12 เมษายน 2556 21:31 น.
คีตากะ
ลืมตาเถิด! ดูโลกอันโศกศัลย์
กองเพลิงนั้นลุกไหม้ในสังขาร
เกิด-แก่-เจ็บ-ตายหมายทรมาน
ทุกวันวารเป็นไปในความลวง
ลืมตาเถิด! ดูก่อนก่อนจะสาย
เหล่าหญิงชายทนทุกข์รุกใหญ่หลวง
ท่ามกองเพลิงเกลือกกลิ้งจมดิ่งทรวง
กลางบาศก์บ่วงแห่งมารผลาญชีวัน
ลืมตาเถิด! มองดูให้รู้แจ้ง
ตัวตนแห่งความลวงล่วงแปรผัน
มันยิ้มเยาะเย้ยหยามความผูกพัน
ท้ายมีอันพรากจากซ้ำซากนาน
ลืมตาเถิด! มองไปในห้วงรัก
ชนจมปลักทะเลทุกข์รุกสังหาร
ด้วยยึดมั่นถือมั่นบั่นวิญญาณ
จมสงสารเวียนว่ายหลายกัปกัลป์
ลืมตาเถิด! เพ่งมองแสงส่องหล้า
พระพุทธาปรากฏหมดโศกศัลย์
มีแสงธรรมนำทางหว่างชีวัน
ก้าวล่วงฝันหลอกลวงพ้นบ่วงเวร
12 เมษายน 2556 21:32 น.
คีตากะ
ความรักเอ๋ย...
เจ้าไม่เคยแบ่งข้างสร้างเงื่อนไข
แต่ตัณหาพาเจ้าเปลี่ยนแปรไป
เป็นความใคร่หมองมัวกลั้วราคี
ความรักเอ๋ย...
เจ้าไม่เคยผลักไสใครโศกศรี
แต่อัตตาพาเจ้าเคล้าโลกีย์
สร้างแต่ทุกข์ท้นทวีบัดสีความ
ความรักเอ๋ย...
เจ้าไม่เคยทำร้ายหมายหมิ่นหยาม
แต่ทิฐิมานะพยายาม
คอยประนามชื่อเจ้าจนเทาหม่น
ความรักเอ๋ย...
เจ้าไม่เคยลวงล่อหวังรอผล
แต่อวิชชาพาเจ้าเข้าวังวน
ป้ายเล่ห์กลแก่เจ้ามาเนานาน
ความรักเอ๋ย...
เจ้าไม่เคยพลาดผิดคิดประหาร
แต่ปัญญาพร่าเลือนแห่งคนพาล
จ้องประจานโทษเจ้าอย่างเมามัน
ความรักเอ๋ย...
เจ้าไม่เคยพ่ายแพ้ฤาแปรผัน
แม้นโลกลับดับไปไร้ชีวัน
เจ้ายังอยู่คงมั่นนิรันดร....
12 เมษายน 2556 21:34 น.
คีตากะ
มหาภัยประจิมทิศมาผิดแผก
กระสุนแหวกอากาศวินาศแสน
ตกแถบบ้านย่านเรือนกลาดเกลื่อนแดน
ชนต่างแคว้นหนีตายกรูกรายมา
เดินซัดเซวเนจรจำร่อนเร่
แขนต่างเปลอุ้มลูกไร้ฟูกฝา
มือเปล่าว่างร้างสิ้นรินน้ำตา
มุ่งสู่ทิศบูรพาหาเพื่อนพ้อง
พสุธาลุกเป็นไฟไร้สันติ
คู่อริรุกรบพบความหมอง
เหตุกรรมเก่าเรานี้มีก่ายกอง
จึงจำต้องพลัดถิ่นสิ้นเรือนชาน
เขาเรียกคำ “ตำบลกระสุนตก”
ต่างระหกระเหินเดินโดยสาร
ตายดาบหน้าพาร่างห่างเรือนชาน
ก่อนวิญญาณหลุดลอยพลอยลาไกล
หมายมิ่งมิตรอารีที่หลบร้อน
เพียงพักผ่อนสักคราอย่าผลักไส
สงครามรบสงบลงคงกลับไป
อย่าขับไล่ยามร้ายคล้ายดูแคลน
มนุษยธรรมนำพาชาติ
พ้นพินาศไพรีมีสุขแสน
สร้างกุศลผลบุญหนุนทดแทน
หากมาตรแม้นเราบ้างทางปลอดภัย
12 เมษายน 2556 21:34 น.
