบการณ์

ถ: เขาเคยนั่งสมาธิวันละสามชั่วโมงมาเป็นเวลา 9 วัน และเขาได้เห็นภาพในอนาคตบางอย่างสองครั้ง เขาอยากจะรู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่าเขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นความจริงที่แท้จริงหรือเป็นปรากฏการณ์ที่แท้จริง?

อ: แต่ว่าเขานั่งสมาธิด้วยวิธีไหนล่ะ? เขาไม่ได้พูดถึงหรือ? (ตอบ: เปล่า) ถ้าเธอศึกษากับครูคนไหน ก็ควรขอคำชี้แนะนำทางต่อไปจากครูของเธอด้วย สำหรับคนที่ศึกษากับฉัน พวกเขาเขียนมาถามฉันเป็นการส่วนตัว แต่สำหรับคำชี้แนะทั่วๆไปแล้ว ถ้าหลังจากที่ทำสมาธิ หลังจากที่เธอเห็นภาพหรือได้ยินเสียงดนตรีสวรรค์แล้วเธอรู้สึกดี ผ่อนคลายและมีความรักมากขึ้นนั่นคือภาพที่แท้จริง แต่ถ้าเธอรู้สึกปั่นป่วนไม่สบายใจ ตกใจหรือรู้สึกถูกข่มขู่คุกคามในบางแง่ ก็หมายความว่าภาพที่เธอเห็นเป็นภาพลวงตา เป็นภาพมายา และเธอไม่ควรจะเชื่อถือไว้วางใจมันอีก เรามีการเห็นภาพภายใน บางครั้งไม่ใช่จากสมาธิเท่านั้น แต่ว่าบางครั้งบางคนจะมีภาพลวงตาได้จากการเสพยาเสพติด หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดหรือว่าขาดออกซิเจน ดังนั้นจะเป็นการฉลาดที่จะหาครูที่มีประสบการณ์ เพราะว่าหนทางบำเพ็ญนั้นยาวไกลและก็อันตรายในบางครั้งถ้าหากว่าไม่มีผู้ชี้นำทางที่ดี

ถ: ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร?

อ: ถ้าฉันบอกว่าฉันรู้เขาก็จะถามฉันว่า “ท่านยังไม่ตายแล้วท่านรู้ได้อย่างไร?” จากพระสูตรทางศาสนาฉบับต่างๆ หลังจากตายแล้วคนมีชีวิตแบบต่างๆ กัน แล้วแต่ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างไรในปัจจุบัน ถ้าเราใช้ชีวิตที่มีคุณธรรมและฝึกบำเพ็ญปฏิบัติปัญญา เราก็จะไปยังระดับของการดำรงอยู่ที่สวยงามและสงบสุขมาก ถ้าชีวิตของเราเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของความรักและความเสียสละเราก็จะไปยังระดับของการดำรงอยู่ที่ต่ำกว่า ต่ำแค่ไหน สูงแค่ไหนก็แล้วแต่ว่าเราใช้ชีวิตของเราอย่างมีคุณธรรมแค่ไหนมีปัญญาแค่ไหน หรือเสียหายแค่ไหน มีหนังสือหลายเล่มในสมัยใหม่นี้เกี่ยวกับเรื่องการเห็นภาพหลังความตายของผู้บำเพ็ญคนต่างๆ และก็มีหนังสือมากมายจากคนธรรมดาที่ตายไปช่วงระยะเวลาหนึ่งในทางการแพทย์ แล้วก็กลับมามีชีวิตใหม่และเล่าเรื่องราวต่างๆ ของพวกเขา เพราะฉะนั้นเธออาจจะหาอ่านในห้องสมุดได้

ถ: มีความแตกต่างอะไรไหมระหว่างการทำสมาธิของอาจารย์กับการทำสมาธิของศาสนาพุทธ?

อ: ไม่ควรจะมีความแตกต่างใดๆ แต่ว่ามันก็มีอยู่ในขณะนี้ เพราะว่าการฝึกสมาธิส่วนใหญ่ในแบบทางพุทธที่ทำกันมานานหลายอย่างอยู่ในขณะ นี้นั้นแตกต่างจากการบำเพ็ญสมาธิที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าถ่ายทอดให้ลูก ศิษย์ของพระองค์ การบำเพ็ญสมาธิของเราให้การรู้แจ้งในทันที ส่วนใหญ่ของธรรมเนียมปฏิบัติแบบทางพุทธในปัจจุบันนี้ หมายถึงการฝึกสมาธิไม่ได้ให้คำรับประกันแบบนี้ เราฝึกธรรมวิถีกวนอิม มันได้รับการรับรองและพิสูจน์จากผลที่ได้ต่างๆจากลูกศิษย์นับพันนับล้านคน ว่าเราได้รับการหลุดพ้นในชาตินี้ นี่เป็นชาติสุดท้ายที่เราต้องทนทุกข์ นี่สอดคล้องต้องกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้าฉบับดั้งเดิมวิธีดั้งเดิม เพราะว่าลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าในช่วงชีวิตของพระองค์ได้กลายเป็นอรหันต์ โพธิสัตว์หรือผู้ที่เป็นอิสระหลุดพ้นแล้วในทันทีหลังจากที่พระพุทธเจ้าถ่าย ทอดการตื่นขึ้นแบบเงียบๆ ให้พวกเขา ญาติมิตรของเราทุกคนก็จะได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นด้วย แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ถึงระดับของความเป็นพุทธะ

