17 พฤษภาคม 2556 22:18 น.
คีตากะ
โอม มณีปามีโฮม ! พรมกถา
เปล่งมนตราศักดิ์สิทธิ์ทุกทิศสถาน
ประสิทธิ์พรประเสริฐเลิศประการ
ให้โลกศานต์เกษมสุขเปรมปรีดิ์
โอม มณีปามีโฮม ! ก้มลงกราบ
ศิโรราบพระสรรเพชญนเรศศรี
อภิบาลสรรพสัตว์สวัสดี
ทั่วปฐพีผาติพิโมกข์ภัย
โอม มณีปามีโฮม ! โน้มเกศา
ทวยเทวาวิศิษฏ์พิสมัย
สถิตสรวงเกษมสันต์อันพิไล
บันดาลให้มวลมนุชหยุดก่อเวร
โอม มณีปามีโฮม ! บังคมไหว้
พระภูวไนยอภิมุขปราบทุกข์เข็ญ
ดลจตุรพิธพรผ่อนร่มเย็น
ประชาเป็นสุขกสานติ์สราญรมย์
โอม มณีปามีโฮม ! คมอภิวาท
โลกนาถนิรทุกข์สันต์สุขสม
ดั่งมุกมณีสีแสงสำแดงชม
ซ่อนกลีบบัวบึงตมจมวาริน
โอม มณีปามีโฮม ! พนมหัตถา
สรรเพชุดาจอมกวีศรีวศิน
เปรียบปทุมมาลย์บานไสวไร้มลทิน
อบอวลกลิ่นโกมุทพุทธธรรม์
โอม มณีปามีโฮม ! ประนมหัตถ์
สรรพสัตว์มีพุทธมุตติโมหันธ์
เปิดปรัชญาจักษุลุปรมาตมัน
เฉกบุษบันเบ่งบานตระการตา
หมายเหตุ : โอม มณีปามีโฮม เป็นคาถาโบราณบทหนึ่ง “โอม” เป็นเสียงที่เปล่งจากลำคอของภาษาสันสกฤต คล้ายคลึงกับเสียงของจักรวาล “มณี” หมายถึงอัญมณี มุกมณีหรือแก้วสารพัดนึก ซึ่งหมายความถึงธรรมชาติความเป็นพุทธะของเรา “ปามี” หมายถึงดอกบัว ดังนั้น “โอม มณีปามีโฮม” ก็คือมุกมณีนี้อยู่ในดอกบัว ในดอกบัวมีแก้วสารพัดนึกส่องประกายวาววับ เวลารู้แจ้งก็คือได้มุกมณี ได้แก้วสารพัดนึก หรือที่เรียกว่า “ดอกไม้บานเห็นพุทธะ”
17 พฤษภาคม 2556 22:19 น.
คีตากะ
ฮาเลลูย่าห์...
ภาวนาน้อมจิตอธิษฐาน
ลำลึกคุณธีรภควาน
สรรเพชุดาญาณบันดาลดล
ฮาเลลูย่าห์...
ธรรมธาดาดั่งโพธิ์พรั่งโกศล
เกริกเกรียงไกรใต้หล้าธราดล
เดโชพลปกเกศพ้นเภทภัย
ฮาเลลูย่าห์...
จอมมาตานฤมิตอภิสมัย
โลกนาถนครินทร์ปิ่นฤทัย
อจินไตยจรรยาสถาพร
ฮาเลลูย่าห์...
อนุตรสัมมามหาอิศร
เลิศตรีภพสยบมารหาญนิกร
อำนวยพรส่ำสัตว์พิพัฒนาน
ฮาเลลูย่าห์...
องค์มหาศักรินทร์อินทรีย์ศานต์
โลกวิทูภูวเนตรเดชโอฬาร
นิรมาณกายอเนกเอกอุดม
ฮาเลลูย่าห์...
นาถเมธาอนันต์สันต์สุขสม
อุปริสัจอรรถลุสุขารมณ์
ศีลสัตย์บ่มสัทธาสัมมาธรรม์
ฮาเลลูย่าห์...
องค์ภควาวิศวไอศวรรย์
สถิตสรวงศานติรังสิมันตุ์
อัศจรรย์อาภาอานิสงส์
ฮาเลลูย่าห์...
