30 มกราคม 2548 13:59 น.
คนเขียนเรื่อง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปนอนที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลกแต่ต้องเดินทางออกห่างจากตัวเมืองไปหลายกิโลเมตร ที่นั้นถือว่าห่างไกลความเจริญมากพอสมควร ตอนเช้า ๆ จะได้พบกับชาวบ้านที่นำอาหารมาคอยตักบาตรพระ ทั้งที่อยู่ตามหน้าบ้านของตนเอง หรือมาเข้าแถวเรียง
กันอย่างเป็นระเบียบภายในวัด ศาลาวัดเปรียบเสมือนเป็นที่ชุมนุมของเด็กๆ ขณะรอคอยถวายภัตตาหาร ทุกคนมี
หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนใหญ่ถือกระติบข้าวเหนียวกันคนละใบ เด็ก ๆ จะพูดคุยกันด้วยเสียงเบา ๆ ไม่เอะอะโวยวาย หรือวิ่งเล่นซน เหมือนรู้ระเบียบและฐานะของตน เด็กผู้ชายบางคนไปนั่งคอยที่บันไดศาลาตรงที่ล้างเท้าของพระ ถือผ้าเช็ดเท้าคอยที่จะเช็ดเท้าหลวงพ่อหรือหลวงตาที่กำลังจะขึ้นไปที่ศาลา เด็กบางคนได้รับการทักทางจากพระแสดงว่ามากันเป็นประจำจนหลวงตาจำได้ แล้วท่าทีที่กราบและคลานเข่าเข้าไปถวายของพระของเด็กหลาย ๆ คน มีความคล่องแคล่ว ทะมัดทะแมงอย่างที่ผู้ใหญ่ในเมืองต้องอาย มองดูแล้วมีความรู้สึกว่าเสียดายแทนคนในเมืองหลวง รวมทั้งเด็ก ๆ ที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับชีวิตเล่านี้ เห็นแล้วอยากให้พ่อแม่ในเมืองได้มาเรียนรู้ว่ามีวิธีที่จะหาความสุข โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองได้อีกหลายวิธี ไม่ต้องไปกินอาหารในร้านที่หรู ๆ ดัง ๆ แล้วต้องแย่งกันสั่งอาหาร หรือต้องมีสถานที่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ เล่นสเกต
หรือศูนย์การค้าต่าง ๆ ที่แออัดในเมืองหลวงอยู่ขณะนี้ การเรียนรู้ของเด็กในชนบทที่มีพ่อแม่อยู่ใกล้ชิด หรือไม่ก็ตาม.......
............................"_" ยังไม่จบ
30 มกราคม 2548 00:24 น.
คนเขียนเรื่อง
เคยมีคนปรารภกันว่าเกิดเป็นเด็กในเมืองหลวงกับเด็กในชนบท ใครจะมีโอกาสเรียนรู้และมีความสุขมากกว่ากัน หลายคนตอบว่าถ้าความสุขนั้นมาจากความสะดวกสบายทางวัตถุ รวมทั้งเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับเรียนรู้ในโลกกว้าง เด็กในเมืองมีโอกาสสัมผัสสิ่งเหล่านั้นมากกว่า มีความฉลาดและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เร็วกว่า ส่วนเด็กในชนบท เนื่องจากฐานะและความเจริญทางเทคโนโลยีด้อยกว่า จึงทำให้เด็กเหล่านั้นขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะต่างๆ ขาดความกระตือรือร้น แต่ดีที่ไม่มีความเครียดแบบเด็กในเมืองแล้วสิ่งไหนจะดีกว่ากัน เลยทำให้มีคำถามขึ้นในใจว่าเด็กในชนบทเป็นผู้ด้อยโอกาสพัฒนาจริงหรือ? และสิ่งที่ต้องพัฒนานั้นคืออะไร?
................................มีต่อนะ