12 เมษายน 2556 21:36 น.
คีตากะ
เจ้าสุนัขเจ้าเล่ห์เฝ้าเคหะ
ท่านผู้ละวางโลกสิ้นโศกศัลย์
วันหนึ่งจรจาริกปลีกชีวัน
สู่เมืองอันเป็นทิพย์ไกลลิบตา
เจ้าสุนัขแสนรู้เดินอยู่หลัง
คอยระวังเภทภัยให้รักษา
ระหว่างทางพบกระดูกถูกทิ้งมา
ชิ้นโตกว่าคราวใดใจเปรมปรีดิ์
มันเร่งรีบขุดหลุมจนลุ่มลึก
ใต้โพธิ์พฤกษ์ต้นใหญ่ใจสุขี
คาบกระดูกฝังกลบสบฤดี
จดจำที่ตำแหน่งจนแจ้งใจ
มันติดตามนักบุญพลางครุ่นคิด
มุ่งหมายจิตแทะกินสิ้นสงสัย
รอวันกลับนับกาลผ่านเลยไป
แต่หาใครได้กลับต่างลับเลย.....
มันติดตามนักบุญพลางครุ่นคิด
มุ่งหมายจิตแทะกินสิ้นสงสัย
ยามหวนมาคราหน้าพาสุขใจ
มันจะได้กินหรือเปล่าวันเฝ้ารอ ?
เจ้าสุนัขจอมฉลาดเจ้าเพียรพยายามสะสมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อวันพรุ่งนี้
แต่จะมีใครบ้างที่จะรู้ว่าเวลาของเจ้าจะหมดลงเมื่อใด?
เจ้าสุนัขจอมเจ้าเล่ห์เจ้ารื่นเริงบันเทิงใจและแสวงหากอบโกยความสุขเพื่อวันพรุ่งนี้
แต่จะมีใครบ้างที่จะรู้ว่าวันพรุ่งนี้เจ้าจะได้ลืมตาตื่นขึ้นมาหายใจอีกครั้งหรือไม่?
เจ้าสุนัขจอมวางแผนเจ้านั่งใฝ่ฝันถึงอนาคตที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้
แต่แท้ที่จริงแล้วหนึ่งนาทีนี้ต่อไปก็ไม่ใช่ของเจ้าอีกแล้ว เจ้ารู้ถึงความตายอะไรของเจ้าบ้าง?
13 สิงหาคม 2558 23:25 น.
คีตากะ
อย่าไถ่ถามความเป็นมาแห่งข้านี้
ด้วยไม่มีสิ่งใดให้ถวิล
อดีตลับจางหายคล้ายเมฆินทร์
แม้นโลกสิ้นคงแปลกหน้า...ตัวข้าเอง
เจ้าอาศัยอันใดช่วงใช้ข้า !
ให้ชักกระบี่ออกมาอย่าข่มเหง !
กระบี่นี้มีไว้ใช่ขับเพลง !
มันละเลงอาบเลือดแห้งเหือดกรัง !
กระบี่นี้มีไว้ใช่ชมเล่น !
ชนเคยเห็นล้วนตกตายกายถูกฝัง !
จนบัดนี้หามีใครได้อยู่ยัง !
ด้วยทุกครั้งเห็นกระบี่ชีวีวาย !
เฉกเช่นบทกวีมีคุณค่า
เพียงเยียวยาจิตใจใช่ค้าขาย
เงินแสนล้านอย่าหมายซื้อถือง่ายดาย
หากรู้ค่าความหมาย...กลับกลายฟรี...
เบื้องหลังถ้อยภาษาอย่าแคลนหมิ่น
ล้วนยลยินด้วยใจในวิถี
ขับขานเพลงยอดยุทธ์ดุจวจี
แต่คัมภีร์จริงแท้แลภายใน
คือคัมภีร์ไร้ภาษาเกินกว่าถ้อย
แทนร่องรอยไร้เงาเฝ้าสงสัย
คือวิญญาณสร้างโลกโศลกไป
แทนความนัยสรรพสิ่งอิงสัมพันธ์
จากสมบูรณ์สู่สัมพัทธ์วัดอิงอ้าง
จากหนึ่งทางสู่หลากหลายพรายสร้างสรรค์
จากหยุดนิ่งสู่เคลื่อนไหวในวารวัน
จากอนันต์สู่อัตตาบ่าไหลวน
จากพลังงานสู่สสารสานวัตถุ
จากบรรลุสู่หลับใหลใจสับสน
จากความคิดสู่การสร้างทางวกวน
จากทุกแห่งทุกหนสู่ตนตัว......
12 เมษายน 2556 21:37 น.
คีตากะ
บนถนนที่ว่างเปล่า....
