12 เมษายน 2556 21:40 น.
คีตากะ
ฟังเสียงโลกโศกสลดกำสรดแสน
ทั่วถิ่นแคว้นร้อนเร่าเพลิงเข้าสุม
ลมแปรปรวนโบกสบัดพัดครอบคลุม
ทะเลคลุ้มบ้าคลั่งพังหาดทราย
ธารน้ำแข็งครวญครางพลางปริแตก
ละลายแทรกธาราบ่าเป็นสาย
ท่วมเกาะแก่งดาดดื่นกลืนผืนทราย
ล้วนจมหายล่วงลับกับสายชล
เพลิงลุกป่าเมามันหมอกควันทั่ว
เมืองสลัวเลือนรางพลางฉงน
เกิดอาเพศอันใดให้พิกล
ทั้งฟ้าฝนผิดแผกแหวกฤดู
ฤาถึงคราวเวรกรรมจำชดใช้
ผู้ดีไพร่เสมอกันพลันอดสู
อย่าหลบตามัจจุราชเขลาขลาดดู
วันพิพากษารออยู่ทุกผู้คน.....
7 สิงหาคม 2553 01:54 น.
คีตากะ
หนักไหม...สิ่งที่เธอกำลังแบก
หัวใจแหลกสลายทั้งสับสน
เดี๋ยวก็ทุกข์เดี๋ยวก็สุขร้อนรน
มันเปปนวุ่นวายทุกโมงยาม
หนักไหม...ความคิดที่กดทับ
คณานับมากเกินกว่าแบกหาม
เธอเหนื่อยล้าเชื่องช้าพยายาม
จะก้าวตามโลกหมุนจนอ่อนแรง
หนักไหม...อารมณ์สุดซับซ้อน
วนยอกย้อนไม่วายทั้งหน่ายแหนง
มันล่อลวงเย้าแหย่ใจคลางแคลง
พอสิ้นแรงพลันลับหายไร้ร่องรอย
หนักไหม...ชื่อเสียงทั้งลาภยศ
มันโป้ปดข้างหูแสร้งใช้สอย
ราวแส้ฟาดกลางหลังกระหน่ำรอย
ให้เธอคอยวิ่งเตลิดประหนึ่งโค....
12 เมษายน 2556 21:41 น.
คีตากะ
เน้นอักขรวิธีที่ถูกต้อง
ท่วงทำนองอ่านเขียนเพียรศึกษา
คำควบกล้ำย้ำนักอักษรา
ภาษาอย่าวิบัติฝึกหัดลอง
ภาษาคนมิเพี้ยนเรียนเก่งกาจ
แต่อนาถภาษารักชักหม่นหมอง
ไยผิดเพี้ยนเรียนซ้ำน้ำตานอง
ความรักพร่องห่างหายคล้ายหมอกควัน
ภาษารักวิบัติอึดอัดจิต
ทั่วทุกทิศเกลียดชังนั่งโศกศัลย์
ยิ่งขัดแย้งแรงกล้าราวีกัน
ทุกวี่วันแลเห็นเป็นอาจิณ
สะกดคำว่ารักชักหวาดหวั่น
เกรงคำนั้นเลิกใช้ให้ถวิล
ความหมายเปลี่ยนเพี้ยนไปใจชาชิน
ยามยลยินคำรักแสนหนักทรวง
รักเพียงหวังครอบครองปองประโยชน์
รักแล่นโลดตามฝันอันแสนหวง
รักกลายแค้นแสนรักมักหลอกลวง
รักแล้วทวงถามรักชักงมงาย
รักตัวเองไม่เป็นเฟ้นหารัก
ยิ่งทุกข์หนักกว่าใครไปมากหลาย
รักแล้วทุกข์ลุกลนกระวนกระวาย
รักกลับกลายวิบัติตัดใจลา
จดจารคำว่ารักสลักเขียน
แล้ววนเวียนเปล่งเสียงเพียงภาษา
ความหมายใดไม่แจ้งแคลงอุรา
คงต้องหาอนุบาลวารช่วยแปล....
1 สิงหาคม 2558 00:10 น.
คีตากะ
โอ้แม่กลองสายน้ำแห่งความหลัง
มิเคยยั้งหยุดไหลใคร่ขอถาม
เหนื่อยบ้างไหมไหลรินทุกถิ่นคาม
หลากหลายความเปลี่ยนแปลงแจ้งแก่ใจ
บทเพลงรักแม่กลองยังก้องอยู่
สายน้ำคู่ชีวินยังรินไหล
ก่อตำนานหวานขมตรอมตรมใจ
จมอยู่ใต้สายธารมานานนม
มองสายน้ำราบเรียบยะเยียบจิต
ซ่อนชีวิตบางมุมลุ่มลึกถม
สะท้อนเงาเค้ารางร่างจ่อมจม
จากโคลนตมสู่อากาศซัดสาดไป
ยังได้ยินแม่กลองร้องเพลงรัก
แจ้งประจักษ์ทุกยามความสดใส
สองฟากฝั่งยังคุ้นอุ่นละไม
เคยเลียบไล่ริมฝั่งยังจดจำ
บัดนี้คงไกลห่างทางชีวิต
พรหมลิขิตขีดวาดอาจถลำ
ต้องลาไกลแม่กลองท่องลำนำ
เหลือเพียงความทรงจำลำแม่กลอง....
12 เมษายน 2556 21:43 น.
คีตากะ
เพียงสายลมโบกไหวสั่นใจวุ่น
ธุลีฝุ่นบดบังนั่งกังขา
สร้างตัวตนบนฐานรากจากมายา
ย่อมไขว่คว้าอากาศธาตุปราศสิ่งใด
หลงยึดถือดื้อเอาว่าเขามี
ทั้งทั้งที่ตนว่างร้างไฉน
ทุกข์จึงเกิดเตลิดหลงเข้าพงไพร
ถูกหนามไหน่แทงทิ่มเลือดปริ่มเปื้อน
สิ่งแวดล้อมลวงหลอกกลับกลอกซ้ำ
ด้วยถ้อยคำแห่งมารพานเชือดเฉือน
เขาสมมุติกุกันจนฟั่นเฟือน
เราพลันเลือนตามเขายิ่งเมามัน
แกว่งจนเซแทบทรุดยากหยุดยั้ง
แต่เพียงนั่งมองตนบนรอยฝัน
พบความบ้าพาจิตวิปริตอัน
เพราะยึดมั่นความลวงพ่วงใจตน
ฟ้ายังสูง ดินยังต่ำ ลำธารไหล
ระหว่างใจสงบนิ่งอิงเหตุผล
สักแต่ว่าหาเกี่ยวข้องล่องตามชล
ย่อมหลุดพ้นภาพฝันอันเลื่อนลอย....
พุทธพจน์ : คนเขลาย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่ ก็ตนของตนยังไม่มี บุตรและทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน ?
(ตนประกอบด้วยธาตุ 4( ดิน น้ำ ลม ไฟ) และขัณฑ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) มีธรรมชาติว่างเปล่าหาแก่นสารสาระมิได้)