คีตากะ
แลเสาคู่ประตูโบสถ์ประโยชน์ล้ำ
หน้าที่ทำยากนักใครจักเห็น
ยืนตากฟ้าตากฝนทนลำเค็ญ
แม้ร้อนเย็นเพียงใดไม่นำพา
ขอให้รักเรานั้นอันแน่นหนัก
ดุจเสาหลักคู่นั้นมั่นรักษา
ยกคานไว้ให้ชนดั้นด้นมา
แสวงหาธรรมะละโพยภัย
ถึงพายุลมแรงอาจแกว่งพัด
แดดร้อนจัดบางคราวหนาวเพียงไหน
ยังสยบสงบนิ่งเหนือสิ่งใด
มิเอนไหวเขลาขลาดฤาหวาดหวั่น
ยั้งยืนอยู่คู่ข้างไม่ห่างเหิน
มิไกลเกินใกล้ไปในเธอฉัน
เหลือช่องว่างระหว่างเราเข้าใจกัน
ความผูกพันธ์ผ่อนคลายสบายเบา
ช่วยประคับประคองสองชีวิต
ยกดวงจิตวิญญาณรานอับเฉา
พ้นแดนทุกข์สุขีชีวีเรา
หยุดความเขลาว่ายวนบนห้วงกาล
12 เมษายน 2556 21:35 น.
คีตากะ
ปีพยัคฆ์นักษัตรกัดไม่ปล่อย
แฝงเขี้ยวคอยขย้ำซ้ำเจ็บแสน
“เอลนีโญ” ครึ่งปีมีทั่วแดน
น้ำขาดแคลนแล้งจัดสาหัสมา
น้ำไม่ถึงครึ่งเขื่อนเหมือนล่องหน
ยังผองชนขัดแย้งปัดแข้งขา
ทั้งการบ้านการเมืองเรื่องประชา
จ้องเข่นฆ่าราวีทุกวี่วัน
ครึ่งปีหลังหวังฟื้นลุกยืนบ้าง
ต้องฝันค้างฝนฟ้ามาแปรผัน
ข้าวกำลังตั้งท้องต้องจาบัลย์
น้ำท่วมพลันเสียหายใต้สายธาร
“ลานีญา” มาแรงแฝงภัยร้าย
ฝนเทไม่ขาดสายกลายผสาน
เขื่อนน้ำน้อยคอยกักรักษาธาร
เพื่อเจือจารการเกษตรเหตุเภทภัย
อีกน้ำป่ามาหลากยากคาดคิด
เมืองอยู่ติดภูเขาน้ำเข้าไหล
น้ำเต็มเขื่อนเหมือนซ้ำจำปล่อยไป
อุทกภัยมาถึงซึ่งชายคา
ขณะชนทนทุกข์ต่างปลุกปลอบ
น้ำใจหอบข้าวของปรองดองหา
บรรเทาเคราะห์เพราะกรรมเคยทำมา
ช่วยเยียวยากันนั้น โปรดหันมอง !
โน่น ! มังกรสองตัวบินทั่วฟ้า
ร่อนถลาด้วยฤทธิ์จิตพยอง
มันสู้กันพัลวันมั่นลำพอง
หมายครอบครองเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
มาตรตัวหนึ่งสีดำนั้นชำนะ
ความมืดจะครอบคลุมสุมทั่วถิ่น
แปดในสิบชนล้มจมธรณิน
ยังแผ่นดินลุกเป็นไฟประลัยกัลป์
หากอีกตัวสีขาวก้าวเป็นใหญ่
โลกพิไลสุดแสนแดนสุขสันต์
สองในสิบส่วนหนึ่งถึงชีวัน
โลกจากนั้นเข้ายุคทองครองเปรมปรีดิ์