14 เมษายน 2551 08:47 น.
ลานเทวา
บางขณะบางช่วง
อารมณ์ล่วงสู่ความงามสงบ
สัปปายะแห่งกาลอันพานพบ
ดังเลือนลบสรรพสิ่งลับทิ้งไป
บางขณะบางช่วง
อารมณ์ลวงสู่มายาสาไถย
ลาญทุกอย่างที่เห็นลุกเป็นไฟ
รนหัวใจร้อนเร่าเผาตัวตน
บางหนรู้ในรู้อย่างผู้แจ้ง
บางคราวเหมือนโง่แกล้งไปทุกหน
บางขณะละว่างวางกมล
บางขณะสารวนแต่ครุ่นคิด
ฉันนั่งเฝ้ามองตัวฉัน
จากร่องรอยคืนวันอันสถิต
กระแสสายวิถีแห่งชีวิต
ล้วนเกิดแต่ความวิปริตของหัวใจ
บางขณะบางช่วง
สรรพสิ่งเลยล่วงมาเริ่มใหม่
บางขณะบางสิ่งลับทิ้งไป
สู่หนใดทางใดดังมิรู้
------------------
โดยคำ ลานเทวา
10 เมษายน 2551 15:13 น.
ลานเทวา
ข้ายังอยู่ตรงนั้น
อยู่เพื่อสรรค์สร้างย้ำลำนำบท
อยู่กับความไหวหวามอันงามงด
อยู่เพื่อร่ายจารจดกวีรำพัน
พ้นกาลผ่านกระแส
โลกจักแปรบนทางที่สร้างสรรค์
โดยลำนำฉ่ำชื่นแห่งคืนวัน
มอบแบ่งปันด้วยปรารถนาและอาทร
แทนถ้อยย้ำคำใจในบริบท
แทนความงามอันสวยสดแห่งอักษร
คือลำนำแห่งฝันผู้สัญจร
ผ่านคืนร้าวแรมรอนในชีวิต
ข้ายังอยู่ตรงนั้น
อยู่กับฝันอ้างว้างสร้างลิขิต
จารอักษรเดียวดายร่ายความคิด
มอบฝากแด่มวลมิตรด้วยไมตรี
โดยมนต์กลอักษร
จักสะท้อนความจริงอิงวิถี
แต่งแต้มวาดปรารถนาประดามี
อยู่ในโลกเสรีแห่งกลอนกานท์
ข้ายังอยู่ตรงนั้น
อยู่เพื่อเรียงร้อยฝันที่ผันผ่าน
โดยเอการาตรีทิวาวาร
ฝากรอยจารความรู้สึกอันลึกเร้น
---------------------------
โดยคำ ลานเทวา
8 เมษายน 2551 14:17 น.
ลานเทวา
( ๑ )
หอมเอย หอมดอกกระดังงา
รัญจวนพากลิ่นชื่นคืนเดือนหงาย
ริมหน้าต่างบางลมพรมแผ่วพราย
ระยิบดอกดารารายระยับฟ้า
ณ มุมเก่าห้องเก่านั่งเล่าเขียน
ผ่องแสงเทียนสาดหนใจค้นหา
ร่องรอยแห่งความฝันวันเวลา
ระลึกมาเขียนจดเป็นบทตอน
ร่ายอารมณ์ตรมตรึงรำพึงผ่าน
ถ้อยไหวหวานกล่อมเห่เสน่ห์อักษร
ว่างามใดไหนเล่าเท่างามกลอน
ที่สะท้อนความรู้สึกอันลึกเร้น
นั่งเขียนบทจดคำมาร่ำร้อย
ประดิษฐ์ถ้อยกานท์โปรดให้โดดเด่น
เขียนทุกอย่างที่มีและที่เป็น
ให้โลกเห็นงานอักษรสะท้อนงาม
( ๒ )
หอมเอย หอมลั่นทม
โชยกลิ่นตรมข่มโศกโลกทั้งสาม
เศร้าอักษรอ่อนไหวในโมงยาม
แทนหนึ่งความหมองหม่นแห่งหนใจ
บางสิ่งสื่ออ้างว้างในบางช่วง
บางสิ่งล่วงทุกข์ทนกังวลไหว
บางบทบ่งตรงช้ำระกำใน
ห้วงหทัยรวดร้าวหนาวรำพึง
บางบทพรากจากจิตพิศวาส
เร่นิราศห่างเหินเกินคิดถึง
บางบทบอกตอกย้ำห้วงคำนึง
บางบทตรึงน้ำตาอุราราน
บ้างร่ายโศกร่ายสุขการปลุกปลอบ
บ้างเขียนมอบกำลังใจไว้ขับขาน
แลบางบทสดชื่นรื่นเบิกบาน
บางบทจารทั้งน้ำตามาเป็นคำ
( ๓ )
หนาวเอย หนาวลมพลิ้วพรมห้วง
บางสุขล่วงจากปลื้มใจดื่มด่ำ
อารมณ์เลือนเคลื่อนคล้อยรอยลำนำ
สุขโศกบทจดจำอยู่เจียนตาย
ณ มุมเก่าห้องเก่านั่งเล่าเขียน
สาดแสงเทียนผ่องผุดไปสุดสาย
สิ้นเรื่องราวหนาวลมอันพรมพราย
ก็สิ้นแสงสุดท้ายจากแรงเทียน
.....................
