12 เมษายน 2556 22:01 น.
คีตากะ
เพียงความคิดกระเพื่อมไหวในความว่าง
สีเข้มจางลวดลายหลายหลากสรรค์
ปรากฏเงาพราวพรายหลายหมื่นพัน
ล้วนเสกสรรค์จากจิตคิดคำนึง
ราวสายลมพรมไหวในเปลวเทียน
วูบวาบเวียนสีแสงแรงลมถึง
ภาพที่เห็นเป็นไปให้ตราตรึง
เริ่มจากหนึ่งเท่านั้นกลายผันแปร
ก่อเรื่องราวฉันเธอและเจอเขา
มีเรื่องเล่ามากมายคล้ายบาดแผล
ทิ้งร่องรอยน้อยใหญ่ให้เหลือบแล
ทั้งที่แท้แค่ใจที่ไหวไป
คือละครร้อยบททดสอบจิต
เพียงความคิดมุมมองของใครไหน
คำวิจาณ์ผ่านหูพรั่งพรูใจ
หาได้ไหวจิตแท้แค่ผ่านเลย
ชนทั้งสิ้นสุดท้ายมลายลับ
เกิดแลดับแก่นธรรมนำเฉลย
ชนทั้งหลายจากไปแล้วแผ่วรำเพย
ประหนึ่งลมผ่านเลยดังเคยมา
ใครกันเล่า? คงอยู่ดูอีกครั้ง
คนอยู่หลังคนสุดท้ายใครกันหนา
ก่อนกำเนิดหลังชีวิตพิจารณา
ก่อนโลกาเริ่มหมุน คุณคือใคร?
12 เมษายน 2556 22:02 น.
คีตากะ
ฝั่งทางนี้....ที่เก่าเราคุ้นเคย
กาลล่วงเลยผ่านมาฝ่าเงาฝัน
มีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ผูกพันธ์
ร่วมสุขสันต์และเศร้าเราชาชิน
ที่ตรงนี้...มีเมืองแห่งเรื่องราว
ทุกย่างก้าวแปรปรวนชวนถวิล
มีสายลมห่มฟ้าเป็นอาจินต์
ทั่วแดนดินแปรเปลี่ยนเหมือนเวียนวน
ฟากฝั่งนี้มีเรือเพื่อข้ามท่า
มีท้องฟ้าสีครามงามฉงน
มีทะเลเห่กล่อมย้อมกมล
มีถนนทอดยาวให้ก้าวเดิน
ฝั่งทางโน้น...แปลกไปไกลเกินฝัน
ทุกวารวันเฝ้ามองร้องสรรเสริญ
มีทิวเขาเย้ายวนชวนเพลิดเพลิน
ดูไกลเกินลิบลับกับหมอกควัน
ที่ตรงนั้น...ว่างเปล่ามิเหงาเงียบ
ลมเย็นเยียบพัดมาคราวสันต์
มีดอกไม้ไหวเอนเห็นหลากพันธุ์
ดวงดอกนั้นเจรจาช่างพาที
ฟากฝั่งโน้น...มีถนนพิกลแปลก
มัจฉาแหวกวารินสิ้นหมองศรี
มีเมืองแห่งความรักและภักดี
ทั่วธานีสุขสันต์นิรันดร์กาล
12 เมษายน 2556 22:03 น.
คีตากะ
ราววิหคนกเถื่อนคล้อยเคลื่อนหาย
ประหนึ่งพ่ายกลแห่งการแข่งขัน
ทิ้งกรงเปล่าเจ้าร้างห่างจาบัลย์
สิ้นเสียงเคยจำนรรจ์มาผันแปร
บินสู่ไพรไกลพรากทิ้งซากฝัน
ถ้อยรำพันแห่งกวีมิแยแส
ลืมสุขเศร้าเท่าทันไม่หันแล
มาพ่ายแพ้กลางทางพลันร้างเลือน
ก่อนเจื้อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงใส
มีหัวใจแห่งฟ้าภาษาเหมือน
ร้อยเรียงบทรจนาพาย้ำเตือน
ยังชนเลือนโศกเศร้าเล่ากลอนกานต์
ปานประหนึ่งเสียงสวรรค์สร้างสรรค์โลก
มาบินโบกห่างไกลไม่สื่อสาส์น
ฤาบาดเจ็บเหน็บหนาวเจ้าร้าวราน
แพ้ดวงมานแห่งตนจำนนถ้อย
ฤาบัดนี้วิถีธรรมล้วนต่ำตก
เมืองยับพังดั่งนรกอกท้อถอย
จิตระส่ำจำลามาทิ้งรอย
ลืมคำร้อยเทิดธรรม์พรรณนา
ฤาคืนลับกลับไพรในปัจฉิม
เพียงเสพลิ้มทิพย์รสปลดสังขาร์
บรรลุแมนแดนทิพย์นิพพิทา
เริงหรรษาลืมกรงเคยหลงวน
12 เมษายน 2556 22:03 น.