การเป็นอิสระหลุดพ้นและความเป็นพุทธะนั้นยังคงแตกต่างกันอยู่ ด้วยการบำเพ็ญแบบของเราๆ สามารถลิ้มรสสภาวะของการรู้แจ้งได้ทันทีในระหว่างช่วงเวลาแรกของการประทับจิตและก็ได้รู้ต่อไปด้วย การฝึกปฏิบัติแบบที่ทำกันมานานทางพุทธแบบอื่นส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ได้ให้สิ่งนี้ หมายความว่าเธอสามารถทำสมาธิโดยมีครูแต่ว่าเธอไม่ได้รับอะไร เธอไม่รู้ว่าเธอรู้แจ้งหรือไม่ แต่วิธีของเราเธอจะรู้ เพราะว่ามีเครื่องพิสูจน์ให้เธอรู้ ให้เธอรู้สึกและตระหนักว่าเธอรู้แจ้งแล้วว่าเธอแตกต่างไป ว่าเธอถูกปลุกให้ตื่นแล้ว มีแสงสว่างมากและมีเสียงดนตรีอยู่กับการตื่นของคนนั้น ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่การตื่นขึ้น และก็มีความรู้สึกของความปีติยินดีของการสลัดภาระที่มีมานานทิ้งไป รู้สึกว่ามีบางอย่างหลุดจากบ่าของเราไป เหมือนกับเราปลดภาระทั้งหลายออกไป รู้สึกปีติสุขใจ รู้สึกเบาสบาย รู้สึกสุขล้น นี่คือเครื่องพิสูจน์การรู้แจ้ง ซึ่งจะมีสืบต่อไปทุกวันตลอดชีวิตของเธอหลังจากที่ประทับจิตแล้วและก็ดีขึ้นๆ ทุกวัน และก็จะทำให้เรามีปัญญามากขึ้น มีความรักมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้นและทำให้เราเป็นคนใหม่แตกต่างจากเดิม เพราะว่าเราได้เข้าสู่ความเป็นนักบุญแล้ว เราใช้ชีวิตของทางโลกมนุษย์ทั่วไป แต่ว่าเรามีจิตวิญญาณของนักบุญ ถ้าวิธีอื่นใดสามารถให้ทั้งหมดนี้แก่เธอได้ นั่นก็เป็นวิธีที่แท้จริงสำหรับการรู้แจ้ง วิธีอื่นๆทุกวิธีเราสามารถฝึกปฏิบัติได้ เราสามารถใช้ได้ แต่ว่ามันก็แค่เป็นการชั่วคราว เพื่อการก้าวย่างในเบื้องต้น และไม่ได้นำเราไปถึงบัลลังก์อันสมบูรณ์แท้แห่งปัญญา (คนปรบมือ)

การทำสมาธิเป็นการสวดภาวนาที่ลึกซึ้งที่สุด

ถ: เวลาที่ฉันมีปัญหามีความยุ่งยาก ฉันก็สวดต่อพระเจ้า บางครั้งฉันก็ได้รับคำตอบบ้าง คำถามของฉันคือ ฉันจะรู้หรือว่าจะตัดสินได้อย่างไรว่าคำตอบนั้นเป็นคำตอบหรือการชี้นำทางจากพระเจ้าอย่างแท้จริง

อ: เวลาที่เราสวดอธิษฐานอย่างหนักเราจริงใจมาก ตอนนั้นเราจะสามารถติดต่อกับพลังพรของพระเจ้าภายในได้ นั่นคือเวลาที่เราได้รับการตอบ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ได้ การทำสมาธิเป็นการสวดภาวนาที่จริงใจที่สุด ลึกซึ้งที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงจะได้รับการตอบเสมอ หลังจากประทับจิตแล้ว ผู้เป็นครูจะเปิดการติดต่อเชื่อมโยงกับพลังพระเจ้าที่อยู่ภายในที่สุดหรือว่าธรรมชาติพุทธะของเรา เราจึงมีการติดต่อถึงกันอยู่ทุกวัน และเมื่อไรที่เราสวดถึงเราจึงได้รับคำตอบ แล้ววันหนึ่งเราก็จะไม่มีการสวดขออีกต่อไปเราจะเป็นผู้ที่ตอบคำสวดอธิษฐานของผู้อื่นแทน นี่คือเป้าหมายของการบรรลุทางจิตวิญญาณ พวกเราทุกคนสามารถจะไปถึงจุดนั้นได้ (คนปรบมือ)

ถ: ถ้าเราอยากจะได้รับการหลุดพ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราควรจะทำอย่างไร? อีกคำถามก็คือ ถ้าเราบำเพ็ญอยู่ในครอบครัว หมายความว่าเราไม่ต้องทิ้งครอบครัวของเราไป มันจะช้ากว่าการทิ้งครอบครัวหรือไม่?

อ: ข้อแรก เธอก็ไปลงชื่อที่โต๊ะสำหรับเรื่องการประทับจิตข้างนอกก่อน ข้อที่ 2 ถ้าเราบำเพ็ญอยู่ที่บ้าน มันจะช้ากว่าการเป็นพระหรือการละทิ้งบ้านไหม ใช่ไหม? ไม่หรอก ไม่ช้ากว่า เพราะว่าถึงแม้ว่าเธอจะมาเป็นพระ เธอก็จะมีธุระยุ่งเช่นกัน มีเวลาแค่บางช่วงในแต่ละวันที่พระสามารถจะบำเพ็ญได้ อีกอย่างหนึ่งพวกเขาก็ต้องเอาใจใส่กับธุระการงานของทางวัด เอาใจใส่กับผู้ที่นับถือศรัทธาทั้งหลาย เอาใจใส่กับสิ่งอื่นๆ ทุกอย่างในระดับของทางโลกเหมือนกับที่เราทำ แต่ว่าในสถานที่ที่ต่างกัน เราอยู่บ้านดูแลครอบครัวของพุทธะของเรา และเราก็บำเพ็ญไปเมื่อมีเวลา อย่างเช่นตอนเช้าตรู่และตอนกลางคืนก่อนเข้านอน นั่นก็ใช้ได้แล้ว เซนควรจะอยู่ในชีวิตประจำวันเช่นการนั่ง การยืน การนอนและการเดิน มันควรจะเป็นเซนหมด ไม่อย่างนั้นพุทธะทำอะไรล่ะ? เราจะเป็นพุทธะที่กำลังนั่งอยู่เฉยๆ ตลอดเวลาไม่ได้