ชินราชาเรืองฤทธิ์พิศวง
อิสริยะอิสระพระอ่าองค์
ดุจพญาหงส์เหินหาวอะคร้าวอร
ฮาเลลูย่าห์...
พระปิตามหิทธิมหิศร
จอมมุนินทร์ภิญโญโอภาพร
เพียงอุทรสรรพบารมี
ฮาเลลูย่าห์...
พระสัตถาสิงหนาทเทียมราชสีห์
วัชรปรัชญาศาสนีย์
ดลอินทรีย์วิสุทธิ์วิมุตธรรม์
ฮาเลลูย่าห์...
ศรีสุคตตถตาราไชศวรรย์
เฉกบุณฑริกโกมุทบุษบัน
ปทุมมาลย์ผ่องพรรณอันภัสสร
ฮาเลลูย่าห์...
ภควัทคีตาภาษิตสอน
อรหันต์โอวาทอาตม์อมร
ประณตกรประนมก้มกราบกราน
12 เมษายน 2556 21:30 น.
คีตากะ
ณ โมงยามเงียบสงัดแห่งรัตติ
ความมืดผลิกลีบพราวราวมนต์ขลัง
ยามครึ่งตื่นครึ่งหลับกับภวังค์
ฉันได้ฟังอัตตาฉันพาที
อัตตาหนึ่ง เริ่มกล่าวราวทุกข์หนัก
ฉันจมปลักอยู่ไปไม่อาจหนี
ในร่างแห่งชายบ้ามานานปี
สุดเหลือทนเต็มทีทุกวี่วัน
ยามทิวาคอยสร้างทางเจ็บปวด
ความร้าวรวดแก่เขาเล่าคือฉัน
ยามราตรีสร้างโศกวิโยคอัน
ทุกวารวันฉันเบื่อเหลือจะทน
อัตตาสอง เผยวจีพี่ชายเอ๋ย!
ท่านไม่เคยเป็นฉันนั้นสักหน
หน้าที่ฉันเอือมระอาเกินกว่าทน
เป็นตัวตนความยินดีนานปีมา
ฉันต้องคอยหัวเราะก็เพราะเขา
เคียงคอยเฝ้าร้องเพลงเปล่งภาษา
เริงรำตามความคิดจินตนา
ของชายบ้ายามสุขสนุกไป
อัตตาสาม เอ่ยพลันแล้วฉันล่ะ!
ผู้คอยจะถูกความรักมักขับไส
ตามแรงปรารถนาจะพาไป
ลุกมอดไหม้ด้วยเพลิงเริงโลกีย์
ฉันเป็นไฟหื่นกระหายพรายแรงร้อน
เป็นฟืนฟอนสุมไข้รักสลักสี
สร้างรอยตรามายมากฝากชีวี
ถึงคราวที่ฉันขัดขืนมิฝืนทน
อัตตาสี่ เอื้อนเอ่ยว่าเฮ้ยสหาย!
ท่านทั้งหลายฤาเทียบเปรียบเหตุผล
ฉันเองหนอทรมานสุดทานทน
ได้ยินยลเพียงคำด่าว่าประนาม
ฉันได้รับเพียงเกลียดชังและรังเกียจ
ถูกยัดเยียดตัวตนทนหมิ่นหยาม
ราวพายุโลกันตร์อันเลวทราม
ฉันถึงยามแข็งข้อพอเสียที
อัตตาห้า ว่าพลันฉันต่างหาก!
แสนลำบากกว่าใครให้บัดสี
เป็นตัวตนแห่งความคิดจิตจรลี
ล้วนเต็มปรี่ด้วยถวิลจินตนาการ
ท่องเที่ยวไปไม่หยุดดุจต้องโทษ
วิ่งแล่นโลดแสวงหาพาร้าวฉาน
หิวกระหายสิ่งใหม่ในห้วงกาล
ฉันจึงพาลคิดขบถเกินอดทน
อัตตาหก พจนาว่าตัวฉัน!
ต้องคอยปั้นวันวารสืบสานผล
เป็นรูปรอยรูปร่างอย่างอดทน
สร้างตัวตนอันใหม่ให้นิรันดร์
ฉันเป็นดั่งตัวตนคนงานสร้าง
ธาตุไร้รูปปั้นร่างคอยสร้างสรรค์
แสนเปล่าเปลี่ยวน่าสมเพชสังเวชอัน
ถึงคราฉันจะต่อต้านงานบ้าบอ
อัตตาเจ็ด เอ่ยว่าน่าแปลกนัก!
