13 ธันวาคม 2550 03:30 น.
ลานเทวา
ระชวยโชยโบยพลิ้วผะผิวแผ่ว
กังวานแว่วอื้ออึงตรึงสดับ
ไหวไหววาบผัสสาแล้วลาลับ
ยะเยือกหนาวหนึ่งซับโดยชีวา
ณ เรือนดาวพราวระยิบกระพริบห้วง
เด่นเสี้ยวดวงเดือนแหว่งขึ้นแต่งฟ้า
หอมกลิ่นโศกลั่นทมยามลมพา
เหน็บหนาวห้วงมรรคาแห่งสัญจร
มโหรีปีพาทย์เริ่มวาดเสียง
โศกสำเนียงผ่านใจอันไหวอ่อน
โหยสดับในคราแห่งอาวรณ์
ห้วงระทมรอนรอนโดยแรงร้าว
หอมเอย หอมลั่นทม
ยามสายลมพัดชื่นในคืนหนาว
ทิ้งกลีบร่วงเป็นซากลงตากดาว
แลเกลื่อนพราวขาวพร่างอยู่กลางลาน
ดอกน้ำค้างวางหยอกบนดอกหญ้า
ดอกน้ำตาใสใสรินไหลผ่าน
พญาโศกตรึงซับขับห้วงกาล
กล่อมดวงมาลย์ ....... สู่สุขคติ ... อันนิรันดร์....
------------------------
ลานเทวา
11 ธันวาคม 2550 20:21 น.
ลานเทวา
กระแสสร้างทางลวงห้วงกระแส
โลกรึแปรไปตามความประสงค์
ชั่วอัปรีย์ใดค้ำการดำรง
ผิดเผ่าพงษ์วงศาอนาจาร
วจีเภทเศษซากในฝากฝัน
ไหวชีวันจำเรียงแค่เพียงผ่าน
ใครสิหวนซาบซึ้งคำนึงกาล
เขาสราญสาธกดั่งพกลม
ผิดแต่ผู้กรำกร้านในการก่อ
ผิดแต่หนอแต่เชื้ออันเรื้อข่ม
เขามากอบโกยไปใครสิจม
ทุรคมดักดานมิบานเบา
ผู้บำเทิงเริงจิตกลับผิดผู้
ประหนึ่งกูต้องทนในหนเก่า
อยู่แต่เถื่อนระทมพนมเนา
ประดุจเงาไร้ค่าคนวาโมร
แถนผีเมืองเรืองงามอร่ามแสง
บัดถึงช่วงแสดงมาแต่งโขน
เข้ามากรานกราบซึ้งถึงทะโมน
บดคราบโจรในซากด้วยปากดี
เอยกู
บัดสิกู่ร่ายคำโยงย้ำที่
ปรารถนาแห่งหนอันคนมี
มาแต่เมืองชีวีอันโสมม
สรดื่นดาษยลคนขยะ
สรณะแห่งเงินตราสิมาถม
พักตร์ผันแปรแลไปกระไรชม
ยลมิต่างอาจมแล้วชีวิต
นับประสาอะไรใจมนุษย์
น้ำเงินยุดศรีศักดิ์ให้รักผิด
สำนึกใดไหนย้อนสะท้อนคิด
วิปริตในหนพ้นษมา
เมืองจึ่งรุ่มในร้อนสะท้อนเรื่อง
มรรคาเนื่องล้นหลากมากปัญหา
ใครสิปลดไหลหลงในศงกา
เปลี่ยนหางมาเปลี่ยนหัวไปรึใช่ที
ศฐเย่อกำแหงมาแต่งฤกษ์
โจราเบิกม่านฟ้าสร้างราศี
คนพึลึกฤาตรึกย้ำพระคำภีร์
คนอัปรีย์จึงรวมมาอาสานำ
จนอาเพศประเทศชาติอนาถจิต
ชั่วสถิตแต่หนคนใจต่ำ
ต่างสิกอบโกงโกยอยู่โดยกรรม
ผิดในธรรมอันแจ้งแสดงนัย
จึงกำพรืดมืดบอดตลอดย่าน
ชั่วสันดานต่างชิงความยิ่งใหญ่
บโทนแห่งทุรชนลี้พลไป
หวังแต่ชัยชำนะอันระราน
กูสิบนข้าวผีตีข้าวพระ
วิสาสะแห่งมนต์ไหววนผ่าน
เสียงสาปแช่งแรงร้อนสะท้อนกาล
จารึกวารจัญไรใครอัปรีย์
วิสารส่งแต่คำอันล้ำเลิศ
จริงมิเกิดอันใดในวิถี
ยังแต่ลวงเล่ห์ร้อยถ้อยวลี
อันอ้างมีนโยบายมาขายคำ
กี่สมัยในหนผละพ้นผ่าน
แลกี่กาลใจปลื้มไปดื่มด่ำ
เห็นแต่หนทนทุกข์คลุกระกำ
เขายังนำเภทภัยมาให้ทน
นายเอย
ข้าไม่เคยได้ยิ้มอิ่มสักหน
กับคำถ้อยร้อยร่ายดั่งสายมนต์
ประชาชนที่เห็นนั้นเช่นกัน
----------------------------
ลานเทวา
10 ธันวาคม 2550 08:33 น.