บางครั้งเราก็สามารถปลีกตัวไปบำเพ็ญอยู่เงียบๆ สักหนึ่งหรือสองสัปดาห์หรือว่าหนึ่งเดือน นั่นก็ใช้ได้ แต่ว่าจะทำอย่างนั้นตลอดเวลาไม่ได้ เรามีพันธะหน้าที่ต่างๆ ต่อสังคม แม้กระทั่งในฐานะพระก็ตาม พระพุทธเจ้านั่งบำเพ็ญอยู่อย่างนั้นเพียง 49 วัน และหลังจากนั้นและก่อนหน้านั้น พระองค์ก็ต้องเดินไปเดินมาหรือทำสิ่งอื่นๆ หลายอย่าง เรามีพระนักบวชอยู่มากมายในไต้หวัน แต่นักบวชส่วนใหญ่หรือหลายคนก็ต้องดูแลเอาใจใส่จัดการเกี่ยวกับงานศพสำหรับคนตาย บางครั้งพวกเขาไม่มีเวลาจะกินด้วยซ้ำ พวกเขาต้องรีบเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่ เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เป็นเหมือนกับที่เธอคิดเสมอไปว่าการเป็นพระนักบวชแล้วเธอจะมีเวลามากเพื่อจะได้นั่งทำสมาธิไป ไม่เป็นความจริง

การรู้แจ้งอยู่เหนือกาลเวลาและระยะทาง

ถ: โลกนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร? ทำไมมนุษย์จึงต้องเกิดมา แม้ว่าเราจะรู้ว่าหลังจากที่เราเกิดมาแล้วเราต้องเผชิญกับการเวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้จักจบ?

อ: มันเป็นเรื่องยาว ฉันมีเวลาไม่พอหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะตอบเธอตั้งแต่วันนี้ไปจนกระทั่งถึงวันที่ฉันไปนิพพานว่าโลก นี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร แต่ถ้าเธอยังยืนกรานอยากรู้ ฉันคิดว่าเราทั้งคู่ก็ต้องมาเกิดใหม่อีกในโลกที่ทุกข์ทนนี้เพื่อที่จะเล่า เรื่องว่าโลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรให้เธอฟังฉันไม่คิดว่าเธอจะชอบอย่าง นั้นหรอก เพราะฉะนั้นคำตอบที่รวดเร็วที่สุดก็คือการรู้แจ้ง หลังจากที่เธอได้รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์แล้ว เธอจะรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งรู้เรื่องราวหลายๆ ชาติในชั่วแวบ เพราะเมื่อมีการรู้แจ้งเราก็จะข้ามขอบเขตจำกัดของกาลเวลาและระยะทาง เมื่อไม่มีกาลเวลามาเกี่ยวข้องเราก็จะรู้อะไรหลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่ต้อง ใช้เวลามาก เพราะฉะนั้นบางครั้งเรานั่งอยู่ในสมาธิเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ว่าเรารู้สึกเหมือนกับเป็นเวลาเพียงแค่นาทีเดียวเท่านั้น เรารู้อะไรหลายอย่างที่ใช้เวลาหลายศตวรรษที่จะเข้าใจ ดังนั้นเราจึงต้องแสวงหาปัญญาภายในอันนี้
คำตอบทุกอย่างมีอยู่ภายใน

ถ: ทำไมเราจึงมีศาสนาต่างๆมากมายเหลือเกินในโลกนี้? ศาสนาไหนเป็นศาสนาที่แท้จริง?

อ: ศาสนาไหนก็ได้ เลือกมาศาสนาหนึ่ง ถ้าเธอเข้าใจศาสนาหนึ่งอย่างละเอียดลออโดยตลอด เธอก็จะเข้าใจศาสนาอื่นใดก็ได้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะมีการโต้แย้ง โต้ตอบกันไปมาและก็มีสงครามระหว่างศาสนาต่างๆ ซึ่งนำเราไปสู่สัจธรรมเดียวเท่านั้นกันอยู่เสมอ ถ้าไม่รู้แจ้งมันก็ยากมากที่จะทำให้ตัวเราเองเชื่อว่าศาสนาทั้งหมดทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าฉันจะอธิบายให้เธอฟังมากมายแค่ไหน มันก็เป็นความรู้ของฉันเอง ไม่ใช่ของเธอ เพราะฉะนั้นเธอต้องมีต้องได้ความรู้ของเธอเอาเอง

ถ้าคนที่เคร่งศาสนาทุกคนสามารถจะเข้าใจศาสนาของพวกเขาเองแล้ว มันก็จะไม่มีสงครามอย่างแน่นอนทั้งระหว่างศาสนาและแม้แต่ภายในศาสนาเดียวนั้น อย่างที่เธอรู้ว่ามันมีเกิดขึ้นอยู่ในโลกทุกวันนี้ บุคคลที่รู้แจ้งแล้วเท่านั้นที่สามารถจะเป็นคนที่เคร่งศาสนาแบบ 100% เต็มอย่างลึกซึ้งและแท้จริง ผู้นั้นจะเข้าใจภราดรภาพของมนุษยชาติแม้ว่าจะมีเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ลัทธิและศาสนาต่างๆ ก็ตาม บุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้รักษาสันติภาพความสงบสุขที่แท้จริงของโลกนี้

ถ: จำเป็นไหมที่จะสวดมนต์ภาวนาก่อนจะทำสมาธิ?