ฉันก้าวเท้าแสนหนักปักใจมั่น
ผ่านความหนาวร้าวเหลือเหนือคืนวัน
เบื้องหน้านั้นมืดมิดจิตหวาดกลัว
ทิวาวารอำลาฟ้าเปลือยเปล่า
มีเพียงเงาจากแสงดาวพราวสลัว
เงาทะมึนของหมู่ไม้ไหวระรัว
รอบตนตัวโดดเดี่ยวเดินเดียวดาย
สายลมล่องเย้าหยอกบอกกระซิบ
ทางไกลลิบเกินไปในจุดหมาย
พักเสียก่อนนอนพักจักสบาย
ก่อนลับหายจางไปไร้ร่องรอย
เสียงนกฮูกกลางคืนยืนตีปีก
ร้องบอกหลีกหลบไปให้รีบถอย
ความตายอยู่เบื้องหน้าอย่ามัวคอย
คนไม่น้อยไปลับไม่กลับมา
ฉันยังเดินต่อไปไม่เหลียวหลัง
ดอกไม้ยังส่งกลิ่นถวิลหา
มันเบ่งบานกลางคืนยื่นดอกมา
ยิ้มเริงร่าเย้ายวนชวนลิ้มลอง
ท่ามกลางทะเลทรายที่รายล้อม
นภาย้อมสีดำทำหม่นหมอง
ฉันนั่งลงข้างดงหนามความเหนื่อยครอง
หลับตาสองข้างนั่นอันหนักหน่วง
พลันความมืดบ่งบอกออกเสียงสั่ง
เจ้าจงรั้งอยู่นี่ที่แดนสรวง
ข้าจะมอบพลังแห่งทั้งปวง
ให้เจ้าช่วงใช้ได้ตามใจตน
ฉันเอื้อนเอ่ยวาจาว่าเงียบเถิด
อย่าเตลิดไปไกลให้สับสน
อัตตาเอ๋ยอย่าพล่ามยามทุกข์ทน
ข้าหมายพ้นความเศร้าเผาลนใจ.....
12 เมษายน 2556 21:38 น.
คีตากะ
พอหรือยังกับตัวตนทำหม่นไหม้
จับยึดไว้เร่าร้อนนอนโศกศัลย์
ทิ่มแทงซ้ำย้ำคิดจิตรำพัน
สร้างความฝันฟุ้งเฟ้อละเมอครวญ
เจ็บพอไหมร้าวรวดแสนปวดแสบ
เอามาแนบกอดไว้ให้คิดหวน
ภาพเหตุการณ์รานร้าวคราวทบทวน
ยังใจป่วนแปรเปลี่ยนอยู่เวียนวน
เดินพันหลักตรวนโซ่เซโซนัก
เดี๋ยวเรื่องรักเรื่องชังนั่งสับสน
เดี๋ยวก็อยากไม่อยากซ้ำซากทน
เสียงเพ้อบ่นอาลัยไม่เคยจาง
ทุกข์สาหัสพอไหมใจแบกรับ
หวังคว้าจับภาพลวงตาพาหมองหมาง
อีกกี่ทุกข์กี่รอยจะปล่อยวาง
หรือรอร่างล้มหายค่อยคลายปม
ทุกข์สุขเศร้าใครเล่าเอามาแบก
ทั้งโซ่แอกใครล่ามความขื่นขม
ใครระบุมีเรา-เขาเฝ้าชื่นชม
ใครผูกปมเงื่อนนั้นพันธนา ?
13 สิงหาคม 2558 23:27 น.
คีตากะ
ละอองไอกลั่นหยดรดแหล่งหล้า
จากฟากฟ้าสู่ดินถิ่นสถาน
หยาดพิรุณหนุนนำก่อลำธาร
เชื่อมผสานโลกสวรรค์อันห่างไกล
ลัดเลาะเลี้ยวอุปสรรคคอยดักกั้น
รูปลักษณ์อันอ่อนละมุนเนืองหนุนไหล
หลบหลีกแข็งแกร่งกล้าบ่าเลี่ยงไกล
พ้นเภทภัยหมื่นพันเพราะผันแปร
ความคิดปรุงก่อทุกข์ลุกร้อนเร่า
จิตอันเขลาหลงผิดติดร่างแห
ตำหนิฟ้ากล่าวหาดินหมิ่นรังแก
ยากยิ่งแก้ปมยุ่งคิดปรุงเอง
ใจพิสุทธิ์ดุจน้ำลำธารไหล
หลบหลีกไกลความฝันอันข่มเหง
จะสุขทุกข์รุกเร้าเคล้าบรรเลง
หลบกาจเก่งทุกท่าหาเกี่ยวพัน....