โดยคำ ลานเทวา
8 เมษายน 2551 10:33 น.
ลานเทวา
ฉันไม่เคยพบเธอ
ในท่ามกลางแสงตะวัน..เรื่องโรจน์
ฉันไม่เคยเห็นเธอ
ในความฝันที่วาดหวังไว้เอนกอนันต์
ฉันไม่เคยรู้จักเธอ
กับการดำรงค์ชีพอยู่เยี่ยงไร????????
ใต้ฟ้าสีคราม..งามผ่องผาด
เพ็ญพักตรประหนึ่งดังวาด
จะซูบซีดลาโรยลงเพียงใด
ใจของฉันบางเบาดุจปุยนุ่น
และธุลีฝุ่น
มิรู้จักว่า
เธอรักและแบกรับ
ความหนักหน่วงของชีวิต
ไว้เพื่ออะไร ??????
แมกไม้โบกใบพริ้วไสว
โลกนี้ยังมลังเมลืองอยู่เช่นเดิม
แม้นกระแสชีวิตจะไม่เข้มข้น
สายลมเย็นชาพริ้วแผ่ว
พัดผ่านแมกไม้ระเกะตา
ชีวิตฉันมิได้ ชื่นหวาน
ใจของฉันหมกมุ่นครุ่นคิด
รอยอาลัยแห่งดวงใจของฉัน
ฝังรากลึกผนึกแน่น
ตราบสิ้นโลก
ตราบสิ้นใจ
ตราบเอนกอนันตกาลแห่งอสงไขย
ลิบ ลิบแลสุดสายฝัน
ต้นโศกออกดอกสะพรั่ง
แม้เบื้องหลังคราบน้ำตา
ยังปรารถนาอยู่เคียงกัน
รำพันผ่าน ณ ลานเทวา
ฝากช่วยอุดหนุนหนังสือ ด้วยนะครับ
ราคา 85 บาท
หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ดบุ๊ค และศูนย์หนังสือจุฬาฯครับ
หรือสั่งโดยตรงที่ phutanow41@gmail.com ก็ได้นะครับ
5 เมษายน 2551 15:38 น.
ลานเทวา
ภวังค์แห่งราตรีวิถีล่วง
รติห้วงรำพึงคนึงไหว
วิเวกหนาวร้าวทั่วห้องหัวใจ
จันทร์รำไรเร้นฟ้าเอกาจันทร์
รำเพยกาลผ่านโผยระโหยแผ่ว
ปานสิ้นแล้วสิ่งหมาย ณ ปลายฝัน
จะเลือนโศกวิโยคไหวอย่างไรกัน
อาดูรร่ำรำพันอยู่มิวาย
ท่ามกลางห้วงมหานทีสีน้ำผึ้ง
แผ่วรำพึงร้าวรอนสะท้อนร่าย
แลไกลฟากฝั่งฝันอันเดียวดาย
สิ้นยื้อยุดสุดท้ายแห่งลมร่าง
หมดสิ้นแล้วหรือปรารถนา
สิ้นแล้วหรือจันทราเคยกระจ่าง
แลสิ้นโลกสิ้นชีพใช้ในทาง
สิ้นระวางสับสนกังวลใจ
สิ้นลับห้วงราตรีที่พิงพัก
สิ้นความรักความฝันอันหม่นไหม้
สิ้นกรรแสงวิโยคโศกหทัย
สิ้นสุดในรำพันวันเวลา
สวยสดงดงามคือความตาย
ท่ามกระแสเดียวดายแห่งตัณหา
สรรพสิ่งผ่านหนใจค้นมา
สิ้นสุดแห่งชีวาสดับใด ... ?
-------------------
ลานเทวา