อ: เราจะทำก็ได้แต่ว่ามันไม่จำเป็น สมาธิเป็นการสวดภาวนาที่ลึกซึ้งที่สุดซึ่งเราจะได้รับสิ่งใดๆ ที่เราต้องการ

สิ่งใดๆ ที่ดีสำหรับความผาสุกทางกายและทางจิตใจของเธอจะเข้ามาหาเธอเองโดยอัตโนมัติไม่ว่าเธอจะสวดขอมันหรือไม่ก็ตาม ยิ่งเขาบำเพ็ญมากขึ้นก็ยิ่งต้องการน้อยลง ยิ่งเขาบำเพ็ญมากขึ้นเขาก็สวดขอน้อยลง จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นใดแล้วสิ่งอื่นๆ ทุกสิ่งก็จะตามมาเอง

ถ: มีบุญกุศลคุณความดีอะไรไหมในการสวดอธิษฐานภาวนาหรือว่ามันเป็นแค่คำกล่าวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง?

อ: ไม่ใช่ มันมีคุณความดีอยู่ ถ้าเราไม่มีการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ เราก็ต้องสวดอธิษฐานเสมอเพื่อให้ได้รับการรู้แจ้งและการหลุดพ้น และก็แน่นอนสวดอธิษฐานสำหรับสิ่งที่เรามีความจำเป็นต้องการสำหรับ สิ่งที่ความจำเป็นต่างๆ ของเราเรียกร้องต้องการในชีวิตนี้ ไม่ว่าการสวดของเราจะได้รับการตอบรับหรือไม่ เวลาเราสวดเราก็ได้รับความสบายใจแล้วทางด้านจิตใจและนั่นก็ดีมากเช่นกัน การสวดที่จริงใจจำเป็นเสมอเพราะว่าชาวสวรรค์จะรับฟังข่าวโดยอาศัย ความสว่างของจิตวิญญาณของเราซึ่งถูกส่งไปยังสวรรค์ทางการสวด และพวกเขาจะมาช่วยเรา เราสามารถสวดเพื่อความผาสุกของคนอื่นๆ ได้ ถ้าเรามีความจริงใจการสวดอธิษฐานเหล่านี้ทุกอย่างจะได้รับการตอบทันที

 การกินมังสวิรัติทำให้กายและใจบริสุทธิ์
   
ถ: บุคคลผู้นี้ฝึกสมาธิมาสิบปีแล้วและกินมังสวิรัติมา 12 ปีแล้ว บางครั้งเขาก็มีความฝันที่กลายมาเป็นความจริง มันกลายเป็นความจริงประมาณ 80% อะไรคือเหตุผลสำหรับเรื่องนี้?

อ: มันเป็นผลมาจากการฝึกบำเพ็ญและการกินมังสวิรัติของเราร่วมกันทั้ง 2 อย่าง เพราะว่าเรากินมังสวิรัติ ร่างกายของเราจึงมีภาระน้อยลงจากสัญชาตญาณและเลือดเนื้อของสัตว์ และเราก็มีความบริสุทธิ์มากขึ้นในกายและใจ ฉะนั้นมันจึงง่ายขึ้นที่เราจะได้รับข่าวสารต่างๆ ทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเราทำสมาธิ เราก็ทำให้จิตใจที่พลุ่งพล่านของเราสงบลงไปบ้าง แล้วข่าวสารทางจิตวิญญาณต่างๆก็จะสามารถไหลซึมผ่านเข้ามาได้ ไม่อย่างนั้นพระเจ้า พุทธะและผู้คนตัวตนทางจิต วิญญาณทั้งหลายก็เตรียมตัวอยู่ข้างๆ เสมอ คอยช่วยเราในหลายวิถีทางและตอบรับคำสวดอธิษฐานของเรา แต่ว่าเราก็ไม่เคยได้รับเลยเพราะว่าในใจเรายุ่งวุ่นวายและส่งเสียงหนวกหูมากไป และร่างกายและจิตใจของเรามีสสารวัตถุต่างๆ อัดแน่นไปหมดโดยเฉพาะจากแรงสั่นสะเทือนในระดับที่ต่ำกว่าของสัตว์

เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอเข้าใจคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลของอาหารมังสวิรัติและก็การบำเพ็ญสมาธิแล้ว สิ่งที่ต่ำกว่าและสิ่งที่สูงกว่าไม่สามารถผสมผสานกันได้ ถ้าเธออยู่ใกล้กับระดับการดำรงอยู่ทางวัตถุทางร่างกายหรือใกล้กับอาณาจักรของสัตว์มากขึ้น เราก็ไม่มีทางจะอยู่ใกล้กับอาณาจักรของพระเจ้าหรือฐานันดรทางจิตวิญญาณมากขึ้น

ถ: การประทับจิตและการทำสมาธิเหมือนกันหรือไม่? ถ้าเหมือน เราจะสามารถลบล้างกรรมในอดีตและปัจจุบันได้หรือไม่?