คีตากะ
กลางท้องทุ่ง
หอมจรุงไอดินถิ่นหรรษา
รวงข้าวเรียวเคียววงดงชาวนา
หลังสู้ฟ้าหน้าเปื้อนเหมือนโจรไพร
เด็กเลี้ยงวัว
เดินเงียงัวตามหลังยังแห่งไหน
หวังทุ่งหญ้าขจีมีไม่ไกล
ตัวดำไหม้แสงแดดแผดกายา
ชนบท
ทางเคี้ยวคดบทเรียนเพียรศึกษา
มาตรต้อยต่ำคำคนบ่นพรรณนา
เพียงคาถาพรให้ใจฮึดสู้
การแข่งขัน
เพียรบากบั่นฝันไกลไม่อดสู
ล้วนมีชัยใจแกร่งแหน่งศัตรู
เพียงแพ้อยู่แต่ใจในตัวตน
จุดสูงสุด
ยากเร่งรุดจิตใจให้สับสน
ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวร้าวกมล
พลาดร่วงหล่นสู่เหวลึกสำนึกนาน
เพียงหลงรัก
เกมกับดักหนักจิตคิดหักหาญ
อารมณ์ป่วนชวนไหวให้ร้าวราน
จนนมนานโถใจไยโง่งม
อยู่ที่ใจ
สุขทุกข์ใดมีจิตคิดผสม
สมองขยะสะสางหมางอารมณ์
ดับงายงมบางคราวร้าวฤดี
เรียนซ้ำชั้น
ผ่านคืนวันซ้ำซากยากสุขี
บทเรียนเดิมเพิ่มปัญญาทุกนาที
ชนย่ำยีเรียกเด็กโข่งโค้งคำนับ
สัจธรรม
จิตน้อมนำคำหยามตามสดับ
ฝึกจิตใจไปพลางวางระงับ
เผยความลับแก่นแท้แค่ปล่อยวาง
ความว่างเปล่า
ใจดวงเก่าดวงเดิมเติมสิ่งหมาง
จากทารกหมกสีที่อำพราง
โลกกล่าวอ้างคำลวงตกบ่วงมาร
เสียงดนตรี
มโหรีแห่งสวรรค์พลันขับขาน
นำทางจิตพิศแสงแห่งวิญญาณ
แว่วกังวานเนืองนิตย์นิจนิรันดร์
เสียงหัวเราะ
เปลือกกระเทาะความเขลาเทียบเท่าฝัน
โซ่ชีวิตติดตรวนชวนงงงัน
เพียงใจนั้นปรุงแต่งแสร้งเรื่องราว
25 ธันวาคม 2552 00:38 น.
คีตากะ
เมื่อสวรรค์ปิดทางทุกอย่างสิ้น
ผืนแผ่นดินโกรธามาเฉียวฉุน
พายุร้ายหมายโบกไหวให้เป็นจุน
คงคาขุ่นเกรี้ยวกราดวินาศเมือง
แรงแห่งกรรมนำหนุนหมุนกระแส
ถึงกาลแก่กลียุคมาฟ้าสีเหลือง
ชลธีสีเลือดเดือดนองเนือง
ปกคลุมเมืองทั่วธานีชี้บอกลาง
ผีป่าเข้าสิงเมืองอันเฟื้องฟุ้ง
ผีบ้านมุ่งสู่พนาหาขัดขวาง
ปราชญ์แพ้มารหาญกล้ามาปล่อยวาง
โลกเปล่าร้างดั่งกำพร้าไร้ธาดา
ธรณีทรุดต่ำเพราะกรรมหนัก
จวนเสียหลักใกล้ล่มจมเวหา
จำล้างซากกากเดนเข่นชีวา
ยกโลกาสู่สวรรค์สิ้นจัญไร