พวกท่านจักคิดอ่านต้านทานหนอ
ฝืนชายบ้าผู้นี้คิดรีรอ
ทั้งต่างก็มีงานสืบสานไป
แต่ฉันสิอยากเป็นเช่นพวกท่าน
ตัวตนฉันปราศงานจะขานไข
เปล่าประโยชน์เปล่าว่างร้างสิ่งใด
นั่งเบื้อใบ้ไร้ที่ทางไร้เวลา
ขณะท่านยุ่งกับงานสานชีวิต
ถูกลิขิตกำหนดไว้ไม่กังขา
ฉันกลับไร้งานทำจะนำพา
เพื่อนเอ๋ย! ใครกันหนาน่าต่อต้าน
อัตตาเจ็ดแถลงไขไปดังนั้น
อัตตาอื่นมองมันพลันสงสาร
แต่ปราศถ้อยร้อยรจพจมาน
ราตรีกาลดึกคล้อยม่อยหลับลง
เหล่าอัตตาทยอยหลับต่างลับล่วง
จำนนห้วงแห่งใหม่ในพิศวง
ล้วนเป็นสุขนิทราพาปลดปลง
ทั้งหกคงหลับใหลไปตามกาล
แต่อัตตาเจ็ดยังนั่งจับจ้อง
มันเฝ้ามองความว่างร้างสัณฐาน
เบื้องหลังสรรพสิ่งอยู่นิ่งนาน
จนล่วงกาลยังเห็นเป็นเช่นนั้น....
12 เมษายน 2556 21:31 น.
คีตากะ
ลืมตาเถิด! ดูโลกอันโศกศัลย์
กองเพลิงนั้นลุกไหม้ในสังขาร
เกิด-แก่-เจ็บ-ตายหมายทรมาน
ทุกวันวารเป็นไปในความลวง
ลืมตาเถิด! ดูก่อนก่อนจะสาย
เหล่าหญิงชายทนทุกข์รุกใหญ่หลวง
ท่ามกองเพลิงเกลือกกลิ้งจมดิ่งทรวง
กลางบาศก์บ่วงแห่งมารผลาญชีวัน
ลืมตาเถิด! มองดูให้รู้แจ้ง
ตัวตนแห่งความลวงล่วงแปรผัน
มันยิ้มเยาะเย้ยหยามความผูกพัน
ท้ายมีอันพรากจากซ้ำซากนาน
ลืมตาเถิด! มองไปในห้วงรัก
ชนจมปลักทะเลทุกข์รุกสังหาร
ด้วยยึดมั่นถือมั่นบั่นวิญญาณ
จมสงสารเวียนว่ายหลายกัปกัลป์
ลืมตาเถิด! เพ่งมองแสงส่องหล้า
พระพุทธาปรากฏหมดโศกศัลย์
มีแสงธรรมนำทางหว่างชีวัน
ก้าวล่วงฝันหลอกลวงพ้นบ่วงเวร
28 สิงหาคม 2567 11:26 น.
คีตากะ
บึงน้ำหนึ่งธารใสพิไลนัก
มีรูปพักตร์หญิงสาวแพรวพราวสวย
เธองามซึ้งตรึงตราพางงงวย
จมกลางห้วยธารามาช้านาน
ยามอาทิตย์ทอทาบอาบแสงส่อง
ปราศลมล่องพัดพลิ้วผิวละหาน
เหล่ามัจฉาหลบร้อนซ่อนกบดาน
ภาพนงคราญปรากฏงดงามตา
หากชลธารเกิดคลื่นบนผืนน้ำ
ฤาขุ่นคล้ำบางคราวพราวมัจฉา
แหวกว่ายวนเที่ยวท่องล่องธารา
ภาพกานดาพร่าเลือนเหมือนภูตพราย
นางฟ้าฤาซาตานอาจพานพบ
เพียงสงบแลวุ่นขุ่นมัวฉาย
เฉกดวงจิตกระเพื่อมฤาเลื่อมพราย
สร้างรูปลักษณ์หลากหลายดุจสายชล.....