อ: ข้อแรก การประทับจิตคือการเปิดพลังสมาธิความคิดของเธอ แล้วเธอก็สามารถทำสมาธิได้ แน่นอนเราสามารถลบล้างกรรมที่เราสะสมไว้ไปได้ พลังอาจารย์สามารถทำอย่างนั้นให้เธอได้ และก็เหลือกรรมเพียงนิดหน่อยไว้ให้เธอได้ดำเนินชีวิตต่อไปในชาตินี้ ไม่อย่างนั้นเธอก็ตายไปเลย ถึงแม้ว่ากรรมจะเป็นมายาลวงตาลวงใจ แต่มันก็จำเป็นสำหรับผู้ที่อยู่ในร่างกายเนื้อนี้ มิฉะนั้นเราก็ไม่มีเหตุผล ไม่มีข้ออ้างที่จะอยู่ในโลกวัตถุนี้ แต่ด้วยการฝึกบำเพ็ญสมาธิเท่านั้นเราจึงจะตระหนักในธรรมชาติอันเป็นมายาของกรรม ดังนั้นเราจึงเป็นอิสระจากกรรม ถึงแม้ว่าดูภายนอกเราจะยังทำอะไรต่างๆ ที่เป็นกรรมต่อไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในโลกนี้

นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างบุคคลที่เป็นอิสระหลุดพ้นแล้วกับคนที่ยังไม่เป็นอิสระหลุดพ้น ทั้งคู่ดำเนินชีวิตไปตามแบบแผนแห่งกรรมแบบเดียวกัน แต่คนหนึ่งตระหนักในธรรมชาติที่เป็นมายาของกรรม ส่วนอีกคนยังจมดิ่งอยู่ในกับดักของบทบาทหน้าที่แห่งกรรมนี้ กรรมไม่ได้น่ากลัวอะไร สิ่งที่น่ากลัวอยู่อย่างเดียวก็คืออวิชชา ความไม่รู้ของเราที่เราไม่เข้าใจธรรมชาติของกรรม

การตระหนักรู้ภายในเท่านั้นที่ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ

ถ: ทำไมเราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะไปถึงนิพพาน? อะไรคือสาเหตุ อะไรคือเหตุผลของการเกิดในครั้งแรก?

อ: เรามาที่นี่กันก็เพราะว่าเราอยากจะเข้าร่วมในละครสร้างสรรค์ ถ้าพวกเราไม่เข้ามาร่วม ก็ไม่มีการสร้างสรรค์และไม่มีอะไรสนุกๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงเข้ารับงานหน้าที่อย่างหนึ่งในโลกนี้ แล้วก็พยายามจะทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไป เพราะฉะนั้นดั้งเดิมเลยก็มีผู้คนระดับต่างๆ แตกต่างกัน มีงานหน้าที่ต่างๆ และไม่มีใครรังเกียจว่าเขาจะมีตำแหน่งต่ำหรือสูง หรือว่าเขาจะได้รับพรให้ร่ำรวยหรือว่าจะถูกกำหนดให้เป็นขอทานคนหนึ่งบนถนน ไม่มีใครรังเกียจเลยในตอนเริ่มแรกของ “ละคร” ของเรา แต่หลังจากเวลาผ่านไป เราก็กลับกลายมายึดติดกับบทบาทของเราและเราหันมาสงสารตัวเราเอง หรือหยิ่งทะนงในตัวเอง และเราก็เสียวัตถุประสงค์ของ “ละคร” ไป นั่นคือเวลาที่เราเริ่มรู้สึกถึงความทุกข์ของการต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้น ของการเปรียบเทียบตำแหน่งฐานะต่างๆและพรต่างๆ ในโลกนี้ เราถือเอาว่าบทบาทที่เราเล่นเป็นเรื่องจริง และยิ่งเรายึดติดในบทบาทของเรามากขึ้น เราก็ยิ่งจดจำวัตถุประสงค์ของ “ละคร” ของเราได้น้อยลง เราจำความยิ่งใหญ่และต้นกำเนิดดั้งเดิมของเราได้น้อยลง

แล้วเพราะว่าเรายึดติดกับบทบาทต่างๆ ของเรามาก เราจึงบอกว่าตัวเราเองเป็นขอทานที่เรากำลังเล่นบทนั้นอยู่ หรือว่าเป็นกษัตริย์ที่เราสวมตำแหน่งนั้นอยู่ เราพยายามทำเต็มที่ที่จะทำให้ชะตากรรมของเราดีขึ้น หรือเพื่อจะรักษาตำแหน่งที่สูงของเราไว้ และเราไม่เกรงกลัวที่จะทำอะไรเลวๆเพื่อที่จะให้สำเร็จสมความปรารถนา แล้วบทบาท “ละคร” ที่สนุกๆ ก็กลับกลายเป็นความทุกข์ ขณะที่เราพยายามจะทำให้ชะตากรรมของเราดีขึ้น พยายามรักษาตำแหน่งฐานะของเราเอาไว้ ความปรารถนาต้องการทั้งหลายก็เกิดขึ้น ถ้าความปรารถนาเหล่านั้นไม่ได้รับการสนองจนพอใจในชาตินี้ เราก็พยายามจะกลับมาอีกเพื่อต่อสู้ให้ได้สิ่งที่เราเชื่อว่ามันยุติธรรม นั่นคือวิธีที่เราทำให้ “ละคร” นั้นเสียไป และนั่นคือวิธีที่เราเวียนว่ายตายเกิดและทุกข์ทน