ลานเทวา
ผ่านพลิ้วเพลงหญ้าไหว
ณ ทุ่งฟ้าอำไพตะวันผ่อง
ข้ายังคงนิราศรัยในครรลอง
ประคับประคองปราชญาแห่งมาลี
ทวนกระแสสำนึกย้อน
ท่ามกระสันต์ไหวอ่อนแห่งวิถี
อาบอารมณ์อุราประดามี
สภาวการณ์ชีวียังเช่นนั้น
รอยหม่นในกาลดั่งม่านหมอง
ปรากฏร้าวครรลอง ณ ความฝัน
ท่ามแสงใหม่แห่งสรวงดวงตะวัน
ข้าซ่อนคำรำพันกับโศกไว้
ผิจะลับล่วงกาลแห่งสรรพบท
ปราชญามาลีกบฏคงตักษัย
แผ่นดินเศร้าคงสิ้นเงามาลัย
ขจรกลิ่นโอบใจมวลหมู่ชน
-------------------------
ลานเทวา
ฝากผลงานเล่มแรกไว้ด้วยนะครับผม
1 ธันวาคม 2550 15:49 น.
ลานเทวา
ล่วงถวิลไหวผ่านสะท้านห้วง
ร้าวแดดวงรอนรอนสะท้อนร่าย
โศกเศร้าซึ้งตรึงปลุกอยู่ทุกภาย
โดยเดียวดายโดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา
ห่อห่มดาวพราวฟ้าหนาวอากาศ
อ่อนอนาถอยู่แต่ยามความห่วงหา
คิดถึงอยู่ในทุกกาลเวลา
วนใจพาเพ้อพร่ำร่ำร่ำครวญ
แผ่วแผ่วพรมลมพริ้วละลิ่วลับ
เหงาสดับใจตรึงคะนึงหวน
ผะแผ่วผิวปลิวฝันไหวรัญจวน
อย่าร้าวรวนให้ร้างเร่ห่างไกล
ล่วงถวิลมิสิ้นกาลอันผ่านห้วง
รอนรอนห่วงแต่แดโดยจักโหยไห้
รักจะร้าวหนาวจะหม่นกังวลใจ
เขามาพรากเธอไปจากฉันแล้ว
ไหวไหวหวั่นวันคืนสะอื้นไหว
ดั่งดวงใจราโรยระโหยแผ่ว
โศกสะเทือนถึงเรือนดาวอันพราวแพรว
ว่าขวัญแก้วขวัญชีวาจะลาล่วง
อ่อนอ่อนโอ้อกเอ๋ยเคยชิดชื่น
ต้องมาขื่นร้าวตรมระทมห่วง
เขาสิคลอคู่เคล้าเจ้าดอกดวง
ระกำทรวงโหยไห้ใจรอนรอน
----------------------------
โดยคำ ลานเทวา
2 ตุลาคม 2550 02:50 น.
ลานเทวา
ทอแพรคำมณีหลากสีสรรค์
มอบกำนัลแทนความยามคิดถึง
หอบเอาห้วงจักรวาลแห่งรำพึง
มาฝากซึ้งแด่นาถเจ้าเงาชีวา
เฝ้ากล่อมรุ่งจรุงบทพจนารถ
ยามนิราศไกลถิ่นถวิลหา
ห้วงรำพึงคะนึงไหวในอุรา
มิสร่างซาจากห่วง หนอดวงใจ
จักโอบอุ่นดวงดาวจากหาวห้วง
มาป้องทรวงจอมขวัญยามหวั่นไหว
เก็บหยาดทิพย์น้ำค้าง ณ กลางไพร
มารินรื่นชื่นหทัยนุชอนงค์
อย่าได้รอนอย่าได้ร้าวเมื่อคราวห่าง
โชคมิจางจากบุญคงหนุนส่ง
แม้นจะไหวโดยจิตคิดพะวง
หากมั่นคงใจนั้นมิผันแปร
-----------------------------------------
ลานเทวา