เพราะฉะนั้น ดั้งเดิมเลยเรามาจากอาณาจักรของพระเจ้าหรือดินแดนของพุทธะเท่าเทียมกันหมด กษัตริย์ที่เกิดในโลกนี้ หรือว่าขอทานที่เกิดในโลกนี้ซึ่งเป็นเทวดาที่ยิ่งใหญ่เท่าเทียมกันหรือมีฐานันดรทางจิตวิญญาณที่เท่าเทียมกันในสวรรค์ ตอนนี้จึงเริ่มต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งฐานะ ความร่ำรวยและความมีชื่อเสียง นั่นคือวิธีที่เราเริ่มต้นทุกข์ นั่นคือวิธีที่เราไม่มีทางจะได้ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดทางโลกวัตถุนี้

การรู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถช่วยเราให้ฝ่าผ่านตำแหน่งฐานะและขอบเขตขวางกั้นที่เป็นมายานี้ไป เพื่อที่จะได้ตระหนักว่าดั้งเดิมเราเท่าเทียมกันหมดทุกคนในอาณาจักรของพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เราจำเป็นจะต้องต่อสู้ให้ได้มา ไม่มีอะไรที่เราควรจะอับอาย ไม่มีอะไรที่เราควรจะหยิ่งภาคภูมิใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่หรือการดำรงอยู่ทางร่างกายและตำแหน่งฐานะต่างๆ ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นหลังจากรู้แจ้งแล้ว มันจึงเท่าเทียมกันสำหรับตัวเราไม่ว่าเราจะอยู่เพื่อเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศไป หรือว่าเราจะสละทุกอย่างแล้วกลายเป็นพระออกภิกขาจารไปตามท้องถนน เมื่อมีการรู้แจ้งแล้วเราก็สามารถอยู่เป็นกษัตริย์และปกครองประเทศไปและก็ได้รับการเป็นอิสระหลุดพ้นไปด้วยในเวลาเดียวกัน ถ้าไม่มีการรู้แจ้งแล้วแม้แต่การกลายเป็นพระก็เป็นการแสดงกิริยาอาการที่ว่างเปล่าเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เรามีการยกระดับทางจิตวิญญาณขึ้นแต่อย่างใด เพราะว่าการตระหนักรู้และการสำนึกรู้ภายในเท่านั้นที่ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ ไม่ใช่แรงบังคับหรือลักษณะปรากฏหรือท่าทางการกระทำภายนอกที่สามารถนำสัจธรรมมาสู่เราได้ (คนปรบมือ) ขอบคุณ

ถ: เขาอยากจะทราบว่าหลังจากประทับจิตแล้ว วิถีชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปหรือไม่?

อ: เปลี่ยนและไม่เปลี่ยน เปลี่ยนภายในไม่ใช่ภายนอก แน่นอน ลักษณะท่าทางภายนอกก็จะเปลี่ยนไปบ้างเช่นกัน ผู้ประทับจิตแล้วหลายคนกลายเป็นคนที่มีประโยชน์มากขึ้น สวยงามมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น มีความรักมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงภายในจากความโง่เขลาไม่รับรู้มาเป็นปัญญา ในอีกประการหนึ่งก็คือเราไม่ได้เรียกร้องต้องการให้เปลี่ยนวิธีการดำรงชีวิต หรือเปลี่ยนงาน เปลี่ยนศาสนาใดๆ เลย

อาจารย์ที่แท้จริงจะอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ถ: หลังจากถือปฏิบัติตามการบำเพ็ญสมาธิของอาจารย์แล้ว ถ้าเราทำสมาธิกันเองจะมีอันตรายอะไรไหม?ถ้าเรามีปัญหาหรือข้อสงสัยบางอย่างเราจะสามารถหาข้อมูลได้จากใคร?

อ: ถ้าเธอปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนไปนั่นก็หมายความว่าเธอไม่ได้ทำมันเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีอันตรายอะไร

นอกจากนี้ผู้เป็นอาจารย์จะอยู่ทุกหนทุกแห่ง เธอสามารถได้รับคำตอบจากภายในเสมอ ผู้เป็นอาจารย์จะรู้เมื่อเธอตกอยู่ในอันตรายและจะช่วยเหลือเธอทันทีโดยที่เธอไม่ต้องร้องขอด้วยซ้ำ ถ้าเธอมีคำถามเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจใดๆ แน่นอนเธอสามารถจะเขียนมาถึงฉันหรือที่ศูนย์ของเราได้ มาดูศูนย์ของเรา และผู้บำเพ็ญที่อาวุโสหรือพระนักบวชของเราบางคนจะช่วยเธอได้ แต่ว่านั่นเป็นแค่ตอนเริ่มต้นเท่านั้นนะ ต่อไปเธอจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากภายใน เธอจะไม่มีคำถาม ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีความปรารถนาต้องการอะไรอีกต่อไป เพียงแต่ทำหน้าที่ซึ่งเต็มไปด้วยความรักของเธอให้สำเร็จไปและมีความสุขกับพรภายในทั้งหลาย

อาจารย์ทางจิตวิญญาณที่แท้จริงต้องเป็นผู้ที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง ต้องรู้อารมณ์และความปรารถนาต้องการของลูกศิษย์ทุกคนในมุมต่างๆ ของโลกและในจักรวาล ไม่อย่างนั้นถ้าเธอพึ่งพาอยู่กับการมาอยู่ในที่นั้นของร่างกายเนื้อของ อาจารย์ในเวลาที่มีปัญหาความลำบากและในเวลาฉุกเฉิน มันก็จะสายไป เพราะฉะนั้นฉันจึงแนะนำลูกศิษย์ของฉันไม่ให้เร่งรีบออกไปสั่งสอนผู้คน พวกเขาต้องคอยจนกว่าพวกเขาจะบรรลุถึงอย่างน้อยๆก็ระดับทางจิตวิญญาณในระดับ อาจารย์แล้ว เพื่อจะช่วยลูกศิษย์ทั้งหลายได้ในทุกหนทุกแห่ง ไม่อย่างนั้นอาจารย์คนใดที่ยังไม่บรรลุถึงสภาวะที่อยู่ทุกหนทุกแห่งนี้ก็ไม่ ควรจะอาจหาญลองเสี่ยงภัยในสมรภูมิทางจิตวิญญาณนี้และก็นำผู้อื่นไปตกอยู่ใน อันตราย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว ถ้าฉันสอนเธอ ฉันก็จะดูแลเธอ ฉันสัญญา (คนปรบมือ)


Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.com				
13 พฤษภาคม 2554 14:57 น.

พระเจ้าผู้ทรงสรรพนุภาพคอยดูแลทุกสิ่ง...

คีตากะ

2488170z6qjfxr3a4.gifหนังสืออาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่



      ครั้งหนึ่งมีโยคีชาวอินเดียผู้มีความตั้งอกตั้งใจมากในการบำเพ็ญคนหนึ่ง วันหนึ่งมารดาผู้เจ็บป่วยและแก่ชรามากของเขาก็ได้ตายลง เขามีความสุขมากเลยทีเดียว รีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ไปคุกเขาขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ อาจจะเป็นอาจารย์ภายในก็ได้! เขาไปนั่งหมอบกราบอยู่ที่นั่นและพูดว่า “ขอบคุณพระเจ้า! ฉันไม่ได้ขอร้องและสวดอ้อนวอนต่อท่านเลย แต่ท่านก็ยังประทานพรอันยิ่งใหญ่นี้มาให้ฉัน เพราะว่าตอนนี้ท่านพาแม่ของฉันไปแล้ว ฉันจึงเป็นอิสระมากและสามารถคิดถึงท่านได้อย่างเต็มที่ทุกๆ วัน โดยไม่ต้องมีภาระใดๆ อีกแล้ว ขอบคุณท่านมาก!”
      เขาร้องเพลงเต้นรำอยู่ที่นั่นอย่างเบิกบานมีความสุข เพื่อนบ้านต่างก็รู้สึกแปลกใจมากว่า ทำไมน่ะ? แม่ของเขาตายไป เขาไม่ได้ร้องไห้สักหยด แต่กลับร้องรำทำเพลง หมายความว่าเขาเต้นรำถวายแด่พระเจ้า ไม่ใช่ว่าไปคาราโอเกะนะ มันไม่เหมือนกัน! บางทีก็อาจจะคล้ายๆ กันก็ได้ ยักย้ายส่ายไปส่ายมา มันก็ดูเหมือนๆ กันนั่นแหละ แต่ว่าแม่ของเขาก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจหรอก เพราะว่าแม่ของเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญที่ศรัทธาและจริงใจมากคนหนึ่งเช่นเดียวกับตัวเขา ทั้งคู่รู้ว่าโลกนี้ไม่จีรังยั่งยืน เพราะฉะนั้นแม่ของเขาจึงมีความสุขมากเมื่อเธอเสียชีวิต และเขาก็มีความสุขมากด้วยเหมือนกันหลังจากที่เธอเสียชีวิต พวกเขาเป็นคนแปลกๆ กันทั้งคู่!
      หลังจากฝังศพแม่ของเขาแล้ว เขาก็เดินทางไปยังริมฝั่งแม่น้ำคงคาทุกวัน ไปนั่งสมาธิ ท่องคำพระและติดต่อกับพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เป็นเวลา ๓ วันมาแล้วที่เขาไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย เขาลืมเรื่องนี้ไปหมด เขากำลังนั่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำคงคา ณ บริเวณหนึ่งที่ห่างไกลจากผู้คน ไม่มีนักแสวงบุญคนใดผ่านมาเลย เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีอะไรกิน ทุกๆ วันเขามีความสุขมากที่ได้ท่องคำพระและนั่งสมาธิ ดังนั้นเขาจึงลืมเรื่องความหิวไปเลย
      พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพก็พูดกับคนข้างๆ ท่านว่า “โถ! น่าสงสารจัง! ลูกศิษย์ของฉันข้างล่างนั่นกำลังจะตายเพราะความหิวอยู่แล้ว และดูเหมือนว่าฉันไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย ไม่ได้ให้อะไรเขากินบ้าง เขานั่งอยู่ตรงนั้น แล้วก็นึกถึงฉันอยู่ทุกขณะจิต แต่ฉันอยู่ที่นี่ ลืมปกป้องคุ้มครองเขา” แล้วพระเจ้าก็บอกนางฟ้าที่อยู่ข้างๆ ท่านให้เอาอาหารดีๆ ไปให้เขาที่ริมน้ำนั้น อาหารที่ได้รับพรจำนวนมากมายก็ถูกนำมาวางบนถาดทองคำ มีพวกจาปาตี นม แอปเปิ้ล ฯลฯ แล้วก็ถูกนำไปให้คนนี้ นางฟ้าองค์นั้นไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงเด็กหนุ่มหรอก เธอเป็นเด็กสาวและก็ค่อนข้างเขินอายที่ได้เห็นเด็กหนุ่ม เพราะฉะนั้น เธอก็เลยวางถาดนั้นลงข้างๆ ตัวเขาอย่างเงียบๆ แล้วก็เหาะจากไป
      แล้วเขาคนนั้นก็ได้เห็นอาหาร แต่ไม่เห็นว่ามีใครมา เขาจึงขอบคุณพระเจ้าคิดว่ามันคงจะส่งมาจากพระองค์แน่นอน เขาก็กินอาหารนั่น เสร็จแล้วก็นั่งท่องคำพระทำสมาธิ แล้วก็เข้าสู่สมาธิ ทันใดนั้นก็มีคนหลายคนเข้ามาล้อมรอบตัวเขาและปลุกเขาขึ้นมา “ทำไม? มีอะไรหรือ?”
      พวกเขาก็ตอบว่า “แก เจ้าหัวขโมย เจ้ากล้ามาขโมยถาดทองนี้จากวัดของพระเจ้า เราต้องการพาเจ้าไปให้พระราชาลงโทษ”
      ไม่ว่าเขาจะพยายามอธิบายอย่างไร พวกทหารก็ไม่ยอมเชื่อเขา เพราะว่าพวกเขาเห็นเด็กหนุ่มจนๆ คนนี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกำลังนั่งอยู่ข้างแม่น้ำ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงคิดไม่ออกว่าเขาจะเป็นเจ้าของถาดทองคำอันล้ำค่านี้ได้อย่างไรกัน ดังนั้นพวกเขาจึงสันนิษฐานว่าเขาต้องไปขโมยมันมาอย่างแน่นอน ถาดนั้นก็ดูเหมือนกับพวกถาดที่ใช้ในโบสถ์วิหารเพื่อใช้ถวายของให้พระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงพาเขากลับไปลงโทษ
      หลังจากที่พาเขากลับมาแล้ว พระราชาก็โกรธมาก บอกให้บริพารของพระองค์เฆี่ยนตีเขา เขาถูกโบยตีมาเป็นเวลานาน อย่างหนักและก็รุนแรงมาก แต่ว่าโยคีตนนี้กลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ยังคงหัวเราะอยู่ต่อไป (อาจารย์หัวเราะ) ไม่ได้หัวเราะอย่างที่ฉันหัวเราะนะ แต่ก็คล้ายๆ กัน เขาไม่เพียงแต่กำลังหัวเราะอยู่เท่านั้น แต่ว่าเขายังรู้สึกขอบใจ มีความสุขมากเหมือนกับถูกจั๊กจี้ พวกเขาก็เลยเบื่อที่จะเฆี่ยนตีเขา และมือของพวกเขาก็เจ็บไปหมด (อาจารย์หัวเราะ) พวกเขาเลยหยุดเฆี่ยนตีเขาแล้วก็ปล่อยเขาไป พระราชาก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน รู้สึกเหมือนกับว่าพระเจ้ากำลังปกป้องคุ้มครองเขาอยู่ ดังนั้นพระองค์จึงไม่กล้าให้คนเฆี่ยนตีเขาต่อ แต่พระองค์ก็สงสัยอยากจะรู้มาก รีบไปดูที่วัดนั้นว่ามีถาดทองแบบนี้ถูกขโมยไปหรือไม่
      เมื่อพระองค์ไปถึงวัดนั้น ก็เห็นว่ามีเลือดกำลังไหลออกมาจากรูปปั้นของพระเจ้า พระองค์จึงรู้สึกประหลาดใจมาก “เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? รูปปั้นจะมีเลือดไหลออกมาได้อย่างไร?” ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ว่าตำแหน่งที่เลือดกำลังไหลออกมานั้น ก็เป็นตำแหน่งเดียวกับที่คนคนนั้นถูกตีด้วย ดังนั้นพระองค์จึงคุกเข่าลงขอขมาโดยไม่รู้ว่าพระองค์ได้ทำบาปอะไรลงไป ต่อมาพระองค์จึงคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีคนคนนั้นอาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ และการเฆี่ยนตีเขาก็เหมือนกับการเฆี่ยนตีพระเจ้า ดังนั้นรูปปั้นของพระเจ้าจึงมีเลือดไหล ถึงตอนนี้เองพระราชากับเสนาบดีทั้งหลายของพระองค์ต่างก็ตกใจกลัวมาก พวกเขารีบไปที่ริมฝั่งแม่น้ำกัน ไปคุกเข่าขอขมาต่อโยคีตัวเล็กๆ ผู้จากจนคนนั้นและยังนำอาหารมาให้เขาทุกๆ วันอีกด้วย เมื่อพวกเขากลับไปที่วัดนั้นอีก ก็พบว่ารูปปั้นของพระเจ้าไม่มีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้รู้เหตุผล
      เพราะว่าคนคนนี้มีความจริงจังตั้งใจมากในการบำเพ็ญสมาธิ เขาคิดถึงแต่พระเจ้าทุกวัน ดังนั้นพระเจ้าจึงรู้สึกผิด เพราะว่าเขาไม่มีอะไรจะกินเลย ถ้าเป็นเพราะอาหารนั้นจึงทำให้เขาถูกเฆี่ยนตี ฉะนั้นมันก็ต้องเป็นความผิดของพระเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้นพระองค์จึงแบกรับการลงโทษนั้นไว้เอง ไม่ใช่ว่าหลังจากที่เป็นพระเจ้าหรือเป็นพุทธะแล้วเธอจะไม่สนใจอะไรเลย ถ้าเราบำเพ็ญปฏิบัติอย่างจริงจังตั้งใจจริงๆ พระเจ้าก็จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ นี่คือความหมายของเรื่องนี้..




Be Veg, Go Green 2 Save The Planet


www.SupremeMasterTV.com

www.godsdirectcontact-thai.com				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